บรรยายธรรม ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ย เมืองหลวงสหรัฐอเมริกา

หลี่ หงจื้อ

22 กรกฎาคม ค.ศ. 2006

 

(เสียงปรบเมืองกึกก้อง)

สวัสดีทุกคน (ศิษย์ทั้งหลาย : สวัสดีท่านอาจารย์)

การประชุมครั้งนี้มีคนมาร่วมประชุมค่อนข้างมาก ผู้ฝึกมาจากพื้นที่ต่างๆ ก็มาด้วย ห้องประชุมหนึ่งห้องไม่พอใช้ จึงต้องเพิ่มห้องประชุมเป็นหลายห้อง ศิษย์ต้าฝ่าบำเพ็ญปฏิบัติมาจนถึงวันนี้ ทำให้ทุกท่านเข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้วว่าต้าฝ่าชุดนี้ที่ตัวเองบำเพ็ญนั้นคืออะไร เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถึงภาระ หน้าที่ของศิษย์ต้าฝ่า เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้นถึงความสำคัญในทุกสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าทำในทุกวันนี้ ดังนั้นในระหว่างขั้นตอนของการช่วยเหลือสรรพชีวิต ระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญส่วนบุคคล ระหว่างการยืนยันความถูกต้องของฝ่า ศิษย์ต้าฝ่าแห่งช่วงเวลาเจิ้งฝ่านับวันก็ยิ่งสุกงอมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ทำก็ทำได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในปัจจุบันก็มองเห็นจุดนี้ได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

พูดถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน กับในปีนั้นเมื่อมารร้ายเริ่มทำการการประทุษร้าย สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว การประทุษร้ายฝ่าหลุนกงของมารร้ายไม่ได้ทำให้ฝ่าหลุนกงล้มคว่ำลง พวกมันเองกลับล้มคว่ำไปเอง (เสียงปรบมือ) นี่ไม่ใช่เป็นการประทุษร้ายแบบธรรมดาๆ ต่อประชาชนกลุ่มหนึ่งของสังคมคนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่เป็นเพียงการประทุษร้ายแบบธรรมดาๆ ต่อกลุ่มผู้บำเพ็ญเท่านั้น นี่เป็นการประลองฝีมือ(ต่อสู้)กันระหว่างความถูกต้องและความชั่วร้าย(ธรรมะและอธรรม)ในจักรวาล  นี่ก็เป็น การประชันกันระหว่างชีวิตเหล่านั้นที่เบี่ยงเบนไป ซึ่งทำเพื่อตัวเอง เพื่อตัวฉัน กับการดำเนินการของการเจิ้งฝ่า สิ่งต่างๆที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในระหว่างขั้นตอนของการเจิ้งฝ่า ข้าพเจ้าเคยพูดก่อนหน้านี้แล้วว่า การเจิ้งฝ่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จ ใครก็ไม่อาจจะขัดขวางได้ (เสียงปรบมือ) นี่ไม่ใช่เป็นปัญหาในเรื่องการบำเพ็ญที่ธรรมดาๆ นี่ไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาในเรื่องการแสดงออกของฝ่าหลุนกงในสังคมคนธรรมดาสามัญ ในรูปแบบของกลุ่มคนที่มีจิตใจดีงามมากๆ เท่านั้น นี่เป็นภาพย่อส่วนของการเจิ้งฝ่าแห่งจักรวาลในสังคมคนธรรมดาสามัญ นี่เป็นทุกสิ่งของจักรวาลซึ่งปรากฏรวมศูนย์อยู่ในสังคมธรรมดาสามัญ  จากปรากฏการณ์ในสังคมคนธรรมดาสามัญ พวกเราก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ของการเจิ้งฝ่าแห่งจักรวาลทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่กว้างใหญ่ ไม่สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างอกสั่นขวัญหาย เหมือนจักรวาล นั่นเป็นปรากฏการณ์ของการประลองฝีมือ(ต่อสู้)กันระหว่างความถูกต้องและความชั่วร้าย(ธรรมะและอธรรม)ชนิดนี้ที่ย่อส่วนมาถึงสังคมมนุษย์ การรบกวนที่ก่อผลโดยชีวิตที่เบี่ยงเบนไปในขั้นตอนของการเจิ้งฝ่าเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้

ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดประโยคหนึ่ง ข้าพเจ้าพูดว่า : “สวรรค์จะเปลี่ยนแปลง ใครก็ไม่อาจจะขัดขวาง” (เสียงปรบมือ) นับประสาอะไรกับเจ้าพรรคมารเล็กๆล่ะ อะไรก็ไม่ใช่ ถ้าวันนี้การบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่าสิ้นสุดแล้ว จะช่วยเหลือคนจำนวนมากเท่านี้ คนในโลกที่จะช่วยก็มีจำนวนมากเท่านี้แล้ว ทั้งหมดสิ้นสุดลง ณ ตรงนี้ เช่นนั้น ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน พรรคมารก็ล่มสลาย (เสียงปรบมือ) เพราะจุดประสงค์ที่มันดำรงอยู่  ประวัติศาสตร์จัดสร้างมันขึ้นมาในระยะแรก ตลอดจนขั้นตอนในการค้ำจุน(มัน) ล้วนเพื่อให้ศิษย์ต้าฝ่าได้ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องของฝ่าในวันนี้ นี่คือสิ่งที่อิทธิพลเก่าจัดเตรียมเอาไว้ เมื่อไม่มีประโยชน์แล้วยังจะต้องการมันเอาไว้เพื่ออะไร อยู่ในจักรวาลมันไม่ใช่อะไรเลย มีแต่การบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่า การช่วยเหลือสรรพชีวิต นี่เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน มีแต่การยกระดับของศิษย์ต้าฝ่า มีแต่การก่อตั้งธรรมานุภาพของศิษย์ต้าฝ่าในขั้นตอนอันนี้ นั่นเป็นเรื่องจริงแท้ตลอดกาล นั่นเป็นการทำเพื่ออนาคต นอกนั้นนับเป็นอะไรไม่ได้  ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ในช่วงเวลานี้ทุกสิ่งที่ก่อผลในการรบกวน ล้วนจะต้องดับสลายไปทั้งหมดในระหว่างการชดใช้

แน่นอนในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ ระหว่างขั้นตอนของการยืนยันความถูกต้องของฝ่า ทุกสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าแสดงออกมา นั่นก็กล่าวได้แต่เพียงว่าเป็นพฤติกรรมในสภาพการณ์ของการบำเพ็ญ ในระหว่างขั้นตอนนี้ มันย่อมมีบางคนที่ทำได้ดี บางคนที่ทำด้อยไปสักหน่อย บางคนที่หวั่นไหวไม่มั่นคง แน่นอนก็มีบางคนที่แน่วแน่อย่างยิ่ง ดีมากๆ นี่ล้วนเป็นการแสดงออกในระหว่างขั้นตอนนี้ การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ กับรูปแบบการบำเพ็ญในอดีตเหล่านั้น การทดสอบซินซิ่งของบุคคลนี่ก็แตกต่างกัน  รูปแบบการบำเพ็ญเหล่านั้นในอดีต ทุกท่านล้วนทราบดี ไม่ว่าจะอย่างไร ในระหว่างการบำเพ็ญ การทดสอบซินซิ่งของพวกเรา นั่นล้วนเป็นปัญหาของแต่ละคน ปัจจุบันแตกต่างกัน ฝ่านั้นใหญ่ จุดประสงค์ที่สำคัญคือการเจิ้งฝ่าแห่งจักรวาล สภาพการบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่าที่แสดงออกมา กับการบำเพ็ญในอดีตที่มีเป้าหมายอยู่ที่การหยวนหมั่นของบุคคลชนิดนั้น เป็นเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว ข้าพเจ้าพูดว่าการบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่า ก็คือรูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้ที่ต้องให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด และเป็นการบำเพ็ญที่สอดคล้องกับรูปแบบของคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุดด้วย เช่นนั้นการบำเพ็ญที่สอดคล้องกับรูปแบบของคนธรรมดาสามัญชนิดนี้ ย่อมนำมาซึ่งสภาพของการบำเพ็ญอย่างนี้ สภาพของการบำเพ็ญอันนี้ ล้วนแตกต่างกับรูปแบบของการบำเพ็ญ สภาพของการบำเพ็ญชนิดใดๆ ในประวัติศาสตร์ จะอ้างอิงรูปแบบการบำเพ็ญชนิดใดๆ วิธีการบำเพ็ญชนิดใดๆ ก็ไม่อาจจะอ้างอิงได้ เพราะในประวัติศาสตร์ล้วนไม่เคยมีมาก่อน และไม่เคยมีการเจิ้งฝ่า เรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยทำได้สำเร็จมาก่อนในการสร้างสรรค์กลุ่มชีวิตที่มากมายขนาดนี้และเรื่องของมรรคผลที่สูง ขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ  ไม่เคยมีคนบำเพ็ญได้สำเร็จมาก่อน ที่บำเพ็ญสำเร็จเหล่านั้นล้วนแต่เป็นจิตรอง แต่เรื่องที่คนจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นเทพนั้น ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ดังนั้นการใช้รูปแบบการบำเพ็ญชนิดใดๆ ในอดีตล้วนไม่อาจจะเทียบเคียงได้  สภาพแวดล้อมอันนี้ที่ศิษย์ต้าฝ่าอยู่ ในขั้นตอนการบำเพ็ญ ก็จะมีเรื่องที่พวกเราที่ร่วมมือประสานงานซึ่งกันและกันได้ดี ร่วมมือประสานงานซึ่งกันและกันได้ไม่ดี บางครั้งมีสภาพของความขัดแย้งปรากฏออกมาไม่หยุดหย่อน และในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าด้วยกัน การยกระดับซึ่งกันและกันก็สามารถแก้ไขกันได้ แต่ความขัดแย้งยังมีปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง บางเวลาแสดงออกมารุนแรงมาก บางเวลาแสดงออกมาไม่รุนแรง บางครั้งในขั้นตอนของการบำเพ็ญ หลังจากดำเนินต่อเนื่องได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีก กลับไปกลับมาเอาแน่ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาใหม่อีก ปรากฏความขัดแย้งขึ้นมาใหม่อีก กระทั่งปรากฏเด่นชัดยิ่งกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นก็จะมีบางคนคิด : โอ้ บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาทำไมความขัดแย้งยังรุนแรงขนาดนี้ บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาทำไมยังมีความขัดแย้งอีก บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาดูเหมือนยังแย่กว่าเมื่อก่อนนี้อีก บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาทำไมไม่เห็นจะยกระดับสูงขึ้นเลย หลายๆ คนมีความคิดแบบนี้ ที่จริงเป็นความเข้าใจที่ผิดแบบหนึ่ง นี่เป็นความไม่เข้าใจอย่างแท้จริงต่อรูปแบบการบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่า

ข้าพเจ้ากำหนดให้ศิษย์ต้าฝ่าบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ เรื่องนี้แม้จะเปิดทางที่สะดวกที่สุด บำเพ็ญสำเร็จเป็นเทพ เป็นพุทธะโดยไม่ต้องตัดขาดจากสังคมโลก แต่ทุกท่านทราบ การแสดงออกแต่ละชนิดเมื่อจิตมนุษย์(จิตยึดติด)ของสังคมคนธรรมดาสามัญนี้  เกิดขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในสภาพที่มนุษย์อยู่ท่ามกลางสภาพความเป็นจริงของสังคม ท่ามกลางความตกต่ำสูญสิ้นของคุณธรรม ก่อเกิดเป็นความยากลำบากที่ใหญ่มาก ไม่เพียงสิ่งเหล่านี้ มองดูในสายตาของเทพ ที่นี่น่าหวาดกลัว อันตรายและสกปรก ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยกรรม บนร่างกายคน มีกรรมมากเสียจนกระทั่งร่วงหล่นลงมาเวลาก้าวเดินไปบนถนน มารร้ายแห่งความรักความผูกพัน(ฉิง) ผีชั่วร้ายก็อยู่เต็มโลกมนุษย์ ล้วนแต่เป็นสสารชั้นต่ำที่สุดซึ่งเบี่ยงเบนไป เช่นนั้นสภาพแวดล้อมอย่างนี้กล่าวสำหรับการบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบว่าท่านจะสามารถยกระดับได้หรือไม่ในสภาพแวดล้อมที่ท่านอยู่นี้เท่านั้น (สภาพแวดล้อมนี้)ก็จะทำให้ส่วนนั้นที่ท่านบำเพ็ญสำเร็จแล้วหลังจากที่ท่านได้ยกระดับสูงขึ้นแล้ว ปนเปื้อนอย่างหนัก นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นจะบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆ ปนเปื้อนกันไปเรื่อยๆ ต่อไป บำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆ ปนเปื้อนกันไปเรื่อยๆ ต่อไป เช่นนี้จะบำเพ็ญสำเร็จได้ไหม ไม่อาจบำเพ็ญสำเร็จได้ ดังนั้นเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ากำหนดวิธีบำเพ็ญปฏิบัติแบบนี้ก็ได้คำนึงถึงจุดนี้ ในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ เพียงแต่ผู้บำเพ็ญ  บำเพ็ญเสร็จแล้วส่วนหนึ่ง เขตแดนของเขายกระดับสูงขึ้นมาแล้ว ข้ามด่านนั้นไปแล้ว (ส่วนนั้น)ก็จะแยกออกไปทันทีโดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา (เสียงปรบมือ) ไม่ติดต่อสัมพันธ์กับโลกมนุษย์อีกต่อไป ถูกแยกออกไปแล้วโดยมิติและเวลาอันมหึมา เช่นแยกออกไปอยู่นับร้อยๆ ล้านปี พันๆ ล้านปีภายหลังแล้ว ท่านจะปนเปื้อนเขาอย่างไร โดยมูลฐานไม่อาจแตะต้องถึงเขาได้ มันอาจจะใกล้แค่ลัดนิ้วเดียว แต่ความเหลื่อมล้ำของเวลาและมิติอันมหึมาทำให้มิตินี้ไม่สามารถรบกวนส่วนที่ศิษย์ต้าฝ่าบำเพ็ญเสร็จ แล้วแม้แต่น้อยได้อีกเลย ข้าพเจ้าก็อธิบายในความหมายอย่างนี้    จะแยกออกไป ดังนั้นเมื่อมีส่วนที่บำเพ็ญเสร็จแล้วเรื่อยๆ ก็จะแยกออกไปเรื่อยๆ มีส่วนที่บำเพ็ญเสร็จแล้วเรื่อยๆ ก็จะแยกออกไปเรื่อยๆ ขณะที่ส่วนนี้ที่บำเพ็ญยังไม่เสร็จ ก็กำลังบำเพ็ญอยู่โดยตลอด บำเพ็ญจนกระทั่งสุดท้ายไม่มีอะไรเหลือเลย บำเพ็ญสำเร็จทั้งหมด นี่ก็คือเส้นทางการบำเพ็ญที่พวกท่านต้องเดิน

เช่นนั้นในขั้นตอนอย่างนี้ ทุกท่านลองคิดดู การแสดงออกของท่านในสังคมคนธรรมดาสามัญ ส่วนที่บำเพ็ญยังไม่สำเร็จยังคงเป็นคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่ ใช่หรือไม่ คนกำลังบำเพ็ญอยู่ก็จะมีความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ คนกำลังบำเพ็ญอยู่ ก็จะมีความคิดที่ไม่ดีต่างๆ ของมนุษย์ หรือเป็นสิ่งที่บ่มเพาะจากกาลเวลา หรือเกิดจากการปนเปื้อนใหม่ๆ ที่ได้รับในสังคม เช่นนั้นกล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญ อย่างไรจึงจะนับว่าเป็นการบำเพ็ญ สามารถทำในสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าควรทำ เช่นงานเกี่ยวกับการยืนยันความถูกต้องของฝ่า การช่วยเหลือสรรพชีวิตเป็นต้น นี้อยู่ในส่วนของความรับผิดชอบ นี้เป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้งธรรมมานุภาพ ในขณะที่การยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าท่านไม่ยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น งานเหล่านั้นท่านก็จะทำได้ไม่ดี ดังนั้นท่านต้องเข้มงวดกวดขันต่อตัวเอง ค้นหาความบกพร่องของตัวเอง กำจัดมันทิ้งไปอย่างต่อเนื่อง เช่นนี้ท่านก็คือกำลังบำเพ็ญอยู่ ในการข้ามด่านท่านสามารถเข้าใจสิ่งหนึ่ง ท่านเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ทำได้ดีแล้ว ท่านก็เลื่อนระดับแล้ว เลื่อนระดับก็แยกออกไป เลื่อนระดับอีกก็แยกออกไปอีก แต่ส่วนที่เหลืออยู่ก็คือส่วนที่บำเพ็ญได้ไม่ดี และเป็นส่วนที่บำเพ็ญยังไม่เสร็จ ดังนั้นส่วนนี้ยังคงอยู่โลกมนุษย์ ทุกท่านลองคิดดู ดูจากภายนอก ดูเหมือนคนคนนี้กำลังบำเพ็ญอยู่ตลอด ใช่หรือไม่ บำเพ็ญกันอย่างไร มองไม่เห็นเขาก้าวหน้ามากขึ้นเลยละ ทำไมจึงไม่สามารถสำแดงความเป็นเทพออกมาละ คนที่บำเพ็ญได้ดี จากภายนอกเห็นเพียงแต่ว่าคนคนนี้ค่อนข้างก้าวหน้ามุมานะ ก้าวหน้ามุมานะนั่นกล่าวได้ว่า เขาสามารถระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตัวเองทุกเวลานาที สนใจกับการสะท้อนทางความคิดของตัวเอง สามารถเข้มงวดกับตัวเอง สามารถเข้มงวดกับตัวเองอยู่เสมอ นี่ก็คือคนที่ค่อนข้างก้าวหน้ามุมานะในการบำเพ็ญส่วนบุคคล เพียงแต่ยังกำลังบำเพ็ญอยู่ ด้านนั้นที่เป็นเทพก็ไม่อาจข้ามมาได้ ท่านจึงมองไม่เห็นเทพสำแดงออกมาจริงๆ ในสังคมมนุษย์ การบำเพ็ญปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการรับประกันว่าส่วนที่บำเพ็ญเสร็จแล้วฝั่งนั้นไม่ถูกปนเปื้อนอีก และเป็นการรับประกันว่าการอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแห่งวังวน(โลกมนุษย์) มองไม่เห็นความเป็นจริง ยังสามารถบำเพ็ญต่อไปได้ เป็นการรับประกันว่าศิษย์ต้าฝ่าสามารถยืนยันและบรรลุมรรคผลที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกัน ยังเป็นการรับประกันว่าในช่วงเวลานี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์เพราะการชนกระแทกจากด้านนั้นของเทพ เมื่อคนสามารถยืนหยัดไม่ย่อท้ออย่างนี้ ไม่ย่อหย่อน อยู่ท่ามกลางการประทุษร้าย อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ทารุณโหดร้าย สามารถบำเพ็ญ สามารถก้าวหน้ามุมานะ กระทั่งสามารถช่วยเหลือสรรพชีวิต ทำได้ดียิ่งขึ้น นี่ไม่ใช่ยอดเยี่ยมหรอกหรือ

นี่ก็คือสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าเผชิญในวันนี้ อีกทั้งเป็นรูปแบบการบำเพ็ญปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นจากการรบกวนโดยอิทธิพลเก่าเป็นต้น ดังนั้นระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญของท่าน เพียงแต่ด้านนั้นที่บำเพ็ญเสร็จแล้วข้ามไปแล้ว แยกออกไปแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านบำเพ็ญได้ไม่ดียังจะสะท้อนออกมา จิตยึดติดยังจะสะท้อนออกมาอีก องค์ประกอบที่ไม่ดี ยังจะสะท้อนออกมา เมื่อความขัดแย้งปรากฏ ไม่อาจจะพูดว่าศิษย์ต้าฝ่าบำเพ็ญได้ไม่ดี และไม่อาจจะพูดว่ากลุ่มผู้บำเพ็ญเป็นอย่างไรอย่างไร และไม่อาจจะพูดว่าแต่ละคนไม่ก้าวหน้ามุมานะ ด้านนั้นที่บำเพ็ญเสร็จแล้วของเขา ท่านก็จะมองไม่เห็นตลอดไป ด้านนั้นเป็นเทพแล้ว ส่วนที่บำเพ็ญได้ไม่ดีฝั่งนี้ จึงจะมีการสะท้อนออกมา แต่คนเหล่านี้กำลังบำเพ็ญอยู่จริงๆ ไม่เพียงแต่บำเพ็ญ พวกเขาได้สถาปนามรรคผลอันยิ่งใหญ่ของตนเองตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงในทั่วทั้งร่าง กาย หลายๆ ส่วนของร่างกายสำเร็จเป็นเทพแล้ว คนธรรมดาสามัญสามารถเปรียบเทียบกับศิษย์ต้าฝ่าเหล่านี้ได้หรือ ไม่อาจจะเปรียบเทียบได้

พูดถึงแต่สภาพการณ์ของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว ก็แตกต่างจากความขัดแย้งในสังคมคนธรรมดาสามัญ ศิษย์ต้าฝ่า เนื่องเพราะเพื่อการบำเพ็ญ จึงมีความขัดแย้งปรากฏ เนื่องเพราะเพื่อการยืนยันความถูกต้องของฝ่าจึงเกิดความขัดแย้ง ถึงแม้ข้างในจะมีจิตยึดติด จิตโอ้อวด จิตยึดติดของแต่ละคน องค์ประกอบเหล่านั้นของมนุษย์ที่จะยืนยันตัวเอง แต่พวกเขาก็รู้ ทันทีที่ค้นพบ พวกเขาก็จะแก้ไข นี้แตกต่างจากคนธรรมดาสามัญโดยสิ้นเชิง ดังนั้นในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าจะมีความขัดแย้ง และความขัดแย้งชนิดนี้ก็กำลังก่อผลอีกแบบหนึ่ง ก็คือเมื่อความขัดแย้งเรื่องนี้เกิดขึ้น ก็จะกระทบถึงคนอื่น และคนอื่นก็จะสังเกตเห็น ก็จะทำให้ความขัดแย้งเรื่องนี้รุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ตัวผู้บำเพ็ญสนใจ ท่ามกลางความขัดแย้ง ขอแต่เพียงสามารถค้นหาที่ตัวเองก็จะสามารถค้นพบความบกพร่องของตัวเอง หากไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ความขัดแย้งเรื่องนี้ไม่ปรากฏขึ้นมา ท่านก็ไม่อาจจะค้นพบจิตยึดติดของท่านได้ มองไม่เห็นจิตยึดติดของท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างสงบราบเรียบ เช่นนั้นสามารถจะบำเพ็ญได้หรือ

ปัจจุบันมีองค์กรศาสนาหลายๆ องค์กรกล่าวว่า โอ้ ดูซิที่ตรงนี้ของเราดีแค่ไหน พวกเราต่างรักและห่วงใยซึ่งกันและกัน รักอะไรหรือ (ที่ประชุมหัวเราะ) รักความยึดติด รักความสุขสบายในโลกมนุษย์ รักที่จะคงรักษาความนุ่มนวลอ่อนโยนในแบบของมนุษย์ระหว่างคนด้วยกัน นั่นเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติหรือ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน นั่นเป็นได้แต่ร่มที่ปกป้องกำบังจิตยึดติด ข้าพเจ้าหวังว่าความขัดแย้งระหว่างศิษย์ต้าฝ่า – ยิ่งมีน้อยยิ่งดี ความขัดแย้งประเภทนั้นยิ่งมีน้อยยิ่งดี คือเพราะพวกเราต่างสามารถค้นหาจากภายใน เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นก็รู้สึกได้ และแล้วปรากฏเป็นสภาวะแวดล้อม ข้าพเจ้าหวังเช่นนี้ สามารถทำเช่นนี้ได้ทั้งหมดเป็นการดีที่สุด แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ ทำไม่ได้ก็คือกำลังบำเพ็ญอยู่ เพียงแต่ว่าในสภาวะแวดล้อมนี้ (พวกเขา)ยังก้าวหน้ามุมานะไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็กำลังบำเพ็ญอยู่ นี่ก็คือสภาวะของการบำเพ็ญสภาพแวดล้อม ณ ขั้นตอนปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านอีกครั้ง มีความขัดแย้งปรากฏไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว บำเพ็ญให้ดีเป็นใช้ได้ แม้แต่คนเหล่านั้นในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ทำได้ไม่ดี หรือทำได้ไม่ดีพอ กระทั่งได้ทำในเรื่องที่ไม่ดี ก่อนที่เรื่องนี้จะสิ้นสุดลง ล้วนเป็นการสะท้อนแบบหนึ่งของการบำเพ็ญส่วนบุคคล แต่เวลาไม่คอยใคร โอกาสนับวันมีแต่จะน้อยลง

คนจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นเทพ ในขั้นตอนนี้ของการกำจัดจิตยึดติดชนิดคว้านหัวใจและทะลวงให้เข้าไปถึงกระดูก ทุกท่านลองคิดๆ ดู คนจะแสดงอะไรออกมาบ้าง อะไร(เขา)ก็อาจจะแสดงออกมาได้ สำนึกได้แล้ว สามารถแก้ไข ทำไมจึงสามารถแก้ไข ไม่ใช่สามารถจะแก้ไขเพื่อให้คนธรรมดาสามัญเป็นคนดี แต่แก้ไขเพื่อให้บำเพ็ญหยวนหมั่น (เสียงปรบมือ) นั่นก็คือความศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือกำลังก้าวเดินอยู่บนหนทางแห่งเทพ นี้แตกต่างจากความขัดแย้งใดๆ ของคนธรรมดาสามัญ รูปแบบภายนอกไม่แตกต่างกัน แต่จุดเริ่มต้น กับเป้าหมายล้วนแตกต่างกัน กระทั่งการแสดงออกในระหว่างขั้นตอน สภาพ ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว ดังนั้นพวกเราจะต้องมองให้ถึงจุดนี้ ในเมื่อวันนี้ข้าพเจ้ากำลังจะอธิบายรูปแบบของการบำเพ็ญ และสภาพของการบำเพ็ญให้พวกท่านเข้าใจขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ในการร่วมมือระหว่างผู้ฝึกด้วยกัน พวกท่านก็อย่าได้มีจิตระแวดระวังผู้อื่น (เสียงปรบมือ) การกล่าวโทษซึ่งกันและกัน การผลักไสซึ่งกันและกันด้วยจิตยึดติด สภาวะจิตต่างๆ ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ล้วนเป็นจิตยึดติดที่เกิดขึ้นใหม่จากการไม่เข้าใจในสภาพของการบำเพ็ญ จิตยึดติดนี้โดยตัวมันเองก็คืออุปสรรคอันมหึมาต่อการบำเพ็ญก้าวหน้าของท่าน ดังนั้นจิตยึดติดชนิดนี้ก็ต้องกำจัดทิ้งไป

ในการบำเพ็ญของผู้ฝึกจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย จิตยึดติดต่างๆ นานา ที่ปล่อยวางไม่ได้ สภาพแวดล้อม(การบำเพ็ญ) สภาวะก็จะไม่ดี ในทางตรงกันข้ามก็จะดีอย่างยิ่ง เมื่อปัญหาเอย ความขัดแย้งเอย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ตัวเองไม่ไปค้นหาจากภายใน ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรง นั่นเป็นเพราะจิตยึดติดของตัวเองทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรง บางปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แท้จริงแล้วเป็นเพราะตัวเองไม่บำเพ็ญให้ดี จนกระทั่งไม่อาจจะแก้ไขได้แล้ว ตัวเองก็ถูกสภาวะนี้รบกวน จะทำอย่างไร ไปหาอาจารย์กัน แต่ละครั้งล้วนแต่ทำกันจนไม่ไหวแล้วก็ไปหาอาจารย์ ทุกครั้งล้วนแต่แก้ไขไม่ได้แล้ว หรือไม่อยากจะสะสางแล้วก็ไปหาอาจารย์ พวกท่านกำลังช่วยอาจารย์บำเพ็ญอยู่หรือ (อาจารย์หัวเราะ) (ที่ประชุมหัวเราะ) หรือตัวเองกำลังบำเพ็ญอยู่ (เสียงปรบมือ)

การบำเพ็ญปฏิบัติคือการบำเพ็ญตนเอง ไม่ว่าจะปรากฏสภาวะอะไรล้วนต้องใคร่ครวญที่ตัวเอง ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน กล่าวสำหรับคนธรรมดาสามัญ เมื่อประสบกับปัญหาเขาสามารถจะใคร่ครวญที่ตัวเอง คนคนนี้จะคือนักปราชญ์ของคนธรรมดาสามัญ เมื่อศิษย์ต้าฝ่าทำสิ่งใดและประสบกับความยากลำบากจำเป็นต้องคิดไตร่ตรอง ต้องเริ่มค้นหาจากที่ตัวเอง สอดประสานกับสภาวะแวดล้อมตามความต้องการของศิษย์ต้าฝ่าและการเจิ้งฝ่า ปัญหาเกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเองเกิดปีนเกลียวกับหลักการของฝ่า ลองค้นหาต้นตอของปัญหา แล้วคลายเกลียวออก จัดให้คล้อยตามในทิศทางเดียวกัน วิธีที่ดีที่สุดคือเมื่อประสบกับเรื่องอะไรอย่ามุ่งชนไปข้างหน้า แย่งชิงที่จะล้ำหน้า รีบเร่งหาข้อสรุป ให้ปล่อยวางจิตใจ ถอยหลังมาหนึ่งก้าว แล้วไปแก้ไข(เสียงปรบมือ) พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะต้องหาว่าท่านถูกหรือฉันถูก นี่เป็นปัญหาของท่าน นี่เป็นปัญหาของเขา ฉันจัดการอย่างไรอย่างไร มองดูแล้วเหมือนกำลังแก้ไขความขัดแย้ง แท้จริงแล้วไม่ใช่แม้แต่น้อย มองดูมีเหตุมีผล ที่จริงไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย ท่านไม่ได้ก้าวถอยมาหนึ่งก้าว ไม่ได้ปล่อยวางจิตใจลงมาไตร่ตรองปัญหาแต่อย่างใด การมองดูความขัดแย้งโดยการถอยออกมาจากความขัดแย้งอย่างสุขุมเยือกเย็นและจิตสงบ นั่นจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง

เมื่อประสบกับเรื่องอะไรก็สามารถปฏิบัติเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดท่านก็สามารถค้นพบหนทางในการแก้ไขปัญหา ไม่เช่นนั้นท่านจะแก้ไขอย่างไรล่ะ มุ่งแต่ชนไปข้างหน้า ยิ่งคิดอยากจะแก้ไข  ก็ยิ่งไม่อาจจะแก้ไขได้ แท้จริงแล้วท่านไม่ได้ปล่อยวางจิตใจดวงนั้นของท่านลงมาเลย แย่งชิงที่จะล้ำหน้า จะต้องแจกแจงว่าใครถูกใครผิดให้จงได้ ถึงแม้ตัวเองผิดก็จะต้องหาความผิดของผู้อื่นออกมาให้จงได้ ดังนั้นปัญหาจึงแก้ไขไม่ได้ หลายต่อหลายเรื่องล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่อาจจะแก้ไขได้แล้วก็จะต้องไปหาอาจารย์ หลายๆ ครั้งข้าพเจ้าไม่อยากจะพบหน้าผู้ฝึกเพราะมีมูลเหตุ ที่จริงข้าพเจ้ายินดีที่จะอยู่กับพวกท่านอย่างยิ่ง (เสียงปรบมือ) ในสังคมเช่นทุกวันนี้ ทุกท่านมองเห็นแล้ว คนในสังคมนี้เปลี่ยนเป็นเช่นไรแล้ว โดยแท้จริงข้าพเจ้าไม่อยากจะเห็นจิตใจและพฤติกรรมอันสกปรกของพวกเขาเลย ข้าพเจ้าอยากจะติดต่อกับศิษย์ต้าฝ่ามากกว่า แต่พอข้าพเจ้าติดต่อกับพวกท่าน พวกท่านก็นำเอาปัญหาต่างๆ นานาขึ้นมา (ที่ประชุมหัวเราะ) ผลักสิ่งต่างๆ ที่พวกท่านสมควรต้องบำเพ็ญในขั้นตอนการบำเพ็ญปฏิบัติทั้งหมดมาให้ข้าพเจ้า จึงหมดปัญญาและก็ไม่กล้าพบหน้าพวกท่าน (ที่ประชุมหัวเราะ)

ถ้าพวกท่านต่างสามารถค้นหาจากภายใน หลายๆ ปัญหาก็ล้วนสามารถจะแก้ไข และก็จะไม่มีความขัดแย้งมากมายเช่นนั้น และจะไม่มีเรื่องราวสะท้อนออกมารุนแรงขนาดนั้น แต่อาจารย์ก็ได้แต่พูดอย่างนี้ ถึงอย่างไรยังคงเป็นคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่ แม้ว่าศิษย์ต้าฝ่าก้าวผ่านหนทางที่ยาวไกลขนาดนี้มา บำเพ็ญมาถึงทุกวันนี้ แต่ถึงอย่างไรยังคงเป็นคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่ บำเพ็ญเสร็จแล้วส่วนนั้นเป็นเทพไปแล้ว แยกออกไปแล้ว ดังนั้นยังคงมีจิตมนุษย์แสดงออกมาอีก กระทั่งมีผู้ฝึกบางคนถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์ ฉันบำเพ็ญมาเป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว ความคิดที่ไม่ดีของฉันทำไมยังคงรุนแรงเช่นนี้ล่ะ ยังขจัดทิ้งไปไม่ได้ล่ะ ใช่ เมื่อท่านยังบำเพ็ญไม่เสร็จ ท่านก็อยู่ท่ามกลางมลภาวะนี้ เมื่อท่านยังบำเพ็ญไม่เสร็จ องค์ประกอบเก่าของท่านยังกำจัดทิ้งไปไม่หมดสิ้น ท่านก็จะสะท้อนออกมา เมื่อหมดสิ้นทั้งหมดแล้ว จึงจะไม่มีปัญหา ถึงแม้ข้าพเจ้าจะพูดเช่นนี้ ใครก็อย่าได้มีจิตใจที่ผ่อนปรนนะ รู้สึกว่า อ้อ ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นฉันไม่กลัวแล้ว (ที่ประชุมหัวเราะ) เช่นนั้นมันจะสะท้อนออกมาก็ปล่อยให้มันสะท้อนออกมาเลย ฉันไม่สนใจแล้ว ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้! การบำเพ็ญปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ถ้าท่านไม่สามารถยับยั้งมัน ไม่ค้นหาจากภายใน เมื่อพบกับความขัดแย้งไม่ค้นหาสาเหตุที่ตัวเอง ท่านไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ไม่กำจัดจิตยึดติด ท่านก็จะไม่มีส่วนที่บำเพ็ญเสร็จ ส่วนที่สำเร็จเป็นเทพส่วนนั้น ก็ไม่ถือว่าท่านบำเพ็ญปฏิบัติ ดังนั้นท่านต้องบำเพ็ญส่วนที่ยังบำเพ็ญไม่เสร็จต่อไป บำเพ็ญส่วนนั้นให้สำเร็จเป็นเทพ บำเพ็ญให้ดี เข้มงวดกวดขันกับตัวเอง นี่จึงจะเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นบำเพ็ญปฏิบัติเพื่ออะไร

ทุกท่านทราบ มีศาสนาต่างๆ มากมายเดินมาถึงช่วงธรรมะปลาย ไม่ใช่มนุษย์อยากจะทำเช่นนี้จริงๆ เป็นเพราะมนุษย์สับสนไปแล้ว มนุษย์ถือเอาการทำงานเป็นการบำเพ็ญ มนุษย์ถือเอาการปกป้องรูปแบบของศาสนาเป็นการบำเพ็ญ ที่จริงโดยมูลฐานเทพไม่เห็นความสำคัญในสิ่งเหล่านี้เลย เห็นการยกระดับจิตของคนเป็นเรื่องที่สำคัญเท่านั้น นั่นจึงจะเป็นการยกระดับอย่างแท้จริง ในขณะที่สภาพแวดล้อมเป็นเพียงสถานการณ์แบบหนึ่งที่จะอำนวยให้ผู้บำเพ็ญและคนที่เชื่อถือพระพุทธ เชื่อถือเทพสามารถยกระดับร่วมกัน สามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันแบบหนึ่ง เหมือนกับศิษย์ต้าฝ่าจัดประชุมฝ่าฮุ่ยอยู่ด้วยกัน ศิษย์ต้าฝ่าศึกษาฝ่า แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ฝึกพลังกงอยู่ด้วยกัน ศิษย์ต้าฝ่ามีสภาพแวดล้อม(โอกาส)อย่างนี้ค่อนข้างน้อย แต่นี่ก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถศึกษาและแก้ไขข้อบกพร่องซึ่งกันและกันด้วยกันได้ โอกาสและเวลาที่ใช้อยู่ในสังคมจะมีมากกว่า และความขัดแย้งที่ประสบโดยมากก็แสดงออกมาในแบบของสังคมคนธรรมดาสามัญ ก็เป็นรูปแบบของการบำเพ็ญแบบหนึ่งเช่นนี้ นี่ไม่อาจจะบอกว่าพวกท่านบำเพ็ญได้ไม่ดี และไม่อาจจะพูดว่าศิษย์ต้าฝ่าไม่ก้าวหน้ามุมานะ ความขัดแย้งย่อมมี สิ่งสำคัญคือจะจัดการกับมันอย่างไร

เมื่อครู่ ได้อธิบายเรื่องนี้ให้กับพวกท่านละเอียดเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ที่จริงฝ่าทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้บรรยายล้วนเป็นฝ่าชุดนี้ ให้พวกท่านไปอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” ให้ละเอียด หลังจากออกหนังสือเล่มนี้มาแล้ว ฝ่าทั้งหลายที่ข้าพเจ้าบรรยายล้วนเป็นการอธิบาย  “จ้วนฝ่าหลุน”    ไม่เชื่อให้พวกท่านไปลองอ่านดู บำเพ็ญไปตาม “จ้วนฝ่าหลุน” หนังสือเล่มนี้ ก็สามารถบำเพ็ญสำเร็จ (เสียงปรบมือ)

ถือโอกาสนี้พูดอีกสักหน่อย ศิษย์ต้าฝ่าเวลาทำงานด้วยกัน พวกท่านต้องร่วมมือซึ่งกันและให้ดี สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่มาก พวกท่านก็มองเห็นแล้ว ปัจจุบันเรื่องบางเรื่องยังมีอุปสรรคมากมาย และทันทีที่อุปสรรคทั้งหมดกำจัดหมดไปแล้ว เรื่องนี้ก็จะจบลง เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นยังกำจัดไปไม่หมด ยังมีคนอีกมากมายที่ยังหลงอยู่ในคำโกหกหลอกลวง ยังมีคนอีกมากมายไม่ยอมที่จะเข้าใจความจริง จึงประกอบเป็นสภาพการณ์ในทุกวันนี้  และสภาพการณ์ชนิดนี้ก็เหมือนน้ำแข็งที่ละลายที่กำลังละลายอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อละลายหมดแล้วทั้งหมด สภาพแวดล้อมก็จะไม่มีแล้ว คนที่คิดจะบำเพ็ญ คิดจะยกระดับ สภาพแวดล้อมก็ไม่มีแล้ว คิดจะช่วยเหลือสรรพชีวิต คนต่างก็เข้าใจกันแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปทำอีกแล้ว หมายความว่า เมื่อถึงขั้นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เป็นเพราะเวลานี้มีสิ่งต่างๆ มากมายจำเป็นต้องทำ ยังมีคนอีกมากมายไม่เข้าใจ จึงปรากฏสภาพการณ์ในปัจจุบันออกมา จึงจำเป็นให้พวกท่านไปทำ แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพการณ์นี้ กับทุกสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าได้ทุ่มเทในการอธิบายความจริง ในการช่วยเหลือสรรพชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะแยกจากกันได้  แน่นอนข้างในนี้มีผลจากสถานการณ์ของการเจิ้งฝ่ารวมอยู่ด้วย แต่ถ้าศิษย์ต้าฝ่าแต่ละคนไม่ไปอธิบายความจริงกับคน กับผู้คนละก็ ไม่ไปอธิบายความจริงกับสังคมละก็ เช่นนั้นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงความคิดของคน ณ ชั้นพื้นผิว เทพจะไม่ทำให้พวกเขาแต่ละคน ดังนั้นสิ่งของ ณ ชั้นพื้นผิวของคน ศิษย์ต้าฝ่าต้องไปทำ

ฝ่าเซินของอาจารย์ก็ดี เทพที่ถูกต้องก็ดี สนามอันมหึมาที่ต้าฝ่าปูไว้ในโลกมนุษย์ก็ดี สามารถนำพาผู้มีบุญวาสนา สามารถนำพาคนที่สามารถช่วยเหลือได้มาอยู่ต่อหน้าท่านโดยใช้สภาพแวดล้อมต่างๆ มอบโอกาสให้เขาได้รับรู้ความจริง แต่พวกท่านต้องไปทำ มันจะเป็นไปไม่ได้ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ สถานการณ์แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่แรงกดดันที่อยู่ตรงหน้าทุกท่านนั้นไม่เล็กเลย การช่วยเหลือคนเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากในเวลานี้ แต่คนที่ไม่เข้าใจความจริงยังมีอีกมาก รวมถึงพฤติกรรมของรัฐบาลต่างๆ ก็มีสภาพการณ์เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจถูกต้องบ้าง เข้าใจไม่ถูกต้องบ้าง ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ต่อข้อเท็จจริงที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ต้องยอมจำนน ต่อข้อเท็จจริงที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาจะต้องกล้าเผชิญ การบำเพ็ญปฏิบัติก็ดี การช่วยเหลือสรรพชีวิตก็ดี ล้วนพุ่งตรงไปที่ใจคน ไม่มุ่งไปที่องค์กร ไม่ใช่กำหนดว่าชนชาตินี้เอาไว้ ชนชาตินั้นไม่เอาไว้ ไม่มีเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นคนชนชาติใด ท่านจะอยู่ ณ มุมใดบนโลกนี้ มีแต่พุ่งตรงไปที่ใจคน ไม่มุ่งไปที่องค์กร

มีศิษย์ต้าฝ่ามากมายมองเห็นภาพจริงบางประการของอนาคต นั่นล้วนไม่ใช่ของปลอม มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทีละก้าว ทีละก้าว ตามกาลเวลาที่แปรเปลี่ยนไป ดังนั้นศิษย์ต้าฝ่าต้องทำเรื่องที่ควรทำให้ดี ไม่ต้องสนใจว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร สิ่งที่ตัวเองทำนั้น ในใจรับรู้เป็นใช้ได้ มีฝ่าอยู่ในใจ ควรทำอะไรก็ให้ทำอย่างนั้น เป็นความต้องการของต้าฝ่า อยากให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น (เสียงปรบมือ)  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้เดินสุดขั้ว    ให้ทำอย่างมีสติสัมปชัญญะ ทำอย่างมีสติแจ่มแจ้ง นั่นเป็นธรรมานุภาพของศิษย์ต้าฝ่า ใครที่สามารถคงรักษาสภาวะที่มั่นคงในการบำเพ็ญ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของสังคมธรรมดาสามัญอย่างนี้ไว้ได้ นั่นก็คือทำได้ดีที่สุดในรูปแบบของการบำเพ็ญนี้อย่างแท้จริง อยู่ท่ามกลางรูปแบบนี้ ถ้าใครมีการกระทำที่เกินเลยจากรูปแบบนี้ หรือไม่สอดคล้องกับรูปแบบชนิดนี้ นั่นอาจเป็นไปได้ว่าทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ในเมื่อการบำเพ็ญปฏิบัติของศิษย์ต้าฝ่า ก็บำเพ็ญกันในรูปแบบชนิดนี้ รูปแบบนี้สามารถหล่อหลอมศิษย์ต้าฝ่า รูปแบบนี้สามารถบรรลุมรรคผลอันยิ่งใหญ่ของอนาคต การออกนอกรูปแบบนี้ หรือปฏิบัติไม่สอดคล้องกับรูปแบบนี้จะเป็นอุปสรรคสำหรับการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน ที่จริงนั่นล้วนเกิดจากจิตยึดติดทั้งสิ้น

สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูด เรื่องเหล่านี้ที่พูดกับทุกท่านในวันนี้ เป็นเพราะ ณ ขณะนี้มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร มีปัญหาปรากฏออกมามากมาย มีสภาพการณ์ไม่เป็นที่น่าพอใจบางประการปรากฏออกมาในการร่วมมือซึ่งกันและกัน ต่อกรณีเหล่านี้ อาจารย์จึงได้พูดตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น วันนี้โดยหลักคือมาพบกับทุกท่าน การประชุมฝ่าฮุ่ยก็เป็นโอกาสอันดีที่ให้พวกท่านได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อาจารย์จะไม่พูดมากไปกว่านี้ ก็จะพูดเพียงเท่านี้ ขอบใจทุกคน (เสียงปรบมือกึกก้อง)

ดีใจจริงๆ ที่ได้พบหน้าพวกท่าน (เสียงปรบมือ) ทุกครั้งที่พบกับพวกท่าน สถานการณ์และสภาพการณ์โดยรวมล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่าสภาพแวดล้อมนี้ของศิษย์ต้าฝ่าสามารถหล่อหลอมคน ศิษย์ต้าฝ่าอยู่ในสังคม ไม่ว่าท่านจะอยู่สภาพแวดล้อมอย่างไร มุมใดของสังคม ท่านล้วนกำลังส่งผลในด้านบวก ไม่ว่าท่านจะอธิบายความจริงก็ดี ยืนยันความถูกต้องของฝ่าก็ดี หรือไม่ได้กำลังทำงานของต้าฝ่าโดยตรงก็ดี ท่านก็กำลังช่วยเหลือสรรพชีวิต ก็กำลังส่งผลกระทบที่ใหญ่มาก (เสียงปรบมือ) เพราะความคิดที่ถูกต้อง(เจิ้งเนี่ยน)และสนามพลังแห่งความเมตตากรุณาของท่านก็กำลังส่งผลในด้าน บวก หวังว่าหลังจากวันนี้ไปทุกท่านจะทำได้ดียิ่งขึ้น (เสียงปรบมือ) ทุกสิ่งที่ศิษย์ต้าฝ่าสร้างสรรค์กำลังจะปรากฏเป็นที่ประจักษ์ในเร็ววัน ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือ)