บรรยายธรรม ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ยแคนาดา ปี ค.ศ. 2006

หลี่ หง จื้อ

28 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ณ เมืองโตรอนโต

 

ทุกท่านต่างลำบากกันแล้ว (ที่ประชุมปรบมือดังกึกก้อง   และตอบพร้อมกัน  สวัสดีท่านอาจารย์  ท่านอาจารย์ลำบากแล้ว)

            การประชุมฝ่าฮุ่ยขนาดใหญ่หลายครั้ง  ล้วนเป็นการประชุมที่คึกคักของศิษย์ต้าฝ่านอกประเทศจีนแผ่นดินใหญ่  ฝ่าฮุ่ยขนาดใหญ่แต่ละครั้ง ล้วนมีผู้ฝึกใหม่และผู้ฝึกที่อยู่ไกลมาก มาร่วมประชุม  ดังนั้นฝ่าฮุ่ยแต่ละครั้ง นอกเหนือจากโครงการอื่นๆที่ต้องทำแล้ว   ฝ่าฮุ่ยต้องบังเกิดผลในการยกระดับการบำเพ็ญ สามารถบรรลุผลได้อย่างแท้จริง    เช่นนี้จึงจะไม่ทำให้ผู้ฝึกใหม่และผู้ฝึกที่เดินทางมาไกลเสียเวลาไปเปล่าๆที่เดินทางมาครั้งนี้  ดังนั้นฝ่าฮุ่ยของศิษย์ต้าฝ่า ไม่ใช่แค่เพียงพิธีการที่ต้องทำในแต่ละปี  แต่เพื่อการบำเพ็ญที่แท้จริงจึงเปิดการประชุม  นี่ก็เป็นสภาพแวดล้อม มีขอบเขตที่ใหญ่ชนิดหนึ่ง เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งศิษย์ต้าฝ่าสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันได้ที่ข้าพเจ้าเหลือไว้ให้ในปีนั้น   ดังนั้นจะต้องทำให้มันเกิดประโยชน์จริง  เป็นผลดีต่อการยกระดับการบำเพ็ญอย่างแท้จริง  เช่นนี้จึงจะมีความหมาย

            ทุกท่านทราบแล้วว่า รูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้ในปัจจุบันนั้น เป็นที่กระจ่างชัดมากแล้วสำหรับศิษย์ต้าฝ่า ต่อข้อกำหนดของรูปแบบการบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่า  ข้าพเจ้าคิดว่า โดยพื้นฐานผู้ที่กำลังนั่งอยู่นี้ ล้วนทำกันได้แล้ว  รูปแบบการบำเพ็ญของต้าฝ่าในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ได้บุกเบิกการบำเพ็ญในสังคมคนธรรมดาสามัญที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือนับตั้งแต่วันนั้นที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นถ่ายทอดฝ่า ก็ได้กำหนดรูปแบบชนิดนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว  รูปแบบชนิดนี้ นับแต่อดีตจนถึงวันนี้  ซึ่งล้วนไม่เคยมีมาก่อน

            เนื่องจากการบรรยายธรรมของข้าพเจ้านั้น  ต้องบรรยายจากระดับต่ำไปสู่ระดับสูง   เริ่มบรรยายจากพื้นฐาน  ต้องให้คนทั้งหลายสามารถฟังเข้าใจกันได้ทั้งหมด  ดังนั้นจึงไม่ได้บรรยายให้สูงตั้งแต่ต้น ที่จริงการสร้างสรรค์ตรีภูมิทั้งหมดนั้น  ก็ทำขึ้นมาเพื่อเรื่องการถ่ายทอดต้าฝ่าในวันนี้  จักรวาลในอดีตนั้นไม่มีตรีภูมิอยู่ และไม่มีมนุษย์อยู่ด้วย มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เทพสร้างขึ้นมา  นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน  เหตุใดมนุษย์ต่างดาวจึงมุ่งแต่จะมาอยู่บนโลกนี้  มันมีเป้าหมายหลายอย่าง  นอกจากนี้แล้ว  การที่พวกมันรู้สึกตื่นตะลึงกับร่างกายมนุษย์คือเป็นโลกทรรศน์ที่แต่ไหนแต่ไรมา พวกมันไม่เคยพบเห็นมาก่อน   เนื่องจากสภาพแวดล้อมนี้ของจักรวาลในอดีต หรือพูดได้ว่า ปัจจุบันในท่ามกลางมิติเหล่านี้ที่ตรีภูมิดำรงอยู่  ในอดีตล้วนแต่เป็นชีวิตระดับต่ำนานาชนิดที่อยู่ที่นี่  รวมทั้งบรรดามนุษย์ต่างดาวทั้งหลาย   ที่จริงพวกมันยึดกุมเทคโนโลยีของชีวิตระดับต่ำอยู่ ในฉับพลันร่างนภานี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหึมา มีมนุษย์ปรากฏขึ้นมาในระหว่างที่สร้างโลก  ปรากฏชีวิตชนิดหนึ่งอย่างคนนี้ขึ้นมา และโครงสร้างของร่างกายคนนี้   จากมุมมองด้านเทคโนโลยีของพวกชีวิตเหล่านั้น รู้สึกว่า กลไกทั้งหมดของร่างกายมนุษย์นั้น ช่างสมบูรณ์พร้อมยิ่งนัก  แน่ละ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ เพราะเป็นสิ่งที่เทพสร้างขึ้นมา  สิ่งนี้ เมื่อเปรียบกับชีวิตที่พื้นๆพวกนั้น  และชีวิตระดับต่ำของมิตินี้ในอดีตนั้น  แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

            เพราะว่าคน คือสิ่งที่เทพสร้างขึ้นมา  ดังนั้นจึงมีรูปลักษณ์ภายนอกของเทพ  กระทั่งมีโครงสร้างภายในอย่างของเทพ  เพียงแต่ปรากฏออกมาไม่มีความสามารถแบบเทพเท่านั้น   และมิตินี้โดยตัวมันเอง ยังทำให้ชีวิตใดๆไม่สามารถมองเห็นความจริง  ทำให้สิ่งมีชีวิตของมิตินี้อยู่ในสภาพแวดล้อมชนิดหนึ่งที่สร้างและกำหนดขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งร่วมกันสร้างขึ้นมาโดยเหล่าเทพแต่ละชนิดที่ผดุงการดำรงอยู่ของคน   สภาพแวดล้อมนี้ทำให้คนในมิตินี้ มองเห็นได้แต่เพียงวัตถุในมิตินี้  มองไม่เห็นวัตถุที่อยู่นอกมิตินี้   กระทั่งมองไม่เห็นวัตถุที่ดำรงอยู่ในลักษณะพิเศษในมิตินี้   แต่ก็มีคนที่มีรากฐานดีจำนวนน้อยนิดที่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ อันนี้จึงยิ่งเสริมให้คนจำนวนมาก เชื่ออย่างจริงๆจังๆว่า  ในจักรวาลนี้มีแต่ชีวิตอย่าง “คน” ชนิดนี้อยู่  กระทั่งเข้าใจว่า เงื่อนไขการดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ เป็นเงื่อนไขเพียงประการเดียวของการดำรงอยู่ของบรรดาชีวิตทั้งหมดในจักรวาลนี้  เช่นนี้แล้ว  คนจึงยิ่งเพิ่มการปิดล้อมตนเอง  ดังนั้นนะ ไม่ว่าคนจะค้นคว้าวิจัยอย่างไร ไม่ว่าคนจะรับรู้อย่างไรก็ไม่อาจมองเห็นความจริงของจักรวาลได้  ที่จริงสภาพการณ์แบบนี้ ก็เป็นเรื่องปกติ  เพราะนี่เป็นสิ่งที่เทพจำกัดเอาไว้  คนก็อยู่ในระดับชั้นนี้ ก็ดำรงชีพอยู่ในเขตแดนชนิดนี้  หรือพูดได้ว่า  หากใช้วิธีการของคน  ไม่ว่าจะสำรวจจักรวาลกันอย่างไร  ก็ไม่อาจมองเห็นความจริงของจักรวาลได้ตลอดไป  นี่ก็เป็นสิ่งที่เทพกำหนดเอาไว้

            เช่นนั้นแล้วจุดมุ่งหมายทั้งหมดนี้คืออะไรละ   ก็คือก่อนการถ่ายทอดต้าฝ่า ให้คนคงสภาพการณ์ชนิดนี้เอาไว้  สภาพการณ์ที่มั่นคง   รอจนถึงวันนั้นที่เริ่มต้นถ่ายทอดต้าฝ่า   ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนของประวัติศาสตร์  นับแต่การสร้างตรีภูมิกับมนุษย์ขึ้นมาแล้ว  เรื่องราวนานาชนิดที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก  รวมทั้งสภาพการณ์เมื่อเริ่มแรกหลังจากมนุษย์ได้ปรากฏขึ้น  เรื่อยมาจนถึงในระยะหลายพันปีใกล้ๆนี้ หลังจากปรากฏวัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์ขึ้นมา     อาทิเช่นในประวัติศาสตร์ปรากฏบรรดาผู้มีชื่อเสียงเอย  เรื่องราวที่ใหญ่โตเอย  ที่แท้ นี่ก็คือการวางรากฐานวัฒนธรรมให้กับมนุษย์   วางรากฐานความคิด วางรากฐานด้านอุดมคติของคน ให้คนสามารถรับรู้ฝ่าได้ในวันนั้นของการถ่ายทอดต้าฝ่า   รับรู้วัฒนธรรมของการบำเพ็ญที่แท้จริง ถ้าหากไม่มีการวางรากฐานเหล่านี้ไว้ก่อนในประวัติศาสตร์ เช่นนั้นศิษย์ต้าฝ่าทั้งหมดที่นั่งกันอยู่ในวันนี้  ย่อมจะจัดเป็นคนที่อยู่ในสภาพการณ์แรกเริ่มชนิดนั้นที่เทพเพิ่งสร้างขึ้นมา  จัดอยู่ในสภาพที่ไม่อาจเข้าใจอะไรได้ทั้งนั้น  เช่นนั้นก็ไม่มีทางจะถ่ายทอดฝ่าได้   และไม่อาจที่จะเข้าใจฝ่า  อะไรคือการบำเพ็ญหรือ  ไม่เข้าใจ   พูดอย่างง่ายๆคือ  ก็เหมือนคนปัจจุบันที่ไม่มีวัฒนธรรม  วันนี้จะบรรยายฝ่านี้ได้อย่างไรกัน  ก็ไม่มีทางจะบรรยายได้   ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างนับแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้   ก็เป็นเพียงการวางรากฐานทางวัฒนธรรมเพื่อการถ่ายทอดต้าฝ่าในเรื่องนี้

            ฉะนั้นเรื่องนี้ข้าพเจ้ายังแบ่งทำเป็น 2 ช่วง   ช่วงหนึ่งก็คืออยู่ในระหว่างการเจิ้งฝ่า   ศิษย์ต้าฝ่ากลุ่มนี้ที่ก้าวข้ามมา ตามการบำเพ็ญเจิ้งฝ่า ก็จัดเป็นศิษย์ต้าฝ่าในยุคเจิ้งฝ่า  เช่นนั้นหลังจากนี้ยังมีอีก  ก็คือก้าวต่อมาของผู้บำเพ็ญในยุคฝ่าปรับโลกมนุษย์   เวลานั้น  ทั่วทั้งจักรวาล นอกเหนือจากมนุษย์แล้ว ก็ได้ทำจนเสร็จทั้งหมดแล้ว  ข้าพเจ้ามักพูดว่า องค์ประกอบของจักรวาลเก่า  อิทธิพลเก่า  ชีวิตในระดับชั้นสูงที่ไม่ดี ซึ่งแตกต่างกันนานาชนิด ที่รบกวนการเจิ้งฝ่า ในเวลานั้น นอกจากสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นต่ำ ที่คงเหลือไว้ให้ผู้บำเพ็ญในอนาคตใช้ในการยกระดับแล้ว ล้วนแต่ไม่คงอยู่แล้ว หลังจากไม่มีองค์ประกอบของระดับชั้นสูงรบกวนแล้ว เช่นนั้นแล้ว ฝ่าปรับโลกมนุษย์จะเป็นอย่างไรละ  ทุกท่านคิดดูเมื่อไม่มีองค์ประกอบใดๆของอิทธิพลเก่าในระดับชั้นสูงที่สามารถต่อต้านอยู่อีกแล้ว คนนั้นเดิมทีก็อ่อนแอมาก  ชีวิตของมิติในระดับชั้นต่ำของจักรวาล กับ ชีวิตของมิติในตรีภูมินั้น เดิมทีก็ไม่มีความสามารถมากมายอะไร ในเวลานั้นฝ่าปรับโลกมนุษย์ก็จะเป็นอีกสภาพการณ์หนึ่งอย่างแน่นอนแล้ว ขณะนี้คนกำลังคาดคิดว่า  หลังจากไม่มีพรรคชั่วแล้วจะทำอย่างไรละ  นั่นจะเป็นสภาพอย่างไรกัน   รัฐบาลในอนาคตของประเทศจีนจะเป็นอย่างไร  ไม่ต้องไปคิด และไม่ต้องไปใส่ใจ  แน่ละ  ในระหว่างที่ทุกท่านยืนยันความถูกต้องของฝ่า  ในระหว่างการอธิบายความจริง  ทุกท่านอาจจะใช้การรับรู้ในขณะนี้ไปอธิบาย  นี่ล้วนไม่มีปัญหา   เพราะการอธิบายไปตามความคิดของคนตามปกติ  ตามความเข้าใจของคนปกตินั้นไม่มีปัญหา  แต่ว่าผลจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ใช่จะเป็นไปตามสิ่งที่คนพูด และก็ไม่ใช่อย่างนั้น ที่คนคิดกันในขณะนี้ ในเวลานั้นสังคมมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมด สภาพการณ์ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงหมด  โครงสร้างสังคมล้วนเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว

            เช่นนั้นในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะคือการยืนยันความถูกต้องของฝ่าของศิษย์ต้าฝ่ากับการเจิ้งฝ่านั้นคงอยู่พร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน  ดังนั้นกล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้แล้ว  ข้อกำหนดจึงต้องสูงเป็นพิเศษ  เพราะเขาอยู่พร้อมกับการเจิ้งฝ่า สิ่งที่แบกรับจึงมีมาก  ความรับผิดชอบจึงมาก  ไม่ว่าอาจารย์จะมีฝ่าเซินมากมายเพียงไร  จะมีความสามารถมากแค่ไหนในจักรวาล  ร่างหลักที่อยู่ในระหว่างช่องว่างของจักรวาลเก่าแต่ละชั้นนั้น กำลังกำกับทุกสิ่งของการเจิ้งฝ่าอยู่ในโลก  มนุษย์กับตรีภูมินั้นสร้างสรรค์ขึ้นมาตามความต้องการของการเจิ้งฝ่า ร่างหลักของอาจารย์ก็อยู่ที่นี่  ดังนั้นศูนย์กลางของการรบกวนการเจิ้งฝ่าของสิ่งชั่วร้ายจึงอยู่ที่นี่ด้วย ศิษย์ต้าฝ่าอยู่ที่นี่ยืนยันความถูกต้องของฝ่า ปกป้องฝ่า พร้อมกับการบำเพ็ญตนเอง  ภาระรับผิดชอบย่อมต้องหนักมาก  และยังต้องช่วยเหลือสรรพชีวิตที่นี่  กล่าวสำหรับศิษย์ต้าฝ่า  ความรับผิดชอบนี้ก็หนักมากอย่างยิ่ง  ดังนั้นศิษย์ต้าฝ่าในยุคเจิ้งฝ่าจึงยิ่งไม่ใช่ธรรมดาๆ

            ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า  ไม่ว่าในประวัติศาสตร์จะมีการบำเพ็ญอย่างนี้   การบำเพ็ญอย่างนั้น  ก็เป็นเพียงการวางรากฐานทางวัฒนธรรม  อะไรคือการบำเพ็ญ  วันนี้จึงจะเป็นการบำเพ็ญที่แท้จริง  (เสียงปรบมือ) รูปแบบของวันนี้จึงจะได้รับการยอมรับจากบรรดาเทพในจักรวาลว่าเป็นการบำเพ็ญที่แท้จริง(เสียงปรบมือ) ที่ผ่านมานั้น ล้วนเป็นการวางรากฐานทางวัฒนธรรม    คนที่มาอยู่ในตรีภูมิ นั้น  แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยออกไปได้   ไม่เคยมีชีวิตใดๆจากจักรวาลที่มาที่นี่ของคน ที่สามารถกลับไปสู่สวรรค์ได้   ที่ผ่านมาพูดกันถึงการบำเพ็ญ  การบำเพ็ญ  ใครก็ไม่เคยบำเพ็ญสำเร็จ   พูดถึงการขึ้นสวรรค์  ขึ้นสวรรค์  ใครก็ไม่เคยขึ้นไปได้  ทุกท่านทราบกันว่ามีจิตรอง   มีจิตรองที่ใช้ร่างกายคนเป็นสื่อกลางในการบำเพ็ญที่ขึ้นสวรรค์ได้   เนื่องจากเมื่อจิตรองใช้ร่างกายคนเป็นสื่อกลางแล้ว ก็จะมีรูปลักษณ์ภายนอกของคน   ดังนั้นจึงเคยมีคนเห็นว่า ในรูปแบบการบำเพ็ญที่ผ่านมานั้น มีใครๆขึ้นสวรรค์ไปแล้ว  หรือพูดว่าเวลาที่คนๆนี้จากโลกไปนั้น มองเห็นว่าบางคนได้ขึ้นสวรรค์ไป   แต่ผู้ที่ขึ้นสวรรค์ไปนั้นไม่ใช่จิตหลักของเขา ไม่ใช่คนๆนี้จริงๆ  ดังนั้นที่ผ่านมา ชีวิตที่มาอยู่ในตรีภูมินั้น ไม่เคยกลับไปได้เลย  ล้วนแต่เป็นจิตรอง  และแต่ไหนแต่ไรมา จิตรองไม่เคยเห็นความสำคัญของร่างหลักว่าจะเป็นอย่างไร   เทพองค์ไหนๆ แต่ไหนแต่ไรมา ล้วนไม่เคยเห็นความสำคัญของคน 

ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยบอกว่า เทพนั้นถูกสร้างขึ้นมา (บำเพ็ญ)สำเร็จขึ้นมา ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน สำหรับความจริงของจักรวาล กระทั่งประวัติศาสตร์ของตรีภูมิ  เป้าหมายของการดำรงอยู่  สิ่งเหล่านี้ เทพที่สามารถอยู่ใกล้ที่นี่  พวกเขาล้วนไม่กระจ่างชัด  โดยเฉพาะคือเทพเหล่านั้นที่สามารถสัมผัสติดต่อกับคนได้   ล้วนอยู่ในระดับชั้นต่ำ  พวกเขาล้วนไม่กระจ่างชัดต่อสิ่งเหล่านี้  พวกเขาไม่จ่างชัดในสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง   ความหมายของการดำรงอยู่ของคนนั้น พวกเขาก็ล้วนไม่ทราบ  ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาไม่เห็นความสำคัญของคนเลยจริงๆ ในปีที่ข้าพเจ้ากำลังถ่ายทอดฝ่าอยู่   มีเทพจำนวนมากต่างพูดกันว่า คนก็เป็นอย่างนี้ไปหมดแล้ว ท่านยังจะถ่ายทอดต้าฝ่า  ยังถ่ายทอดฝ่าที่ดีเช่นนี้ให้คน เขาจะสามารถทราบถึงความหมายที่แท้จริงของการดำรงอยู่ของคนได้อย่างไรกันนะ  แน่ละตอนนี้ก็เข้าใจได้หมดแล้ว และรู้หมดแล้ว ในระหว่างที่การเจิ้งฝ่าก้าวข้ามมาทีละก้าวทีละก้าว เมื่อความจริงปรากฏออกมาเรื่อยๆ เทพที่ก่อผลลบบางส่วนรู้ว่าผิดไปแล้ว ค่อยๆมองเห็นความจริง ทีละก้าว  ละก้าว  และเข้าใจหมดแล้ว  ยังมีปัญหาขั้นพื้นฐานที่สุดอยู่  อิทธิพลเก่านั้นได้ถูกปฏิเสธทั้งหมดแล้วอย่างแท้จริง  จุดนี้พวกมันยังไม่สามารถยอมรับได้ในท้ายที่สุดโดยสิ้นเชิง ยังมองไม่เห็นความจริงนี้    พอถึงก้าวสุดท้ายเมื่อพวกมันมองเห็นความจริงนี้ได้แล้ว  นั่นก็จบสิ้นกันแล้ว  กล่าวสำหรับพวกมันแล้วก็น่ากลัวอย่างยิ่ง

            เนื่องจากเรื่องนี้แบ่งเป็นสองจังหวะก้าว ไม่ว่าสังคมมนุษย์ที่มองเห็นศิษย์ต้าฝ่าถูกประทุษร้ายแล้วจะมีความรู้สึกเย็นชาอย่างไรก็ตาม การแสดงออกต่างๆนานาของสังคมมนุษย์ ในสังคมคนธรรมดาสามัญนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกกระทบมากมายอะไรเช่นนั้น   คนในอาชีพต่างๆ ล้วนทำไปตามความเคยชิน  กลไกส่วนนี้ของสังคมมนุษย์ยังคงเดินต่อไป   ยังคงหมุนเคลื่อนไปตามปกติ   เนื่องจากเมื่อถึงเวลาฝ่าปรับโลกมนุษย์จึงค่อยทำเรื่องของคน ในขณะนี้โดยพื้นฐาน ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเรื่องของคน  ในระหว่างการช่วยเหลือชาวโลก ทุกท่านก็เพียงแต่ชี้ความสว่างในสำนึกต่อความผิดชอบชั่วดี และรากเหง้าที่ดีงาม  ในระหว่างที่พวกชั่วร้ายทำร้ายศิษย์ต้าฝ่า เพื่อจะประทุษร้ายศิษย์ต้าฝ่า สิ่งชั่วร้ายมีการพูดแบบหนึ่ง อยากจะให้ชาวโลกมาต่อต้านศิษย์ต้าฝ่าและต้าฝ่ากันทั้งหมด  ไม่ให้ศิษย์ต้าฝ่ามีที่ยืนบนโลก   ดังนั้น จึงกุคำลวงมากมายขึ้นในสังคมมนุษย์ อาศัยเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทั้งประเทศสร้างความสับสนอลหม่าน และพยายามอย่างเหนื่อยเปล่าในการทำให้คนทั้งโลกมาเชื่อคำลวงของพวกชั่วร้าย เข้าร่วมการประทุษร้ายศิษย์ต้าฝ่า  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงทำให้สรรพชีวิตมากมายที่ไม่แจ่มชัดในความจริง  ทำให้ชาวโลกมากมายถูกพิษร้าย หรือพูดได้ว่า  เป้าหมายการอธิบายความจริงของศิษย์ต้าฝ่าในช่วงเวลานี้ก็คือเพื่อการช่วยเหลือคน   ทำลายองค์ประกอบเก่าเหล่านั้น  และวิญญาณชั่วพรรคมารที่วางยาพิษคน เพราะในระหว่างการเจิ้งฝ่า อิทธิพลเก่าเหล่านี้จะต้องถูกกวาดทิ้งไป  พรรคมารกับวิญญาณชั่วก็ต้องถูกกวาดทิ้งไปด้วย ผู้ที่เป็นพวกเดียวกับมันก็จะถูกกวาดทิ้งไปทั้งหมด นี่คือหลักการที่กำหนดเอาไว้ในระหว่างการเจิ้งฝ่า  ก็จะต้องทำเช่นนี้  หากพวกเราไม่ไปช่วยคนๆนั้น  คนๆนี้ก็จะถูกประวัติศาสตร์กวาดทิ้งตามสิ่งชั่วร้ายไปด้วย

            ชีวิตที่ถูกกวาดทิ้งไปจริงๆนั้น เป็นเรื่องที่น่ากลัว  ผู้คนมองเห็นการตายของคนนั้น ไม่น่ากลัว  นั่นไม่ใช่การตายของชีวิต  คนตายแล้วก็เพียงสลัดทิ้งเปลือกนอกชั้นหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาจากมิติวัตถุที่อยู่ชั้นผิวนอกสุด  ก็เหมือนการถอดเสื้อผ้าชุดหนึ่งทิ้งไป  แต่ชีวิตที่แท้จริงกลับเข้าไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏจักรหกทาง  แน่ละ ในการบำเพ็ญ ร้อยปีให้หลังของชีวิตคน(เมื่อคนตายไป)  ในนั้นมีบางคนที่บำเพ็ญได้ดี  มีจิตรองหนึ่งถูกรับไปแล้ว  แต่นั่นก็ไม่ใช่คนๆนี้  นี่คือปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเมื่อคนร้อยปีให้หลัง(เมื่อคนตายไป) มีแต่การการบำเพ็ญที่ต้าฝ่าบุกเบิกให้ จึงจะสามารถทำให้คนสำเร็จได้  จุดมุ่งหมายที่คนมา  จุดมุ่งหมายที่คนดำรงอยู่   ในประวัติศาสตร์แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในวังวน(ไม่มีใครรู้)  ก็เพราะมันอยู่ในวังวน  บรรดาเทพจึงไม่ทราบ   และก็มีพลังในการรักษาความมั่นคงของมนุษยชาติ ความมั่นคงของตรีภูมิ กับความปลอดภัยของคน

            ข้อเท็จจริงเหล่านี้ของวังวน จนถึงปัจจุบัน  ทั้งหมดก็ค่อยๆทยอยเปิดเผยออกมาแล้ว  เทพ  ชีวิตบนสวรรค์ก็ค่อยๆเข้าใจได้แล้ว  รู้ความจริงกันแล้ว  ว่าเหตุใดต้องถ่ายทอดต้าฝ่า  เหตุใดจึงถ่ายทอดฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ในหมู่มนุษย์   เหตุใดคนจึงมีโชคลาภใหญ่ถึงเพียงนั้น   เทพเหล่านั้นยังมักพูดกับข้าพเจ้าว่า  ท่านนั้นเห็นความสำคัญของคน  ความหมายนอกเหนือจากนี้คือ ท่านไม่เห็นความสำคัญของพวกเรา  ในการเจิ้งฝ่าก็ปฏิบัติต่อเราอย่างเข้มงวดถึงเพียงนั้น  ท่านปฏิบัติต่อคน ผ่อนคลายถึงเพียงนั้น   ครั้งนี้มันไม่พูดคำนี้  ไม่พูดคำนี้แล้ว  หรือพูดได้ว่า ตรีภูมิ  โลก  มนุษย์  ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับทั่วทั้งจักรวาล  เกี่ยวพันสรรพชีวิตนับไม่ถ้วนของทั่วทั้งจักรวาลที่จะได้รับการช่วยเหลือ  ในนั้น ชีวิตระดับชั้นสูง  ชีวิตระดับชั้นสูงมากๆมีนับไม่ถ้วน  เรื่องนี้ไม่สำคัญมากหรือ  แต่กล่าวสำหรับคน  ในสภาพที่อยู่ในวังวนอย่างยาวนาน  การอยู่ในตรีภูมิโดยตัวมันเองก็มองไม่เห็นความจริง  มองไม่เห็นความจริง   การอยู่ในตรีภูมินั้นต้องรักษาสภาพการณ์ชนิดหนึ่งไว้ให้คนสามารถดำรงชีพอยู่ได้   ดังนั้นในสภาพวังวน คนจึงต้องจมเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ชนิดนี้ และสามารถชักนำให้คนทำร้ายซึ่งกันและกันเพื่อการคงอยู่  ต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อผลประโยชน์  ปรากฏการณ์ที่แสดงออกมาจะดูสงบก็ดี  หรือรุนแรงก็ดี   แต่ก็ล้วนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะคน  ล้วนเพื่อเป้าหมายส่วนตัว  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในการจัดวางสภาพการณ์เช่นนี้ให้กับคนนั้น  ขอเพียงอยู่ในสภาพการณ์ที่จำกัด ก็ไม่ถือสาความผิดของคน  การอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้เป็นเวลายาวนาน  ในสภาพการณ์ของวังวนนี้   พอเริ่มถ่ายทอดต้าฝ่า ก็จะต้องมีปัญหาว่า จะสามารถรับรู้ฝ่าได้ไหม   จะสามารถทำลายเปลือกนี้ที่คนถูกปิดล้อมไว้เป็นเวลายาวนานได้ไหม  นี่กล่าวสำหรับคนแล้ว ก็กลายเป็นปัญหาที่สำคัญมาก  เรื่องนี้กล่าวสำหรับคนนั้น  ดูไปราวกับว่าไม่ยุติธรรม  แต่ที่จริงนั้นยุติธรรม  ยุติธรรมอย่างแท้จริง

            เมื่อคนมาอยู่ในหมู่คน ในสภาพแวดล้อมนี้  ใครที่เกินเลยจากสภาพแวดล้อมที่จำกัดไว้   ในระหว่างการดำรงชีวิตยังคงทำร้ายผู้อื่นอย่างร้ายแรงไม่หยุดหย่อน  ทำเรื่องไม่ดี  ใครคนนั้นก็กำลังทำลายสภาพแวดล้อมนี้อยู่  กำลังทำลายสภาพการณ์นี้ของคนอยู่  ใครคนนั้นก็กำลังทำบาปต่อเรื่องที่สำคัญยิ่งนี้ โดยตัวมันเอง ฉะนั้นในระหว่างการถ่ายทอดต้าฝ่า  ในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่า  จะสามารถได้ฝ่าหรือไม่  จะสามารถบำเพ็ญจนถึงที่สุดหรือไม่ ในประวัติศาสตร์ คนๆนั้นเคยก่อกรรมไว้มากน้อยเพียงไร ย่อมทำให้ คนกับผู้บำเพ็ญเกิดความลำบากขึ้นในระดับที่ต่างกันอย่างแน่นอน  พูดให้ชัดแล้ว  จะสามารถได้ฝ่าหรือไม่  จะสามารถบำเพ็ญจนถึงที่สุดได้หรือไม่  การรบกวนที่มีต่อคนที่ต่างกัน(แต่ละคน)จะไม่เท่ากัน  ความยุ่งยากนั้นล้วนเกิดจากสิ่งที่ตนเองเคยทำไว้ในอดีต  ใครก็อย่าได้โกรธแค้น     ใครสามารถจะได้ฝ่าละ  ใครที่จะสามารถกะเทาะเปลือกหุ้มนี้ได้  ใครที่จะสามารถรับรู้ฝ่านี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลโดยแท้จริง   กล่าวสำหรับสรรพชีวิตแล้ว มองจากจุดนี้ก็คือ ยุติธรรม

            เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นนี้   จะใช้ท่าทีอะไรไปปฏิบัติต่อมัน  เรื่องนี้กล่าวสำหรับคนแล้ว สำคัญอย่างยิ่ง  ดังนั้นวังวนนี้มันจึงมีผลกระทบต่อคนประการหนึ่งอย่างนี้   ท่านสามารถบำเพ็ญได้หรือไม่ ท่านสามารถมองเห็นสัจธรรมได้หรือไม่ ท่านสามารถมองเห็นความจริงได้หรือไม่ ท่านสามารถสัมผัสได้ถึงฝ่าชุดนี้หรือไม่   นี้กล่าวสำหรับสรรพชีวิตแล้ว  การอยู่ในวังวน ที่จริงล้วนแต่ก่อให้เกิดความยากลำบากอย่างมาก  ดังนั้นศิษย์ต้าฝ่า  ที่นั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ จึงไม่ใช่บรรดาคนทั้งหมดที่มีอยู่ในมนุษยชาติ  แน่ละ ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  การถ่ายทอดต้าฝ่า นั้นเท่าเทียมกันสำหรับสรรพชีวิต  ไม่มองระดับชนชั้น ไม่มองตำแหน่งในสังคม  ดูแต่ใจคน  ดูเพียงท่าทีที่มีต่อต้าฝ่า  ที่จริงในระหว่างการเจิ้งฝ่าทั้งหมด ก็ล้วนแต่ทำโดยวิธีการที่โอบอ้อมอารีที่สุด เมตตาที่สุด  เช่นนี้   ไม่สนใจความเป็นมาของชีวิตในอดีต  ท่านเคยทำความบาปหนักหนาเพียงไรในประวัติศาสตร์  มีความผิดมากเพียงไร  จะไม่ดูทั้งหมด  จะดูก็แต่ท่าทีต่อต้าฝ่าในวันนี้    ดูการรับรู้ต่อต้าฝ่า  ก็เป็นเพียงเรื่องอย่างนี้เรื่องเดียว   หากพูดว่าฉันยอมรับต้าฝ่าไม่ได้  เช่นนั้นท่านก็สูญเสียโอกาสแห่งวาสนาแล้ว  ฉันไม่ยอมรับต้าฝ่า  ท่านไม่ยอมรับต้าฝ่า   ท่านก็เท่ากับไม่ยอมรับอนาคต  เพราะอนาคตก็คือสิ่งที่ฝ่าชุดนี้เนรมิตขึ้นมา

            ในระหว่างการเจิ้งฝ่า  ทั่วทั้งจักรวาลจวนจะทำเสร็จแล้วโดยพื้นฐาน  ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดไว้  ข้าพเจ้าว่า มันเหมือนกับคานตาชั่ง  ระหว่างจักรวาลเก่ากับจักรวาลใหม่   จักรวาลใหม่นั้นสัดส่วนเปรียบเทียบยิ่งหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่ปรับฝ่าเสร็จแล้วยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  เหมือนคานตาชั่งที่กดต่ำลงไปแล้ว ขณะนี้ไม่ใช่ประเด็นนี้แล้ว โดยพื้นฐานจักรวาลใหม่ได้สร้างจนจวนจะสำเร็จครบถ้วนหมดแล้ว (เสียงปรบมือดังกึกก้อง) เรื่องที่เหลือล้วนแต่เป็นองค์ประกอบสุดท้าย  สิ่งเหล่านี้เมื่อจัดการเสร็จสิ้นแล้ว  การเจิ้งฝ่าช่วงสุดท้ายก็จบสิ้นแล้ว  เมื่อเจิ้งฝ่าจบสิ้นแล้ว  ประวัติศาสตร์ของจักรวาลใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น  สุดท้ายก็มีเพียงโลกมนุษย์เท่านั้นแล้ว  ก็จะทำการโอบล้อม ปิดล้อมโลกของมนุษย์นี้ และขอบเขตของตรีภูมิเอาไว้ และแยกมันห่างออกมาจากจักรวาลใหม่ กับจักรวาลใหญ่  ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์มิใช่ค้นพบแล้วหรือว่า ทางช้างเผือกกับจักรวาลนั้นยิ่งห่างไกลจากกันเรื่อยๆ กำลังแยกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว    ที่จริงก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเคลื่อนออกไป  เพราะหลังจากปรับจักรวาลใหม่เสร็จแล้ว  ผลกระทบทั้งหลายของบรรดาชีวิตทั้งหมดในตรีภูมิจะก่อให้เกิดการปนเปื้อนชนิดหนึ่งต่อจักรวาลใหม่  ดังนั้นต้องแยกออกไป  ปิดล้อมเอาไว้ดำเนินการเป็นเอกเทศ  นั่นก็คือ ฝ่าปรับโลกมนุษย์

            ศิษย์ต้าฝ่าบำเพ็ญอยู่ในช่วงเวลานี้  ภาระที่แบกรับจึงมากเช่นนี้  จึงหนักอย่างนี้  ทุกท่านฟังเข้าใจแล้ว  ที่แท้จุดมุ่งหมายของการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ กับสภาพการณ์บำเพ็ญของศิษย์ต้าฝ่านั้นเป็นเช่นนี้   ดังนั้นทุกท่านก็ควรแจ่มชัดยิ่งขึ้นต่อรูปแบบชนิดนี้ของการบำเพ็ญอยู่ในโลก เพราะนี่จึงจะเป็นการบำเพ็ญ  นี่จึงจะเป็นการบำเพ็ญที่จัดวางไว้ให้ชีวิตในตรีภูมิอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนล้วนเป็นการวางรากฐานวัฒนธรรมให้กับมนุษยชาติ  นี่จึงจะเป็นการเริ่มต้นของการหวนคืนกลับไปอย่างแท้จริงของคนในที่สุด   ดังนั้นข้อกำหนดต่อผู้บำเพ็ญในระหว่างการบำเพ็ญจึงไม่เหมือนกัน   สามเรื่องที่อาจารย์บอกให้ทุกท่านทำให้ดีในระหว่างการถ่ายทอดฝ่านั้น  ดูไปแล้วธรรมดาๆ  แต่จะก้าวหน้าได้หรือไม่ ล้วนแต่อยู่ในนั้น   จะสำเร็จมรรคผลอะไรก็ล้วนอยู่ในนั้น  ต้าฝ่าเผยแพร่อยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  รูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้ที่สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญมากที่สุด   หลายคนต่างเข้าใจว่านี่ก็เพื่อความสะดวกสบายและผ่อนคลายในการบำเพ็ญของเรา  ผู้ฝึกเหล่านั้นที่ก้าวหน้ากลับไม่เข้าใจเช่นนี้   แต่นี่เป็นเส้นทางที่ศิษย์ต้าฝ่าจะต้องเดินไปในระหว่างการบำเพ็ญ   ดังนั้นแต่ละเรื่องที่ท่านทำ   ไหนเลยจะกลัวว่าท่านอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ จัดสมดุลความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ดี  จัดสมดุลของความสัมพันธ์ในสังคมได้ดี  การแสดงออกของท่านในที่ทำงาน ในสังคม นั้นไม่ใช่แค่สักแต่ทำไปก็ใช้ได้แล้ว  ทั้งหมดนี้ก็คือรูปแบบการบำเพ็ญของท่าน  ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้มงวด

            ผู้ฝึกจำนวนมากเพียงทราบว่า การฝึกพลังและศึกษาฝ่าก็คือการบำเพ็ญ  ใช่  นั่นเป็นการสัมผัสโดยตรงกับฝ่าในด้านนั้น แต่ในเวลาที่ท่านบำเพ็ญตนเอง สังคมทั้งหมดที่ท่านได้สัมผัสนั้นคือสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญของท่าน สภาพแวดล้อมในการทำงาน และในบ้าน  ทั้งหมดที่ท่านได้สัมผัสล้วนเป็นสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญของท่าน  ล้วนเป็นเส้นทางที่ท่านต้องเดินไป   ต้องเผชิญด้วยความถูกต้องเที่ยงตรง ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจสักแต่ทำอย่างขอไปที สุดท้ายก้าวข้ามมาแล้ว อาจารย์จัดวางหนทางเช่นนี้ให้แก่ท่าน พวกท่านจะก้าวข้ามมาได้อย่างไร  ทั้งหมดนี้ ท้ายที่สุดแล้วไม่อาจไม่ดู   ในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ การปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่อาจไม่ดู ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนไม่อาจมองข้าม  พูดถึงความสะดวกนั้น  ก็คือ คนสามารถจะไม่ต้องออกบวช  ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในป่าเขา  ไม่ต้องออกไปจากสังคมโลก  แต่หากพูดจากอีกด้านหนึ่ง    ทั้งหมดนี้กลับก่อให้เกิดความยากลำบากอีกแบบหนึ่ง  คือท่านต้องทำทั้งหมดนั้นให้ดี  ต้องทำให้ดีไม่ว่าด้านไหนๆ  ท่านจึงจะสามารถเดินออกมา

            แน่ละ พอข้าพเจ้าพูดอย่างนี้   ต่างคนล้วนมีการรับรู้สูง-ต่ำต่อฝ่าไม่เท่ากัน  ยังมีผู้ฝึกใหม่   อาจจะมีบางคนคิดว่าฉันจัดการเรื่องในบ้านให้ดีได้แล้วก็เป็นการบำเพ็ญแล้ว พ่อแม่พี่น้องเอย พวกเราเพิ่มความสนิทสนมยิ่งขึ้นก็ใช้ได้แล้ว งั้นท่านก็เดินเข้าสู่การยึดติดอย่างใหม่  เดินสู่สุดขั้ว   ทุกสิ่งบรรดามี จะต้องทำให้ดีทั้งหมด ไม่ใช่ทำจนเกินเลย  หากเกินเลยก็คือยึดติดอีก  และท่าทีต่อต้าฝ่าต้องจัดวางให้ถูกต้อง  ถือตนเองเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง  จะก้าวหน้าได้อย่างไร  จะปฏิบัติต่อฝ่าอย่างไร  จะบำเพ็ญอย่างไร  รวมทั้งสัดส่วนความสั้นยาวของช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ  ล้วนไม่อาจมองข้าม  และยังสำคัญยิ่งขึ้น  เพราะนี่คือเส้นทางของพวกท่าน  เส้นทางที่พวกท่านต้องเดินไป  พวกท่านนั้นต้องเดินออกมาจากสังคมคนธรรมดาสามัญ พวกท่านก็อยู่พร้อมกับการเจิ้งฝ่า รับผิดชอบต่อสรรพชีวิต  ดังนั้นจึงต้องบำเพ็ญกันอย่างนี้

ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดไว้  ข้าพเจ้าว่า หากล้วนเข้าไปในป่าเขา ล้วนบำเพ็ญอยู่ในวัด  ท่านก็ไม่อาจจะสัมผัสกับสังคมได้ในวงกว้าง   ท่านก็ไม่อาจจะมีพลังมากมายเช่นนั้นในการไปช่วยเหลือสรรพชีวิตในวงกว้างยิ่งขึ้นอีก ใช่อย่างนี้หรือไม่ ดังนั้นนี่มิใช่เป็นการบอกให้ทุกท่านทำกันเช่นนี้อย่างมีเป้าหมายหรอกหรือ   เช่นนี้จึงจะมีเงื่อนไขที่สะดวกยิ่งขึ้นในการไปช่วยเหลือสรรพชีวิตใช่ไหม  แน่ละในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ  เนื่องจากท่านต้องยกระดับขึ้น แน่นอนว่า กล่าวสำหรับท่าน  กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ย่อมจะต้องมีการทดสอบ  หากทำไม่ดีย่อมจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน  หากทำได้ดี ก็จะเกิดการทดสอบอย่างต่อเนื่องในระหว่างการบำเพ็ญเช่นกัน   พวกท่านต่างถือว่ามันเป็นการรบกวนไปเสียทั้งหมด  คิดจะจัดการกับความยุ่งยากนี้เพียงเพื่อจะจัดการกับความยุ่งยากนี้ ท่านก็จะจัดการไม่ได้  เพราะมันเกิดขึ้นเพื่อการยกระดับของท่าน  ท่านต้องปฏิบัติต่อมันด้วยเจิ้งเนี่ยน  โดยผ่านความยุ่งยากนี้  ฉันจะปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการรบกวนเรื่องนี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร  ด้วยจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือสรรพชีวิตจัดสมดุลให้ดี  ฉันจะรับผิดชอบต่อสรรพชีวิตได้อย่างไร ถือเรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเป็นเป็นจุดเปลี่ยนพลิก(สถานการณ์)สำหรับการอธิบายความจริง  เป็นโอกาสอันดีในการอธิบายความจริง  ในเวลาปกติท่านจะไปหาคนเพื่ออธิบายความจริง ก็ไม่มีเหตุ(ข้ออ้าง)  จะไปหาใครโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เขาก็ไม่ยินดีจะพบท่าน  ฉะนั้นการรบกวนนั้น มิใช่พอดีทำให้ท่านมีโอกาสไปติดต่อคนแล้วหรือ ไม่ใช่โอกาสประจวบเหมาะให้ท่านไปอธิบายความจริงได้หรอกหรือ ศิษย์ต้าฝ่านอกเหนือจากการบำเพ็ญของตนเองแล้ว หน้าที่ที่ใหญ่ที่สุดของพวกท่านก็คือต้องช่วยเหลือสรรพชีวิต  เรื่องนี้ไม่ทำได้หรือ  ไม่ทำให้ดีได้หรือ  ดังนั้นอย่าได้ถือว่าบรรดาปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการรบกวนการทำเรื่องที่ถูกต้องของท่าน  รบกวนการศึกษาฝ่าของตนเอง  รบกวนการอธิบายความจริงของตนเอง  ไม่ใช่  ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือโอกาสในการอธิบายความจริง

            ข้าพเจ้ามิใช่พูดว่า การอยู่ในตรีภูมิมองปัญหานั้น ล้วนแต่กลับตาลปัตรหรอกหรือ  สิ่งที่มนุษย์เห็นว่าไม่ดี  หลายสิ่งนั้นล้วนแต่ดี   สิ่งที่มนุษย์มองว่าดี  หลายสิ่งล้วนแต่ไม่ดี  หลักการของโลกไม่ใช่กลับตาลปัตรหรือ  คนรู้สึกว่าการที่ตนเองต้องทนทุกข์นั้นไม่ดี  กล่าวสำหรับคนธรรมดาสามัญ การทนทุกข์นั้นสามารถลดทอนกรรม ลดทอนบาปได้เช่นเดียวกัน ชั่วชีวิตหนึ่งต้องทนทุกข์มากมาย  ชาติหน้าจะได้โชคลาภตอบแทน  ชาติหน้าจะมีเงินทอง  ได้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่  เป็นเพราะบุญกุศลที่ท่านได้สะสมไว้จากการทำความดีในชาติก่อน หากคนทำแต่ความชั่ว บุญกุศลสักนิดก็จะไม่มี  สะสมกรรมเอาไว้มากมาย  ชาติหน้าไม่เพียงแต่ไม่มีโชคลาภตอบสนอง ไม่มีความสุขสบาย  แต่ยังต้องชดใช้กรรมเหล่านั้นอีก  ดังนั้นในช่วงชีวิตนี้ จึงต้องหิวโหย เหน็บหนาว  ยังถูกคนดูแคลน  กระทั่งรู้สึกว่าสังคมนี้ไม่ยุติธรรมกับเขา  ที่แท้ล้วนเป็นการชดใช้หนี้ที่ติดค้างไว้ในชาติก่อน  นี่คือการพูดจากที่ของคนที่นี่   หากพูดสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว สภาพแวดล้อมนี้มิใช่เป็นการให้โอกาสอันประจวบเหมาะกับผู้บำเพ็ญ ในการยกระดับหรอกหรือ ศิษย์ต้าฝ่าล้วนเข้าใจกันว่าการทนทุกข์นั้นคือการชำระล้างกรรม  ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสในการยกระดับของตนเอง สามารถรับรู้มันได้อย่างถูกต้อง  นอกเหนือจากการชดใช้กรรมแล้ว  ยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ ไปทำสิ่งที่สมควรทำ  แม้ว่าจะมีความยากลำบาก  แต่นั่นเป็นด่านที่ตนเองจะต้องข้าม  หากสามารถวางใจของตนได้ถูกต้อง  วางตนเองกับความสัมพันธ์ต่อความขัดแย้งนี้ได้ถูกต้อง    สามารถก้าวข้ามมาได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง   เช่นนั้นท่านก็สามารถทะลวงข้ามด่านนี้ไปได้แล้ว  ระดับชั้นของท่านก็ยกระดับขึ้นแล้ว   เขตแดนก็ยกระดับขึ้นแล้ว  พลังของท่านก็เพิ่มขึ้นแล้ว  ใช่หรือไม่  ขั้นตอนการบำเพ็ญเจิ้งฝ่าทั้งหมดนั้น มิใช่เช่นนี้หรือ

            จำไว้  หลักการของคนนั้นกลับกัน  ดังนั้นเรื่องยุ่งยากที่ประสบในระหว่างการบำเพ็ญ   อย่าได้ถือว่ามันเป็นความขัดแย้ง ที่มารบกวนเรื่องที่ถูกต้องของตนเอง หรือโจมตีเรื่องที่ถูกต้องของตนเอง  เรื่องนี้ของฉันสำคัญ  เรื่องนั้นสำคัญ  ที่จริงเรื่องมากมาย ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับที่ตนเองมอง การยกระดับของพวกท่านนั้น ถือเป็นเรื่องอันดับหนึ่งเสมอ  การบำเพ็ญตนเองเพื่อหยวนหมั่นของพวกท่านเป็นเรื่องอันดับหนึ่งเสมอ  แต่ท่านไม่อาจเข้าใจเช่นนี้  ท่านบอกว่าการบำเพ็ญยกระดับของฉันนั้นสำคัญที่สุด  ใครก็ไม่อาจรบกวน เช่นนั้นท่านก็ผิดไปแล้ว  การรบกวนไม่ใช่โอกาสในการยกระดับหรือ  กล่าวในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นอาจารย์ ข้าพเจ้าสามารถเข้าใจเช่นนี้ได้ ว่าการยกระดับของพวกท่านเป็นเรื่องสำคัญที่สุด  แต่ในเวลาที่ท่านยกระดับ กลับไม่ใช่เพื่อให้ท่านเดินขึ้นไปบนทางที่ราบเรียบ  นำกรรมที่เต็มไปทั้งตัวขึ้นสวรรค์ไป  ลากห่อของสกปรกกองโตขึ้นสวรรค์ไป (ผู้ฟังหัวเราะ) เช่นนี้จะใช้ได้หรือ  ข้าพเจ้าต้องจัดวางด่านจำนวนหนึ่งไว้ให้ท่าน ให้ท่านปล่อยวางจิตใจเหล่านั้น  ปล่อยวางห่อของสกปรกเหล่านั้น  แต่ละด่านๆ นั้นให้ท่านปล่อยวางจิตยึดติดกับใจคนลงอย่างต่อเนื่อง  สิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในด่านต่างๆกัน ท่านจะนำเข้าไปไม่ได้ ดังนั้นพอด่านมาถึงแล้ว  ท่านอาจจะบอกว่าความยุ่งยากมาแล้ว  กระทั่งมีบางคนเที่ยวหาอาจารย์  แล้วพูดว่า โอ้ ฉันจะจัดการอย่างไรดีนะ  ข้าพเจ้าจะจัดการให้ท่านได้อย่างไรละ  ถ้าข้าพเจ้าจัดการให้แล้ว ด่านนี้ท่านก็ผ่านไปไม่ได้  รื้อด่านนี้ทิ้งไปแล้ว ท่านยังจะลากห่อของสกปรกเดินต่อไปข้างหน้าอีกละหรือ  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่อาจจะขจัดด่านนั้นทิ้งให้ได้  (หัวเราะ) เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกว่าการบำเพ็ญหนา  ทุกท่านจะต้องรับรู้ให้ได้จริงๆว่าอะไรคือการบำเพ็ญ  รับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของตนเองอย่างเป็นเหตุเป็นผลให้ได้จริงๆ  ต้องใช้เจิ้งเนี่ยนไปพิจารณาทุกเรื่องราวที่พวกท่านประสบ เจิ้งเนี่ยนต้องเข้มแข็ง

            คราวก่อนในการประชุมฝ่าฮุ่ยภาคตะวันตก ข้าพเจ้ามิใช่พูดแล้วหรือว่า ศิษย์ต้าฝ่าจำนวนมากต่างกลัวคนต่อว่า  ต่อว่าไม่ได้  พอพูดก็จะระเบิด   ก็ไม่พอใจ  ก็จะเกิดขัดแย้งกับคนเขา  ชอบฟังสิ่งที่น่าฟัง   ใช่หรือไม่ว่าท่านอยากแต่จะเดินทางที่ราบเรียบ  ลากห่อของสกปรกห่อใหญ่ขึ้นสวรรค์ไป  ไม่ใช่เป็นความหมายเช่นนี้หรือ  จิตทั้งหลายที่ไม่ดีของคนธรรมดาสามัญ  จิตยึดติดนานาชนิดของท่าน   ท่านต้องทิ้งไปให้หมด   การกลัวคนต่อว่า  ใช่จิตยึดติดหรือไม่  คิดแต่จะฟังแต่เรื่องที่น่าฟัง   นี่จะได้อย่างไรละ  ก็คือจะต้องพูดสิ่งที่ท่านไม่อยากฟังบ้างสักหน่อย  ดูซิว่าใจท่านจะหวั่นไหวหรือไม่  คนจะพูดว่าเทพอะไร  เทพจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย  ท่านไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้  เขาจะไม่รู้สึกเลยว่าเรื่องที่ท่านทำมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา  ไม่ใส่ใจอย่างแท้จริง  เพราะท่านไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้   เทพมีแต่ควบคุมใจคน  ชักนำให้คนทำอะไรบ้าง  คนคิดจะชักนำเทพจะได้หรือ  ดังนั้นเมื่อท่านคิดจะเป็นเทพ  ท่านไม่ควรจะต้องเป็นเช่นนี้ด้วยหรือ  ท่านไม่ต้องทิ้งจิตยึดติดเหล่านั้นหรือ  จิตที่สามารถถูกคนชักนำ มิต้องทิ้งไปให้หมดหรอกหรือ

            แม้จะเป็นศิษย์ต้าฝ่า ที่สร้างความยุ่งยากให้กับท่านก็เหมือนกัน  ท่านบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากที่คนธรรมดาสามัญสร้างให้กับฉัน  ดังนั้นจึงข้ามยาก  แน่นอนละ  ศิษย์ต้าฝ่า นั้นไม่ใช่เทพที่กำลังบำเพ็ญอยู่ ทว่าเป็นคนที่บำเพ็ญอยู่ คนกำลังบำเพ็ญจึงต้องมีจิตของคนนานาชนิดกลับออกมา ดังนั้นในสภาพแวดล้อมนี้ของการบำเพ็ญ จึงพูดได้แต่เพียงว่า ชีวิตกำลังเดินขึ้นไปไม่หยุดหย่อน ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้จะให้บริสุทธิ์เหมือนกับเทพเลยทั้งหมด  นั่นก็ทำไม่ได้  สภาพแวดล้อมนี้ย่อมต้องดีกว่าสภาพแวดล้อมของคนธรรมดาสามัญมาก  ก็เป็นได้เพียงแค่นี้  และจะดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในสภาพแวดล้อมนี้ของศิษย์ต้าฝ่า ย่อมจะเกิดการแสดงออกของจิตนานาชนิดของคน  กระทั่งแสดงออกมาไม่ดีอย่างมาก  ตลอดทางที่พวกท่านเดินผ่านมาไม่ใช่มองเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วหรือ  นี่ล้วนเป็นเรื่องปกติ

            ใช่ละ  มีหลายคนรู้สึกร้อนใจเมื่อต้าฝ่าประสบกับผลกระทบที่ไม่ดี  รู้สึกว่า ทำไมเพื่อนผู้บำเพ็ญทำไม่ดีอย่างนั้นนะ ใช่ หากทุกท่านต่างคิดเช่นนี้   จึงจะสามารถรักษาสภาพแวดล้อมนี้ไว้ได้  จึงสามารถทำให้สภาพแวดล้อมนี้บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังจะเกิดปัญหาขึ้น  จิตของคนยังจะปรากฏออกมาได้   ข้าพเจ้ากำลังดูภาพรวมทั้งหมด ข้าพเจ้าทราบว่านั่นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญ  แต่ข้าพเจ้าก็ทราบว่าในขั้นตอนของการบำเพ็ญ ก็จะค่อยๆทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปได้อย่างแน่นอน  การบำเพ็ญใช่ไหม  สุดท้ายทุกท่านล้วนจะสามารถยกระดับสูงขึ้นได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทราบ  บำเพ็ญอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ย่อมจะเป็นอย่างนี้  แต่ว่าทุกคนไม่อาจปล่อยปละตนเอง  และไม่อาจไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว เมื่อเห็นคนอื่นทำให้ต้าฝ่าเสื่อมเสียชื่อเสียง นี่คือข้อกำหนดต่อพวกท่าน  กล่าวสำหรับศิษย์ต้าฝ่า ทุกท่านมิใช่กำลังปกป้องฝ่า  ยืนยันความถูกต้องของฝ่าอยู่หรอกหรือ นี่ก็คือภาระรับผิดชอบของพวกท่าน ดังนั้นระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญนั้น ไม่ใช่จะเหมือนกับที่ตนเองคิดแค่นั้น   นอกจากการบำเพ็ญแล้ว นี่ก็คือสิ่งสำคัญ  และไม่อาจเข้าใจว่าเรื่องอื่นๆล้วนไม่สำคัญ  เช่นเรื่องครอบครัวไม่สำคัญ  สังคมไม่สำคัญ  อะไรก็ไม่สำคัญ    ให้จัดความสัมพันธ์เหล่านั้นให้ดี  นี่คือเส้นทางที่พวกท่านเดินอยู่ ข้าพเจ้าบอกว่าพยายามบำเพ็ญให้สอดคล้องกับรูปแบบสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  แน่ละ คนชนิดไหนล้วนมีทั้งนั้น ผู้ที่ทำลายฝ่ายังคงพูดกับผู้ฝึกที่กำลังถูกล้างสมองอยู่ในค่ายกักกันแรงงานว่า อาจารย์มิใช่บอกว่าให้บำเพ็ญให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุดหรือ  ท่านกลับไปในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว  มอบหนังสือออกมา  ถูกละ คนชนิดไหนๆก็มีทั้งนั้น     แน่ละโดยพื้นฐานที่สุดนั้นท่านเป็นผู้บำเพ็ญหรือไม่ละ  แม้แต่ฝ่า ท่านก็ยังออกห่างไปแล้ว  ท่านจะบำเพ็ญอะไรละ   คนธรรมดาสามัญจำนวนมากก็เรียกข้าพเจ้าว่าอาจารย์  แต่เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ  นั่นก็พูดได้ว่า  ไม่ใช่ว่าเมื่อเรียกข้าพเจ้าว่าอาจารย์ก็จะเป็นผู้บำเพ็ญทั้งหมด  ท่านต้องบำเพ็ญอย่างแท้จริง  ปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่งอย่างแท้จริง

            เมื่อครู่พูดไปมากมายเช่นนี้  ฝ่าฮุ่ยนี้ของพวกท่านยังต้องดำเนินให้บังเกิดผลที่เป็นจริง  เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้ฟังผู้ฝึกพูด  การประชุมของทุกท่านทำได้คึกคักมาก  ดีมาก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงดีใจมาก  จะไม่ขอใช้เวลาของทุกท่านมากเกินไป  ก็คือมาดูๆทุกท่าน  แต่ละครั้งที่มานั้น ประการหนึ่ง คือเพื่อแก้ไขปัญหาเล็กน้อยบางอย่าง  อีกประการคือมาพบหน้าทุกท่าน  บางคนมิใช่พูดว่ามีอาจารย์อยู่ มีฝ่าอยู่หรอกหรือ  เช่นนั้นทุกท่านก็ทำสิ่งที่ตนเองสมควรทำให้ดีเถิด  ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือดังกึกก้อง)