การบรรยายฝ่า ณ ที่ประชุมฝ่าฮุ่ยออสเตรเลีย

 

หลี่  หงจื้อ

2-3 พฤษภาคม ค.ศ. 1999 เมืองซิดนี่ย์

 

สวัสดีทุกท่าน(เสียงปรบมือ)

ชั่วพริบตาเดียวไม่ได้มาซิดนีย์ปีสองปีแล้ว    ครั้งก่อนคือเมื่อเปิดฝ่าฮุ่ย  ที่ข้าพเจ้ามา  ในเวลานั้นยังมีผู้ฝึกไม่มากอย่างนี้   การศึกษาต้าฝ่าจำกัดอยู่เพียงในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล   เดี๋ยวนี้คนมากขึ้นแล้ว  เมื่อผ่านการบำเพ็ญได้ช่วงเวลาหนึ่ง   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทุกท่านล้วนสามารถรับรู้ฝ่าได้แล้ว  ในการบำเพ็ญ ทุกท่านย่อมจะมีปัญหามากมายที่จะถาม  ที่อยากจะได้รับคำตอบ   ในเวลานี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการมาครั้งนี้  สามารถจะตอบปัญหาบางประการให้ทุกท่านได้  แก้ไขปัญหาบางประการให้ได้  เป็นโอกาสที่ค่อนข้างเหมาะสม  ดังนั้นจึงตัดสินใจมาพบหน้าทุกท่าน

 ผ่านการบำเพ็ญในช่วงนี้  สภาพการณ์ของออสเตรเลียค่อนข้างดี  แม้ว่าในการบำเพ็ญยังมีบางคนรับรู้หลักการของฝ่าได้ไม่ชัดเจน  แต่ว่าโดยรวมนั้นนับว่าดี   วันนี้ที่สำคัญคือข้าพเจ้าได้พบกับทุกท่าน  จึงขอถือโอกาสพูดถึงปัญหาบางอย่าง  ดังนั้นหลังจากที่ข้าพเจ้าบรรยายเสร็จแล้วในวันนี้ ที่สำคัญคือจะฟังทุกท่านพูด  จากนั้นข้าพเจ้า จะใช้เวลาในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ตอบปัญหาให้กับทุกท่าน  หากมีปัญหาอะไรทุกท่านก็เขียนเป็นคำถาม  ส่งให้กลุ่มผู้จัดการประชุม  จากนั้นก็ส่งต่อให้กับข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะตอบให้กับทุกท่าน

การตอบปัญหามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง   คือข้าพเจ้าจะตอบปัญหาที่พบในระหว่างการบำเพ็ญให้กับผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า  ไม่ใช่ตอบเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมคนธรรมดาสามัญ หรือปัญหาอื่นของสังคมมนุษย์  ปัญหาเหล่านี้ข้าพเจ้าไม่สามารถตอบให้ได้   เนื่องจากในขณะนี้ข้าพเจ้าจะรับผิดชอบต่อผู้บำเพ็ญของข้าพเจ้าเท่านั้น  ข้าพเจ้าไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับการเมือง  นโยบายหรือคำสั่งของประเทศใดๆ  ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้ก็ต้องรับผิดชอบต่อคน ในขณะเดียวกันก็รับผิดชอบต่อสังคมด้วย  การพัฒนาของสังคมมนุษย์นั้นมีการกำหนดไว้แน่นอน  พัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของมัน  เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้าล้วนไม่อยากจะเกี่ยวข้อง

ต่อไปจะพูดถึงปัญหาบางอย่าง  ทุกท่านทราบ  ไม่ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนพบปะกับผู้ฝึก ก็ล้วนต้องพูดถึงเรื่องหนึ่ง  ก็คือบอกให้ทุกท่านอ่านหนังสือให้มาก  ศึกษาฝ่าให้มาก  แม้ว่าทุกท่านล้วนทราบว่าข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้  ข้าพเจ้าก็ยังคงต้องพูด       เพราะหากพวกท่านคิดจะยกระดับอยู่ในฝ่า การอ่านหนังสือ ศึกษาฝ่า นี้เป็นเรื่องสำคัญมาก  หากท่านถือว่าฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้ในวันนี้เป็นชี่กงทั่วๆไปชนิดหนึ่ง  เช่นนั้นท่านก็ผิดพลาดอย่างมหันต์แล้ว  หากท่านอยากจะมีร่างกายที่แข็งแรง  เช่นนั้นท่านไปรักษาโรคที่โรงพยาบาล หรืออาศัยวิธีการทางการแพทย์อย่างอื่นในการรักษา  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านนั้นก็เพียงทำเพื่อความแข็งแรงของสุขภาพท่าน   เช่นนั้นท่านก็ไปหาพวกเขาให้การรักษา  ข้าพเจ้าไม่รักษาโรค   ข้าพเจ้าจะนำท่านเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของการบำเพ็ญ เดินบนเส้นทางที่สว่างรุ่งโรจน์     การอาศัยใช้ต้าฝ่ารักษาโรคเพื่อเงิน  นี่ใช้ไม่ได้   ข้าพเจ้านำท่านเดินบนเส้นทางหนึ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด  หากคิดจะบำเพ็ญขึ้นไปได้อย่างแท้จริง  ก็จำเป็นต้องยืนหยัดศึกษาฝ่า

ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า  สสารกับจิตเป็นสิ่งเดียวกัน ในวงการปรัชญาทั่วโลก  เป็นเวลานานมาแล้วผู้คนล้วนถกเถียงกันในปัญหาที่ว่าสสารเกิดขึ้นก่อนหรือว่าจิตเกิดก่อน   ข้าพเจ้าได้ยกตัวอย่างมากมายขึ้นมาพูดกับทุกท่าน   คือในเวลาที่คนคิดเรื่องอะไรอยู่ในความนึกคิด   ความคิดโดยตัวมันเองที่เกิดขึ้นมานั้น ในปัจจุบันก็ทราบกันแล้วว่ามันคือการปรากฏออกมาของสสาร  ฉะนั้นนี่ไม่ใช่จิตหรอกหรือ  ก็คือว่าจิตกับสสารเป็นสิ่งๆเดียวกัน  จากระดับจุลทรรศน์ที่สุดจนถึงระดับมหภาคที่สุดทั่วทั้งจักรวาล  จากสิ่งที่เล็กที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุด   อณูของสสารที่มีอยู่ทั้งหมด  ล้วนมีคุณสมบัติพิเศษอันหนึ่งคงอยู่ เรียกว่า เจิน  ซั่น เหริ่น (ความจริง  ความเมตตา  ความอดทน) เช่นนั้น เจิน  ซั่น เหริ่น คุณสมบัติพิเศษของจักรวาลนี้  เขาจึงคอยควบคุมสรรพสิ่งทั้งปวงในระดับชั้นที่ต่างกันของจักรวาล      สสารจึงเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันขึ้นมาของคุณสมบัติพิเศษชนิดนี้ของจิต   ฉะนั้นจิตกับสสารจึงเป็นสิ่งเดียวกัน

บางคนมีการรับรู้ที่คลาดเคลื่อน เขาพูดว่าฉันฝึกชี่กงก็คือ ฝึกชี่กง  ไม่ต้องยกระดับจิตใจของฉัน  ไม่ต้องไปอ่านหนังสือ  นี่คือปัญหาที่สำคัญที่สุดที่ข้าพเจ้าจะบอกกับพวกท่าน  นั่นคือจะไม่อาจยกระดับขึ้นมาได้ตลอดกาล   และไม่อาจทำให้ท่านไม่เจ็บป่วยโดยผ่านการฝึกฝนท่าฝึกไม่กี่ท่าของชี่กง  จุดนี้ชาวบ้านทั่วไปจำนวนมากในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ทราบกัน   หากท่านไม่ไปศึกษาฝ่า ไม่ไปอ่านหนังสือ  ท่านไม่เข้าใจหลักการในนั้น  ไม่อาจทำให้ศีลธรรมของท่านฟื้นคืนมา   ไม่อาจทำให้ซินซิ่งของท่านเปลี่ยนแปลงดีขึ้น  เปลี่ยนเป็นคนดีคนหนึ่ง   เป็นคนที่ดียิ่งขึ้น  ท่านก็ต้องมีโรค  เพราะคนล้วนเป็นอย่างนี้   คนก็จะเจ็บป่วยได้  มีแต่ในเวลาที่ท่านอยู่เหนือคนธรรมดาสามัญท่านจึงจะไม่เจ็บป่วย   ฉะนั้นเพียงแต่ผ่านการฝึกฝนท่าเคลื่อนไหวไม่กี่ท่าหรือหลายท่า  ย่อมไม่อาจจะอยู่เหนือคนธรรมดาสามัญได้    มีแต่การเข้าใจในหลักการของฝ่านั้นอย่างแท้จริง  ทำให้ความคิดและเขตแดนของท่านยกระดับขึ้นมา   กลายเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น  ดีกว่าคนดีของคนธรรมดาสามัญ  ท่านก็เป็นคนที่เหนือคนแล้ว   ท่านก็ไม่สมควรมีโรคที่คนธรรมดาสามัญทั่วไปควรมี  ก็คือเหตุผลนี้   เมื่อครู่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงว่าคนต้องบรรลุถึงการเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น   เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญในปัจจุบัน  ท่านจึงจะไม่เจ็บป่วยอย่างแท้จริง   เช่นนั้น หากท่านคิดจะบำเพ็ญไปถึงเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น    นั่นมิใช่ยังต้องสูงกว่าข้อกำหนดนี้หรือ  ไม่มีโรคแล้ว  ไม่เท่ากับเป็นผู้บำเพ็ญในเขตแดนที่สูงคนหนึ่ง    ทว่าเป็นเพียงคนที่มีมาตรฐานศีลธรรมสูงกว่าคนธรรมดาสามัญ    สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกให้พวกท่านทำคือเป็นคนเหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ   กระทั่งสูงยิ่งขึ้นอีก   และก็คือคนที่ดียิ่งขึ้น  เป็นคนที่มีศีลธรรมสูงส่งยิ่งกว่า มีแต่ทำอย่างนี้ทุกท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญขึ้นมาได้             

 ปัจจุบันนอกเหนือจากชาวจีนโพ้นทะเล  มีผู้ฝึกชนชาติอื่นบางคน ไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่า  และไม่ค่อยเข้าใจ   คำพูดเหล่านั้นของข้าพเจ้าเมื่อครู่นี้  คงจะทำให้ท่านเข้าใจได้แล้ว    เนื่องจากท่าฝึกชี่กง เป็นเพียงท่าเคลื่อนไหวที่เสริมการบำเพ็ญ   ไม่อาจบังเกิดผลที่แท้จริงได้อย่างแน่นอน   หากซินซิ่งของท่านไม่สูงขึ้นไป   เขตแดนของท่านไม่ยกระดับไปถึงเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น   ท่านจะฝึกท่าเคลื่อนไหวอย่างไรก็ฝึกขึ้นไปไม่ได้    มีแต่เมื่อซินซิ่งของท่านบรรลุถึงมาตรฐานที่สูงอย่างนั้น  ตัวท่านเองจึงจะได้รับการยกระดับ  ตัวท่านเองจึงจะขจัดโรคไปได้   เมื่อท่านกำหนดตัวเองสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น  ดียิ่งขึ้น   ท่านจึงจะบรรลุถึงการเป็นคนที่เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ    เช่นนั้นก็จะไม่เป็นคนธรรมดาสามัญแล้ว เพราะคนอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  บรรดาสิ่งที่คิด  ที่ทำ ที่ประพฤติกัน ทุกท่านล้วนมองเห็นแล้ว  คือเพื่อตัวเอง  เพื่อครอบครัวของตน  เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างสุดขั้ว   หรือกระทั่งเห็นเงินเป็นพระเจ้า  โดยเฉพาะปัจจุบันเป็นยุคที่ศีลธรรมเสื่อมทรามมาก   หากท่านเป็นเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ   ท่านฝึกท่าเคลื่อนไหว  ท่านก็จะสามารถหายป่วยละหรือ   เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน  ท่านฝึกท่าเคลื่อนไหวสักหน่อยเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ    ท่านก็สามารถบรรลุถึงการเป็นคนที่เหนือคนธรรมดาสามัญละหรือ   เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  ดังนั้นทุกท่านต้องอ่านหนังสือ   เพราะเขตแดนจิตใจกับความคิดของท่านไม่บรรลุถึงมาตรฐานที่สูงเพียงนั้น  ท่านก็จะไม่หายป่วย  และไม่อาจบรรลุถึงเขตแดนระดับสูง  นี่ก็คือเพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงบอกให้ทุกท่านอ่านหนังสือให้มาก  กับความจำเป็นในการอ่านหนังสือ

ฝ่าสามารถชี้นำพวกท่านยกระดับขึ้นจากระดับชั้นที่ต่างกันได้    “จ้วนฝ่าหลุน” หนังสือเล่มนี้นะ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ให้ทุกท่านบำเพ็ญได้อย่างเป็นระบบ   ดังนั้นจึงสำคัญมาก  ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้บำเพ็ญก็ดี หรือว่าไม่เป็นผู้บำเพ็ญก็ดี    หลังจากที่ได้อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”แล้ว  ก็จะสามารถทำให้ท่านเข้าใจได้ว่าจะเป็นคนได้อย่างไร     เนื่องจากมนุษย์ทุกวันนี้ไม่มีมาตรฐานใดๆทางศีลธรรมที่จะควบคุมไว้   เป็นพวกที่ต่อต้านประเพณีวัฒนธรรม  ต่อต้านทัศนคติเก่าแก่   เมื่อคนมองเห็นแต่สภาพความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า  ยิ่งปล่อยวางธาตุแท้ของคน  ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาก่อนกำเนิดและดีที่สุด   เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรมคอยกำกับ จึงย่อมที่จะทำตามอำเภอใจ  นี่ใช้ไม่ได้นะ    ความเสื่อมทรามของมนุษยชาติทำให้มนุษยชาติตกอยู่ในสภาพที่อันตรายมาก  ต่อไปในการบรรยายฝ่าข้าพเจ้าจะตอบปัญหาเหล่านี้ให้

ต่อไปจะพูดถึงปัญหารูปธรรมสักเล็กน้อย   ในเวลาที่บำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญนั้น   มักจะมีจิตยึดติดมากมายที่ปล่อยวางไม่ได้  นี่ก็พูดถึงรูปธรรมของปัญหาการบำเพ็ญแล้ว    มีคนมากมาย  อย่างไรเสียเขาจะไม่ปล่อยวางจิตยึดติดของเขา   กระทั่งทำให้เขาใจเคลิบเคลิ้ม  สติสัมปชัญญะไม่แจ่มชัด  เขาเองยังสำนึกไม่ได้    นับหมื่นๆปีมา  ไม่มีใครพูดถึงการบำเพ็ญว่าจะบำเพ็ญอย่างไร   คนทั้งหลายต่างรู้ว่าการบำเพ็ญคือการนั่งสมาธิ  ทุกท่านทราบว่าชนบทในประเทศจีน มีหญิงชรามากมาย  ตลอดปีนั่งอยู่บนเตียงเย็บเสื้อผ้า ปะแต่งพื้นรองเท้าผ้า  ถ้าหากมันง่ายอย่างนี้(แค่นั่งนิ่งๆ)   ข้าพเจ้าว่าพวกเขาควรจะสำเร็จเป็นเทพแล้ว    ท่าทางนี้มันเป็นเพียงส่วนเสริมอย่างหนึ่งเท่านั้น    หากท่านไม่ฝึกพลังเพียงแต่นั่งขัดขา  นั่นยิ่งไม่ใช่อะไรเลย  เพราะล้วนแต่ไม่มีองค์ประกอบของการบำเพ็ญ   ดังนั้นในระหว่างการบำเพ็ญของพวกท่าน  ข้าพเจ้าจึงสอนให้พวกท่านเข้าใจหลักการของฝ่า   บอกให้ท่านอ่านหนังสือ  จุดประสงค์คือต้องการให้ท่านยกระดับขึ้นไปสู่เขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น   จะยกระดับอย่างไรละ   ก็คือท่านปล่อยวางความคิดที่ไม่ดีในหมู่คนธรรมดาสามัญทิ้งไป  ปล่อยวางจิตต่อสู้แย่งชิงระหว่างคนด้วยกันลง     เพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเพียงแค่หัวแมลงวัน  ไปทำร้ายผู้อื่น  พอได้อะไรมาสักหน่อยก็ดีใจเสียเหลือเกิน  พอสูญเสียอะไรไปหน่อยก็เจ็บปวดเสียเหลือเกิน  ด้วยเหตุนี้จึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ  ทำจนโรคเต็มตัว   ท่านมีชีวิตอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน    คนอยู่ในโลกเพื่อสิ่งนี้หรือ

ในเมื่อทุกท่านมองเห็นจุดนี้ได้ชัดเจนแล้ว  เช่นนั้นทำไมจึงไม่สามารถปฏิบัติตนเหมือนกับคนที่บำเพ็ญคนหนึ่งอย่างแท้จริง  ปล่อยวางจิตยึดติดของตนเสียละ  เป็นผู้บำเพ็ญที่สง่างามคนหนึ่ง   ข้าพเจ้ามักพูดว่าผู้บำเพ็ญในยุคปรับฝ่าให้ถูกต้องคนหนึ่ง  ก่อนอื่นท่านต้องทำได้ตามที่ว่า ถูกตีไม่ตีตอบ ถูกด่าไม่ด่าตอบ  เช่นนั้น เหตุใดเมื่อทุกท่านพบกับความขัดแย้งในระหว่างการบำเพ็ญ  เพราะเหตุใดจึงปล่อยวางจิตใจดวงนั้นลงไม่ได้ละ  คนอื่นต่อว่าท่านด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง  เหตุใดท่านจึงไม่พอใจแล้วละ   ในเวลาที่ท่านไม่พอใจนั้น  ในใจมิใช่กำลังผลักไสโอกาสของการบำเพ็ญและการยกระดับหรอกหรือ  ท่านมิใช่คิดอยากจะได้รับความพอใจเหมือนกับคนธรรมดาสามัญหรอกหรือ  เช่นนั้นท่านมิใช่คนธรรมดาสามัญหรือ   ในเวลานี้ท่านควรคิดได้ว่า  ทำไมฉันไม่พอใจละ  เมื่อคนอื่นต่อว่าตนเอง  ในใจรู้สึกไม่พอใจ  ใช่หรือไม่ว่าตนเองกำลังแสวงหาอะไร  แสวงหาให้คนทุกคนดีต่อฉันในหมู่คนธรรมดาสามัญ มีชีวิตอยู่อย่างสบาย แล้วท่านจะยกระดับขึ้นมาได้อย่างไรละ ดังนั้นจึงยกระดับขึ้นมาไม่ได้   ท่านต้องปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ  จิตยึดติดที่คนปล่อยวางไม่ได้       

   แต่วันนี้พวกท่านบำเพ็ญต้าฝ่านี้  ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญอย่างครบถ้วนแล้วว่า ในสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ คนที่ทำงานอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญจะบำเพ็ญอย่างไร   ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญต้าฝ่า ท่านสามารถมีการงานของท่านทำได้  ท่านสามารถมีการค้าของท่าน    ท่านสามารถมีชีวิตครอบครัว  และกิจกรรมทางสังคมทั้งหลาย  ต้าฝ่าซึ่งเผยแพร่และมีวิธีการบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญจึงไม่กระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน  จุดนี้ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญอย่างครบถ้วนแล้ว    เพราะต้าฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั้นมุ่งโดยตรงต่อใจคน  ในท่ามกลางผลประโยชน์ทางวัตถุให้ท่านทิ้งจิตยึดติดของท่าน  แต่ไม่แน่ว่าต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางวัตถุไปจริงๆ    เพราะข้าพเจ้ามองเห็นว่าวัตถุโดยตัวมันเองหาได้แทนสิ่งใดได้ไม่   ครอบครัวท่านร่ำรวยมหาศาล  บ้านของท่านล้วนแต่สร้างขึ้นมาด้วยทองแท่ง  แต่ในใจท่านกลับไม่มีมันอยู่  มองมันได้อย่างจืดจางมาก       เช่นนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่านี่คือไม่มีการยึดติดในทรัพย์สินเงินทองแล้ว             ก็คือว่าสิ่งที่ต้าฝ่ากำหนด  คือการเปลี่ยนแปลงใจคน  หาใช่ให้ท่านละทิ้งวัตถุอะไร   เช่นนั้นแน่ละในการทดสอบต่อใจคน  จำเป็นต้องเกิดการทดสอบอย่างเข้มงวดเช่นนี้    ดูว่าใจของท่านที่แสวงหาวัตถุเหล่านี้มีมากเพียงไร   ดูว่าท่านมองอะไรเป็นเรื่องสำคัญ  ทุกท่านทราบ ในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าเราล้วนมีทั้งที่ทำการค้า หรือทำธุรกิจใหญ่ พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ในสภาพแวดล้อมของการทำงานของพวกเขา   พวกเขาล้วนเป็นคนดีคนหนึ่ง  ไม่พูดโกหก  ไม่หลอกคน  แต่พวกเขากลับทำการค้าได้ดีมาก  พวกเขาก็ไม่เคร่งเครียดเหมือนกับคนธรรมดาสามัญที่กินไม่ได้ นอนไม่หลับอย่างนั้น    โดยเฉพาะคือในเวลาที่สภาพเศรษฐกิจไม่คึกคักอย่างปัจจุบันนี้  ก็ยิ่งแสดงออกมาซึ่งความแตกต่างของผู้บำเพ็ญ  เมื่อสามารถบรรลุถึงมาตรฐานของการบำเพ็ญของตน  ก็จะมีปรากฎการณ์ที่เหนือสามัญวิสัยชนิดนี้สะท้อนออกมา

ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่คือจิตยึดติดที่ขัดขวางการบำเพ็ญ   มีผู้ฝึกหลายคน ในเวลาที่ท่านประสบกับความขัดแย้ง   ในเวลาที่ในใจคุกรุ่นไม่สงบ  ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า  ความโกรธของท่านนั้นเกิดขึ้นกับคนธรรมดาสามัญ  ทุกท่านคิดดู พระพุทธ เทพ  ผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่นั้น  เขาจะโกรธคนธรรมดาสามัญได้หรือ  เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด  เพราะเขาไม่อยู่ในระดับชั้นของคน  ไม่มีฉิง(อารมณ์ ความรู้สึกผูกพัน)ของคนธรรมดาสามัญ  แล้วจะวางตนเองไปอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้อย่างไรกัน   ในเวลาที่ท่านปฏิบัติต่อความขัดแย้งเหมือนคนธรรมดาสามัญนั้น  ท่านก็เป็นมาตรฐานเดียวกับคนธรรมดาสามัญ  อยู่ในเขตแดนเดียวกันแล้ว  นั่นคือท่านก็อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญแล้ว    มีแต่ในเวลาที่ท่านไม่เหมือนกับพวกเขา  ท่านจึงไม่อยู่ในนั้น    แน่ละเมื่อแสดงออกมา นั่นก็คือให้อภัยด้วยใจโอบอ้อมอารี  มีใจกว้าง  คนธรรมดาสามัญจะมองอย่างนี้   ที่จริงคือการแสดงออกของตำแหน่งของซินซิ่งในระหว่างการบำเพ็ญของทุกท่าน  ดังนั้นไม่ว่าพวกท่านอยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ  หรือสถานการณ์ใดๆ    เมื่อประสบกับความขัดแย้ง  ล้วนต้องมีจิตใจที่ดีงาม  เมตตา ในการปฏิบัติต่อปัญหาทั้งปวง  ถ้าท่านไม่สามารถรักศัตรูของท่าน  ท่านก็จะสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้  (เสียงปรบมือ)  เช่นนั้นเหตุใดในเวลาที่คนธรรมดาคนหนึ่งยั่วให้ท่านโกรธ ท่านจึงไม่อาจอภัยให้เขาได้ละ  ตรงกันข้ามยังถกเถียง ต่อสู้กับเขาเหมือนคนธรรมดาสามัญละ   ในระหว่างผู้ฝึกด้วยกันไม่ใช่เป็นอย่างเดียวกันหรือ

พอบอกเหตุผลให้กับทุกท่าน   ทุกท่านต่างก็เข้าใจกัน  สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกทุกท่านคือหลักการของฝ่า  สิ่งที่ข้าพเจ้าแสดงให้ทุกท่านเห็นก็คือฝ่าชุดนี้   พูดว่าจะทำอย่างไร  ล้วนอาศัยพวกท่านเองไปบำเพ็ญ  แน่ละข้าพเจ้าสามารถช่วยพวกท่าน   ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญทางด้านนี้   คนมากมายจะมองไม่เห็น  การศึกษาฝ่าให้ดีในการบำเพ็ญนั้นสำคัญมาก   ช่วยให้ท่านสามารถละทิ้งจิตยึดติดเหล่านั้นที่วางไม่ลง       ซึ่งในนั้นรวมถึงของส่วนนั้นที่ไม่ดีที่สุด

ท่านอย่าได้เข้าใจว่าทัศนคติของท่านคือตัวท่านเอง   มีหลายคนนะ เวลาที่อ่านต้าฝ่า  จะมีทัศนคติชนิดหนึ่งในการอ่าน   เขาคิดว่า อ้อ  ท่อนนี้ดี  อ้อ  ท่อนนี้ฉันไม่ค่อยเข้าใจ  อ้อ  ท่อนนั้นฉันรู้สึกว่าไม่ดี  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ท่านนั้นเข้าใจว่าตนเองฉลาดมาก  ท่านเข้าใจว่าการประเมินของท่านนั้นถูกต้อง  ที่จริงคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะความคิดของท่านก่อเกิดขึ้นในสังคมคนธรรมดาสามัญนี้  มาตรฐานในการประเมินถูก-ผิดนั้นเป็นมาตรฐานของคนธรรมดาสามัญ   ไม่อาจจะอยู่เหนือคนธรรมดาสามัญได้อย่างแน่นอน   ดังนั้นท่านจึงมองไม่เห็นแก่นแท้ของฝ่าที่คงอยู่อย่างแท้จริง   จิตยึดติดของท่านขัดขวางไม่ให้ท่านได้ฝ่า   ท่านกำลังเลือกอ่านส่วนนั้นที่ท่านรู้สึกว่าดี   ท่านหาได้บำเพ็ญอย่างแท้จริงไม่     เพราะว่า  เมื่อท่านรู้สึกว่าที่ไม่ดี  หรือท่านรู้สึกว่าไม่อยากอ่าน พอดีกับที่จิตใจนั้นที่ไม่ดี  ความคิดที่ไม่ดีซึ่งก่อเกิดหลังกำเนิดของท่านนั้นกำลังส่งผล  แต่มันไม่ใช่ตัวท่านที่แท้จริง  แต่ท่านกลับถือว่ามันคือตัวท่าน  

            เพราะอะไรละ  ทุกท่านลองคิดดู  เด็กทารกคนหนึ่ง ตั้งแต่เขาเกิดมา  เขาไม่มีทัศนคติใดๆของคนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าเคยพูดว่า  เด็กเล็กๆต่ำกว่าหกขวบ  ข้าพเจ้าพูดคำเดียว  ตาทิพย์ของเขาก็สามารถมองเห็นสิ่งของได้  เพราะอะไรละ  เพราะเขาไม่ก่อเกิดสิ่งที่เป็นทัศนคติใดในสังคมคนธรรมดาสามัญ   เพราะเขานั้นบริสุทธิ์  สอดคล้องกับมาตรฐานก่อนกำเนิดของจักรวาลคือ เจิน ซั่น  เหริ่น    พอท่านสะสมสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  มีกรอบทางความคิด   ยกย่องมันว่าเป็นความชำนาญรอบรู้ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  มีประสบการณ์  ที่จริงท่านได้เปลี่ยนแปลงตนเองจนไม่ดีมากแล้ว   ก็เพราะทัศนคติเหล่านี้  ทำให้ท่านไม่อาจจะเข้ากันได้กับความจริง  แก่นแท้ และสัจธรรมของจักรวาล   เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังกำเนิดของท่าน   มันจะเป็นท่านได้อย่างไรกัน  อะไรที่เรียกว่าหวนคืนสู่ความจริงแท้ละ   ต้องชำระล้างตนเอง  ก็คือให้ท่านหวนคืนกลับสู่ความบริสุทธิ์ถูกต้องที่สุดก่อนกำเนิดของท่าน  ไปสู่สภาพที่ไม่มีทัศนคติทางความคิดใดๆ   นั่นจึงจะฉลาดที่สุด  สามารถมองเห็นทุกสิ่งในโลกได้ชัดเจน  เพราะในเวลาที่ท่านไม่มีทัศนคติใดๆ  ทุกสิ่งจะอยู่ในสายตาท่านทั้งหมด    ทุกสิ่งในโลก พอท่านมองก็ทราบได้ว่าเป็นเรื่องอะไร  นี่ก็คือปัญญา  แต่ในเวลาที่ท่านไปดูโดยมีกรอบความคิด  ท่านก็ถูกจำกัดอยู่ในกรอบของท่านเอง   และกรอบของท่านหาใช่สัจธรรม  ท่านรู้สึกว่าความรู้ของท่านสูงมาก  ท่านรู้สึกว่ามาตรฐานในการประเมินของท่านถูกต้อง  ที่จริงไม่ถูก   ข้าพเจ้าก็พูดอย่างนี้  ท่านก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าใจได้ทันทีและเห็นพ้องกับทัศนะของข้าพเจ้า   แต่หากท่านสามารถปล่อยวางจิตใจไปอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ชุดนั้น  ท่านจึงจะเห็นได้ว่าที่แท้หนังสือเล่มนี้คืออะไร     

  ทำไมในประเทศจีนและทั่วโลกมีคนศึกษามากอย่างนี้ แค่ประเทศจีนแห่งเดียวก็มีคนศึกษาเกือบจะถึง ๑๐๐ ล้านคน   มีหลายคนเป็นนักวิทยาศาสตร์  ปัญญาชนชั้นสูง   นักสังคมวิทยา  นักคิด  นักวิจัยปรัชญา   กระทั่งข้าราชการระดับสูง    ในต่างประเทศมีผู้ที่จบปริญญาเอก  ปริญญาโท  นักวิจัย  ศาสตราจารย์ ต่างกำลังศึกษากันอยู่   สติปัญญาของพวกเขาไม่ฉลาดหรือ  โดยเฉพาะคือสังคมนั้นของประเทศจีน ผู้คนมีประสบการณ์มากมายเหลือเกิน  เคยมีความเชื่อ เคยผ่านการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม  และเคยยกย่องบูชา    มีบทเรียนที่ลึกซึ้งมากแล้ว  อะไรๆพวกเขาก็ผ่านมาหมดแล้ว  คนอย่างนี้ ท่านให้เขาเชื่ออะไรอย่างหลับหูหลับตาจะได้ไหม เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาสามารถศึกษาฝ่า  ทำไมพวกเขายืนหยัดแน่วแน่อย่างนั้น นี่โดยตัวมันเองมิใช่อธิบายปัญหาได้ชัดเจนแล้วหรือ    เนื่องจากข้าพเจ้าบอกให้ทุกท่านเป็นคนดี  ข้าพเจ้าบอกให้ทุกท่านเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น  เป็นคนเหนือสามัญวิสัย  เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง  เป็นคนที่สูงส่งยิ่งขึ้น  จนกระทั่งสามารถทำให้ท่านเป็นคนที่สำเร็จสมบูรณ์(หยวนหมั่น)ได้    นี่ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้า หลี่ หงจื้อ พอพูดสองสามคำก็สามารถทำให้คนติดตามข้าพเจ้าเหมือนกับคนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ   ทุกท่านทราบว่าต้าฝ่านั้นมีการจัดการอย่างหลวมๆ  ท่านจะศึกษาท่านก็ศึกษา  ท่านไม่คิดจะศึกษา  ท่านมาจากไหนก็กลับไปที่นั่นได้ตามสบาย  ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ  ไม่มีการบังคับใดๆ  ไม่มีรูปแบบการจัดตั้งใดๆ  และไม่เอาเงินท่านแม้แต่สตางค์แดงเดียว  เหตุใดทุกท่านต่างมารวมกันที่นี่  กระทั่งจะไล่ก็ไล่ไม่ไป  พวกเขาไม่มีความคิดหรือ  ไม่มีสติสัมปชัญญะหรือ  เช่นนั้นบางคนทำไมจึงไม่สามารถปล่อยวางจิตใจ  อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างจริงๆจังๆ   ดูว่าหลี่ หงจื้อกำลังทำอะไรอยู่  ทำไมคนมากมายอย่างนี้บนโลกจึงอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ละ  หลังจากอ่านแล้วท่านอาจจะเข้าใจว่าข้าพเจ้ากำลังทำอะไร

ในปีนั้นที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นถ่ายทอดฝ่านี้อยู่นั้น  ข้าพเจ้ามีความห่วงใยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง  ทุกท่านทราบ  สังคมมนุษย์ทุกวันนี้  ศาสนาใดๆล้วนไม่สามารถทำให้ใจคน  และศีลธรรมของมนุษย์ฟื้นคืนได้แล้ว  จุดนี้ คนในศาสนาเหล่านั้นเองต่างก็รู้   ไม่สามารถจะทำอะไรได้จริงๆ  ไม่เพียงแค่นี้  ปัจจุบันบนโลกนี้ไม่มีคำสอนชนิดใด หลักการชนิดใด  ที่จะสามารถทำให้ศีลธรรมของมนุษย์ฟื้นคืนได้   ที่จะสามารถทำให้ศีลธรรมสูงขึ้นมาได้อีกครั้ง  ยิ่งไม่อาจทำให้คนกลับขึ้นไปสำเร็จสมบูรณ์ได้    ค้นหาไปทั่วทั้งโลกก็ไม่อาจจะมีอีกแล้ว  เช่นนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้  คนจึงตกอยู่ในสภาพที่อันตรายที่สุดแล้ว ต้าฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในวันนี้ หากไม่สามารถช่วยคนได้แล้ว  เช่นนั้น คนก็จะหมดทางช่วยได้อีกแล้ว   เพราะในจักรวาลไม่มีอะไรที่สูงกว่าฝ่าที่สร้างสรรค์จักรวาลอีกแล้ว   ในเวลาที่คนไม่มีความคิดที่ถูกต้อง  ไม่มีศีลธรรมควบคุม   เรื่องเลวอะไรก็กล้าทำ   แต่เทพไม่ยินยอม  ทุกท่านล้วนได้รับข่าวสารบางอย่างจากศาสนา  หรือคำพยากรณ์ หรือนักพยากรณ์คนไหน จากในหนังสือ จากปากใคร  บอกว่ามนุษยชาติมีภัยพิบัติอะไร  ทุกท่านคิดดู  หากมนุษย์เสื่อมทรามลงไปเช่นนี้  ยังไม่อันตรายหรือ  ถึงแม้ไม่มีเทพมาลงโทษคน  คนก็จะเข่นฆ่ากันเอง  ที่จริงคนกำลังทำลายตนเองอยู่แล้ว   กระทั่งทำลายตนเองในสถานการณ์ที่สงบสันติ  ทำลายตนเองอย่างไม่รู้ตัว  มลภาวะต่างๆที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยี  ได้ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติแล้ว  น้ำในอนาคตจะปนเปื้อนทั้งหมด  เทคโนโลยีของมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะทำให้น้ำกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ได้ในระดับแรกเริ่มอย่างนั้นอีกแล้ว    อาหารที่ท่านรับประทานล้วนแต่เร่งให้โตด้วยปุ๋ยเคมี  ทุกท่านคิดดู   หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมนุษย์จะเกิดการเบี่ยงเบน  ร่างกาย  รูปโฉมภายนอกจะเกิดการเบี่ยงเบน   หากคนคิดจะจำลองคน(โคลนนิ่ง)เช่นนั้นคนก็เริ่มดับสลายคนเองแล้ว   มนุษย์ต่างดาวที่คลุมด้วยหนังมนุษย์จะถูกโคลนนิ่งออกมาจำนวนมาก  ยึดครองร่างกายคน  มนุษย์ในอนาคต  พวกเขาจะเติบโตขึ้นมาจากคนชนิดนี้  พวกเขาจะทำอย่างนี้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ          สุดท้ายแทนที่คน

แน่ละ  ข้าพเจ้าสามารถมองปัญหาทั้งหมดในโลกได้กระจ่างแจ้ง  ข้าพเจ้าสามารถพูดถึงปัญหาทั้งหมดของมนุษยชาติ   ขณะนี้ข้าพเจ้าไม่ได้มาถ่ายทอดฝ่านี้เพื่อปัญหาเหล่านี้ของสังคมมนุษย์   แต่เพื่อทำให้ผู้บำเพ็ญสามารถได้ฝ่ายกระดับขึ้นได้อย่างแท้จริงข้าพเจ้าจึงพูดสิ่งเหล่านี้ นี่คือจุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้

เมื่อครู่ได้พูดถึงปัญหาหนึ่งไปแล้ว  ต่อไปข้าพเจ้าจะพูดปัญหารูปธรรมอีกอย่างหนึ่ง  พวกเราบางคน ในการบำเพ็ญมีจิตยึดติดที่ไม่ปล่อยวาง  จึงทำให้ความขัดแย้งนี้ยิ่งโดดเด่น  ทำให้ด่านที่เขาข้ามใหญ่ยิ่งขึ้น  กระทั่งทำให้เขาข้ามไม่ได้   พวกเราที่นั่งอยู่ก็มี    จากนั้นทำให้เขาพลิกไปสู่ฝั่งตรงข้าม  อาฆาตแค้นต้าฝ่า  กระทั่งอาฆาตแค้นข้าพเจ้า     ทำไมคนอื่นไม่เหมือนกับท่านอย่างนี้ละ  คนร้อยกว่าล้านคนนี้ล้วนเป็นคนโง่เขลาหรือ    ทำไมท่านไม่คิดดูว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร บางคนศึกษาต้าฝ่าแล้ว  ข้าพเจ้าบอกเขาว่าต้องเป็นคนที่สง่างามคนหนึ่ง  เป็นคนดีคนหนึ่ง  ไม่ทำเรื่องเลว  เขายังคงไปเล่นการพนัน  พอเสียพนันไปแล้ว   เขากลับหันมาโทษต้าฝ่า   ข้าพเจ้าบอกให้ท่านไปเล่นการพนันหรือ   ตรงกันข้ามข้าพเจ้าบอกท่านว่าไม่สมควรไปเล่นการพนัน  ไม่ทำเรื่องที่ไม่ดีเหล่านี้

ยังมีบางคนนะ  บำเพ็ญต้าฝ่า  ในทันใดประสบกับการบาดเจ็บที่ไม่คาดคิดสักหน่อย  เขาก็โทษต้าฝ่า  ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า  ใน “จ้วนฝ่าหลุน”ข้าพเจ้าได้ยกตัวอย่างหนึ่งว่า  มีคนๆหนึ่ง  หลังจากศึกษาต้าฝ่า  มีอยู่วันหนึ่ง  ทันใดเขาเกิดล้มป่วยแล้ว  คล้ายกับเป็นอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน ร่างกายครึ่งตัวเคลื่อนไหวไม่ได้  หัวสมองซีกหนึ่งเป็นอัมพาต  แต่ว่า พอวันที่สองเขาก็สามารถลงพื้นเดินได้แล้ว   หนึ่งสัปดาห์ให้หลังโดยพื้นฐานเขาก็ฟื้นตัวได้ดีมาก จากนั้น เขาจึงพูดกับผู้ฝึกว่า  ฉันฝึกต้าฝ่า ฝึกจนร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นอัมพาตแล้ว  ไม่อาจฝึกต่อได้อีกแล้ว   ทุกท่านลองคิดดู  ถ้าเขาไม่ฝึกต้าฝ่า  อัมพาตครึ่งตัวของเขาจะหายเร็วอย่างนี้ได้หรือ ทุกท่านล้วนทราบว่าอัมพาตครึ่งตัวเป็นสภาพอย่างไร  เขาโทษต้าฝ่า   พวกเราหลายๆคนควรต้องคิดอย่างจริงๆจังๆ  ทุกข์ภัยนี้ที่ท่านประสบ  ท่านบอกว่าอาจารย์ไม่คุ้มครองท่าน   ท่านทราบไหมว่าหากข้าพเจ้าไม่คุ้มครองท่าน  ก็จะไม่ใช่แขนขาทั้งสี่และร่างกายของท่านที่บาดเจ็บ  แต่อาจจะเป็นชีวิตของท่าน   ท่านทราบไหม  ข้าพเจ้าได้ลดทอนให้แก่ท่านถึงระดับนั้น  แต่ท่านกลับหันมาโทษต้าฝ่า    คนอยู่ในความไม่รู้ชนิดนี้ จึงยากแก่การช่วยเหลือ   หนี้ที่เขาเองติดค้างอยู่ในจักรวาล  เขาไม่คิดจะชดใช้  เขาคิดว่าทุกข์ภัยอะไรก็ไม่มีเลย  อยู่อย่างแสนสบาย  ให้ข้าพเจ้าแบกรับแทนเขาทั้งหมด  นั่นคือการบำเพ็ญหรือ  นั่นจะยกระดับจิตของท่านได้หรือ  เวลาที่ท่านประสบกับปัญหาเหล่านี้  ท่านไม่อาจเกิดความคิดที่ถูกต้องในการปฏิบัติต่อมัน  ท่านจะบำเพ็ญได้อย่างไรกัน    ทางข้างหน้าจะเดินไปได้อย่างไร  ข้าพเจ้าทำให้กับพวกท่านมากมายถึงเพียงนั้น  ท่านยังโทษต้าฝ่า   โทษข้าพเจ้า  หรือกระทั่งด่าว่าข้าพเจ้า  แน่ละ ข้าพเจ้าไม่ถือโทษผู้ใด  ข้าพเจ้าเพียงอธิบายหลักการของฝ่าแก่ทุกท่าน  อธิบายเหตุผลประการหนึ่ง  แม้ท่านจะด่าว่าข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็ไม่อาจถือโทษท่าน  เพราะใจของข้าพเจ้าไม่อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  พวกท่านพูดว่าข้าพเจ้าดี  หรือพูดว่าข้าพเจ้าไม่ดี  พวกท่านพูดว่าข้าพเจ้าเป็นเทพ  พวกท่านพูดว่าข้าพเจ้าเป็นคน  ข้าพเจ้าก็ไม่หวั่นไหวเลย  เพราะจิตใจของคนไหนๆล้วนแต่แตะต้องข้าพเจ้าไม่ได้  หากพวกท่านสามารถบรรลุถึงสภาพการณ์นี้ของข้าพเจ้า   พวกท่านก็ห่างจากการสำเร็จสมบูรณ์ไม่ไกลแล้ว

ข้าพเจ้าเพียงแต่ยกตัวอย่าง  พวกท่านบำเพ็ญ  ใจต้องปรับให้เที่ยงตรง  แน่ละข้าพเจ้าสอนให้ท่านปรับใจให้เที่ยงตรง  ท่านก็ไม่แน่ว่าจะทำได้   ด้วยคำพูดหนึ่งของข้าพเจ้า  ท่านก็จะปรับให้เที่ยงตรงได้แล้วหรือ  มีเพียงประการเดียวที่จะทำให้ท่านเกิดความคิดที่ถูกต้อง  สามารถทำให้ท่านบำเพ็ญขึ้นไปได้   สิ่งที่เป็นรากฐานที่สุดก็คือฝ่าชุดนี้   พวกเรามีคนนับร้อยล้านกำลังบำเพ็ญอยู่  ไม่อาจจะให้ทุกๆคนเป็นเหมือนทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้   และข้าพเจ้าไปอธิบายกับท่านทีละคน ทีละคน  เป็นไปไม่ได้   แต่ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดฝ่าออกมาแล้ว   ข้าพเจ้ายังต้องรับผิดชอบต่อพวกท่าน  เพื่อที่จะสามารถทำให้พวกท่านบำเพ็ญขึ้นมาได้อย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าจึงเลือกใช้วิธีการอันหนึ่ง   คือนำบรรดาสิ่งที่ข้าพเจ้าสามารถจะให้พวกท่าน  นำบรรดาสิ่งที่ข้าพเจ้าสามารถจะช่วยพวกท่านได้  กดอัดเข้าไปในฝ่าชุดนั้นทั้งหมด   ดูแต่เพียงว่าท่านเองคิดจะเอาหรือไม่  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกว่าเวลาที่ไม่เห็นข้าพเจ้าก็ต้องถือฝ่าเป็นอาจารย์  ถือฝ่าเป็นอาจารย์

ต่อไปขอพูดถึงปัญหาเล็กๆเรื่องหนึ่ง   ผู้ฝึกบางคน  เดินสุดขั้วในการบำเพ็ญ   คือในทันใดเขารับรู้(อู้)อะไรได้แล้ว  อ้อ  สิ่งนี้สามารถกระตุ้นจิตยึดติดของฉันได้  ฉันไม่ต้องการแล้ว  จัดการทิ้งมันไป  อ้อ การงานนี้สามารถกระตุ้นจิตยึดติดของฉันได้  ฉันไม่ทำแล้ว  อ้อ  หลบหลีกเสียให้หมด    ทุกท่านคิดดู  นี่คือการบำเพ็ญหรือ  นี่ไม่ใช่เดินสุดขั้วหรือ     ข้าพเจ้ามักพูดอยู่คำหนึ่ง  ข้าพเจ้าว่า พวกเราบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  จะต้องไปบำเพ็ญโดยสอดคล้องกับรูปแบบของคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด   นี่ไม่ใช่คำพูดที่ง่ายๆพื้นๆประโยคหนึ่ง และไม่ใช่ว่าการงานของท่าน แค่ทำไปตามปกติก็บรรลุมาตรฐานของคำพูดประโยคนี้ของข้าพเจ้าแล้ว  ทุกท่านลองคิดดูให้ละเอียด  มันปรากฏออกมาในด้านต่างๆของการบำเพ็ญของพวกท่าน               หากท่านไม่สามารถบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ   ท่านก็ทำลายรูปแบบชนิดนี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญ  สังคมคนธรรมดาสามัญ แม้ว่ามันจะไม่ดี  ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้าฝ่าของจักรวาลบุกเบิกให้กับชีวิตในระดับชั้นนี้ของมนุษย์  ก็เพราะมันไม่ดี  จึงสามารถทำให้คนที่นี่สามารถบำเพ็ญ  คือหลอมละลายสิ่งที่ไม่ดีนี้ของคนทิ้งไปให้กับท่านและยังให้ท่านหลุดพ้นไปจากที่นี่  เหมือนกับดอกบัวนั้น  ที่ผุดขึ้นมาจากโคลนตม แต่กลับมีความศักดิ์สิทธิ์ และบริสุทธิ์    ไม่ว่าอย่างไรทุกท่านอย่าได้เดินสุดขั้ว  ไม่ว่าอย่างไรอย่าได้รับรู้ฝ่าผิดๆ  เวลาที่ท่านเดินสุดขั้ว  เมื่อท่านคิดว่าไม่ต้องการอันนี้  ไม่ต้องการอันนั้น  ในเวลาที่จะทิ้งการงานเหล่านั้น  ที่จริงท่านได้อยู่ในจิตยึดติดอีกอย่างหนึ่งแล้ว   ท่านกลัวจิตยึดติด โดยตัวมันเองนั้น ก็ก่อเกิดจิตยึดติดแล้ว  ก็คือท่านยึดติดกับการหวาดกลัวจิตยึดติด   

ข้าพเจ้าจะพูดเพียงเท่านี้  เพราะอีกสักครู่จะเป็นการเล่าประสบการณ์การบำเพ็ญ ของผู้ฝึก     ข้าพเจ้าทราบว่าผู้ที่นั่งอยู่มีผู้สื่อข่าวหลายคน  และบางคนอาจจะมาจากที่ไกลๆ  ข้าพเจ้าเข้าใจทุกท่านดี   ข้าพเจ้า หลี่ หงจื้อ  ไม่อยากมีชื่อเสียงในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าเพียงต้องการจะรับผิดชอบศิษย์เหล่านี้ เหล่าผู้ฝึกที่บำเพ็ญต้าฝ่าของข้าพเจ้า   จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้ามาออสเตรเลีย  คือการตอบปัญหาที่มีอยู่ในการบำเพ็ญให้กับพวกเขา   สอนให้พวกเขาสามารถยกระดับขึ้นมาได้  แต่ว่านะ  เมื่อพวกท่านมากันแล้ว  ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้พวกท่านกลับไปมือเปล่า   แต่ก่อนนั้น  ข้อกำหนดของข้าพเจ้าคือ   หากท่านไม่อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”  ข้าพเจ้าจะไม่พบกับนักข่าวคนไหนทั้งนั้น  ท่านต้องมีความเข้าใจต่อพวกเราระดับหนึ่ง  ข้าพเจ้าจึงจะไปคุยกับท่าน เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน   พูดกันเพียงสองสามคำจะไม่กระจ่างแจ้ง    สิ่งที่ท่านอยากจะทราบล้วนเป็นเรื่องในสังคมคนธรรมดาสามัญ   ซึ่งข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะตอบ  เนื่องจากในปัจจุบันข้าพเจ้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนธรรมดาสามัญแต่อย่างใด   ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสังคมแต่อย่างใด   แต่ว่า  เมื่อพวกท่านมากันแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าหวังว่าพวกท่านจะสามารถนั่งอยู่ที่นี่อย่างสงบ รับฟังผู้ฝึกของเราเล่าประสบการณ์  รับฟังฝ่าฮุ่ยของเราทั้งสองวัน   จากนั้นข้าพเจ้าค่อยพบกับพวกท่าน  พวกท่านสามารถถามคำถาม  ในช่วงระหว่างการประชุมนี้    ข้าพเจ้าไม่อาจพบกับผู้ใดได้อย่างแน่นอน    เพราะข้าพเจ้ามีหลายเรื่องต้องจัดการ   ฝ่าฮุ่ยของเรานั้นมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ผู้ฝึกยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง    หาใช่เป็นแค่พิธีการ  หาใช่การทำให้คนดู (เสียงปรบมือ)

เอาละ ต่อจากนี้  ผู้ฝึกก็จัดการประชุมต่อไป  ข้าพเจ้าก็พูดเพียงเท่านี้  บ่ายวันพรุ่งนี้  ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาทั่วทุกด้านแก่ทุกท่าน   ตอนนี้ข้าพเจ้าก็จะฟังผู้ฝึกเล่าประสบการณ์

ส่งคำถามขึ้นมาได้   บ่ายวันนี้โดยหลักคือจะอธิบายฝ่าให้กับทุกท่าน  ตอบปัญหาที่ทุกท่านถาม   เมื่อผ่านการบำเพ็ญมาได้ระยะหนึ่ง  มีปัญหาหลายอย่างนั้นสามารถได้รับการแก้ไขจากในหนังสือ   แต่มีบางปัญหามักจะรู้สึกว่า ยังคงต้องถามอาจารย์จึงจะวางใจ   ทุกท่านล้วนมีความคิดอย่างนี้  ข้าพเจ้าก็จะช่วยให้ทุกท่านสมความปรารถนา   ปัญหาที่พวกท่านถาม ข้าพเจ้าก็จะพยายามตอบให้กับทุกท่าน  เอาละ เราก็เริ่มกัน

      

ศิษย์     คนๆหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้นบำเพ็ญนั้น ทุกข์ภัยที่ประสบทั้งหมดใช่หรือไม่ว่าเป็นการจัดวางทั้งหมด หรือเป็นเหตุปัจจัยจากการกระทำของมนุษย์  

อาจารย์      ในการบำเพ็ญเป็นเส้นทางที่จัดวางเอาไว้แล้ว   ที่ข้ามไม่ได้เพราะเหตุปัจจัยจากการกระทำของมนุษย์ เนื่องจากการบำเพ็ญเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก  และไม่อาจเป็นไปได้ว่าจะเหมือนกันทุกเรื่อง  และไม่อาจจะเป็นว่า เรื่องที่เกิดกับท่าน  ก็จะเกิดกับเขาด้วย   เรื่องอย่างเดียวกันก็ไม่อาจจะจัดการแบบเดียวกัน   เพราะบำเพ็ญอยู่ในวังวนใช่ไหม   แต่ถ้าล้วนเหมือนกันหมดดังว่า   ก็จะทำลายวังวนนี้แล้ว  ทุกท่านล้วนรู้แล้วว่าจะไปทำอย่างไร    อ้อ คนอื่นทำอย่างนี้  และทำได้ดีมาก ฉันก็ทำอย่างนี้  นั่นก็ไม่เรียกว่าการบำเพ็ญแล้ว    ที่จริงทุกข์ภัยก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากกรรมของท่านเอง   กรรมที่สะสมลงมาทุกๆชาติทุกๆภพ  ขัดขวางท่านบำเพ็ญ   ขัดขวางท่านหวนคืนกลับสู่ความจริงแท้   ขัดขวางการเลื่อนระดับขึ้นของพวกท่าน  ก็คือกรรมนี้ที่กำลังก่อผลอยู่  ข้าพเจ้าชำระมันทิ้งไปส่วนหนึ่ง  จากนั้นเหลือส่วนหนึ่งไว้ให้ท่านชำระเอง   เนื่องจากในจักรวาลนี้มีหลักการหนึ่ง  ก็คือเมื่อติดค้างแล้วต้องชดใช้  ไม่ว่าชาติไหนภพไหน   เมื่อทำเรื่องเลวแล้วก็จะสะสมกรรม  เช่นนั้นภพต่อไปหรือหลังจากภพปัจจุบัน ไม่ว่าเมื่อใดก็ต้องชดใช้  ดังนั้น ก็คือสิ่งนี้กำลังก่อผล  ข้าพเจ้าเรียกมันว่า ทุกข์ภัย    ที่จริงคนธรรมดาสามัญล้วนมีกัน  คนธรรมดาสามัญเมื่ออยู่ในสภาพที่เจ็บปวด   บรรดาโรคที่ได้รับกับความลำบากในการใช้ชีวิต   ที่จริงก็ล้วนเป็นทุกข์ภัยของเขา   สำหรับผู้ฝึกข้าพเจ้าเพียงแต่จัดวางมันไว้ในระดับชั้นที่ต่างกันของการบำเพ็ญของพวกท่าน   ใช้มันในเวลาที่ท่านข้ามด่านบำเพ็ญยกระดับจิตใจ   อาศัยมัน  ส่งผลอันนี้  แต่คนธรรมดาสามัญเพียงชดใช้กรรมเพื่อการชดใช้กรรม    ดังนั้นมันไม่มีองค์ประกอบของการบำเพ็ญ  และคนธรรมดาสามัญนั้นมีกรรมหนักแค่ไหนก็ชดใช้หนักเท่านั้น   พวกเราที่นี่นะ   เพราะว่าคนต้องการบำเพ็ญ  ถ้าทุกข์ภัยหนักเกินไป  ท่านก็บำเพ็ญไม่ได้แน่  ดังนั้นต้องสลายกรรม  แน่ละย่อมจะมีเงื่อนไข  ทุกท่านล้วนทราบแล้ว  ในฝ่านี้ก็พูดชัดเจนมากแล้ว            ข้าพเจ้าจะไม่พูดซ้ำอีก
ศิษย์           อัตราความก้าวหน้าของการศึกษาฝ่าด้วยตนเองกับอัตราความก้าวหน้าของการศึกษาฝ่าเป็นกลุ่มไม่เหมือนกัน  มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
อาจารย์      การศึกษาฝ่าด้วยตนเอง  หากท่านสามารถยืนหยัดบำเพ็ญจริงต่อไปได้  ก็นับว่ายอดเยี่ยม  แต่ทุกท่านทราบว่า    ท่านไม่อาจก้าวหน้ามากในการศึกษาฝ่าอยู่ที่บ้านคนเดียว  และไม่อาจไม่สัมผัสกับสังคมคนธรรมดาสามัญ   คนในสังคมคนธรรมดาสามัญทุกวันนี้  เป็นคนที่ทำตามอำเภอใจไปแล้ว  เป็นสังคมที่คนกล้าทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีออกมา  หรือก็คือไม่มีมาตรฐานใดๆทางศีลธรรมและไม่มีศีลธรรมใดๆควบคุมแล้ว   มนุษย์ในวันนี้ก็เป็นอย่างนี้   ดังนั้นบรรดาคนที่ท่านสัมผัสในสังคม  ล้วนเป็นคนเหล่านี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญ   สิ่งต่างๆที่พวกเขา พูด คิด  ทำ ล้วนเป็นสิ่งต่างๆที่มนุษย์ในวันนี้ทำกัน

เช่นนั้นท่านบำเพ็ญเอง   ก็ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดีมาก  ที่ท่านสัมผัสล้วนเป็นสภาพแวดล้อมชนิดนี้   เช่นนั้นในความเป็นจริง ท่านก็ถูกสภาพแวดล้อมชนิดนี้กล่อมเกลา  ยากจะยกระดับได้  ข้าพเจ้าเคยพูดว่า  ผู้ฝึกมากมายก่อนที่จะบำเพ็ญ  ล้วนยังรู้สึกว่าตนเองไม่เลว   เป็นคนดี  พอบำเพ็ญขึ้นมาจริงๆ  เขาพบว่า ต่างกันไกล ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น   เพราะเขาคิดว่าตนเองดี   เป็นเพราะตัวเองเปรียบเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบันที่ใช้ไม่ได้แล้ว แต่ไม่ใช่เปรียบเทียบกับศีลธรรมของมนุษย์ในช่วงที่สูงส่งที่สุด  หรือกับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล

ฉะนั้นเมื่อทุกท่านฝึกพลังร่วมกัน  อยู่ด้วยกันสิ่งต่างๆที่ทุกท่านพูด  คิด  ทำ  ล้วนแต่เป็นไปตามความคิดที่ดีงาม  เรื่องอะไรที่ทำ  สามารถพยายามใคร่ครวญถึงผู้อื่น  เป็นสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์มาก  เป็นดินแดนบริสุทธิ์ที่สงบสันติ   เช่นนั้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ พวกเราในฐานะผู้บำเพ็ญอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้  ท่านก็จะซึมซับพลังแห่งความเมตตาชนิดนี้   เป็นเช่นนี้แน่นอน   ดังนั้นที่ข้าพเจ้าบอกให้ทุกท่านฝึกพลังด้วยกันนั้นมีจุดประสงค์อยู่   ผู้ที่ท่านสัมผัสด้วยในสภาพแวดล้อมนี้ ล้วนเป็นคนดีเหล่านี้   คำพูดและการกระทำ กับเรื่องราวทั้งหลายนั้น ย่อมไม่เหมือนกับคนในสังคมคนธรรมดาสามัญ   ดังนั้นสภาพแวดล้อมนี้จึงไม่ควรให้ขาดหายไป  แต่ก็มีบางคนในพื้นที่บางแห่งไม่มีคนศึกษาต้าฝ่ามากนัก   ศึกษาอยู่ที่นั่นคนเดียวหรือสองคนศึกษาอยู่   เขาไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างนั้น  สภาพการณ์ชนิดนี้ก็ได้แต่อาศัยตัวเขาเองแล้ว   ก็มีผู้ฝึกอย่างนี้อยู่จริงๆ  ศึกษาอย่างเงียบๆอยู่จริงๆ และยังก้าวหน้าอยู่   นับว่ายอดเยี่ยม   ตรงนี้ ข้าพเจ้าพูดว่าสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญเป็นกลุ่มนั้นไม่อาจขาดหรือให้น้อยลงได้   เป็นสิ่งที่ดีมาก   ทุกท่านอย่าให้สภาพแวดล้อมนี้ขาดหายไป                สภาพแวดล้อมนี้ก็กำลังหล่อหลอมคนอยู่

ศิษย์           ในระหว่างการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รู้สึกว่าผู้ฝึกชายค่อนข้างเน้นการรับรู้ฝ่าจากด้านเหตุผล  ส่วนผู้ฝึกหญิงค่อนข้างเน้นการรับรู้ฝ่าจากด้านความรู้สึก  หากเป็นปรากฏการณ์โดยทั่วไป  จะเป็นกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน             เพื่อให้ยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้นได้อย่างไร
อาจารย์      เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นด้วย   ผู้ฝึกที่รับรู้ฝ่าได้ดีล้วนแต่สามารถรับรู้ฝ่าได้จากด้านเหตุผล  มีแต่ว่าอ่านหนังสือน้อย  และเป็นผู้ที่ไม่ค่อยก้าวหน้า หรือคนที่เพิ่งเริ่มศึกษา  จึงง่ายที่จะรับรู้ฝ่าจากด้านความรู้สึก   ด้านนี้ไม่มีความแตกต่างของชายหญิง   ผู้หญิงทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ย่อย  พวกเธอมีความคิด  และมีความสามารถ  ไม่อาจมองกันอย่างนี้    โดยเฉพาะรากฐาน(จิตใจ)และความสามารถของผู้ฝึกหญิงไม่ใช่จะแบ่งแยกได้ด้วยรูปลักษณ์ของคน

ศิษย์           จะเข้าใจการบำเพ็ญในภพสองครั้งได้อย่างไร
อาจารย์      เป็นการแสดงออกตามสภาพการณ์ที่แตกต่างกันแบบหนึ่งของผู้ฝึก ที่กำหนดว่าผู้ฝึกบำเพ็ญอย่างไร  หรืออาจเป็นสิบครั้ง แปดครั้ง   เนื่องจากหากท่านเพียงสำเร็จสมบูรณ์ในเขตแดนอรหันต์  เช่นนั้นก็พูดได้ว่า  ท่านบำเพ็ญอยู่ในภพครั้งเดียวก็พอแล้ว    ส่วนการบำเพ็ญให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกนั้น  ก็ต้องบำเพ็ญซ้ำแล้วซ้ำอีกในระหว่างการบำเพ็ญ  บำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง  บางคนค่อนข้างมีความรู้สึกไว  บางคนอาจจะรู้สึกได้ชัดแจ้งสักหน่อย           รับรู้ได้มากสักหน่อย

ศิษย์           ในขั้นตอนการศึกษาฝ่า  ทั้งต้องเข้าใจหลักการของฝ่าให้แจ่มแจ้ง และไม่ตกอยู่ในการยึดติดที่จะแสวงหาความรู้       จะยึดกุมอย่างไรดี                                                                                                                                                                              อาจารย์      ครั้นเมื่อท่านสามารถอยู่ในฝ่ารับรู้ความหมายของการบำเพ็ญแล้ว  ก็จะเข้าใจ   หากคิดจะอยู่ในฝ่ารับรู้ฝ่า  ก็มีแต่ต้องอ่านหนังสือให้มาก  ต้าฝ่าชุดนี้ของเราสามารถไขข้อปริศนาทั้งปวงได้  สามารถปรับใจคนให้ถูกต้องได้   ขอเพียงท่านไปอ่านหนังสือของต้าฝ่าก็จะแก้ไขได้   ทุกท่านมักจะรู้สึกว่ามีปัญหามากมายที่ไม่ได้รับคำตอบ  ที่จริงคือท่านไม่คิดจะได้รับคำตอบ   เพราะเมื่อท่านไปอ่านหนังสือศึกษาฝ่า  ปัญหาอะไรก็จะสามารถแก้ไขได้   ทุกท่านทราบ  ปัจจุบันนี้ทางรัฐบาลยอมรับอย่างเปิดเผยว่า   พวกเรามีร้อยล้านกว่าคน    หากแต่ละคนจะหาข้าพเจ้าถามคำถาม  ให้ข้าพเจ้าตอบให้เขานั้น   ย่อมจะไม่มีโอกาสอย่างนี้เลย  ผู้ฝึกออสเตรเลียที่นั่งอยู่ที่นี่  ขณะนี้สามารถพบกับข้าพเจ้า  ผู้ฝึกจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่อาจพบกับข้าพเจ้าได้เลย   ที่จริงข้าพเจ้าอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่บ่อยมาก   พวกเขาไม่ได้พบข้าพเจ้า เป็นเพราะข้าพเจ้าไม่อาจไปพบพวกเขา   หากมีพื้นที่หนึ่งรู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน  เช่นนั้นผู้ฝึกก็จะพูดต่อไปจนรู้กันทั่วประเทศ  เช่นนั้นคนก็จะมาหาข้าพเจ้าทั้งหมด   สังคมนี้ของประเทศจีนไม่เหมือนกับสังคมอื่น  ผู้คนไม่เข้าใจพวกเรา  ย่อมจะทำให้ต้าฝ่าได้รับความเสียหาย  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อาจพบหน้าพวกท่าน   เช่นนั้นในสภาพการณ์ชนิดนี้  ข้าพเจ้าก็คิดจะรับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของท่าน  เช่นนั้นข้าพเจ้าจะรับผิดชอบได้อย่างไรละ   เมื่อวานนี้ข้าพเจ้ายังพูดประโยคนี้ว่า   ข้าพเจ้านำทุกสิ่งที่สามารถให้กับพวกท่าน  กดอัดเข้าไปในฝ่าชุดนี้แล้ว    ท่านเพียงไปอ่านหนังสือ  อะไรท่านก็จะได้รับทั้งหมด   ผู้ฝึกบางคนอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ไปแล้วสองร้อยกว่ารอบ ก็ยังอ่านอยู่ อ่านแต่ละรอบล้วนไม่เหมือนกัน   เพราะเขาเป็นหนังสือของการบำเพ็ญเล่มหนึ่ง  ข้างในครอบคลุมไว้ด้วยความนัยของระดับชั้นที่ต่างกัน  เมื่อท่านอ่านจบรอบที่หนึ่งแล้ว คำถามทั้งหลายที่เกิดขึ้น  พอท่านอ่านรอบที่สองก็จะได้รับคำตอบ  ท่านก็เข้าใจได้แล้ว   แต่หลังจากท่านอ่านจบรอบที่สอง  ก็จะมีคำถามใหม่อีก  เช่นนั้นเมื่อท่านอ่านรอบที่สาม  ก็จะได้รับคำตอบเช่นกัน   บำเพ็ญอย่างนี้ไม่หยุดหย่อน  อ่านอย่างนี้ต่อไปไม่หยุด   ท่านก็ก้าวหน้าไปไม่มีหยุด   บวกกับการฝึกพลังของต้าฝ่าที่เป็นท่วงท่าเสริม   ท่านก็จะอยู่ในความก้าวหน้า  บางคนมักถามข้าพเจ้าบ่อยๆว่า  ท่านอาจารย์  ผมสามารถจะสำเร็จสมบูรณ์หรือไม่  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะถามท่านว่า  ท่านสามารถทำอย่างที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ได้ไหม  ที่จริงคำพูดนี้ควรถามตนเองว่าสามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่

ศิษย์           หลังจากบำเพ็ญถึงระดับชั้นสูงแล้ว  เซลล์ของร่างกายถูกสสารพลังงานสูงแทนที่ทั้งหมดแล้ว  ในเวลานั้น  ก็ไม่มีการผลัดเซลล์ใหม่อีกแล้ว  นั่นใช่หรือไม่ว่า ไม่ต้องกินไม่ต้องดื่มแล้ว  
อาจารย์      แต่ร่างกายคนทั้งหมดทุกส่วนที่มีอยู่ต้องเปลี่ยนเป็นสสารพลังงานสูง  จึงจะสามารถทำได้  ถ้าชั้นผิวของร่างกายยังบรรลุไม่ถึงก็ทำไม่ได้   ทุกท่านล้วนทราบว่าการฝึกชี่กงสามารถสะสมชี่  และสามารถส่งชี่ออกไป   เมื่อบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูงอย่างแท้จริงนั่นก็ไม่ใช่ชี่แล้ว  ชี่ก็เปลี่ยนแปลงไปจนไม่ใช่อะไรเลย  แต่เป็นพลังงานชนิดหนึ่งของระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น   ซึ่งข้าพเจ้าเรียกมันว่า กง  ที่จริงมันเป็นสสารชั้นยอดในระดับจุลทรรศน์ยิ่งกว่า  และสสารชั้นยอดชนิดนี้  สะสมอยู่ในร่างกายท่าน   แต่ละเซลล์ของร่างกายท่านล้วนสะสมสสารพลังงานสูงชนิดนี้   สสารที่จุลทรรศน์ยิ่งขึ้นนั้น แน่ละมันย่อมมีคุณสมบัติในการบังคับยับยั้ง  นานๆเข้า  สสารพลังงานสูงชนิดนี้  จะค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ  อิ่มตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ฉะนั้นเซลล์ของร่างกายท่านนี้  ใช่หรือไม่ว่าจะถูกมันกลืนกลายแล้วละ  หลังจากเซลล์ของท่านทั้งหมดถูกสสารพลังงานสูงชนิดนี้กลืนกลาย  ท่านยังจะเหมือนกับร่างกายของคนธรรมดาสามัญหรือ   เช่นนั้นร่างกายชนิดนี้  มันเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากสสารพลังงานสูงที่รวบรวมมาจากอีกมิติ   ฉะนั้นยังจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ชนิดนั้นของคนธรรมดาสามัญคงอยู่อีกหรือ   มันก็ไม่คงอยู่แล้ว  ในเวลานี้ท่านสามารถจะไม่กิน ท่านสามารถจะไม่ดื่ม  แต่ไม่เท่ากับว่าท่านไม่อาจกิน ไม่อาจดื่ม  สิ่งต่างๆที่ท่านต้องการอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ่งของในมิตินี้ของเรา   ให้ของๆคนกับท่าน ท่านก็ไม่อยากกินแล้ว  พอเห็นก็สะอิดสะเอียนแล้ว   แต่สิ่งที่ต้องการคือสสารของอีกมิติที่สูงกว่า            

ศิษย์     ผู้ฝึกทั้งหมดของกว่างโจวคิดถึงท่าน  ผู้ฝึกทั้งหมดของกว่างโจวฝากสวัสดีท่าน                                  

อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)                                                                

ศิษย์           คนที่บำเพ็ญของออสเตรเลียโดยทั่วไปใช่ไหมว่าระดับชั้นค่อนข้างต่ำ                                         อาจารย์                   ข้าพเจ้าไม่เคยพูดคำนี้  การบำเพ็ญนั้นขึ้นอยู่กับตัวเองนะ   ที่จริง  พวกท่านบำเพ็ญไปถึงเขตแดนไหนแล้ว    เรื่องนี้ในขณะนี้พวกท่านล้วนไม่สามารถรู้ได้   พอรู้แล้ว   พวกท่านจะมีจิตยึดติดที่รุนแรงมาก  ก็จะกลายเป็นอุปสรรคชนิดหนึ่ง   ก็จะขวางกั้นเส้นทางการบำเพ็ญของท่าน  ดังนั้น  การที่ไม่รู้ก็จะไม่มีจิตยึดติดชนิดนี้ 

ศิษย์     ใน “จิงจิ้นเย่าจื่อ”  อาจารย์เคยกล่าวว่าการบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  หาใช่เรื่องการทบทวนตนเองกับการสำนึกผิดทั่วๆไปของคนธรรมดาสามัญ   รู้สึกวนเวียนอยู่ในขั้นตอนของการทบทวนตนเองกับการสำนึกผิด  ซึ่งทะลวงไม่ข้ามเสียที   ขอเรียนถามว่า  การค้นหาจากภายในใจกับการทบทวนตนเองมีความแตกต่างกันอย่างไร

อาจารย์   การยกระดับในการบำเพ็ญไม่อาจมองเป็นอย่างเดียวกันกับการทบทวนตนเองและการสำนึกผิด  แต่ว่า  หากท่านสามารถทบทวนตนเอง สำนึกผิดด้วยตนเอง  เรื่องนี้โดยตัวมันเองเป็นด้านหนึ่งของการบำเพ็ญ  ก็เป็นความสัมพันธ์กันอย่างนี้

            ทุกท่านทราบว่า ข้าพเจ้ามักพูดเสมอๆ   ข้าพเจ้าว่าท่านอย่าเห็นว่าในศาสนาคริสต์  ศาสนาโรมันคาทอลิกไม่พูดเรื่องการบำเพ็ญ  มันก็เป็นการบำเพ็ญ   เพียงแต่เป็นเพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรมพระเยซูกับพระยะโฮวา ต่างไม่ได้ตรัสถึง “บำเพ็ญ” ศัพท์สองคำนี้   เพราะในวัฒนธรรมนั้นของพวกเขาไม่มีแนวคิดนี้    รูปแบบการนึกคิดก็ไม่เหมือนกัน  เช่นนั้นทุกท่านคิดดู   พวกเขาคือการบำเพ็ญด้วยใช่หรือไม่ละ  เมื่อผู้คนเดินเข้าไปในโบสถ์  จะกล่าวสารภาพบาปด้วยใจที่เคารพนบนอบต่อพระเจ้า  ต่อพระเยซูของพวกเขา   ทำผิดที่ตรงไหน  ทำไม่ดีไปแล้ว   ต่อไปจะทำให้ดี  ต่อไปโดยพฤติกรรมเขาก็ทำได้ดีหน่อย  จากนั้นหากพบข้อผิดพลาด  ก็สารภาพบาปอีก  ไปทำตามมาตรฐานที่สูงยิ่งขึ้น   ทุกท่านคิดดู การบำเพ็ญที่แท้คือการแก้ไขที่ใจคนใช่ไหม   ฉะนั้นนี่คือการบำเพ็ญจิตใช่หรือไม่ละ  สุดท้ายเขาเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเรื่อยๆ ทำดีขึ้นเรื่อยๆ  เขามิใช่บรรลุถึงมาตรฐานที่โลกสวรรค์นั้นของพวกเขากำหนดเอาไว้แล้วหรือ  นั่นไม่ใช่สำเร็จสมบูรณ์แล้วหรือ  เพียงแต่เป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม  ไม่พูดเรื่องพลัง(กง)  ไม่พูดเหมือนวัฒนธรรมตะวันออกที่พูดไว้อย่างอุดมสมบูรณ์อย่างนั้น    ดังนั้นจึงมีคำศัพท์มากมายที่ค่อนข้างเรียบง่าย   ข้อกำหนดก็ค่อนข้างเรียบง่าย พูดแต่เรื่องความเชื่อ            เชื่อเทพอย่างแน่วแน่          

ศิษย์           มีผู้บำเพ็ญที่กำลังประสบกับด่านความเป็นความตาย  แต่เขาไม่มีสติแจ่มแจ้งเช่นนั้นผู้บำเพ็ญที่อยู่กับเขาควรจะทำอย่างไรดี
อาจารย์      “มีผู้บำเพ็ญประสบกับด่านเป็นตาย”  คำพูดนี้ไม่ค่อยถูกต้อง  และเขายังสติไม่แจ่มแจ้งด้วย  นี่ไม่อาจพูดได้ว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญ  แท้จริงแล้วเขาไม่ก้าวหน้า  อาศัยความรู้สึกในการรับรู้ฝ่ากับความกระตือรือร้นของคน  หาได้รับรู้ฝ่าจากเหตุผลได้อย่างแท้จริง  หาได้ก้าวหน้าในการบำเพ็ญอย่างแท้จริง  ไม่ใช่การบำเพ็ญที่แท้จริง  ทุกท่านทราบ  การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  ข้าพเจ้าไม่อาจยอมรับคนอย่างนี้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  เรื่องราวใดๆในโลกล้วนเปรียบไม่ได้กับเรื่องการบำเพ็ญที่เข้มงวดนี้   คนๆหนึ่งที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกรรม  คนที่มีความคิดสกปรกอยู่เต็มสมอง  คิดจะเป็นผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่  บำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์   นี่เป็นเรื่องที่เข้มงวดมากเพียงไร  ผู้บำเพ็ญที่สามารถปล่อยวางของทั้งหมดของคนในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร   ฉะนั้นหากทุกท่านไม่ปฏิบัติต่อ อย่างเข้มงวดจะใช้ได้หรือ   แต่ละด่านทุกท่านไม่อาจผ่านไปได้ด้วยตัวเองจะใช้ได้หรือ  ไม่สนใจใยดี  คล้ายเชื่อแต่ไม่เชื่อ   คล้ายกับบำเพ็ญแต่ไม่ได้บำเพ็ญ    ไม่รับผิดชอบต่อตนเองเลย  เขาจะสำเร็จสมบูรณ์ได้ไหม   ใช่ไหม   หากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านซินซิ่งของต้าฝ่า  นั่นใช้ไม่ได้ คนธรรมดาสามัญย่อมจะต้องเจ็บป่วย  เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือกฎเกณฑ์ของคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์           ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยที่บำเพ็ญ  จะทำอย่างไรจึงจะรักษาความก้าวหน้าได้  ศิษย์บางคนแนะนำว่าไม่เข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ และเข้าร่วมการทำงาน จะทำให้มีสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญที่ดีกว่า

อาจารย์      ข้าพเจ้าว่านี่ก็คือความผิดพลาดอย่างมหันต์   ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่า บางคนเมื่อพบกับสัจธรรมแล้วจะรู้สึกตื่นเต้นมาก  โดยเฉพาะคือวันนี้ข้าพเจ้านำต้าฝ่าถ่ายทอดออกมา  ได้เผยความลับของสวรรค์มากมายอย่างนั้น   เมื่อเพิ่งได้ฝ่าก็จะตื่นเต้นได้   ง่ายที่จะจัดวางความสัมพันธ์ไม่ถูกระหว่างผู้บำเพ็ญกับคนธรรมดาสามัญ  ต้องไปบำเพ็ญให้สอดคล้องกับรูปแบบของสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  ซึ่งไม่ใช่เพียงคำพูดหนึ่งที่ง่ายๆนะ  นี่คือฝ่า  เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงด้านต่างๆเอาไว้   ข้าพเจ้าทราบดีว่าในอนาคตทั่วทั้งโลกจะมีคนมากยิ่งขึ้นมาศึกษาต้าฝ่า  คือคนหลายพันล้านคนที่จะศึกษา   เริ่มแรกที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้  ข้าพเจ้าก็ทราบแล้วว่าผลลัพธ์ของเขาจะเป็นอย่างไร  ถ้าคนมากมายอย่างนั้นล้วนมาศึกษากันแล้ว   ทุกท่านล้วนไม่ทำการงาน  ไม่เล่าเรียนแล้ว  นี่จะใช้ได้หรือ  ดังนั้นก่อนที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดฝ่านี้  ก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว  จะทำอย่างไรที่จะทำให้คนสามารถบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สำคัญมาก   ดังนั้น การงานของท่าน  การเล่าเรียนของท่าน  การค้าของท่าน  ด้านต่างๆเหล่านี้เป็นต้น   ล้วนไม่กระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน  ท่านต้องทำงานและเล่าเรียนไปตามปกติของท่าน    การงานของท่าน  การเล่าเรียนของท่านหาใช่การบำเพ็ญไม่   แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  หลังจากซินซิ่งของท่านยกระดับขึ้นแล้วจะแสดงออกมาในการทำงานและการเล่าเรียนของท่าน ก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้       ดังนั้นศิษย์ต้าฝ่าอยู่ที่ไหน ผู้คนต่างจะบอกว่าท่านคนนี้ช่างดีเหลือเกิน    นี่คือบรรดาสภาพการณ์ที่ปรากฏออกมาจากการไปบำเพ็ญโดยสอดคล้องกับรูปแบบสังคมคนธรรมดาสามัญมากที่สุด   หากท่านทำไม่ถึงจุดนี้  ก็เท่ากับท่านไม่ได้ไปทำตามคำพูดนี้ของข้าพเจ้า  ไม่ได้ไปทำตามข้อกำหนดของอาจารย์  ถ้าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดท่านล้วนไม่เชื่อฟัง   เช่นนั้นท่านยังจะเรียกข้าพเจ้าเป็นอาจารย์เพื่ออะไรกันละ    ข้าพเจ้าจะไม่สอนให้ท่านเดินบนทางที่ไม่ดี  ในเมื่อข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดฝ่าชุดนี้ออกมาแล้ว  ข้าพเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อเขา   ที่จริงข้าพเจ้าเห็นคุณค่าในตัวพวกท่าน  ซึ่งยังมากกว่าที่พวกท่านเห็นคุณค่าของตัวพวกท่านเองเสียอีก   เนื่องจากพวกท่านอยู่พร้อมกันกับอาจารย์  จะเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอนาคต  เป็นแบบฉบับของจักรวาลใหม่  เป็นความหวังในอนาคตของมนุษยชาติ   อย่าได้เป็นว่า พอศึกษาฝ่าแล้ว  เรื่องของคนธรรมดาสามัญก็ไม่ทำแล้ว  เรื่องที่ต้าฝ่าไม่อนุญาต ท่านไม่ทำ   นั่นพูดได้ชัดว่าอู้ซิ่ง(คุณสมบัติของการรับรู้)ของท่านดี   ถ้าหากงานตามปกติของคนธรรมดาสามัญท่านไม่ทำแล้ว  นั่นก็คือมีปัญหา  นั่นคือการยึดติดที่กระตุ้นให้เกิดขึ้นจากจิตยินดี    

ศิษย์           ศิษย์น้อยของเล่อซานฝากสวัสดีท่านอาจารย์   ศิษย์ต้าฝ่าเมืองเป่ยจิงขอแสดงความเคารพอย่างสูงต่อท่านอาจารย์      ศิษย์เมืองต้าเหลียนฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                           

อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)                                                                                                        

ศิษย์         บทที่แปดในจ้วนฝ่าหลุน หัวข้อ “ใครบำเพ็ญใครได้พลัง” ท่านกล่าวว่า “ สื่อสัญญาณทั้งหมด ร่างชีวิตทั้งหมดในร่างกายท่าน   เซลล์ของท่านล้วนจะได้พลัง” สื่อสัญญาณกับร่างชีวิตนี้หมายถึงอะไร
อาจารย์      แต่ละเซลล์ของท่านล้วนเป็นรูปลักษณ์ของตัวท่านเอง   ตลอดจนถึงระดับจุลทรรศน์ยิ่งๆขึ้นไป  ข้าพเจ้าไม่เพียงพูดถึงเรื่องนี้ในฝ่า   ปัจจุบันมนุษยชาติก็รับรู้ได้แล้ว   ในเวลาที่เหล่านักวิทยาศาสตร์หั่นเซลล์ของสัตว์ขนาดเล็กออกเป็นชิ้นบางๆ จากนั้นก็ถ่ายโอนภาพผ่านไปยังคอมพิวเตอร์  เมื่อปรากฏออกมาบนจอมอนิเตอร์  พบว่าเซลล์นั้นคือรูปลักษณ์ของสัตว์ตัวน้อยนั้น  และยังเหมือนกันทุกประการ  แต่มองโดยผิวเผินมันคือเซลล์ๆหนึ่ง   ก็คือว่า เวลาที่ท่านกำลังฝึกพลังอยู่    ร่างกายท่านทั้งหมดล้วนกำลังเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เช่นนั้นมันคือร่างชีวิตหรือไม่ละ  มันใช่อย่างแน่นอน  และทุกสิ่งที่ท่านบำเพ็ญออกมาล้วนคือชีวิต  รวมทั้งพลังของท่าน  รวมทั้งแต่ละอณูของพลังของท่าน อุปกรณ์ฝ่า  ความสามารถพิเศษ  อิทธิฤทธิ์ต่างๆ  ยังไม่ใช่เพียงแค่สิ่งเหล่านี้นะ   พอคนๆหนึ่งจะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว  เขาต้องมีสิ่งต่างอย่างอุดมสมบูรณ์   จึงจะสามารถเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง  ดังนั้นพวกมันล้วนเคลื่อนไหวได้   ล้วนมีชีวิตมีความสามารถ  ก็คือความหมายนี้     
  

ศิษย์           เด็กฝาแฝดคือจิตหลักสองดวงเข้าสู่ครรภ์ในเวลาเดียวกันใช่หรือไม่                                               อาจารย์                  ใช่เช่นนั้นแน่นอน  เขาย่อมไม่ใช่หนึ่งจิตหลักแบ่งครึ่งเป็นสองส่วน  

ศิษย์      ทวีปแอฟริกาหลายแห่งนั้นสามี มีภรรยาได้หลายคน  สามารถจะหงฝ่าให้พวกเขาได้ไหม              

อาจารย์      ทำได้  ใครก็สามารถเรียนได้ ประเพณีของสังคมไม่เหมือนกัน   ผู้คนมีการรับรู้ต่างกันต่อศีลธรรม  หลักเหตุผล  ทัศนคติ   ดังนั้นจึงแตกต่างกันมาก  นี่ล้วนไม่กระทบต่อการบำเพ็ญของพวกเขา  ในสภาพแวดล้อมใดๆ  ในชนชั้นใดๆ  คนไหนๆ ล้วนสามารถบำเพ็ญได้  เพียงแต่ดูว่าพวกเขาจะบำเพ็ญหรือไม่         

ศิษย์           ร่างกายคนของเราที่อยู่ในมิตินี้  เป็นแค่เพียงอณูหนึ่งของร่างจักรวาลอันมหึมา  และอณูมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน  ก่อเกิดมิติที่ต่างกัน  มิติที่ก่อเกิดนั้นล้วนมีร่างกายหนึ่งของท่านอยู่   และมิตินี้ไม่ใช่เพียงท่านคนเดียว        ทว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
อาจารย์      ถูกละ  ความเข้าใจนี้ถูกต้อง  ตัวท่านเองแม้จะเป็นร่างชีวิตๆหนึ่ง   แต่ท่านก็เป็นอณูหนึ่งของจักรวาลทั้งหมด เป็นสมาชิกหนึ่งของชีวิตโดยรวม อย่างเช่นก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ ท่านเป็นร่างชีวิตหนึ่งๆ  และสามารถพูดได้ว่าเป็นชีวิตโดยรวมของเขตแดนนี้   แต่ละเซลล์ของร่างกายท่านล้วนเป็นรูปแบบอณูหนึ่งที่เป็นเอกเทศ ซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนกับตัวท่าน  และยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างรวมทั้งหมด

ศิษย์             อาจารย์บอกว่าสภาพสังคมยุคโบราณกับคนโบราณของประเทศจีนดีกว่ายุคนี้   เช่นนั้นเรื่องราวการต่อสู้แย่งชิงในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ ควรจะไปเข้าใจอย่างไร   ใช่ไหมว่า เหมือนกับที่ขงจื่อพูดว่า  ก่อนยุคชุนชิวจั้นกั๋ว(ยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนก่อน ค.ศ. ๔๐๓ - ก่อน ค.ศ. ๒๒๑ จนกระทั่งจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมรัฐต่างๆ ๖ รัฐ เป็นจักรวรรดิจีนผืนแผ่นดินเดียวกัน)ในยุคที่มีสามอ๋อง    ห้าจักรพรรดินั้น          สังคมยุคโบราณจึงนับว่าดี   
อาจารย์    สังคมยุคโบราณล้วนดีกว่ายุคปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน   นี่คือการเปรียบเทียบระหว่างคนกับคน   ที่จริงมิตินี้ของคนก็คือ ไม่ดีอย่างมาก  มองจากมิติใดๆในจักรวาลที่สูงกว่าระดับชั้นของมนุษย์นี้  คนที่นี่ล้วนไม่ดี  สกปรกที่สุด  และมองไม่เห็นภาพที่แท้จริงของจักรวาลมากที่สุด  ฉะนั้นเดิมทีมันก็ไม่ดี  คนทุกวันนี้ก็ยิ่งไม่ดี   เพราะทัศนคติของคนทุกวันนี้กลับกัน   ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าคนเมื่อเปรียบกับอีกมิติหนึ่งนั้นกลับกัน    นั่นเป็นเรื่องที่ฟ้าลิขิต   คือข้าพเจ้าพูดว่าทัศนคติของคนทุกวันนี้  เปรียบกับคนในอดีตนั้นล้วนแต่กลับกัน   ดี-ไม่ดี ล้วนแต่กลับกัน  ดังนั้นคนปัจจุบันเมื่อทำชั่ว  เขาไม่รู้แล้วว่าตนเองกำลังทำชั่ว   เขาคิดว่าทำเรื่องที่ดี     หากท่านบอกว่าเขามุ่งแต่จะเอาประโยชน์อย่างเดียว  เขาจะบอกว่าเป็นความสามารถ   บางคนพอถูกพวกลักเล็กขโมยน้อยลักทรัพย์ไปแล้ว  เขาไม่พูดว่าหัวขโมยไม่ดี  เขาจะพูดว่าตัวท่านไม่ได้ดูแลให้ดี  นี่มิใช่ทัศนคติทั้งหมดกลับตาลปัตรแล้วหรือ   คนยุคปัจจุบันพูดว่าคนยุคโบราณไม่ดี  ที่จริงคือการที่คนปัจจุบันใช้ทัศนคตินั้นที่ไม่ดีไปแล้วในปัจจุบันไปตัดสินคนโบราณ   ท่านดูภาพยนตร์ฮ่องกงที่ถ่ายทำคนโบราณฆ่าฟันกัน  นั่นเป็นเพียงวรรณกรรม  เป็นการเขียนให้เกินเลย   ในประวัติศาสตร์นับพันปีที่ยาวนาน  เรื่องชนิดนั้นมีน้อยมาก   ทุกท่านต่างเข้าใจดีว่า  งานศิลป์นั้นต้องทำให้เกินเลยชีวิตจริง

คนในอดีตพูดกันว่า “เวลาตีคนต้องไม่ตีที่ใบหน้า”  คำพูดนี้ฟังดูพื้นๆมาก  แต่แม้กระทั่งทำสงครามคนก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้   ไม่อาจทำตามอำเภอใจ  แต่คนในปัจจุบัน พอตีกันขึ้นมาก็เอาแต่จะตีที่ใบหน้า คลั่งแค้นเหลือเกิน   ชั่วร้ายอย่างยิ่ง  ไม่มีการควบคุมใดๆ    คือคนนั้นไม่เหมือนกัน  แน่ละแล้วทำไมยุคโบราณมีสงครามละ   ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  นั่นคือฟ้าลิขิต  เพราะสิ่งที่หลักการของจักรวาลกำหนดให้กับมิตินี้ของคน คือการกรีฑาทัพปราบปรามใต้หล้า  พระราชาปกครองแผ่นดิน  ผู้ชนะเป็นวีรบุรุษ  สิ่งนี้หากมองจากระดับชั้นสูงล้วนแต่ไม่ดี  แต่ในหลักการที่กลับกันของคนก็ได้ปรับเข้ากับหลักการที่กลับกันกับจักรวาล   กี่พันปีมาแล้ว ที่บังเกิดผลต่อสังคมมนุษย์  เมื่อกรรมของคนหนักแล้ว  เช่นนั้นก็ต้องสลายกรรม ดังนั้นภัยพิบัติทางธรรมชาติและสงครามจึงเกิดขึ้นได้         

ศิษย์           เมื่ออ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”หรือฟังท่านตอบปัญหาบรรยายฝ่าในที่อื่นๆ  มีคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจความหมาย  จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับคำศัพท์เหล่านี้ให้ได้หรือไม่ อาทิเช่น “ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”   “ ต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้นแน่นอน”   

อาจารย์            ความหมายชั้นผิวของคำศัพท์นั้นโดยทั่วไปจะเหมือนกับการรับรู้ของคนธรรมดาสามัญ  ไม่แน่ว่าจะต้องไปคุ้ยแคะหาความหมายของคำศัพท์เหล่านี้  เวลาทุกท่านอ่านหนังสืออย่าได้คุ้ยแคะหาความหมายของตัวอักษร   ให้ท่านอ่านต่อไปเรื่อยๆ  แต่ต้องรู้ว่าตนเองกำลังอ่านฝ่าอยู่  สิ่งที่อ่านคืออะไรต้องรู้   แต่ความนัยของฝ่าไม่ได้อยู่ที่ชั้นผิว  เมื่อพวกท่านเข้าใจแจ่มแจ้งในการรับรู้ที่นอกเหนือและสูงยิ่งขึ้นของคำพูดนั้น  ก็คือการปรากฏออกมาของหลักการของฝ่า  ฝ่ากำลังปรากฏให้เห็น    

ศิษย์           เป็นหมอฝังเข็ม  เวลาปักเข็มจะสัมผัสกับผิวหนังของผู้ป่วย  หรือเวลาใช้กระปุกร้อนอังในการรักษา  ก็จะดูดสิ่งที่สกปรกและขุ่นจำนวนมากออกมาจากผิวหนังผู้ป่วย   สภาพการณ์สองชนิดนี้จะถ่ายทอดกรรมได้  ผู้บำเพ็ญสามารถจะทำงานอย่างนี้ต่อไปได้ไหม

อาจารย์      อย่าได้คิดหยุมหยิมอย่างนั้น   เนื่องจากกิจกรรมทั้งหลายของพวกท่านในสังคม ล้วนแต่สัมผัสอยู่กับคนธรรมดาสามัญ   อย่างเช่น  เก้าอี้ที่ท่านนั่ง  คนอื่นเพิ่งนั่ง  ท่านจะนั่งหรือไม่  สิ่งที่คนอื่นจับต้องท่านจะจับต้องหรือไม่   การสัมผัสที่เว้นช่วงชนิดนี้  ก็เป็นการสัมผัส   สังคมนี้ก็สกปรก ก็เป็นอย่างนี้  ผู้บำเพ็ญไม่อาจมีจิตใจกลัวนั่นกลัวนี่   ก่อเกิดเป็นจิตยึดติดอีกชนิดหนึ่ง   ยึดติดกับการกลัวนั่นกลัวนี่    ให้บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย  สิ่งที่ร่างกายท่านเปล่งออกมาคือแสงของฝ่าที่ถูกต้อง  ศิษย์ต้าฝ่าหลายๆคนนั้นทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์   เวลาทดลองเกี่ยวกับเชื้อจุลินทรีย์นั้น   ในขณะที่ไม่ตั้งใจเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ใกล้กับมือก็ตายหมดแล้ว    ตัวอย่างแบบนี้มีมากเหลือเกิน  ก็คือว่า  ผู้ฝึกต้าฝ่านั้น ตัวท่านเองก็มีความสามารถที่จะฆ่าจุลชีพอยู่แล้ว  เนื่องจากท่านไม่ได้ใช้วิธีการของชี่กงไปรักษา   แต่ท่านเลือกใช้วิธีการรักษาของคนธรรมดาสามัญ  นี่ไม่เป็นไร   แม้ว่าท่านสามารถปนเปื้อนกรรมได้เล็กน้อย  ทว่าก็น้อยนิดมากๆ  ไม่มีผลกระทบอะไร     แต่หากท่านใช้ชี่กงรักษาโรค นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว    นั่นคือท่านกำลังปฏิสัมพันธ์(แลกเปลี่ยน)กับคนอื่นอย่างชัดแจ้ง  ท่านนำโรคข้ามมา  นำส่งที่ดีให้คนอื่น     ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่าอาจารย์ชี่กงปลอมเหล่านั้น  เขาไม่เคยผ่านการบำเพ็ญ  เขาคิดแต่จะหาเงิน  ที่จริงเขากำลังทำร้ายตนเอง   ทำร้ายตัวเองจนถึงชีวิต   เพื่อเงิน อะไรคนก็กล้าทำ              และยังไม่รู้ว่าเป็นการทำร้ายตนเอง    

ศิษย์           ผมบำเพ็ญได้สองปีกว่าแล้ว  มีศรัทธามั่นคงต่อต้าฝ่า  และมีความเข้าใจในระดับหนึ่ง  แต่ในเวลาที่ประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน  ผมกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี  ในใจรู้  แต่พูดออกมาไม่ได้  ผมจึงไม่อยากพูด   นี่คือความสามารถในการแสดงออกไม่ดีแต่กำเนิดหรือว่ามีความเข้าใจต่อฝ่าไม่เพียงพอ
อาจารย์      นี่ไม่แน่ว่าจะเป็นปัญหาความเข้าใจต่อหลักการของฝ่า    การบำเพ็ญของแต่ละคน ล้วนมีสภาพการณ์ไม่เหมือนกัน 
  

ศิษย์           บำเพ็ญก่อนกับบำเพ็ญทีหลังมีอะไรแตกต่างหรือไม่

อาจารย์      ไม่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าบำเพ็ญก่อนแล้วจะเป็นอย่างไร  บำเพ็ญทีหลังแล้วจะเป็นอย่างไร   ต้าฝ่ายังถ่ายทอดอยู่   ขอเพียงได้รับแล้ว ท่านก็ไปบำเพ็ญ  หากไม่สามารถทำให้ท่านสำเร็จสมบูรณ์  นั่นก็ไม่ให้ท่านบำเพ็ญแล้ว  ระดับชั้นสูงหรือต่ำไม่ได้อยู่ที่การเข้ามาก่อนหรือหลัง  แต่เป็นการบำเพ็ญของตัวเอง  

ศิษย์           ในขณะนั่งสมาธิ   พบว่าศีรษะส่ายและหมุนไปมาโดยควบคุมตัวเองไม่ได้   ทำให้สงบลงมาไม่ได้ในเวลาที่นั่งสมาธิ  กลับทำให้ใจของผมรู้สึกหวาดหวั่น  นี่เป็นเรื่องอะไรกัน 
อาจารย์      มีสองสภาพการณ์    อย่างหนึ่งคือผู้ฝึกใหม่  ก่อนที่ยังไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริงนั้น   เป็นไปได้ว่า  เมื่อก่อนท่านเคยศึกษาอะไรอื่นมาก่อน  หรือว่าในบ้านเคยบูชาของอะไร หรือเคยกราบไหว้อะไร  เช่นนั้นก็ไม่อาจจะขจัดทิ้งสิ่งของอะไรที่ก่อเกิดจากการทำเรื่องที่ไม่ดีในหมู่คนธรรมดาสามัญแล้วชักนำมา  ในขณะที่ฝึกพลังอยู่ หากท่านสามารถแน่วแน่ในการบำเพ็ญต้าฝ่าได้อย่างแท้จริง   เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะขจัดมันทิ้งไป    ยังมีสภาพการณ์อีกชนิดหนึ่ง  ก็คือเมื่อคนบำเพ็ญแล้ว ในระหว่างการปรับร่างกายในระยะแรก   เมื่อก่อนตรงส่วนไหนเคยมีโรค  เช่นนั้นก็อาจจะเป็นการสะท้อนของการขจัดกรรมทางด้านนี้ไป   สาเหตุทั้งสองชนิดล้วนมีได้  แต่ว่าพยายามอย่าส่ายตามมันไป  หากยากที่จะควบคุมได้จริงๆ  ท่านก็ลืมตาฝึก     ณ เวลานี้ทำไมท่านไม่ขยับละ  เช่นนั้นท่านก็คงสภาพในเวลานี้ฝึกไปจนมันไม่ขยับอีกท่านค่อยปิดตา   ผู้บำเพ็ญพอโจวเทียนใหญ่เปิดโล่งก็จะเกิดการส่ายหน้าได้
  

ศิษย์           ศิษย์ต้าฝ่าทั่วทั้งเมืองพิตส์เบิร์กฝากสวัสดีท่านอาจารย์

อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)     

ศิษย์           เวลาที่ผู้ใหญ่ฝึกสมาธิในความสงบ  เด็กจะนอนหลับอยู่ข้างๆได้ไหม  เช่นนี้แล้ว จิตหลักและจิตรองของเด็กจะมีผลกระทบอะไรไหม

อาจารย์     ความหมายของท่านคือเด็กจะได้รับพลังหรือไม่  แต่ท่านกลับไม่พูดตรงๆ   เพราะมีจิตยึดติดอยู่ข้างใน  ข้าพเจ้าไม่ใช่เคยพูดหรือว่าคนหนึ่งฝึกพลัง ทั้งครอบครัวจะได้รับประโยชน์หรือ อย่างน้อยที่สุดสนามพลังที่ท่านมีนั้นจะมีประโยชน์ต่อคนทั้งครอบครัว    เพราะท่านบำเพ็ญอยู่ในฝ่าที่ถูกต้อง    พลังงานที่เมตตาและสงบชนิดนั้น  สามารถปรับแก้สภาพการณ์ที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดได้      

ศิษย์           มีคนพูดว่าหลังจากบำเพ็ญถึงระดับชั้นหนึ่งที่แน่นอน    หากมักจะพูดกับคนอื่นหรือระลึกถึงขั้นตอนการบำเพ็ญเมื่อก่อนของตนเองหรือความรู้สึกเวลาที่สลายกรรมก็จะตกกลับไปที่ระดับชั้นในเวลานั้น
อาจารย์      จะเป็นไปได้อย่างไรละ   ในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง   การบอกเล่าขั้นตอนการบำเพ็ญ  เป็นการบอกให้ตนและศิษย์ต้าฝ่าคนอื่นที่จะข้ามด่านอย่างนี้อีกสามารถข้ามได้ดียิ่งขึ้น   ไม่กระทบต่อระดับชั้นแต่อย่างใด   แต่หากมีจิตโอ้อวด  นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว  พูดออกมาก็จะมีผู้ฝึกที่ไม่อยากฟัง

ศิษย์           เมื่อวานนี้ท่านพูดว่า  สสารกับจิตเป็นสิ่งเดียวกัน   เช่นนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับการศึกษาฝ่าของพวกเรา
อาจารย์      คนที่ถามคำถามยังไม่ได้ศึกษา   ยังไม่เข้าใจฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยาย  แต่ข้าพเจ้าก็สามารถตอบให้ท่านได้  เพราะข้าพเจ้า ณ ที่นี้ก็คือการบำเพ็ญ  เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินชัดแล้ว  ในการบำเพ็ญสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายคนได้   การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้  ล้วนเป็นสิ่งที่นำมาโดยการเลื่อนสูงขึ้นของซินซิ่งและความนึกคิดของผู้บำเพ็ญในระหว่างที่บำเพ็ญ   เช่นนั้นตามปกติผู้คนเข้าใจกันว่าซินซิ่งนั้นอยู่ในขอบข่ายของจิตใจ  จิตใจกับสสารไม่ได้เชื่อมต่อกัน   และมีหลายคนรู้สึกว่าจิตนี้กับพลังที่ฝึกมีอะไรเกี่ยวข้องกันละ     ของพวกเรานั้นคือการฝึกพลังใช่ไหม  จะพูดหลักการเหล่านี้ไปทำไมละ นี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงที่คนจำนวนมากที่ฝึกพลังแต่พลังไม่โตขึ้น   เวลาที่บอกให้ท่านเข้าใจหลักการ  จะทำให้ความคิดของท่านเลื่อนสูงขึ้น  ทำให้เขตแดนของท่านสูงขึ้น   สามารถให้ท่านเข้าใจหลักการที่สูงยิ่งขึ้นได้   นั่นก็คือเขตแดนความคิดของท่านหลังจากที่ยกระดับขึ้น   ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ของเขตแดนความคิดของท่าน  เมื่อท่านบรรลุมาตรฐานนี้แล้ว  พลังของท่านจึงสามารถโตขึ้นมา   ก็คือเหตุผลนี้    หากท่านไม่เข้าใจเหตุผลอันนั้น   วันๆท่านฝึกพลังจากเช้าถึงค่ำ ท่านฝึกโดยไม่กินไม่ดื่ม  ท่านก็ไม่อาจมีพลังเพิ่มขึ้น   แต่ท่านพูดว่า  ฉันจะอ่านแต่หนังสือไม่ฝึกพลัง  ก็ไม่อาจพูดได้ว่าท่านเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญต้าฝ่า    เพราะท่านศึกษาโดยถือว่าเขาเป็นทฤษฎี   การบำเพ็ญนั้นมีแต่ตัวเองคิดอยากจะบำเพ็ญ   มีความปรารถนาคิดจะบรรลุการสำเร็จสมบูรณ์  ขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมของการบำเพ็ญ   นี่จึงเรียกว่าบำเพ็ญ   นี่ก็บรรยายให้ท่านในระดับชั้นผิว   ที่แท้การยกระดับของจิตใจก็คือการยกระดับของพลัง  เพราะจิตใจกับสสารคือสิ่งเดียวกัน

ศิษย์           เมื่อผมกำลังอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ให้เข้าใจ   มีอยู่หลายครั้งเกิดสภาพการณ์ที่คล้ายกันชนิดหนึ่ง  ก็คือขณะที่อ่านทำความเข้าใจนั้น  ทันใดก็รู้สึกศีรษะหนักอึ้ง  ง่วงมาก  แต่ไม่ได้นอนหลับไป   รู้สึกว่าตามักจะกลอกไปมาอยู่ ณ ท่อนใดท่อนหนึ่งของหนังสือ    ทันใดก็ปรากฏคำพูดอีกท่อนหนึ่งออกมา     แต่ไม่ใช่คำพูดใน“จ้วนฝ่าหลุน”
อาจารย์      นี่ก็คือกรรมทางความคิดของท่านขัดขวางท่านอย่างหนักมากแล้ว  ไม่ให้ท่านอ่านหนังสือศึกษาฝ่า   มันทำให้ท่านง่วง ให้ท่านนอนหลับ  ให้ท่านสูญเสียความคิดที่ถูกต้องกับสำนึกที่ถูกต้อง  กระทั่งเมื่อมันกระวนกระวายขึ้นมา ก็จะแสดงออกมารบกวนท่าน   ยังจะแสดงตัวอักษรออกมาในความคิดของท่าน   มารที่บ่อนทำลายต้าฝ่าก็จะทำเช่นนี้ด้วย   กระทั่งเมื่อมันกระวนกระวายก็จะทะเลาะถกเถียงกับท่านในความนึกคิด  หรือพูดกับท่าน ไม่ให้ท่านศึกษา   เช่นนั้นยังไม่เข้าใจหรือ   กรรมทางความคิดนี้หรือการรบกวนจากภายนอกกำลังส่งผลอยู่   มันไม่ให้ท่านเลื่อนขึ้นไป    เพราะการเลื่อนขึ้นไปของท่านจะสลายมันทิ้งไป    ข้าพเจ้าบอกว่าจะชำระกรรมให้ท่านใช่หรือไม่ละ  หากชำระมันไปจริงๆ   ก็จะดับสลายไปจริงๆ  มันจะยอมหรือ   ดังนั้นมันจึงต่อต้านสุดชีวิต    หากท่านถือว่าสิ่งนี้เป็นตนเองแล้ว  เช่นนั้นท่านก็ไม่อาจได้รับฝ่าแล้ว   เพราะฝ่านั้นมอบให้กับท่าน  ไม่ใช่มอบให้กับกรรมเหล่านั้นอย่างแน่นอน   ดังนั้นต้องควบคุมมัน  ต่อให้ง่วงสักเท่าไรก็ต้องควบคุมมันไว้  กำจัดมัน  เมื่อทะลวงผ่านด่านนี้ไป ก็คือเวลาที่สลายมันมันทิ้งไป                   

ศิษย์           ผมรู้สึกว่าปัจจุบันมีเรื่องมากมาย พอพูดก็ผิดทันที  พอทำก็ผิดทันที  ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดและไม่กล้าทำแล้ว  แต่คนรอบข้างมีคนไม่น้อยพูดว่าผมเป็นคนระมัดระวังเรื่องที่หยุมหยิมมากเกินไปแล้ว        

อาจารย์      ข้าพเจ้าก็เห็นเป็นเช่นนี้   ที่จริงนี่เป็นสภาพที่ปรากฏออกมาหลังจากรู้จักสัจธรรมแล้ว และ เห็นว่าหลักการของคนนั้นแท้จริงแล้วกลับกัน มันเป็นการแสดงออกของขั้นตอนหนึ่งของการเดินสู่การเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่ยังคงต้องทำตัวเป็นผู้บำเพ็ญที่สง่าผ่าเผย  บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย  เพียงแต่เขตแดนของผู้บำเพ็ญจะปรากฏออกมาได้  เรื่องที่ทำออกมามีทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว   และเป็นมาตรฐานที่สูง  อย่าเข้าไปในจิตยึดติดอีกชนิดหนึ่ง  กลัวว่าตนเองจะพูดผิด  กลัวว่าตนเองจะทำผิด  ความกลัวนี้ก็เป็นจิตยึดติด  พยายามทำอย่างสง่าผ่าเผย         จะไม่มีปัญหา    

ศิษย์           สามารถจะบอกพวกเราได้หรือไม่ว่ารากเหง้าของจิตที่ฟุ้งเฟ้อ   คืออะไร

อาจารย์      ฉิง  (อารมณ์ )  ท่านชอบที่จะให้ผู้อื่นบอกว่าท่านดี  ท่านชอบที่จะให้ผู้อื่นเยินยอท่าน  ยกย่องท่าน  ท่านชอบที่จะให้ผู้อื่นเทิดทูนท่าน   เรื่องใดๆที่ทำให้ภาพลักษณ์ของท่านเสียท่านจะกลัวทั้งนั้น    ก่อเกิดเป็นสภาพจิตใจชนิดนี้  ก็คือจิตที่ฟุ้งเฟ้อ   จิตที่ฟุ้งเฟ้อ     เป็นจิตยึดติดใช่ไหม   จิตที่รักหน้าตาของคนนั้น  ก็เป็นเรื่องที่หนักหนามาก  ที่จริงหากปล่อยวางจิตใจลงมาได้  อย่าพกพาภาระ(ทางความคิด)มากมายอย่างนั้นเอาไว้จะบำเพ็ญได้เร็วยิ่งกว่า     

ศิษย์           ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ  ด่านมากมายนั้นข้ามง่าย   พอกัดฟันทนก็ผ่านไปได้หมด  แต่ตัว “ฉิง” นี้ข้ามยากมาก  ต่อเนื่องกันมาหลายครั้งก็ข้ามไม่ได้เลย  โดยเฉพาะอุปนิสัยที่ค่อนข้างอ่อนแอ  เป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว    เนื่องจากบำเพ็ญได้เกือบสองปีแล้ว  แต่ในช่วงนั้นเนื่องจากปัญหาอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนชาย  จึงหยุดฝึกพลังไปหลายเดือน   ตอนนี้เริ่มฝึกใหม่อีก   ท่านอาจารย์จะดูแลดิฉันไหม
อาจารย์      ปัจจุบันต้าฝ่ายังเปิดประตูอยู่   ยังมีผู้ฝึกใหม่เข้ามาศึกษาเรื่อยๆ  ผู้ฝึกใหม่ยังคงเข้าประตูมา   เพียงแต่บำเพ็ญอยู่  ล้วนต้องดูตัวท่านเอง  แต่หากท่านเป็นอย่างนี้อยู่เสมอก็ใช้ไม่ได้  ได้รับบทเรียนครั้งหนึ่งก็พอแล้ว   คำว่า “ฉิง” นั้นปล่อยวางได้ยากมาก   ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  คนล้วนแต่เข้าใจว่าความคิด ความรู้สึกของตนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนเอง   มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยผ่านความคิด   ที่จริงไม่ใช่  “ฉิง” เป็นการแสดงออกที่ไม่มีสติสัมปชัญญะมากที่สุด   ในเวลาที่พวกท่านถูก “ฉิง”ชักนำ  พวกท่านก็มีสติขึ้นมาไม่ได้อย่างแน่แท้   พวกท่านคิดดูให้ละเอียดซิ   ในเวลาที่พวกท่านเฝ้าครุ่นคิดไม่ยอมลืมเรื่องบางอย่าง   โกรธแค้นกับเรื่องบางอย่าง  นั่นคือถูกฉิงชักนำ  บางคนควบคุมตนเองไม่ได้  ตื่นเต้นดีใจมาก   ในเวลาที่อารมณ์ไม่เป็นปกติ  นั่นคือ ถูกฉิงชักนำจนสติสัมปชัญญะเลอะเลือนแล้ว    บางคนไม่อาจปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึก  กระทั่งในเวลาเจ็บปวดรวดร้าวใจก็ตัดไม่ลง  ถูกดึงเข้าไปในฉิงโดยไม่รู้จักขัดขืนอย่างนี้   ทั้งหมดล้วนเป็นผลจากฉิง  ที่จริง  ตัวฉิงนี้คือเทพองค์หนึ่งในสามภพของมิติของเรานี้  เขาเป็นผู้สร้างมันให้กับคน  เป็นเทพองค์หนึ่งที่ดำรงอยู่เพื่อคน เพื่อสรรพชีวิตในสามภพ   หากไม่มีฉิง  แต่ละคนจะกลายเป็นคนเย็นชา  หากคนไม่มีฉิง  จะยิ่งชั่วร้ายยิ่งขึ้น  เช่นนั้นมนุษยชาติจะไม่มีความหมายแม้แต่น้อย   ก็เพราะมีฉิง  คนจึงเข้าใจดีใจ โกรธ เศร้า  สนุกสนาน    ก็เพราะมีฉิง  คนจึงมีความรู้สึกผูกพันระหว่างพ่อแม่และบุตรธิดา   ก็เพราะมีฉิง  จึงสามารถก่อตั้งเป็นครอบครัวได้   ก็เพราะมีฉิง   ตนเองจึงสามารถรักและทะนุถนอมบุตรธิดาของตน      ฉิงส่งผลต่อมนุษยชาติอย่างนี้   แต่ว่าเนื่องด้วยการนำพาไปของความคิดที่ไม่ถูกต้อง ฉิงนี้ ยังสามารถทำให้คนเกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง  หรือเกิดวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง    คนพอเกิดมาก็ถูก     ฉิงห่อหุ้มเอาไว้  มันซึมซาบท่วมท้นเข้าไปในเซลล์ทั้งหมดของท่าน   โมเลกุลที่มีอยู่ทั้งหมดในสามภพล้วนถูกมันซึมซาบอยู่    ดังนั้นในการบำเพ็ญจึงยากจะหลุดพ้นได้  ผู้บำเพ็ญ  หากท่านปล่อยวางฉิงนี้ไม่ลง  ทุกสิ่งที่ท่านทำก็ล้วนเป็นพฤติกรรมของคน  ที่จริง  การให้ความสำคัญกับฉิงก็คือการปกป้องฉิงนี้ไว้   เช่นนั้นท่านก็คือคนธรรมดาสามัญ   หากท่านสามารถปล่อยวางมันลงได้  ท่านก็จะไม่อยู่ในนั้น  ก็คือเทพ  ก็เป็นเหตุผลอย่างนี้

พระพุทธ  พระโพธิสัตว์  อรหันต์  เทพ เขาไม่อยู่ในฉิงนี้   เทพนอกสามภพไม่มีฉิงนี้ของคน   แต่แม้ไม่มีฉิงของคน  ไม่เท่ากับว่าไม่ถนอมรักผู้อื่น  เขามีสิ่งที่สูงยิ่งกว่า เรียกว่า ความเมตตา  เป็นสิ่งที่สูงส่งยิ่งกว่า  กว้างใหญ่กว่า            งดงามกว่า       ฉิงเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสามภพ

ศิษย์           ผู้ฝึกฟูโจวโทรศัพท์ให้ผมกล่าวสวัสดีท่านอาจารย์ที่เคารพแทนพวกเขา                                        อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           สิงคโปร์เป็นสังคมหลายเชื้อชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษกันทั่วไป   ประชากร ๓.๒ ล้านคน  ร้อยละ ๗๖ เป็นชาวจีนโพ้นทะเล  แต่ขณะนี้มีเพียงจำนวนน้อยนิดที่ศึกษาต้าฝ่า  ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาด้วยภาษาอังกฤษ  และฟังภาษาจีนได้   แต่มีปัญหาในการอ่านภาษาจีน  นอกจากสาเหตุอื่นแล้ว  ที่กล่าวมานั้นก็เป็นอุปสรรค และความยากลำบากในการได้รับฝ่าของพวกเขา   ศิษย์ก็ได้รับการศึกษาด้วยภาษาอังกฤษ  จึงเข้าใจความลำบากของพวกเขา  ท่านอาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเผยแพร่ต้าฝ่าให้กับคนอย่างนี้ในสิงคโปร์ได้มากยิ่งขึ้น 
อาจารย์      สภาพการณ์ชนิดนี้ในพื้นที่อื่นก็เหมือนกัน  ที่ออสเตรเลียนี่ก็มีคนจีน  หรือชาวจีนโพ้นทะเลของประเทศตะวันตกอื่นๆ   แต่ทั้งหมดเติบโตอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตก  ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถพูดภาษาจีน  แต่สามารถศึกษาฝ่าได้หรือไม่ละ   สามารถจะอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ภาษาอังกฤษ  อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ภาษาอื่นได้         ก็จะได้รับฝ่าเหมือนกัน  ไม่มีปัญหา
  

ศิษย์           ท่านอาจารย์พูดว่า ปัจจุบันคนบนโลกล้วนไม่ควรเป็นคน  ศิษย์เข้าใจอย่างนี้ไม่ทราบจะถูกหรือไม่  คือว่า แรกเริ่มที่คนเหล่านี้ลงมา  หาใช่ตกลงมาเพราะค่อยๆเปลี่ยนเป็นไม่ดี  แต่เสี่ยงภัยลงมา  แต่พอถึงโลกมนุษย์ ก็ล้วนตกอยู่ในวังวน  ก่อกรรมมากมาย  บางคนก่อกรรมมากเกินไป   หลงทางไปหมดแล้ว  ไม่อาจบำเพ็ญได้  แต่แม้จะเป็นเช่นนี้  ท่านอาจารย์มองจุดที่เขาเริ่มลงมาได้ฝ่าจุดนี้  ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนอะไร  ขอเพียงวันนี้เขาเกิดความคิดหนึ่งที่จะบำเพ็ญ  ก้าวเข้าประตูนี้มา ท่านอาจารย์ก็จะช่วยเหลือเขา

อาจารย์     เป็นเช่นนี้โดยพื้นฐาน  แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ลงมาโดยมีความคิดที่ถูกต้อง  ก็มีที่ตกลงมา  แต่การช่วยเหลือคนของต้าฝ่านั้นปฏิบัติอย่างเสมอภาคกันทั้งหมด  ประตูใหญ่นี้ของข้าพเจ้าเปิดจนไม่มีประตูแล้ว   ดูแต่ใจคน  อีกอย่างปัจจุบันคนบนโลก ล้วนไม่ใช่มาเพื่อจะเป็นคน  ข้าพเจ้าเคยพูดคำนี้ว่า  แต่ก็ไม่ใช่ล้วนมาเพื่อเป็นพระพุทธ เต๋า เทพ ก็คือว่าไม่ใช่ล้วนมาเพื่อจะบำเพ็ญ   แต่ล้วนมาเพื่อต้าฝ่า  เกิดขึ้นเพื่อต้าฝ่า  สร้างขึ้นมาเพื่อต้าฝ่า  ในนั้นมีทั้งที่ก่อผลด้านบวกและลบ

ศิษย์           หลังจากศิษย์ศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่าแล้ว  ฝันเห็นท่านสองครั้ง  ล้วนเป็นรูปลักษณ์ในขณะนี้   ศิษย์นั้นได้รับการศึกษาด้วยภาษาอังกฤษ  และเป็นคนเลือดผสม  ทำไมไม่สามารถเห็นฝ่าเซิน(ธรรมกาย)ของท่าน           แต่เห็นเฟินเซิน(ร่างที่แยกออกมา)ของท่าน
อาจารย์      วิถีการบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ข้าพเจ้าไม่อยากบอกกับพวกท่านให้เป็นรูปธรรมเกินไป  ผู้ฝึกบางคนนั้นสภาพการณ์ต่างกัน   และมองไม่เห็นธรรมกายของข้าพเจ้า  ทุกท่านทราบธรรมกายนั้นเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ  ผมสีน้ำเงิน จีวรสีเหลือง   เมื่อยังบรรลุไม่ถึงเขตแดนของพระพุทธ  ก็ไม่อนุญาตให้มองเห็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ  ก็คือประเด็นนี้      เพื่อไม่ให้กระทบต่อการยกระดับของพวกท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่พูดถึงสภาพการณ์รูปธรรมของพวกท่าน  แต่มีบางคนสามารถมองเห็นได้  เมื่อมองเห็นแล้วก็ง่ายที่จะเกิดจิตยินดี  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่พูดสภาพการณ์รูปธรรมมาโดยตลอด  แต่ก็มีคนถามตลอดมา   และบางคนเขามีองค์ประกอบก่อนกำเนิดติดตัวมา  ทำให้เขาสามารถมองเห็น  คนอย่างนี้มีมากมาย   เพราะข้าพเจ้าพูดแล้ว  คนล้วนไม่ได้มาเพื่อจะเป็นคน  เกิดจากสาเหตุนี้    เช่นนั้นบางคนที่บำเพ็ญได้ดี  จำเป็นต้องทะลวงเร็วยิ่งขึ้น  และไม่ให้เขามองเห็น  ดังนั้นจึงทำให้มองไม่เห็น  ศาสนาใดๆหรือการบำเพ็ญชนิดใดล้วนไม่สามารถช่วยท่านให้ไปยังที่ที่อยู่เหนือเทพของเขาได้    เช่นนั้นต้าฝ่าเราสามารถช่วยสรรพชีวิตทั้งปวง  สามารถจะบำเพ็ญได้สูงเพียงใดก็ดูที่ตัวผู้บำเพ็ญเอง    เนื่องจากเขาคือฝ่าของจักรวาล  เขาสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมของการดำรงอยู่ของชีวิตทั้งปวง  สามารถทำให้ท่านหวนกลับไปสู่ตำแหน่งที่เคยอยู่ก่อนกำเนิด   แต่ข้อกำหนดก็สูงเช่นกัน  ผู้ฝึกบางคนจะบำเพ็ญไปถึงระดับชั้นที่สูงมาก หากเผยการรู้แจ้งแล้วก็จะไม่อาจบรรลุถึงเขตแดนนั้นตลอดกาล

เส้นทางการบำเพ็ญ กำหนดตามตัวคน  แต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน  บางคนมองเห็นได้ชัดเจนมาก  วันนี้มองเห็นสิ่งนี้  พรุ่งนี้มองเห็นสิ่งนั้น  บางคนนั้นมองไม่เห็น  อย่าได้เข้าใจว่าคนที่มองไม่เห็นมีระดับชั้นที่ต่ำ   และอย่าเข้าใจว่าคนที่มองเห็นเขาก็บำเพ็ญได้ดี   ระดับชั้นสูงหรือต่ำของการบำเพ็ญต้องดูที่ซินซิ่งว่าสูงหรือต่ำ   นี่แน่นอนทีเดียว   ในประวัติศาสตร์การบำเพ็ญชนิดใดๆ ล้วนแต่ไม่ใช้ความสามารถพิเศษเป็นมาตรฐานในการประเมินซินซิ่งว่าสูงหรือต่ำ   หรือว่าระดับชั้นสูงหรือต่ำ    ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมี

ศิษย์           สิ่งต่างๆที่มีอยู่ล้วนผันแปรมาจากกุศล  เช่นนั้นสิ่งที่ได้รับจากอาจารย์ตรงนั้นจะสูญเสียกุศลหรือไม่

อาจารย์      ข้าพเจ้าเคยพูดไว้อย่างนี้คำหนึ่ง  ข้าพเจ้าว่า พวกท่านล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ  พวกท่านต้องกำหนดตัวเองอย่างเข้มงวด  พวกท่านไม่ว่าใครล้วนต้องไปทำเช่นนี้  เพราะท่านกำลังบำเพ็ญอยู่   นั่นคือข้อกำหนดต่อพวกท่าน   แต่ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ  อาจารย์นั้นมาช่วยพวกท่าน  พวกท่านต้องแจ่มแจ้งในจุดนี้  ดังนั้นพวกท่านอย่าได้นำพวกท่านมาเปรียบกับข้าพเจ้าตลอดไป  

ศิษย์           ท่านอาจารย์พูดว่า  เส้นทางการบำเพ็ญของศิษย์แต่ละคนล้วนจัดวางจนสำเร็จสมบูรณ์  แต่ใน “จ้วนฝ่าหลุน”บอกว่า “ สิ่งที่ติดตัวเขามา  ความสามารถในการอดทนอดกลั้นของเขา           เมื่อรวมเข้าด้วยกันนั้น เป็นสิ่งที่แน่นอน”                                                                                                                                                      อาจารย์   นี่ไม่ขัดแย้ง   แต่ละคนนั้น ข้าพเจ้าล้วนต้องจัดวางให้ท่านสำเร็จสมบูรณ์  แต่ แต่ละคนล้วนไม่แน่ว่าจะสำเร็จสมบูรณ์อยู่ในเขตแดนเดียวกันนะ  คือเหตุผลนี้หรือไม่ละ  ดังนั้นสิ่งที่ติดตัวท่านมา  ความอดทนอดกลั้นของท่าน  ความสามารถในการแบกรับของท่าน  ตำแหน่งก่อนกำเนิดของท่าน ล้วนไม่เหมือนกัน

ศิษย์           “ณ ระดับชั้นที่ต่ำมากก็เปิดพลังเปิดการรับรู้แล้ว”  กล่าวสำหรับคนประเภทนี้  จัดวางให้จนสำเร็จสมบูรณ์จะมีความหมายอะไรหรือ

อาจารย์    ท่านรู้สึกว่าไม่มีความหมาย  คนอื่นรู้สึกว่ามีความหมายนะ  คนที่ไม่ได้บำเพ็ญล้วนรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญเมื่อมีความสำเร็จสักหน่อยก็พอใจแล้ว  พวกเขารู้สึกว่ามีความหมายมาก  และมีชีวิตอย่างมีรสชาติ  ไม่ใช่เหตุผลนี้หรือ  ผู้บำเพ็ญที่ต่างกันจะสำเร็จสมบูรณ์อยู่ในระดับชั้นไหน  กล่าวสำหรับเขาก็คือมีความหมายแล้ว           

ศิษย์           ศิษย์ศึกษาฝ่า ฝึกพลังได้ปีกว่าแล้ว  แต่ว่า แต่ละครั้งที่ฝึกท่าเคลื่อนไหวอยู่  มักจะหาวนอนตลอดวัน  น้ำตาไหลนองหน้า   ใช่ไหมว่ามีจิตยึดติดอะไรยังไม่ปล่อยวางลง                                                                

อาจารย์      ไม่ใช่  หาวนอนเป็นสภาวะหนึ่งของผู้บำเพ็ญ  ระยะแรกของการบำเพ็ญจะพบได้บ่อย  แต่ไม่แน่ว่าจะปรากฏออกมากันทั้งหมด   สภาวะนี้ไม่ใช่ตายตัว  ระยะแรกชี่ที่เกิดขึ้นในร่างกายกรอกเข้าไปในสมอง   เมื่อมันจะระบายออกมาก็จะหาวนอน   ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ไม่ดี    ในระยะแรกที่ปรับร่างกายให้  ทำการชำระล้างสมองข้างในก็จะเกิดสภาพการณ์ชนิดนี้   ล้วนเป็นปรากฏการณ์หนึ่งในขั้นตอนของการบำเพ็ญ       

ศิษย์           เมื่อต่างฝ่ายต่างยึดถือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  จะแยกแยะได้อย่างไรระหว่างจิตยึดติดกับยึดถือความเห็นของตน  อาทิเช่น  เมื่อมีความคิดเห็นต่างกันต่อวิธีการทำงานในเรื่องใด  แต่เลือกได้เพียงวิธีการอย่างหนึ่ง   และการมองแต่ละชนิดล้วนเป็นการแสดงออกโดยอยู่ในระดับชั้นที่ต่างกันของฝ่า  ให้ทำไปตามการรับรู้ของตนเอง หรือว่าทำไปตามข้อกำหนดของกลุ่ม  ศิษย์แต่ละคนจะแสดงออกอย่างไรโดยถือฝ่าเป็นอาจารย์                                                                                                อาจารย์      ในการจัดการปัญหาเมื่อมีความคิดเห็นต่างกัน   หลังผ่านการอภิปราย  ก็ต้องถือต้าฝ่าเป็นสำคัญ  อย่าได้เน้นที่ข้อเสนอของตนเองมากเกินไป  สุดท้ายเมื่อกำหนดแน่นอนแล้ว  ก็ต้องร่วมกันไปทำให้ดี   การยึดถือความเห็นของตนเป็นใหญ่  ถกเถียงกันนาน  ไม่อาจบรรลุความเป็นเอกภาพ  นั่นก็ถูกมารที่ทำร้ายต้าฝ่าหรือถูกจิตมารใช้แล้ว   ดื้อดึงในความคิดเห็นของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมวาง  นั่นก็คือยึดติดต่อตัวเองแล้ว     

ศิษย์           เมื่อคนมีทัศนะต่อเรื่องหนึ่งๆ   ก็จะก่อเกิดทัศนคติของตนเอง  แต่ผู้บำเพ็ญต่างจากคนธรรมดาสามัญคือ  ในขณะที่เขาปฏิบัติต่อทัศนคติของตนเองนั้น จะมีสภาพจิตใจที่ต่างกัน  คนธรรมดาสามัญนั้นยึดติดกับความถูกต้องของทัศนคติของตน  จากนั้นหวังว่าคนอื่นก็จะเห็นพ้องกับตนเอง  ส่วนผู้บำเพ็ญเพียงมีทัศนคติของตนแต่ไม่ยัดเยียดให้กับคนอื่น    เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ                                                               

อาจารย์      ไม่ใช่ถูกต้องอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด   เพราะผู้บำเพ็ญจะไม่ก่อเกิดทัศนคติในหมู่คนธรรมดาสามัญอย่างง่ายๆ   ล้วนต้องยึดถือต้าฝ่าอยู่เหนือทุกสิ่ง  ใช้ฝ่าทะลวงความหลง ทำลายทัศนคติของคนธรรมดาสามัญ  ใช้ฝ่าประเมินทุกสิ่ง  นอกจากยืนหยัดปกป้องฝ่าด้วยความคิดที่ถูกต้องแล้วยังไม่แสวงหาในเรื่องของคนธรรมดาสามัญ  จะทำสำเร็จได้หรือไม่ได้ ล้วนไม่ยึดติด  ยิ่งไม่ควรมีทัศนคติที่ดื้อรั้น  ศิษย์ต้าฝ่าจะปฏิบัติต่อเรื่องการถกเถียงกันอย่างไร  ใช้ความคิดที่ถูกต้องปฏิบัติต่อมันหรือไม่   โดยเฉพาะเมื่อเกิดการปะทะกันทางความคิดเห็นอย่างรุนแรง  ต้องดูตัวเอง  ใจของตนตั้งอยู่ตรงไหน  ตั้งอยู่ในฝ่าร้อยทั้งร้อยไหม   จุดยืนในการยืนกรานความเห็นของตนอยู่ตรงไหน   จะต้องดูแก่นแท้ของความคิดนี้

ศิษย์     ผู้ฝึกของเราที่นี่บางคน  มีอารมณ์ท้อแท้ใจอย่างหนึ่ง  บอกว่าตนเองคงจะเป็นชีวิตในสามภพ  ไม่ว่าจะพยามยามอย่างไรคงไม่อาจออกนอกสามภพได้       ความคิดของเขาถูกต้องไหม
อาจารย์      ใครบอกว่าเขาเป็นชีวิตในสามภพ  ข้าพเจ้าไม่เคยพูดกับใครว่าท่านไม่อาจจะบำเพ็ญได้  ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่สนใจว่าท่านเป็นใคร  ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าท่านทำอะไรมา    ไหนเลยจะเกรงว่าท่านเกิดมาเพื่อทำลายฝ่า            ข้าพเจ้าก็จะช่วยเหลือท่าน(เสียงปรบมือ)

            พวกท่านทราบไหม  ผู้ฝึกต้าฝ่าในวันนี้มีจำนวนมากจริงๆ  ถ้าหากพวกเราเองทำได้ไม่ดี   ด้วยกลุ่มคนที่ใหญ่อย่างนี้ย่อมจะมีผลที่ตามมาไม่เบาเลย    เช่นนั้นบางหน่วยงานของรัฐบาลก็จะเพ่งเล็งแล้ว   ที่จริงตลอดมามีคนที่กำลังทำความเข้าใจอยู่    มีบางคนทำงานเป็นสายลับ  และกำลังฝึกตามผู้ฝึก  ทำการตรวจสอบอยู่  ดูว่าพวกเขา(ผู้ฝึก)กำลังทำอะไร   พวกท่านทราบไหมว่าข้าพเจ้าคิดอย่างไร   ไม่ว่าจะทำงานอะไร  เขาก็เป็นสมาชิกหนึ่งของสรรพชีวิต  ก่อนอื่นเขาคือสรรพชีวิต  กล่าวสำหรับพวกเขา  ข้าพเจ้าคิดว่าเพียงแต่ต่างกันที่การทำงานเท่านั้น   ไม่ว่าพวกเขาก้าวเข้ามาในสภาพแวดล้อมของเราด้วยจิตใจอะไร   ข้าพเจ้าล้วนแต่จะใช้ความคิดที่ดีงามกับเขา  ขอเพียงเขาคิดจะบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบเขา  ดังนั้นมีคนเหล่านี้จากหลายหน่วยงานของรัฐบาลที่เข้ามาทำความเข้าใจต้าฝ่า   เมื่อพวกเขาพบว่าเราไม่มีอะไรปิดบังอำพราง   ไม่มีอะไรที่ไม่ดี  และยังเข้าใจว่าต้าฝ่าดีเหลือเกิน   ก็เริ่มต้นศึกษาต้าฝ่าแล้ว  ต่อมาเขาจึงบอกกับผู้ฝึกว่า  พวกคุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร  ผมนั้นถูกส่งเข้ามา  ผมพบว่าพวกคุณนั้นดีเหลือเกิน  ตอนนี้ผมมาศึกษาแล้ว(เสียงปรบมือ)

            ข้าพเจ้าว่า ต้าฝ่าของเรานั้น ไม่กลัวคนอื่นมาทำความเข้าใจ   ผู้ฝึกเราแต่ละคน  ผู้ปฏิบัติงานของเราแต่ละคนล้วนจะเป็นเช่นนี้  คือ คุณมาทำความเข้าใจ  คุณอยากรู้อะไร  ฉันก็จะให้ท่านรู้หมด  คุณอยากจะดูอะไร  ฉันก็จะเอาออกมาให้ดู   ไม่มีการปิดบังอำพรางแต่อย่างใด  เป็นไปอย่างสง่าผ่าเผย  เพราะนี่คือดินแดนบริสุทธิ์หนึ่งเดียวในโลก  มนุษย์ในวันนี้ เมื่อยังไม่เข้าใจต้าฝ่า  ก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนดีอยู่อีก  หากพวกเขาไม่เข้าใจเรา ไม่ก้าวเข้ามาในสภาพแวดล้อมนี้  เขาก็จะไม่เชื่อจริงๆว่าบนโลกนี้จะมีคนดีเหล่านี้อยู่

ศิษย์           บ่อยครั้งที่ขณะที่ผมเพิ่งตื่นนอนหรือกำลังเดินอยู่นั้น สมองส่วนหนึ่งมักจะท่อง      “จ้วนฝ่าหลุน”ท่อนใดท่อนหนึ่ง  แต่จิตสำนึกหลักของผมกลับกำลังคิดเรื่องของคนธรรมดาสามัญ            นี่ใช่หรือไม่ว่าด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วกำลังท่อง                                                                                                                               อาจารย์        ใช่  จะเกิดสภาพการณ์อย่างนี้ขึ้นได้  ด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จจะปลอดโปร่ง  รู้สึกร้อนใจแทนด้านนี้ของคนที่บำเพ็ญไม่ดีไม่ก้าวหน้า

ศิษย์           สามีดิฉันเคยตั้งคำถามในฝ่าฮุ่ยที่ภาคตะวันออกของนิวยอร์กเมื่อเดือนมีนาคม   ซึ่งท่านอาจารย์พูดให้กำลังใจเขาว่าให้กลับใจ  กลับเนื้อกลับตัวใหม่  เริ่มต้นเป็นคนดี  เขาก็รู้ว่าต้องไปบำเพ็ญจริงตามคำพูดของท่านอาจารย์   แต่ตลอดมาสามีดิฉันตกอยู่ในความสำนึกเสียใจอย่างลึกมาก  และตำหนิตัวเอง  จึงก้าวออกมาไม่ได้และยังมีมารรบกวนอย่างรุนแรง           เป็นมาสี่เดือนกว่าแล้ว 
อาจารย์  จิตสำนึกหลักของสามีท่านอ่อนแอเกินไปแล้ว  ไม่สามารถควบคุมตนเองอย่างมีสติแจ่มแจ้ง   ข้าพเจ้าบอกว่าเขาผิดไปแล้ว  เช่นนั้นเขากลับถลำเข้าไปในสภาพการณ์อย่างหนึ่งของการตำหนิตนเอง  วิ่งไปยึดติดกับอีกขั้วหนึ่ง   และมารก็ฉวยโอกาสใช้จิตใจที่ไม่ถูกต้องนี้ของเขารบกวนเขาอยู่

ศิษย์           เขายังจะบำเพ็ญได้ไหม

อาจารย์   นี่ต้องถามตัวเขาเองแล้ว   ทำไมข้าพเจ้าจึงพูดว่าผู้ป่วยโรคจิตไม่สามารถบำเพ็ญ   ทุกท่านทราบ  ต้าฝ่าของเรานี้ ให้จิตสำนึกหลักของท่านบำเพ็ญ  ก็คือให้กับตัวท่านเอง     พวกท่านต้องบำเพ็ญตนเองอย่างมีสติแจ่มชัด   วิธีการบำเพ็ญทั้งหมดในอดีต   รวมทั้งศาสนาที่มีอยู่ทั้งหมดในอดีต  ล้วนแต่บำเพ็ญจิตรอง  พอคนตายแล้ว  จิตหลักก็ไปเวียนว่ายตายเกิดเช่นเคย  แต่ส่วนนั้นที่บรรลุมาตรฐานได้ไปสวรรค์  แต่กลับไม่ใช่ตัวท่านเองที่แท้จริง  หากแต่เป็นจิตรอง  นี่คือความลับชั่วกาลนาน  ในอดีตนั้นไม่อาจจะเปิดเผยได้    วันนี้เพื่อถ่ายทอดต้าฝ่าชุดนี้ ข้าพเจ้าสามารถทำให้ท่านได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าจึงนำความลับชั่วกาลนานเหล่านี้  เป็นความลับแห่งความลับ  ความลับแห่งความลับของสวรรค์  บอกให้กับสรรพชีวิต  หากตัวท่านเองไม่สามารถบำเพ็ญ   ตัวท่านเองไม่แจ่มแจ้ง  ฝ่านี้ของข้าพเจ้าจะให้กับใครละ  ให้ใครมารับละ  ดังนั้นจึงต้องให้จิตสำนึกหลักของท่านแจ่มแจ้ง  หากท่านไม่แจ่มแจ้งก็ใช้ไม่ได้  ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านอีกครั้ง  ต้องมีสติสัมปชัญญะ  บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย

ศิษย์           เวลานั่งสมาธิจะใช้เบาะหนุนด้านหลังให้สูงขึ้นสักหน่อยและหนุนเอวได้หรือไม่                       

อาจารย์      ทำได้ชั่วคราว    ยอมให้ท่านมีขั้นตอนของการฝึกได้  ในอนาคตทำไม่ได้   เพราะในอนาคตท่านก็ต้องฝึกได้ดีแน่

ศิษย์           ในความฝันท่านอาจารย์พูดกับดิฉันว่าให้บำเพ็ญของจริงเป็นของปลอม  และบำเพ็ญของปลอมให้หมดไปเลย             ท่านก็จะบำเพ็ญสำเร็จได้                                                                                                              อาจารย์                  ในนี้มองได้จากสองด้าน  หนึ่ง  สภาพที่เป็นจริงนี้ของสังคมมนุษย์   ในสายตาของเทพมันหาใช่ของจริงไม่    ยังมีอีก  นี่เป็นการสะกิดเตือนต่อการยึดติดในสิ่งที่เป็นจริงของท่าน   คือการสะกิดเตือนท่านด้านนั้นที่ยึดติดในรูปธรรม  ข้าพเจ้าบอกท่านได้เพียงเท่านี้   ท่านไม่อาจนำคำพูดที่ข้าพเจ้าสะกิดเตือนท่าน  มาเรียกให้ข้าพเจ้าอธิบายออกมาให้กับท่าน  เช่นนั้นข้าพเจ้าจะสะกิดเตือนท่านไปทำไมกัน
  
ศิษย์           ลำดับของคำว่า เจิน ซั่น เหริ่น มีความนัยอะไรเป็นพิเศษไหม                                                          อาจารย์                  คือความประสานกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ “ เจิน” ในนั้นมี เจิน ซั่น เหริ่น    “ซั่น” ข้างในก็มี เจิน ซั่นเหริ่น                  “เหริ่น” ข้างในก็ยังมีเจิน   ซั่น       เหริ่น

ศิษย์           ในหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน”   เมื่อท่านอาจารย์กล่าวถึง พุทธ เต๋า สองสาย  มักจะวางสายเต๋า ไว้หน้าสายพุทธ เช่นนี้มีความเกี่ยวพันกับการเรียงลำดับของ เจิน ซั่น เหริ่น หรือไม่                                               

อาจารย์      ท่านอย่าได้มุ่งความสนใจไปจดจ่อกับเรื่องเหล่านี้  นี่ไม่มีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษอะไร  พุทธเต๋าเทพ  ข้าพเจ้าพูดออกมาคล่องปาก   ข้าพเจ้าอาจพูดเต๋าพุทธเทพ แต่พูดขึ้นมามันไม่คล่องปาก  หรือเทพพุทธเต๋า  มักจะรู้สึกว่าไม่คล่องปากอย่างนั้น  เจิน ซั่น เหริ่น  คล้องจองดีนะ   กลับกันก็ได้ แต่พูดขึ้นมาแล้วไม่คล่องปาก         ข้าพเจ้าพูดอย่างไร      พวกท่านก็พูดอย่างนั้น  

ศิษย์           ผมเป็นคนที่จริงจัง  ระแวดระวัง  และใจร้อนคนหนึ่ง  ผมรู้สึกได้ว่าสภาพจิตใจชนิดนี้กลายเป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญไปแล้ว                                                                                                                        อาจารย์  เป็นอุปสรรคเกินไปแล้ว    ท่านสามารถค้นมันพบ            นี่ก็ดีมาก  

ศิษย์           นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากทัศนคติหลังกำเนิดและกรรมใช่ไหม  หรือว่าเกิดจากคุณสมบัติเฉพาะก่อนกำเนิด

อาจารย์      คือทัศนคติ  ก็คือทัศนคติที่มีลักษณะคล้ายกันชนิดนี้   เป็นสิ่งที่บ่มเพาะมานาน  พอพบกับเรื่องอะไรก็ให้ท่านเข้าไปสู่ทัศนคติชนิดนี้  คุณสมบัติของมันก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า ความระแวดระวัง  จริงจัง  ใจร้อน  ที่บ่มเพาะสิ่งที่เป็นความเคยชินชนิดหนึ่ง  ซึ่งล้วนสามารถจะทิ้งมันไปได้      

 ศิษย์          ท่านอาจารย์พูดว่า อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกข์ยากอย่างนี้ ยังคิดจะบำเพ็ญ  ช่างยอดเยี่ยมนัก    ดิฉันนั้นเพราะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างทุกข์ยากช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน  และจะต้องบำเพ็ญ         นี่คือดิฉันไม่สามารถทนทุกข์ได้หรือเปล่า
อาจารย์      นี่ไม่ใช่เลย  ที่ข้าพเจ้าพูดคือวิธีมองของข้าพเจ้ากับปวงเทพ  แต่ความรู้สึกของท่านนั้นเป็นความรู้สึกตามปกติของชาวโลก   สังคมมนุษย์นั้นทุกข์ยากมากจริงๆ ชีวิตในมิติใดๆ  เขาล้วนแต่สามารถบินไปบินมา  ลอยไปลอยมา  สามารถขยายให้ใหญ่หรือหดเล็กลงได้   ทุกสิ่งล้วนอิสรเสรีได้ดังใจ   มีเพียงมนุษย์กับมิติชั้นผิวที่เป็นเช่นนี้  เมื่อท่านเกิดมา ท่านก็ถูกทุกสิ่งในมิตินี้บังคับไว้แล้ว  ท่านเดินก็จะเหนื่อย  ท่านไม่กินก็จะหิว  ไม่ดื่มจะกระหาย  ใส่เสื้อผ้าน้อยก็จะหนาว  เป็นต้น  นี่คือการเข้าสู่ความทุกข์ที่มิตินี้นำมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ   แน่ละ ยังมีการขัดสีกันด้านซินซิ่งระหว่างคนด้วยกัน   การแสดงออกของกรรม  ก่อกรรมไม่หยุดหย่อนโดยไม่รู้ตัว  ยังมีความทุกข์ที่หลายคนรู้สึกไม่ได้ด้วยตัวเอง   ความทุกข์ที่ยากจะบรรยาย ดังนั้นมนุษย์จึงทุกข์ยาก

ศิษย์           มีผู้ฝึกคนหนึ่งถาม  แต่ละครั้งที่เขาสัมผัสกับโลหะ  มือจะส่งกระแสไฟฟ้าออกมา  เป็นต่อเนื่องมาหนึ่งปีกว่าแล้ว       เรียนถามท่านอาจารย์        ใช่ไหมว่ายังติดอยู่ในระดับชั้นหนึ่ง
อาจารย์      ไม่ใช่  พลังงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างการบำเพ็ญ  หรือพูดว่าพลังกงของท่านกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายท่าน  กล่าวสำหรับคนแล้ว มีหลายสิ่งที่มีไฟฟ้าอยู่ด้วย คนจะอ่อนไหวที่สุดต่อองค์ประกอบของไฟฟ้า ไฟฟ้าเป็นการแสดงออกชนิดหนึ่งของพลังงาน   พูดจากอีกด้านหนึ่ง   หากในการบำเพ็ญด้านไหนของใครที่ก้าวหน้าไม่พอ หรือทางด้านใดยังทำขาดตกบกพร่องไปหน่อย  นี่ก็อาจเป็นการสะกิดเตือนผู้ฝึก  ยังมีอีกสภาพการณ์หนึ่ง    การยกระดับชั้นในระหว่างการบำเพ็ญ  ร่างกายชั้นผิวของคนก็จะมีการทะลวง ความสามารถของการต้านกระแสไฟฟ้าที่สอดคล้องกันมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน และจะมีการแสดงออกอย่างนี้ได้  นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก  ไม่เป็นไร  แต่สามารถจะปรับให้ดีได้ทั้งหมด   

ศิษย์           ในซิดนีย์มีคนโจมตีต้าฝ่า   ผู้ฝึกบางคนจึงเสนอให้ฟ้องร้องเขา  ผมเข้าใจว่านี่คือการใช้วิธีการของคนธรรมดาสามัญต่อสู้กับคนธรรมดาสามัญ        มองอย่างนี้ถูกหรือไม่
อาจารย์      ก่อนอื่นขอยืนยันกับผู้ฝึก  จิตใจที่ปกป้องต้าฝ่านั้นไม่ผิด  ดูว่าเป็นการให้ร้ายฝ่าอย่างไร หากเขาก่อให้เกิดผลกระทบที่แน่นอนระดับหนึ่งต่อต้าฝ่า เมื่อมองจากมุมมองของผู้ฝึกที่จะปกป้องฝ่า   การใช้วิธีการทางกฎหมายจัดการก็ไม่ผิด   แน่ละพวกเราพยายามไม่เอาสิ่งเหล่านี้  หากจำเป็นต้องใช้กฎหมายแก้ไข ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้   แต่เนื่องจากจะช่วยเหลือคนใช่ไหม  พวกเราก็มักจะเปิดทางออกให้ช่องหนึ่ง  ให้โอกาสแก่คน   ไหนเลยจะเกรงว่าเขาเคยให้ร้ายฝ่าโดยไม่เจตนา  และต้องให้เขามีขั้นตอนหนึ่งในการรับรู้  ไปหาเขาคุยด้วย  หากเขายังทำเช่นนี้ต่อไปอีก    เช่นนั้นพวกเราเลือกวิธีการทางกฎหมายสักครั้งก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้   เนื่องจากสมาคมศึกษาต้าฝ่าออสเตรเลียเป็นองค์กรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย  ตามกฎหมายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และไม่ใช่ให้คนโจมตีตามชอบใจ   เพียงแต่ว่าในนั้น เรื่องอย่างนี้จำนวนมากมีความสัมพันธ์กับการบำเพ็ญส่วนบุคคล  อย่าได้ ไม่พิจารณาตนเอง   ใช่หรือไม่ว่าเกิดขึ้นจากจิตยึดติดของตน ใช่หรือไม่ว่าเป็นผลจากองค์ประกอบที่ยึดติดที่ไม่ได้ทิ้งไป   
   

ศิษย์           ปัญหาของผมคือสภาพการณ์ในระหว่างการบำเพ็ญ   มีมากมายนับหมื่นชนิด   พวกเราควรประเมินตัวเองอย่างไร      ใช่หรือไม่ว่าได้ปฏิบัติต่อสภาพการณ์ระหว่างการบำเพ็ญได้อย่างถูกต้องแล้ว   
อาจารย์      ในการบำเพ็ญส่วนบุคคล ความรู้สึกกับสภาพการณ์ที่ปรากฏออกมาทั้งหมด   ต้องถือว่าเป็นสภาพการณ์ปกติของการบำเพ็ญ   ในการบำเพ็ญ แต่ละคน ต่างก็คิดจะข้ามด่านให้ดี  และอยากจะรู้ว่าที่แท้แล้วตนเองข้ามได้ดีหรือไม่ดี    ที่จริงหากท่านสามารถวางเฉยต่อหน้าผลประโยชน์  ท่านก็ข้ามไปได้แล้ว   ท่านสามารถค้นหาสาเหตุของตนเองเมื่อเผชิญกับความขัดแย้ง  จากนั้นแก้ไขตัวเองก่อน  ท่านก็ข้ามไปได้แล้ว   ในการทดสอบชนิดต่างๆสามารถปล่อยวางจิตยึดติดได้  ท่านก็ข้ามไปได้แล้ว  แน่ละ ระดับที่ข้ามไปก็ไม่เหมือนกัน    ผู้ฝึกบางคนเขาสามารถทำได้หมด  บางคนทำได้เพียงเปลือกนอก  ในใจยังปล่อยวางไม่ได้    บางคนดูไปก็ไม่เลว  แต่ในใจยังไม่สบอารมณ์  นั่นก็พูดได้ชัดว่าเขายังเก็บเอาไว้นิดหนึ่ง   เรื่องนี้แยกแยะได้ไม่ยาก
  แต่ว่านะ   ใช่หรือไม่ว่าทุกท่านต้องข้ามทุกด่านข้ามให้ดี  หากข้ามไม่ได้  ท่านก็บรรลุไม่ถึงมาตรฐานของการบำเพ็ญแล้ว   ท่านก็ใช้ไม่ได้แล้ว  ไม่ใช่อย่างนี้  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  การบำเพ็ญนั้น ก็คือแก้ไขใจดวงนี้ของคน   ข้าพเจ้าจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก  ต่อหน้าผลประโยชน์  ต่อหน้าความโกรธแค้น  ในความขัดแย้งระหว่างคนกับคนด้วยกัน  ใจของท่านล้วนจะถูกกระทบ   หากสามารถบรรลุถึงความสงบเยือกเย็นไม่หวั่นไหวได้   ข้าพเจ้าว่านั่นคือยอดเยี่ยม  แต่ละครั้งเมื่อตนเองข้ามด่านได้ไม่ดี  พวกท่านก็จะคิดว่า  ใช่ไหมว่าด่านนี้ฉันข้ามได้ไม่ดี  ฉันก็ใช้ไม่ได้แล้ว  ไม่ใช่  บางคนรับรู้ได้สูงหน่อย  บางคนรับรู้ได้ต่ำหน่อย  บางคนข้ามด่านนี้ได้ดีแล้ว บางคนบกพร่องไปหน่อย   บางคนข้ามไปได้ไม่ดีเลย  แต่ว่า  พวกท่านล้วนจะสำนึกเสียใจภายหลัง  ตำหนิตนเองที่ไม่มุมานะ  ฉะนั้นต้องตัดสินใจแน่วแน่ ครั้งต่อไป พยายาม ข้ามด่านให้ดี ชดเชยครั้งนี้ที่บกพร่อง  เมื่อเกิดการทดสอบข้ามด่านอีก  ตัดสินใจแน่วแน่ ข้ามมันให้ดี   ที่จริงนี่ก็คือการบำเพ็ญ  หากแต่ละด่านล้วนสามารถผ่านไปได้หมด  ข้าพเจ้าว่านั่นไม่ใช่การบำเพ็ญ  นั่นก็คือว่าข้าพเจ้า อาจารย์คนนี้ไม่ทำหน้าที่ให้เต็มที่  จัดวางทุกข์ภัยให้ท่านเบาไป  ซินซิ่งของท่านไม่ได้รับการยกระดับจากในนั้น           ใช่ไหม

ศิษย์           ศิษย์ประเทศญี่ปุ่นฝากสวัสดีท่านอาจารย์

อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)     

ศิษย์           ดิฉันบำเพ็ญได้ประมาณสามปี    คุณแม่ดิฉันจากไปเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว  ท่านก็บำเพ็ญได้สามปี   บ่อยครั้งที่ดิฉัน รู้สึกสำนึกเสียใจกับความบกพร่องในหลายๆเรื่องของตัวเอง  ที่เพิ่มความทุกข์ให้กับท่าน ในช่วงเวลาที่ท่านกำลังข้ามด่านความเป็นความตาย   เนื่องจากในเวลานั้นตนเองไม่สามารถรับรู้อย่างมีสติแจ่มชัดถึงความเข้มงวดของต้าฝ่า    และนึกตำหนิตนเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้อย่างแท้จริงจากในฝ่า
อาจารย์      นี่ก็ไม่มีอะไรต้องตำหนิตัวเอง   ตำหนิตัวเองมากไปก็เป็นการยึดติด   พวกท่านแต่ละคนล้วนกำลังบำเพ็ญ  และอาจทำเรื่องอะไรที่ผิดได้  แต่จะไม่เกิดผลที่แน่นอนกับผู้อื่น  โดยเฉพาะคนอื่นก็เป็นผู้บำเพ็ญเช่นกัน   การบำเพ็ญเป็นเรื่องของแต่ละคน  ถ้าหากในขณะที่เธอเผชิญกับการรบกวนสามารถที่จะควบคุมตัวเองอย่าง  ไม่หวั่นไหวสะทกสะท้าน นั่นจึงเรียกว่าบำเพ็ญนะ   คนอื่นทำได้ไม่ดี  จึงให้ความช่วยเหลือเธอได้น้อยเกินไป  แต่หากผู้บำเพ็ญต้องอาศัยการช่วยเหลือของผู้อื่น  นั่นไม่เรียกว่าการบำเพ็ญด้วยตนเอง  นี่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องตำหนิตัวเอง    เมื่อมีข้อบกพร่องก็รับบทเรียนเหล่านี้ไว้  ทำให้ตนเองทำได้ดียิ่งขึ้นอย่างไร   มองจากหลายๆด้านนะ   บางทีไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเหมือนกับที่ท่านคิดอย่างนั้น  บางทีแต่ละคนที่ศึกษาต้าฝ่าแล้ว ล้วนไม่ศึกษาโดยสูญเปล่า  บางทีในอนาคตการสำเร็จสมบูรณ์ของท่านทำให้เขาได้รับการช่วยเหลือ

ศิษย์           ท่านสามารถพูดถึงโครงสร้างของสสารให้กับพวกเราได้หรือไม่                                                            อาจารย์      ปัญหานี้ใหญ่มากทีเดียวนะ   โครงสร้างของสสารระดับชั้นไหนละ  โครงสร้างของสสารชนิดไหนละ  นั่นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก  ลำดับการเรียงตัวที่ชั้นผิวของโมเลกุลนั้น  ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ก็สามารถรับรู้ได้แล้ว  โครงสร้างทั้งหมดของสสาร นั่นก็พูดได้ไม่จบสิ้น   ข้าพเจ้าพูดกี่วันก็พูดไม่จบ   เมื่อข้าพเจ้าพูดถึงแนวคิดของจักรวาล ก็ยังเป็นการพูดให้กับพวกท่าน โดยใช้การรับรู้ของคน ความคิดของคน  คำศัพท์ของคนถึงขีดจำกัดที่สุด ซึ่งมีข้อจำกัดมาก  และเป็นแบบคร่าวๆ  ก็เป็นเช่นนี้  ข้าพเจ้าก็ได้พูดถึงรูปแบบของการคงอยู่ของสสารชนิดหนึ่งของจักรวาลอย่างคร่าวๆ  และภาษาของคนก็ขาดแคลนและมีข้อจำกัดอย่างยิ่ง เพราะมนุษย์ไม่มีภาษาและคำศัพท์แบบนั้นที่จะอธิบายมันได้

ศิษย์           ในมิติของเรานี้  เรื่องราวต่างๆจะเกิดขึ้นไปตามลำดับของเวลา  ในมิติอื่นที่ไม่มีแนวคิดด้านเวลา   จะปรากฏออกมาอย่างไร ใช่หรือไม่ว่าจะปรากฏออกมาโดยเป็นไปตามยุคสมัยโดยตรง           

อาจารย์      วันนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองคือสัจธรรมไหม  ข้าพเจ้าว่า ในหมู่คนธรรมดาสามัญคือสัจธรรม  ข้าพเจ้าว่าเมื่อออกไปจากมิตินี้มันก็ไม่ใช่สัจธรรม  ในสภาพกาลมิติที่ต่างกันไปมันก็ไม่ใช่สัจธรรม  ก็คือเมื่ออยู่ในสภาพกาลมิติที่ต่างกันนั้น  ท่านไม่อาจใช้แนวคิดของคนมาประเมินมัน  มันก็มีวิธีนับเวลาของมันและรูปแบบวิธีการคงอยู่กับการรับรู้เรื่องราว   ซึ่งไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ดีหรือเลว      บวกหรือลบก็ไม่เหมือนกับการรับรู้ของคน   

 ศิษย์          แต่ละคนต่างมีกรรมของตนต้องชดใช้  กรรมของตัวเอง  ตัวเองต้องแบกรับ  คนอื่นไม่อาจยุ่งเกี่ยวตามชอบใจได้          หากมีคนมีอันตรายถึงชีวิต            ในฐานะผู้บำเพ็ญควรทำอย่างไร                                              

อาจารย์      เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้พูดไปหลายครั้งแล้ว  แม้ว่าผู้บำเพ็ญจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนธรรมดาสามัญ   แต่หากท่านเห็นคนกำลังจะฆ่าคน  กำลังวางเพลิง ท่านไม่สนใจ  นั่นก็เป็นปัญหาซินซิ่ง    การไร้ความหมายมั่นที่ข้าพเจ้าพูดนั้น             พวกท่านอย่าไปหาเรื่องอะไรทำให้ได้ด้วยจิตยึดติด

ศิษย์           ผู้ฝึกฮ่องกงฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                                                       อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)     

ศิษย์           เมื่ออ่านหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน”   ขณะอ่านหนังสือจะมีความคิดวุ่นวายอย่างอื่นแทรกเข้ามาในสมอง                       จะจัดการให้ถูกต้องและปฏิบัติต่อปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
อาจารย์      นี่ล้วนเป็นเรื่องธรรมดามาก  แต่ละคนล้วนจะพบได้   แต่ท่านต้องเอาชนะมันให้ได้   นี่เป็นความคิดและทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิดและเกิดจากกรรมในความคิดของท่าน  มันกำลังรบกวนการบำเพ็ญและได้รับฝ่าของท่าน   ให้ผลักไสมันไป   ฉันก็จะแน่วแน่รวบรวมพลังความสนใจอ่านหนังสือศึกษาฝ่า  การทำเช่นนี้โดยตัวมันเองคือการกำลังสลายมันทิ้งไป   เพราะเป็นฝ่าใช่ไหม  ท่านศึกษาฝ่าก็เป็นการสลายมัน  อย่าให้มันส่งผลกระทบได้อย่างเด็ดขาด  หากว่าตากำลังอ่านหนังสือ  แต่ความคิดไม่อยู่กับหนังสือแม้แต่ตัวอักษรแต่ละตัวที่อ่าน ก็ไม่รู้ว่าอะไรแล้ว  นั่นใช้ไม่ได้   เท่ากับอ่านโดยเปล่าประโยชน์

ศิษย์           แต่ละครั้งที่ข้ามด่านซินซิ่ง คล้ายกับว่าในเวลานั้นได้ข้ามด่านไปแล้ว  แต่หลังผ่านเรื่องนั้นแล้วหันกลับไปมองดู  พบว่ากลับข้ามได้ไม่ดี  หรือไม่ได้ข้าม  นี่ใช่หรือไม่ว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนื่องจากการยกระดับ

อาจารย์      เป็นเช่นนี้    หากท่านยกระดับโดยผ่านการบำเพ็ญแล้ว  พอหันกลับไปมองจะมีความรู้สึกชนิดนี้   ที่จริงคือมาตรฐานสูงขึ้นแล้ว  ข้อกำหนดก็สูงขึ้นด้วย

            เราพักกันสิบนาที        ดีไหม

(ผู้ฝึกมอบช่อดอกไม้ให้อาจารย์           พร้อมกับแสดงความคารวะอย่างสูงที่สุดต่ออาจารย์)

อาจารย์            ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือ)   ดอกไม้เหล่านี้ดูเหมือนจะแพงมากนะ  ทุกท่านไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินเหล่านี้   ไม่ต้องพิถีพิถันในเรื่องเหล่านี้  แต่ว่า ข้าพเจ้าก็ขอบใจพวกท่าน (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ผู้ฝึกบางคน เมื่อก่อนเคยเรียนหลักพลังอย่างอื่น  สามารถนั่งสมาธิสองสามชั่วโมง  พวกเขามักรู้สึกว่าดีกว่าผู้ฝึกที่ไม่สามารถนั่งได้   แต่พวกเขาไม่สนใจศึกษาฝ่าและบำเพ็ญซินซิ่ง   ขอเชิญท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างแก่พวกเรา
 อาจารย์     ไม่ว่าเงื่อนไขทางร่างกายเมื่อก่อนกำเนิดจะเป็นอย่างไร  เมื่อเข้ามาในต้าฝ่าจริงๆก็จะไม่เหมือนกันแล้ว  ผู้ฝึกบางคน เมื่อก่อนเคยเล่นกีฬา  บางคนเคยฝึกเต้นระบำ  ลำขาอ่อนมาก  ขัดขาขึ้นได้ทันที   เบาสบายมาก  แต่นั่นเป็นการฝึกพลังหรือไม่นะ    ไม่ใช่  หากเขาบำเพ็ญจริงๆ  ก็จะพบว่าไม่เหมือนกันแล้ว  ขาที่เคยเต้นระบำกลับขัดขึ้นมาไม่ได้  และยังปวดมาก    เพราะการขัดสมาธิของผู้บำเพ็ญ ไม่อาจจะกลายเป็นเพียงการขัดขาตามลำพังโดยไม่มีกลไกบังคับ       เพราะนี่คือการบำเพ็ญ  ทุกสิ่งที่ท่านมีทั้งหมดล้วนต้องรับผิดชอบต่อการยกระดับของท่าน  รวมทั้งการนั่งสมาธิ   การนั่งขัดสมาธิต้องสามารถทำให้ท่านสลายกรรมได้จริงๆ ยกระดับซินซิ่งขึ้นได้  บังเกิดผลได้จึงจะใช้ได้   การขัดสมาธินานขึ้นไปอีกมีประโยชน์อะไรละ   หากไม่สามารถสลายกรรม  หากไม่อาจบังเกิดผลในระหว่างที่บำเพ็ญ  ขัดขาเพียงเพื่อจะขัดขา  ต่อให้ขัดขาได้นานยิ่งขึ้นแล้วจะมีประโยชน์ที่ตรงไหนละ    เป็นอย่างนี้กระมัง    ที่นี่ ข้าพเจ้าไม่ได้วิจารณ์ใครนะ  เป็นการกำลังบรรยายหลักการของฝ่าอยู่  แต่ไหนแต่ไรมา ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าใครนั่งขัดขาได้นาน ระดับชั้นของเขาก็สูง  หรือเขาบำเพ็ญได้ดีอย่างไร อย่างไร    หากเมื่อก่อนท่านเคยเรียนหลักพลังอย่างอื่น  หรือเคยเต้นระบำ เล่นกีฬา เป็นต้น  เดิมทีนั่งขัดขาไม่ปวด  การขัดขาของท่านเหมือนกับเมื่อก่อน  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วละ  ไม่อาจให้ต้าฝ่าเฉียดมาแล้วผ่านไปเฉยๆนะ หากไม่ศึกษาฝ่าอย่างแท้จริงก็จะไม่รู้คุณค่าของฝ่านี้ คนที่ขัดขาไม่ขึ้น ท่านก็อย่าร้อนใจ หากก่อเกิดเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่งแล้วก็คืออุปสรรค ค่อยๆ ไปฝึกขัดขา ฝึกขัดข้างเดียวก่อน ในที่สุดก็จะขัดขึ้นมาได้ คนที่อายุแปดสิบกว่า ไม่เคยขัดขามาก่อนก็ขัดขึ้นมาได้ ทำไมตนเองจะขัดขึ้นมาไม่ได้ ล้วนแต่ขัดขึ้นมาได้
  

ศิษย์           ศิษย์ศึกษาฝ่ามาหลายปีรู้สึกว่ายังห่างไกลจากการมองความลี้ลับทั้งปวงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

อาจารย์      ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกท่าน  คือคน ณ ชั้นผิวของท่านที่ยังบำเพ็ญได้ไม่ดีแต่คิดจะรู้เรื่องของเทพ  และในความคิดที่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ก็คือทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิดกับกรรมทางความคิด   ฉะนั้นจะให้สิ่งเหล่านี้รู้เรื่องของเทพได้อย่างไรกันละ  และท่านก็แยกแยะได้ไม่กระจ่างว่าความคิดที่ถูกต้องของตนเองที่แท้จริงแล้วคืออะไร  เมื่อท่านอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ  ขณะที่อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”อยู่  ในทันใดเมื่อเข้าใจหลักการหนึ่งของฝ่าได้  ท่านก็อยู่ในระดับชั้นนั้นแล้ว  หาไม่แล้ว  หลักการระดับชั้นนั้นของฝ่าก็ไม่อาจเผยให้กับท่านได้    เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่สามารถจะรู้ได้ทั้งหมดในทันทีละ   เพราะด้านนี้ที่เป็นคน ของท่านที่บำเพ็ญยังไม่สำเร็จ ไม่อาจจะรู้เรื่องของเทพหรือพระพุทธ    แต่ด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จนั้นกลับถูกแยกออกไปแล้ว  ท่านได้แต่ผ่านการศึกษาฝ่าจึงสามารถค่อยๆเข้าใจหลักการระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้นได้   นี่ก็เป็นการเผยให้ท่านอย่างหนึ่งแล้ว   แต่ด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ในทันใดผู้บำเพ็ญก็จะบรรลุถึงมาตรฐานนั้น   ส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จ ในทันใดก็เข้าใจหลักการทั้งหมดที่มีอยู่ในเขตแดนนั้น  ผู้ฝึกบางคน  พอพบข้าพเจ้า หลายคนก็ถามคำถามออกมาไม่ได้  คล้ายกับว่าไม่มีคำพูดอะไรจะพูดแล้ว  ที่จริงพวกท่านก็เข้าใจอะไรได้หมดแล้ว    ด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วพอพบกับข้าพเจ้า ในทันใดก็ตื่นตัวขึ้นมาแล้ว   เปลือกนอกของร่างกายคนที่ชั้นผิวซึ่งยังบำเพ็ญไม่สำเร็จก็เข้าใจแล้ว   แต่คนทางด้านนี้ที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ จะมีปัญหาที่จะถามอยู่ตลอดเวลา  ดังนั้น พอจากข้าพเจ้าไป  ในทันใดคนที่ชั้นผิวก็คิดปัญหาออกมาได้แล้ว  โอ้ ฉันมีปัญหา ทำไมไม่ถามอาจารย์นะ  คนจำนวนมากล้วนเป็นลักษณะอย่างนี้

ศิษย์           ตลอดมาสนใจวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับขั้นตอนการบำเพ็ญและเหตุปัจจัยที่กระทบต่อการบำเพ็ญฝอฝ่าให้ก้าวหน้า    เพื่อกระตุ้นตนเองให้บำเพ็ญดียิ่งขึ้น
อาจารย์      ไม่มีอะไรต้องค้นคว้าวิจัย   ก็คือปัญหาจิตจิตยึดติด   ข้าพเจ้าได้บรรยายหลักการของฝ่าให้กับพวกท่านอย่างกระจ่างแจ้งมากแล้ว   ในอดีตล้วนอาศัยการรับรู้ของคนทั้งนั้น   แต่ข้าพเจ้าได้พูดมันออกมาแล้ว  ในการศึกษาฝ่า อย่าได้มีจิตใจที่จะทำค้นคว้าวิจัย  เมื่อพบกับปัญหา  ท่านก็ค้นหาปัญหาทางความคิดของท่าน  จะออกมาทางด้านนั้นอย่างแน่นอน   ทิ้งจิตยึดติดของท่านเสีย  รับรองว่าจะสามารถข้ามด่านนั้นได้   ก็จะทำได้ดี  และสามารถจะยกระดับขึ้นมาได้

ศิษย์           มักจะร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  ปรึกษาหารือด้วยกันกับคนที่รับรู้เข้าใจต่อฝ่าใกล้เคียงกับตนเองหรือมีวิธีรับรู้ปัญหาต่างๆเหมือนกัน ใช่ไหมว่าก็เป็นการยึดติดชนิดหนึ่ง

อาจารย์      นั่นต้องดูว่าพวกท่านที่ชอบพูดคุยกับผู้ฝึกที่มีความคิดใกล้เคียงกันนั้น  มีใจคนอย่างอื่นๆอยู่หรือไม่   หากไม่มี นั่นก็ไม่เป็นไร  ถ้ามีองค์ประกอบที่ไม่ดี  นั่นอาจจะเป็นอุปสรรคในการก้าวหน้า

ศิษย์           เวลาที่ประสบกับผู้ที่เข้าใจฝ่าต่างกันหรือมีวิธีรับรู้ว่าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งต่างกัน  จะขจัดทัศนคติดั้งเดิมของตนและยกระดับขึ้นมาได้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร  
อาจารย์      ผู้ที่บำเพ็ญท่านไม่อาจยกระดับขึ้นในระดับชั้นเดียวกันพร้อมกับคนอื่น  ดังนั้นท่านกับผู้ฝึกคนอื่นล้วนจะมีทัศนะที่ไม่เหมือนกัน  รับรู้ต่อหลักการของฝ่าต่างกัน    ความเข้าใจที่ไม่เหมือนกันต่อฝ่าในระดับชั้นที่เล็กมากแต่ละชั้นของพวกท่านก็คือความแตกต่าง  ผู้ฝึกแต่ละคนล้วนกำลังก้าวหน้าไป  ล้วนก้าวหน้าอยู่  แต่ความเข้าใจต่อฝ่าอาจจะไม่เหมือนกันทั้งนั้น  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  เวลาที่พวกท่านทำอะไร รวมทั้งทำงานของต้าฝ่า  ต้องพยายามยึดถือต้าฝ่าเป็นสำคัญ  ถือการยืนยันความถูกต้องของฝ่า ช่วยเหลือสรรพชีวิตเป็นสำคัญ ถือการปกป้องต้าฝ่าเป็นรากฐานทางความคิดอันดับแรก ถ้าหากพฤติกรรมในการเผยแพร่ฝ่ากับคนธรรมดาสามัญ จะให้คนธรรมดาสามัญสามารถเข้าใจ  ต้องแสดงออกโดยปฏิบัติตามหลักการชั้นผิวที่สุดของฝ่า   หลักการของฝ่าที่สูงยิ่งขึ้นที่ตนเองรับรู้ได้   หรือบำเพ็ญได้สูงอย่างไร  ที่จริงนั้นท่านก็พูดออกมาไม่ได้    เพียงแต่รับรู้ได้ด้วยใจ  และไม่อาจใช้หลักการที่เหนือสามัญวิสัยไปทำงานกับคนธรรมดาสามัญ  แต่ก็ไม่อาจปนเปกับคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์           ท่านอาจารย์เคยพูดว่าร่างชีวิตของบรรดามิติทั้งหลายล้วนไม่มีร่างกายนี้ของพวกเราคนธรรมดาสามัญ                                                                                                                                                                       อาจารย์      ถูกต้อง  ล้วนไม่มีร่างกายของคนที่ประกอบด้วยโมเลกุลระดับชั้นนี้   แต่ในระดับที่ไม่สูงมากนอกสามภพมีกรณีที่เป็นพิเศษ        ซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่มีสภาพการณ์นี้  

ศิษย์           ดังนั้นจึงไม่เจ็บป่วย  และไม่มีปัญหาการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และไม่มีความเจ็บปวดชนิดนี้แล้ว   คนในมิติอื่นสามารถลอยขึ้นมา  ไม่มีหนักหรือเบา  ช่างงดงามมาก  เช่นนั้นทำไมคนที่ตายแล้ว  และถอดเปลือกชั้นนี้ของกายเนื้อคนแล้ว      แต่พวกเขายังเจ็บปวดได้ละ
อาจารย์      เพราะคนเมื่อตายแล้วไม่ได้ออกไปจากสามภพ  คนที่อยู่ในสามภพนั้น ล้วนแต่เรียกว่าคนนะ  ล้วนแต่เป็นทุกข์   เพียงแต่ยิ่งสูงขึ้นไปในสามภพ เขาก็ดีกว่าระดับชั้นที่ต่ำกว่าเขาอยู่สักหน่อย   คนบนโลกยังไม่นับว่าเป็นทุกข์ที่สุด  ที่จริงยังมีพวกที่ต่ำกว่าคน   และยังมีนรก  ที่ต่ำกว่านรกลงไปอีกก็ยังมีมากนัก   คนเมื่อเปรียบกับเทพก็นับว่าทุกข์ยากที่สุด     ปัญหาการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในสามภพล้วนแต่คงอยู่  ยังไม่ใช่แค่คน   จิตหลักทั่วไปของคนเมื่อออกจากร่างกายคนไปก็ไม่ได้หลุดพ้นไปจากสามภพ  เขายังคงอยู่ในสามภพ  หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ข้างบน    ในสามภพ ระดับชั้นต่างๆที่สูงกว่าคน  ความทุกข์จะน้อยกว่าคนมาก   ถ้าเขายังต่ำกว่าคนแล้ว  ในระดับชั้นที่ต่ำกว่าคน  เช่นนั้นความยากลำบากของเขานั้นย่อมมากกว่าคน   คนในแต่ละระดับชั้นภายในสามภพล้วนเรียกรวมๆว่าคน  แต่คนบนสวรรค์เรียกคนบนโลกของเราว่าคน เรียกคนบนสวรรค์ว่าชาวสวรรค์

ศิษย์           ศิษย์นานกิงฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                                                   อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)  

ศิษย์           ผู้ฝึกทั้งหมดของเซินเจิ้นฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                                อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           หนึ่งปีก่อนผมได้สัมผัสกับต้าฝ่า  ผมรู้สึกว่าดีมาก  แต่ผมเชื่อถือศาสนา  ไม่อยากทิ้งมัน  ตามข้อกำหนดของต้าฝ่า  สมควรยึดแนวทางเดียว  ผมยากที่จะเลือกระหว่างต้าฝ่ากับศาสนา เรียนถามว่าจะทำอย่างไรดี
อาจารย์  เรื่องนี้ลองถามตัวเองดูจะดีกว่า   คิดจะเลือกอะไร ตัวเองเป็นคนกำหนด  แต่ในหลักการของฝ่าข้าพเจ้าได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว  ทางนั้นแม้เป็นการเดินด้วยตัวพวกท่านเอง แต่ข้าพเจ้าก็นำเหตุการณ์ที่เป็นจริงในวงการบำเพ็ญบอกกับพวกท่านแล้ว    ในปีนั้นที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดพลังอยู่ในประเทศจีน  พอข้าพเจ้าทางฝั่งนี้เริ่มการบรรยาย  เช่นนั้นรับรองได้ว่า ในสถานที่ใกล้ๆกับข้าพเจ้า   อาจารย์ชี่กงปลอมคนหนึ่งก็เริ่มเปิดการบรรยายด้วย   คนเองตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องหรือจะเอาสิ่งนอกรีต  วันนี้พวกเรากำลังเปิดฝ่าฮุ่ย  เช่นนั้นก็มีองค์กรศาสนาอะไรเปิดประชุมอะไรอยู่ทางฝั่งโน้นด้วยมิใช่หรือ   ถึงอย่างไรอิทธิพลที่ชั่วร้ายก็ใช้หลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกันมารบกวนการได้รับการช่วยเหลือของชาวโลก    ดูไปเหมือนกับว่า  คนได้ฝ่ากันง่ายๆ  ที่จริง ไม่ง่ายเลย    ขณะนี้ศาสนาที่ถูกต้องล้วนไม่มีเทพดูแลแล้ว   คนในศาสนาล้วนกำลังต่อสู้กันเพื่อทรัพย์สินเงินทองและฐานะ    ทำไมคนเชื่อศาสนา จึงเป็นปัญหาที่ใหญ่  เหตุผลเหล่านี้ข้าพเจ้าได้พูดไว้ชัดเจนแล้ว   จะเชื่อหรือไม่เชื่อ และจะเลือกอะไรนั่นเป็นเรื่องของท่านเอง  ท่านคิดจะบำเพ็ญอะไรก็ไปบำเพ็ญอะไร   ท่านไม่คิดจะบำเพ็ญ ท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญ   ข้าพเจ้าที่นี่ดูแต่ใจคน  ไม่มีสิ่งใดๆที่เป็นรูปแบบ

ศิษย์           เวลาที่ศิษย์ต้าฝ่าสำเร็จสมบูรณ์จะมีสองสภาพการณ์ทางด้านร่างกาย   ชนิดหนึ่งคือร่างกายจะถูกสสารพลังงานสูงแทนที่  อีกอย่างคือหยวนอิงแทนที่ร่างกาย  การเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือไม่
อาจารย์ วันนี้ข้าพเจ้าจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพวกท่าน แต่ว่า  สภาพการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  บางคนนั้น จะให้กายเนื้อแก่เขา  เขากลับไม่ต้องการนะ  เพราะพอเขากลับไปถึงโลกของเขา  หากนำกายเนื้อกลับไป   เทพที่นั่นจะรู้สึกว่าแปลกๆ   เขาจึงไม่ต้องการ   เช่นนั้นอาจมีผู้ฝึกบางคนคิดว่า อะไรๆฉันก็ต้องการหมด  ที่จริงสำหรับสิ่งเหล่านี้ พวกท่านกำลังใช้ความคิดของคนคิดอยู่    เมื่อท่านเข้าใจได้แล้ว  เมื่อเปิดการรับรู้แล้ว   จะไม่มองอย่างนี้อีกเลย  เพราะในเวลานั้นพวกท่านจะไม่มีความคิดของคน  จะพิจารณาปัญหาต่างๆโดยยืนอยู่ในเขตแดนนั้นแล้ว   การบำเพ็ญของต้าฝ่านั้น ที่จริงอะไรก็สามารถจะบำเพ็ญออกมาได้   ผู้ฝึกต้องการอะไรก็จะมีอะไร                       เพราะนี่คือฝ่าที่เป็นมูลฐานของจักรวาล

ศิษย์           เทพพิทักษ์ฝ่าของศิษย์       อาจารย์เป็นผู้จัดให้ทั้งหมดใช่หรือไม่
อาจารย์      การบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องจะมีอาจารย์  เหล่าเทพและทหารสวรรค์คอยคุ้มครอง  แต่อย่าใช้คำศัพท์และแนวคิดในศาสนาอื่น  เช่นนั้นจะมีองค์ประกอบที่ไม่บริสุทธิ์ติดอยู่    อย่าว่าแต่พวกท่านที่บำเพ็ญต้าฝ่า    แม้แต่คนที่สวมเสื้อผ้าสกปรกมอมแมเลอะเทอะ  หนีบผ้าห่มขาดๆขยุ้มหนึ่ง   ทั้งเดินไปถึงไหนก็นอนตรงนั้น  ท่านเห็นว่าเขาเป็นขอทาน   แต่รอบตัวเขานั้นมีมังกรสวรรค์ แปดอสูรฟ้าพิทักษ์ฝ่า คนรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร  คนก็ไม่รู้ คนก็คือใช้สายตาของคนมองดูปัญหา ทำไมผู้ฝึกบางคนพอบำเพ็ญก็ใจกล้าขึ้นมา ที่ผ่านมาไม่กล้าเดินในความมืด หลังจากบำเพ็ญต้าฝ่าแล้วก็กล้าเดิน     สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีเหตุผล
  
ศิษย์           ผู้ฝึกเจียงซี จิ่งเต๋อเจิ้นทั้งหมดฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                          อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน

ศิษย์           ได้รับสวัสดิการผู้พิการในหมู่คนธรรมดาสามัญ   หลังจากได้ฝ่าแล้วไม่สามารถรับสวัสดิการอย่างนี้อีกใช่หรือไม่       ผมกลัวว่าหากรับสวัสดิการชนิดนี้ก็จะชดใช้กรรมไม่หมด
อาจารย์      ปัญหานี้ต้องมองจากสองด้าน   หากท่านเป็นคนพิการคนหนึ่ง  พูดว่าท่านไม่สามารถทำงาน ไม่มีรายได้   และประเทศนี้ก็มีนโยบายอย่างนี้  ข้าพเจ้าเห็นว่าสามารถรับได้     เพราะข้าพเจ้าบอกให้ท่านบำเพ็ญโดยสอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  ข้าพเจ้าก็ไม่มองรูปแบบเหล่านี้  มองแต่ใจคน   ปัจจุบันสังคมมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้  กฎหมายกำหนดเอาไว้อย่างนี้แล้ว  สังคมยินยอมให้กับท่าน   เช่นนั้นในจุดนี้พวกท่านก็ทำให้สอดคล้องกับมันให้มากที่สุดก็แล้วกัน    หากความพิการนี้หายได้แล้วโดยผ่านการบำเพ็ญต้าฝ่า   และท่านยังรับสวัสดิการชนิดนี้  ท่านไม่บอกรัฐบาล  นั่นก็เป็นปัญหาซินซิ่ง  ก็พิจารณากันอย่างนี้   ยังมีการช่วยเหลือในชื่ออื่นๆอีก  พวกท่านเพียงแต่รับโดยสอดคล้องกับเงื่อนไขของสังคมคนธรรมดาสามัญก็ไม่มีปัญหา

ศิษย์           ขณะที่ฝึกพลังปรากฏกรรมทางความคิดหรือการรบกวนของสื่อสัญญาณอื่น   ยังไม่ทันที่ผมจะขจัดไป มันก็สะท้อนออกมาจนหมดไปแล้ว
อาจารย์      เกิดขึ้นเร็วมากจนตอบสนองกลับไม่ทัน  นี่ไม่ใช่บำเพ็ญได้ไม่ดี   หากทราบว่าเป็นสิ่งผิดแต่ปล่อยให้มันสะท้อนออกมาก็คือไม่บำเพ็ญตนเอง  หากทางด้านพฤติกรรมปล่อยให้มันควบคุมนั่นก็คือคนธรรมดาสามัญ  ที่จริงเมื่อท่านสำนึกได้  ท่านสามารถสำนึกได้ว่ามันไม่ใช่ตนเอง   เมื่อสำนึกได้ว่าความคิดชนิดนี้ไม่ถูกต้อง ที่จริงท่านก็กำลังขจัดมันอยู่    ปกติเวลาศึกษาฝ่า  รากฐานที่วางไว้แน่นหนาขึ้นอีกสักหน่อยก็จะดีขึ้นมาก    คนธรรมดาสามัญที่ไม่บำเพ็ญ  จะสำนึกถึงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย  พวกเขาเข้าใจว่าความคิดทั้งหมดล้วนเป็นตัวพวกเขาเองทั้งสิ้น   สุดท้ายทัศนคติต่างๆที่ก่อเกิดขึ้นในหมู่คนธรรมดาสามัญก็ควบคุมคนทำสิ่งต่างๆทั้งหมด  แต่คนกลับเข้าใจว่าตัวพวกเขาเองเป็นผู้ทำ  ในเวลานั้นตัวคนเองถูกกลบฝังจนหมดแล้ว  ปิดคลุมจนมิด  ไม่สามารถก่อผลอะไรเลย  ไม่ใช่ตัวคนเองแล้วจริงๆ   ปัจจุบันคนในสังคมล้วนดำรงชีวิตกันอย่างนี้  พวกเขายังรู้สึกว่า  ผู้คนยังยกย่องว่าเขายอดเยี่ยม   คนๆนี้ไม่ยอมเสียเปรียบง่ายๆ  ไม่ยอมหลงกลใครง่ายๆ  คนๆนี้มีความสามารถ  มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชน  ถ้าให้ข้าพเจ้าพูด เขาคือพวกโง่เหลือหลาย  ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่ได้มีชีวิตของตัวเองเลย  เขามอบให้สิ่งอื่นดำเนินชีวิตแทนเขา ร่างกายของเขาถูกสิ่งอื่นควบคุมแล้ว

ศิษย์           แม้ว่าผมเลือกวิธีแยกแยะตัวตนของผมให้ชัดเจน  แต่ก็ยังไม่อาจระงับได้ทั้งหมด
อาจารย์      ถ้าเพียงท่านพูดว่า  ฉันไม่เอาแก  มันก็ตายแล้ว   นั่นก็เร็วเกินไปแล้ว  ในเวลาที่ท่านสามารถแยกแยะมันได้ชัดเจน  ท่านเองก็เข้มแข็งขึ้นมาแล้ว  ท่านเองก็ตื่นขึ้นรับรู้อยู่  ท่านเองก็กำลังฝ่าวงล้อมของมันออกไป   เข้มแข็งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  มันก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ  สลายไปมากขึ้นเรื่อยๆ  สุดท้ายดับสลายไปสิ้น ต้องเป็นขั้นเป็นตอน
  

ศิษย์           จะนำสิ่งที่ไม่ดีมาสู่พลังได้หรือไม่
อาจารย์      ไม่   เพราะความคิดที่ถูกต้องของท่านกำลังก่อผล   ถ้าไม่ระวังจะถูกเจาะช่องว่าง  แต่พลังจะไม่ถูกมันรบกวน  เพราะอาจารย์ดูแลอยู่  ศึกษาฝ่าให้มาก  รักษาความคิดที่ถูกต้องไว้  เมื่อพบกับปัญหาก็สามารถค้นหาตัวเอง ตรวจหาปัญหาของตน  มันก็จะกลัวจนลนลานแล้ว   มันก็รู้ว่าพอตัวมันเองถูกเผยออกมาก็จะถูกสลายไป  จบสิ้นแล้ว

ศิษย์           หากในระหว่างที่มีชีวิตอยู่  แต่บำเพ็ญไม่สำเร็จสมบูรณ์  สามารถจะนำกรรมติดตัวไปได้หรือไม่   ไปบำเพ็ญต่อในโลกฝ่าหลุน        เหมือนกับโลกสุขาวดี
อาจารย์      จักรวาลกำลังปรับฝ่าให้ถูกต้อง  ร่างนภากำลังก่อตั้งขึ้นใหม่  หลังการปรับฝ่าให้ถูกต้องแล้วทุกสิ่งก็จะดีที่สุด  สิ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน จะไม่อาจเป็นชีวิตในระดับชั้นนั้นที่มีมาตรฐานที่สูงได้   มาตรฐานอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ในอดีตโลกสุขาวดีมีสภาพการณ์อย่างนี้อยู่จริง  แต่หลังการปรับฝ่าให้ถูกต้องก็ยากจะพูดได้แล้ว   การนำกรรมติดตัวไปนั้น  ไม่ใช่สภาพการณ์ชนิดนั้นที่คนคาดคิดกัน  นั่นเป็นการแปลงเป็นอารมณ์(ฉิง)ของคน เป็นความชอบของคน  คนได้แปลงมันเป็นความรู้สึกของคน อะไรคือการนำกรรมติดตัวไปนะหรือ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   ผู้ที่สามารถนำกรรมติดตัวไปนั้น  ที่จริงเมื่อเขามีความแน่วแน่และความศรัทธา เขาก็บรรลุถึงมาตรฐานแล้ว  ด่านที่คนผ่านได้ยากที่สุด  ซึ่งในการบำเพ็ญต้องก้าวออกไปจากด่านนั้น ก็คือการปล่อยวางความเป็นความตาย   แน่ละไม่แน่ว่าแต่ละคนล้วนต้องทดสอบท่านในขณะเผชิญกับความเป็นความตาย  แต่ก็ไม่ใช่จะตัดประเด็นนี้ออกไปเสียทั้งหมด  แต่ละคนเมื่อเผชิญกับด่านของทุกข์ภัยที่ใหญ่ที่สุดกับที่ยึดติดมากที่สุดแล้วสามารถปล่อยวางได้หรือไม่  ที่จริงก็ล้วนกำลังทดสอบว่าคนจะสามารถก้าวออกมาจากก้าวนี้ได้หรือไม่  หากปล่อยวางความเป็นความตายได้ก็คือเทพ  หากปล่อยวางความเป็นความตายไม่ได้ก็คือคน  แน่ละเมื่อท่านสามารถปล่อยวางความเป็นความตายได้  ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องไปตาย  สิ่งที่บำเพ็ญคือการละทิ้งใจคน   ในขณะที่คนกำลังจะตายนั้น ในความคิดไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวความตายแบบนั้นโดยสิ้นเชิง  คนธรรมดาสามัญสามารถทำได้ไหม  จะต้องตายเดี๋ยวนี้แล้ว  ความรู้สึกอันนั้นเป็นอย่างไรละ   ถ้าไม่มีรากฐานการบำเพ็ญ กับรากฐานทางความคิด เขาจะทำได้หรือ   คนที่ไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย  เมื่อใกล้จะตายปากเขายังคงท่องพระพุทธ  และไม่เพียงไม่กลัว  ท่องพระพุทธจนตัวเองยังเกิดความคิดที่ยินดีชนิดหนึ่ง   และจากไปโดยมีความยินดีต่อพระพุทธชนิดนี้  ท่านว่าคนๆนี้จะตกนรกได้ไหม   เพราะว่าเขามีความคิดที่ถูกต้องอันแน่วแน่จึงปล่อยวางความเป็นความตายได้  นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของคนแล้ว  คนนั้นมีที่ไหนจะไม่กลัวตาย   ฉะนั้นเมื่อปากของเขาท่องพระพุทธอยู่   พระพุทธนั้นก็มองเห็นคนแบบนี้  พระองค์จะไม่รับเขาไปหรือ  แน่ละ  เขายังมีกรรมอยู่  เขาไม่ได้ก้าวหน้าในการบำเพ็ญใช่ไหม  เขายังมีจิตที่ไม่ได้ทิ้งไป  จะทำอย่างไรได้ละ  ก็นำเขาไปที่ที่ใกล้ๆกับโลกสุขาวดี  อยู่ที่นั่นบำเพ็ญต่อไปอีก      บำเพ็ญมันกี่หมื่นปี กี่แสนปี  จนบรรลุมาตรฐานแล้ว  ค่อยไปโลกสุขาวดี  ทำไมต้องบำเพ็ญนานอย่างนั้นละ  เพราะที่นั่นไม่ทุกข์ยากแล้วใช่ไหม  ไม่ทุกข์ยากจึงบำเพ็ญได้ช้า  ที่นี่ของคนทำไมบำเพ็ญได้เร็วละ  ชาติหนึ่งไม่กี่สิบปีก็บำเพ็ญสำเร็จแล้ว   แต่ศิษย์ต้าฝ่าของข้าพเจ้ายิ่งเร็วกว่า   เนื่องจากคนที่นี่ทุกข์ยาก    ทุกท่านล้วนเกิดมาจากท้องแม่ ในระหว่างกันและกันก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น   ไม่มีความทุกข์ยากมาเปรียบเทียบ  ผู้คนจึงไม่รู้สึกว่าทุกข์ยาก  ที่จริงในสายตาของเทพ คนนั้นทุกข์ยากมาก  การบำเพ็ญต้าฝ่าจะไม่เปล่าประโยชน์   ในช่วงของการบำเพ็ญส่วนบุคคลบางคนก็ไม่ก้าวหน้า  หรือเขาไม่ก้าวหน้าพอ  การรับรู้ด้อยไปบ้าง  พอหมดอายุขัยก็นับว่าท่านได้รับอะไรบ้าง และได้รับการจัดวางอย่างหนึ่ง   หากปรารถนาจะกลับมาในโลกบำเพ็ญต่อ  เช่นนั้นสิ่งต่างๆที่บำเพ็ญจะไม่หายไป  ไม่ได้ฝึกโดยสูญเปล่า    จะนำติดตัวกลับชาติไปเกิด  กลับชาติไปเกิดแล้วบำเพ็ญต่อ  จะมีสภาพการณ์นี้   เช่นนั้นบางคน  เมื่อเห็นว่าเขาไม่อาจบำเพ็ญได้แล้ว  เช่นนั้นภพต่อไปก็จะจัดวางให้เขาได้โชคลาภตอบสนอง  เพราะเขาได้ทนทุกข์แล้ว  ทุ่มเทแล้ว  สิ่งต่างๆที่ได้รับ  มันไม่สามารถกลายเป็นมรรคผลถูกต้อง  แต่สามารถผันแปรมันให้กลายเป็นโชคลาภ  ชาติหน้าเป็นข้าราชการใหญ่  มีทรัพย์สินมากมาย  แน่ละนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญแสวงหากัน  เขาไม่อาจบำเพ็ญต่อได้แล้ว  นั่นก็ต้องเป็นเช่นนี้

            แต่ยังมีอยู่จุดหนึ่ง    หากลูกคนหนึ่งของผู้ฝึกบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์แล้ว  เขาก็บำเพ็ญแล้ว แต่บำเพ็ญไม่สำเร็จสมบูรณ์  ลูกของเขาบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์แล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าลูกของเขาคงจะรับเขาไปเป็นสรรพชีวิตในโลกของลูกเขา  แต่ไม่มีมรรคผล   เขาถือว่าเป็นสรรพชีวิต ซึ่งก็คือพลเมือง  ในโลกของพระพุทธก็มีสรรพชีวิตอื่น แต่เขาไม่ใช่คนบนโลกชนิดนี้ที่สกปรก  นั่นต้องบรรลุมาตรฐานของชาวสวรรค์ในเขตแดนนั้น

ศิษย์           ศิษย์เมืองฉางชุนฝากสวัสดีท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง                                                                     อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           การยึดติดต่อ“ฉัน”คือจิตหนึ่งที่ทิ้งไปได้ยากที่สุด
อาจารย์      นั่นแน่นอนละ  แต่ละคนมีชีวิตอยู่บนโลก  เขาก็ล้วนแต่เพื่อตัวเองใช่ไหม  จากนั้นจึงเกิดจิตที่เห็นแก่ตัวมากมาย  เมื่อเห็นแก่ตัวแล้ว  ก็ง่ายที่จะถูกฉิงชักนำ  ทุกหนแห่งที่แสดงออกมาในการบำเพ็ญล้วนยากที่จะตัดหรือละได้    เมื่อบำเพ็ญขึ้นมาจึงยากจะปล่อยวางจิตยึดติด    บางครั้งเมื่อทำงานเพื่อต้าฝ่าก็แสดงออกซึ่งจิตยึดติดในการปกป้องบทบาทของตนเอง  ปกป้องชื่อเสียงของตนเองเอย  ปกป้องสิ่งที่ตนชอบ   ที่แสดงออกมาในคนธรรมดาสามัญก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก   ตัวเองอยากเป็นข้าราชการเอย  ชอบสรรเสริญบรรพบุรุษ  ชอบให้ผู้คนพูดว่าตนเองดีเอย  อยากร่ำรวยเอย  อยากสูงส่งกว่าคน เป็นต้น  การปกป้องความชอบของตนก็คือแสดงออกของฉิงกับทำเพื่อตัวเอง  ดังนั้นจึงยากจะทิ้งไปได้  ต้องปฏิบัติต่อทุกคนด้วยจิตเมตตา  เมื่อประสบกับปัญหาให้หาสาเหตุที่ตนเอง   ไหนเลยจะเกรงว่าคนอื่นด่าว่าพวกเรา  ตีพวกเรา  พวกเราก็ต้องค้นหาที่ตัวเอง  ใช่หรือไม่ว่าตนเองมีตรงไหนที่ไม่ดี  นี่จึงจะค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง  และเป็นวิธีขจัดทิ้งการยึดจิตในความเห็นแก่ตัว  เห็นแก่ตนที่ดีที่สุด   ทำใจให้กว้างจนสามารถอภัยให้กับทุกคนในระหว่างการบำเพ็ญส่วนบุคคล   รวมทั้งอภัยให้กับศัตรูของท่าน  เพราะว่า บรรดาผู้ที่ท่านเรียกว่าศัตรูนั้น  คือสิ่งที่คนแบ่งแยกออกมาว่าเป็นศัตรู เป็นการแบ่งเพื่อผลประโยชน์ของคน  หาใช่พฤติกรรมของเทพไม่   ดังนั้นข้อกำหนดจึงสูง  เทพจะถือว่าคนเป็นศัตรูได้อย่างไรละ  เช่นนั้นในระหว่างการบำเพ็ญของเรา  เมื่อประสบกับเรื่องอะไรจึงต้องคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ   เมื่อฉันได้ของของคนอื่น  ก็ต้องคิดถึงคนอื่น  ว่าเขาเสียของนี้ไปแล้วจะเป็นการให้ร้ายอะไรเขาหรือไม่   ใช่ไหมว่าเขานั้นลำบากใจมาก  ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนต้องคิดถึงคนอื่น  คำนึงถึงคนอื่น  จากนั้นค่อยคิดถึงตนเอง  ข้าพเจ้านั้นก็ต้องการให้พวกท่านบำเพ็ญให้สำเร็จสมบูรณ์  กลายเป็นผู้รู้แจ้งที่ถูกต้องในฝ่าที่ถูกต้อง  โดยมีความคิด เขาก่อนฉันทีหลัง   นี่ก็เป็นการทิ้งความเห็นแก่ตัว  จึงจะสามารถละทิ้ง  “ตัวฉัน”    ส่วนนั้นของพวกท่านที่บำเพ็ญสำเร็จ  รับรองว่าจะเป็นเหมือนที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปอย่างนี้   ล้วนเป็นอย่างนี้  ดังนั้นเมื่อมองจากทางด้านนี้ของพวกท่าน  เมื่อพวกท่านประสบกับปัญหาแล้วสามารถค้นหาสาเหตุของตนได้  คิดถึงคนอื่นให้มาก  บำเพ็ญตนเอง  ค้นหาจากภายใน   มองความไม่ดีของคนอื่นให้น้อย   ทุกเรื่องราวหากสามารถทำตามที่ข้าพเจ้าพูดได้                  พวกท่านก็ก้าวหน้าอยู่อย่างแท้จริงแล้ว

ศิษย์           หลายปีมานี้  ผมเข้าร่วมกับศาสนกิจของวัดพุทธ  หลังจากศึกษาฝ่ารู้สึกว่าขัดกัน  ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร  ผมรู้ว่าผมควรปล่อยวางจิตยึดติด  แต่ยากที่จะละวางความรับผิดชอบของผม          เรียนเชิญชี้แนะว่าผมควรปฏิบัติอย่างไร                                                                                                                                 อาจารย์    ที่จริง ง่ายมากเหลือเกิน  ทำไมท่านปล่อยวางไม่ลงละ  ท่านบอกว่าที่ท่านวางไม่ลงคือความรับผิดชอบ  นั่นเป็นมาตรฐานของคนธรรมดาสามัญ  นั่นเกี่ยวข้องอะไรกับการบำเพ็ญหรือ   คือท่านปล่อยวางฉิงนั้นของคนธรรมดาสามัญไม่ลง   ความรับผิดชอบนี้คือสิ่งที่พระพุทธใส่ใจหรือ   เช่นนั้นท่านรับผิดชอบต่อใครกัน  รับผิดชอบต่อศาสนาหรือ  ความรับผิดชอบของท่านสามารถทำให้คนเขาสำเร็จสมบูรณ์ได้ไหม   และความรับผิดชอบของท่านนั้นสามารถทำให้ท่านสำเร็จสมบูรณ์ได้ไหม   เมื่อสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้แล้วท่านยึดติดมันทำไมกัน   ท่านไม่ต้องรับผิดชอบต่อการสำเร็จสมบูรณ์ของท่านเองหรือ  ท่านทำเพื่อความรับผิดชอบของท่าน  ยึดติดชั่วชีวิต เดินเฉียดต้าฝ่าแล้วผ่านไป  หรือว่าคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นอย่างแท้จริง   รับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของตนเองอย่างแท้จริงและแสวงหาการสำเร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริงละ  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายมากหรือ   การทำเรื่องที่มีความหมายมั่นนั้น   เขาย่อมสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้อย่างแน่นอน   ถึงท่านจะบำเพ็ญอยู่ในวัดนั้น  ความรับผิดชอบดังว่าชนิดนั้นของท่าน  จิตชนิดนี้ไม่ทิ้งไป  พระพุทธเห็นแล้วไม่สบายใจ  ท่านอย่าเข้าใจว่าท่านรับผิดชอบอะไรอยู่ในนั้นแล้วพระพุทธก็จะถือว่าท่านได้มาตรฐานแล้ว  พระพุทธนั้นไม่ยอมรับศาสนา  ยอมรับแต่ใจคน  ศาสนาคือสิ่งที่คนตั้งขึ้นมา   ปีนั้นพระเยซูไม่ได้ตั้งศาสนา  ปีนั้นองค์ศากยมุนีก็ไม่ได้ตั้งศาสนา  ยอมรับแต่เพียงใจคนที่บำเพ็ญ  แน่ละเมื่อผู้บำเพ็ญอยู่ด้วยกัน ก่อเกิดเป็นสภาพแวดล้อมหนึ่งของการบำเพ็ญขึ้นมา  นั่นก็ยิ่งดี  นั่นเป็นการถือเอาการบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ได้มรรคผลที่ถูกต้องเป็นเรื่องอันดับแรก    ส่วนการยึดติดกับสภาพแวดล้อม  ยึดติดกับองค์กรศาสนาเอง  นั่นมิใช่ความหมายมั่นหรือ  บางคนคิดว่า  ฉันสร้างวัดเท่าไรแล้ว  ฉันสร้างพระพุทธรูปกี่องค์แล้ว  ฉะนั้นในอนาคตฉันควรสำเร็จสมบูรณ์ได้   ข้าพเจ้าว่าสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้  ในหมู่คนธรรมดาสามัญมีคนมากมายก็สร้างพระพุทธรูป  อะไรก็ไม่ใช่  เป็นแค่การงาน  นั่นเป็นความหมายมั่น    หลักธรรมแห่งความหมายมั่นนั้นดั่งภาพเพ้อฝัน  นี่คือสิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัส  หากความคิดของท่านไม่ยกระดับขึ้นจริงๆ    ถ้าคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งในสมองเต็มไปด้วยกรรมทางความคิด  ตลอดเวลาสะท้อนความคิดที่ไม่ดีออกมา  แล้ววางเขาไว้ตรงที่พระพุทธอยู่นั้น  ก็จะเหมือนขยะกองหนึ่ง วางอยู่ตรงหน้าเทพ พระพุทธ  นี่จะยอมให้ได้หรือ   ย่อมไม่อาจยอมให้อย่างเด็ดขาด  ดังนั้นในการบำเพ็ญ ทุกท่านจึงต้องทิ้งสิ่งสกปรกเหล่านี้ไป  สิ่งที่ไม่ดี  บรรลุถึงร่างกายที่บริสุทธิ์  ความคิดที่สะอาด   และความคิดในเขตแดนชั้นสูงกว่า   ท่านจึงสามารถไปที่นั่นได้    ถ้ายังสละสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้  ปล่อยวางเรื่องที่เป็นความหมายมั่นเหล่านี้ไม่ได้  นั่นมิใช่ช่างโง่เขลาหรอกหรือ      

ศิษย์           ท่านยังจะบรรยายฝ่าอีกกี่ปี                                                                                                                  อาจารย์                  ตลอดไปจนจบสิ้นฝ่าปรับโลกมนุษย์  

ศิษย์           ในหนังสือ   ความนัยของคำว่า “คน”  “มนุษย์”  “คนธรรมดาสามัญ” ไม่เหมือนกันใช่ไหม            

อาจารย์   เหมือนกัน  เพียงเป็นการใช้ในสถานที่ที่ต่างกัน   ความนัยเหมือนกัน  คนธรรมดาสามัญก็คือคน  ที่จริงในระดับชั้นที่สูงกว่า  ยังรวมถึงชาวสวรรค์  ก็คือชาวสวรรค์ในสามภพ  มนุษย์ นั่นก็คือคน  ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญก็เป็นคน

ศิษย์           หลักการที่เหนือสามัญวิสัยที่รับรู้ได้ในขั้นตอนการบำเพ็ญ  ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่   จะทำอย่างไรดี
อาจารย์      เมื่อรับรู้ได้ถึงหลักการที่เหนือสามัญวิสัย ย่อมจะเป็นความรู้สึกที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นความรู้สึกของการยกระดับขึ้นของความคิดที่ถูกต้องที่มีความสอดคล้องกับหลักการของฝ่า  ซึ่งได้แต่รู้ได้ด้วยใจ    คนโบราณพูดถึงการซาบซึ้งในใจ ในความคิดของตัวเข้าใจได้แล้ว  แต่ยากมากที่จะใช้ภาษาคนพูดออกมา  ก็ไม่ใช่รสชาตินั้นแล้ว เพราะอะไรละ  ก็เพราะหลักการของระดับชั้นสูงนั้น ได้แต่ใช้ความคิดและภาษาในระดับชั้นสูงเท่านั้นไปพูด   ดังนั้นในด้านพฤติกรรมของเหล่าผู้ฝึก จึงไม่อาจใช้พฤติกรรมที่สูงกว่าคนที่รับรู้ได้ในระดับชั้นสูงไปพูดกับคนธรรมดาสามัญ    คนก็คือ  คนไม่อาจเข้าใจหลักการและพฤติกรรมในระดับชั้นสูงกว่าคนได้ 

 ไปบำเพ็ญโดยปฏิบัติให้สอดคล้องมากที่สุดกับสภาพการณ์ของสังคมคนธรรมดาสามัญ  หลักการของฝ่าที่สูงยิ่งขึ้นซึ่งท่านรับรู้ได้นั้น  นั่นคือท่านกำลังยกระดับขึ้นในระหว่างการบำเพ็ญ  โดยไม่ให้ท่านแสดงสภาพการณ์เหล่านั้นออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญ  เมื่อท่านที่ฝั่งนี้เข้าใจหลักการของฝ่าแล้ว  ส่วนการเปลี่ยนแปลงในมิติอื่นนั้นยิ่งใหญ่มาก  ร่างกายท่านส่วนนั้นที่ประกอบด้วยอณู ณ ระดับจุลทรรศน์นั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจะรุนแรงมาก  และในทันใดก็เข้าใจหลักการของฝ่าในระดับชั้นนั้นได้ทั้งหมด

ศิษย์           วัตถุสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตในอีกมิติที่มองเห็นในระหว่างที่บำเพ็ญ  จะตัดสินได้อย่างไรว่าพวกเขาดีหรือไม่ดี
อาจารย์      สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นบำเพ็ญนั้น  ยากจะตัดสินได้  ไม่อาจแยกแยะได้โดยง่าย  และมีเทพในมิติชั้นสูงมากมายที่หลบหนีการปรับฝ่าให้ถูกต้องลงมา  ยังมีมิติต่างๆในสามภพซึ่งมีเทพมากมายที่ไม่รู้เรื่องราวในเขตแดนที่สูงกว่าของเขา   ดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในวังวนที่แน่นอนระดับหนึ่ง    ฉะนั้นการแสดงออกของพวกเขา กล่าวสำหรับคนแล้วจึงค่อนข้างดีงาม  เมื่อมองดูโดยคนนั่นคือความดีงาม แต่ในเขตแดนนั้นของเขาไม่สอดคล้องกับมาตรฐานแล้ว  เพียงแต่เมื่อคนมองดูก็ยังคงดีงามกว่าคน   ดังนั้นจึงง่ายที่จะทำให้ผู้ฝึกเฉพาะรายที่มีจิตยึดติด งุนงงไม่แจ่มชัด  แล้วจะทำอย่างไรละ   ข้าพเจ้าเคยสอนพวกท่านว่าไม่เดินสองแนวทาง  ไม่ว่าใครก็อย่าไปสนใจเขา เห็นอะไรก็ไม่หวั่นไหว  ท่านไม่ต้องไปพูดกับเขา ไม่ต้องไปสนใจเขาเลย ไม่ไปมองดูเขา  ได้แต่ทำอย่างนี้  หลบหลีกของๆ เขาทุกสิ่ง เขาบอกอะไรท่าน ท่านก็ไม่ฟัง บางทีเขาจะเอาใจท่าน  เพื่อให้ท่านฟังเขา  เขาจะบอกท่านว่าพรุ่งนี้สลากรางวัลหมายเลขอะไร  เขาอาจจะทำอย่างนี้  แน่ละ เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่บังเอิญ  นี่คือทุกข์ภัยในการบำเพ็ญของท่าน  ทดสอบใจคนของท่าน  ดังนั้นทุกท่านต้องระวังเรื่องเหล่านี้  จงยืนหยัด  ไม่ไปติดต่อสัมผัสกับพวกเขาก็จะไม่มีปัญหา    เนื่องจากในเวลานี้พวกท่านยากมากที่จะแยกแยะได้

ศิษย์           ผู้บำเพ็ญที่เป็นเด็กอายุน้อยมากจำเป็นต้องหาหมอหรือไม่
อาจารย์      คนที่ไม่ได้บำเพ็ญ ควรจะไปหาหมอก็ไปหาหมอ  เนื่องจากคนธรรมดาสามัญเมื่อป่วยก็ต้องหาหมอ   ที่นี่ สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดคือคนที่บำเพ็ญจริงๆ  ร่างกายของท่านล้วนจะผันแปรเป็นร่างพระพุทธ   นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าหมอจะรักษาอย่างไรก็ไม่อาจทำได้  แต่คนที่บำเพ็ญต้าฝ่าโดยมากหลายๆครอบครัวมีลูกเล็ก เป็นไปได้มากว่าพวกเขาไม่ใช่เด็กทั่วๆไป   ก่อนที่จะมาเกิดในครรภ์เขาก็รู้แล้วว่าในอนาคตคนครอบครัวนี้จะศึกษาต้าฝ่า  ฉันจะไปเกิดในครอบครัวนี้  เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่ามีที่มา  เด็กอย่างนี้ทั้งหมด  เมื่อผู้ใหญ่ฝึกพลังอยู่  ก็ฝึกแทนเด็กแล้ว    เรื่อยไปจนตัวเขาเองสามารถฝึกได้   มีจำนวนมากมายที่เป็นสภาพการณ์นี้  นี่ก็ต้องอาศัยท่านที่เป็นผู้ใหญ่ไปยึดกุมเองแล้ว   ถ้าท่านมองไม่ออกว่าเป็นสภาพการณ์อย่างนี้ใช่หรือไม่   ท่านส่งเขาไปโรงพยาบาลก็ไม่นับว่าผิดอะไร   แต่ในนั้นก็จะดูใจของท่าน  และจะแสดงวิธีคิดต่างๆ สภาพจิตต่างๆออกมา พูดอย่างก็แล้วกัน  หากท่านเป็นผู้บำเพ็ญต้าฝ่าที่แน่วแน่  ก็จะเข้าใจได้ว่าแต่ละคนนั้นต่างก็มีชีวิตของตน  หากไม่สมควรเกิดปัญหาก็จะไม่ให้เขาเกิดปัญหาได้ง่ายๆ   เด็กชนิดนี้ที่มาจากระดับชั้นสูงที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปนั้นคือมารับฝ่า  เขาไม่มีกรรมอย่างแน่นอน   เขาจะไม่เป็นโรคเลย  ทุกสิ่งที่เขาแบกรับนั้น เป็นไปได้มากว่าคือการแบกรับแทนพวกท่านที่เป็นผู้ใหญ่    มีมากมายที่เป็นสภาพการณ์ชนิดนี้              แต่ว่านี่ก็ไม่ตายตัว       สภาพการณ์รูปธรรมนั้นพวกท่านไปจัดการเอง

ศิษย์           ผู้ฝึกสิงคโปร์ฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                                                                                                      อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ศิษย์เจียงซูฝากสวัสดีท่านอาจารย์

อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           พระพุทธรูปใหญ่ที่ภูเขาหลิงซานเมืองอู่ซีมณฑลเจียงซู แต่ละวันมีคนนับหมื่นไปกราบไหว้  แต่พูดกันว่าพระพุทธรูปใหญ่มีตัวสิงร่างอยู่  ในท้องมีกล่องบรรจุเถ้ากระดูกใส่เอาไว้มากมาย  เหล่าศิษย์มีการโต้เถียงกันไม่เลิกราเรื่องจะไปเผยแพร่ฝ่าที่นั่นขอเชิญท่านอาจารย์ให้ความกระจ่าง
อาจารย์        การเผยแพร่ฝ่านั้นมุ่งต่อคน ไม่ใช่มัน  ทุกท่านคิดดู  คนเอากล่องบรรจุเถ้ากระดูกใส่ไว้ในท้องพระพุทธรูป  นั่นเป็นการทำเรื่องดีหรือเรื่องเลวละ  พระสงฆ์ทำไมทำเรื่องชนิดนี้  เป็นเพราะครอบครัวคนตายจ่ายเงินให้  พระสงฆ์รูปนั้นทำเพื่อเงิน  แม้แต่พระพุทธก็ขาย  ปัจจุบันก็เป็นเวลาที่ยุ่งเหยิงอย่างนี้แล้ว  ในเวลาที่คนกราบไหว้พระพุทธรูปคือการกราบไหว้ใครละ  กราบไหว้กล่องเถ้ากระดูกหรือ   ล้วนน่าขันถึงขั้นนี้แล้วคนตายนั้นถูกคนทำจนมีบาปมากเหลือเกินแล้วครอบครัวคนตายกับบรรพบุรุษล้วนถูกพัวพันเข้าด้วยกัน
  
ศิษย์           เมื่อผมมองเห็นฝ่าหลุนและทัศนียภาพบางอย่าง  หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศิษย์ฝ่าหลุนกงเรา                  แล้วทัศนียภาพกับฝ่าหลุนอะไรก็สูญหายไปหมดแล้ว      ผมทำผิดไปแล้วหรือ                                         

อาจารย์      นี่ต้องมองจากสองด้าน  หากท่านพูดกับคนอื่นด้วยจิตยินดี  นั่นอาจจะไม่มีแล้ว  ไม่ให้ท่านเห็นแล้ว  เพราะทัศนียภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ท่านเห็นนั้น  ไม่สามารถทำให้ท่านเกิดใจที่จะยืนหยัดบำเพ็ญต้าฝ่าให้ดียิ่งขึ้นและใจที่บริสุทธิ์ออกมาได้   ตรงกันข้ามกลับทำให้ท่านเกิดจิตยินดีออกมา แน่นอนจึงไม่ให้ท่านเห็นแล้ว   คือต้องรับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของท่าน  หากหลังจากท่านมองเห็นแล้ว  ท่านไม่เกิดจิตยินดีหรือจิตโอ้อวดออกมา  ท่านรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องจริง  มีความคิดเพื่อให้ผู้ฝึกคนอื่นแน่วแน่ในความคิดที่ถูกต้อง ไปพูดกับผู้อื่นสักหน่อย   นี่ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย  ไม่ใช่ไม่อาจจะพูดได้  ก็กลัวแต่จะไปพูดด้วยจิตยึดติด

ศิษย์           ถ้าพวกเราบำเพ็ญได้ดีมาก  เมื่อพวกเราบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์  บางทียังคงเป็นหนุ่มเป็นสาว      ถึงเวลานั้นเราควรรับผิดชอบต่อครอบครัวอย่างเต็มที่ต่อไปหรือไม่
อาจารย์      หากท่านไม่ทิ้งจิตยึดติดชนิดนี้  ก็จะสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้อย่างเด็ดขาด   ท่านกำลังใช้ความคิดของคนธรรมดาสามัญคิดเรื่องเหล่านี้  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ข้าพเจ้าไม่เพียงช่วยพวกท่านสลายกรรม  ไม่เพียงดูแลท่าน  หากท่านบำเพ็ญได้มรรคผลถูกต้อง  โลกของท่านก็จะอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา   ข้าพเจ้าจะต้องทำเรื่องต่างๆมากมายให้กับท่าน  ในอดีตท่านเคยติดค้างชีวิตคนเขา  เคยฆ่าชีวิต  บุญคุณความแค้นต่างๆข้าพเจ้าล้วนต้องแก้ไขให้ท่านทั้งหมด   จะต้องทำเรื่องมากมายให้ท่านทั้งหมด    แต่หากท่านยึดติดกับเรื่องเหล่านี้  นั่นก็คืออุปสรรคใหญ่อันหนึ่งต่อการก้าวหน้าในการบำเพ็ญของท่าน  จงปล่อยวางใจคนเหล่านี้ลง  ท่านจงสนใจแต่เพียงการบำเพ็ญ   ก่อนที่ท่านจะสำเร็จสมบูรณ์ ท่านต้องพยายามรับผิดชอบครอบครัวนี้ให้เต็มที่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำ

ศิษย์           ใน“คัมภีร์ไบเบิ้ล”กล่าวว่า   อยู่ในวิหารพระเยซูโกรธคนที่เก็บดอกเบี้ยแพง แต่ข้อกำหนดของฝ่าหลุนต้าฝ่าคือพวกเราไม่อาจจะโกรธ       ถ้าพระเยซูเป็นพระพุทธ          นี่จะเข้าใจได้อย่างไร                                 

อาจารย์      “คัมภีร์ไบเบิ้ล” ไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูเขียนเอง  ต่อพฤติกรรมของพระเยซูคนสื่อออกมาไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน   การมีท่าทีที่แข็งสักหน่อยต่อคนเหล่านี้ที่เก็บดอกเบี้ยสูงนั้น  นี่เป็นไปได้มากว่า  พระองค์ทรงเกลียดชังความชั่ว  พระองค์ทรงเฉียบขาดกับคนที่ทำเรื่องชั่ว  แต่พระองค์ไม่ได้โกรธจริงๆ  

ศิษย์           ศิษย์เซี่ยงไฮ้ฝากสวัสดีท่านอาจารย์           หวังว่าท่านอาจารย์จะมาเซี่ยงไฮ้                                             อาจารย์      ขอบใจทุกท่านนะ(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           พวกเราควรทำอย่างไรที่จะเข้าใจได้ค่อนข้างดีต่อการแสดงออกของ “เต๋าใหญ่ไร้รูป”ในแต่ละระดับชั้นที่ต่างกัน    เนื่องจากเวลาที่ผมทำงานผู้ช่วยฝึกสอนอยู่  ปรากฏว่าผู้ฝึกบางคนเนื่องจากว่าผู้รับผิดชอบของสมาคมศึกษากับผู้ช่วยฝึกสอน  ซึ่งล้วนอยู่ในระดับที่ต่างกัน  ในการทำงานเผยแพร่ฝ่านั้นยากที่จะบรรลุถึงการรับรู้ที่เหมือนกัน เสียเวลาเสียกำลังไปกับการพูดคุยหารือ          ทั้งหมดคล้ายกับว่าเกี่ยวข้องในระดับหนึ่งที่แน่นอนกับสิ่งที่เข้าใจ
อาจารย์        เป็นเรื่องธรรมดามาก  ในจีนแผ่นดินใหญ่  มีผู้ช่วยฝึกสอนมากมายสุกงอมขึ้นมาแล้ว  เมื่อประสบกับปัญหาพวกเขาสามารถคิดได้ก่อนว่าตนเองมีปัญหาอยู่หรือไม่  ดังนั้นโดยพื้นฐานจึงกำลังบำเพ็ญกันอย่างเข้มแข็ง   แต่ก็มีบางพื้นที่ ผู้ช่วยฝึกสอนศึกษาฝ่าได้ไม่นาน  หรือไม่ค่อยก้าวหน้า  ยุ่งกับการทำงาน  ดังนั้นเมื่อประสบกับปัญหาจะชอบถกเถียงกัน  ไม่ค้นหาจากภายในใจตน  เมื่อท่านรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง  ท่านคิดดู  ใช่ไหมว่าฉันเองไม่ถูกต้อง   สามารถจะทำได้ถึงจุดนี้ได้หรือไม่นั้น คือมาตรฐานในการประเมินผู้ฝึกของต้าฝ่า   หากพบว่าเป้าหมาย(จุดเริ่ม)ของตนไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง  จากนั้นใช้ท่าทีที่สุภาพของท่านพูดกับฝ่ายตรงข้าม  คู่กรณีของความขัดแย้งต่างปฏิบัติต่อตนเองเช่นเดียวกันนี้   แล้วจะมีอะไรขัดแย้งอีกละ  ยังจะถกเถียงอะไรอีก   แต่พูดก็พูดได้อย่างนี้  ในการบำเพ็ญ  เพื่อให้ละจิตยึดติดก็ยังคงจะมีการโต้เถียงได้   กระทั่งบางครั้งยังจะรุนแรง  เพราะพวกท่านกำลังบำเพ็ญ  พวกท่านยังมีจิตที่ไม่ได้ทิ้งไป  ในเวลาที่พวกท่านสำนึกไม่ถึง  ในเวลาที่ท่านลืมค้นหาที่ตัวเอง  ยึดติดกับท่าที  ยึดติดกับทัศนคติของตน  ล้วนจะเกิดการโต้เถียงขึ้นได้
  

ศิษย์           ปรากฏการณ์ของเต๋าใหญ่ไร้รูปแบบในแต่ละระดับชั้น    จะเข้าใจอย่างไรดี
อาจารย์      รูปแบบของต้าฝ่าในสังคมวันนี้คือเต๋าใหญ่ไร้รูป  รูปแบบใดๆของคนธรรมดาสามัญ  ล้วนไม่คู่ควรกับการเผยแพร่ต้าฝ่า  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ใช้รูปแบบใดๆ  วันนี้ท่านมาเรียนท่านก็เรียน  ไม่มาท่านก็ไปได้ ตามสบาย    แน่ละหากท่านจะเรียนจริงๆ  พวกเราก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน  และการรับผิดชอบชนิดนี้  ก็เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น  ในมิตินี้ของคนธรรมดาสามัญ  นั่นคือไร้รูป  ไม่มีสำนักงาน ไม่สะสมเงิน  ไม่สะสมวัตถุ   พวกท่านทุกคนต่างเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ล้วนมีการงาน การศึกษาเล่าเรียนของคนธรรมดาสามัญ ดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมนานาชนิด   สิ่งเดียวที่ท่านไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญคือ  พวกท่านกำลังบำเพ็ญตนเอง  พวกท่านเองทราบว่าท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  คนธรรมดาสามัญไม่บำเพ็ญ  บางครั้งจึงไม่เข้าใจผู้บำเพ็ญ    ก็เหมือนกับผู้ฝึกที่ไปจงหนานไห่-ที่ทำการรัฐบาล  ทำไมทันทีทันใดคนเหล่านี้ก็มาแล้ว  ทันใดก็ไปแล้ว   เพราะพวกเขาเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม  ไม่มีรูปแบบ  เพียงแต่เขาเป็นผู้บำเพ็ญ  มาจากสาธารณชน  เมื่อแสดงท่าทีเสร็จก็กลับไปสู่สาธารณชน  ไม่มีรูปแบบการจัดตั้ง   แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้  คนที่เคยชินกับการจัดตั้งหรือมวลชนที่ถูกจัดตั้งกลับไม่เข้าใจ คิดว่าพวกท่านจัดตั้งกันได้อย่างแนบแน่น เรื่องทั้งหลายที่ผู้บำเพ็ญทำ  คนจีนในปัจจุบันยากที่จะเข้าใจ  กระทั่งบางคนไม่เชื่อเลยว่าปัจจุบันยังมีคนมากมายอย่างนี้ที่เป็นคนดี

ศิษย์           คนผิวขาวคือคนที่ตกทอดมาจากอารยธรรมครั้งก่อน  เช่นนั้นคนผิวเหลืองกับสีผิวอื่น...

อาจารย์      ในช่วงอารยธรรมครั้งก่อน  แผ่นทวีปใหญ่ตอนนั้นกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน  แต่ว่านะ  ประมาณว่าภูมิภาคอเมริกาใต้กับอเมริกาเหนือ ล้วนมีคนผิวเหลืองอยู่อาศัย   ปัจจุบันชาวอินเดียนแดงที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาจัดเป็นคนผิวเหลือง   คนผิวเหลืองในที่นี้ของประเทศจีน  ในเวลานั้นจุดศูนย์กลางที่สุดคือคาซัคสถาน   หลังน้ำท่วมใหญ่จึงอพยพมาแถบทะเลทรายเขตซินเกียง  ตอนนั้นเคยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์  ต่อมาก็อพยพเรื่อยมาทางตะวันออก   หากพูดอย่างเคร่งครัด คนอินเดีย  อียิปต์  เปอร์เซีย  คนผิวเหลือง  คนผิวขาว  คนผิวดำ  คือชนเผ่าใหญ่หกชนิดในโลกยุคใกล้นี้  ส่วนพวกอื่นเป็นคนเลือดผสม  

ศิษย์           ผมรู้สึกว่าการบรรยาฝ่าของท่านอาจารย์เป็นคำตอบของปริศนา ไขข้อปริศนาใน    “จ้วนฝ่าหลุน”  การฟังอาจารย์บรรยายฝ่าในที่ต่างๆ    นานๆเข้าจะเป็นการรับรู้ต่อ“จ้วนฝ่าหลุน”ใช่ไหม
อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกความจริงกับทุกท่านว่า  คนนั้นไม่คู่ควรฟังข้าพเจ้าบรรยายฝ่า (เสียงปรบมือ)  เพียงเพื่อมาบรรยายฝ่าให้กับคนนั้น  พระยูไลองค์หนึ่งลงมาทำก็พอแล้ว  ในเวลาที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่า  พวกเราที่นั่งอยู่ บางคนอาจมองเห็นได้ว่ามีชีวิตระดับชั้นต่างๆของร่างนภาที่ต่างกันล้วนกำลังฟังอยู่   ข้าพเจ้าไม่เพียงแค่บรรยายฝ่าให้กับคน  แต่ในการบำเพ็ญนั้น รับรองว่าจะมีเหลือไว้ให้ท่านได้บำเพ็ญ   หรือเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าบรรยายฝ่าออกมาหมดแล้ว  บรรยายจนเข้าใจกันแล้ว  และไม่มีให้พวกท่านได้บำเพ็ญแล้ว และก็ไม่นับแล้ว  คือความหมายนี้หรือไม่   ไม่ใช่อย่างนี้  ย่อมต้องเหลือไว้ให้พวกท่านได้บำเพ็ญ 
 

ศิษย์           ผู้ฝึกเมืองอูลูมู่ฉี      เขตซินเกียงฝากสวัสดีท่านอาจารย์(เสียงปรบมือ)                                                             อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)  

ศิษย์           ใช่ไหมว่าเดิมทีมรรคผลอยู่ตรงไหน          ก็บำเพ็ญไปถึงตรงนั้น                                                               อาจารย์      สำหรับผู้ที่มาจากระดับชั้นสูง ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้  แต่ว่า ท่านทราบไหมว่าท่านเป็นใคร  ท่านคือผู้ที่มาจากระดับสูงหรือไม่   ผู้ที่มาจากระดับสูง  ใช่ไหมว่าเพราะมีบาปจึงตกลงมา  ท่านไม่ทราบเลยว่าท่านมาจากที่ไหน    แม้แต่ผู้ที่ลงมาจากข้างบนเหล่านั้น  เมื่อผ่านการกลับชาติมาเกิดนับพันปี กาลเวลาที่ยาวนาน  พวกที่มีกรรมหนักทำให้พวกเขาสูญเสียคุณสมบัติพิเศษทั้งหมดบรรดามีที่มีมาแต่ก่อนกำเนิดไปหมดแล้ว อย่าถามคำถามด้วยใจคนที่เข้มข้นอย่างนี้  

ศิษย์           จะขอเชิญท่านพูดถึงตัวท่านเอง    การดำรงชีวิตของท่านเป็นต้น จะได้ไหม                                         

อาจารย์      ขณะนี้ท่านยังเป็นคนธรรมดาสามัญ  สิ่งที่ถามเป็นคำถามของคนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะพูดถึงตัวเอง  สิ่งที่ข้าพเจ้าให้กับคน คือฝ่าชุดนี้  พวกท่านก็ถือเสียว่าข้าพเจ้าเป็นคนทั่วๆไป   ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีรูปลักษณ์ของคนอย่างพร้อมมูล  อยู่ที่นี่คุยกับพวกท่าน   และใช้ภาษาของคน พูดถึงว่าข้าพเจ้ามีความสามารถมากเพียงใด  ข้าพเจ้าก็จะไม่แสดงออกมา  พวกท่านก็จะมองไม่เห็น  แต่หากท่านบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบต่อท่าน  และสามารถจะรับผิดชอบได้  ในจุดนี้ในทางปฏิบัติเหล่าผู้ฝึกก็ซาบซึ้งกันดี  และไม่ต้องให้ข้าพเจ้าพูดมาก  คนในอนาคตจะไม่สามารถรู้ว่ามีข้าพเจ้าอยู่   หากผู้ฝึกในวันนี้ต่างสำเร็จสมบูรณ์กันหมด  ฝ่าของข้าพเจ้าก็ไม่ได้บรรยายให้กับคน  แต่บรรยายให้กับเทพ  คนที่ไม่บำเพ็ญ  ผ่านไปอีกหนึ่งชาติ เวียนว่ายตายเกิดอีกหนึ่งครั้ง  อะไรพวกเขาก็ไม่รู้แล้ว  คนในอนาคตไม่อาจรู้จักข้าพเจ้า  สิ่งที่จะสืบทอดต่อไปจะเป็นดั่งเทพนิยาย  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่ต้องการเหลืออะไรไว้ให้กบคน   เรื่องราวชีวิตของข้าพเจ้าเอย  เรื่องต่างๆของข้าพเจ้าเอย  ข้าพเจ้าไม่อยากพูด  และไม่อยากให้คนอื่นเขียน   ในฐานะศิษย์ในอนาคตพวกเขาจะรู้จักข้าพเจ้า  หลังจากสำเร็จสมบูรณ์พวกเขาจะเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องราวของข้าพเจ้า     (เสียงปรบมือ)  
ศิษย์           ศิษย์นิวซีแลนด์ทั้งหมดฝากสวัสดีท่านอาจารย์ที่เคารพ                                                                     อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)
  

ศิษย์           การยกระดับซินซิ่งกับการรับรู้หลักการของฝ่ามีความแตกต่างกันมาก  การรับรู้ต่อฝ่านำหน้าตลอดมา อยู่ในเขตแดนที่ค่อนข้างสูง  แต่ในการบำเพ็ญจริงนั้นการยกระดับซินซิ่งมักจะล้าหลัง  บางครั้งอ่อนด้อยมากๆ                  เกรงว่าในสภาพการณ์อย่างนี้        หลักการที่รับรู้ออกมาได้จะเบี่ยงเบน                                                   

อาจารย์      ที่จริง  ท่านสามารถมองเห็นได้ถึงจุดนี้  ท่านก็บำเพ็ญได้ไม่เลวแล้ว  คนธรรมดาสามัญล้วนมองไม่เห็นความผิดพลาดของตน  ท่านกลับสามารถมองเห็นความแตกต่างในสภาวะการบำเพ็ญที่ต่างกัน  ที่จริงก็ไม่เหมือนกับที่ท่านคิดอย่างนั้น   ในการรับรู้หลักการของฝ่านั้นโดยมากจะเข้าใจได้ง่าย แต่คนอยู่ท่ามกลางสภาพความเป็นจริงของสังคม ยึดติดกับผลประโยชน์และอารมณ์ต่างๆนานา     หากหลังจากเข้าใจหลักการของฝ่าแล้วก็สามารถจะทิ้งไปได้ในทันที นั่นก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว  และไม่ต้องมีด่านที่ต้องข้ามแล้ว  เวลาที่ยึดติดอะไรก็จะค้นหาข้ออ้างจากในฝ่า  นั่นต้องผิดแน่ๆ   ให้ศึกษาฝ่าโดยไม่แสวงหา  จากนั้นสิ่งที่เข้าใจย่อมเป็นการรับรู้ที่ถูกต้องอย่างแน่นอน  

ศิษย์           ผู้ฝึกปักกิ่ง  อเมริกาฝากสวัสดีท่านอาจารย์

อาจารย์      ขอบใจทุกท่านแล้ว (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ในการบำเพ็ญของผมบางครั้งจะเกิดกรรมทางกามารมณ์ จะขจัดมันไปได้อย่างไร                                

อาจารย์      บรรดาสิ่งที่พวกท่านพบในความฝันคือการทดสอบต่อพวกท่าน  ดูว่าการบำเพ็ญของพวกท่านในเวลาปกติ  ใจของพวกท่านบำเพ็ญอย่างจริงจังหรือไม่  ด่านนี้ข้ามได้ดีหรือไม่  มันเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง  ดูว่าด่านนี้ท่านสามารถจะข้ามไปได้หรือไม่  ท่านบำเพ็ญจริงจังหรือไม่  เพราะในเวลานั้นจึงจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างแท้จริง   เพราะในเวลานั้นบรรดาสิ่งที่ท่านคิดจะปกปิดเอาไว้  ใจที่ปิดบังเอาไว้ต่างนอนหลับหมดแล้ว   หากทำได้ไม่ดีต้องเห็นความสำคัญ  เพราะแสดงออกได้ไม่ดีจริงๆใช่ไหม   หากในเวลาปกติบำเพ็ญได้ดี     แน่นอนว่าในความฝันจะทำได้ดีมาก           ก็จะสามารถข้ามไปได้

ศิษย์           ผมพบว่าเมื่อตนเองประสบกับปัญหา หรือไตร่ตรองปัญหามักจะวนอยู่รอบๆตัวเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้   คล้ายกับมีรากหนึ่งอย่างนี้ฝังอยู่  ทิ้งไปไม่ได้สักที  ดังนั้นจึงกลุ้มใจมาก  ว่าทำไมไม่สามารถรักษาสภาวะของความสำนึกที่ถูกต้องเอาไว้ได้                                                                                                           อาจารย์           ไม่เลวจริงๆ  ใจดวงนี้ที่ท่านคิดจะทิ้งไปนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นแล้ว  นี่ก็คือการบำเพ็ญ  พูดถึงว่าจะทิ้งจิตที่เห็นแก่ตัวของตนไปทั้งหมดนั้น   รากอันนั้น  จะต้องมีขั้นตอน  เพราะนั่นปลูกฝังมาครึ่งชีวิตของคน  ข้าพเจ้าเชื่อว่าในการบำเพ็ญของท่านจะต้องทิ้งมันไปได้แน่  นี่คือสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเห็นแก่ตัว    ท่านสามารถสำนึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้  ในการบำเพ็ญสามารถตั้งใจที่จะขจัดมันไป  นี่ดีมาก นี่ก็คือการบำเพ็ญ

ศิษย์           มักรู้สึกว่าตนเองไม่ก้าวหน้า  ไม่สามารถทนทุกข์  ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่พอ  มีวิธีอะไรที่จะเพิ่มความสามารถในการทนทุกข์ของตนให้เข้มแข็งขึ้นได้                                                                                   อาจารย์                  อ่านหนังสือให้มาก   ค่อยๆทำให้ปณิธานในการบำเพ็ญของท่านให้แน่วแน่ขึ้น  ก็จะสามารถเอาชนะเรื่องอื่นได้  ไม่มีทางลัด  การบำเพ็ญก็คือต้องบำเพ็ญอย่างนี้  ท่านสามารถสำนึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว  ดีมาก  ท่านสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือสิ่งที่คนธรรมดาสามัญทำไม่ได้เลย  ที่จริงความไม่พอใจต่อตัวเองของท่าน  ก็คือการบำเพ็ญอยู่ ความสามารถก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

ศิษย์            ครั้งนี้เมื่อได้ยินวงการข่าวต่างประเทศรายงานผิดๆต่ออาจารย์และฝ่าหลุนต้าฝ่า  แม้ว่าจะทำเรื่องที่ปกป้องต้าฝ่าไปแล้วหลายอย่าง  แต่ในใจยังรู้สึกว่าพวกเขามีพฤติกรรมที่ไม่มีค่าควรแก่การสนใจแม้แต่น้อยในการรายงานข่าว     สภาพจิตใจของผมถูกหรือไม่                                                                                         อาจารย์                  เมื่อต้าฝ่าถูกโจมตี หากท่านรู้สึกว่าไม่ได้โจมตีท่าน  เช่นนั้นท่านก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของต้าฝ่า  ทำไมจึงมีคนมากมายอย่างนั้นไปที่ทำการรัฐบาลที่จงหนานไห่  เพราะพวกเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเทียนจินกำลังกระทำต่อพวกเขาเช่นกัน    พวกเขารู้สึกว่าเมื่อตำรวจจับพวกเราศิษย์ต้าฝ่า  ก็เหมือนกับจับตัวเอง  เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญ  ทุกท่านต่างร่วมบำเพ็ญอยู่ในฝ่าชุดเดียวกัน  การประทุษร้ายต่อผู้ฝึกเมืองเทียนจิน    ผู้ฝึกคนอื่นไม่ควรร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยเจตนาที่ดีงามหรอกหรือ  พูดถึงว่าการรายงานที่ไม่ถูกต้องของวงการข่าว  ก็ไปบอกเขาว่านี่ไม่ถูกต้อง  ไปบอกสภาพการณ์ที่เป็นจริงของพวกเรา   การประทุษร้ายด้วยเจตนาที่ชั่วร้ายต่อต้าฝ่า  ไม่อาจฟังแล้วก็ปล่อยไป  ส่งผลกระทบต่อการได้ฝ่าของชาวโลกนั้นเป็นเรื่องใหญ่   เพราะการรายงานข่าวนั้นสามารถคัดลอกซึ่งกันและกันได้  คุณรายงานแล้ว  หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นก็สามารถคัดลอกต่อ   ทุกท่านผ่านความเข้าใจซาบซึ้งด้วยตนเอง ฉะนั้นการชี้แจงอธิบายย่อมจะมีพลังมากกว่ามันหลายเท่า    พูดว่าข้าพเจ้าหลี่ หงจื้อ ดี  ข้าพเจ้าไม่ใส่ใจ  พูดว่าข้าพเจ้าเลว  ข้าพเจ้าก็ไม่ใส่ใจ  คนธรรมดาสามัญทำให้ใจข้าพเจ้าหวั่นไหวไม่ได้  แต่ว่า  ในฐานะผู้ฝึกคนหนึ่ง  พวกท่านไปปกป้องฝ่า นี่เป็นเรื่องสมควร  แต่ไม่อาจใช้ด้านที่ชั่วร้ายต่อสู้กับพวกเขา   พวกท่านต้องใช้จิตใจที่ดีงามไปบอกกล่าวสภาพการณ์ที่แท้จริงกับเขา  นี่ก็คือการปกป้องฝ่าแล้ว 

ศิษย์           ศิษย์เซินเจิ้นทั้งหมดฝากสวัสดีท่านอาจารย์                                                                                      อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)  

ศิษย์           ๑. ขอเรียนถามธรรมกายของพระพุทธบุพกาลเจ็ดองค์ในวัดเฟิ่งกั๋ว  เป็นตัวแทนของระดับชั้นที่แท้จริงหรือระดับชั้นในการบำเพ็ญของพวกเขา

อาจารย์      พระพุทธใช่ไหม  เป็นพระพุทธแล้ว  จึงไม่มีปัญหาของการบำเพ็ญและระดับชั้น  ท่านถามเรื่องนี้ทำไมละ                  นี่ไม่ใช่เรื่องในต้าฝ่า           ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการบำเพ็ญยกระดับ

ศิษย์           ๒. พระพุทธบุพกาลเจ็ดองค์  คือชีวิตบุพกาลทั้งหลายที่ท่านพูดถึงใช่ไหม

อาจารย์          ฉายานามของพวกเขากลายเป็นชื่อตำแหน่งเฉพาะที่แน่นอนของพระพุทธชนิดนั้นแล้ว   พูดว่าบุพกาลนั้นหมายถึงระยะเวลาที่เรียกขานฉายานามนี้ ในระหว่างการหมุนเวียนสับเปลี่ยน  อาจไม่ใช่ชีวิตดั้งเดิมอันดับแรกเสมอไปแล้ว   คำว่าบุพกาลนี้ ในระดับชั้นที่ต่างกัน  ในเขตแดนที่ต่างกันจะมีการรับรู้ที่ไม่เหมือนกัน  กล่าวสำหรับคน   ดูเหมือนว่ายาวนานกว่าประวัติอารยธรรมยุคนี้ของมนุษย์ หรือกี่พันปีก็ดูเหมือนว่าก็คือบุพกาลแล้ว  แต่ว่านะ  ในสายตาของพระพุทธเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว   กล่าวสำหรับชีวิตระดับชั้นสูง           พวกเขาก็ไม่ใช่บุพกาลอย่างนั้นแล้ว

ศิษย์           ๓.  รูปปั้นขององค์ศากยมุนีทำไมใบหน้าจึงหันไปทิศตะวันตก
อาจารย์      ท่านบำเพ็ญในพุทธศาสนาใช่หรือไม่  คิดจะมาถามเรื่องพระพุทธกับข้าพเจ้า   ข้าพเจ้ากำลังบรรยายต้าฝ่า ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ  เมื่อสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้ก็คือวาสนาของท่าน  ข้าพเจ้าสามารถตอบปัญหาของท่านได้   วัดถูกสร้างให้หันไปทางทิศไหนก็มีทั้งนั้น  และมีที่สร้างหันไปทิศตะวันออก  และมีที่สร้างหันไปทางทิศตะวันตก และมีที่หันไปทางทิศใต้   หากวิหารใหญ่ของมันหันไปทางไหน  พระพุทธรูปนั้นก็จะหันไปทางนั้นแน่นอน  นี่ไม่อาจบ่งบอกอะไรได้  ล้วนเป็นความหมายมั่น  พระพุทธเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง  คือผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่  แต่ที่ท่านพูดนั้นเป็นเพียงรูปปั้นทำจากดินขนาดใหญ่  คนๆหนึ่งคิดจะบำเพ็ญพุทธะ  ท่านก็ต้องตั้งใจอยู่ในด้านการยกระดับจิตใจของตนอย่างแท้จริงจึงจะถูกต้อง  เรื่องที่มีความมั่นหมายทั้งหมดหรือการยึดติดกับศาสนาพุทธล้วนไม่ใช่การบำเพ็ญ     แต่เป็นอุปสรรค

ศิษย์           เจิน ซั่น เหริ่น เป็นอภิสสารใช่ไหม  พวกเขาเป็นชีวิตบุพกาลหรือไม่  หรือเป็นชีวิตเหนือบุพกาล
อาจารย์      ยังคงเป็นศาสนาพุทธ  เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็คือวาสนา  ข้าพเจ้ายังคงจะตอบให้ท่าน  เจิน  ซั่น  เหริ่น คือคุณสมบัติพิเศษของสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรวาล  ฝ่าของจักรวาลก็ออกมาจาก เจิน ซั่น เหริ่น     ยิ่งต่ำลงมาฝ่ายิ่งซับซ้อน ข้อกำหนดยิ่งมากยิ่งใหญ่  เหมือนรูปปิรามิด  ต้าฝ่านี้สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมของการคงอยู่ให้กับสรรพชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกันของจักรวาล   สร้างพระพุทธ เต๋า เทพของระดับชั้นที่ต่างกัน และคนรวมทั้งมารและสรรพชีวิตอื่นๆ  รวมทั้งสวรรค์  โลกกับสสารทั้งปวง  จักรวาลนี้ซับซ้อนจนไม่สามารถใช้ภาษาคนบรรยายให้ชัดเจนได้    เขายังมีสภาพการณ์อื่นๆที่ต่างกัน  ที่มอบองค์ประกอบในการดำรงชีวิตให้กับสรรพชีวิตในระดับชั้นต่างๆ  อาทิเช่นการเสริมและต้านซึ่งกันและกัน  อินหยางเอย ฯลฯ เป็นต้น  สิ่งต่างๆมากมาย     ล้วนแต่แตกแขนงออกมาจากต้าฝ่าของจักรวาลนี้(เสียงปรบมือ)
ศิษย์           ก่อนประชุมใหญ่ผมเคยโทรศัพท์ให้กับคนที่เกี่ยวข้อง  ทำความเข้าใจข้อกำหนดในการเข้าร่วมประชุมใหญ่   คนที่รับโทรศัพท์ถามผมว่าคุณเป็นศิษย์ฝ่าหลุนกงไหม   ผมตอบไม่ได้ในทันที  เพราะผมศึกษาเองได้หนึ่งปีแล้ว                  เรียนถามท่านอาจารย์หลี่   ผมนับว่าเป็นศิษย์ของท่านได้หรือไม่
อาจารย์      ขอเพียงท่านศึกษาจริง  ท่านก็ใช่  ไม่ว่าท่านศึกษาเองหรือไม่(เสียงปรบมือ)    การเปลี่ยนแปลงของท่านและการสะกิดเตือนท่านในเวลาปกตินั้น  ไม่ใช่เป็นการบอกท่านถึงจุดนี้แล้วหรือ   เนื่องจากท่านไม่มีสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญอยู่ด้วยกันกับทุกท่าน  ดังนั้นท่านจึงมีเรื่องหลายอย่างที่รับรู้ไม่ได้  แต่ไม่เท่ากับว่าท่านไม่ได้บำเพ็ญ  ต้องฝึกพลังพร้อมกับผู้ฝึกมากๆ  ก็จะยกระดับได้ยิ่งเร็ว

ศิษย์           อาจารย์พูดว่าหลังปีค.ศ.๑๙๙๒ เหล่าเทพของศาสนาต่างๆก็ไม่ดูแลเรื่องของคน  ศิษย์มีการรับรู้ต่ำ  ไม่เข้าใจความหมายนั้น   ขอเชิญท่านอาจารย์อธิบายสักนิด                                                                            อาจารย์                  ปัญหานี้ข้าพเจ้าเคยพูดแล้วในการบรรยายฝ่าครั้งก่อนๆ  ครั้งนี้บรรยายฝ่าให้ทุกท่าน  ไม่ใช่การมาช่วยคนอย่างพื้นๆ  จักรวาลกำลังปรับฝ่าให้ถูกต้อง  เชื่อมโยงมาถึงมนุษยชาติ  และพูดได้อีกว่า  แม้แต่เทพเหล่านั้นที่พวกท่านเชื่อถือกันในอดีต   ล้วนแต่อยู่ในการปรับฝ่าให้ถูกต้องครั้งนี้  จัดวางตำแหน่งของพวกเขาใหม่คนยิ่งเป็นอย่างเดียวกัน                  พวกเขายังจะดูแลเรื่องของมนุษย์ได้อย่างไรละ

ศิษย์           ศิษย์ต้าฝ่าเมืองเหอเฟย มณฑลอันฮุย เสิ่นหยาง      เยียนเปียนฝากสวัสดีท่านอาจารย์                       

 อาจารย์     ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           มีคนตีพิมพ์บทความวิจารณ์ต้าฝ่าไม่ดี  ผมโต้แย้งกับเขา   ใช่ไหมว่าผมไม่ได้ปฏิบัติตาม “ความอดทน”(เหริ่น)ของ เจิน ซั่น เหริ่น การโต้แย้งกับคนนับว่าเป็นจิตยึดติดหรือไม่                                        

 อาจารย์     หากพูดเหตุผลกับเขาด้วยใจและเจตนาที่ดีงาม  บอกกับเขา  ถ้าไม่ยอมฟังก็แล้วกันไป   ที่จริงท่านยังสำนึกไม่ถึงว่า  เมื่อท่านพูดหลักการของต้าฝ่ากับเขา คือท่านกำลังบรรยายฝ่ากับเขา  ท่านกำลังถ่ายทอดฝ่าให้เขา   ท่านกำลังช่วยเขา  โปรดเขานะ   เขาไม่ฟังคือการเลือกของเขาเอง  ไปโต้เถียงกับเขาทำไมกัน ให้ปฏิบัติต่อทุกสิ่งนี้ด้วยความคิดที่ดีงาม       ผลลัพธ์ย่อมจะดีกว่า

ศิษย์           เวลาศึกษาฝ่า  บางครั้งรับรู้ได้ถึงหลักการหนึ่งของฝ่า  แต่พอคิดจะพูดออกมา  ก็รู้สึกว่าการรับรู้นี้ไม่ถูกต้องแล้ว     ความรู้สึกนี้ชัดแจ้งขึ้นเรื่อยๆ                                                                                                      อาจารย์                  ถูกละ  เมื่อครู่ข้าพเจ้ามิใช่พูดแล้วหรือ   ได้แต่ซาบซึ้งด้วยใจ   ไม่สามารถสื่อออกมาด้วยคำพูด   พอท่านพูดออกมาด้วยภาษาของคนธรรมดาสามัญ  ก็จะตกลงมาที่ระดับเดียวกับหลักการของคนธรรมดาสามัญแล้ว

ศิษย์           ผู้บำเพ็ญเพศหญิงมีสัดส่วนมากกว่าเพศชาย                                                                                        อาจารย์                  ดูๆไป ปัจจุบันเพศหญิงรับรู้ต่อต้าฝ่าได้เร็วขึ้น      นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ

ศิษย์           เดิมทีดิฉันชอบเด็กมากและอยากจะมีลูกมาก  แต่หลังจากสัมผัสกับต้าฝ่า คิดถึงว่ามนุษยชาติอยู่ในระดับต่ำอย่างนี้  ศีลธรรมเสื่อมทรามอย่างนี้  เช่นนั้นจะมีลูกไปทำไมทำให้จิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อน                                                                                                                                                         อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ไม่ใช่ท่านที่สร้างชีวิต  หากเป็นชีวิตนั้นที่เข้าสู่ครรภ์ของคน กลับชาติมาเกิด  จะมีกรรมหรือไม่เขาเองเป็นผู้นำติดตัวมา  ถ้าไม่มาเกิด ณ ที่ท่านตรงนี้  เกิดจากคนอื่นก็อย่างเดียวกัน ท่านเป็นผู้ฝึกต้าฝ่ายังกลัวลูกจะถูกแปดเปื้อนหรือ

ศิษย์           ดิฉันเป็นครูสอนเด็กอนุบาลของชนชาติหนึ่ง  งานของดิฉันคือไปตามโรงเรียนอนุบาลเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณีจีน   ดิฉันอยากเผยแพร่ชุดฝึกพลังทั้งห้าให้กับเด็กๆ  จะทำอย่างนี้ได้หรือไม่ 

อาจารย์      ดีมาก  ที่จริงครูใหญ่ตลอดจนครูของโรงเรียนอนุบาลในบางพื้นที่ ล้วนกำลังฝึกอยู่   เด็กๆเหล่านั้นก็กำลังฝึกอยู่ทั้งนั้น   เด็กเล็กๆเขาไม่มีจิตยึดติดใช่ไหม  พอนั่งลงตรงนั้น  โอ้  ดีเหลือเกิน  บริสุทธิ์จริงๆ  ยอดเยี่ยมจริงๆ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีแน่นอน   ใช้หลักการของต้าฝ่ามาสอนเด็กๆ  จะเป็นประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุดต่อชีวิตพวกเขา

ศิษย์           บางคนบำเพ็ญศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ด้วยน้ำใสใจจริง  ซึ่งล้วนไม่มีโอกาสจะได้รับฝ่าหลุนต้าฝ่า  พวกเขาจะมีทางออกอะไรไหม

อาจารย์  ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำเรื่องนี้  เทพของพวกเขาต่างแสดงออกมาอย่างชัดเจนให้กับคนเหล่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง  บางคนเชื่อ  บางคนไม่เชื่อ ข้าพเจ้าไม่มองว่ามันเป็นศาสนาอะไร  หรือมองว่าเขาเป็นข้าราชการใหญ่แค่ไหน  และไม่ดูว่าเขาเป็นใคร  ดูแต่ใจคน   ใครก็ตามอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าก่อนอื่นท่านก็คือคนๆหนึ่ง   ข้าพเจ้าดูแต่ใจคน  หากท่านไม่ต้องการ  ข้าพเจ้าก็ไม่ดูแลท่าน  เมื่อท่านต้องการ  ข้าพเจ้าก็จะช่วยท่าน  ก็เป็นอย่างนี้  ไม่ดูรูปแบบ  ไม่ดูตำแหน่ง  ไม่ดูว่าเชื่อถืออะไรอยู่ (เสียงปรบมือ)           

ศิษย์           บำเพ็ญต้าฝ่ามาได้หลายปีแล้ว  หลายเดือนมานี้เวลาแลกเปลี่ยนความคิดกับทุกคน   มองเห็นศิษย์บางคนคุยจ้อไม่หยุด  พูดไม่ยอมจบ  ตนเองก็ยิ่งไม่อยากพูดมาก   เรียนถามท่านอาจารย์            สภาพการณ์ชนิดนี้ถูกหรือไม่
อาจารย์      ถ้าเขาพูดมากไม่หยุด   เมื่อพูดไม่ยอมหยุด  ยิ่งพูดท่านก็ยิ่งไม่อยากฟัง  ยิ่งพูดท่านก็ยิ่งรำคาญ   ท่านก็มีจิตใจอย่างหนึ่งแล้ว  และเขายิ่งพูดยิ่งไม่ยอมหยุด  ก็คือการพูดที่พุ่งมาที่ท่าน แม้จะไม่พูดกับท่านโดยตรง (เสียงปรบมือ)  ก็คือเปิดโปงใจของท่านออกมา  ที่จริงก็ได้เปิดโปงออกมาแล้ว  เพียงแต่เราเองกำลังแก้ต่าง  พูดว่าคนเขาพูดจ้อไม่หยุด  ข้าพเจ้ามิใช่เคยบอกพวกท่านว่าเมื่อประสบกับเรื่องอะไรล้วนต้องมองตนเองหรือ  ใช่หรือไม่ว่าจิตอะไรของท่านออกมาแล้ว  เพราะพวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  เป็นคนเหนือสามัญวิสัย  ทำไมต้องมองว่าคนธรรมดาสามัญไม่ดีอย่างไร หรือไปเปรียบกับคนธรรมดาสามัญละ    แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่เขาก็บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  เขายังมีจิตที่ไม่ได้ทิ้งไปนะ  ยังมีการแสดงออกของคนธรรมดาสามัญ  ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว  เขามิใช่พระพุทธแล้วหรือ  เป็นเทพแล้วหรือ  เป็นเหตุผลนี้กระมัง  ดังนั้นในหมู่ผู้ฝึก พอเกิดปัญหานี้ปัญหานั้นแล้ว ก็พูดว่า  คุณดูซิคนนั้นบำเพ็ญแย่อะไรอย่างนั้น   เขาไม่พิจารณาตนเอง  ในการบรรยายฝ่า   ข้าพเจ้าเคยบอกทุกท่านแล้ว  เมื่อคนสองคนเกิดความขัดแย้งกัน  คนที่สามเมื่อมองเห็นแล้วก็ต้องพิจารณาตัวเอง ไอหย๋า พวกเขาเกิดความขัดแย้งกัน  แล้วทำไมจึงให้ฉันเห็นละ  ใช่ไหมว่าฉันมีจิตอะไรอยู่  ใช่ไหมว่าฉันก็มีปัญหาอย่างนี้อยู่   ดังนั้นการบำเพ็ญนั้น ท่านต้องรับผิดชอบต่อตัวเองจริงๆ  ต้องมองตัวเอง  อีกอย่างจะขอพูดสักหน่อย  ผู้ฝึกบางคนเวลาศึกษาฝ่าร่วมกันพูดจ้อไม่หยุดในเรื่องที่ไม่ใช่ของต้าฝ่า หรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ  ก็คือกำลังรบกวนการบำเพ็ญระหว่างผู้ฝึกด้วยกัน  ต้องระวังเป็นพิเศษ  สำหรับคนที่ทำอย่างนี้ต้องชี้ออกมาอย่างชัดเจนให้กับเขา

ศิษย์           เมื่อมองเห็นด้านที่เห็นแก่ตัวของผู้บำเพ็ญ ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มเหลือเกิน                                          อาจารย์                  นั่นก็เป็นอีกจิตใจหนึ่งของท่าน  ควรที่จะเป็นว่า ใครก็สั่นคลอนใจผู้บำเพ็ญไม่ได้   เมื่อท่านมองเห็นจิตที่เห็นแก่ตัวของเขาแสดงออกมาแล้ว   การแสดงออกมาก็อาจเพื่อให้ท่านบอกกับเขา  ให้เขารับรู้ได้  ทิ้งมันไป  ท่านถูกจิตที่เห็นแก่ตัวนั้นของเขาสั่นคลอนแล้ว  ท่านถูกมันทำจนกลุ้มแล้ว  ท่านยังไม่มีใจหรือ      ใช่ไหม

ศิษย์           ใจตนเองเกิดมาร   ทำไมจึงตกลงสู่ก้นบึ้งไม่สามารถบำเพ็ญได้อีกหรือ                                           อาจารย์                    เป็นการอธิบายอย่างหนึ่งของข้าพเจ้า  หากใจตนเองเกิดมารของเขาบรรลุถึงขั้นยากที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้  เขาก็จะตกลงสู่ก้นบึ้ง    ถ้าเขาสามารถสำนึกได้  นั่นยังพอมีช่องทางกอบกู้สถานการณ์ได้ ข้าพเจ้าบอกทุกท่านถึงอันตรายของใจตนเองเกิดมารบนหลักการของฝ่า

ศิษย์           ผู้บำเพ็ญสามารถจะปรับปรุงระบบการศึกษาได้หรือไม่  ทำให้คนในสังคมยอมรับต้าฝ่าง่ายยิ่งขึ้น
อาจารย์      มีผู้ฝึกมากมายรู้สึกว่าต้าฝ่าดีมาก  สามารถเปลี่ยนแปลงใจคนได้ทั้งหมด  สามารถทำให้คนเลื่อนสูงขึ้น  สามารถทำให้สังคมบรรลุสภาพที่ดีที่สุดได้ เป็นสังคมที่มีศีลธรรมสูง   เช่นนั้น  ผู้ฝึกมากมายกับคนธรรมดาสามัญที่ไม่ได้บำเพ็ญจึงคิดว่า  ถ้าได้รับการยอมรับกันทั่วจากคนในสังคม   สามารถทำให้คนมากยิ่งขึ้นทำกันอย่างนี้  สังคมนี้จะดีแค่ไหนกันละ       ที่จริงใจของท่านนั้น ก็คืออยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าสามารถบอกท่านได้อย่างนี้ว่า  เพราะท่านยังรับรู้ฝ่าได้ไม่ลึกถึงอย่างนั้น   ยังไม่ทราบอย่างกระจ่างชัดถึงการถ่ายทอดฝ่านี้ของข้าพเจ้า  ซึ่งหาได้ทำเพื่อจะให้สังคมคนธรรมดาสามัญเป็นอย่างไรอย่างไร   แต่เป็นการบรรยายฝ่าให้ผู้บำเพ็ญ  ทำให้ผู้บำเพ็ญได้รับการช่วยเหลือ    สังคมคนธรรมดาสามัญนั้นก็เป็นสังคมคนธรรมดาสามัญ  ถ้ามีข้าราชการชั้นสูงใช้หลักการของฝ่าที่ดีงามของต้าฝ่าแก้ไขศีลธรรมในสังคมที่เสื่อมถอย นั่นก็จะเป็นการแสดงออกที่ดีงามของใจคน  ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน  เพราะเมื่อต้าฝ่าถ่ายทอดออกมาเพื่อให้คนได้ดีใช่ไหม  ก็คืออย่างนี้  นั่นเป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญ ในอนาคตเมื่อฝ่าปรับโลกมนุษย์ นั่นจะเป็นเรื่องในก้าวต่อไป

ศิษย์           ผู้ฝึกไต้หวันทั้งหมดฝากสวัสดีท่าน                                                                                                  อาจารย์                  ขอบใจทุกท่าน(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ขณะนี้มีหลายปัญหาจะขอเรียนถามท่าน  ความสูงต่ำของความสามารถของคน  คือสิ่งที่มีมาพร้อมกับจิตหลักเมื่อเกิด     หรือว่าจัดวางตามกุศลและกรรมของแต่ละคน                                                                  

อาจารย์      ความสามารถที่ท่านพูดมีสองชนิด  ชนิดหนึ่งคือความฉลาดของคนธรรมดาสามัญตามที่เรียกกัน   ในการบำเพ็ญ นี่ไม่ใช่อะไรเลย  ในทางกลับกันเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรง  อีกชนิดหนึ่งคือความสามารถเหนือคนธรรมดาสามัญ ที่จะปรากฏออกมาในการบำเพ็ญ  สิ่งเหล่านี้มีองค์ประกอบก่อนกำเนิด   และก็มีองค์ประกอบหลังกำเนิด  แต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่มาตรฐานในการตัดสินระดับชั้นของการบำเพ็ญ   ต้องดูว่าคนบำเพ็ญเป็นอย่างไร    ความสามารถในการรับรู้ฝ่า  ก็คือดูรากฐานจิตใจแล้ว   ธาตุแท้ก่อนกำเนิดของคนถูกกลบจนมิดแล้วท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน  ในการกลับชาติมาเกิดในชาติภพต่างๆ   ธาตุแท้ของคนยังสามารถจะพรั่งพรูออกมาได้มากน้อยแค่ไหน  นี่ก็คือรากฐานจิตใจกับความสามารถในการรับรู้เป็นอย่างไร  

ศิษย์           รูปลักษณ์ที่สง่างามต่างๆนานาของพระพุทธ เต๋า เทพ ในอดีตที่ตกทอดอยู่ในที่ต่างๆบนโลก  ซึ่งแสดงออกมาโดยใช้การปั้นสลักและภาพวาดนั้น     ตกทอดลงมาในโลกโดยผ่านวิธีการอย่างไร
อาจารย์      ที่ท่านพูดคือรูปลักษณ์ของพระพุทธ คนรู้ได้อย่างไร   ยุคสมัยที่ศีลธรรม อารยธรรมของมนุษย์ดีมากนั้น  กับยุคสมัยที่ศีลธรรมของมนุษย์ไม่ดี  มีความแตกต่างกันมาก  เมื่อศีลธรรมของสังคมมนุษย์สูง  ภาพที่แท้จริงของจักรวาลที่เทพแสดงออกมาให้กับคนก็จะมาก  นี่เป็นสภาพการณ์ที่สังคมมนุษย์ทั้งหมดนำมา   ส่วนสังคมมนุษย์ในวันนี้ใช้ไม่ได้    เพราะสิ่งที่สังคมวันนี้เชื่อถือคือวิทยาศาสตร์  ไม่ใช่เทพ  ดังนั้นจึงมองไม่เห็นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ    และวิทยาศาสตร์นี้คือสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวสร้างออกมาให้กับคน  มนุษย์ต่างดาวก็เป็นชีวิตในมิตินี้  เพียงแต่มันเป็นชีวิตในดาวดวงอื่นเท่านั้น  ภาพวาดฝาผนังเหล่านั้นในพระราชวังลูฟร์ของประเทศฝรั่งเศส  มีหลายภาพเป็นเรื่องราวของเทพ  วาดได้อย่างสมจริง  ข้าพเจ้าดูมาแล้วว่าเป็นอย่างนั้นแต่ว่านะ  มันเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากยุคที่เจริญรุ่งเรืองของศาสนาคริสต์  หรือพูดได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ศีลธรรมมนุษย์ดีที่สุด ตกทอดลงมาจากช่วงเวลาที่เชื่อถือเทพมากที่สุด เช่นนั้นจึงมีศิลปินมากมาย   เขาก็เป็นสาวกที่เคารพเลื่อมใสในศาสนาคริสต์  เช่นนั้นเทพจึงแสดงออกมาให้เขาเห็น  เขาจึงสามารถเห็นได้   เพราะทุกท่านทราบ คนที่ทำงานศิลปะ ความจำของเขานั้นดีมาก ในฉับพลัน  เวลาที่เขามองเห็นภาพลักษณ์ของเทพเหล่านี้  ดังนั้นเขาจึงวาดออกมาได้  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าวาดได้เหมือนมาก  สมจริงมากๆ  เป็นเช่นนั้นจริงๆ   มีคนมากมายที่เห็นภาพวาดฝาผนังชนิดนี้แล้ว  จะเกิดความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพเลื่อมใส   ความเคารพเลื่อมใสต่อเทพที่ยิ่งใหญ่ชนิดนั้น          พระพุทธรูปนั้นก็ตกทอดลงมาอย่างนี้ให้คน
  

ศิษย์           สสารที่บำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์เมื่อกล่าวสำหรับข้างบน เป็นสิ่งที่ล้ำค่า   ใช่ไหมว่าหมายถึงการหวนคืนสู่ความจริงแท้ดั้งเดิม บวกกับขั้นตอนของการบำเพ็ญ

อาจารย์    การเชื่อมโยงนี้ของท่านไม่ใช่อย่างนั้นเลย    ขั้นตอนการบำเพ็ญของท่านก็คือการหวนคืนสู่ความจริงแท้ดั้งเดิมนะ   “สสารที่สำเร็จสมบูรณ์นั้น  กล่าวสำหรับข้างบน เป็นสิ่งที่ล้ำค่า” คำพูดนี้ไม่เป็นเหตุเป็นผล   เขตแดนนั้นที่สูงเลยจากที่ท่านสำเร็จสมบูรณ์ กล่าวสำหรับเทพที่สูงกว่า  ไม่แน่ว่าจะล้ำค่า  กล่าวสำหรับเทพที่สูงยิ่งขึ้น เขาถือว่าเป็นดิน  ที่จริงสังคมมนุษย์ที่นี่  อะไรที่ไม่ดีของจักรวาลล้วนตกลงมาที่นี่

ศิษย์           สาวกของคริสต์ศาสนาสามารถบำเพ็ญต้าฝ่าได้ไหม  
อาจารย์      เมื่อครู่ข้าพเจ้ายังพูดไว้อีกประโยคหนึ่ง   ข้าพเจ้าว่าเทพนั้น  ไม่เห็นความสำคัญของศาสนาหรือไม่ใช่ศาสนาอะไร  นั่นเป็นสิ่งที่คนทำขึ้นมา  เวลาที่พระเยซูอยู่ในโลก ไม่มีวิหารเลย  เวลาที่พระเยซูอยู่บนโลกก็ไม่มีศาสนาคริสต์เลย   เมื่อองค์ศากยมุนีอยู่ในโลกก็ไม่มีวัด   คือสิ่งที่คนทำออกมา  เมื่อองค์ศากยมุนียังอยู่ในโลกก็ไม่มีคัมภีร์  เมื่อพระเยซูยังอยู่ในโลกก็ไม่มี “ไบเบิ้ล”  ทว่าเป็นคนรุ่นต่อมา ที่หวนระลึกถึงคำพูดที่พวกเขาพูดแล้วเขียนออกมา

            ดังนั้น พระพุทธ กับเทพ จึงไม่เห็นความสำคัญกับอะไรที่เป็นรูปแบบหรือไม่เป็นรูปแบบที่คนทำกัน   จะสนใจรูปแบบนั้นของท่านไปทำไมกัน  สำหรับมนุษย์ศาสนาไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี  แต่หากคนยึดติดรูปแบบนี้โดยตัวมันเอง  ก็ไม่ใช่ศิษย์ที่มีความสัตย์จริงของเทพหรือพระพุทธ  ทุกท่านทราบ  วัดนั้นในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมล้วนถูกทำลายไปแล้ว  ในตอนนั้นทำไมพระพุทธไม่ดูแลละ  จะดูแลมันไปทำไมกัน   วัดนั้นคนอะไรก็ไปกัน  อะไรๆก็ขอ  คนที่ขอกับพระพุทธนั้น  เขาไม่บำเพ็ญ  จุดประสงค์ในการกราบไหว้พระพุทธ คือให้ช่วยคุ้มครอง ให้มีบุตรเอย  ให้ร่ำรวยเอย  คุ้มภัยให้ฉันช่วยขจัดทุกข์ภัยเอย  พระพุทธจะทำเรื่องนี้ให้ท่านหรือ  พระพุทธนั้นจะช่วยสรรพชีวิตแก้ปัญหาให้โดยแก่นแท้   จะโปรดท่านขึ้นไปบนสวรรค์  ท่านกลับขอความสุขสบายในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นจิตใจที่ปฏิบัติต่อพระพุทธ  วอนขอกับพระพุทธนั้นเป็นจิตที่ไม่ดีที่สุด  ทำให้พระพุทธลำบากใจ  คนไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่   ใช้อารมณ์ความรู้สึกปฏิบัติต่อพระพุทธ  คือ ฉันพูดเยินยอว่าพระพุทธ พระโพธิสัตว์ดี   มีเมตตายิ่งใหญ่  พระพุทธ  พระโพธิสัตว์ก็ต้องช่วยสนองให้ตามที่ฉันขอนะ   ฉันพูดว่าพระพุทธองค์นี้ดี  พระพุทธก็จะดีใจแน่   คนคิดว่าพอพูดอย่างนี้พระพุทธก็จะดีใจ    คนคิดว่าใจคนสามารถชักนำใจของพระพุทธได้นะหรือ   เขาคิดว่าเพียงคำพูดดีๆ ไม่กี่คำก็จะสามารถทำให้พระพุทธดีใจ    ช่างน่าขันยิ่งนัก      ก็คนแบบนี้ที่กราบไหว้พระพุทธรูปอยู่ตรงนั้น  พระพุทธนั้นยังจะอยู่ตรงนั้นอีกหรือ  ฟังแล้วรำคาญหู  พระพุทธก็ไม่อยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว   พระพุทธไม่อยู่บนพระพุทธรูปนั้น   ร่างวิญญาณชั่วที่ก่อกวนโลกก็จะมารับควันธูปแทน  ฉะนั้นสิ่งที่คนกราบไหว้คืออะไรละ   ทุกท่านคิดดู  วัดนี้ยังจะเหลือไว้ทำอะไร  คนไม่ทำลายทิ้ง  พระพุทธก็จะให้ฟ้าผ่ามันทิ้ง   คือเหตุผลนี้ใช่หรือไม่   ดังนั้นพระพุทธจึงดูแต่ใจคน    สภาพจิตใจของท่านไม่ถึงมาตรฐานนั้นของการบำเพ็ญ  ท่านปกป้องพุทธศาสนา  ปกป้องศาสนานั้น  มันมีประโยชน์อะไรละ  นั่นคือสิ่งที่คนทำขึ้นมา  สิ่งที่ท่านปกป้องคือศาสนา  คือการยึดติดต่อศาสนาโดยตัวมันเอง  ท่านบอกว่าฉันปกป้องศาสนานั้นแล้ว  ฉันก็สามารถจะสำเร็จเป็นพระพุทธได้  ก็สามารถจะสำเร็จเป็นเทพได้  ก็สามารถจะไปสวรรค์ได้  นั่นไม่ใช่การพูดล้อเล่นหรือ

ศิษย์           ศาสนาคริสต์ต่างจากฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่มากใช่หรือไม่  เพียงแต่เป็นความต่างระหว่างตะวันออกกับตะวันตกเท่านั้น                                                                                                                                                อาจารย์ นี่แตกต่างกันมากเหลือเกิน  ฝ่าหลุนต้าฝ่าคือฝ่าที่สร้างสรรค์จักรวาล  รวมทั้งสรรพชีวิตทั้งปวง  รวมทั้งคน เทพ  ฟ้าดิน  สรรพสิ่งทั้งหลาย  เทพทั้งปวงที่มีอยู่ล้วนสำเร็จได้โดยต้าฝ่า    “จ้วนฝ่าหลุน” หนังสือเล่มนี้  ท่านไปอ่านดู  ในหนังสือเล่มนี้      ปัญหาเหล่านี้ข้าพเจ้าก็อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว  พวกท่านสามารถอ่านหนังสือ  ซึ่งมี“จ้วนฝ่าหลุน”ภาษาอังกฤษ  

ศิษย์           ผมมีปัญหาหนึ่งขอความกรุณาอธิบาย    ผมบำเพ็ญ ในสามปีกว่านี้ทุกข์ภัยที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ผ่านได้ง่าย  แต่ปีกลายปรากฏการข้ามด่าน  ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดมาหลายเดือน  นี่เป็นเพราะอะไร  ขณะนี้กระทบต่อร่างกายแล้ว                  เช่นนี้จะสามารถบำเพ็ญต่อไปได้ไหม
อาจารย์      ทุกท่านคงอยากจะเข้าใจ  ปัญหานี้โดยตัวมันเองก็มีปัญหาอยู่   ท่านยังคิดว่าจะเหมือนกับเมื่อสามปีนั้นที่สงบและราบรื่น นั่นคือการบำเพ็ญหรือ  สามปีนี้ก้าวหน้าจริงๆแล้วหรือ  ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนกับผู้บำเพ็ญที่แท้จริงแล้วหรือ  บรรลุมาตรฐานนี้แล้วหรือ  บางครั้งในใจตนเองยังมองเรื่องครอบครัวสำคัญกว่าฝ่า  เรื่องที่คิดคือการหาเงิน  ยึดติดกับความรู้สึกต่อครอบครัว  ล้วนสำคัญกว่าฝ่า   กรรมของตนเองไม่คิดจะสลายไป  ไม่คิดจะทนทุกข์  นี้เป็นศิษย์ที่บำเพ็ญจริงหรือ   หากบำเพ็ญเช่นนี้ สิบปีก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น  เมื่อข้าพเจ้าเริ่มนำพาท่านไปสู่ระดับสูงแล้ว  เริ่มชำระล้างร่างกายท่าน  เลือดที่เคยคั่งอยู่ในอดีตเอย  เลือดเสียเอย  สิ่งที่ไม่ดีเอยเมื่อผลักออกมา    ในทันใดก็มองว่าร่างกายเกิดปัญหาแล้ว   ไม่สามารถยืนหยัดในความคิดที่ถูกต้อง  ไม่เชื่อว่านี่คืออาจารย์กำลังชำระร่างกายให้ในระหว่างการบำเพ็ญ    การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดออกอย่างนั้น  แต่กลับมองว่ามันคือโรค  ข้าพเจ้ามองปัญหานี้อย่างไรหรือ  นี่คือการข้ามด่านหรือ  จิตใจยังไม่มั่นคง  เดิมทีเป็นเรื่องที่ดี เพราะชำระร่างกายให้ท่านแล้วใช่ไหม    ใครจะทำเรื่องนี้ให้ท่านละ  ไม่ใช่เพราะท่านจะบำเพ็ญจึงทำให้ท่านหรอกหรือ    ต่อปัญหานี้ท่านเอง ยังไม่สามารถรับรู้ได้ถูกต้อง  ยังคงบำเพ็ญอย่างช้าๆอย่างนั้น  ไม่สามารถก้าวหน้า   เรื่องเหล่านี้ก็ไม่สามารถรับรู้ได้โดยอยู่ในฝ่า   ดังนั้นเรื่องการชำระร่างกายนี้ขั้นตอนจึงยืดยาว  จึงผ่านไปไม่ได้สักที  เป็นสภาพการณ์อยู่อย่างนี้ลากมานานหลายเดือน  ความคิดก็ยิ่งไม่มั่นคง  พอเวลานานเข้าทุกข์ภัยก็ใหญ่แล้วใช่ไหม  ก็ยิ่งผ่านไปไม่ได้  ทำไมลากยาวถึงเพียงนั้นละ  และยังผ่านไปไม่ได้   ความคิดเริ่มไหวหวั่น  การบำเพ็ญนี้ไม่ได้ผลแล้วใช่ไหม   อาจารย์ไม่ดูแลฉัน   หรือเป็นเรื่องอะไรกันแน่   กระทบต่อร่างกายเสียแล้ว  ในปัญหานี้ท่านไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นผู้ฝึกพลัง 
 หลายๆ ปัญหาที่เป็นรูปธรรม   ปกติข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดให้ท่านฟัง   แต่ทุกท่านคิดดู  มีหลายคนหลังจากบำเพ็ญต้าฝ่า  โรคที่รักษาไม่หายเอย  คนป่วยหนักเอย  ก็หายหมดแล้ว  เพราะว่าเขาไม่มีจิตยึดติด  เขากำลังก้าวหน้าอยู่   เขาไม่คิดถึงโรคของเขาเลย  โรงพยาบาลก็กำหนดโทษตายไว้แล้ว  ฉันยังจะกลัวความตายอะไร วันนี้ได้รับต้าฝ่าแล้ว   บำเพ็ญไป สามารถได้เท่าไรก็เท่านั้น  บำเพ็ญ  ฝึก อย่างมุ่งมั่น   โรคของเขาก็หายหมดอย่างไม่รู้ตัว  เพราะเขาไม่ยึดติดกับโรค     แต่ก็มีบางคนที่ป่วยหนัก  รวมทั้งโรคที่รักษาไม่หายเขาก็ตายไป  ทำไมละ   เพราะพวกเขาล้วนมาเพื่อรักษาโรค  ในการฝึกพลังก็ไม่อาจปล่อยวางจิตยึดติดของตน  เขาคิดว่า คนๆนั้นฝึกฝ่าหลุนกงก็หายจากโรคที่รักษาไม่ได้  ฉันก็จะฝึกให้หายได้  ฉันมาฝึกแล้ว  อาจารย์คนนี้ก็ต้องดูแลฉันแน่ๆ  สมองเขากำลังคิด  เพียงฉันอ่านหนังสือ   เพียงฉันฝึกพลัง  อาจารย์ย่อมจะช่วยฉันเอาโรคทิ้งไป      ท่านดู  ในใจก็ด้อยไปนิดหนึ่งอย่างนั้น    เขายังคิดว่า อาจารย์ต้องขจัดโรคให้ฉันแน่    โดยเปลือกนอกก็กำลังบำเพ็ญเหมือนทุกท่าน  กำลังอ่านหนังสืออยู่   เขาไม่ใช่อ่านเพื่อโรคนั้นหรือ   ข้าพเจ้าต้องดูธาตุแท้ของเขานะ   การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  ท่านกำลังหลอกพระพุทธอยู่หรือ  ท่านกำลังหลอกอาจารย์อยู่หรือ  หลอกตัวเองนะ   ธาตุแท้ของท่านไม่เปลี่ยน  ท่านจะสามารถเป็นผู้บำเพ็ญจริงได้ไหม   ทำไมผู้ฝึกมีการทดสอบในขณะฝันอยู่ละ  เมื่อบรรดาจิตที่สามารถปิดบังตัวเองล้วนหลับอยู่  ก็จะดูว่าท่านอยู่ในสภาพการณ์อะไร   ต้องบรรลุถึงมาตรฐานาของผู้บำเพ็ญที่แท้จริง  คือเหตุผลนี้ใช่หรือไม่    ได้ศึกษาต้าฝ่าแล้ว  ยังไม่ก้าวหน้า  อย่าได้พลาดโอกาสไปเสียละ  มีคนอีกมากมายยังไม่ได้รับฝ่านะ

ศิษย์           ทำไมพอผมเข้าร่วมกลุ่มฝึกพลัง    ภรรยาของผมก็รู้สึกทนไม่ได้                                                           อาจารย์      เกิดจากกรรมของท่าน    หนี้มากมายที่ติดค้างไว้ชาติภพก่อนๆของคน พอท่านบำเพ็ญแล้วก็ไม่ต้องชดใช้แล้วหรือ  ไปเป็นเทพได้อย่างสะดวกสบายแล้วหรือ นี่จะถูกหรือ   นี่เรียกว่าเทพอะไรละ    ก่อกรรมแล้วก็ไม่นับ จะได้หรือ   เทพมองชีวิตของคนๆหนึ่ง เขาไม่ได้มองเพียงชาติเดียวนะ  แต่ละชาติ ละชาติที่ไปเกิดใหม่ก็เหมือนแต่ละวัน แต่ละวันที่ผ่านไป    นอนหลับไปพอตื่นขึ้นตอนเช้า ท่านบอกว่าท่านไม่ยอมรับเรื่องที่ทำไปเมื่อวาน  นี่ใช้ไม่ได้  ใช่หรือไม่  เทพจะมองชีวิตท่านทั้งหมดโดยรวม ในช่วงเวลาไหนท่านเคยทำอะไรไว้   ล้วนแต่มองเห็น

ศิษย์           จะขยายความจุ(ความอดทน)ของจิตใจให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างไร                                                         อาจารย์                  ในระหว่างที่ท่านบำเพ็ญ ก็ขยายใหญ่ขึ้นโดยอัตโนมัติแล้ว  เรื่องนี้ไม่ใช่จะตั้งใจทำได้   ปล่อยวางจิตยึดติดได้ยิ่งมาก  จิตใจก็จะยิ่งกว้างใหญ่  ความจุ(ความอดทน)ต่อเรื่องราวจะยิ่งมาก

ศิษย์           ขณะฝันอยู่    ฝันเห็นอาจารย์ส่งถ้วยแก้วใสสี่ใบให้  แต่มีเพียงใบหนึ่งที่สมบูรณ์ดี     วันที่สองฝันเห็นตนเองมีลูกสาวสี่คน  แต่มีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตเหลืออยู่  เพื่อนผู้ฝึกพลังด้วยกันรับรู้ได้ว่า ใช่ไหมว่าได้รับสิ่งที่อาจารย์มอบให้เพียงหนึ่งในสี่  ถูกต้องไหม                                                                                            อาจารย์    ให้ท่านรับรู้เองนะ  ข้าพเจ้าไม่อาจพูดได้   ถ้าข้าพเจ้าพูดแล้ว มิใช่ให้ข้าพเจ้ารับรู้เองแล้วหรือ

ศิษย์           ขอเรียนถาม หลังจากไปถึงเขตแดนและระดับชั้นของพระพุทธ  ยังมีจิตหลัก จิตรองหรือไม่

อาจารย์      นั่นก็ไม่มีแล้ว  ข้าพเจ้ามิใช่เคยพูดใน “จ้วนฝ่าหลุน”แล้วหรือว่า   หลังจากสำเร็จสมบูรณ์แล้ว    จิตรองเป็นได้เพียงผู้พิทักษ์ฝ่าหรือคงอยู่ในรูปแบบอื่น

ศิษย์           ประเทศจีนเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีในการบำเพ็ญ  หลังจากดำรงชีวิตอยู่ในออสเตรเลียได้ช่วงหนึ่งแล้ว  จะกระทบต่อผลลัพธ์ของการบำเพ็ญไหม                                                                                                                                                    อาจารย์      ไม่ใช่         เพียงท่านบำเพ็ญ          อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

ศิษย์           เวลาที่ผมนั่งสมาธิได้หนึ่งชั่วโมง  ส่วนมากจะรู้สึกว่าเวลายาวนานมาก  ทนความเจ็บปวดนั่งจนจบ   แต่พบว่าเวลาที่สลายกรรมอยู่นั้น เวลาที่นั่งสมาธิจะเร็วเป็นพิเศษ ทันใดก็นั่งจบแล้ว  และความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน                  สภาพการณ์ชนิดนี้ถูกหรือไม่                                                                                                                                                             อาจารย์      นี่ล้วนเป็นสภาพการณ์ของการฝึกพลังของท่าน   นี่ล้วนเป็นสภาพการณ์ที่เป็นธรรมชาติมาก

ศิษย์           เมื่อนั่งสมาธิขณะสลายกรรมอยู่    ทั้งสองฝั่งล้วนสลายกรรมพร้อมกันหรือไม่                                          

 อาจารย์     สองฝั่งอะไรหรือ   ด้านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วจะไม่เจ็บปวด  ถ้าหมายถึงขาสองข้าง  นั่นจะปวดอย่างแน่นอน   เมื่อนั่งเป็นเวลานาน   ไม่เพียงปวดขา  ปวดเอว  ชาที่เอว ใจกระวนกระวาย  คลื่นเหียน  ล้วนจะออกมา    เหนื่อยยากร่างกาย  ทุกข์ทรมานจิตใจ   ปวดขานั่นเป็นเพียงการแบกรับทางกาย    นั่งสมาธิขณะที่ใจยังจะกระวนกระวายด้วย  ก็คิดจะเอาลงมา   พวกเรามากมายล้วนมีความรู้สึกอย่างนี้   ทนทุกข์ก็จะสามารถสลายกรรมได้

ศิษย์           เป็นเกียรติและโชคดีมากที่ได้เห็นท่านด้วยตาตนเอง   ขณะนี้มีปัญหาข้อหนึ่ง   ท่านบอกว่าไม่ให้เดินสองแนวทาง    ปกติหากผมอ่านคัมภีร์กับหนังสือของพุทธศาสนา ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกระดับชั้นต่ำ อย่างเช่นผม   ค่อยๆบรรลุมาตรฐาน  เพราะศาสนาพุทธก็เป็นพุทธธรรม  ถูกหรือไม่

อาจารย์      วิธีคิดของท่านไม่ถูก   ต้าฝ่ากับพุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งเดียวกัน   ท่านอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ให้มากเถอะ   สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดกับท่าน มีมากจริงๆ  สิ่งที่ท่านอยากรู้ก็มากมาย   แต่วันนี้ข้าพเจ้ามีเวลาไม่พอ  ที่นี่ข้าพเจ้าจะพูดคุยปัญหาต่างๆที่ประสบในการบำเพ็ญ ณ ระดับชั้นที่ต่างกันของเหล่าศิษย์ให้พวกเขาฟัง   หากท่านคิดจะบำเพ็ญ  ก็อ่านหนังสือหน่อย  หลังจากอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”  ท่านค่อยตัดสินใจ  ว่าท่านจะบำเพ็ญหรือว่าจะอ่านคัมภีร์พุทธของท่าน  ท่านตัดสินใจเอาเอง  ต้าฝ่ากับศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ศิษย์           ได้พบท่าน  รู้สึกตื่นเต้นมาก  พูดอะไรไม่ออก  คิดจะพูดก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี  ในเวลานี้คือจิตสำนึกหลักไม่แจ่มแจ้ง      หรือว่าอารมณ์ความรู้สึกของคนเข้มข้นเกินไป
อาจารย์      ไม่ใช่ทั้งนั้น  มีผู้ฝึกจำนวนมากพอพบข้าพเจ้า  ไม่เพียงแต่ท่าน  เวลาที่พบกับข้าพเจ้าเขาไม่มีคำพูดจะพูดแล้ว  เพราะในเวลานี้  ส่วนนั้นที่บำเพ็ญได้ดีของพวกท่านมีสติขึ้นมาแล้ว  หลักการของฝ่าในเขตแดนนั้น  ด้านที่บำเพ็ญได้ดีอะไรก็รู้ได้หมด   ดังนั้นเมื่อพบกับข้าพเจ้าแล้วก็ไม่มีอะไรจะถาม   อาจารย์ทำเรื่องมากมายอย่างนั้นให้ทุกท่าน  ด้านที่เข้าใจของพวกท่านล้วนทราบดี    โดยชั้นผิวเพียงบรรยายหลักการของฝ่าให้พวกท่าน  แต่การยกระดับที่แท้จริงในด้านอื่นของพวกท่าน  รวมทั้งการสลายกรรมให้พวกท่านเอย  ทำเรื่องมากมายให้กับพวกท่านเอย   พวกท่านก็มีส่วนนั้นที่สามารถมองเห็นได้  ดังนั้นนะ  พอเห็นข้าพเจ้าก็อยากจะร้องไห้    ด้านนี้ของพวกท่านที่ยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ก็ไม่รู้ว่าร้องไห้ทำไม  ก็คือสภาพการณ์นี้   เพราะพวกท่านทราบว่า  ไม่มีทางจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ ที่อาจารย์ทำให้กับพวกท่าน  ในโลกอันวุ่นวายที่ไม่มีทางจะช่วยอะไรได้อย่างนี้   ท่ามกลางศีลธรรมในใจคนที่ตกต่ำอย่างรวดเร็ว   การช่วยพวกท่านสลายกรรมและให้ของมากมายอย่างนั้นกับพวกท่าน   เช่นนั้นหากไม่มีโอกาสดังว่านี้  ก็จะไม่มีใครทำ  ดังนั้นด้านนั้นของพวกท่านเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว     ก็จะเป็นสภาพการณ์นี้(เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ผมขอเรียนถาม   ผมอยากถามสักหน่อย  จะทราบได้อย่างไรว่าตัวเองได้รับฝ่าแล้ว    ที่ผ่านมามีโรคเบาหวานและคลอเรสเตอรอลสูง   หลังจากบำเพ็ญฝ่าหลุนกงก็หายหมดแล้ว   พูดได้ชัดใช่ไหมว่าได้ฝ่าแล้ว

อาจารย์      นี่ไม่ใช่ดูแลท่านแล้วหรือ   การบำเพ็ญก็ต้องปรับร่างกายให้ดีก่อนเสมอ   จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงของการบำเพ็ญอย่างเป็นทางการ ท่านล้วนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว  ถ้าข้าพเจ้าไม่ดูแลก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้   นั่นไม่ใช่อยู่ในฝ่าแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงละหรือ   ท่านก็อ่านหนังสือให้มาก ศึกษาฝ่าให้มาก ก้าวหน้าไปเถอะ

ศิษย์           เวลาที่บำเพ็ญ        จะฝึกพลังไปพลางท่องคำเคล็ดไปพลาง        จะได้ไหม                                                    อาจารย์      การท่องคำเคล็ดให้ท่องก่อนฝึกพลัง  ขณะฝึกพลังก็ไม่ต้องท่องแล้ว   ดีที่สุดคือ อะไรก็ไม่คิด    จะดีที่สุด

ศิษย์           ปัจจุบันผู้ฝึกที่เพิ่งเข้ามา กับศิษย์ที่บำเพ็ญได้หลายปีแล้วจะสำเร็จสมบูรณ์พร้อมกันได้หรือไม่    มีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งเนื่องด้วยมีระดับการศึกษาจำกัด กับองค์ประกอบบางอย่างของตัวเอง  โดยเฉพาะคือความสามารถในการเข้าใจอ่อนด้อย    จะมองการบำเพ็ญให้สำเร็จสมบูรณ์ของพวกเขาอย่างไรดี                          

 อาจารย์     ท่านก็อย่าดูแคลนผู้สูงอายุนะ   แต่ละคนล้วนต้องดูระดับความก้าวหน้าของเขาว่าเป็นอย่างไร  ไม่อาจมองเรื่องอายุกันอย่างนี้   ข้าพเจ้าได้แต่บอกให้ท่านได้ฝ่า  ข้าพเจ้าก็จะให้เวลาที่เพียงพอแก่ท่าน  แต่หากท่านไม่อาจก้าวหน้าได้  ไม่อาจปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้ฝึกพลัง  เช่นนั้นอะไรก็จะสูญไปเปล่าๆทั้งหมด  ข้าพเจ้าให้เวลาที่เพียงพอกับท่าน  คือการให้เวลาที่เพียงพอที่ท่านจะก้าวหน้า  ไม่ใช่ให้เวลาท่านฝึกบ้างไม่ฝึกบ้าง(ฝึกเล่นๆ)

ศิษย์           ลูกคลอดได้สามวัน  เห็นคนแก่ชาวต่างชาติคนหนึ่งสวมชุดดำบนศีรษะสวมหมวกที่ใช้ประกอบพิธี และมีเคราสีขาว  ห่มผ้าให้ลูก  ทั้งครอบครัวเราล้วนบำเพ็ญต้าฝ่า  จึงควรเป็นธรรมกายของอาจารย์  และไม่ควรเป็นคนแก่ต่างชาติคนนี้  ศิษย์ไม่เข้าใจ  ขอเชิญท่านอาจารย์อธิบายสักหน่อย จะได้ไหม

อาจารย์      ข้าพเจ้าที่อยู่ในระดับชั้นที่ต่างกันจะมีรูปลักษณ์ที่ต่างกัน   ข้าพเจ้าก็มีสวรรค์ที่ต่างกันในระดับชั้นที่ต่างกัน   และเด็กมาจากที่ไหนรับฝ่า ใช่หรือไม่ว่ามีเทพอะไรที่ตามมาดูแล   ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าล้วนไม่อาจบอกท่านได้   สนใจแต่การบำเพ็ญเถอะ  ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ก็ควรจะยิ่งก้าวหน้านะ

ศิษย์           พวกเราหวังอย่างมากว่าศิษย์ชาวผิวขาวเหล่านั้นที่ได้รับประโยชน์ในต้าฝ่า  จะริเริ่มก้าวออกมาแนะนำต้าฝ่าให้กับเพื่อนร่วมชาติของตนเอง                                                                                                        อาจารย์   ศิษย์ต้าฝ่าแต่ละคน  ไม่ว่าเขาจะเป็นคนผิวขาว หรือคนจีน หรือชนชาติอื่น   ในการบำเพ็ญพวกเขาเอง ล้วนทราบว่าควรทำอย่างไร

ศิษย์           ผมไปออสเตรเลียค้นหาอยู่สี่เดือนจึงจะพบศูนย์ฝึก  ผู้ฝึกทั้งหมดหน้าตาดูคล้ายคนคุ้นเคย   แต่ไม่เคยพบกันมาก่อน  ในระหว่างที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน  ผู้ฝึกต้าฝ่าทั้งหลายที่ได้พบก็คล้ายกับเคยพบกันมาก่อน            ไม่เหมือนคนแปลกหน้า  ไม่ทราบว่าเพราะอะไร                                                                       

อาจารย์      นั่นแน่นอนละ   ที่ศิษย์ต้าฝ่าเราบำเพ็ญคือฝ่าเดียวกันทั้งหมด  ล้วนบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่า   ด้านที่บำเพ็ญสำเร็จล้วนรู้สึกคุ้นเคยกันมาก  และระหว่างพวกท่านด้วยกันอาจเป็นไปได้ว่าเคยรู้จักกันในชาติไหนภพไหนมาก่อน

ศิษย์           สมองของผมมักจะว่าง  แต่มักมีคนถามผมว่า คุณบอกฝ่าหลุนกงดี  แต่ทำไมคุณจำอะไรไม่ได้เลย

อาจารย์      เพราะด้านที่บำเพ็ญได้ดี  ด้านที่บำเพ็ญจนเข้าใจแล้วนั้น ถูกกันออกไปแล้ว   ด้านที่ไม่เข้าใจมักเป็นด้านที่ยังบำเพ็ญได้ไม่ดี         อย่าให้สิ่งที่รบกวนท่านแสดงบทบาทได้อีก

ศิษย์           ตั้งแต่เล็กมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ           ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นจิตยึดติดที่ควรทิ้งไปหรือไม่               

อาจารย์      ถูกต้อง  ให้ทิ้งมันไป  วันนี้ท่านคือชีวิตที่โชคดีที่สุดของจักรวาลแล้ว  ท่านเป็นผู้ฝึกต้าฝ่าแล้ว   เทพบนสวรรค์ต่างอิจฉาพวกท่านนะ  ท่านยังจะน้อยเนื้อต่ำใจอะไร

            การประชุมสองวันของเราใกล้จะจบลงแล้ว ผ่านฝ่าฮุ่ยสองวันนี้หนา   ข้าพเจ้าคิดว่าทุกท่านต่างก็มีการยกระดับที่แน่นอนหนึ่ง  และฝ่าฮุ่ยครั้งนี้จัดได้สำเร็จบริบูรณ์มาก ดีมาก  บรรลุถึงผลลัพธ์ตามที่คาดการณ์ไว้    ผ่านฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกแต่ละคนสามารถค้นพบข้อบกพร่อง  ต่อไปในการบำเพ็ญ  จะก้าวหน้าโดยไม่หยุดหย่อน  เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อการบำเพ็ญของทุกท่านให้แข็งแกร่ง  ทำให้ฝ่าฮุ่ยครั้งนี้เป็นไปตามเป้าหมาย   นี่คือจุดประสงค์ของการเปิดฝ่าฮุ่ย  ข้าพเจ้าก็หวังว่าเมื่อผ่านฝ่าฮุ่ย  ให้ถือมันเป็นแรงกระตุ้นอย่างหนึ่ง   ในการบำเพ็ญในภายหน้าต้องรับผิดชอบต่อตนเอง    ผู้ที่นั่งอยู่เป็นผู้ฝึกใหม่ค่อนข้างมาก  ยังมีส่วนหนึ่งที่เข้าใจต้าฝ่าไม่มากนัก   ในเมื่อท่านเดินเข้าประตูนี้มาแล้ว  มองเห็นทั้งหมดนี้แล้ว   ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะหาหนังสือสักเล่มหนึ่งทำความเข้าใจเขา  ว่าทำไมมีคนมากมายอย่างนั้นศึกษาอยู่  ทำไมจึงมีคนมากอย่างนี้บำเพ็ญอยู่   ในห้องประชุมของเรานี้  ท่านคงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สุขสงบ  ปัจจุบันไม่ว่าท่านจะอยู่ในสภาพการณ์ใด           หรือสภาพแวดล้อมใด ก็หาไม่พบ

ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้ก็พิจารณาถึงการรับผิดชอบต่อคน  รับผิดชอบต่อสังคม  ยิ่งจะไม่สร้างความยุ่งยากให้กับสังคม  ไม่ว่าผู้ฝึกเราจะอยู่ในที่แห่งใด  ล้วนจะเป็นคนดีคนหนึ่ง  เมื่อเราพบกับความยุ่งยากใดๆ  ความยากลำบากใดๆ  ล้วนต้องใช้ความคิดที่ดีงาม  เจตนาที่ดีงามไปพูดกับคนอื่น  ไม่อาจให้ด้านที่ชั่วร้ายแสดงบทบาทอย่างเด็ดขาด

            ฝ่าฮุ่ยนี้ก็จะจบลงแล้ว  ข้าพเจ้าหวังว่าทุกท่าน  จากนี้ไปต้องเพิ่มความก้าวหน้ายิ่งขึ้น  หลังจากฝ่าฮุ่ยครั้งนี้แล้วจะมีผู้ฝึกศึกษาฝ่ามากยิ่งขึ้น  สืบเนื่องต่อๆกันไป  ข้าพเจ้าคิดว่าทุกท่านก็ล้วนจะสามารถทำได้ดี   สุดท้ายหวังว่าทุกท่านจะก้าวหน้าไปไม่หยุด  สำเร็จสมบูรณ์ในเร็ววัน (เสียงปรบมือ)