การบรรยายธรรม ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ยนานาชาติกรุงวอชิงตันดีซี ค.ศ.2009

 

หลี่ หงจื้อ

  18 กรกฎาคม ค.ศ. 2009

                                                                                                                                                    

ทุกท่านลำบากกันแล้ว

 

         เพิ่งเสร็จการประชุมฝ่าฮุ่ยที่นิวยอร์ก  ได้พบหน้าทุกท่านครั้งหนึ่งแล้ว  ครั้งนี้จึงไม่อยากจะพูดมาก  ดังนั้นจึงมาช้าสักหน่อย (หัวเราะ) (ที่ประชุมปรบมือ)  สถานการณ์เจิ้งฝ่าทั้งหมดก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว  ผลที่เกิดจากการที่ศิษย์ต้าฝ่าร่วมมือกันช่วยเหลือสรรพชีวิตและยืนยันความถูกต้องของฝ่า  ได้ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดบนโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแล้ว จุดนี้ทุกท่านต่างก็เห็นแล้ว  ชาวโลกก็เห็นแล้ว  เมื่อตอนเริ่มต้นของการประทุษร้ายเมื่อ “20 ก.ค.” ปีค.ศ.1999 หลายคนชี้ขาดว่า ฝ่าหลุนกงยืนหยัดอยู่ได้ไม่กี่วันแน่    เดิมทีมีคนจำนวนหนึ่งคิดจะสนับสนุนฝ่าหลุนกง  เมื่อได้รับอิทธิพลจากความคิดชนิดนี้ ก็ไม่แสดงท่าทีแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่นักศึกษาถูกพรรคมารคอมมิวนิสต์จีนปราบปรามเมื่อ “ 4 มิ.ย.” คนมากมายรู้สึกเหมือนว่าประเทศจีนไม่มีความหวังอะไรแล้ว  กระทั่งมีบางคนพูดอย่างเปิดเผยว่า อย่าไปสนใจฝ่าหลุนกง  พวกเขายืนหยัดอยู่ได้ไม่กี่วันหรอก    ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดมาจากอะไร  แต่ฝ่าหลุนกงไม่เป็นเหมือนเช่นคำชี้ขาดนั้นของพวกเขา  ฝ่าหลุนกงก้าวข้ามมาแล้ว  (เสียงปรบมือกึกก้อง)  โดยเฉพาะคือ เป็นการก้าวข้ามมาได้แล้วโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก (เสียงปรบมือกึกก้อง) จุดนี้หนา  ทำให้ชาวโลกมองด้วยสายตาที่ทึ่งแล้ว   ยิ่งแสดงออกถึงความยอดเยี่ยมของศิษย์ต้าฝ่า  ยิ่งแสดงออกถึงความแตกต่างเหนือธรรมดาของผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนกง  ปัจจุบันมีคนจำนวนหนึ่งเปลี่ยนจากเย็นชามาเป็นให้ความสนใจเปลี่ยนท่าทีที่เคยเยาะเย้ยมาเป็นการยกย่อง

     

         เมื่อเรื่องยังมาไม่ถึงจุดสิ้นสุด เจิ้งฝ่ายังคงรุดหน้าไป ศิษย์ต้าฝ่ายังยืนยันความถูกต้องของฝ่า   ช่วยเหลือสรรพชีวิตไม่หยุดหย่อน  สถานการณ์ยังคงเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน  และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย  องค์ประกอบของสิ่งชั่วร้ายในอีกมิติถูกทำลายไปเป็นปริมาณมหาศาลในเวลาเดียวกัน   ชาวโลกจึงยิ่งมีสติยิ่งขึ้นเรื่อยๆ องค์ประกอบที่ไม่ดีเหล่านั้นที่ควบคุมความคิดคนยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ   เช่นนี้จึงทำให้ชาวโลกไตร่ตรองอย่างสุขุมเยือกเย็นเกี่ยวกับการประทุษร้ายครั้งนี้กับการปฏิบัติอย่างไรต่อศิษย์ต้าฝ่า  ที่จริงชาวโลกจะมองพวกเราอย่างไร  นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย และไม่สำคัญ   ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องทำเรื่องของตัวเองให้ดี ในระหว่างการถูกประทุษร้าย  พวกเราไม่สนใจท่าทีของชาวโลก   และพวกเราก็ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับคนธรรมดาสามัญว่าจะทำอะไรให้ต้าฝ่าได้บ้าง  และไม่ได้ทอดทิ้งการช่วยชีวิตชาวโลกกับสรรพชีวิต  เรื่องการช่วยเหลือชาวโลกนี้มีแต่ศิษย์ต้าฝ่าที่สามารถทำได้  เป็นความรับผิดชอบที่หนักมาก   ในช่วงที่การประทุษร้ายรุนแรงที่สุดก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรับผิดชอบของศิษย์ต้าฝ่า  ในขณะที่ถูกประทุษร้ายอย่างรุนแรงที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ล้วนแต่ถือการบำเพ็ญตนเองให้ดีเป็นมูลฐาน ยืนยันความถูกต้องของฝ่าช่วยเหลือสรรพชีวิตด้วยสติปัญญา

 

         ใช่  เมื่อการประทุษร้ายเริ่มขึ้น  มีหลายๆเรื่องที่ทำได้ไม่ดีพอ  ซึ่งยากจะหลีกเลี่ยง  เพราะระยะแรกคนมากมายไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร   เมื่อเผชิญกับการประทุษร้ายครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  ใส่ร้ายป้ายสีแบบมืดฟ้ามัวดิน ถ่ายทอดคำหลอกลวงไปทั่วโลก    ฝ่าหลุนกงในเวลานั้นไม่มีสื่อสารมวลชน  ไม่มีที่ที่จะพูดชี้แจง  สื่อทั่วโลกล้วนรายงานตามการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อของพรรคมารคอมมิวนิสต์จีน  จึงเท่ากับเป็นการประทุษร้ายฝ่าหลุนกง  ประทุษร้ายศิษย์ต้าฝ่าอย่างมืดฟ้ามัวดินไปทั่วทุกมุมโลกแทนพรรคมารคอมมิวนิสต์จีน   เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้   พวกเราก็ไม่ได้เสียขวัญ   ต่อหน้าทุกสิ่งของคนธรรมดาสามัญ   ผู้บำเพ็ญ  ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญตั้งแต่ต้น   การบำเพ็ญคือการหลุดพ้นของแต่ละคน  ที่บำเพ็ญนั้นคือตนเอง  คนอื่นจะพูดอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนอื่น  เพียงแต่ศิษย์ต้าฝ่ามีความรับผิดชอบในการช่วยเหลือสรรพชีวิต  ดังนั้นจึงใส่ใจสภาพการณ์ของสรรพชีวิต  นี่ไม่เหมือนกับการบำเพ็ญในอดีต  และเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบที่ค่อนข้างหนักหน่วง   สรรพชีวิตที่เผชิญอยู่  คนบนโลกทุกวันนี้   ก็ต่างจากชีวิตในแต่ละยุคของประวัติศาสตร์แล้ว  ดูๆไปล้วนเป็นคน  แต่มีมากมายที่มาจากระดับชั้นสูง  เป็นเทพที่จุติมาเกิดเป็นคน  ดังนั้นจึงทำให้เรื่องที่ต้องทำ ต้องช่วยเหลือจึงเป็นความรับผิดชอบที่หนักยิ่งขึ้นอีก  และยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น  เช่นนั้นเรื่องนี้จึงมีความจำเป็นต้องทำ  หากมิใช่เช่นนี้  การประทุษร้ายครั้งนี้ก็จะไม่สามารถยาวนานอย่างนี้  และจะไม่อาจคงอยู่ต่อไป  จะเป็นแค่การบำเพ็ญตัวเองของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง  ไม่มีการคุกคามใดๆต่ออิทธิพลเก่า   แต่เพราะจักรวาลจะเจิ้งฝ่า  อิทธิพลเก่า และองค์ประกอบที่ไม่ดีถูกแตะต้องเข้าแล้ว  การประทุษร้ายในสังคมคนธรรมดาสามัญเป็นเพียงผลสะท้อนของระดับชั้นนี้   มองจากเปลือกนอก  รูปแบบการบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่าในสังคมคนธรรมดาสามัญนั้นไม่เหมือนกับในอดีต  และยังเป็นคนกลุ่มใหญ่ถึงเพียงนั้น  ผลกระทบด้านบวกได้ทำลายดุลยภาพระหว่างธรรมะกับอธรรม  ดีกับเลวในโลก  ดังนั้นองค์ประกอบที่ไม่ดีจึงลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่ถึงกับก่อให้เกิดการประทุษร้ายที่ใหญ่โตอย่างนี้ได้  แต่เป็นเพราะการจัดวางขององค์ประกอบของจักรวาลเก่า  ในขณะเดียวกันชีวิตที่ไม่ดีในอีกมิติก็จมลง ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนในระหว่างการเจิ้งฝ่า  จึงทำให้สนามมิติของโลกมนุษย์ไม่ดีเป็นพิเศษ ทำให้ศีลธรรมของสังคมตกต่ำ จิตใจคนเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  บนโลกจึงปรากฏออกมายิ่งยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น  เพิ่มระดับความยากลำบากอย่างมากในการช่วยเหลือสรรพชีวิต  ในเวลาเดียวกันการแสดงออกของมารก็ยิ่ง ใหญ่โต   การเผชิญกับสภาพการณ์อย่างนี้  ศิษย์ต้าฝ่าสามารถก้าวข้ามมาได้ก็ไม่ง่ายแล้ว  ไหนเลยยังต้องช่วยเหลือสรรพชีวิตเหล่านี้ที่ถูกทำให้ยุ่งเหยิงจนไม่ไหวแล้ว


   เมื่อตอนเริ่มต้นนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  บ้างก็ไม่สุขุมเยือกเย็นพอ   เมื่ออยู่ต่อหน้าแรงกดดัน  ในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าการบำเพ็ญในสภาพต่างๆนานาล้วนมีทั้งนั้น  ดังนั้นจึงทำให้ศิษย์ต้าฝ่าเมื่อทำงานขึ้นมา จึงยากจะร่วมมือกัน  ในการบำเพ็ญจึงมีทั้งพวกที่ไม่ก้าวหน้าและพวกที่ก้าวหน้า  และมีจิตมนุษย์นานาชนิดผสมปนเปกัน  จึงทำให้เรื่องราวซับซ้อน  ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดว่า  ใครก็ทำลายฝ่านี้ไม่ได้  มีแต่ศิษย์ต้าฝ่าที่ทำได้ไม่ดีจึงจะบังเกิดผลที่ไม่ดี  ทุกท่านมองเห็นแล้ว   การประทุษร้ายครั้งนี้  มันทำอะไรฝ่าหลุนกงได้ไหม ไม่มีพลังที่จะทำอะไรได้ การประทุษร้ายครั้งนี้ได้แต่เสริมธรรมานุภาพของผู้บำเพ็ญ   อย่างอื่นไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  ไม่เกิดผลอะไรเลย  มีแต่ทำลายพวกมันเองในระหว่างการประทุษร้าย  แต่ในระหว่างการประชันกันระหว่างธรรมะกับอธรรม   ศิษย์ต้าฝ่านั้น จากเดิมที่ประสานกันไม่ดี ก็ค่อยๆสามารถประสานกันได้  ต่อมาค่อยๆไปสู่การมีสติยิ่งขึ้น  จนถึงวันนี้  แม้ว่ายังมีเรื่องอีกมากมาย  ยังมีอีกหลายพื้นที่  มีปรากฏการณ์ที่ประสานกันได้ไม่ดีอยู่    แต่เมื่อมองโดยรวม  ศิษย์ต้าฝ่าโดยรวมเมื่อผ่านการบำเพ็ญและยืนยันความถูกต้องของฝ่าหลายปีมานี้  ฝึกฝนจนสุกงอมยิ่งขึ้น  มีสติยิ่งๆขึ้น  จากที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ค่อยๆเข้าใจว่าจะทำอย่างไรแล้ว  จากที่ไม่มีเหตุผลก็กลับค่อยๆมีเหตุผลแล้ว


  การบำเพ็ญในอดีต  มันเป็นเพียงเรื่องการหยวนหมั่นของแต่ละคน  จะทำดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของแต่ละคน  แต่ขณะนี้จะต้องช่วยเหลือสรรพชีวิต  จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องการประสานงาน ร่วมมือซึ่งกันและกัน  ในขั้นตอนของการประสานงานกัน  ย่อมจะเกิดใจคนสะท้อนออกมา  แต่ที่น่ายินดีคือ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม กระแสหลักของพวกเรานั้นทำได้ดีตลอดมา  ความมุ่งหวังของทุกท่านนั้นถูกต้อง  ไม่ว่าใจคนจะแสดงออกมาอย่างไร และองค์ประกอบที่อิทธิพลเก่าจัดวางมาจะแสดงออกมาอย่างไร  แต่จุดริเริ่มของทุกท่านคือการยืนยันความถูกต้องของฝ่า จุดนี้ใครก็ทำให้หวั่นไหวไม่ได้  ดังนั้นเรื่องการยืนยันความถูกต้องของฝ่านี้ไม่ได้หยุดชะงัก การช่วยเหลือสรรพชีวิตเรื่องนี้ไม่ได้หยุดชะงัก  ประสานงานกันไม่ดีก็ทำกันเอง ประสานงานกันในวงกว้างไม่ดีก็ทำกันในวงแคบๆ  ถ้าสามารถประสานงานกันได้ดีก็ร่วมกันทำ  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกท่านก็ก้าวข้ามมาแล้ว  ข้าพเจ้าหวังว่าต่อไปทุกท่านควรมีสติสัมปชัญญะยิ่งขึ้น ทำให้ดีในสิ่งที่พวกท่านควรจะทำ 


   การยืนยันความถูกต้องของฝ่ากับการบำเพ็ญส่วนตัวได้ก้าวมาถึงวันนี้แล้ว  ไม่ง่ายเลยจริงๆ  ทุกท่านฝึกฝนจนสุกงอมแล้ว  ที่จริงขั้นตอนของการฝึกฝนนี้  ก็คือขั้นตอนของการทิ้งใจคนไป  พูดขึ้นมาแล้ว  ทุกสิ่งที่ทุกท่านทำนั้นล้วนเชื่อมโยงกับการบำเพ็ญของแต่ละคน  หาใช่ทำเพื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเอกเทศ  หรือทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกับการเจิ้งฝ่า ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกับหน้าที่ของศิษย์ต้าฝ่า ทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกับการบำเพ็ญของท่านแต่ละคน  นี่ล้วนไม่อาจแยกออกจากกัน  ดังนั้นท่านทำอะไรล้วนจะสะท้อนเข้าไปในสภาพการบำเพ็ญของท่าน  ในการร่วมมือซึ่งกันและกันของพวกท่าน หากจิตใจไม่สงบ   โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในเวลานั้นยากที่จะคิดพิจารณาตัวเอง  ดูว่าตนเองมีสภาพอย่างไร  จุดตั้งต้นนั้นเป็นใจคนชนิดไหน   ส่วนมากคือความเห็นของตนไม่ได้รับคัดเลือกหรือมองคนอื่นไม่ขึ้น  จิตสองชนิดนี้สะท้อนออกมานั้นรุนแรงที่สุด  ข้าพเจ้ามองเห็นแล้วว่าปัจจุบันยังมีปรากฏการณ์เหล่านี้อยู่  แต่ไม่ว่าอย่างไร  การบำเพ็ญใช่ไหม  หวังว่าทุกท่านจะสามารถฝึกฝนให้สุกงอมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ   มีสติสัมปชัญญะมากขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งเหมือนกับผู้บำเพ็ญที่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ


   ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดว่า  เวลาของการเจิ้งฝ่าจะไม่ยาวนานแล้ว  สั้นมาก  ข้าพเจ้าหวังอย่างมากว่า  พวกท่านจะสุกงอมขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว  มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ทำให้เรื่องนี้จบสิ้นลงได้ในเวลาอันสั้นมาก   หากศิษย์ต้าฝ่าล้วนไม่มีสติสัมปชัญญะ  ล้วนไม่สุกงอมขึ้นมา  เอาแต่ใช้ใจคนไปทำงานอยู่เสมอ  แสดงออกมาอย่างรุนแรงเช่นนั้น  เรื่องนั้นจะจบสิ้นได้อย่างไรละ  จะพูดได้อย่างไรว่าศิษย์ต้าฝ่าบำเพ็ญได้ดีแล้ว


   ยังมีอีกนะ  การช่วยเหลือสรรพชีวิตเรื่องนี้  มีคนส่วนหนึ่งนั้นยากที่จะเร่งแข่งกับเวลา  ในขณะนี้ศิษย์ต้าฝ่าที่ทำงานก็คือคนเหล่านี้ที่กำลังทำอยู่  มีคนส่วนหนึ่งไม่ออกมา  ไม่เห็นความสำคัญ  มองเรื่องการช่วยเหลือสรรพชีวิตนี้ไม่สำคัญอะไรนัก  ที่จริง  ความรับผิดชอบทั้งหมดในฐานะที่ท่านเป็นศิษย์ต้าฝ่าก็อยู่ตรงนั้นแล้ว   ถ้าไม่ทำเรื่องการช่วยเหลือสรรพชีวิตเรื่องนี้  ท่านก็ไม่ได้บรรลุภาระหน้าที่ของศิษย์ต้าฝ่า  การบำเพ็ญของท่านก็เท่ากับศูนย์  เพราะให้ท่านเป็นศิษย์ต้าฝ่าไม่ใช่เพื่อการหยวนหมั่นส่วนบุคคลของท่าน  หากเป็นการแบกรับภารกิจที่หนัก


            ข้าพเจ้าหวังว่าต่อๆไปทุกท่านจะยิ่งเหมือนกับศิษย์ต้าฝ่า   ร่วมมือกันดียิ่งขึ้น  ทำอะไรให้คิดถึงผู้อื่น  เมื่อพบกับความขัดแย้งก็คิดพิจารณาตนเอง  คำพูดนี้ทุกท่านคงสามารถพูดได้กันทั้งนั้น  และเข้าใจกันหมด แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญก็ไม่คิดแล้ว  ในฝ่าฮุ่ยแต่ละครั้งข้าพเจ้าก็พูดคำ
พูดเหล่านี้ซ้ำๆ  กำชับทุกท่านเสมอๆ  หากทุกท่านสามารถทำได้ถึงจุดนี้  ภายในของพวกท่านไม่มีความขัดแย้ง  หากล้วนสามารถทำได้ถึงจุดนี้  เรื่องอะไรก็จะสามารถแก้ไขได้  และพวกท่านจะสามารถร่วมมือกันได้ดี


       พูดถึงผู้ที่ออกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่เข้าใจสังคมนานาชาติ  เฉพาะด้านนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า ในระยะเวลาอันสั้นพวกท่านก็จะเข้าใจ  ก็จะสามารถกลมกลืนเข้ากับสังคมนี้ได้  นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด  ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือใจคนมีมากเกินไป  แน่ละเมื่อพูดถึงใจคน  ในการยืนยันความถูกต้องของฝ่า  การช่วยเหลือสรรพชีวิต  การบำเพ็ญ  ในด้านนี้ต้องมีเจิ้งเนี่ยนที่เข้มแข็ง   ในการดำเนินชีวิตตามปกติ  ในการแสดงออกในสังคมนี้ไม่อาจจะอยู่ในลักษณะที่เหนือธรรมดา  ท่านบอกว่าพวกเราควรจะดำเนินชีวิตเหมือนกับเทพ  เดินอยู่บนถนนก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป  อากัปกิริยาในเวลาปกติก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป  นั่นก็เดินไปสู่อีกสุดขั้วหนึ่ง  ต้องบำเพ็ญให้สอดคล้องที่สุดกับสังคมคนธรรมดาสามัญ นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด  ดังนั้นต้องบำเพ็ญอย่างมีสติ  บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย   ความสัมพันธ์นี้ข้าพเจ้าว่าทุกท่านล้วนจัดได้ไม่ยาก  เวลานานเข้าก็จะทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร  คนเหล่านั้นที่ไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะ ก็มีไม่มากแล้ว


   ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม   การแสดงออกมาอย่างไม่เป็นปกติทั้งหมดในสภาพแวดล้อมของศิษย์ต้าฝ่านี้ – คือไม่มีเหตุผล  บ้าๆบอๆ   บ้างก็เจาะจงที่จะอยู่กับคนที่ไม่ก้าวหน้า  คนที่มีจิตมนุษย์มากไม่เหมือนผู้บำเพ็ญ ก่อให้เกิดผลด้านลบ  บ้างก็ยังมีการติดต่อกับสายลับเหล่านั้น  บ้างก็ยังมีพวกที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ เจาะจงก่อความวุ่นวายอยู่ในหมู่ผู้ฝึก  ข้าพเจ้าเป็นห่วงอนาคตของคนเหล่านี้จริงๆ  แต่ข้าพเจ้าคิดอยู่ว่า พอเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น  พวกเขาก็ไม่คิดถึงสภาพการณ์บำเพ็ญของตนเองแล้ว  คิดแต่ว่าคนๆนี้ไม่ดีอย่างนั้น  เขาเป็นคนอย่างไร  แต่ในเวลานั้นตนเองไม่ลองคิดดูว่า เหตุใดจึงมีคนอย่างนี้อยู่ในหมู่ศิษย์ต้าฝ่า  หรือเกิดเรื่องชนิดนี้ขึ้นมาได้อย่างไรนะ   เขามุ่งมาที่คนกลุ่มไหนโดยเฉพาะหรือเปล่านะ  หรือมุ่งมาที่จิตใจของคนกลุ่มไหนนะ     ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน  ในระหว่างการบำเพ็ญจะไม่มีเรื่องใดๆที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ   เมื่อเกิดสภาวะที่ไม่ถูกต้อง ณ ที่นี้ของพวกเราหรือพฤติกรรมของคนที่ไม่ดี  นั่นก็คือมันมุ่งมาที่ใจคนโดยเฉพาะ  พวกเราไม่ยอมรับการจัดวางของอิทธิพลเก่า หากทำไม่ดีก็จะถูกเจาะช่องว่าง   บางทีในด้านนี้จำเป็นต้องมีเรื่องชนิดนี้(เกิดขึ้นมาโดยเฉพาะ)  จึงเกิดขึ้นได้  พอเกิดเรื่องชนิดนี้ขึ้น  ทุกท่านต่างร้อนใจ  ทำไมทำให้ศิษย์ต้าฝ่าเสียหน้าได้นะ  มีคนเหล่านี้ปรากฏนะ ทุกท่านต่างไม่คิดว่า  พวกเราทำไม่ถูกต้องในด้านไหนแล้วใช่หรือไม่  ที่จริงหากตนเองเข้าใจได้จริงๆ  ทำได้ถูกต้องแล้ว คนเหล่านี้  การกระทำเหล่านี้ก็จะไม่มีแล้ว  เพราะจะไม่มีเรื่องใดๆ ที่ปรากฏออกมาในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าโดยไม่มีสาเหตุ  และไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นได้  ใครก็ไม่กล้า  ท่านอย่าได้เห็นว่าสิ่งชั่วร้ายมันชั่วร้ายอย่างไร  มันไม่กล้าทำเช่นนี้  องค์ประกอบของอิทธิพลเก่ามันกล้าแสดงบทบาทในหมู่ศิษย์ต้าฝ่านั้น  ก็เพราะท่านมีใจคนชนิดนี้  จึงจำเป็นต้องให้มีคนอย่างนี้ปรากฏขึ้น  ในด้านนี้ทุกท่านจะต้องมีสติขึ้นมา 


   เรื่องมากมายที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่คิดจะพูด  ข้าพเจ้าก็ไม่อาจพูดด้วย  หากพูดออกมาความทุกข์ยากนั้นจะยิ่งมากขึ้น   ยุ่งยากยิ่งขึ้น  เพราะพวกองค์ประกอบเก่ามันรู้สึกว่าข้าพเจ้าเปิดเรื่องนี้กระจ่างให้แล้ว  จิตมนุษย์เหล่านั้นก็ทิ้งไปไม่ได้แล้ว   ยิ่งกว่านั้นพวกมันจะทำให้คนเหล่านี้เดินไปสู่ฝั่งตรงข้ามด้วยเหตุนี้   เกิดความยุ่งยากยิ่งขึ้น  ดังนั้นพวกท่านจึงต้องก้าวข้ามมาเอง    เพราะฝ่าก็ถ่ายทอดให้กับพวกท่านแล้ว  ทุกท่านต่างก็กำลังบำเพ็ญอยู่  เรื่องอะไรก็สามารถจะแก้ไขได้ในระหว่างการบำเพ็ญ  ท่านเองตั้งใจบำเพ็ญหรือไม่  หากตั้งใจบำเพ็ญจริงๆ  อะไรก็แก้ไขได้ทั้งนั้น

 

         สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดไปนั้น  ก็คือต้องการจะบอกทุกท่าน  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรในหมู่ศิษย์ต้าฝ่า   แน่นอนว่าจะต้องมุ่งมาที่ใจของใครบางคนหรือกลุ่มคนบางกลุ่ม  เป็นอย่างนี้แน่นอน  อิทธิพลเก่านี้ก็ไม่กล้าทำลายการเจิ้งฝ่า   เนื่องจากถ้าทำลายเรื่องการเจิ้งฝ่านี้แล้ว จักรวาลก็จะไม่คงอยู่อีกแล้ว  ศิษย์ต้าฝ่ากำลังช่วยอาจารย์เจิ้งฝ่า เรื่องนี้เป็นตัวแปร  ใครก็ไม่กล้าไปทำลายจริงๆ  อิทธิพลเก่าคิดจะทำเรื่องนี้ตามที่พวกมันต้องการจะทำ ในการบำเพ็ญของพวกท่าน จะทิ้งใจคนไปได้อย่างไร  อาจารย์มีวิธีการของอาจารย์  พวกมันมีวิธีการของพวกมัน  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม  ไม่ให้พวกมันเจาะช่องว่าง  ในการบำเพ็ญต้องมองดูตัวเองให้มาก  ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร  ก่อนอื่นต้องพิจารณาตัวเอง  คิดถึงส่วนรวมที่ทำงานอยู่ในเวลานั้น ก็จะค้นพบต้นตอของปัญหาได้


   ผู้บำเพ็ญใช่ไหม  การค้นหาจากภายในนี้คือเคล็ดลับอันหนึ่ง  พระสงฆ์ในอดีตพูดกับผู้บำเพ็ญบางคนว่า “พระพุทธอยู่ในใจ” ต้องบำเพ็ญที่ใจ   ที่จริงที่เขาพูดทั้งหมดก็คือความหมายนี้  เป็นเช่นนี้จริงๆ  สังคมมนุษย์เกือบจะอยู่ศูนย์กลางของจักรวาลนี้    อยู่ตรงกลางระหว่างสสารขนาดใหญ่กับเล็ก  เมื่อมองออกไปข้างนอก ใหญ่จนไม่มีขอบ  ใหญ่จนกระทั่งไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด   ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยบอกทุกท่านว่าจักรวาลนี้ใหญ่แค่ไหน  พูดอยู่ตลอด  สุดท้ายข้าพเจ้าไม่พูดแล้ว ไม่มีทางที่จะพูดได้แล้ว  เพราะภาษาของคนก็ถึงสุดทางแล้ว  ความคิดของคนก็บรรจุเข้าไปไม่ได้แล้ว    มีเพียงความคิดของเทพจึงจะเข้าใจได้  เช่นนั้น เมื่อมองเข้าข้างใน จักรวาลนี้ก็ใหญ่ถึงระดับนั้น  ข้าพเจ้าจำได้ว่าแต่ก่อนมีภาพยนตร์อะไรเรื่องหนึ่ง  คือ มีน้ำหยดหนึ่งล่วงลงมาแล้ว  จากนั้นขยายภาพของหยดน้ำนี้ให้ใหญ่ ขยาย ๆๆๆๆๆจนใหญ่มากๆ   ก็กลายเป็นโมเลกุลของน้ำมากมาย  จากนั้น ขยายภาพของโมเลกุลหนึ่งของน้ำอีก  พบว่าโมเลกุลของน้ำนี้ประกอบด้วยอณูมากมาย  และการประกอบกันขึ้นมาของอณูเหล่านี้ก็เหมือนกับดวงดาวของจักรวาลอย่างนั้น   จากนั้นขยายภาพดวงดาวดวงหนึ่งให้ใหญ่  ก็มองเห็นอณูนั้นที่ประกอบขึ้นเป็นโมเลกุลของน้ำ  ข้างบนนั้นมีโลกอยู่  มีเมือง มีภูเขา  มีมหาสมุทร  จากนั้นก็ขยายภาพหยดน้ำฝนหยดหนึ่งที่ตกลงบนโลกนั้นให้ใหญ่ขึ้นอีก  พบว่ายังคงเป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่  ก็ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้  ไม่จบไม่สิ้น  แน่ละผู้ประพันธ์บทภาพยนตร์นั้นคงจะมีความคิดชนิดหนึ่งแบบวิทยาศาสตร์   แต่ว่าความคิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนเองจะสามารถคิดออกมาได้     ก็จะพูดถึงตัวอย่างนี้ละกัน  ที่จริงสภาพการณ์ที่แท้จริงนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าที่เขาคิดนัก  ยังใหญ่กว่าด้วย  อณูนั้นจุลทรรศน์จนถึงระดับไหน  ไม่มีทางที่จะจินตนาการได้เลย   ในเม็ดทรายเม็ดหนึ่งเป็นมิติที่กว้างใหญ่มหึมาที่ไร้ขอบเขตจำนวนนับไม่ถ้วน  ,สรรพชีวิตที่นับไม่ถ้วน ไม่มีที่สิ้นสุด  สายเต๋าพูดถึงจักรวาล ก็คือจักรวาลใหญ่  ร่างกายคนคือจักรวาลเล็ก  ไม่เพียงเท่านั้น  เมื่อเปรียบร่างกายคนกับภายนอก เหมือนว่ามีความใหญ่เล็กอย่างนี้  ที่จริงยังไม่ใช่แนวคิดนี้  ไม่ว่าจะมองสู่ภายนอกหรือภายใน  ล้วนไม่มีที่สิ้นสุด      ระดับจุลทรรศน์ของสสาร  องค์ประกอบดั้งเดิมที่ประกอบขึ้นเป็นความคิดของคน มูลเหตุของสรรพสิ่งทั้งปวง  ต้นกำเนิดที่สุดของปรากฏการณ์ทั้งปวง  ในอนาคตพวกท่านลองดูเองเถอะ  ช่างสลับซับซ้อนเหลือเกิน ไม่อาจจะพูดได้ (หัวเราะ)


          เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดว่า  การบำเพ็ญต้องค้นหาจากภายใน  ไม่ใช่เพียงสิ่งเหล่านี้  ศิษย์ต้าฝ่าอยู่บนโลก  อยู่ในที่ต่างๆกัน  ล้วนครอบคลุมระนาบที่ใหญ่อย่างยิ่ง  ก็คือว่า  ท่านอยู่บนโลกนี้  ดูไปท่านคือผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  สนามของท่านสามารถมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวท่าน  นี่คือการพูดโดยใช้ภาษาที่ตื้นเขิน ที่จริงทั่วทั้งโลกนั้น  ได้ถูกศิษย์ต้าฝ่าแต่ละคนรับเหมาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว  ดังที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้  และคนบนโลกยังสอดคล้องกับจักรวาล    ถ้าเขามาเพื่อรับฝ่า  เขาก็คือตัวแทนของสรรพชีวิตในระบบนั้น  ข้างหลังของเขามีระบบที่กว้างใหญ่  และระบบนั้นก็เหมือนกับอณูที่ประกอบกันขึ้นมา  มันก็ไม่ใช่ว่าพอถึงตรงนั้นก็ไม่มีแล้ว  และระบบนั้นของมันที่ระดับจุลทรรศน์ยิ่งกว่า ยังมีระบบที่กว้างใหญ่ที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า   อณูที่ประกอบขึ้นเป็นเทพองค์หนึ่งมีเท่าไรละ  อณูเหล่านั้นทั้งหมดยังเป็นระบบที่กว้างใหญ่มหึมาทั้งสิ้น   สูงขึ้นไปอีกก็ยังเป็นอย่างนี้  มันซ้ำแล้ว ซ้ำอีก  ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก  อย่างนี้   เช่นนั้นบนโลกก็คือคนๆหนึ่งบนโลกนี้  ศิษย์ต้าฝ่ายังไม่ใช่เพียงแค่นี้  แต่ละคนครอบคลุมระนาบหนึ่งที่ใหญ่มาก  ในนั้นรวมทั้งคนอีกมากมาย  หากใจของศิษย์ต้าฝ่าไม่มั่นคง   ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบของท่านเกิดการเปลี่ยนแปลง เวลาที่ท่านกลัว ท่านจะพบว่าสรรพชีวิตล้วนไม่ปกติแล้ว ในเวลาที่สีหน้าท่าทางของท่านแจ่มใส  ใจกว้าง เปี่ยมด้วยความหวัง  ท่านจะพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวก็จะไม่เหมือนกันแล้ว   ในการอธิบายความจริง ในการยืนยันความถูกต้องของฝ่า  ในการทำงานของพวกท่านเมื่อเกิดความยากลำบาก  ลองปรับใจตนเอง  ใช้เจิ้งเนี่ยนมาใคร่ครวญปัญหา  อาจจะได้ผลที่ดีมาก ก็ได้


   พร้อมกับการรุดไปข้างหน้าของการเจิ้งฝ่าอย่างต่อเนื่อง   ปรากฏการณ์อย่างนี้จะยิ่งชัดแจ้งยิ่งขึ้น  เพราะพลังงานของท่านแรงกล้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ  พลังของสิ่งชั่วร้ายยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ   ในเวลาที่ใจคนของท่านหนัก และยังมีการรบกวนของสิ่งชั่วร้ายกับองค์ประกอบที่ไม่ดี   ก็จะปรากฏออกมาว่า พอท่านเข้มแข็งมันก็อ่อนแอ  พอท่านอ่อนแอ  มันก็เข้มแข็ง  พร้อมกับการรุดหน้าของการเจิ้งฝ่า  องค์ประกอบที่ไม่ดีก็ยิ่งอ่อนล้าลงเรื่อยๆ  เมื่อไม่อาจเปรียบกันได้แล้ว ท่านก็จะปรากฏออกมาเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ   ในอนาคตดูซิ  ในเวลานั้น ศิษย์ต้าฝ่าก็จะยิ่งปรากฏพลังออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงจุดนี้ก็ถึงจุดสุดท้ายแล้ว  สุดท้ายของสุดท้ายแล้ว ดังนั้นในการยืนยันความถูกต้องของฝ่าของศิษย์ต้าฝ่า  ช่วยเหลือสรรพชีวิต  ท่าทีและ  สภาพความคิดของตนเอง  วิธีทำงาน  นี่ล้วนสำคัญมาก  สามารถกำหนดการเปลี่ยนแปลงบนโลกได้  คนๆหนึ่งสามารถกำหนดขอบเขตอันหนึ่ง  เช่นนั้นศิษย์ต้าฝ่าที่มากมายหนา  ศิษย์ต้าฝ่ามากมายเช่นนั้น กี่สิบล้านคน  พอความคิดนี้ขยับ  ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว


    แรกเริ่ม แม้ศิษย์ต้าฝ่าทำให้สังคมจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่มาก ---- เมื่อผู้บำเพ็ญมีมากแล้ว  คนดี เรื่องที่ดีปรากฏออกมาไม่ขาดสาย  หนังสือพิมพ์ในพื้นที่ต่างๆก็รายงานข่าวว่าศิษย์ต้าฝ่าแสดงออกอย่างไร ดีอย่างไร  วิทยุ  ทีวี ก็รายงานกัน  บทบาทด้านบวกนี้  ทำให้องค์ประกอบด้านลบทะลักออกมา   ในตรีภูมิก็คือมีการเสริมและต้านซึ่งกันและกัน   สังคมมนุษย์ไม่ใช่สังคมของเทพ  มันเป็นสังคมที่ ดีชั่วอยู่คู่กัน   รวมทั้งตัวของคนๆหนึ่งเองก็ประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบที่ดีและชั่ว 2 ชนิดในเวลาเดียวกัน  องค์ประกอบของสสารบนโลกทั้งหมดก็ใช่ ธัญพืชห้าชนิดที่ท่านกินก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นองค์ประกอบที่ประกอบเป็นตัวท่านก็เป็นสสารของมิตินี้ ในเวลาที่ท่านมีเหตุผล  ในเวลาที่แสดงออกมาดีงามมากๆ  ท่านก็คือมีจิตพุทธ  ก็คือดีงาม  ในเวลาที่คนไม่มีสติสัมปชัญญะ  หุนหันพลันแล่น  โมโหโกรธา  กระทั่งขาดเหตุผล  นั่นก็คือจิตมาร  เพียงแต่แสดงออกมาในระดับที่ต่างกันเท่านั้นเอง   ดังนั้น ในการช่วยเหลือสรรพชีวิตของพวกท่าน  ในการยืนยันความถูกต้องของฝ่า อยู่ในสภาพแวดล้อมของโลกนี้  สรรพชีวิตก็มีการแสดงออกเช่นนี้  ในขณะที่ท่านอธิบายความจริง  ก็มุ่งต่อคนที่มีความดีชั่วมากน้อยไม่เท่ากัน   ไม่ว่าจะอย่างไร  แม้ว่าโลกจะมีความดีกับความชั่วอยู่คู่กัน  แต่สังคมมนุษย์จะต้องใช้ความดีงามมาปกปักษ์รักษาไว้  แม้ว่ามนุษย์ไม่มีหลักการที่ถูกต้อง  แต่มันมีสภาวะหนึ่งที่เป็นสากล  ทุกท่านต่างยอมรับร่วมกันที่จะใช้ความดีงามมาปกปักษ์รักษา  ดังนั้นในการอธิบายความจริงจึงควรทำอย่างมีสติมีเหตุผล  ในการอธิบายความจริงของศิษย์ต้าฝ่าต้องทำให้คนเกิดการเปลี่ยนแปลง  ต้องสามารถช่วยคนๆนี้  ท่านจึงไม่อาจกระตุ้นองค์ประกอบด้านลบของคน  จะต้องเมตตา  จึงจะสามารถแก้ปัญหา  จึงจะช่วยเหลือคนๆนี้ได้


   เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็เคยพูดกับทุกท่านว่าอะไรคือความเมตตา  บางคนพูดว่าท่านมองคนๆนี้แล้วยิ้มกับเขา ท่านก็แสดงออกมาอย่างสุภาพอ่อนโยนมาก  ก็คือความเมตตา   นั่นเป็นเพียงสภาวะที่เป็นมิตรอย่างหนึ่งที่คนแสดงออกมา ความเมตตาที่แท้จริง คือผู้บำเพ็ญอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ ในขั้นตอนของการบำเพ็ญความเมตตา   ได้บำเพ็ญความเมตตาที่แท้จริงสำเร็จแล้ว ในเวลาที่อยู่ต่อหน้าสรรพชีวิต เนื่องจากท่านยังมีด้านหนึ่งของคนที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ  ดังนั้นท่านไม่อาจทำให้ส่วนที่เป็นเทพ ที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วแสดงออกมาทั้งหมด  ในเวลาที่จำเป็นท่านก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ มีสติเหมือนกับผู้บำเพ็ญ  ให้ความรับผิดชอบของตนเอง  ให้เจิ้งเนี่ยนของตนเองมาชี้นำ  จากนั้นความเมตตาที่แท้จริงของท่านจึงจะสามารถปรากฏออกมาได้  นี่คือสิ่งที่ต่างกันระหว่างผู้บำเพ็ญกับเทพ  นี่คือความเมตตากรุณา  เขาไม่ใช่ตั้งใจแสดงออกมา  ไม่ใช่การแสดงออกของความดีความชั่ว รักชอบของคน    ไม่ใช่เธอดีต่อฉันแล้วฉันก็แสดงความเมตตาต่อเธอ เขา(ความเมตตา)ไม่อาจตีค่าเป็นราคา ไม่ต้องการค่าตอบแทน  เป็นการทำเพื่อสรรพชีวิตทั้งสิ้น   ดังนั้นเมื่อความเมตตากรุณานี้ออกมา  พลังของเขาจึงไร้ที่เปรียบ องค์ประกอบอะไรที่ไม่ดีก็จะสลายสิ้น  ความเมตตากรุณายิ่งมาก  พลังนั้นก็จะยิ่งแรง  เนื่องจากในอดีตสังคมมนุษย์ไม่มีหลักการที่ถูกต้อง  ดังนั้นคนจึงไม่อาจใช้ความเมตตามาแก้ปัญหา  แต่ไหนแต่ไรมาคนล้วนแต่ใช้วิธีการยกทัพไปปราบปรามมาแก้ปัญหาของคน ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นหลักการของคน  ถ้าคนคิดจะเป็นเทพ  ก้าวออกจากสภาวะของคน  นั่นก็ต้องปล่อยวางจิตใจชนิดนี้  ต้องใช้ความเมตตากรุณามาแก้ปัญหา


   ที่จริงความเมตตากรุณาเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่  เป็นพลังงานของเทพที่ถูกต้อง  ยิ่งเมตตา กรุณา พลังงานนี้จะยิ่งใหญ่  สิ่งไม่ดีอะไรล้วนสามารถสลายไป  นี่เป็นสิ่งที่ในอดีต องค์ศากยมุนีก็ดี  ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นก็ดี ต่างไม่เคยพูดถึง   ความดีงามที่แสดงออกมายิ่งใหญ่ที่สุดคือความเมตตา กรุณา  เขาคือปรากฏการณ์ของพลังงานที่ยิ่งใหญ่  เขาสามารถทำให้ทุกสิ่งที่ไม่ถูกต้องสลายไป  แน่ละ พลังแห่งความเมตตากรุณาจะเพิ่มขึ้นตามระดับชั้นที่เพิ่มขึ้น   ดังนั้นเขาจึงกำหนดระดับชั้นที่ใหญ่กับเล็ก  พลังงานกำหนดระดับชั้นที่สูงต่ำของมรรคผล  นี่แน่นอนทีเดียว


   สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ คือจะบอกทุกท่านว่า  ในการอธิบายความจริง ช่วยเหลือสรรพชีวิตในขณะนี้สมควรทำให้ดียิ่งขึ้น  และจะทำให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร    ข้าพเจ้าก็พูดโดยล้อมรอบสิ่งเหล่านี้  ฝ่าฮุ่ยครั้งก่อน เนื่องจากได้ตอบคำถามจำนวนหนึ่งให้ทุกท่านแล้ว  ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่คิดจะพูดมาก  พูดมากขึ้นไปอีกก็ล้วนเป็นการอธิบาย “จ้วนฝ่าหลุน”  เมื่อพูดมากแล้วการใคร่ครวญของพวกท่านก็จะน้อยลง  ดังนั้นจึงไม่คิดจะพูดมาก   หลายปีมานี้ ช่วงเวลาในการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้าไม่มาก  ก็ด้วยเหตุนี้   ย่อมต้องเหลือไว้ให้พวกท่านบำเพ็ญเอาเอง  ย่อมต้องเหลือไว้ให้พวกท่านก้าวไปสู่ความสุกงอม    หากอาจารย์พูดตลอดไปจนถึงท้ายที่สุด ก็ไม่นับเป็นการบำเพ็ญของพวกท่าน  หากพบกับปัญหาใหญ่ๆข้าพเจ้าจะออกมาพูด  หากไม่มีอะไรขวางกั้นเรื่องการยืนยันความถูกต้องของฝ่า ช่วยเหลือสรรพชีวิตของทุกท่าน    ข้าพเจ้าก็จะไม่ออกมา   หากไม่ใช่มีปัญหาโดยทั่วไปของส่วนรวม ข้าพเจ้าก็จะไม่พูด     ให้พวกท่านเดินเส้นทางของท่านออกมานี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าคิด

                                                                               

          ข้าพเจ้าคิดว่า  ข้าพเจ้าพูดแค่นี้ก็แล้วกัน   ฝ่าฮุ่ยของพวกท่านยังต้องดำเนินต่อไป  ครั้งนี้ก็คือมาพบทุกท่าน ข้าพเจ้าทราบว่ามีหลายคนมาจากประเทศอื่น  ไกลไม่น้อยเลย  มาประชุมฝ่าฮุ่ย  เป้าหมายหนึ่งคือเก็บเกี่ยวประสบการณ์  เก็บส่วนดีชดเชยส่วนด้อยจากฝ่าฮุ่ย  ในการบำเพ็ญ  ในการยืนยันความถูกต้องของฝ่าเรื่องนี้  หากสามารถเดินได้ดี ทำให้ตนเองทำได้ดียิ่งขึ้น  ยังมีอีก  หลายๆคนก็อยากมาพบอาจารย์  ข้าพเจ้าทราบ(เสียงปรบมือกึกก้อง)  ข้าพเจ้าก็อยากพบทุกท่าน  ดังนั้นจึงมาแล้ว (เสียงปรบมือกึกก้อง) เอาละ  ข้าพเจ้าก็พูดเพียงเท่านี้ ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือกึกก้อง)