(ฉบับร่าง)

法轮大法义解

อธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่า

 

 

李洪志

หลี่หงจื้อ


 

สารบัญ

 

คำอธิบายเกี่ยวกับการตีพิมพ์อีกครั้ง…………………………………………………………3

อธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่าให้กับผู้ช่วยฝึกสอนเมืองฉางชุน………………….. 5

ข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า ณ เป่ยจิง……………………………..54

การบรรยายธรรมต่อหัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนบางส่วนจากทั่วประเทศ ณ กว่างโจว………..67

ความเห็นเกี่ยวกับเจิ้งฝ่า(ฝ่าที่ถูกต้อง)ต่อที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า ณ เป่ยจิง…….83


                           คำอธิบายเกี่ยวกับการตีพิมพ์อีกครั้ง

ครั้งแรกที่ตีพิมพ์ [อธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่า] ออกมา ส่วนสำคัญคือเพื่อจะยกระดับคุณภาพและความสามารถในการช่วยฝึกสอนของผู้ช่วยฝึกสอน ถ้าผู้ฝึกใหม่ทั่วไปยอมรับไม่ได้ก็จะส่งผลให้เกิดความเสียหายและการรบกวนต่อต้าฝ่า ดังนั้นจึงจัดจำหน่ายอยู่ในวงจำกัด

ภายหลังจากที่ศิษย์ทั่วประเทศได้เริ่มการศึกษาฝ่า บำเพ็ญอย่างจริงจัง ทุกท่านก็มีความเข้าใจต่อต้าฝ่าเพิ่มมากขึ้น ผ่านการบำเพ็ญอย่างจริงจัง ทำให้เข้าใจและซึมซาบอย่างแท้จริงถึงความยิ่งใหญ่ของต้าฝ่าและความสัมพันธ์ที่แนบแน่นต่อการยกระดับชั้น มีการยกระดับความเข้าใจอย่างชัดเจน ในสภาพการณ์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจตีพิมพ์ [อธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่า] ออกจำหน่ายอีกครั้ง แต่ทุกท่านพึงระวังแนวโน้วแบบหนึ่ง จงอย่าได้คิดจะค้นหาสิ่งแปลกใหม่ในต้าฝ่า บางคนเฝ้าติดตามค้นหาอยู่เรื่อยๆ ว่าข้าพเจ้าได้พูดอะไรอีกบ้าง มีหนังสือใหม่อะไรอีกบ้าง หรือเป็นอย่างไร อย่างไร....เป็นต้น ต้องปล่อยวางจิตใจลงมา บำเพ็ญจริงๆ จังๆ ต่อไป ที่จริงไม่ว่าจะมีหลักธรรมคำสอนออกมาเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ก็ล้วนเป็นข้อมูลเสริมแนะ [จ้วนฝ่าหลุน] สิ่งที่ชี้แนะการบำเพ็ญอย่างแท้จริงมีเพียง [จ้วนฝ่าหลุน] ข้างในนั้นครอบคลุมเนื้อหาเริ่มจากคนธรรมดาสามัญไปจนถึงระดับที่สูงมากๆ เพียงแต่ท่านบำเพ็ญต่อไป [จ้วนฝ่าหลุน] ก็จะชี้นำให้ท่านบำเพ็ญและยกระดับสูงยิ่งขึ้นตลอดไป

บทความใน [จ้วนฝ่าหลุน] สำนวนที่ใช้ไม่ไพเราะสละสลวย อีกทั้งไม่เป็นไปตามหลักภาษาปัจจุบัน แต่หากข้าพเจ้าเรียบเรียงหนังสือต้าฝ่าเล่มนี้ตามหลักภาษาปัจจุบันแล้ว ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ข้อหนึ่ง บทความแม้จะมีโครงสร้างของภาษาที่ไพเราะและสละสลวย  แต่ไม่สามารถครอบคลุมความหมายที่ลึกซึ้งและสูงยิ่งขึ้น เพราะหลักภาษาตามโครงสร้างปัจจุบัน ไม่สามารถถ่ายทอดต้าฝ่าซึ่งเป็นเครื่องชึ้นำในระดับชั้นที่แตกต่างกันที่อยู่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป และการแสดงออกของหลักธรรมในแต่ละระดับชั้น ตลอดจนนำไปสู่การผันแปรของร่างแท้(เปิ๋นถี่)และพลัง(กง)ของผู้ฝึก รวมทั้งเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงของธาตุแท้

[อธิบายความหมายฯ] เล่มนี้ก็เช่นกัน ตีพิมพ์ออกจำหน่ายเพื่อช่วยชี้แนะให้ทุกท่านศึกษา   [จ้วนฝ่าหลุน] ให้ดี หวังว่าศิษย์ต้าฝ่าจะสามารถยึดฝ่าเป็นอาจารย์ ขจัดการรบกวนทิ้งไป บำเพ็ญให้แน่นแฟ้นและจริงจัง นี่ก็คือการก้าวรุดไปข้างหน้า

 

                                                                                        หลี่ หงจื้อ


คำนำ

 

เพื่อให้งานช่วยฝึกสอนของฝ่าหลุนต้าฝ่าดำเนินไปได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอของศูนย์ศึกษาและศูนย์ช่วยฝึกสอนทุกแห่ง ฝ่า และความหมายเกี่ยวกับฝ่า ที่ข้าพเจ้าได้บรรยาย และอธิบาย ณ ที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอน ได้ผ่านการตรวจทานและเห็นชอบของข้าพเจ้าแล้ว เวลานี้ก็ได้ตีพิมพ์นำออกมาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนั้นยังมีผู้ช่วยฝึกสอนส่วนน้อยที่มาจากมณฑลอื่น เมืองอื่นด้วย หลังจากที่ข้าพเจ้าได้บรรยายฝ่าและอธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่าแล้ว บางคนได้เรียบเรียงบทความจากเทปบันทึกเสียง ยิ่งกว่านั้นในบางพื้นที่ยังได้เวียนกันคัดลอก ขโมยพิมพ์ เนื่องจากเวลาข้าพเจ้าบรรยายฝ่า อธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่า ล้วนแต่บรรยายและอธิบายภายใต้สภาวะแวดล้อมที่พิเศษเฉพาะ ภายใต้เงื่อนไขและในประเด็นที่เป็นรูปธรรม หากไม่อยู่ในปัจจัยเหล่านี้แล้ว การเวียนกันคัดลอกบทความ และต้าฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยาย การทำความเข้าใจก็จะเกิดความหมายที่ไม่ตรงกัน อีกทั้งจะทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ง่าย  ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่ต้าฝ่า

การตีพิมพ์ [อธิบายความหมายเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่า] ออกจำหน่าย เพื่อเป็นหนังสือสำหรับผู้ช่วยฝึกสอนอ่านโดยเฉพาะ ผู้ช่วยฝึกสอนทุกคนเวลาเผยแพร่ฝ่าหลุนต้าฝ่า ต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อผู้ฝึก รับผิดชอบต่อสังคม รับผิดชอบต่อต้าฝ่า เวลาที่ทำการเผยแพร่และอธิบายปัญหา ให้เผยแพร่ต้าฝ่าตามระดับความเข้าใจต่อต้าฝ่าและความสามารถรับได้ของผู้รับ

 

                                                                                                หลี่ หงจื้อ

                                                                               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อธิบายฝ่าให้ผู้ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่าเมืองฉางชุน

(18-9-1994)

 

นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นผู้ช่วยฝึกสอนและผู้ฝึกระดับแกนนำ ในการสร้างสรรค์ฝ่าหลุนต้าฝ่า โดยเฉพาะเมืองฉางชุนมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างสรรค์ฝ่าหลุนต้าฝ่า ผู้ฝึกที่ศูนย์ฝึกหลายๆ แห่งได้ถามปัญหาต่างๆ มากมาย มีปัญหาบางประการที่ผู้ช่วยฝึกสอนหรือผู้ฝึกระดับแกนนำของเราอธิบายได้ไม่ดีหรืออธิบายไม่ได้ เรื่องนี้มีสาเหตุสองประการ หนึ่งคือเข้าใจฝ่าไม่ถ่องแท้ ที่จริงในการสอนในชั้นเรียน พวกเราก็ได้บรรยายให้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่เข้าใจฝ่าให้ทะลุปุโปร่ง อะไรๆ ก็สามารถอธิบาย นี่คือสาเหตุหนึ่ง และเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด อีกประการหนึ่งคือปัญหาบางประการที่เป็นรูปธรรมที่ผู้ฝึกถาม แต่อธิบายได้ เพราะผู้ฝึกสอนติดต่อกับผู้ฝึกโดยตรง หลายๆ ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ไม่อาจจะอธิบายได้

ข้าพเจ้ารักษาท่าทีอย่างนี้เสมอมา ฝ่าข้าพเจ้าก็ได้บรรยายอย่างครบถ้วนและสรุปรวบยอดให้แล้ว ปัญหาในการบำเพ็ญของตัวท่านเอง ก็ต้องปฏิบัติตามฝ่านี้ ถ้าอะไรๆ ก็พูดออกมาจนหมด ก็จะไม่มีสิ่งที่ตัวท่านเองจะบำเพ็ญ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่สามารถจะพูดมากไปกว่านี้แล้ว ถ้าพูดอีกก็จะเท่ากับว่าข้าพเจ้ายกท่านขึ้นมาอย่างนั้น ที่เหลือก็คือปัญหาบางประการที่เป็นรูปธรรม แต่ผู้ฝึกบางคนก็ยังอยากจะถาม ก็คือวางใจไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าไม่ได้ ก็ยังจะถามผู้ฝึกสอนหรือศิษย์ของเรา ที่ฝึกพลัง(กง)มาค่อนข้างจะนาน แต่ปัญหาที่ผู้ช่วยฝึกสอนหรือศิษย์ที่ฝึกมานานไม่เคยประสบด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจจะอธิบายได้

เหตุใดข้าพเจ้าให้ทุกคนฝึกพลัง(กง)ด้วยกันเป็นกลุ่มนะหรือ เวลาพบกับปัญหาสามารถจะปรึกษาหารือด้วยกัน ร่วมกันศึกษาพิจารณา ปัญหาเหล่านี้ก็จะแก้ไขได้ ฝึกพลัง(กง)ตัวเองคนเดียว เมื่อพบกับปัญหาแล้วไม่เข้าใจ จะเกิดความสับสน แต่อยู่ที่ศูนย์ฝึก ทุกท่านร่วมกันศึกษาพิจารณา หลายๆ ปัญหาก็สามารถจะแก้ไข ที่จริงการจะจัดการกับปัญหาหนึ่งๆ ให้สำเร็จได้ ต้องค้นหาจากซินซิ่ง ปัญหาอะไรล้วนสามารถแก้ไขให้ลุล่วงได้ แต่ก็ยังมีปัญหาบางประการที่เป็นรูปธรรม มันยากเกินกว่าที่ผู้ช่วยฝึกสอนจะจัดการได้จริงๆ เพื่อปัญหาเหล่านี้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าเปิดประชุมหนึ่งครั้งให้กับทุกท่าน นี่จัดเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้ช่วยฝึกสอนเมืองฉางชุน พื้นที่อื่นยังไม่มีโอกาสเช่นนี้ การกลับมา(บ้าน)ครั้งนี้มีปัญหาหลายประการต้องจัดการ ผู้ฝึกทั้งหลายต่างก็รู้ ดังนั้นจึงพยายามไม่รบกวนข้าพเจ้า เป็นไปได้ว่า เสียงโทรศัพท์เพียงกริ๊งเดียวก็จะรบกวนข้าพเจ้าอย่างมาก ฉะนั้นผู้ฝึกหลายๆ ท่านจึงไม่โทรศัพท์มาหา จุดนี้ข้าพเจ้าทราบ ที่เรียกทุกท่านมาประชุมก็เพื่อจะตอบปัญหาบางประการให้กับทุกท่าน ศูนย์ใหญ่ได้ส่งบทความจากประสบการณ์ของผู้ฝึกบางส่วนมาให้ อีกทั้งปัญหาต่างๆ ที่รวบรวมกันขึ้นมา ข้าพเจ้ายังไม่มีเวลาอ่าน เพราะข้าพเจ้ากำลังปรับแก้หนังสือเล่มที่สามอยู่ – [จ้วนฝ่าหลุน] และยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย

การตอบปัญหาให้แก่ทุกท่านในวันนี้ โดยหลักคือเพื่อให้ทุกท่านทำงานได้สะดวก พูดถึงตรงนี้ข้าพเจ้ายังจะต้องพูดถึงปัญหาหนึ่ง คือผู้ช่วยฝึกสอนทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ท่านต้องรับผิดชอบให้จริงๆ จังๆ รับผิดชอบสอนแต่ท่าฝึกเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ควรต้องเข้าใจฝ่าให้ถ่องแท้ ยึดกุมให้ได้อย่างแท้จริง ต้องอ่านหนังสือให้มาก ฟังเทปบันทึกเสียงให้มาก อย่างน้อยที่สุดต้องเข้าใจได้ชัดเจนมากกว่าผู้ฝึกทั่วไปจึงจะสามารถเป็นผู้ช่วยฝึกสอนได้ดี ความเข้าใจต่อฝ่าจะต้องเข้าใจให้แจ่มชัด ผู้ฝึกมีปัญหาอะไร อย่างน้อยต้องตอบได้ในระดับทั่วไป ถึงแม้ไม่อาจจะพูดว่าเป็นประโยชน์ในการชี้นำ ในภาพรวมสามารถพูดได้ชัดเจน การถ่ายทอดพลัง(กง)ไปสู่ระดับชั้นสูงอย่างแท้จริง นั่นก็คือการช่วยคน ก็คือการบำเพ็ญอย่างแท้จริง หากดูกันอย่างนี้แล้ว นั่นก็คือไม่มีอะไรแตกต่างจากการมุ่งบำเพ็ญเป็นหลักในวัดวาอารามหรือในป่าเขา

ฝ่าของเรานี้โดยหลักถ่ายทอดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ส่วนใหญ่บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ในการบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ โดยพื้นฐานควรแสดงออกเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ พูดให้ชัด พวกเราผู้รับผิดชอบคนหนึ่งของศูนย์ฝึกฯ ก็เหมือนกับเจ้าอาวาส พระสงฆ์เปรียญสูง ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดเปรียบเทียบ ไม่มีใครแต่งตั้งหรือให้ตำแหน่ง พวกเราก็คือรูปแบบการบำเพ็ญอย่างนี้ ท่านคิดดูนั่นไม่เหมือนกันหรอกหรือ การนำพาผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งให้ดีเป็นเรื่องของคุณูปการและคุณธรรมที่หาที่สุดมิได้ นำพาไม่ดี ข้าพเจ้าว่าก็คือไม่ได้ปฏิบัติภาระหน้าที่อย่างเต็มที่ ด้วยจุดประสงค์นี้จึงเรียกท่านมาประชุม ผู้รับผิดชอบของศูนย์ใหญ่ต่างก็หารือปัญหานี้กับข้าพเจ้า: จะเปิดสอนอีกสักครั้งดีไหม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าฝ่านี้บรรยายชัดเจนเกินไปก็ไม่เป็นประโยชน์กับการบำเพ็ญของทุกคน เช่นนั้นก็จะกลายเป็นหลักการของคนธรรมดาสามัญ พวกเราไม่ต้องพูดถึงปัญหาการบำเพ็ญกันอย่างไร อย่างไร ในหมู่คนธรรมดาสามัญ อีกประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะตอบคำถามเหล่านี้ที่ส่งขึ้นมา เวลาที่เหลือทุกท่านมีปัญหาอะไรค่อยยกขึ้นมาถาม คำถามที่คิดจะค้นหาความรู้อะไรท่านอย่าถาม คำถามที่เกี่ยวโยงถึงนโยบายประเทศก็อย่าถาม พวกเราอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ ปัญหาที่พบเจอนั้นค่อนข้างจะเป็นแบบฉบับ โดยหลักจะตอบคำถามเหล่านี้ ทุกท่านสามารถหยิบยกขึ้นมาถาม

พวกเราแจ้งแต่ผู้ช่วยฝึกสอนและคนทำงานให้มาประชุม จากวันนี้ไปคนที่ไม่ได้รับแจ้งอย่าได้พามาประชุมด้วย มีคนมากันมาก เรื่องบางอย่างจัดการไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นผู้ช่วยฝึกสอน เดิมทีอยากจะพูดสูงสักหน่อย เป็นรูปธรรมสักหน่อย เพื่อให้สะดวกต่อการทำงานของผู้ช่วยฝึกสอนจากนี้ไป แต่บางคนเป็นผู้ฝึกใหม่เข้าเรียนในชั้นเพียงครั้งเดียว ยิ่งกว่านั้นบางคนยังไม่เคยเข้าเรียนในชั้นเลย ทันทีทันใดมาฟังสิ่งที่สูงและลึกซึ้งอย่างนี้ ยากจะยอมรับได้ ไม่ส่งผลดีต่อเขา อีกทั้งยังจะก่อเกิดอารมณ์ขัดแย้งในความคิดของเขาได้ง่าย ก็จะเป็นการทำลายคนๆ นี้

            ผู้ช่วยฝึกสอนต้องรับภาระหน้าที่อย่างจริงๆ จังๆ ผู้ฝึกใหม่ที่ท่าฝึกทำไม่ถูกต้องต้องปรับแก้ให้ถูกต้องให้พวกเขา ผู้ฝึกเก่าบางคนที่ท่าฝึกใช้ได้แล้ว คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย ก็ให้บอกเขาภายหลังการฝึกพลัง(กง) จะได้ไม่รบกวนการเข้าสู่สมาธิ เวลาฝึกพลัง(กง) อย่ารบกวนเขา ผู้ฝึกใหม่จะต้องช่วยฝึกสอน มีคนถามปัญหาต้องอดทนค่อยๆ อธิบาย ผู้ฝึกทั้งหมดที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง)ของเรา ล้วนมีภาระหน้าที่นี้ ต้องช่วยเหลือสรรพชีวิตทั่วไป อะไรเรียกว่าช่วยเหลือสรรพชีวิตทั่วไป ให้สรรพชีวิตได้ฝ่าจึงจะเป็นการช่วยเหลือสรรพชีวิตทั่วไป มีคนมาถาม ท่านไม่อธิบาย นั่นจะใช้ได้หรือ

ผู้ช่วยฝึกสอนฝึกพลัง(กง)จะต้องแน่วแน่หนึ่งเดียว สำหรับผู้ฝึกเหล่านั้นที่ไม่แน่วแน่หนึ่งเดียวในการฝึกพลัง(กง) ต้องบอกเขา ช่วยเหลือเขา หากไม่สามารถแน่วแน่จริงๆ เขาปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นของเขาไม่ได้ ก็บอกให้เขาไปฝึกพลัง(กง)อื่น จะได้ไม่รบกวนพวกเราผู้ฝึก หากเขาไม่ยอมไปจริงๆ นั่นก็ไม่มีวิธีอื่น เขาฝึกก็จะไม่ได้อะไร นี่คืออู้ซิ่ง(การรับรู้)ไม่ดี พวกเราสายพุทธ มีจุดเริ่มจากความเมตตากรุณา บอกว่าจะจัดการ(ลงโทษ)เขาสักหน่อย ทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่บ่อนทำลายฝ่าที่ถูกต้องอย่างรุนแรง ไม่อาจจะลงมือตามใจชอบ

บางคนรักษาโรคให้คน หรือบอกให้คนมารักษาโรคที่ศูนย์ฝึกของเรา ล้วนเป็นการบ่อนทำลายต้าฝ่า นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง และไม่อนุญาตให้ใครทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ก็ไม่ใช่ศิษย์ของข้าพเจ้า ถ้าผู้ช่วยฝึกสอนทำอย่างนี้ละก็ ให้เปลี่ยนคนทันที ต้องไม่ให้มีปรากฏการณ์สองแบบนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

ผู้ช่วยฝึกสอนต้องพยายามรับภาระหน้าที่ในงานให้จริงๆ จังๆ งานยากก็ต้องอาสาทำ ผู้ช่วยฝึกสอนบางคนอาจมีอายุมาก มีความเข้าใจต่อฝ่าด้อยสักหน่อย ตัวเองรู้สึกว่าดีแต่อธิบายได้ไม่ชัดเจน ก็สามารถหาคนมาช่วยทำงานของผู้ช่วยฝึกสอน ความรับผิดชอบต่อฝ่า ไม่ใช่การได้หรือเสียของตัวท่าน การได้หรือเสียของตัวท่านก็สัมพันธ์กับฝ่าอย่างแนบแน่นด้วย ในการสอนต้องไม่สอดแทรกความคิดของตัวเองเข้าไป ไม่เช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญของตัวเองและของกลุ่ม ท่าฝึกของผู้ช่วยฝึกสอนต้องพยายามทำให้ถูกต้อง พยายามทำให้เหมือนกับในเทปบันทึกภาพ โดยภาพรวมต้องทำให้เหมือน ถ้าต่างกันเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เป็นไร ความแตกต่างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก จะให้เหมือนกันอย่างกับแกะ ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันทั้งหมด เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ โดยพื้นฐานดูไม่แตกต่างเป็นอันใช้ได้ แต่ถ้าแตกต่างกันมากนักละก็ไม่ได้ โดยเฉพาะคือผู้ช่วยฝึกสอน ท่านสอนคนก็จะทำให้เพี้ยนไป

จากนี้ไปจะเริ่มตอบคำถาม

 

            สิงเสินจวี้เมี้ยะ (กายและจิตดับสลายพร้อมกัน) เป็นสภาวะอย่างไร

สิงเสินจวี้เมี้ยะ (กายและจิตดับสลายพร้อมกัน) เป็นคำศัพท์โบราณ พวกเราเรียกว่า สิงเสินฉวนเมี้ยะ (กายและจิตดับสลายทั้งหมด) ตัวอักษรจวี้ ออกเสียงฟังไม่สู้ดี เมี้ยะก็คือกระจายทิ้งไป จวี้(พรั่งพร้อม)และจวี้(รวมตัว)ออกเสียงเหมือนกัน จวี้(รวมตัว)คือจับเขารวมกันเข้ามา ดังนั้นต่อจากนี้ไปพวกเราเรียกเป็น สิงเสินฉวนเมี้ยะ (กายและจิตดับสลายทั้งหมด) แน่นอนในหนังสือยังเขียนว่า สิงเสินจวี้เมี้ยะ (กายและจิตดับสลายพร้อมกัน) หนังสือเล่มนี้จัดเป็นเอกสารสำหรับอ่านเฉพาะกาล หนังสือเล่มที่หนึ่งของเรา [ฝ่าหลุนกงจีน] ตอนที่เขียนออกมานั้น มีบางด้านคล้ายกับชี่กงในระดับต่ำ หนังสือเล่มที่สองก็คือ [ฝ่าหลุนกงจีน] (ฉบับปรับปรุง) มีระดับสูงกว่าชี่กงมากทีเดียว เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังเรียบเรียงฝ่าทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้บรรยาย ต่อไปเมื่อเขียนเสร็จแล้วก็เป็นเครื่องชี้นำการบำเพ็ญต้าฝ่าของเราอย่างแท้จริง ในหนังสือใหม่คำศัพท์ต่างๆ ต้องปรับแก้ให้ถูกต้องทั้งหมด

สิง หมายถึงร่างกายที่มีรูปลักษณ์ ไม่เพียงแต่หมายถึงร่างกายในมิติวัตถุนี้ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเนื้อเท่านั้น ทุกๆ มิติล้วนมีร่างกายของท่านคงอยู่ ล้วนมีรูปลักษณ์ ล้วนเป็นสสารคงอยู่ เรื่อยไปจนถึงระดับจุลภาคมากๆ ก็มีร่างกายคงอยู่ หมายความว่ามีมิติมากเท่าใด คนก็มีร่างกายมากเท่านั้น สิงเสินฉวนเมี้ยะ (กายและจิตดับสลายทั้งหมด) ก็หมายถึงร่างกายเหล่านี้ล้วนไม่คงอยู่แล้ว

   เสิน(จิต) หมายถึงหยวนเสิน(จิตต้นกำเนิดหรือจิตหลัก)ของคน จิตหลักก็ดี จิตรองก็ดี ร่างชีวิตทุกประเภทก็ดี เมื่อไปถึงสิงเสินฉวนเมี้ยะ (กายและจิตดับสลายทั้งหมด) นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง! ทั่วทั้งจักรวาลไม่มีอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องนี้แล้ว ก็คือดับสลายทั้งหมด อะไรก็ไม่มี แน่นอน ยังมีสสารที่จุลภาคมากๆ คงอยู่ ข้าพเจ้าเคยพูดว่า สูญญากาศก็มีสสารคงอยู่ การค้นคว้าทางวิชาฟิสิกส์ของเราในปัจจุบันบรรลุได้ถึงนิวทรีโนระดับชั้นนี้เท่านั้น สสารที่เล็กที่สุดคือนิวทรีโน ยังห่างไกลมาก ไกลมากๆ จากสาสารของสสารต้นกำเนิด จากชีวิตที่เล็กที่สุดของสสารต้นกำเนิด สสารที่จุลภาคมากๆ เมื่อถูกทำลายถึงสภาวะที่ดั้งเดิมที่สุด พวกเราเรียกว่าสิงเสินฉวนเมี้ยะ (กายและจิตดับสลายทั้งหมด) เพราะได้กลับไปสู่สภาวะที่ดั้งเดิมที่สุดอีกแล้ว มันจึงไม่คงอยู่แล้ว แม้แต่ผู้บรรลุธรรม ณ ระดับชั้นที่สูงมากๆ ก็มองไม่เห็นแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่มีความคิด ทั้งหมดเป็นรูปแบบของจุลภาคที่สุดที่กระจัดกระจายและยุ่งเหยิง ในอดีต ณ ระดับชั้นสูงเมื่อละเมิดต้าฝ่าจึงจัดการกันเช่นนี้ การทำลายมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ เพราะเขาได้ตกลงมาถึงระดับชั้นที่ต่ำที่สุดแล้ว เขาทำเรื่องไม่ดีจึงพบกับปัญหาอย่างนี้ หมายความว่ากำจัดเขาอย่างถึงที่สุดจากในจักรวาล ไม่มีความคิด แทบจะไม่มีสสาร ทำลายจนถึงสภาวะที่ดั้งเดิมที่สุด ดั้งเดิมที่สุด

 

            เพศของพระพุทธชาย พระพุทธหญิงเป็นไปตามเพศของกายเนื้อของผู้บำเพ็ญ หรือเป็นไปตามเพศของจิตหลัก

เมื่อคนบำเพ็ญจนถึงการบำเพ็ญฝ่านอกภพ ก็เข้าสู่การบำเพ็ญมรรคผลอรหันต์ ก็คือมรรคผลอรหันต์ขั้นต้น เมื่อนั้นก็สามารถพูดได้ว่าเป็นพระพุทธแล้ว ที่จริงท่านก็คือการบำเพ็ญร่างพระพุทธแล้ว อรหันต์แบ่งเป็นมรรคผลอรหันต์ขั้นต้น มรรคผลอรหันต์ขั้นกลางและอรหันต์ใหญ่ ทุกระดับชั้นมีความห่างกว้างมาก และพระโพธิสัตว์ก็สามารถพูดว่าเป็นพุทธ เมื่อบำเพ็ญถึงมรรคผลอรหันต์ การรับรู้เปิด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ก็จะแสดงรูปลักษณ์ชาย ท่านกำลังบำเพ็ญในหมู่คนธรรมดาสามัญ แต่เพศของกายเนื้อของท่านจะไม่เปลี่ยน กายเนื้อของท่านประเดี๋ยวเป็นชาย ประเดี๋ยวเป็นหญิง อย่างนั้นจะเป็นอะไรล่ะในอดีตมีคนบำเพ็ญบรรลุถึงมรรคผลอรหันต์และหยวนหมั่น หยวนหมั่นกับการบรรลุอาณาจักรเขตแดนเป็นคนละเรื่องกัน ถ้าคนสามารถบำเพ็ญถึงมรรคผลอรหันต์เท่านั้นและหยวนหมั่น สูงขึ้นไปอีกเขาบำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้แล้ว เริ่มที่จะคงที่แล้ว ครั้นเมื่อเขาเปิดพลัง(กง)แล้ว ไม่ว่าเดิมทีจะเป็นชายหรือหญิง ทั้งหมดจะแสดงรูปลักษณ์ชาย เพราะร่างกายของเขาเป็นร่างพุทธที่เขาบำเพ็ญออกมา ณ มรรคผลอรหันต์ล้วนแสดงร่างชาย

จิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)ที่แท้จริง อาจจะเป็นชายหรือหญิง ร่างกายนั้นของเขา ไม่ว่าจะแปรผันจากสสารพลังงานสูงก็ดี หรือเป็นร่างที่ไม่เสื่อมสลายนั้นที่เขาบำเพ็ญสำเร็จก็ดี หรือ ณ เวลานิพพาน พระพุทธให้ร่างพุทธนั้นแก่เขาก็ดี ณ มรรคผลอรหันต์ ล้วนแต่แสดงรูปลักษณ์ในร่างชาย เมื่อถึงอาณาจักรเขตแดนพระโพธิสัตว์ล้วนแสดงรูปลักษณ์ในร่างหญิง แต่เพศของจิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)ไม่เปลี่ยน เมื่อถึงอาณาจักรเขตแดนของพระพุทธ เขายังมีร่างกาย เพียงแต่ร่างกายชนิดนี้ประกอบขึ้นจากสสารพลังงานสูง สูงยิ่งขึ้นไปอีกก็มีร่างกาย คือร่างกาย(ร่างพุทธ)ในมิติที่ต่างกัน เมื่อถึงอาณาจักรเขตแดนพระพุทธ เพศก็จะกลับคืนสู่เพศของจิตหลัก พระพุทธชายก็คือพระพุทธชาย พระพุทธหญิงก็คือพระพุทธหญิง

 

ความหมายของการบำเพ็ญร่างแท้(เปิ๋นถี่) และร่างพุทธ

ในที่นี้ร่างแท้(เปิ๋นถี่)ที่เราพูดถึงคือคำศัพท์โดยรวมของการบำเพ็ญในระดับชั้นต่ำ หมายถึงร่างกายของท่านในแต่ละมิติ กายเนื้อของท่านก็รวมอยู่ด้วย

 

ได้ฝ่าที่ถูกต้อง สำเร็จมรรคผลที่ถูกต้อง(เจิ้งกั่ว) จัดว่าบรรลุหยวนหมั่น เช่นนั้นพวกเราบำเพ็ญถึงระดับใดจึงจะบรรลุหยวนหมั่น

หยวนหมั่นกับกั่วเว่ย(มรรคผล)สูงหรือต่ำของเราเป็นสองประเด็น นั่นคือท่านบำเพ็ญถึงกั่วเว่ยอรหันต์แล้ว ท่านได้เข้าสู่การบำเพ็ญร่างพุทธแล้ว ที่ผ่านมามีเพียงพระยูไลจึงจะเรียกว่าพระพุทธ ปัจจุบันมีพระพุทธค่อนข้างมาก แบ่งแยกออกมา คือพระยูไลก็ดูแลพระพุทธจำนวนหนึ่ง พระพุทธเหล่านั้นที่ยังไม่บรรลุระดับชั้นพระยูไล สูงเลยพระโพธิสัตว์ก็เรียกเป็นพระพุทธ พระโพธิสัตว์ใหญ่ก็เรียกเป็นพระพุทธ กระทั่งพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ก็ได้รับการขนามนามว่าพระพุทธ เพราะล้วนแต่เป็นสายพุทธ ดังนั้นข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน ท่านบำเพ็ญถึงกั่วเว่ยอรหันต์ก็คือกำลังบำเพ็ญในร่างพุทธแล้ว เป็นความหมายอย่างนี้ แต่ถึงแม้ท่านกำลังบำเพ็ญในร่างพุทธ ไม่แน่นอนเสมอไปว่าท่านจะหยวนหมั่น รากฐาน(เกินจี)ของคนไม่เหมือนกัน ความสามารถแบกรับก็ไม่เหมือนกัน บางคนสามารถบำเพ็ญถึงกั่วเว่ยพระโพธิสัตว์ บางคนสามารถบำเพ็ญถึงกั่วเว่ยพระพุทธ บางคนสามารถบำเพ็ญสูงขึ้นไปอีก สูงเลยกั่วเว่ยพระยูไลขึ้นไป  บางคนสามารถบรรลุถึงกั่วเว่ยอรหันต์เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะบรรลุถึงระดับชั้นใด ล้วนแต่หลุดพ้นสามภพแล้ว ล้วนแต่นับว่าได้กั่วเว่ยแล้ว หมายความว่าท่านได้มรรคผลที่ถูกต้อง(เจิ้งกั่ว)แล้ว แต่ไม่แน่นอนเสมอไปว่าจะหยวนหมั่น สมมติว่าจัดวางให้ท่านเปิดการรับรู้ ณ กั่วเว่ยพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญสำเร็จบรรลุหยวนหมั่น หากท่านบรรลุถึงกั่วเว่ยอรหันต์แล้ว แต่ยังไม่บรรลุถึงจุดหมายสุดท้ายของการบำเพ็ญของท่าน ก็ไม่หยวนหมั่น จึงเป็นความสัมพันธ์หนึ่งชั้นอย่างนี้ ท่านทุ่มเทมากน้อยเพียงใด บำเพ็ญมากน้อยเพียงใด ก็จะได้มากเท่านั้น ถึงแม้ท่านบำเพ็ญยังไม่หยวนหมั่น แต่ท่านได้กั่วเว่ยแล้ว อย่างไรก็ดีท่านยังบำเพ็ญไม่หยวนหมั่น ยังมีปัญหาของระดับชั้นประการหนึ่งคงอยู่ ยังไม่บรรลุถึงจุดหมายสุดท้ายของการบำเพ็ญของท่าน

 

กลับสู่ต้นกำหนด คืนสู่ตัวตนที่แท้จริง(ฝันเปิ่นกุยเจิน) และได้มรรคผลถูกต้องเป็นความสัมพันธ์เช่นไร เปิ่นและเจินมีความหมายอย่างไร

กลับสู่ต้นกำหนด คืนสู่ตัวตนที่แท้จริง(ฝันเปิ่นกุยเจิน) ต่างจาก กลับสู่ความเรียบง่ายและความบริสุทธิ์(ฝันผู่กุยเจิน)ที่กล่าวกันในหมู่คนธรรมดาสามัญ กลับสู่ต้นกำหนด คืนสู่ตัวตนที่แท้จริง(ฝันเปิ่นกุยเจิน)ที่เราพูดก็คือกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมก่อนกำเนิดของท่าน กลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของท่าน ธาตุแท้ของท่าน โฉมหน้าแท้จริงของท่าน ท่านตกลงมาในสังคมคนธรรมดาสามัญ โฉมหน้าแท้จริงของท่านถูกปกคลุมไป อยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญดำและขาวสลับกลับที่กัน ถูกและผิดสลับกลับที่กัน ท่านต้องกลับไป คืนสู่ตัวตนที่แท้จริง(กุยเจิน)เป็นคำศัพท์ของสายเต๋า เพราะของที่เราบำเพ็ญนั้นใหญ่มากๆ เลยล้ำขอบข่ายของตัวสายพุทธไปแล้ว บางส่วนเป็นฝ่าที่พูดในสายเต๋า เต๋าบำเพ็ญสำเร็จแล้วก็คือคนจริง ก็บำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธ พวกเขาเรียกคนจริง คนอย่างแท้จริง

 

            ดิฉันตั้งปณิธานว่าจะบำเพ็ญตลอดไป กับหนทางที่ท่านอาจารย์จัดวางให้เรานั้น สัมพันธ์กันอย่างไร

ท่านตั้งปณิธานว่าจะบำเพ็ญตลอดไป คำว่าตลอดไปคงไม่เด็ดขาดแน่นอนหรอกนะ ไม่ได้มรรคผลที่ถูกต้อง ไม่หยวนหมั่น บำเพ็ญเรื่อยไปนะหรือ การบำเพ็ญต้องมีเป้าหมายหนึ่ง บำเพ็ญบรรลุถึงระดับชั้นสูง คือเป็นไปตามปณิธานที่ตัวท่านเองตั้งไว้ บวกกับถึงที่สุดแล้วท่านสามารถบำเพ็ญได้สูงเพียงใด อาจารย์จึงจะจัดวางให้ท่าน ล้วนเป็นอะไรที่วิทยศาสตร์มากๆ เดิมท่านเป็นเหล็กกล้าชิ้นหนึ่ง จัดให้ท่านเป็นเหล็กชิ้นหนึ่ง เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ท่านสามารถบำเพ็ญบรรลุมรรคผลพระโพธิสัตว์ จัดให้ท่านอยู่ ณ มรรคผลอรหันต์ ให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ มองได้อย่างถูกต้องมาก จะอยู่ตรงไหนมองไม่ผิดแม้แต่น้อย

 

ในจักรวาลมีสิ่งที่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงหรือไม่

วิธีบำเพ็ญเป็นวิชาที่พระพุทธใหญ่องค์หนึ่งดำเนินการ ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน แต่วิธีการบำเพ็ญไม่เหมือนกัน กับสิ่งที่เหมือนฝ่าหลุนนี้ของเราในวันนี้นั้น ไม่มี แต่ก็มีบางสิ่งที่หมุน โลกก็หมุนอยู่นี่ มี่จงใช้อี้เนี่ยน(ความคิด)ผลักวงล้อชนิดหนึ่งให้หมุน ยังมีสิ่งของประเภทนี้ ในฉางชุนมีอาจารย์ชี่กง... ก็ฝึกโดยหมุนไท้จี๋ แต่ไม่เหมือนอันนี้ของเรา ของเขานั้นรับเข้าไม่ปล่อยออก ไม่เหมือนกับของเรา ดาวเคราะห์โคจรรอบดาวคงที่ อิเล็คทรอนหมุนรอบนิวเคลียสอะตอม ล้วนมีกลไกหมุนอยู่ แต่ความหมายที่ครอบคลุมนั้นแตกต่างกันนับพันลี้ สองสิ่งที่เหมือนอาจมีคงอยู่ แต่น้อยมาก น้อยมากๆ ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็น

ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน ผู้บรรลุธรรมระดับสูงจัดเตรียมเรื่องนี้ในวันนี้ เช่นนั้นในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล ทุกสิ่งล้วนต้องเปิดทางให้กับเรื่องนี้ การก่อเกิดของจักรวาลในระยะแรก ก็ได้จัดเตรียมงานใหญ่ที่อยู่ท้ายสุดไว้แล้ว ฉะนั้นเรื่องต่างๆ มากมาย อาจเป็นได้ว่าจัดเตรียมสำหรับวันนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาภัยพิบัติสุดท้าย เพื่อถ่ายทอดฝ่าที่ถูกต้องเป็นครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าว่าเหตุใดความนิยมชี่กงปรากฏออกมาในช่วงสมัยนี้ ศรรตวรรษนี้ อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ นั่นไม่ใช่เหตุบังเอิญ เหตุใดจึงมีหลักพลัง(กง)แบบนั้นแบบนี้ปรากฏออกมา นี่ก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ข้างในนี้ไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาพื้นๆ อย่างที่คนธรรมดาสามัญคิด

 

ฝ่าหลุนและโลกฝ่าหลุนสัมพันธ์กันอย่างไร

โลกฝ่าหลุนเป็นโลกที่ใหญ่โต สวยงามวิเศษมากๆ ที่ควบคุมโดยพระยูไลของโลกฝ่าหลุน ฝ่าหลุนเป็นเพียงปรากฏการณ์ของฝ่าทางด้านพลัง(กง) เขายังมีปรากฏการณ์ทางด้านฝ่า นอกเหนือจากฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายแล้ว ฝ่าที่สูงยิ่งขึ้นและรูปแบบของฝ่าเรายังไม่ได้เปิดเผย และไม่อนุญาตให้เปิดเผย สำหรับด้านของพลัง(กง) ข้าพเจ้าได้วาดรูปออกมาให้แล้ว แต่เขายังมีด้านของฝ่า ด้านของพลัง(กง)ก็เป็นรูปแบบอย่างนี้ พวกเราผู้ฝึก ในอนาคตเมื่อได้มรรคผลที่ถูกต้อง หลังจากบำเพ็ญจนได้มรรคผลแล้ว ตัวเองก็สามารถบำเพ็ญฝ่าหลุนออกมาได้ สามารถบำเพ็ญออกมาได้องค์เดียวเท่านั้น ท่านบรรลุถึงระดับชั้นที่สูงมากๆ ก็มีฝ่าหลุนเพียงองค์เดียว นั่นเป็นปรากฏการณ์ของตัวท่านเอง เขาจะทดแทนฝ่าหลุนองค์นั้นที่ข้าพเจ้าให้ท่าน ณ ตำแหน่งท้องน้อย นั่นคือผลพวงแห่งการบรรลุที่แท้จริงของท่าน แต่ฝ่าหลุนก็เป็นปรากฏการณ์ของฝ่าอีกด้วย เขาสามารถแบ่งตัวออก เมื่อท่านใช้อิทธิฤทธิ์เพียงเล็กน้อย เขาสามารถจะแบ่งตัวออก ท่านยังสามารถปล่อยฝ่าหลุนบางส่วนออกมา แต่จะไม่มีร่างที่เป็นเอกเทศมากมายในรูปแบบชนิดนั้นอย่างที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญในวันนี้

ทุกท่านทราบไหม สิ่งนี้ใหญ่มาก มีคุณค่าอย่างมาก เป็นสิ่งที่จัดสร้างขึ้นมาโดยคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ในหนึ่งขั้นตอนของการบำเพ็ญ ท่านคิดจะบำเพ็ญสิ่งที่ใหญ่ขนาดนี้เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญออกมานั้น ไม่อาจจะทำได้ ทำไม่ได้อย่างแน่นอน พวกท่านสามารถบำเพ็ญฝ่าหลุนออกมาหนึ่งองค์ อันนี้แน่นอน ฝ่าหลุนองค์นี้มีอานุภาพใหญ่มาก ถ้าสามารถนำมาถึงมิตินี้ได้อย่างแท้จริง เวลาเขาขยับ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นั่นเป็นสิ่งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ฝ่าหลุนองค์นั้นที่ท่านบำเพ็ญออกมาในอนาคต ถ้ามาหมุนอยู่ในมิตินี้ ข้าพเจ้าว่าจะหมุนเป็นพายุทอร์นาโด เขาเป็นสิ่งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่มากๆ เหตุใดไม่ให้เขาปรากฏออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญ เหตุใดไม่ให้เขาเข้ามาบังเกิดผลในมิตินี้ล่ะ ก็เพราะว่าอานุภาพของเขาใหญ่โตเหลือเกินจริงๆ ถึงแม้เขาจะบังเกิดผลอยู่ในมิติอื่นก็เพียงพอที่จะปกป้องท่าน บังเกิดผลที่ใหญ่มาก

 

ฝ่าหลุนเป็นภาพย่อส่วนของจักรวาล โลกฝ่าหลุนใหญ่เท่าจักรวาลหรือไม่

            ไม่ใช่ โลกฝ่าหลุนคือโลกหนึ่งหน่วย อยู่ ณ ระดับชั้นสูงมากๆ ในจักรวาลของเรานี้ จักรวาลนั้นใหญ่มหึมา เนื่องจากบางส่วนเป็นผู้ฝึกใหม่ เรื่องบางเรื่องข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดได้ พวกเขาจะรับไม่ได้ ในจักรวาลอันใหญ่มหึมาของเรานี้ มีจักรวาลเล็กอยู่นับจำนวนไม่ถ้วน มนุษย์คงอยู่ในจักรวาลเล็กจักรวาลหนึ่ง และในจักรวาลเล็กเหล่านี้ มีระบบทางช้างผือกนับจำนวนไม่ถ้วน พระพุทธของระดับชั้นยูไลมองดูจักรวาลเล็กจักรวาลหนึ่ง ยังมองไม่เห็นขอบ จักรวาลใหญ่นั้นใหญ่โตเพียงใด ในอดีตไม่ให้คนรู้ มันช่างใหญ่มหึมาเหลือเกิน คนในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ ร่างกายจะขยายออกสู่ภายนอก หมายความว่าปริมาณความจุของร่างกายจะเพิ่มขึ้น ปริมาณความจุของร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนใหญ่ขึ้น ความนึกคิดเลื่อนระดับขึ้นไป ยกระดับชั้นสูงขึ้น โดยที่ร่างกาย ณ ฝั่งคนธรรมดาสามัญนี้จะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ นอกเสียจากจะถึงเวลาหยวนหมั่น เขาจึงจะรวมเข้าด้วยกัน ฉะนั้นในชั่วพริบตาที่จะรวมเข้าด้วยกัน ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทันที่ท่านจะสามารถสัมผัสถึงพลังของฝ่าในหมู่คนธรรมดาสามัญ ก็พาท่านไปแล้ว เพราะการรบกวนของเขาต่อคนธรรมดาสามัญจะใหญ่หลวงมาก ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า เต๋าแก่บำเพ็ญอยู่ในป่าเขาเป็นเวลานานหลายปี ผู้คนเข้าใจว่าพวกเขามีความสามารถมาก ที่จริงความสามารถของพวกเขามีน้อยมาก จึงอนุญาตให้พวกเขาปล่อยอิทธิฤทธิ์อยู่ในโลก แต่ปัจจุบันแสดงให้คนเห็นน้อยมากแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าไม่อาจจะบ่อนทำลายสังคมคนธรรมดาสามัญได้ ไม่อย่างนั้นตัวเขาเองก็เป็นอันจบสิ้น

 

ไม่ได้เข้าร่วมชั้นเรียนจะสามารถบำเพ็ญฝ่าหลุนออกมาได้หรือไม่

คำถามนี้ข้าพเจ้าเคยตอบหลายครั้งแล้ว อ่านหนังสือก็เหมือนกัน เพียงแต่ท่านบำเพ็ญโดยปฏิบัติตามต้าฝ่าอย่างแท้จริง ถึงแม้ท่านจะอยู่ในที่ที่ห่างไกลเงียบเหงาที่สุด ก็ไม่มีปัญหา ในหนังสือของข้าพเจ้ามีธรรมกาย(ฝ่าเซิน)ของข้าพเจ้า มองดูจากระดับชั้นตื้นทุกตัวอักษรล้วนเป็นฝ่าหลุนที่ใหญ่ขนาดนี้ เพียงท่านคิด อะไรเขาก็รู้ เหมือนกัน สามารถบำเพ็ญอย่างแท้จริงก็จะได้ จะอ่านหนังสือแล้วฝึกด้วยตัวเอง จะไปศูนย์ฝึกพลัง(กง) ฝึกกับผู้ฝึกเก่าด้วยกัน ก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ท่านบำเพ็ญจริงก็จะได้ ทุกท่านทราบ องค์ศักยมุนีจากไปแล้วสองพันกว่าปี ก่อนจะถึงธรรมะปลาย มีพระภิกษุบำเพ็ญออกมาเป็นจำนวนมาก บางคนบำเพ็ญถึงระดับชั้นที่สูงมาก ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องอยู่ต่อหน้าอาจารย์ ให้อาจารย์สอนด้วยตัวเองท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญ

 

ดิฉันในมิตินี้บำเพ็ญไปถึงโลกฝ่าหลุนแล้ว ตัวดิฉันมากมายในมิติอื่นๆ ก็สามารถจะบำเพ็ญไปถึงโลกฝ่าหลุนด้วยไหม

ไม่แน่นอนเสมอไป ถ้าพวกเขาบำเพ็ญเสร็จแล้วและก่อรูปเป็นร่างเดียวกับท่าน พวกเขาสามารถจะคงอยู่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่าของท่าน แต่ท่านจะเป็นตัวหลัก เขาจะจัดเป็นผู้พิทักษ์ฝ่าและเป็นคล้ายกับจิตรอง ถ้าเขาบำเพ็ญไม่เสร็จ เขาก็จะเป็นร่างชีวิตที่เป็นเอกเทศ เขาก็ทำต่อไปไม่ไหวแล้ว ท่านบำเพ็ญ ก็เป็นท่านที่ได้ คนไหนบำเพ็ญคนนั้นได้

 

ฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นแนวทางของการค่อยๆ รับรู้ พวกเราจะเข้าสู่สภาพของการค่อยๆ รับรู้เมื่อใด

ผู้ฝึกของเราจำนวนมากได้เข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว ผู้ฝึกจำนวนมากบำเพ็ญได้ดีทีเทียว ไม่ออกเสียง ไม่พูด พวกเขาก็คือไม่พูด ข้าพเจ้าพูดเมื่อครั้งเปิดสอนอยู่ที่ฮาร์บิ้น ข้าพเจ้าพูดว่า สี่พันกว่าคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ จะมีคนบำเพ็ญออกมาได้มากน้อยเท่าใด ในอนาคตจะมีคนได้เต๋า(หลักธรรม) มากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าบอกว่า ข้าพเจ้าไม่มั่นใจ ต้องดูว่าทุกท่านจะบำเพ็ญอย่างไร จะพูดได้อย่างไรว่าสี่พันกว่านี้ล้วนสำเร็จเป็นพระพุทธในทันที สี่พันกว่าคนล้วนเข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว นั่นเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ที่ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าอยู่ที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง) มีคนจำนวนมากน้อยเท่าใด ที่เข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว ที่บำเพ็ญจริงอย่างแท้จริง จะมีการเข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้ ในสภาวะต่างๆ ไม่ใช่ว่าพอท่านเข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว อิทธิฤทธิ์ก็จะปรากฏออกมา

ณ ที่นี้ข้าพเจ้าจะถือโอกาสพูดถึงปัญหาหนึ่ง พวกเราจำนวนมากได้เข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว แต่เขาเกิดความกลัวอยู่เรื่อย กลัวอะไรนะหรือ เพราะปัจจุบันจิตยึดติดของสังคมมนุษย์ใหญ่เหลือเกิน ข้าพเจ้าขอเน้นหนักทางด้านนี้ ข้าพเจ้าว่า เมื่อมีความสามารถออกมาแล้ว ไม่ต้องไปสนใจมัน ตาทิพย์เปิดแล้วก็อย่าไปแสวงหา แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ตาทิพย์ของท่านเปิดแล้วจริงๆ ท่านไม่มีจิตที่จะแสวงหาสิ่งใด ท่านไปดูก็ไม่เป็นไร ท่านมีอิทธิฤทธิ์ออกมา อยู่ในที่ที่ไม่มีคน จะลองใช้ใช้ดูก็ไม่มีปัญหา จุดนี้จะพูดชัดเจนกับทุกท่าน อย่าเห็นมันเป็นจิตยึดติด เป็นฝ่าของตัวท่านเอง ท่านลองใช้ฝ่าของตัวท่านเอง นี้กับจิตยึดติดเป็นสองประเด็น เวลานี้มีคนเข้าสู่สภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว ตัวเขาเองเกิดความกลัว เขาจึงเก็บมันไว้อยู่ตลอด ไม่ใช้ก็ไม่ได้ ตาทิพย์ของหลายๆ คนเปิดแล้ว เขารู้สึกว่าเป็นความรู้สึกลวง เป็นอย่างนี้ไม่ได้ เปิดแล้ว มองเห็นก็ให้ดู ไม่เป็นไร จิตยึดติดกับการเผชิญด้วยตัวเองเป็นสองประเด็น

 

ปัจจุบันมีคนบรรลุถึงซันฮวาจวี้ติ่ง (ดอกไม้สามดอกรวมอยู่บนศรีษะ) หรือไม่ มีคนได้เจิ้งกั่ว(มรรคผลที่ถูกต้อง)หรือไม่

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากได้เลยพ้นซันฮวาจวี้ติ่งแล้ว คนที่บรรลุหยวนหมั่น เวลานี้ยังไม่มี ล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่ในมรรคผล กำลังบำเพ็ญอยู่ในมรรคผล ณ ระดับชั้นที่ต่างกัน

 

พวกเราเริ่มฝึกพลัง(กง)และบำเพ็ญจิต(ซินซิ่ง)อย่างมุมานะบากบั่นจากนี้ไป ภายในเวลาหนึ่งปีครึ่ง จะสามารถบรรลุการบำเพ็ญฝ่านอกภพไหม

ไม่มีการจำกัดเวลา บำเพ็ญหรือไม่เป็นปัญหาของตัวท่าน บำเพ็ญสูงเพียงใด มีความอดทนมากเพียงใด มีความสามารถแบกรับมากเพียงใด ก็เป็นปัญหาของท่านแต่ละคน ท่านบอกว่าอาจารย์กำหนดช่วงเวลาให้ท่านบำเพ็ญออกไป จิตของท่านจะบรรลุถึงจุดนั้นได้ไหม จิต(ซินซิ่ง)จะเลื่อนระดับขึ้นไปได้ไหม ความเข้าใจต่อฝ่าสามารถจะบรรลุได้สูงเพียงนั้นไหน จิตยึดติดในหมู่คนธรรมดาสามัญ ท่านปล่อยวางลงได้ไหม ต่อผลประโยชน์ส่วนตัวตรงหน้า กับเรื่องที่ต่อสู้แย่งชิงกับคนอื่น ท่านปล่อยวางได้ไหม ล้วนเป็นปัญหาของการบำเพ็ญแต่ละคน ไม่มีใครกำหนดให้ท่าน ไม่มีการจำกัดเวลา คนเขาบำเพ็ญถึงมรรคผลอรหันต์ อาจจะบำเพ็ญขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางคนอาจจะต้องบำเพ็ญตลอดชีวิต ก็อยู่ที่ความสามารถแบกรับของตัวท่านเอง กำหนดตัวเองอย่างเข้มงวดหรือไม่ นี้ล้วนเป็นปัญหาของแต่ละคน

 

พวกเราบำเพ็ญจนถึงสามารถคุ้มครองตัวเองแล้ว แต่พวกเรายังอยากบำเพ็ญสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร

เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า องค์ศากยมุนีไม่อยู่ในโลกแล้ว ศิษย์ของพระองค์ยังสามารถบำเพ็ญสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สมมติอาจารย์ไม่อยู่ในโลกแล้วจริงๆ ฝ่าเซินของข้าพเจ้ายังอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่สูญหายไปจริงๆ และก็ไม่ใช่กายและจิตดับสลายแล้ว

 

มีคนบางส่วนฝึกพลัง(กง)เพื่อหลีกเหลี่ยงทุกข์ภัย ผลสรุปสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

ผู้ที่มาฝึกพลัง(กง)โดยมีจิตแสวงหาใดๆ ล้วนจะไม่ได้มรรคผลที่ถูกต้อง แต่ในการรับรู้เข้าใจฝ่าของคน ท่านต้องอนุญาตให้เขามีขั้นตอนหนึ่งของการรับรู้เข้าใจ มีคนจำนวนมากเข้ามาฝึกพลัง(กง)เพื่อจะรักษาโรค ผ่านการค่อยๆ รับรู้เข้าใจจึงรู้ว่ามีสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นสูง วันนี้พวกเรากำลังถ่ายทอดฝ่าอยู่ ณ ระดับชั้นสูง เขาเพิ่งจะเข้ามาร่วมเรียนในชั้น ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร อยู่ๆ ได้ยินว่าเป็นการถ่ายทอดพลัง(กง)ไปสู่ระดับชั้นสูง หลังจากฟังการบรรยายฝ่าของเรา เขาจึงค่อยๆ เข้าใจ ท่านต้องให้เขาผ่านขั้นตอนอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องแน่นอน เขามีจิตอยากจะรักษาโรค มีจิตอยากจะหลีกเหลี่ยงทุกข์ภัย ไม่ว่าเขาจะเข้ามาพร้อมกับจิตอะไรก็ตาม เขาต้องปล่อยวางจิตยึดติดนั้น จึงจะสามารถบรรลุจุดประสงค์ของการบำเพ็ญ แม้แต่เพื่อจะบรรลุจุดประสงค์ของการรักษาโรค เสริมสร้างสุขภาพ เขาเข้ามาโดยมีความคิดเพื่อจะหลีกเหลี่ยงทุกข์ภัยก็ไม่ได้

ทุกข์ภัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากตัวเอง เป็นสิ่งที่ตัวเองติดค้างเอาไว้จากการทำเรื่องที่ไม่ดีในแต่ละภพแต่ละชาติ จึงต้องชำระคืน ท่านดูในขั้นตอนของการบำเพ็ญท่านต้องทนทุกข์ทรมาน นั่นล้วนแต่เป็นอุปสรรค์ของท่านอันเกิดจากกรรมที่ตัวเองก่อขึ้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี พวกเราใช้มันเป็นประโยชน์เพื่อยกระดับจิต(ซินซิ่ง)ของท่าน นั่นไม่ใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ คนสามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธ หรือสำเร็จเป็นมาร เป็นหลักการเช่นนี้ มีกรรมคงอยู่ อยู่ท่ามกลางวังวนท่านจึงสามารถบำเพ็ญ

 

ตัวฉันมากมายในมิติอื่นอยู่ ณ ระดับชั้นของมิติกายเนื้อไหม

ไม่ใช่ ในมิติของระดับชั้นอื่นพวกเรามองไม่เห็น ในมิติของระดับชั้นเดียวกัน นอกจากพวกเรามนุษย์ที่มีร่างกายนี้แล้ว ยังมีอีกมิติหนึ่งที่มีร่างกายคน คนของมิตินั้นดีกว่าพวกเราคนที่นี่มาก พวกเขาไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่มีอารมณ์ ความรัก ความผูกพัน(ฉิง) ดังนั้นเขาก็มีร่างกาย รูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างจากพวกเรามากนัก ดูดีกว่าพวกเราหน่อยหนึ่ง แต่ร่างกายของพวกเขานั้นลอยได้ พวกเขาไม่เดินดิน โดยหลักจึงมองไม่เห็นขา ลอยไปลอยมา มีมิติอย่างนี้ นี่เป็นมิติในระดับชั้นเดียวกัน

ข้าพเจ้าจะอธิบายให้กับทุกท่านเกี่ยวกับปัญหามิติอีกสักหน่อย นักวิทยาศาสตร์ของเราในปัจจุบันค้นคว้าวิจัยพบว่า อิเล็คทรอนหมุนรอบนิวเคลียส์อะตอม การหมุนเวียนของมัน คล้ายกันหรือไม่กับการที่โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรอกหรือ พวกเราเวลานี้ไม่มีกล้องจุลทรรศ์ที่จะสามารถมองเห็นว่ามีอะไร อยู่บนอิเล็คทรอน ถ้าท่านมองเห็น ท่านอาจจะพบว่าข้างบนนั้นมีร่างชีวิต ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับความเข้าใจตามวิชาฟิสิกส์ของเราปัจจุบัน แต่วิธีการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันของเรายังมีข้อจำกัดมากๆ

 

ผู้ฝึกจำนวนมากมีความรู้สึกไวต่อภาวะแวดล้อม ไอแห่งโรค ไอดำอย่างมาก เป็นเพราะเหตุใด

ผู้ฝึกประเภทนี้ล้วนแต่พลัง(กง)ใกล้จะออกแล้ว ยังไม่พ้นจากระดับชั้นต่ำของการฝึกชี่ อยู่ในรูปแบบสูงสุดของการฝึกชี่ เมื่อเข้าสู่สภาวะร่างขาวน้ำนมแล้ว จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ แต่นั่นจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ท่านไม่ต้องไปสนใจมัน อย่ากลัว ปล่อยไปตามสบาย ท่านกลัวจนเกินเหตุก็เป็นจิตยึดติดแบบหนึ่ง ไม่ต้องไปสนใจมัน ให้ดูทุกสิ่งล้วนต้องเป็นไปตามนั้น ปล่อยไปตามธรรมชาติดีแล้ว เมื่อผ่านระดับชั้นนี้ไปแล้ว ท่านก็จะไม่รู้สึกอีก หลังจากพลัง(กง)ออกแล้ว ร่างกายของท่านจะถูกปกคลุมด้วยพลัง(กง) ไอดำ ไอแห่งโรคเหล่านี้ก็ไม่อาจจะเข้าสู่ร่างกายของท่าน ก็จะไม่มีความรู้สึกนี้แล้ว

 

ผู้ฝึกบางคน จิต(ซินซิ่ง)ยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิสองขา จะใช้ของหนักกดทับ ใช้เชือกมัดได้หรือไม่

ในอดีตพระภิกษุบางราย เวลานั่งสมาธิ ข้าพเจ้ารู้ว่าพวกเขาใช้ลูกกลิ้งหิน จานหินเครื่องโม่กดทับ แต่จะใช้ลูกกลิ้งหินหรือจานหินเครื่องโม่กดทับก็ดี ล้วนแต่เป็นความสมัครใจของตน เขาบอกให้คนเขาทำให้เขา แต่นักพรตเต๋าไม่ทำเช่นนั้น สายเต๋านำพาลูกศิษย์เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นจะได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริง เขาจะควบคุมดูแลลูกศิษย์อย่างเข้มงวด มีอะไรนิดอะไรหน่อยเขาก็จะตีลูกศิษย์ เขาไม่สนใจว่าท่านจะทนไหวหรือไม่ ก็จะต้องให้ท่านผ่านข้ามไป ฉะนั้นโดยทั่วไปเขาก็จะใช้วิธีแข็งกร้าว มัดขาลูกศิษย์ มัดมือไพล่หลัง ท่านแก้ออกด้วยตัวเองไม่ได้ ถึงจะนอนลงมาท่านก็แก้ออกไม่ได้ ดังนั้นบางคนเจ็บจนหมดสติไป ในอดีตมีทำกันอย่างนี้ ในเวลานั้นการบำเพ็ญเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก

วันนี้เราไม่กำหนดเช่นนี้ เพราะวิชาของเรามุ่งเน้นการบำเพ็ญจิตของคนโดยตรง ฉะนั้นเราจัดการยกระดับซินซิ่งของคนเป็นเรื่องสำคัญ และจัดการบำเพ็ญร่างกายเป็นเรื่องรอง ท่านต้องพยายามอดทน ยืดเวลานั่งขัดสมาธิของท่านให้นานขึ้น แต่ไม่อาจจะกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ได้ เพราะเหตุใด ทุกท่านทราบในสมัยขององค์ศักยมุนีมีข้อบัญญัติของศีล เนื่องจากในช่วงที่องค์ศักยมุนียังทรงพระชนชีพอยู่ไม่มีพระสูตร ไม่ได้ทรงทิ้งลายลักษณ์อักษรไว้ข้างหลังแต่อย่างใด หลังจากองค์ศักยมุนีเสด็จปรินิพพาน คนรุ่นหลังหวนคิดถึงคำพูดที่องค์ศักยมุนีตรัสแล้วเรียบเรียงออกมาเป็นพระสูตร ในช่วงที่องค์ศักยมุนียังทรงพระชนชีพได้บัญญัติกฎเกณฑ์สำหรับการบำเพ็ญเอาไว้มากมาย จัดไว้เป็นข้อบัญญัติของศีล นี่มีลายลักษณ์อักษรตกทอดสืบต่อมา แต่ของเราวันนี้มีฝ่าอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีข้อบัญญัติของศีล จะบำเพ็ญหรือไม่ สามารถจะบำเพ็ญได้หรือไม่ ได้มาตรฐานหรือไม่ล้วนแต่ชั่งวัดโดยฝ่า ฉะนั้นการบำเพ็ญของเราไม่สามารถจะกำหนดเป็นสูตรตายตัว ทุกท่านลองคิดดู เมื่อช่วงเวลามหันตภัยสุดท้ายมาถึง คนบางคนใช้ไม่ได้แล้วจริงๆ ไม่อยู่ในข่ายที่จะช่วยเหลือได้ แต่อยู่ในข่ายที่จะถูกทำลาย เวลาเปิดสอนในชั้น อาจมีคนอย่างนี้เข้ามาเรียน อาจเป็นเพราะถูกดึงเข้ามา เมื่อท่านปล่อยให้เขาทำอย่างนั้น ไม่แน่อาจจะกระดูกหัก ดังนั้นเราจึงไม่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์ ใช้วิธีของความสมัครใจ ท่านสามารถจะอดทน ก็ให้อดทนจนถึงที่สุด แต่ข้าพเจ้าจะบอกท่าน คิดจะบำเพ็ญจริงๆ คนที่รับรู้ถึงอานุภาพของฝ่าได้อย่างแท้จริงล้วนสามารถบำเพ็ญ ท่านก็พยายามดูสักที น่าจะลองดูสักหน่อย จะไม่เกิดปัญหา

 

จักรวาลมีขอบไหม

จักรวาลมีขอบ แต่อย่าได้ค้นหาสิ่งเหล่านี้ ขอบอันนี้ใหญ่เหลือเกิน ณ ระดับชั้นของยูไล ขอบของจักรวาลที่หมายถึงล้วนเป็นขอบของจักรวาลเล็ก และจักรวาลเล็กอันนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์ แม้แต่พระยูไลมองดูก็ไม่มีขอบไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจจะวัดได้ มันใหญ่มหึมามากๆ

 

ในนิตยสาร [หน้าต่างศิลปวรรณคดี] เขียนไว้ว่ามีงูเหลือมใหญ่ นำทางให้อาจารย์หลี่ หงจื้อ จริงไหม

นี่เป็นงานเขียนในแนวนวนิยาย ที่เขียนขึ้นโดยนิตยสาร [หน้าต่างศิลปวรรณคดี] ผู้ฝึกคนนั้นมาฟังการบรรยายสองครั้ง เข้าใจไม่ลึกซึ้ง หลังจากฟังการบรรยายครั้งแรก เขาก็เริ่มเขียน เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขาเห็นว่าฝ่านี้ดีเหลือเกิน จึงลงมือเขียนทันที เมื่อมาฟังการบรรยายครั้งที่สองเขาฟังโดยตั้งใจจะเขียนบทความ ทุกท่านทราบ การฟังด้วยจิตใจที่สงบเงียบเท่านั้นจึงจะรับรู้เข้าใจ ดังนั้นเขายังไม่เข้าใจดี จึงเขียนออกมาในแนวของนวนิยาย เรื่องบางอย่างเป็นการแต่งเติมทางศิลปะ ไม่มีเรื่องงูเหลือมใหญ่ บอกว่าพระโพธิสัตว์กวนอินเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริงและเป็นการแต่งเติมทางศิลปะ แต่เขามีจุดประสงค์ที่ดี คืออยากจะเผยแพร่ฝ่านี้ เป็นเจตนาที่ดี จุดนี้ยืนยันได้ เนื่องจากความเข้าใจของเขามีจำกัด ฉะนั้นจึงเขียนออกมาเป็นผลงานเช่นนี้ เป็นผลงานแนวนวนิยาย เขาเขียนออกมาจากมุมของการให้ความบันเทิงอยู่แล้ว เพราะนิยายสามารถเขียนให้เกินจริงได้ อาจมีความยืดหยุ่นได้มาก อย่านำมันมาเป็นเครื่องชี้นำการฝึกของพวกเราเป็นใช้ได้ สำหรับที่กล่าวไว้ในหนังสือว่า ศีลห้า ความชั่วสิบประการ ความดีสิบประการล้วนแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในพุทธศาสนาดั้งเดิม เราไม่พูดถึงศีล จะบำเพ็ญหรือไม่ มาตรฐานเราได้บรรยายให้ทุกท่านฟังแล้วในฝ่า

 

 “เสวียนฝ่าจื้อจี๋” (ฝ่าที่ลึกล้ำมหัสจรรย์ไปสู่ที่สุด) กับ “เสวียนฝ่าจื้อซวี” (ฝ่าหมุนไปสู่ความว่างเปล่า) มีความแตกต่างกันอย่างไร 

เสวียนฝ่าจื้อจี๋ (ฝ่าที่ลึกล้ำมหัสจรรย์ไปสู่ที่สุด) ที่เราพูดถึงเป็นคำศัพท์โดยรวม นี่เป็นปัญหาของความเข้าใจของการถ่ายทอดฝ่าในระยะแรก ไม่ใช่ “เสวียน” (ลึกล้ำมหัสจรรย์) อักษรตัวนี้ ควรจะเป็น “เสวียน” (หมุน) ของคำว่า “เสวียนจ้วน” (หมุน) ตั้งแต่ต้นฝ่าของเราเป็นฝ่าที่ประสานกลมกลืน ฉะนั้นเขาจึงหมุน ฝ่าหลุนปรากฏในรูปแบบเหมือนกับวงล้อ “เสวียนฝ่าจื้อจี๋” (ฝ่าที่ลึกล้ำมหัสจรรย์ไปสู่ที่สุด) ไม่ผิด (ฝ่า)สามารถไปถึงอาณาจักรเขตแดนที่สูงมากๆ ไปถึงจุดที่สุด เป็นความหมายอันนี้ “เสวียนฝ่าจื้อซวี” (ฝ่าหมุนไปสู่ความว่างเปล่า) นี่เป็นศัพท์คำหนึ่งในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญของเรา และเป็นคำเคล็ดในพลัง(กง)ของเรา

ทุกท่านทราบ คำเคล็ดนั้น สามารถส่งผลในการอัญเชิญผู้บรรลุธรรม หรือผู้บรรลุธรรมที่บำเพ็ญในวิชานี้ หรือผู้บรรลุธรรมที่สำเร็จในวิชานี้ให้มาพิทักษ์ฝ่าให้ท่าน เสริมพลังให้ท่าน มันสามารถส่งผลเพื่อการนี้ ในศาสนาคำเคล็ดก็ส่งผลเพื่อการนี้ การที่พูดว่า ท่องคำเคล็ดพลัง(กง)ก็จะเพิ่มขึ้น นั่นเป็นไปไม่ได้โดยแท้จริง มันสามารถส่งผลเพื่อการนี้เท่านั้น “จื้อซวี” (ไปสู่ความว่างเปล่า) หมายถึงไปถึงระดับชั้นที่สูงมากๆ อาณาจักรเขตแดนที่ผู้คนมองไม่เห็นเรียกว่าภพที่ว่างเปล่า ก็คือความหมายเช่นนี้ ในศาสนาเต๋ามีคำศัพท์อย่างนี้ปรากฏอยู่เสมอ ก่อนการก่อเกิดเป็นไท้จี้เรียกว่า “ไท้ซวี” (ความว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่) หมายความว่ามันสูงมากๆ ดั้งเดิมมากๆ

 

เวลานั่งสมาธิ เพื่อจะยืดเวลานั่งให้นานขึ้น ท่องคำเคล็ดในใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่องเป็นพันรอบ จะทำให้ฝ่าหลุนเปลี่ยนรูปหรือไม่

ท่องคำเคล็ดมีประโยชน์ ท่องเป็นพันรอบไม่ทำให้ฝ่าหลุนเปลี่ยนรูป แน่นอนพร้อมๆ กับที่ท่านเปิดพลัง(กง) เปิดการรับรู้แล้ว ท่านก็จะเข้าใจ เมื่อถึงระดับชั้นสูงมากๆ แล้ว ท่านไม่สามารถจะท่องคำเคล็ด การท่องของท่าน แรงสั่นสะเทือนยิ่งใหญ่มาก ท่านท่องอยู่ตลอด สั่นสะเทือนจนคนเขาทนไม่ไหว เสียงดังโวงๆ 

 

ผู้ฝึกบางคนหลังจากฝึกพลัง(กง) เหตุใดศีรษะเหมือนกับจะแยกออก

   “แยกออก” ถูกต้องแล้ว เราเรียกว่าไคติ่ง (เปิดส่วนบนของศีรษะ) “แยกออก” ถูกต้องแล้ว บางคนเวลาแยกออกมีเสียงดังป้าบหนึ่งที ไม่รู้สึกอะไรมากนัก บางคนแยกออกอย่างช้าๆ รู้สึกทรมานมาก แต่เรื่องต้องดูจากทั้งสองด้าน บางคนไม่ปล่อยวางจิตยึดติด สิ่งที่ไม่ดีที่ตัวเองเอามาไม่ยอมทิ้ง เวลาฝึกพลัง(กง)ฝ่าจึงต้องชำระมันทิ้งไป มันจึงทำให้ท่านปวดศีรษะ ไม่ยอมให้ท่านบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง ก็จะปรากฎสภาพการณ์แบบนี้ สิ่งสำคัญคือจะดูว่าท่านสามารถจะบำเพ็ญได้หรือไม่ สามารถจะใช้ฝ่าชั่งวัดได้หรือไม่และละทิ้งสิ่งเหล่านั้น

 

บางคนเวลาฝึกพลัง(กง) ศีรษะเหงื่อเย็นออก และมีอาการจะเป็นลม ควรจะทำอย่างไร

อาจมีปรากฏการณ์ประเภทนี้ ในการเปิดสอนของเราก็มีคนเช่นนี้ ในการเปิดสอนทุกครั้งก็มีปรากฏ เพราะเหตุใดหรือ เพราะเวลาจะชำระร่างกายและขจัดโรคภัย ปฏิกิริยาการตอบสนองรุนแรงมาก แต่อยู่ที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง)โดยทั่วไปจะไม่รุนแรงเช่นนี้ เพราะมันจะขจัดออกไปอย่างช้าๆ ถ้าคนๆ นี้เป็นคนดี ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าคนๆ นี้ไม่เข้มงวดกับตัวเอง เขาทำตัววุ่นวาย ประเดี๋ยวฝึกพลัง(กง)นี้ ประเดี๋ยวฝึกพลัง(กง)นั้น ไม่มั่นคง ซินซิ่งไม่ดี ก็อาจจะเป็นปัญหา สามารถจะบอกกล่าวให้เขาหยุดพักชั่วคราว ถามเขาดูว่าเคยฝึกพลัง(กง)อะไรมาบ้าง หรือเคยทำอะไรผิดบ้าง ผ่านช่วงนั้นไปแล้วค่อยลองฝึกดู เพราะเวลานี้คนที่มาฝึกพลัง(กง) ไม่อาจจะรับประกันได้ว่าล้วนคือคนที่บำเพ็ญอย่างแท้จริง 

 

จุดลมปราณนวดได้ไหม

พวกเราไม่ทำเรื่องการนวดจุดลมปราณ การบำเพ็ญฝ่าในภพไม่ให้รักษาโรคให้ผู้อื่น ไม่มีสิ่งนี้ คนที่บำเพ็ญจริงๆ ไม่มีโรค ฝ่าเซิน(ธรรมกาย)ของข้าพเจ้าจะขจัดทิ้งให้ทั้งหมด สิ่งที่ควรทำจะทำให้ทั้งหมด ไม่มีเรื่องการนวดจุดลมปราณ กรรมของผู้บำเพ็ญจะนวดทิ้งไปได้หรือ ท่านมีพลัง(กง) ท่านนวดให้ผู้อื่น เราก็ไม่เห็นด้วย ถ้าเป็นแพทย์นั่นไม่มีปัญหา เพราะนั่นเป็นอาชีพของท่านในหมู่คนธรรมดาสามัญ

 

จิตสำนึกรองของคนติดตามคนชั่วชีวิต เขาก่อผล(มีบทบาท)อะไร

จิตสำนึกรองของคนโดยหลักช่วยไม่ให้คนทำเรื่องไม่ดีเมื่ออยู่ภายใต้สภาวะไม่รู้สึกตัว(ไม่มีสติ)

 

ฉันนั่งสมาธิ บางครั้งสามารถขัดสมาธิขาได้เป็นเวลานาน บางครั้งสามารถขัดสมาธิขาได้เพียงสิบนาที เป็นเพราะเหตุใด

เป็นเรื่องปกติ การขัดสมาธิขาก็เป็นการชำระกรรม ทุกข์ทรมานจิตใจ เหนื่อยล้ากำลังกาย พวกเราเหนื่อยล้ากำลังกายอย่างไรหนา ก็คือเพิ่มเวลาฝึกพลัง(กง)ให้นานขึ้นอีก ทนทรมานขัดสมาธิขาต่อไปอีก โดยหลักคือสะท้อนออกมาสองด้านนี้ การเหนื่อยล้ากำลังกายโดยตัวเองก็เป็นขั้นตอนการชำระกรรมและยกระดับ การขัดสมาธิขาไม่ใช่เป็นการชำระกรรมหรอกหรือ พูดถึงกรรม ไม่ใช่ว่าจะผลักไปที่ขาทั้งหมดในทันที มันเป็นกลุ่ม เป็นกลุ่ม ขึ้นมาหนึ่งก้อน ปวดจนทนไม่ไหว ชำระทิ้งไป รู้สึกสบาย การขัดสมาธิขามักจะทรมานพักหนึ่ง เบาสบายพักหนึ่ง แล้วทรมานอีก ล้วนเป็นเช่นนี้ กรรมก้อนนี้ ท่านชำระมันทิ้งไปแล้ว เวลาของการขัดสมาธิขาครั้งนี้ก็จะนาน แต่เวลาที่กรรมขึ้นมา ท่านเพิ่งจะเอาขาขัดสมาธิขึ้นมาก็ทรมานมากแล้ว แต่เมื่อท่านสามารถอดทน เวลาของการขัดสมาธิขานั้นเหมือนกัน เดิมทีสามารถขัดสมาธิขาได้นานเพียงใด ยังคงสามารถขัดสมาธิขาได้นานเพียงนั้น เพียงแต่เจ็บปวดทรมาน

 

การดื่มเหล้าสามารถทำให้ชีวิตที่ฝึกออกมาของผู้บำเพ็ญออกจากร่างกายไปไหม

ใช่ การสูบบุหรี่ก็จะส่งผลอย่างนี้ด้วย สิ่งนั้นของท่านพอถูกรมด้วยควัน เขาก็ไม่อยู่ในร่างกายท่าน นั่นจะไม่ใช่อะไรเลย คนอื่นมองดูร่างกายของท่านไม่มีพลัง(กง) เราพูดแล้วว่า หากคิดจะบำเพ็ญอย่างแท้จริง จิตยึดติดจุดนี้ก็ปล่อยวางไม่ได้หรือ ไม่อาจจะถือเอาการบำเพ็ญเป็นเรื่องเด็กเล่นขายของ นี่เป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจังมากๆ เรื่องหนึ่ง เราไม่พูดว่ามนุษย์ประสบกับเรื่องยุ่งยากที่ใหญ่อะไรแล้ว เพื่อจะรักษาชีวิตจึงบำเพ็ญ เราไม่พูดสิ่งนี้ และไม่ใช้สิ่งนี้มาเป็นแรงกระตุ้นชนิดหนึ่งมาผลักดันให้ท่านบำเพ็ญ (แต่)เราพูดว่าการบำเพ็ญอย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาส่วนบุคคลของท่านอย่างชั่วนิรันดรหรอกหรือ

ในพุทธศาสนาคนเขาพูดถึงวัฏสงสารหกทาง บอกว่าในสังคมมนุษย์ ท่านรู้สึกว่าเวลายาวนาน แต่อยู่ในมิติที่เวลายาวนานยิ่งกว่ามองดู เวลาของมนุษย์ผ่านไปรวดเร็วอย่างยิ่ง คนสองคนพูดคุยอยู่ตรงนั้น พอหันกลับไปท่านมาเกิดแล้ว พูดอีกสองประโยค หันกลับไปดู ท่านแก่เฒ่าเสียชีวิตไปแล้ว ทำไมคนไม่อยู่ในขั้นตอนที่มีร่างคนนี้ ฉกฉวยเวลาเร่งบำเพ็ญเพื่อรักษาไว้ซึ่งร่างของคนเล่า ในพุทธศาสนากล่าวว่า ครั้นเมื่อเข้าสู่วัฏสงสารหกทาง บอกไม่ได้ว่าท่านจะกลับมาเกิดเป็นอะไร หากเกิดเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง ต้องหลายร้อยปีหลายพันปีจึงจะสามารถได้ร่างคนสักครั้ง หากเกิดเป็นก้อนหินสักก้อน ก้อนหินก้อนนั้นไม่ผุกร่อน ท่านยังจะออกมาไม่ได้ หมื่นปีก็ออกมาไม่ได้ สัตว์นั้น ไม่ให้มันบำเพ็ญ แต่ตัวมันเองมีปัยจัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนั้นสามารถบำเพ็ญ นี่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แต่ไม่อนุญาตให้มันมีพลัง(กง)สูง เมื่อมันมีพลัง(กง)สูง มันก็คือมาร เพราะมันไม่มีธรรมชาติเดิม(กมลสันดาน)ของคน ฉะนั้นจึงต้องฆ่ามัน สัตว์เมื่อบำเพ็ญสูงแล้วก็ต้องฆ่ามัน ฟ้าผ่ามัน มันทำไมต้องสิง(แฝง)นะหรือ มันต้องการร่างคนสักร่าง ได้ร่างคนแล้วมันก็สามารถบำเพ็ญต่อไปอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว ในอดีตเป็นอย่างนี้ มันมีร่างคนแล้วก็อนุญาตให้มันบำเพ็ญ ปัจจุบันมีร่างคนก็(บำเพ็ญ)ไม่ได้แล้ว ถ้าท่านคิดจะบำเพ็ญ คิดจะได้ฝ่า ท่านก็ต้องถูกลบความจำมาได้(ฝ่า)ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ปัจจุบันนี่เป็นกฎตายตัวแล้ว มาอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญโดยเข้าใจแจ่มแจ้งก็ไม่ได้แล้ว ต้องถูกลบความจำไปบำเพ็ญอยู่ท่ามกลางการรับรู้ ถ้าอะไรก็รู้หมด ใครจะไม่ไปบำเพ็ญล่ะ พระพุทธองค์นั้นยังคิดจะยกระดับชั้นให้สูงขึ้น มาทนทุกข์ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ก็ต้องถูกลบความจำ ถ้าอะไรก็มองเห็นแจ่มแจ้งแล้ว อะไรก็รู้หมดแล้ว เช่นนั้นใครจะไม่บำเพ็ญล่ะ ก็ไม่มีปัญหาของการยกระดับคงอยู่แล้ว ความหมายนี้เป็นการบอกทุกท่านว่า การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง จิตยึดติดใดล้วนจะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญ

 

สตรีสูงอายุเข้าสู่วัยทองแล้ว ไม่มีประจำเดือน จะบำเพ็ญได้หรือไม่

สตรีสูงอายุเข้าสู่วัยทองแล้ว คนที่ประจำเดือนไม่มา ในการบำเพ็ญอาจจะช้าสักหน่อย สตรีสูงวัยบางคนจำเป็นต้องเร่งบำเพ็ญจริงๆ พวกเธอบางคนไม่เร่งบำเพ็ญก็จะทำไม่ได้ พอบอกว่าให้รีบเร่งบำเพ็ญก็โหมฝึกท่าเคลื่อนไหว ควรจะเข้าใจการบำเพ็ญซินซิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คนบางคนทางด้านนี้จะมาช้าสักหน่อย แต่คนที่บำเพ็ญไปตามปกติล้วนสมควรมี

 

เหตุใดผู้ฝึกรู้สึกปวดส่วนนั้นส่วนนี้ เช่นปวดศีรษะ ปวดท้อง.....

ในการฝึกพลัง(กง) ปฏิกิริยาชนิดต่างๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ สลายกรรมไม่มีการไม่ทุกข์ทรมาน การขจัดโรคภัยยังต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน  ผู้ฝึกบางคนจะออกพลัง(กง) พลัง(กง)นี้อยู่ในร่างกายของท่าน ความสามารถยังมากกว่าหมื่นชนิด พลัง(กง)ทุกอันล้วนเป็นพลังงานที่ใหญ่มาก มีความหนาแน่นสูงมาก เป็นมวลสสารพลังงานสูงที่มีอานุภาพแข็งแกร่งมาก เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านก็จะรู้สึกทรมาน ยิ่งกว่านั้นพลัง(กง)ในรูปแบบต่างๆ ความสามารถในรูปแบบต่างๆ สิ่งที่เป็นศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ อยู่ในร่างกายของท่านจะปรากฏออกมา เขาเคลื่อนไหวไปมาท่านก็รู้สึกทรมาน ท่านก็จะบอกว่ามันเป็นโรค ท่านว่าอย่างนี้ท่านยังจะบำเพ็ญอย่างไร ท่านบำเพ็ญไปตามฝ่าอย่างแท้จริง ท่านจะพบว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องปกติ

ที่ผ่านมามีคนคนหนึ่งในร่างกายมีฟู่ถี่(ตัวสิง ตัวแฝง) มีอาจารย์ชี่กงคนหนึ่งบอกเขาว่า ร่างกายของท่านมีงูเหลือมใหญ่สิงอยู่ เขาก็รู้สึกว่ามีงูเหลือมใหญ่สิงอยู่เสมอ ข้าพเจ้าบอกเขาว่าเวลานี้ท่านไม่มีแล้ว เขายังไม่ยอมเชื่อ เขายังคิดว่า(มัน)ยังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างในร่างกายเขา เอาละ เขาคิดว่ามีฟู่ถี่ สภาพที่เมื่อตอนที่งูเหลือมใหญ่นั้นอยู่ก็มีปฏิกิริยาสะท้อนออกมาในร่างกายเขา เมื่อไรก็ตามที่ไม่ขจัดจิตนี้ทิ้งไป มันจะไม่หยุด ก็คือเพื่อจะให้ท่านขจัดจิตนี้ทิ้งไปใช่ไหม ถ้าทำให้มันกลายเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่ง นั่นก็ขจัดทิ้งไปยาก เป็นเวลานานมากคนนั้นถึงขจัดทิ้งไปได้

 

จะปฏิบัติต่อความสามารถอย่างไร เช่นตาทิพย์มองเห็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ และแสง จะดูหรือไม่ดูดี

สามารถมองเห็นก็ดูได้ เวลาฝึกพลัง(กง)มองดูเงียบๆ อย่างนี้ไม่ถือว่ายึดติด

 

ผู้ฝึกบางคนตาทิพย์เปิดแล้วมองเห็นปรากฏการณ์บางอย่าง ผู้ช่วยฝึกสอนไม่มีความสามารถมองไม่เห็น

มองเห็น มองไม่เห็นขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่บำเพ็ญอยู่ ณ ระดับชั้นที่ต่างกันของสภาพการรับรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้จะบรรลุการรับรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ไม่แน่เสมอไปว่า พลัง(กง)ของท่านสูงมาก ก็เปิดให้ท่านสูงมาก เขามีพลัง(กง)ต่ำมากก็เปิดให้ต่ำมาก ไม่เหมือนกัน เพราะระดับชั้นของตาทิพย์สูงหรือต่ำไม่อาจจะตัดสินพลัง(กง)ของคนสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของตัวเอง เงื่อนไข เหตุผลหลายๆ ด้านที่ตัดสินให้ท่านมองเห็นได้ชัดหรือไม่ชัด มองเห็นหรือมองไม่เห็น นี้กำหนดจากเหตุผลหลายๆ ด้าน มันไม่อาจอธิบายได้ว่าคนๆ หนึ่งบำเพ็ญได้ดีหรือไม่ดี จะต้องระวังจุดนี้ บอกว่าตาทิพย์ฉันเปิดแล้ว พลัง(กง)ฉันสูงกว่าคนอื่น นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด

พวกเราที่ฉางชุนไม่ใช่มีคนหนึ่งอย่างนี้หรอกหรือ ตาทิพย์ของเขาเปิดแล้ว รู้สึกว่าฝึกได้ดีกว่าใครๆ บอกว่าคนนี้ในตัวมีฟู่ถี่ คนนั้นก็มีอะไร ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเขาคิดออกมา ทำจนที่ศูนย์ฝึกฯ ของเรายุ่งเหยิงไปหมด สุดท้ายไม่ว่าใครเขาก็ไม่เลื่อมใสแล้ว เขาบอกว่ายังสูงกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ฉะนั้นพวกเราอย่าใช้การเปิดตาทิพย์แล้วมาวัดว่าใครบำเพ็ญถึงระดับชั้นสูงเพียงใด ในสภาพการณ์ปกติคือจะตามขึ้นมาอย่างประกอบเสริมให้สำเร็จต่อกันและกัน พวกเราผู้ฝึกที่ดีเป็นพิเศษยังจะไม่ให้เขามองเห็น รอจนบำเพ็ญได้สูงพอสมควรแล้วจึงจะให้เขามองเห็น ฉะนั้นอย่าใช้สิ่งนี้มาวัดว่าดีหรือไม่ดี

จากวันนี้ไปพวกเราได้พบข้าพเจ้าก็ดี ไม่ได้พบข้าพเจ้าก็ดี ก็เหมือนกับมีคนถามเมื่อครู่ว่า อาจารย์ไม่อยู่แล้วพวกเราจะทำอย่างไร องค์ศากยมุนีเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีคนถามว่า: ท่านอาจารย์ ท่านไม่อยู่แล้ว จะยึดใครเป็นอาจารย์ องค์ศากยมุนีกล่าวว่า: ให้ยึดศีลเป็นอาจารย์ พวกเรายึดฝ่าเป็นอาจารย์ ต้องใช้ซินซิ่งสูงหรือต่ำเป็นมาตรฐานวัดว่าบำเพ็ญได้ดีหรือไม่ดี ไม่อาจจะใช้ความสามารถมากหรือน้อยเป็นมาตรฐาน ไม่เช่นนั้นนั่นมิพากันแสวงหาความสามารถไปแล้วหรือ ความสามารถเป็นสิ่งที่พ่วงออกมาในระหว่างการบำเพ็ญของท่าน อยู่ในฝ่าในภพความสามารถที่บำเพ็ญออกมาล้วนเป็นความสามารถเดิม (สัญชาตญาณ) พร้อมกับที่ความนึกคิดของคนมีความซับซ้อน (ความสามารถเดิม) ค่อยๆ ถดถอยลงแล้ว

พร้อมกับที่ท่านบำเพ็ญ เขาก็จะออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อท่านกลับสู่ต้นกำเนิด หวนกลับไป จึงจะสามารถคืนสู่ธรรมชาติเดิม(กมลสันดาน)ของคน ต่อให้เขามองเห็นได้ชัดเจนเพียงไรก็มองไม่เห็นระดับชั้นที่ข้าพเจ้ามองเห็น ต่อให้เขามองเห็นได้ชัดเจนเพียงไรก็ยังห่างกันไกลมากกับสัจธรรมสูงสุดของจักรวาล สิ่งที่เขามองเห็นเป็นเพียงปรากฏการณ์ของระดับชั้นนั้น อย่านำเขามาตั้งเป็นสัจธรรม คนอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ ใช้ระดับชั้นใดมาเป็นมาตรฐานวัดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่พูดว่า “ฝ่า ไม่มีฝ่าที่แน่นอนตายตัว” ก็คือหลักการนี้ อย่านำปรากฏการณ์ของระดับชั้นใดมาตั้งเป็นสัจธรรม ฝ่า ไม่มีฝ่าที่แน่นอนตายตัว ฝ่าในระดับชั้นใดจะบังเกิดผลในระดับชั้นนั้นเท่านั้น ฉะนั้นสิ่งที่เขามองเห็นในระดับชั้นใด สภาพในระดับชั้นนั้น หากมองเห็นได้ชัดเจนแล้วก็จะกระหยิ่งยิ้มย่อง นั้นเป็นสิ่งอยู่ในระดับชั้นที่ตื้นเขินมาก จะต้องจดจำจุดนี้เอาไว้

 

เด็กบำเพ็ญ พลัง(กง)ห้าชุด จำเป็นต้องฝึกทั้งหมดใช่หรือไม่

เด็กสามารถฝึกมากก็ฝึกให้มาก สามารถฝึกน้อยก็ให้ฝึกน้อย เป้าหมายสำคัญของการบำเพ็ญคือการยกระดับซินซิ่งของคน ฉะนั้นสำหรับเด็กการพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับด้านซินซิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเขา ข้าพเจ้าในวัยเด็กไม่สามารถฝึกสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอกแต่อย่างใด โดยหลักคือบำเพ็ญด้านซินซิ่ง ปัจจุบันเด็กบางคน ท่านอย่างเห็นว่าเป็นเด็กทั่วๆ ไป เด็กบางคนยอดเยี่ยมมากจริงๆ เพราะในครั้งแรกที่กำหนดให้พวกเราทำเรื่องนี้ ก็มีคนในระดับชั้นสูงมากๆ ตามลงมาด้วย เมื่อตอนที่ข้าพเจ้ามา ในแต่ละระดับชั้นล้วนมีคนตามลงมา พวกเขาคาดเดาถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าจะทำ โดยเฉพาะเมื่อถึงยุคใกล้ๆ นี้ ในจักรวาลเล็กของเรานี้และระบบทางเผือกมากันมากเป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้สักหน่อย พวกเขาคาดเดาไม่ออก มีเพียงก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะออกมาถ่ายทอดช่วงเวลานั้น พวกเขารู้แล้ว มองเห็นแล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไร จึงตามลงมาไม่น้อย มาทำอะไรหรือ มาได้ฝ่า เขารู้ว่าฝ่าของอดีตได้ถูกบ่อนทำลายแล้ว มาเพื่อหล่อหลอมฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ท่านอย่าดูพวกเขาเป็นคนทั่วๆ ไป พวกเขาล้วนแต่ไม่เลวทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าลูกของคนทุกคนเป็นเช่นนี้กันทั้งหมด เด็กบางส่วนไม่เลวทีเดียว

 

จะทราบได้อย่างไรว่าตัวเองฝึกถึงระดับชั้นอะไร

พวกเราผู้ฝึกบางคนได้บรรลุถึงสภาวะของการค่อยๆ รับรู้แล้ว ผู้ฝึกบางคนจะค่อยๆ บรรลุสภาวะของการค่อยๆ รับรู้ คนที่บรรลุถึงแล้วหรือยังไม่บรรลุ หรือมองเห็นได้ชัดเจนก็ดี มองเห็นได้ไม่ชัดเจนก็ดี อยู่ที่ศูนย์ฝึกฯ หลังจากฝึกพลัง(กง)เสร็จแล้ว เวลาศึกษาและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน สามารถพูดให้ทุกคนฟัง ไม่เป็นไร ท่านไปพูดโดยไม่มีจิตโอ้อวด จะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญโดยรวมของพวกเรา บางคนบอกว่าสิ่งที่มองเห็นผ่านตาทิพย์พูดไม่ได้ ถ้าพูดตาทิพย์ก็จะปิดลง อันนี้ในฝึกพลัง(กง)ในอดีต ได้กลายเป็นเรื่องที่คนเข้าใจโดยทั่วไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาพูดตาทิพย์ก็จะหายไป ทุกท่านลองคิดดู ความแพร่หลายของชี่กง ในเวลานั้นคนที่ฝึกพลัง(กง)มีใครที่เน้นกุศลมากๆ ที่บำเพ็ญอย่างแท้จริงมีน้อยมาก เขาไม่รู้จักเน้นกุศล มองเห็นเรื่องอะไรเขาก็พูด มีจิตยึดติดของตัวเขาเองอยู่ด้วย มีจิตโอ้อวดของตัวเขาเองอยู่ด้วย ตาทิพย์ย่อมปิดไปอย่างแน่นอน

มีบางคน สิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดเขาก็พูด ดังนั้นตาทิพย์ของเขาจึงต้องปิดทิ้งไป ก็คือเหตุผลนี้ หากเพื่อเป็นการยกระดับความเข้าใจต่อฝ่า ศึกษาพิจารณาซึ่งกันและกัน ข้าพเจ้าว่าปัญหาอะไรก็ไม่มี จุดนี้ต้องแยกแยะให้ชัดเจน ถ้าหากตาทิพย์ของเขาถูกปิดทิ้ง บาดเจ็บ เป็นเพราะเขาได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดกับคนธรรมดาสามัญ หรือมีจิตโอ้อวด จิตโอ้อวดของผู้ฝึกพลัง(กง) นั่นไม่ใช่การแสดงจิตยึดติดให้เห็นหรอกหรือ ดังนั้นจึงต้องปิดทิ้ง ในระยะแรกเมื่อตาทิพย์ของบางคนถูกปิดทิ้งนั้น ก็ให้โอกาสแก่เขา ในเวลาที่เขามองเห็นได้ชัดหรือมองเห็นไม่ชัด บางเวลามองเห็น บางเวลามองไม่เห็น ก็คือกำลังเตือนสติเขา แต่คนเหล่านั้นไม่รับรู้ สุดท้ายก็ปิดทิ้งอย่างถึงที่สุด บางคนก็บาดเจ็บเอาเลย บาดเจ็บอย่างรุนแรงมาก

 

ได้เจิ้งกั่ว(มรรคผลที่ถูกต้อง)กับหยวนหมั่น(สำเร็จสมบูรณ์) คือระดับชั้นอะไร

ปัญหานี้ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้ว ได้เจิ้งกั่ว บรรลุกั่วเว่ยอรหันต์(มรรคผลอรหันต์)ก็คือได้เจิ้งกั่วแล้ว หยวนหมั่น(สำเร็จสมบูรณ์)นั่นคือการบำเพ็ญสิ้นสุด โดยทั่วไปหมายถึงได้เจิ้งกั่วและเปิดพลัง(กง)แล้ว ก็คือทั้งสองส่วนบำเพ็ญสิ้นสุดในเวลาเดียวกันคือหยวนหมั่น

 

หลังจากนั้นจะบำเพ็ญอย่างไร มีอะไรแตกต่างกับคนธรรมดาสามัญ

ยังต้องอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ทนทุกข์ทนลำบากเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ ท่านได้มรรคผลอรหันต์แล้ว ในคนธรรมดาสามัญ เด็กเกเรในหมู่คนธรรมดาสามัญก็ด่าว่าท่าน เพราะท่านยังบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ยังต้องละทิ้งจิตยึดติดของท่านต่อไป มีบางคน คนที่มีรากฐานสูงคนนั้น ละทิ้งจิตยึดติดของเขาได้ดีมากแล้ว แต่ยังต้องวกกลับมาให้ท่านอีกรอบ การบำเพ็ญทั่วๆ ไป การบำเพ็ญปกติ หนึ่งขั้นตอนก็หยวนหมั่นแล้ว บางคนจะปรากฏกลับไปกลับมา วกกลับไปกลับมาให้ท่านสองรอบ ถ้าท่านบำเพ็ญไปสู่ระดับสูง วกกลับไปกลับมาสามรอบ ก็บำเพ็ญข้ามไปแล้ว กลับมาให้ท่านบำเพ็ญอีก บำเพ็ญไปสู่ระดับสูงยิ่งขึ้น ก็จะปรากฏปัญหานี้ ดังนั้นท่านยังต้องบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ สมมติว่าท่านบำเพ็ญสำเร็จมรรคผลอรหันต์แล้ว ไม่มีคนก่อความยุ่งยากแก่ท่านแล้ว ในหมู่คนธรรมดาสามัญใครก็ไม่ก่อความยุ่งยากแก่ท่านแล้ว ท่านออกห่างจากสภาพแวดล้อมนี้แล้วจะบำเพ็ญอย่างล่ะ ถ้าที่ก่อความยุ่งยากแก่ท่านไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ในหมู่คนธรรมดาสามัญ มีปรากฏพระพุทธเอย พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ต่างๆ สร้างความยุ่งยากให้ท่านขจัดจิตยึดติดของท่าน นั่นจะเป็นไปได้หรือ ถึงแม้เป็นอาจารย์ที่จัดสร้างเรื่องเหล่านี้ให้ท่าน จัดเตรียมเรื่องเหล่านี้ จัดเตรียมทุกข์ภัยทั้งหมด ก็ล้วนแต่ใช้คนธรรมดาสามัญมาทำ คนธรรมดาสามัญมารบกวนท่าน ยกระดับสูงขึ้นในสภาพแวดล้อมของคนธรรมดาสามัญ

 

ผู้ฝึกบางคนหลังจากมาร่วมชั้นเรียน ยังไปร่วมเรียนวิชาอื่น แต่ยังคิดจะบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าต่อไป จะทำอย่างไร

คนประเภทนี้โดยมากการรับรู้ของเขาค่อนข้างด้อย แต่เราพูดว่าการบำเพ็ญต้องขึ้นกับความสัมพันธ์อันมีมาแต่ชาติปางก่อน คนเขาอยากจะได้ เขาก็มาเรียนฝ่าหลุนต้าฝ่า ไม่มีใครให้เขามาเรียน เขารู้สึกว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่ดี เขาก็ไม่เรียน ภายหลังเขาก็รู้สึกว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าดี เขาก็อยากจะมาเรียนอีก เช่นนี้ท่านเรียนได้ท่านก็มาเรียนก็แล้วกันนะ จะบำเพ็ญได้ดีหรือไม่เป็นปัญหาของตัวเขา สำหรับเรื่องว่าจะเข้ามาเป็นศิษย์ที่บำเพ็ญจริงในกลุ่มของพวกเราฝ่าหลุนต้าฝ่า เช่นนั้นพวกเราก็ต้องพูดกับเขาอย่างจริงๆ จังๆ ว่า ท่านบำเพ็ญอยู่ที่ตรงนี้ของพวกเรา ก็ต้องบำเพ็ญยึดมั่นวิชาเดียว มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า ไม่เช่นนั้นอะไรท่านก็จะไม่ได้ ท่านอยู่ตรงนี้ฝึกอะไรเลอะเทอะโดยไม่ยึดมั่นวิชาเดียวก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราสามารถพูดกับเขาด้วยความหวังดี อย่าพูดว่า ท่านไม่อาจจะฝึกพลัง(กง)อยู่ตรงนี้ของพวกเรา พวกเราก็ไม่มีอำนาจ ไม่มีปัจจัยที่จะสั่งคน ได้แต่เตือนคนเขา เตือนด้วยความเมตตา เตือนด้วยเมตตาหนา

 

การจัดสอนในแต่ละพื้นที่มีสภาพการณ์เป็นอย่างไร ฝ่าหลุนต้าฝ่าทั่วประเทศมีสภาพเป็นอย่างไร 

ณ ปัจจุบันนี้การจัดสอนฝ่าหลุนต้าฝ่าได้เลื่อนออกไปทั้งหมดเป็นการชั่วคราวแล้ว เหตุผลของการเลื่อนออกไปก็คือ เวลานี้ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องจัดการมากมาย เรื่องในด้านต่างๆ ล้วนต้องจัดการ พูดถึงว่าต่อไปจะจัดอย่างไร เวลานี้ยังไม่ได้คิด รอให้จัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว ค่อยดำเนินการตามผลของการจัดการ พูดถึงการพัฒนาของฝ่าหลุนต้าฝ่า ข้าพเจ้าสามารถบอกทุกท่านว่า ปัจจุบันพวกเราฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นการถ่ายทอดคนต่อคน ฝ่าหลุนต้าฝ่ามีจำนวนผู้ฝึกค่อนข้างน่าพอใจแล้ว ข้าพเจ้าว่ามีหลายแสนคนแล้ว เพราะเมื่อข้าพเข้าไปจัดการสอนทุกๆ เมือง ล้วนมีคนจากแต่ละเมือง แต่ละอำเภอ เรียกว่าทุกๆ อำเภอไม่มีขาด เช่นนี้ พอกลับไปพวกเขาก็ถ่ายทอดต่อๆ กัน ถ่ายทอดต่อๆ กันเช่นนี้ ดังนั้นจึงเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มีจำนวนคนมากแล้ว ที่หูเป่ยมีอำเภอหนึ่ง ระยะเริ่มแรกมีคนเรียนสองคน ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นพันคน มีตัวอย่างเช่นนี้มากมาย บางคนไปฝึกที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง) บางคนไม่ไปฝึกที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง) ยากที่จะรวมยอดตัวเลขที่แน่นอน

 

คนที่เคยป่วยเป็นโรคประสาทและโรคลมบ้าหมูจะฝึกพลัง(กง)ได้หรือไม่

ข้าพเจ้าขอเตือนทุกท่าน อย่าได้พาคนอย่างนี้มาที่ศูนย์ฝึกฯ ของเรา หรือมายังชั้นเรียนของเรา ทำไม่ดีท่านก็คือมาบ่อนทำลายฝ่าของเรา ถ้าหากเขาอาการกำเริบขึ้นมาในชั้นเรียนหรือที่ศูนย์ฝึกฯ ของเรา คนเขาก็จะพูดว่าเป็นเพราะฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ท่านมิบ่อนทำลายฝ่าของเราหรือ เพราะเรามีหลักเกณฑ์ข้อหนึ่งว่า ไม่สามารถรักษาโรคให้ใคร แต่เรามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คนที่บำเพ็ญอย่างแท้จริง โรคเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ก็อาจจะจัดการให้เขา ณ ตอนนั้น คนที่เป็นโรคหนัก คนที่ในร่างกายมีสิ่งที่ไม่ดีมากๆ นอกจากเขาจะเปลี่ยนแปลงความคิด จึงจะสามารถจัดการให้ เขาคิดจะบำเพ็ญจึงจะสามารถขจัดกรรมให้เขา แน่นอน บางคนยังไม่มีความคิดจะบำเพ็ญ ก็จัดการให้เขาแล้ว พออ่านหนังสือก็จัดการให้เขาแล้ว เพราะเหตุใดนะหรือ เพราะรากฐานของเขาดีมาก เขาจึงสมควรได้รับ อันนี้ไม่อาจจะดูกันเป็นสูตรตายตัว ในครอบครัวมีคนป่วยอย่างนี้ รู้สึกว่าต้าฝ่าดี ก็ให้เขาฝึก ท่านอาจบอกให้เขาฝึกอยู่ที่บ้าน พวกเราขอพูดไว้ก่อน ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะจัดการปัญหาเหล่านี้ของคนธรรมดาสามัญ เขาจะบำเพ็ญได้หรือไม่ ต้องดูที่ตัวเขาเอง เขาไม่สามารถบำเพ็ญ ท่านก็อย่าบอกให้เขาบำเพ็ญ     ถ้าแม้นเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะบ่อนทำลายต้าฝ่า ข้าพเจ้าจะจัดการปัญหาเหล่านี้ของคนธรรมดาสามัญได้อย่างไรล่ะ เมื่อข้าพเจ้าไม่รักษาให้เขา เขาไปกระพือข่าวยังที่ต่างๆ ว่าฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าจนเป็นโรคประสาท อาจารย์ไม่รักษาให้ เขายังจะทำให้ข้าพเจ้าเสื่อมเสีย อย่างไรก็ตามพวกเราขอบอกไว้ก่อน ไม่ให้เขามาร่วมชั้นเรียน และก็ไม่ให้เขามาที่ศูนย์ฝึกฯ คนที่ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูโดยทั่วไปไม่มีปัญหา ในชั้นเรียนพวกเราไม่ได้กำหนดว่าไม่ให้คนที่ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูร่วมชั้นเรียน  แต่โดยทั่วไปพวกเราคนทำงานก็ไม่ยินดีให้เขาเข้ามา เพราะก่อนที่ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแปลง อาการของโรคจะกำเริบขึ้นมาง่าย เมื่ออาการกำเริบจะส่งผลกระทบให้กับพวกเราได้ง่าย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูไม่เหมือนกับผู้ป่วยเป็นโรคประสาท เพราะสำหรับเขาเป็นปัญหาเฉพาะ เพียงแต่ว่าข้างในสมองของเขามีของสิ่งหนึ่ง ของสิ่งนั้นที่ไม่ดีเอาออกมาก็หายแล้ว

 

ยกระดับทั่วทั้งร่างจะเข้าใจอย่างไร

ยกระดับทั่วทั้งร่างก็คือยกระดับอย่างครบถ้วน พวกเราในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญ ร่างกายของท่าน บรรดาร่างชีวิตและชีวิตที่ท่านบำเพ็ญทั้งหมดจะยกระดับตามขึ้นไปพร้อมกับท่าน พวกเราพูดถึงการปรับทั่วทั้งร่าง การปรับทั่วทั้งร่างให้ทุกท่าน การปรับร่างกายให้ผู้ฝึก การยกระดับทั่วทั้งร่างโดยหลักหมายถึงซินซิ่งของท่านขึ้นไปแล้ว พลัง(กง)ของท่านก็จะตามถึงไป ก็เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ มีคนถามว่า ทำไมประจำเดือนไม่มาล่ะ ซินซิ่งของท่านขึ้นไปแล้ว พลัง(กง)ก็ตามขึ้นไปแล้ว คนที่มีกรรมมากๆ การปรับร่างกาย คนส่วนหนึ่งไม่สามารถตามขึ้นมา เขาก็อาจต้องรั้งท้าย ก็คือการยกระดับขึ้นมา เงื่อนไขที่จำเป็นอันดับแรกก่อนอื่นใดคือการยกระดับซินซิ่ง บอกว่าฉันเพียงคิดจะเปลี่ยนแปลงร่างกาย ฉันเพียงคิดจะหลีกเลี่ยงทุกข์ภัย เป็นเช่นนั้นไม่ได้ เพราะถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงร่างกายท่านด้วยการบำเพ็ญ จำเป็นต้องเริ่มจากการบำเพ็ญซินซิ่ง ไม่มีพลัง(กง)ที่จะกำหนดระดับชั้นที่สูงหรือต่ำ ก็คือซินซิ่งสูงหรือต่ำของท่านสิ่งนี้ เช่นนั้นทุกสิ่งล้วนเป็นการวางแผนบนแผ่นกระดาษ

 

ผู้ฝึกบางคนถาม จะปฏิบัติอย่างไรกับการรบกวนต่อต้าฝ่าของมาร

จะบอกกับทุกท่าน พวกเราถ่ายทอดฝ่าที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีคนมาต่อต้าน นั่นจึงจะเป็นเรื่องแปลกนะ ทุกท่านลองคิดดู วันนี้ถ้าข้าพเจ้าไม่ทำเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะสบายที่สุด เนื่องจากข้าพเจ้าทำเรื่องนี้ให้กับทุกท่าน ความยุ่งยากที่ข้าพเจ้าประสบตรงนี้และความยุ่งยากที่พวกท่านประสบ ล้วนแต่ขัดขวางฝ่านี้ ไม่ให้คนได้ฝ่า คนมาถึงขั้นนี้แล้ว จะได้ฝ่า เช่นนั้นมารจึงไม่ยอม เขาต้องขัดขวางท่าน มันคิด ท่านติดค้างฉันนี่นา ฉันมาทวงคืนจากท่านล่ะ ท่านได้ฝ่า หนี้ที่ติดค้างข้าพเจ้าจะทำอย่างไร มันยังแค้นท่านอีก ปัจจัยแต่ละด้านล้วนมีผลในการขัดขวางแบบหนึ่ง พูดให้ชัด ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวเอง คนล้วนมีกรรม ในอดีตพระเยซูกล่าวว่า คนเอย ท่านมีบาป ท่านกล่าวว่าคนนั้นมีบาป พูดว่ากรรมเป็นบาป ในความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ ก็คือเป็นกรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากตัวคนเองได้ทำเรื่องที่ไม่ดี นั่นไม่ใช่กรรมหรือ มันจะก่อผลในการขัดขวางทุกๆ ด้าน ท่านได้ฝ่าที่ถูกต้องแล้ว แน่นอนมันต้องรบกวนท่าน ก็คือเหตุผลนี้ ฉะนั้นพวกเราประสบกับเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นการทดสอบซินซิ่งของเรา บางคนจะพูดว่า ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่ดีอย่างไรอย่างไร หรือเป็นอย่างไรอย่างไร ก็คือดูว่าความตั้งใจท่านจะเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ได้หรือไม่ จะรับรู้เข้าใจฝ่านี้จากแก่นสารได้หรือไม่ จากแก่นสารท่านยังไม่รับรู้เข้าใจต่อฝ่านี้ ท่านยังจะบำเพ็ญอย่างไร ก่อนที่ท่านจะเปิดการรับรู้ ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อฝ่าได้หรือไม่ ทรรศนคติชนิดนี้จะมีคงอยู่โดยตลอด อยู่ในสำนักใดก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เป็นแก่นสารท่านยังไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เช่นนั้นท่านยังจะบำเพ็ญอะไร ดังนั้นเขาจะมีการทดสอบและการรบกวนทางด้านนี้

ท่านดูทันทีที่ข้าพเจ้าจัดสอนในชั้นเรียน รับรองว่าก็จะมีชี่กงต่างๆ เปิดสอนในเวลาเดียวกัน หากข้าพเจ้าไม่จัดสอนที่ใดเลยก็ไม่มีเรื่องต่างๆ มากอย่างนี้ ทันทีที่ข้าพเจ้าเปิดสอน พลัง(กง)จอมปลอมต่างๆ ก็พากันเปิดสอน เพราะเหตุใด ก็คือท่านจะทำเรื่องนี้ ประกอบซึ่งกันและกันก็จะมีมารจำนวนหนึ่งตามขึ้นมา และเป็นการจัดไว้เช่นนี้ ก็จะดูว่าคนๆนี้จะเข้าประตูไหน ได้ฝ่าที่ถูกต้องหรือได้ฝ่าที่จอมปลอม ท่านคิดจะเข้าประตูไหน ก็จะดูท่าน ไม่ใช่พูดหรือว่า คนบำเพ็ญได้ยากมากๆ ก็คือสมควรเป็นเช่นนี้ ก็สมควรที่จะยากมากๆ เพราะทุกสิ่งของพวกเราล้วนแต่เกิดจากตัวเอง แต่ทุกข์ภัยอันนี้ จากข้างในนั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงซินซิ่ง การรับรู้ของคน สามารถจะยกระดับได้หรือไม่และปัจจัยด้านต่างๆ มันก็ประกอบซึ่งกันและกัน ปฏิบัติกับเรื่องเหล่านี้โดยการแยกแยะและวิเคราะห์ ฉะนั้นเขาจะมีการรบกวนเหล่านี้

ก็เหมือนพวกเราที่ฉางชุนมีคนหนึ่ง เขาพูดว่า ฉันก็คือพระพุทธแล้ว ท่านไม่ต้องไปฝึกกับคนอื่น ฉันอย่างนั้นอย่างนี้ รบกวนกันทุกๆ ด้าน แม้แต่การทำลายชื่อเสียงของข้าพเจ้าก็จะมีเกิดขึ้น ฉะนั้นจะดูว่าท่านจะฟังหรือไม่ ท่านจะเชื่อหรือไม่ ท่านจะทำอย่างไร มันจะใช้วิธีการต่างๆ มาบ่อนทำลาย ก็คือทำให้ใจของท่านหวั่นไหว ดูว่าท่านจะมั่นคงหรือไม่

บางคนพูดว่าฉันตัดสินใจเด็ดขาดจะบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง ฉันไม่เชื่อเรื่องเหล่านั้นของท่าน ที่จริงพวกเราผู้ฝึกจำนวนมากได้สัมผัสถึงอานุภาพของฝ่า และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองอย่างมาก และเข้าใจแจ่มแจ้งถึงหลักการนี้ที่ข้าพเจ้าบรรยาย เขายังไม่มั่นคง นั่นไม่ใช่ปัญหาการรับรู้หรือ ก็คือการรับรู้ต่ำมาก ก็คือหลักการนี้ ฉะนั้นการรบกวนเหล่านี้ ข้าพเจ้าว่าก็เป็นเรื่องปกติ การบำเพ็ญก็เหมือนการชะล้างทรายในคลื่นใหญ่ ทรายถูกร่อนออกไป ที่เหลืออยู่นั่นจึงเป็นทองคำ สามารถเหลือทองคำอยู่มากน้อยเพียงไร นั่นก็ต้องดูว่าแต่ละท่านบำเพ็ญอย่างไร 

 

เกี่ยวกับเอกสารเผยแพร่ฝ่าหลุนต้าฝ่าควรออกมามากสักหน่อย จะได้เผยแพร่ที่ศูนย์ฝึกฯ

การเผยแพร่ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา วิธีการถ่ายทอดพลัง(กง)ทั้งหมด ล้วนไม่เหมือนกับวีธีเผยแพร่ของชี่กงในปัจจุบัน ทุกท่านอาจเห็นแล้ว พวกเราไม่ได้นำเรื่องใดไปพูดขยายความจนเกินจริง และไม่ได้นำเรื่องอะไรออกมาโอ้อวด ไม่มีเรื่องอย่างนี้ อาจารย์ชี่กงคนอื่นหากรักษาโรคให้คนป่วยคนหนึ่งหาย เขาก็จะโฆษณาแล้วโฆษณาอีกจนกว่าจะไม่มีคนฟังเขาอีกต่อไป พวกเราไม่มีเรื่องอย่างนี้ พวกเราผู้ฝึกนับพันนับหมื่นคน พวกเขาล้วนแต่ไม่มีโรคแล้ว พวกเราก็ไม่เคยพูดอะไร ไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ แน่นอนในระยะแรก ทุกท่านอาจได้อ่านข่าวจากในหนังสือพิมพ์บ้าง เพราะเหตุใดหรือ เพราะในระยะแรก พวกเราเปิดตัวออกมาด้วยรูปแบบของชี่กงทั่วไป จะบรรยายในระดับสูงเช่นนั้น ผู้คนไม่อาจจะยอมรับได้ ดังนั้นพวกเราได้เดินผ่านขั้นตอนแรกของการให้คนรับรู้และเข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกท่านทราบ เมื่อตอนที่พวกเราเปิดชั้นเรียนที่ฉางชุนในระยะแรก ข้าพเจ้าได้บรรยายในระดับที่สูงมาก แต่ก็เอ่ยถึงชี่กงอยู่โดยตลอด พวกเราวันนี้ล่ะ เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดไปสู่ระดับชั้นสูงแล้ว จึงไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว นี่ก็คือขั้นตอนหนึ่งของการบอกให้คนรับรู้และเข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

โรงงานผลิตรถยนต์เป็นองค์กรที่มีพนักงานนับแสนคน หากเผยแพร่ดำเนินการได้ไม่ดีจะทำอย่างไร

 ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรานี้เดิมทีเผยแพร่ดำเนินการได้ค่อนข้างดีที่โรงงานผลิตรถยนต์แห่งนี้ ทุกท่านคงรู้เกี่ยวกับมารเหล่านี้ พวกเขารบกวนอย่างรุนแรง นั่นก็คือมาร แต่พวกเราพูดแล้วว่า เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่ประกอบเสริมซึ่งกันและกัน มีคนจำนวนเท่าใดสามารถบำเพ็ญ มีคนจำนวนเท่าใดไม่สามารถบำเพ็ญ นั่นก็ต้องดูแต่ละคน บอกว่าไม่มีการรบกวนจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ บอกว่าไม่มีคนรบกวน เช่นนั้นท่านมิบำเพ็ญได้ง่ายเกินไปแล้วหรือ?! หลักเต๋าใหญ่เรียบง่ายอย่างนี้ บำเพ็ญขึ้นไป ทุกข์ภัยอะไรก็ไม่มี นี่เป็นการบำเพ็ญที่ไหนล่ะ เป็นเช่นนี้หรือไม่  มีการทนทุกข์จึงจะสามารถมองเห็นว่าคนจะบำเพ็ญได้หรือไม่ จึงจะสามารถขจัดจิตยึดติดแต่ละชนิดของคนทิ้งไปได้ แต่มารนี้ใหญ่มากจริงๆ เขาได้ก่อผลในการบ่อนทำลายที่ใหญ่พอควรชนิดหนึ่ง ได้ทำลายคนกลุ่มใหญ่ไปกลุ่มหนึ่ง  เรื่องเหล่านี้เป็นที่รับรู้กันในระดับชั้นสูง ชีวิตชั้นสูงต่างก็รับรู้ จะจัดการอย่างไรล่ะ เพราะเรื่องบางอย่างต้องได้รับการยินยอมจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าชอบที่จะให้โอกาสแก่คนเขาอีกครั้ง แต่ดูแล้วโอกาสนี้ไม่อาจจะให้แล้ว ในอนาคตที่โรงงานรถยนต์แห่งนี้ คนที่ศึกษาต้าฝ่าจะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

            ผู้ฝึกบางคนเตรียมจะมาร่วมชั้นเรียน แต่จนแล้วจนรอดก็มาร่วมไม่ได้ ผู้ฝึกที่ฝึกช่วงเช้าและเย็นที่ศูนย์ฝึกฯ จะทำอย่างไร

ผู้ฝึกบางคนเตรียมจะมาร่วมชั้นเรียน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะเปิดสอนต่อไปเรื่อยๆ เปิดสอนต่อไปอีกสิบปี ก็ยังมีคนเตรียมจะมาร่วม พวกเรามีผู้ฝึกเก่ามากขนาดนี้ ยังมีหนังสือของข้าพเจ้า เทปบันทึกเสียงและเทปบันทึกภาพ ทั้งหมดล้วนสามารถส่งผลในการเผยแพร่ฝ่าและช่วยคนได้ ข้าพเจ้าไม่ต้องถ่ายทอดโดยตรงก็สามารถจะได้รับ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราทุกคนก็ทำด้านนี้ให้มากสักหน่อย ช่วยเหลือช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะคนในครอบครัวให้มาฝึกที่ศูนย์ฝึกฯ ข้าพเจ้าว่าผู้ช่วยฝึกสอนยิ่งสมควรจะรับภาระหน้าที่นี้ ภาระหน้าที่ของท่านไม่เล็กเลย อย่าเห็นว่าเป็นเพียงการบอกกล่าวให้คนมารวมกันเท่านั้น ต้องพยายามเข้าใจฝ่าให้มาก ศึกษาฝ่าให้มาก ยึดกุมสิ่งต่างๆ ให้มาก

ยังมีจุดหนึ่งข้าพเจ้าต้องพูดเป็นพิเศษ ที่ศูนย์ฝึกฯ ของเรา เมื่อปรากฏมีคนประเภทที่มีปัญหา  ออกนอกลู่นอกทาง จิตใจล่องลอย ล้วนแต่ได้ฝึกพลังกงอื่น ไม่ปล่อยวางการแสวงหาต่อพลังกงนั้นๆ นี่เป็นเรื่องแน่นอน ไม่ผิดแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน คนอย่างนี้ร้อยทั้งร้อยคือได้ฝึกสิ่งอื่น หรือเขากราบไหว้บูชาสิ่งอื่นไว้ในบ้าน ไม่ได้ปล่อยวาง นี่คือประการหนึ่ง  อีกประการหนึ่งคือฝ่าหลุนได้เปลี่ยนรูปไปแล้ว ก็คือได้ปะปนหลักพลัง(กง)อื่นในการฝึก หรือปะปนเข้าไปในจิตสำนึก สภาพการณ์สองแบบนี้ข้าพเจ้าสามารถบอกท่าน รับรองว่าเกิดจากสภาพการณ์แบบนี้ มีแต่สภาพการณ์สองแบบนี้ที่ฝ่าเซินของข้าพเจ้าโดยทั่วไปจะไม่ดูแล เพราะเขาฝึกพลัง(กง)อื่น เขาฝึกปะปนกัน เขาไม่ใช่คนของฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา ฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะไม่ดูแลเขา และไม่ให้ฝ่าแก่เขา มารยุ่งเหยิงเหล่านั้นเห็นเขามาฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า แน่นอนจะต้องสั่งสอนเขา ทำร้ายเขา    เขาจิตใจล่องลอย ยังจะบ่อนทำลายฝ่าหลุนต้าฝ่า จะเกิดปัญหานี้ มีบางคนตั้งใจจะฝึกแต่ฝ่าหลุนต้าฝ่า แต่ในความนึกคิดหรือในท่าเคลื่อนไหวของเขา เขาคิดแต่จะสัมผัสความรู้สึก เติมสิ่งอื่นเข้าไปสักหน่อย ในอดีตเคยฝึกพลัง(กง)อื่นแล้วมีความรู้สึก ครั้งนี้มาฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นแล้ว เขายังต้องการจะรู้สึก รับรองว่าเป็นอย่างนี้

 

ความหมายที่แท้จริงของชีวิตคนคือเพื่อจะมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่

บางคนยังมีความคิดเช่นนี้ บอกว่าฉันจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธเพื่ออะไรล่ะ พูดได้ว่ามีความรับรู้เข้าใจต่อพระพุทธน้อยมาก บอกว่าถ้าเขาบำเพ็ญจะมีประโยชน์อะไร ท่านอย่าเพิ่งหัวเราะ เขาไม่รู้จริงๆ บำเพ็ญพระพุทธเพื่ออะไรนะหรือ หนึ่งคือสามารถคงรักษาไว้ซึ่งร่างคนตลอดไป สองคือสามารถไม่ต้องประสบทุกข์ตลอดไป มีแต่ความดีงามตลอดไป หนึ่งชั่วชีวิตของคนนั้นแสนสั้น คงรักษาไว้ซึ่งร่างคนคือด้านหนึ่ง นอกจากนี้เขาจะไม่ต้องประสบทุกข์ ที่ซึ่งก่อเกิดชีวิตของท่านนั้นคืออยู่ ณ มิติที่สูงมากๆ ในจักรวาล (ท่าน)มาจากมิติของจักรวาล คุณสมบัติดั้งเดิม(อุปนิสัยดั้งเดิม) นั้นเป็นจิตใจดีงาม เป็นเพราะตัวเองเปลี่ยนจนไม่ดีไปแล้ว ตกลงมาถึงตรงนี้ทีละก้าวทีละก้าว รอคอยที่จะถูกดับสลายแล้ว เขาเป็นขั้นตอนเช่นนี้ ถ้าบอกว่ากลับไปทำไมล่ะ ที่ซึ่งท่านก่อเกิดอย่างแท้จริงอยู่ท่ามกลางมิติชั้นที่สูงมาก นั่นจึงจะเป็นที่ที่ดีงามที่สุด ที่ซึ่งท่านควรอยู่

            พูดด้วยคำพูดของผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงก็เหมือนคนตกลงมาในบ่อโคลนแล้ว ล้วนกำลังเล่นน้ำโคลนอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อคนมาก็เป็นเช่นนี้ ยังรู้สึกว่าดีทีเดียว คนต่างก็รู้สึกว่าดีมาก คลุกเคล้าไปมาอยู่ในน้ำโคลน เขายังรู้สึกสบายดี ดีทีเดียว เราจะยกตัวอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่จะด่าว่าคน พูดถึงหมูตัวนั้น นอนอยู่ในคอกหมู ทั้งอุจจาระทั้งปัสสาวะคลุกเคล้าอยู่ในดินโคลน อยู่ในเขตแดนของมัน  มันรู้สึกว่าดีทีเดียว คนอยู่ท่ามกลางเขตแดนนั้น เมื่อเขาเลื่อนระดับขึ้นมา หันกลับไปดู เขาไม่อาจจะทนดูได้แล้ว ก็คือหลักการนั้น คนเขาพูดว่าคนอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญก็คือคลุกเคล้าอยู่กับดินโคลน ทุกๆ ที่ล้วนแต่สกปรกมาก ก็คือความหมายนี้ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาดนี้ เขายังรู้สึกว่าตัวเองสะอาดกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง (เขา)ก็ดีกว่านิดหนึ่งแล้ว ในความเป็นจริงก็เป็นเพียงใช้น้ำโคลนไปล้างร่างกายที่แปดเปื้อนเต็มไปด้วยโคลนเลนเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าว่าก็ไม่อาจจะสะอาดได้สักเท่าใด

 

ความหมายที่แท้จริงของชีวิตคนคือบำเพ็ญสำเร็จ กลายเป็นพระพุทธ ใช่หรือไม่

ไม่ใช่กลายเป็นพระพุทธ คือกลับสู่ต้นกำเนิด คืนสู่ตัวตนที่แท้จริง(ฝันเปิ่นกุยเจิน) บำเพ็ญสำเร็จกลับไป นี่คือความหมายที่แท้จริง ชีวิตชั้นสูงมองกันเช่นนี้ แต่ท่านไปอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไปถามอาจารย์ในโรงเรียนของท่านในหมู่คนธรรมดาสามัญ เขาจะไม่บอกท่านเช่นนี้ เพราะคนธรรมดาสามัญเห็นเรื่องในหมู่คนธรรมดาสำคัญมากเกินไป เพราะเขามองไม่เห็นความเป็นจริงของจักรวาลเหล่านั้น มนุษย์ในปัจจุบันถูกความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากตะวันตก ครอบงำอย่างสมบูรณ์ทุกรูปแบบ ทำให้คนกลายเป็นวัตถุนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ใช้ทฤษฏีที่มีอยู่ปัจจุบันมาประเมินทุกสิ่ง มนุษย์ถลำลึกลงไปในหล่มของคนธรรมดาสามัญมากขึ้นเรื่อยๆ  

 

ในฝันเที่ยวหาห้องน้ำไปทั่วทุกที่จนพบอยู่ที่หนึ่ง ตื่นขึ้นมาได้หลั่งไปแล้ว

จะยกตัวอย่างหนึ่งให้ทุกท่านฟัง ภูเขาอู่ตังเป็นสถานที่ซึ่งเจินอู่หรือเสวียนอู่ – เสวียนอู่จักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ตามที่สายเต๋าเรียกกัน—บำเพ็ญ ที่ภูเขาอู่ตังข้าพเจ้าได้อ่านนิทานเกี่ยวกับการบำเพ็ญของเสวียนอู่เรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงขั้นตอนการบำเพ็ญของเขา ข้างในนั้นได้บรรยายเรื่องของเขาไว้ตอนหนึ่ง เขาบำเพ็ญเป็นเวลานานหลายปี ประมาณ 40 กว่าปี เขาบำเพ็ญถึงระดับชั้นที่สูงมากแล้ว มีวันหนึ่งในความฝัน ในดินแดนแห่งความฝันมารมารบกวนเขา ก็คือแปลงเป็นสาวงาม และไม่มีอาภรณ์ติดตัวสักชิ้น สุดท้ายในชั่วขณะที่เขาเคลิบเคลิ้มคุมสติไม่อยู่ เขาเกิดหวั่นไหวในอารมณ์ หลังจากนั้นเขาโกรธตัวเองมาก เขาเสียใจมาก เขาคิดการบำเพ็ญของฉันยังจะมีความหวังหรือ บำเพ็ญมาหลายปีอย่างนี้ยังไม่สำเร็จสักเรื่องหนึ่ง ยังควบคุมจิตใจตัวเองไว้ไม่ได้ ในใจคิดว่าไม่ไหวแล้ว ด้วยความโกรธจึงลงเขาไป ลงเขาลงมาถึงครึ่งทางเห็นป้าคนหนึ่งกำลังฝนเข็มอยู่ตรงนั้น ใช้แท่งเหล็กฝนให้เป็นเข็ม บางทีคนโบราณในสมัยนั้นต่างก็ฝนเข็มด้วยวิธีนี้

โอ้ เขาจึงถามป้าคนนี้: ทำไมท่านใช้แท่งเหล็กที่หนาขนาดนี้ฝนให้เป็นเข็มล่ะ ป้าบอกเขาว่า เวลานานเข้าย่อมจะฝนกลายเป็นเข็ม เจินอู่เข้าใจทันที ป้าคนนี้ฝนเข็มไปพลาง
ก็เทน้ำใส่ชามไปพลาง น้ำเทเต็มแล้ว เธอก็ยังคงเทลงในชามอีก เขาจึงพูดกับป้าว่า น้ำไหลออกมาแล้ว เธอพูดว่า เมื่อเต็มแล้วก็จะไหลออกโดยอัตโนมัติ ในความเป็นจริงเธอกำลังบอกเป็นนัยแก่เขา ความหมายของเธอบอกเขาว่า คนๆ หนึ่งอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ ท่านต้องไม่คิดมากจนเกินไปนัก ครั้งหนึ่งทำได้ไม่ดี ครั้งต่อไปก็จะทำให้ดี เป็นเพราะร่างคนล้วนมีสัญชาตญาณ เมื่อเต็มแล้วมันก็จะระบายออกเอง เธอบอกเป็นนัยแก่เขาความหมายนี้ ถึงแม้ข้างในนี้ได้เล่านิทานไว้เช่นนี้ แต่ก็ไม่สมบูรณ์นัก ดูเหมือนยังไม่ค่อยตรงประเด็นเสียทีเดียว แต่ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน เรื่องก็อาจเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนอย่างคำถามเมื่อครู่ อาจเป็นเรื่องเช่นนี้ก็ได้

 

ทุกครั้งที่ฝึกท่าจั่นจวง(ท่ายืนสมาธิ)หรือนั่งขัดสมาธิ พอเข้าสู่สภาวะการฝึกพลัง(กง) ทันทีก็ไม่อยากฝึกแล้ว พอหลังจากที่หยุดฝึกก็นึกเสียใจ

นั่นก็คือการรบกวนของมารที่เกิดจากใจตัวเอง ใจของคนธรรมดาสามัญก็สามารถเกิดมารได้ (การรบกวนของกรรมแห่งความคิด) เพราะเหตุใดหรือ เพราะสสารความคิดที่ไม่ดีเหล่านั้นซึ่งก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจ ในความคิดของท่านในอดีตล้วนแต่ส่งผลของการต่อต้าน ท่านบำเพ็ญได้ดีแล้วสสารที่ไม่ดีชนิดนี้ก็จะสลายไป ดังนั้นมันไม่ยอม มันจึงไม่ให้ท่านฝึก ทำไมเวลาท่านฝึกพลัง(กง)จึงวอกแวกอยู่เรื่อยล่ะ ในความคิด  คิดแต่ว่าไม่ฝึกแล้ว ลำบากอะไรอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะบอกท่านนะ ความคิดนั้นมีสาเหตุ ไม่มีมารภายนอกรบกวน ก็มีมารในตัวเองรบกวน เพราะเป็นผลที่เกิดจากสสารที่ไม่ดีเหล่านั้น สสารใดๆ ในมิติอื่นล้วนเป็นจิตวิญญาณ

ข้าพเจ้าเคยพูดเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ถ้าท่านจะบำเพ็ญ ก็ต้องสลายมันไป สลายมันไปแล้วท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จ ท่านจึงจะสามารถขจัดความคิดที่ไม่ดีนั้นทิ้งไป บางคนนั่งสมาธิไม่สามารถเข้าสู่ความสงบ ความคิดต่างๆ พากันออกมา ก็เป็นเพราะท่านมีสสารเหล่านี้คงอยู่ มันก็มีชีวิต มันก็คือสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมาในความคิดในอดีต ดังนั้นมันกำลังส่งผลรบกวน ท่านบำเพ็ญเสร็จแล้ว มันก็จะถูกดับสลาย สลายน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายดับสลายไปทั้งหมด มันจะยอมหรือ เมื่อท่านบำเพ็ญ มันจึงรบกวน

บางคนในความคิดยังจะด่าว่าอาจารย์ ด่าว่าต้าฝ่าของเรา แต่จะต้องแยกแยะให้ชัดเจน นั่นไม่ใช่จิตสำนึกหลักของตัวท่านเองที่ต้องการด่าว่า แต่เกิดจากกรรมแห่งความคิด สสารไม่ดีชนิดนี้ที่สะท้อนเข้าไปในความคิดของท่าน เมื่อใดที่มีปัญหานี้ปรากฏ ต้องยับยั้งมันทันที จิตสำนึกหลักจะต้องเข้มแข็ง ไม่ให้บำเพ็ญ ฉันก็จะบำเพ็ญ ขจัดมันไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าเซินของข้าพเจ้าเห็นว่าท่านมีความแน่วแน่ในความคิด ก็จะช่วยท่านสลาย(กรรม)ส่วนใหญ่ทิ้งไป ฉะนั้นท่านจะมีประสบการณ์เช่นนี้

 

ระดับชั้นของการฝึกพลัง(กง)ได้กำหนดไว้แล้ว แต่ต้าฝ่าไร้ขอบเขต ยังสามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธใหญ่ระดับสูงนั้น หมายถึงระดับชั้นที่ตัวเองบำเพ็ญถึงใช่หรือไม่ เช่นหลังจากบรรลุถึงอรหันต์แล้วตั้งปณิธานบำเพ็ญใหม่อีก

คนๆ หนึ่งบำเพ็ญถึงมรรคผลอรหันต์แล้ว เดิมทีกำหนดให้หยวนหมั่นที่มรรคผลอรหันต์ บอกไม่ได้ ฉันยังคิดจะบำเพ็ญสู่ระดับสูง ถ้าท่านมีความสามารถนั้นจริงๆ ท่านตั้งปณิธานใหม่อีก ยังสามารถบำเพ็ญสู่ระดับสูง ในอดีตมีคนเช่นนี้ แต่มีพบเห็นไม่มาก เหตุใดมีพบเห็นไม่มากนะหรือ เพราะโดยมากเมื่อจัดให้คนบำเพ็ญ ระดับชั้นที่จัดให้นั้นก็จัดตามสภาพร่างกายเขาแล้ว สสารแต่ละชนิดจะมากหรือน้อยคือกำหนดตามความสามารถแบกรับของตัวเอง ฉะนั้นโดยทั่วไปมีความคลาดเคลื่อนไม่มากนัก แต่ก็มีบางคนที่ดีเป็นพิเศษ สิ่งของบางชนิดของเขานั้นถูกปิดซ่อนไว้ ณ ระดับชั้นที่กำหนดจะมองไม่เห็น บางคนพบว่า หลังจากที่บำเพ็ญถึงระดับชั้นที่กำหนด เมื่ออาจารย์คนนั้นมองดูเห็นว่าไม่อาจจะดูแลได้แล้ว เขาก็ถอยออกไป ก็มีคนอื่นมารับมาดูแลต่อ ก็มีกรณีนี้ การนำพาไปสู่ระดับชั้นสูง ก็ไม่ต้องให้ตัวเองขอ เขาก็จะนำพาท่านไปสู่ระดับชั้นสูงเอง

 

มีวันหนึ่งฝันว่าได้พบอาจารย์หลี่ในฝัน อาจารย์พูดว่า กรณีของท่านค่อนข้างพิเศษ ความหมายดูเหมือนว่า ฉันมีบางด้านที่อาจจะใช้ไม่ได้ หลังจากนั้นอาจารย์หลี่ ปรับร่างกายให้ฉัน ฉันก็รู้สึกว่าที่ท้องน้อย ฝ่าเท้า ซวบ.....หนึ่งที

นี่เป็นเรื่องธรรมดาพื้นๆ นี่ไม่พูดว่าท่านไม่สามารถบำเพ็ญ คือในขั้นตอนการบำเพ็ญของท่าน ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก โดยทั่วไปฝ่าเซินสามารถแก้ไขได้ สภาพชนิดนี้ไม่ใช่ฝัน มันชัดแจ้งมาก ล้วนแต่สัมผัสได้ เนื่องจากกลางวันท่านมีสมาธิไม่เพียงพอ ขณะอยู่ในสมาธิท่านไม่สามารถมองเห็น ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นในฝัน ไม่เป็นไร การได้พบกับข้าพเจ้าในฝันเป็นเรื่องปกติ

 

เพื่อจะบำเพ็ญให้ดียิ่งขึ้น ในชีวิตประจำวันท่อง เจิน ซั่น เหริ่น อยู่ใจ ทำได้ไหม

ในชีวิตประจำวันท่อง เจิน ซั่น เหริ่น อยู่ใจ ไม่มีอะไรไม่ดี ไม่มีปัญหา เวลาฝึกพลังกงก็อย่าคิดสิ่งใด

 

 [หนังสือพิมพ์ฉางชุนฉบับเย็น] รายงานว่า ฤดูร้อนปีนี้ ปรมาจารย์ xxx ทิเบตบรรยายพระสูตร มีพระพุทธมีชีวิตใหญ่น้อยกว่าสองร้อยรูปเข้าร่วม จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร

พระสงฆ์ พระลามะก็เป็นคน พวกเขาชอบทำอะไรก็ทำอะไร สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธทำ และไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธบอกให้ทำ คนธรรมดาสามัญให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มาก ผู้บำเพ็ญจึงควรเข้าใจให้แจ่มแจ้ง บรรยายพระสูตรก็เช่นเดียวกัน เป็นเพียงกิจกรรมทางศาสนาประเภทหนึ่งของผู้บำเพ็ญเท่านั้นเอง นอกจากนี้ ยุคธรรมะปลายไม่มีอะไรจะบรรยายได้แล้วจะพูดถึงอีกปัญหาหนึ่ง ทุกท่านทราบ พระสงฆ์ก็ดี พระลามะก็ดีล้วนไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมือง คำสั่งของประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในหมู่คนธรรมดาสามัญ การเดินขบวน ก่อตั้งกระบวนการเป็นอิสระอะไรเอย ทุกท่านลองคิดดู การเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง เขาทำเรื่องเช่นนี้ไหม นี่ไม่ใช่จิตยึดติดในหมู่คนธรรมดาสามัญหรอกหรือ ให้ความสำคัญกับเรื่องของคนธรรมดาสามัญมากเกินไปแล้วไหม ก็พูดในสิ่งเหล่านี้ มันไม่ใช่จิตยึดติดที่ผู้บำเพ็ญต้องขจัดทิ้งไปหรอกหรือ ข้าพเจ้าว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรานี้เป็นดินแดนบริสุทธิ์ ข้าพเจ้ากล้าพูดเช่นนี้ ผู้ฝึกของเรามีข้อกำหนดซินซิ่งที่สูงมากนะ พวกเรากำหนดให้ผู้ฝึกเน้นหนักการบำเพ็ญซินซิ่ง ข้าพเจ้าว่าไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษ บุคคลตัวอย่างก็ดี ถึงอย่างไรเขาก็คือวีรบุรุษ บุคคลตัวอย่างในหมู่คนธรรมดาสามัญ แต่พวกเรากำหนดให้ท่านเป็นคนที่เหนือสามัญวิสัยคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง ละทิ้งผลประโยชน์ของตัวเองโดยสิ้นเชิง ทำเพื่อคนอื่นโดยสิ้นเชิง ผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงคนนั้นเขาอยู่เพื่ออะไร เขาอยู่เพื่อผู้อื่น จึงพูดว่า ข้อกำหนดของข้าพเจ้าต่อผู้ฝึกก็สูงมาก ผู้ฝึกก็ยกระดับสูงขึ้นได้รวดเร็วมาก

เราจะยกตัวอย่างให้ฟัง คำพูดของข้าพเจ้าเมื่อครู่ไม่ได้โอ้อวดเกินจริง ในพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ ไม่ว่าการประชุมระดับใหญ่ที่จัดโดยองค์กรการค้าหรืออุตสาหกรรม เวลามีของหายยากที่ท่านจะหาพบ แต่บางคนที่เป็นคนดียังคงมีอยู่ แต่เขาเป็นจำนวนส่วนน้อย ในชั้นเรียนฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา มีของอะไรหายล้วนสามารถหาพบ ชั้นเรียนทุกชั้นล้วนเป็นเช่นนี้ ชั้นเรียนที่มีจำนวนคนหลายพันคน นาฬิกาเอย สร้อยทองเอย แหวนเอย เงินทองเอยที่เก็บได้ในทุกชั้นเรียน ตั้งแต่มากถึงน้อย เงินทองมากหรือน้อยก็มี เป็นพันหยวนก็มี เก็บได้ก็ส่งขึ้นมา ข้าพเจ้าประกาศอยู่ตรงนั้น เจ้าของก็มารับ ผู้ฝึกก็พูดว่า สภาพการณ์อย่างนี้ เคยเห็นในยุคที่เลียนแบบเหลยฟง ปัจจุบันไม่เคยเห็นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว หลังจากจบชั้นเรียน ผู้ฝึกต่างสามารถกำหนดซินซิ่งด้วยตัวเอง รับผิดชอบเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม กำหนดตัวเองอย่างเข้มงวด ข้าพเจ้าว่าพวกเราตรงนี้เป็นดินแดนบริสุทธิ์ไม่ถูกต้องหรือ

 

มีผู้ฝึกได้ลองพลิกหนังสือชี่กงที่เรียกว่าพลัง(กง)ธรรมชาติอะไรสักอย่าง ในหนังสือโต้แย้งคนอื่นยกยอพลัง(กง)ของตัวเอง ดูแคลนฝ่าหลุนต้าฝ่า ผู้ฝึกดังกล่าวหลังจากอ่านได้สองหน้า ในพลัง(กง)(ของตัวเอง)มีเงาของสัตว์ของพลัง(กง)ดังกล่าวเคลื่อนไหวอยู่ ส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่สมาธิ(ของเขา)

เราพูดแล้วว่า สิ่งเหล่านี้อ่านไม่ได้ ท่านดูมันเพื่ออะไรล่ะ ศิษย์ที่บำเพ็ญจริงต่างก็นำสิ่งที่ปลอม สิ่งที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไปเผาทิ้งหมดแล้ว ท่านยังอ่านอีก นี่ไม่แตกต่างกันมากหรือ ท่านอ่านมันไม่ใช่มีจิตแสวงหาหรือ อย่าอ่านสิ่งที่เลอะเทอะยุ่งเหยิง หลักพลัง(กง)ที่แท้จริง คนเขาไม่ออกมาถ่ายทอด และไม่ดูแลสิ่งเหล่านี้ของท่านแล้ว อาจารย์ชี่กงที่เผยแพร่ชี่กงให้แพร่หลาย คนเขาได้ทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว เวลานี้ วันนี้มีพลัง(กง)อะไรออกมา พรุ่งนี้มีพลังกงอะไรออกมา ชี่กงเหล่านั้นล้วนแต่จอมปลอมโดยพื้นฐาน มันอยู่ข้างนอกก่อกวนและบ่อนทำลายฝ่าที่ถูกต้อง 

อาจารย์ชี่กงที่แจ่มแจ้งต่างก็ไม่ถ่ายทอดกันแล้ว ท่านถ่ายทอดอีก ท่านมิรบกวนฝ่าหรือ เรื่องที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว ได้สร้างคุณความดีที่ใหญ่แล้ว ถ้าท่านทำอีกก็คือการรบกวน ฉะนั้นโดยพื้นฐานอาจารย์ชี่กงปลอมที่ทำเพื่อเงินทอง เพื่อชื่อเสียง เพื่อผลประโยชน์ล้วนคือมาร ตัวเขาเองไม่รู้ตัวว่าเป็นมาร แต่ในชั้นเรียนพวกเราไม่ได้พูดให้เด็ดขาด โดยหลักคือกลัวว่าบางคนอาจจะยอมรับไม่ได้ ที่จริงโดยพื้นฐานล้วนเป็นมารที่กำลังรบกวน

 

ผู้ฝึกขณะเข้าสู่สมาธิ ฝึกพลัง(กง) มักจะมีความคิดที่ไม่ดีออกมา

ใช่ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไปเมื่อครู่ เนื่องจากในอดีตตัวเองได้ทำเรื่องที่ไม่ดีและได้ก่อเกิดความคิดแต่ละชนิด สสารเหล่านั้นล้วนแต่คงอยู่ สิ่งเหล่านั้นก็ก่อผล ท่านนั่งอยู่ตรงนั้นเวลาฝึกพลัง(กง) ความคิดที่ไม่ดีเหล่านั้น คิดจะด่าว่าคน และคิดเรื่องที่ไม่ดีอาจบังคับท่านให้คิด ก็คือสสารที่ไม่ดีซึ่งก่อเกิดในความคิดในอดีตยังบังเกิดผลอยู่ ยิ่งกว่านั้นยังจะด่าว่าอาจารย์ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ให้ท่านพยายามยับยั้งมัน ขับไล่มัน มันก็จะสลายไป จะต้องขับไล่ความคิดที่ไม่ดีชนิดนี้ เมื่อปรากฏออกมาก็ไม่ต้องกังวล นั่นไม่ใช่ท่านต้องการด่าว่าอาจารย์ แต่เป็นกรรมแห่งความคิดที่สะท้อนอยู่สมองของท่าน

 

เวลาที่ผู้ฝึกพลัง(กง)อยู่ในสมาธิ มักจะมีผู้ฝึกกับคนอื่นพูดถึงพลัง(กง)นั้นๆ เป็นพลัง(กง)ที่มีฟู่ถี่พังพอน(พลัง(กง)ที่มีตัวแฝงพังพอน) ตกกลางคืนผู้ฝึกดังกล่าวฝันว่ามีคนสอนเขาจุดธูป

ต่อไปคำพูดเหล่านี้ไม่ควรพูดกับคนที่ฝึกพลังกงเลอะเทอะยุ่งเหยิงเหล่านั้นโดยตรง ผู้ฝึกบางคนของเรามีเพื่อนฝูง เขาฝึกพลัง(กง)ที่มีฟู่ถี่ชนิดนั้น ท่านสามารถพูดกับเขาได้ไม่เป็นไร ดีที่สุดอย่าพูดตรงๆ ท่านไปพูดกับคนที่ไม่รู้จักและคนที่ฝึกว่าพลัง(กง)ชนิดนั้นไม่ดีอย่างไร แน่นอนเขาจะโจมตีท่าน รุมโจมตีท่าน กระทั่งพูดคำพูดที่ไม่ดี พวกเราต้องหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ พวกเราเตือนด้วยความหวังดี ถ้าเขาสามารถเข้าใจเขาก็จะเข้าใจ แต่พวกเราต้องพยายามเหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ คนเหล่านั้นที่เข้าสู่พลัง(กงปชนิดนั้น สำนักนั้น อยู่ในนั้นก็ไม่อยากออกมา เขาได้เข้าสู่สำนักนอกรีตและหนทางชั่วร้ายแล้ว คุณสมบัติดั้งเดิมของเขาหลงทางและสูญหายไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดคือจิตรับรู้ไม่ดี ถ้าคนเหล่านั้นหันกลับมา ย่อมเป็นเรื่องดี ถ้าไม่หันกลับมา ให้ท่านพยายามเตือนก็ทำไม่ได้ อย่างไรก็ตามให้ระมัดระวังกลยุทธและวิธีการสักหน่อย ระมัดระวังเรื่องเหล่านี้สักหน่อยเป็นใช้ได้ สิ่งชั่วร้ายทำร้ายท่านไม่ได้

 

บางคนถ่ายภาพของอาจารย์และนำไปทำปฏิทินขายให้ผู้ฝึกตามราคาทุน ไม่บวกกำไรแม้แต่แดงเดียว สามารถทำได้ไหม

เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ บอกว่าผู้ฝึกคนนี้ของเราดีมาก อาสาทำเรื่องนี้ให้กับทุกท่าน โดยหลักการก็ไม่ได้ฝ่าฝืนอะไร แต่ตรงนี้มีประเด็นของการแลกเปลี่ยนเงินทอง ถึงแม้เป็นราคาทุนก็เกี่ยวพันกับเงินทองแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ ต้องไม่แตะต้องเงินทอง เพราะถ้าท่านแตะต้องเงินทองแล้ว ทำไม่ดีนานๆเข้า ในใจจะสูญเสียความสมดุล ทำเรื่องเหล่านี้เรื่อยๆ ก็จะมีความคิด: นี่ฉันก็ยังไม่คิด ค่าเดินทางของฉันจะคิดจากในนี้ดีหรือไม่ บอกว่าฉันเข้าเนื้อตรงนี้นิดหน่อย ควรจะบวกเข้าไปดีไหมนะ มันจะส่งเสริมจิตยึดติดแต่ละชนิดของคน อย่างช้าๆ ก็จะควบคุมสิ่งนี้ไม่อยู่ ฉะนั้นต้องระมัดระวังเรื่องเหล่านี้

ทุกท่านทราบไหมทำไมพวกเราไม่ให้พวกท่านแตะต้องเงินทอง องค์ศากยมุนีเมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อนเพื่อไม่ให้คนแตะต้องเงินทองและสิ่งของ นำพาทุกคนเข้าป่าไปบำเพ็ญ มีเพียงบาตรหนึ่งใบ ยังแสดงธรรมครั้งหนึ่งเกี่ยวกับบาตรใบนี้ แม้แต่บาตรก็ยึดติดไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ถ้าจัดการได้ไม่ดีก็จะรบกวนคนอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญของคน ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องระวังให้ดี พระเยซูในเวลานั้นไม่ใช่นำพาคนไปถึงที่ใดก็รับประทานอะไรเท่าที่หาได้หรอกหรือ ไม่แตะต้องเงินทองหรอกหรือ ข้าพเจ้าก็พูดถึงเรื่องนี้เป็นการยกตัวอย่าง พวกท่านอาจไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้งเช่นนั้น ข้าพเจ้าต้องเดินให้ถูกต้องเที่ยงตรง ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะสอนให้ท่านทำเช่นนี้ได้  ผ่านไปหลายปีในภายหน้าคนจะพูดว่า ในช่วงเวลาของหลี่ หงจื้อก็มีคนทำเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นฝ่านี้ยังจะสามารถถ่ายทอดได้หรือ มันก็จบลงนานแล้ส ผ่านไปไม่นานก็จะจบลงแล้ว มีคนอยากได้รูปถ่าย อยากได้ ท่านเอาไปถ่ายเอง ท่านเอาไปล้างเองดีแล้ว แต่พวกเราพยายามคงไว้ในหมู่ผู้ฝึก ในอนาคต สิ่งเหล่านี้ พวกเราอาจนำออกจำหน่ายในสังคม เพราะแม้แต่ปฏิทินที่มีภาพของข้าพเจ้าก็มีหมายเลขทะเบียนของผู้จัดพิมพ์แล้ว ในอนาคตพวกเราต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเอกภาพ อย่าได้ตัดสินใจเองเป็นอันขาด จัดการไม่ดียังจะบ่อนทำลายต้าฝ่า

จะขายอย่างไรละ ขายเท่าทุนก็ไม่ได้ อย่าได้เกิดจิตยึดติดชนิดนี้ ไม่มีประโยชน์ บำเพ็ญและยกระดับตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบนี้เสมอไป บอกให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับฝ่า พูดกับทุกคนเกี่ยวกับฝ่าสักเล็กน้อยจะดีกว่าสิ่งอื่น ซินซิ่งของคนยกระดับสูงขึ้นดีกว่าสิ่งที่เป็นรูปแบบภายนอกอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ให้สมาคมค้นคว้าวิจัยฝ่าหลุนกงจัดการดูแลอย่างเป็นเอกภาพ ศูนย์ใหญ่ ศูนย์สาขา ศูนย์ช่วยฝึกสอนก็ไม่อนุญาตให้แตะต้องเงินทอง พวกเราสมาคมค้นคว้าวิจัยฝ่าหลุนกงจะทำเรื่องอะไรก็ต้องได้รับความยินยอมจากข้าพเจ้าก่อนพวกเขาจึงจะทำ การทำสิ่งใดเพื่อชื่อเสียง จุดประสงค์ส่วนตัว ล้วนทำไม่ได้ เป็นการระเมิดสิทธิ(ของเรา) กฎหมายของสังคมก็ไม่อนุญาต

 

มีคนคิดจะบำเพ็ญซินซิ่งให้ดีๆ แต่ในชีวิตประจำวันไม่มีสิ่งที่สัมผัส(ยั่วยุ)ถึงจิตใจเขา และไม่เคยฝัน เป็นกังวลว่าอาจารย์ไม่ดูแลเขาแล้ว

อันนี้ไม่ใช่ เพราะแต่ละคน สิ่งที่เขามีติดตัวและสภาวะของตัวเขาล้วนต่างกัน สิ่งที่เขามีติดตัวอาจจะมีความซับซ้อน แน่นอนข้าพเจ้าสามารถยกตัวอย่างให้ทุกท่าน ไม่ใช่พูดถึงใครคนใดคนหนึ่ง คนบางคนมาจากระดับชั้นที่ค่อนข้างสูง เขาไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ เขามาเพื่อกลืนกลายกับฝ่านี้ เมื่อกลืนกลายเสร็จแล้วก็นับว่าจบเรื่องของเขาแล้ว และมีคนเช่นนี้ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่น้อยมากๆ แต่อาจจะไม่ใช่สภาพการณ์แบบที่ท่านพูดถึง ข้าพเจ้าพูดในความหมายนี้ คนจำนวนมากอาจมีองค์ประกอบแต่ละชนิดคงอยู่ แต่ไม่ว่าท่านต้องทนทุกข์หรือไม่ก็ตาม การกลืนกลายกับฝ่านี้ ศึกษาฝ่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

มีผู้ฝึกไม่น้อยฝันเห็นอาจารย์สอนท่าพลัง(กง)ที่ไม่ใช่ท่าจากพลัง(กง)ห้าชุด ควรทำอย่างไร

ไม่ใช่ท่าเคลื่อนไหวจากท่าพลัง(กง)ห้าชุด นั่นก็คือมารมาสอนท่าน นั่นล้วนเป็นของปลอม ไม่ใช่ข้าพเจ้าที่สอนท่านอย่างแน่นอน ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้ทุกท่านในวันนี้ก็คือพลัง(กง)ห้าชุดนี้ สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายของท่านและฝึกสิ่งที่เป็นศาสตร์กับสิ่งที่มีรูปลักษณ์ทั้งหมดออกมา พลัง(กง)คือสิ่งที่กำหนดระดับชั้นสูงหรือต่ำอย่างแท้จริง ไม่ใช่เกิดจากการฝึกออกมา มันเพียงพอที่ใช้แล้ว ฝึกพลัง(กง)ในฝัน เมื่อในสมองตระหนักรู้แล้วก็อย่าฝึก หากฝึกนี่คือซินซิ่งยังไม่ค่อยแน่นแฟ้น ถ้าแน่นแฟ้นเพียงแต่คิดเท่านั้นก็ตระหนักรู้แล้ว

 

ถ้าแม้นมีคนเสียชีวิตไปโดยที่ยังไม่หยวนหมั่นจะทำอย่างไร

บำเพ็ญไม่หยวนหมั่น ไม่บรรลุหยวนหมั่น เขาอยู่ ณ มรรคผลนั้น ได้มรรคผลแล้ว เขาก็บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ถ้าแม้นยังไม่พ้นจากฝ่าในภพ เช่นนั้นก็ลำบาก แต่ยังไม่พ้นจากฝ่าในภพ เขาสามารถไปยังที่ของเขาซึ่งอยู่ในมิติของระดับชั้นที่แตกต่างกันภายในสามภพ เขาบำเพ็ญถึงระดับชั้นใดก็อยู่ ณ ระดับชั้นนั้น ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากเขาบอกว่า เช่นนั้นไม่ได้ ฉันยังบำเพ็ญไม่เสร็จ ฉันตั้งปณิธานจะบำเพ็ญต่อในชาติหน้า เช่นนั้นก็ส่งผลให้เขาเข้าสู่สภาพของการบำเพ็ญจริงๆ ในชาติหน้า ยังจะบำเพ็ญต่อไป แต่มีจุดหนึ่ง ถ้ายึดกุมไม่ดีเป็นเรื่องอันตรายมาก บำเพ็ญได้ไม่ดีอีก ยังจะตกลงไปเช่นเดิม ยังจะแย่กว่าเดิมอีก ถ้าบำเพ็ญได้ดี ก็จะดีกว่าเดิม เขามีความสัมพันธ์เช่นนี้คงอยู่

 

ในขั้นตอนของการบำเพ็ญซินซิ่ง กลัวว่าตัวเองจะทำผิดอยู่ทุกเวลานาที ใช้ฝ่าประเมินอยู่เสมอ ยังคงมีเรื่อง ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ 

เวลาทำเรื่องอะไรก็กังวล ข้าพเจ้าคิดว่าอย่าได้ยึดติดขนาดนั้น เป็นการยากที่จะจัดความสัมพันธ์นี้ คิดมากไปเป็นความยึดติด คิดน้อยไปล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเรากลัวทำอะไรผิด ข้าพเจ้าคิดว่าก็ไม่ต้องถึงกับทำให้ความคิดเกิดความตึงเครียดอย่างนั้น ฉะนั้นเวลาที่พวกเราทำเรื่องอะไร เรื่องทั่วๆ ไป พอทำก็รู้แล้วว่าดีหรือไม่ดี และท่านก็ไม่ควรมีเรื่องอะไรมากมายเช่นนั้น ปล่อยวางเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องต่างๆ ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน พวกเราต้องไตร่ตรอง ไตร่ตรองว่านี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี ถ้าคิดอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ทำเรื่องอะไรก็คิดอยู่อย่างนั้น เรื่องเล็กๆ ก็คิด ข้าพเจ้าว่านั่นก็คือจิตใจยึดติดเกินไปแล้ว ให้บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย มองไปที่เรื่องใหญ่ๆ แน่นอนในขั้นตอนของการบำเพ็ญ เรื่องที่ฉันยังไม่เข้าใจ ทำผิดไปแล้ว ยึดกุมได้ไม่ดี ข้าพเจ้าคิดว่านั่นคือท่านยังบำเพ็ญไม่ถึงตรงนั้น เรื่องบางอย่างท่านยังไม่ตระหนัก ท่านก็อย่ายึดติดจนเกินไป ถึงเวลาที่ควรขจัดจิตนี้ไป มันก็จะสะท้อนออกมาโดยอัตโนมัติ

 

บำเพ็ญจิตและชีวิตควบคู่กันรวมเข้ากับหยวนอิง ถูกต้องไหม

ก็คือท่านบำเพ็ญจิตและชีวิตควบคู่กัน การเปลี่ยนแปลงของเปิ๋นถี่ (ร่างแท้) และหยวนอิงที่บำเพ็ญ เมื่อถึงเวลาก็จะรวมเข้ากับจิตหลัก รวมเป็นร่างเดียวกัน

 

รับประทานเนื้อสัตว์มีกรรมไหม

รับประทานเนื้อสัตว์โดยตัวเองไม่มีกรรม และไม่มีแนวคิดของ การฆ่าชีวิตคงอยู่ รับประทานเนื้อสัตว์โดยตัวเองไม่ใช่จิตยึดติด รับประทานเนื้อสัตว์อาจส่งเสริมให้คนมีจิตยึดติดต่อความอร่อยของเนื้อสัตว์

 

ทุกคนในร่างกายมีเต๋อ(กุศล)อยู่จำกัด การบำเพ็ญพลัง(กง)ไปสู่ระดับสูงเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ หลังจากเปิดพลัง(กง) เปิดการรับรู้แล้วยังสามารถสะสมเต๋อ ยกระดับได้อีกไหม

เต๋อ(ของคน)นั้นมีจำกัด หลังจากเปิดพลัง(กง) เปิดการรับรู้แล้วไม่สามารถยกระดับให้สูงขึ้นอีกอย่างแน่นอนแล้ว เพราะหลังจากเปิดพลัง(กง)แล้ว อะไรคนๆ นี้ก็มองเห็นแล้ว อะไรก็สัมผัสได้แล้ว อะไรก็เข้าใจแล้ว จึงไม่มีการรับรู้คงอยู่แล้ว ถ้าไปทนทุกข์ทนลำบากแล้วสามารถบำเพ็ญได้สูงโดยเข้าใจแจ่มแจ้ง เช่นนั้นใครจะไม่ทำล่ะ พระพุทธองค์นั้นบำเพ็ญต่อไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ทำไมเขาจึงบำเพ็ญได้ช้ามากแล้ว ก็คือเขาแทบจะไม่มีวิธีทนทุกข์แล้ว เขาได้แต่ต้องทุ่มเทอุทิศเป็นพิเศษ เขาจึงจะยกระดับสูงขึ้นได้เล็กน้อยเท่านั้น ข้างในนี้มีความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งเช่นนี้ บอกว่าเต๋อมีไม่พอแล้ว เต๋อไม่พอยังมีกรรมนี่นะ หลังจากทนทุกข์แล้ว กรรมยังสมารถแปลผันนี่ แปลผันเป็นเต๋อใช่ไหม ถ้ายังสามารถบำเพ็ญต่อไปอีกจริงๆ บอกว่าฉันยังสามารถบำเพ็ญ ยังคิดจะบำเพ็ญ ไปรับเอากรรมของญาติสนิทมิตรสหายมา ท่านสลายไปแล้วยังสามารถเปลี่ยนเป็นเต๋อ อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยาก เพราะมันกับปริมาณที่รับได้ของซินซิ่ง จิตใจของคนนั้น ประกอบเสริมซึ่งกันและกัน ฉะนั้นเมื่อถึงขั้นนั้นบรรจุเต็มแล้ว บรรจุไม่เข้าแล้ว มันมีปรากฏการณ์เช่นนี้ คนที่ทนทุกข์ต่อไปอีกก็อาจเนื่องจากปริมาณที่รับได้ไม่พอแล้วเปลี่ยนเลวลง ตกลงไป บำเพ็ญโดยเปล่าประโยชน์

 

องค์ศากยมุนีเปิดพลังกงแล้ว เหตุใดใช้เวลาถ่ายทอดฝ่าถึงสี่สิบเก้าปีจึงบรรลุระดับยูไล

คนที่มาจากระดับชั้นที่สูงมากๆ คนหนึ่ง เลยจากระดับยูไลหลายๆ เท่า เขาต้องบำเพ็ญ บางทีหลังจากเปิดพลัง(กง)อาจไม่ต้องใช้เวลาสี่สิบเก้าปี ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของขั้นตอน หรือขั้นตอนที่สั้นกว่านั้นก็สามารถบรรลุเขตแดนที่สูงมาก นี่เกี่ยวข้องกับเกินจี(รากฐาน)ของเขา และเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับชั้นที่เขาอยู่ และเกี่ยวข้องอย่างมากกับระดับชั้นที่เขาอยู่ในชาติก่อน แต่ละคนล้วนไม่อาจถือเป็นสูตรตายตัว

 

องค์ศากยมุนีใช้เวลาสี่สิบเก้าปีบรรลุระดับชั้นพระยูไล ใครแปรผันพลังกงให้พระองค์ พระองค์จัดเป็นประเภทรับรู้โดยฉับพลัน หรือค่อยๆ รับรู้

พระองค์จัดเป็นประเภทรับรู้โดยฉับพลัน พระองค์มาเพื่อช่วยเหลือคน ไม่ใช่มาบำเพ็ญ ใครแปรผันพลัง(กง)ให้พระองค์นะหรือ ไม่มีใครแปรผันพลัง(กง)ให้พระองค์ ใครก็ตามที่ลงมาทำเรื่องเช่นนี้ ก่อนจะลงมา ต้องถกเรื่องนี้ร่วมกับผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงมากมาย พระองค์ดูการกำหนดเรื่องนี้ที่พระองค์ต้องทำในภายหลัง เมื่อกำหนดเสร็จแล้ว ก็ดำเนินการตามแผน เมื่อใดเปิดพลัง(กง) เมื่อใดหยวนหมั่น เมื่อใดเสร็จสิ้นภารกิจ นี่ล้วนแต่กำหนดไว้แล้ว พระองค์ก็ไม่ใช่เปิดพลัง(กง) เปิดการรับรู้อย่างที่พวกเราพูดกัน ท่านอาจยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็คือในทันทีทันใดความทรงจำของพระองค์ก็เปิดออกแล้ว พระองค์จึงระลึกถึงสิ่งของที่พระองค์บำเพ็ญในอดีต พระองค์จึงนำออกมาถ่ายทอดให้แก่คน ข้าพเจ้าว่าฝ่าที่องค์ศากยมุนีถ่ายทอดในเวลานั้น ฝ่าของศาสนา ฝ่าของพุทธศาสนานั้นไม่สูง ตรงนี้ไม่ใช่จะพูดว่าองค์ศากยมุนีไม่สูง เพราะองค์ศากยมุนีก็ไม่ได้นำสิ่งของทั้งหมดของพระองค์ออกมาถ่ายทอดทั้งหมด พระองค์ถ่ายทอดโดยมีเป้าหมายต่อคนที่เพิ่งออกจากสังคมดึกดำบรรพ์ คนประเภทนี้เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อน นั่นไม่ใช่ฝ่าทั้งหมดของพระองค์

 

พลัง(กง)จะแปรผันในขณะนั่งสมาธิเท่านั้นหรือ   หรือในเวลาเดียวกับ        การยกระดับของซินซิ่ง

ขณะนั่งสมาธิ ขณะฝึกพลัง(กง) ขณะทนทุกข์ ขณะประสบทุกข์ภัย ล้วนกำลังแปรผันพลัง(กง) ขั้นตอนของการยกระดับซินซิ่งก็กำลังเพิ่มพลัง(กง)ที่กำหนดระดับชั้นสูงหรือต่ำของคน

 

มีคนบอกว่ากวนซื่ออิน (พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร) สำเร็จเป็นพระพุทธแล้ว

อย่าเชื่อคำพูดเลอะเทอะที่คนอื่นพูด ข้าพเจ้าจะบอกกับทุกท่าน สังคมมนุษย์ที่ได้มาถึงยุคธรรมะปลาย เหล่าผู้สำเร็จธรรมต่างวางมือไม่ดูแลแล้ว และไม่อนุญาตให้พวกเขาดูแลแล้ว ไม่เพียงแต่วางมือไม่ดูแลสังคมมนุษย์แล้ว ยิ่งกว่านั้นในช่วงปลายกัลป์พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาวะที่ลำบากมากแล้ว แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ ในระดับชั้นที่พวกเขาอยู่ก็เกิดปัญหา ข้าพเจ้าเคยพูดกับทุกท่านเมื่อก่อน ข้าพเจ้าว่าปัจจุบันไม่มีคนดูแลแล้ว ข้าพเจ้าไม่ใช่พูดเรื่องที่เขย่าขวัญ ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน เรื่องเหล่านี้ถูกต้องอย่างยิ่ง ท่านกราบไหว้พระพุทธก็ดี ท่านกราบไหว้รูปลักษณ์ของศาสนาก็ดี บนนั้นอะไรก็ไม่มี บางรูปอาจมีเงาคงเหลืออยู่บ้าง แต่นอกจากจะสามารถพูดแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้ นี่คือช่วงปลายกัลป์แล้ว ถึงช่วงเวลานี้ก็เป็นเช่นนี้

ปัจจุบันพระโพธิสัตว์กวนอินที่คนเข้าใจคือพระโพธิสัตว์กวนอินที่คนกราบไหว้เมื่อหลายปีก่อน พลัง(กง)ของพระโพธิสัตว์กวนกินในความเป็นจริงยังสูงกว่าพระพุทธยูไล พระพุทธอาหนีถอฝอ(อมิตตพุทธ)เล็กน้อย เพราะพระโพธิสัตว์ใหญ่ก็คือพระพุทธแล้ว แต่พระองค์ยังบรรลุไม่ถึงเขตแดนของพระยูไล แต่พระองค์มีพลัง(กง)บางส่วนที่สูงเลยพระยูไล เพราะสิ่งที่พระองค์บำเพ็ญคือพระโพธิสัตว์ พระองค์ทำในเรื่องของพระองค์ ข้างในนี้มีหลักการที่ลึกซึ้งมากมายที่ไม่อาจจะบอกกล่าวได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สมควรให้มนุษย์ล่วงรู้ ไม่เหมือนอย่างที่พวกเราคิด และไม่เหมือนความสัมพันธ์ของระดับชั้นแบบนั้นของคนธรรมดาสามัญ นี่เป็นคนละเรื่องกัน

 

มีคนบอกว่าพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ในโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุน มีบางองค์สูงกว่าพระพุทธของโลกอื่นๆ เป็นเช่นนี้หรือ

อันนี้อาจจะพูดเช่นนี้ได้ พระพุทธในโลก(สวรรค์)บางแห่งอาจสูงกว่าพระพุทธในโลก(สวรรค์)บางแห่ง ซึ่งถูกต้อง เพราะระดับชั้นก็กำหนดตำแหน่งของโลก(สวรรค์)ของพระพุทธด้วย พระพุทธในระดับชั้นของพระยูไล ถ้านำพาคนจำนวนมากบรรลุมรรคผลพระพุทธด้วยแล้ว คนเหล่านี้ก็มีทั้งระดับสูงและต่ำ ในโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุนโดยรวมก็มีปรากฏการณ์ชนิดนี้คงอยู่เช่นกัน พูดกันว่าพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ในโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุนสูงกว่าพระพุทธในโลก(สวรรค์)อื่น (เพราะ)ระดับชั้นของโลก(สวรรค์)ฝ่าหลุนนั้นสูงมากๆ ฝ่าที่พวกเราถ่ายทอดวันนี้นั้นใหญ่มาก ไม่ได้จำกัดให้ถ่ายทอดอยู่แต่ในโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุน สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกกล่าวให้คนรับรู้คือโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุน แต่สิ่งที่สูงเลยจากโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุนก็ไม่อาจจะบอกกล่าวให้คนรับรู้ได้ เพราะไม่อนุญาตให้คนรู้ ข้าพเจ้าว่าคนจำนวนมากตระหนักแล้วว่าฝ่านี้เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมากๆ ผู้สำเร็จธรรมจำนวนมากๆ ก็มากลืนกลายฝ่านี้ เขาไม่ใช่ฝ่าทั่วๆ ไป เขานำพาให้คนบำเพ็ญได้สูงมากๆ จุดนี้ยืนยันได้ ไม่ใช่ว่าการบำเพ็ญของแต่ละคนล้วนจำกัดอยู่ในโลก(สวรรค์)ของฝ่าหลุน นี่ก็เป็นสิ่งที่แน่นอน องค์ศากยมุนี พระพุทธอาหนีถอฝอ(พระอมิตตพุทธ)ก็ไม่ได้บอกว่าใครที่บำเพ็ญอยู่ในวิชาของพระองค์ก็จะไปยังที่ของพระองค์ทั้งหมด หรือไปที่ใด สูงเลยจากอาณาเขตของพระองค์แล้ว ก็อาจจะไปที่อื่น

 

มีมาตรฐานสำหรับความสูงของพลัง(กง)ไหม เมื่อบรรลุอรหันต์ การบรรลุมรรคผลอรหันต์ขั้นต้นนั้นกำหนดโดยซินซิ่งกับความสูงของพลัง(กง)ไหม

ระดับชั้นของอรหันต์เป็นมาตรฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งกำหนดโดยพระพุทธของโลก(สวรรค์)ต่างๆ

ระดับซินซิ่งของผู้ฝึกสูงหรือต่ำและรูปแบบการแปรผันของพลัง(กง)ทั้งหมดของเขานั้นเหมือนกัน ล้วนต้องบรรลุถึงขั้นนี้คือถูกทดแทนด้วยสสารพลังงานสูงทั้งหมด มันเสริมและประกอบซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เน้นย้ำแล้ว ปัญหาเหล่านี้ผู้ช่วยฝึกสอนก็ควรจะเข้าใจได้แล้ว การเดินสู่การบำเพ็ญฝ่านอกภพมิใช่การบำเพ็ญร่างพุทธหรอกหรือ การบำเพ็ญฝ่านอกภพ  ท่านมีร่างพุทธแล้ว ร่างพุทธเป็นร่างกายที่ถูกทดแทนด้วยสสารพลังสูงโดยสิ้นเชิง การเดินสู่ฝ่านอกภพเข้าสู่ร่างขาวบริสุทธิ์มิใช่ร่างโปร่งใสที่ทั่วทั้งร่างถูกสสารพลังงานสูงทดแทนแล้วหรือ บำเพ็ญต่อไปอีกนั่นมิใช่ร่างพุทธแล้วหรือ และมิใช่เข้าสู่มรรคผลอรหันต์ขั้นต้นแล้วหรือ ก็เป็นเช่นนี้

 

ร่างชีวิตที่ก่อเกิดในร่างกาย เช่นมังกรเป็นต้น อยู่ภายในวัฎสงสารหกทางไหม

ภายในวัฏสงสารก็มีสิ่งมีชีวิตบางส่วน ภายนอกวัฏสงสารหกทางก็มีสัตว์คงอยู่ ในระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีกก็มี โดยทั่วไปมันไม่สามารถบำเพ็ญขึ้นไป มันก่อเกิดอยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาตินั้น คนที่บำเพ็ญอยู่ในระดับชั้นสูง ชีวิตที่ก่อเกิดในร่างกายจะเป็นของท่าน เช่นมังกรเป็นต้น และก็จะตามท่านขึ้นไปสู่ระดับชั้นสูงพร้อมกับที่ท่านหยวนหมั่น

 

ร่างชีวิตที่ก่อเกิดในร่างกายมีข้อกำหนด ต้องบำเพ็ญหนทางใดหรือไม่ ผู้บำเพ็ญเต๋าถ้าหากยึดมั่นบำเพ็ญหนึ่งเดียว สามารถจะบำเพ็ญพุทธไหม

อันนี้ไม่มีกำหนดไว้อย่างเจาะจง บอกว่าท่านนั้นบำเพ็ญพุทธแล้วท่านก็บำเพ็ญเต๋า นี่ก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าอาจารย์ในวิชานั้นในระยะแรกจะไม่ปล่อยท่าน เมื่อไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาก็จะไม่ดูแลท่านแล้ว บอกว่าท่านตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะบำเพ็ญให้จงได้ เขาก็จะไม่ดูแลท่านแล้ว ถ้าบำเพ็ญโดยเหยียบเรือสองแคม เป็นเช่นนั้นไม่ได้ อาจารย์ข้างไหนก็จะไม่ดูแลท่าน นี่คือปัญหาของซินซิ่ง นี่คือปัญหาการบ่อนทำลายทั้งสองวิชา

 

มีคนถูกลิขิตให้บำเพ็ญหนทางชั่วร้าย(หนทางนอกรีต)หรือไม่

มี มีคนเจาะจงออกมาในช่วงธรรมะปลายเพื่อบ่อนทำลายฝ่า ใช้รูปแบบต่างๆ จากภายนอกอาจโจมตีฝ่าหลุนต้าฝ่าอย่างเปิดเผย โจมตีข้าพเจ้าอย่างเปิดเผย พวกเราผู้ฝึกล้วนแต่แยกแยะได้ มารชนิดนี้มันไม่น่ากลัว ชี่กงปลอมก็ไม่น่ากลัว พวกเราผู้ฝึกสามารถวินิฉัยแยกแยะได้แล้ว เวลานี้อย่างน้อยที่สุดทุกท่านล้วนสามารถสงบจิตใจลงมาตรึกตรองว่ามันคือของจริงหรือปลอม หลังจากเข้าใจแล้ว ก็จะไม่ไปเรียนแบบหลับหูหลับตาเหมือนที่ผ่านมา

ที่แยกแยะได้ลำบากที่สุดก็คือมารชนิดนี้ มันมีกำลังบ่อนทำลายที่ใหญ่มาก มันก็มาศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่า และพูดว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าดี พูดอย่างตื่นเต้นยิ่งกว่าคนอื่นเสียอีก มีความรู้สึกแรงยิ่งกว่าคนอื่น ยังมองเห็นรูปลักษณ์อะไรบางอย่าง หลังจากนั้นอยู่ๆ เขาก็ตายไป หรืออยู่ๆ เขาเดินไปยังหนทางตรงกันข้ามและบ่อนทำลายฝ่าหลุนต้าฝ่า ก็คือคนประเภทนี้ที่แยกแยะได้ลำบากที่สุด ด้วยเหตุที่แยกแยะได้ลำบาก จึงเป็นการบ่อนทำลายที่ใหญ่ที่สุด รูปแบบการบ่อนทำลายของมันจึงจัดเตรียมไว้เช่นนี้ ก็ลิขิตให้เขาทำอย่างนี้ เขาจะทำทุกสิ่งที่จะก่อปัญหาความยุ่งยากให้ใหญ่โต มารที่มีสามารถบ่อนทำลายใหญ่ ที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ก็จัดอยู่ในประเภทนี้

 

พระโพธิสัตว์ตี้จ้างสามารถบำเพ็ญสำเร็จพระพุทธไหม

พระโพธิสัตว์ใหญ่อาจเรียกได้ว่าเป็นพระพุทธแล้ว พระโพธิสัตว์ใหญ่ ท่านพูดถึงอ๋องตี้จ้างหรือ พระโพธิสัตว์ตี้จ้าง คนเขาก็เรียกพระองค์เป็นพระพุทธ คือความหมายนี้ แต่พระองค์ทำเรื่องประเภทนั้นของพระองค์

 

จิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)ของคนมาอย่างไร

นี่ข้าพเจ้าก็พูดไปแล้ว ชีวิตดั้งเดิมก่อเกิดขึ้นจากผลของการเคลื่อนไหวของสสารที่ใหญ่มหึมาแต่ละชนิดในจักรวาล

 

มีคนถ่ายทอดข้อมูลทางสายเล็ก

อย่าฟังคนเขาถ่ายทอดข้อมูลทางสายเล็กเหล่านี้ โดยเฉพาะคือส่งผลกระทบต่อฝ่าของข้าพเจ้า บ่อนทำลายภาพลักษณ์ของฝ่าของพวกเรา ทุกท่านก็อย่าถ่ายทอดต่อ มาถึงท่านก็หยุดเลย ทุกๆ คนต่างทำอย่างนี้ มันไม่มีที่ถ่ายทอดต่อไป

 

การวิจารณ์ความสำเร็จและความผิดพลาดของคนอื่นเป็นการก่อกรรมหรือไม่

ความดีกับความไม่ดี ความสำเร็จกับความผิดพลาดในหมู่คนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าคิดว่าการเป็นผู้ฝึกพลัง(กง)คนหนึ่งควรปล่อยวางให้เบาบางสักหน่อย เรื่องราวของคนธรรมดาสามัญท่านอย่าได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเช่นนั้น ท่านสนใจและยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ หรือท่านอยากจะบำเพ็ญล่ะ ในหมู่คนธรรมดาสามัญก็มีเรื่องราวเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าพูดแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องราวในหมู่คนธรรมดาสามัญก็เป็นเพียงเรื่องราวเหล่านั้น พูดไปพูดมา นั่นมิเท่ากับคนธรรมดาสามัญกำลังพูดเกี่ยวกับคนธรรมดาสามัญหรือ

 

หลังจากคนเปิดการรับรู้แล้วก็ไม่อาจจะบำเพ็ญขึ้นไปอีก แต่องค์ศากยมุนีเปิดการรับรู้ใต้ต้นโพธิ เหตุใดยังสามารถบำเพ็ญขึ้นไปอีกล่ะ

เมื่อคนหยวนหมั่นแล้วก็ไม่อาจจะบำเพ็ญขึ้นไปอีก เปิดการรับรู้ก็คือหยวนหมั่นแล้ว องค์ศากยมุนีในเวลานั้นพระองค์อยู่ในสภาวะการรับรู้กึ่งเปิด แต่ความทรงจำบางส่วนของพระองค์เปิดแล้ว แต่ยังมีอีกมากมาย มากมายที่ยังไม่เปิด ยังมีอีกมากมายที่พระองค์ยังไม่รู้ พระองค์จึงสามารถบำเพ็ญขึ้นไปได้ อะไรพระองค์ก็รู้ทั้งหมดแล้ว พระองค์ก็ไม่อาจจะบำเพ็ญขึ้นไปได้แล้ว พระองค์ใช้เวลาสี่สิบเก้าปีถ่ายทอดฝ่า เนื่องจากพระองค์บำเพ็ญบรรลุระดับชั้นของพระยูไลแล้ว และเนื่องจากสภาวะการรับรู้กึ่งเปิดของพระองค์บรรลุถึงระดับที่สูงมาก การรับรู้กึ่งเปิดของพวกเราจะไม่บรรลุระดับที่สูงเช่นนั้น เนื่องจากองค์ศากยมุนีมาเพื่อช่วยคน แต่สำหรับคนบางคน ข้าพเจ้ายังคงเน้นย้ำ คนบางคนอาจบรรลุระดับที่สูงมากเนื่องจากสถานการณ์ของแต่ละคนล้วนต่างกัน

 

หลังจากที่คนตายไป ความสัมพันธ์ทางญาติก็ไม่คงอยู่แล้ว จิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)(ของพวกเขา)ไปคนละทาง เหตุใดกุศล(เต๋อ)และกรรมของบรรพบุรุษสามารถสะสมไปยังรุ่นลูกหลาน

ใช่ จักรวาลนี้มีหลักการเช่นนี้ มันก็เป็นหลักการของการควบคุมคน ท่านก่อกรรมแล้ว ท่านตายไป ลูกหลานของท่านจะต้องชดใช้กรรม ฉะนั้น(คน)จะสร้างความผาสุขให้แก่คนรุ่นหลัง เขาอยากจะหาเงินทองเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ตัวเองรู้ว่าใช้ได้ไม่มาก เหลือให้คนรุ่นหลังได้เสวยสุข เขาเห็นเรื่องต่างๆ ในโลกเป็นเรื่องสำคัญ เห็นครึ่งหลังของชีวิตของเขาเป็นเรื่องสำคัญ กระทั่งชื่อเสียงหลังจากเขาตายไปแล้วเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้เขาไม่อยู่แล้ว เขายังเห็นชื่อเสียงตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เขามีเหตุปัจจัยอันนี้ ดังนั้นเขาจะสะสมกรรม สะสมกรรมไปยังรุ่นหลัง 

 

กล่าวกันว่าคนๆ หนึ่งสำเร็จเป็นพระพุทธ บรรพบุรุษเก้ารุ่นจะขึ้นสวรรค์

พวกเราบางคนได้ทำสิ่งที่เป็นมหากุศล หรือบำเพ็ญได้ดี พ่อแม่อาจสบโอกาสได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นไปเลย แต่จะได้รับการช่วยเหลือขึ้นไปถึงระดับชั้นใด นั่นต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายแต่เดิมของพ่อแม่เขา นอกจากนี้สภาพการบำเพ็ญของพวกเราล้วนส่งผลต่อพวกเขา บรรพบุรุษสะสมกุศลย่อมได้ความสุขตอบสนอง คนพูดว่าคนๆ หนึ่งฝึกพลัง(กง) บรรพบุรุษสะสมกุศล: บอกว่าท่านบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธแล้ว พ่อแม่ของท่านจะสะสมบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ แต่มีน้อยมากที่ออกพ้นสามภพ เขาเพียงแต่ได้สะสมกุศล ได้ทำเรื่องที่ดี มีลูกชายคนหนึ่งอย่างท่านเช่นนี้ มีลูกสาวคนหนึ่งอย่างท่านเช่นนี้ เขาก็นับว่าได้สะสมกุศลแล้ว เนื่องจากมีเหตุปัจจัยเช่นนี้คงอยู่ แต่บอกว่าพ่อแม่ก็จะสำเร็จเป็นพระพุทธด้วยเหตุนี้ นั่นเป็นไม่ได้ นั่นต้องบำเพ็ญ เขาเป็นได้แต่เพียงชีวิตหนึ่งของระดับชั้นต่างๆ บนสวรรค์ที่เสวยสุข ไม่มีเรื่องบรรพบุรุษเก้ารุ่นขึ้นสวรรค์ นี่เป็นการพูดแบบสะเปะสะปะ

 

มีอยู่คืนหนึ่งนอนหลับฝันเห็นพ่อและแม่ฝึกบำเพ็ญ โดยฉีกใบกระดาษต่างๆ ที่กราบไหว้ในบ้าน กระดาษเหล่านั้นเกิดไหม้ขึ้นมาเอง เนื่องจาก(ในฝัน)คนในครอบครัวไม่ฟังคำเตือน ฉันอยากจะหาท่านอาจารย์ และแล้วก็เห็นท่านอาจารย์เดินมา จึงเรียนสถานการณ์ให้ทราบ พ่อและแม่จุดไฟเผากระดาษใบหนึ่งซึ่งกระดาษใบนั้นก็ไหม้ ภายหลังคนๆ นั้นที่เห็นก็ไม่ใช่อาจารย์แล้ว ใส่เสื้อผ้าของคนฆ่าชำแหละสัตว์ ยืนอยู่ที่ตลาดกำลังขายเนื้อ มือถือลำโพง ฉันจึงร้องไห้

นี่เป็นมารอย่างแน่นอน บอกเป็นนัยว่ากำลังด่าคน ป้ายชื่อของมารตนนี้ถูกเผาไป ถูกฆ่าตายไป ความหมายนั้นก็คือคนฆ่าชำแหละสัตว์กำลังฆ่าคน ก็คือความหมายนี้ เพราะมันก็มีความสามารถบ้าง ดังนั้นมันสามารถแปรผันสิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้คนสับสน เหตุใดวันนี้มารเหล่านี้ต้องชำระสะสางให้หมดจด ทุกท่านลองคิดดู ก็เหมือนที่ข้าพเจ้ายกตัวอย่างผลแอปเปิ้ล สังคมมนุษย์มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่มนุษย์ สสารและสัตว์เหล่านั้น ล้วนนำกรรมติดตัวไปสู่วัฏสงสาร มันล้วนมีกรรมและใหญ่มาก ท่านอย่าเห็นว่ามันรู้จักบำเพ็ญเป็นต้น เรื่องของมนุษย์ไม่สามารถจะให้สัตว์เหล่านี้รบกวน ควบคุมครอบงำเป็นอันขาด พวกมันได้ส่งผลกระทบเช่นนี้ นี่ก็เป็นการฝ่าฝืนหลักการสวรรค์แล้ว มารใหญ่ผู้ทรยศก็สมควรฆ่าให้ตาย นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในยุคธรรมะปลาย มันบำเพ็ญมีพลัง(กง)สูงขึ้นสักเล็กน้อยก็ควรฆ่ามันแล้ว ปัจจุบันยุ่งเหยิงสับสนโดยแท้

ข้าพเจ้าเคยพูด สิ่งที่คนเข้าใจว่าเป็นหลักการ เมื่อถึงระดับชั้นสูงมองดูล้วนแต่ผิด ผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงมองจากระดับชั้นสูง ภูตผีปีศาจเหล่านี้ล้วนวิ่งเข้ามาในสังคมมนุษย์ คนไหนคิดจะเอาสิ่งของในร่างกายคนก็เอา คิดจะดูแลคนก็ดูแล มันยังรู้สึกว่าได้ทำความดี รักษาโรคให้คน รักษาอะไร การรักษามันไม่ใช่เอาสิ่งหล่านั้นของมันใส่เข้าไปในร่างกายคนหรือ พูดได้ว่านั่นก็เป็นการทำความชั่วแล้ว

 

เกี่ยวกับที่ผ่านมา สัตว์ในยุคโบราณเหล่านั้นที่พวกเราค้นพบ

บอกว่าสัตว์ในวันนี้มาจากการวิวัฒนการ ข้าพเจ้าว่าไม่ใช่เลย จากการปรับเปลี่ยนของผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปต่างๆ และวงจรการวิวัฒนาการของยุคสมัยต่างๆ พันธุ์ของสิ่งมีชีวิตได้เปลี่ยนไป ถ้าผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปต่างๆ ของเราในวันนี้จมลงไป และผืนแผ่นดินใหญ่ต่างๆ ข้างใต้มหาสมุทรแปซิฟิค มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแอตแลนติกโผล่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จะมีสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้น จะมีพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตก่อเกิด เช่นนั้นถ้ามันจมลงไปอีก ก็ยังจะก่อเกิดสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่ๆ แผ่นดินผืนนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นแผ่นดินผืนนั้นอีกครั้ง ผ่านเวลาไปหลายๆ ปี แล้วเปลี่ยนแผ่นดินผืนนี้ขึ้นมาใหม่ เช่นนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตพันธุ์ดั้งเดิม มันยังจะก่อเกิดสิ่งมีชีวิตพันธุ์ที่ใหม่กว่า ฉะนั้นเมื่อมันเป็นเช่นนี้ คนเขาจึงพูดว่าเป็นการวิวัฒนาการ โดยแท้จริงไม่ใช่กรณีนั้น เช่นนั้นเหตุใดท่านค้นไม่พบสิ่งที่อยู่ช่วงระหว่างกลางขั้นตอนของกระบวนการวิวัฒนาการล่ะ ล้วนแต่มองเห็นพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในสองรูปแบบที่คงอยู่ต่างกัน ในขณะที่รูปแบบระหว่างกาลไม่มีคงอยู่

 

ผู้บำเพ็ญหลังจากสำเร็จเป็นพระพุทธ ร่างกายใดที่สำเร็จเป็นพระพุทธ คือร่างที่แท้จริง(เจินถี่)หรือ หรือคือร่างที่อาจารย์ให้

ในอดีต ผู้บำเพ็ญในนิกายจิ้งถู่ เขาไม่เน้นการบำเพ็ญร่างกาย สอนแต่การบำเพ็ญซินซิ่งเท่านั้น โดยเฉพาะคือในวิชาที่ไม่นั่งสมาธิบำเพ็ญจริงเหล่านั้น เช่นนั้นร่างพุทธ(ฝอถี่)ของเขานั้นจะผันแปรให้โดยพระพุทธที่รับและนำพาเขา เวลาที่มารับและนำพาเขาก็จะให้ร่างพุทธ(ฝอถี่)แก่เขา แต่คนที่นั่งสมาธิบำเพ็ญจริงอย่างแท้จริงเหล่านั้น เขาสามารถบำเพ็ญหยวนอิง(กุมารฟ้า)ออกมาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ในวิธีบำเพ็ญที่พิเศษเฉพาะของสายเต๋าและสายพุทธบางวิธี สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเอง ให้บรรลุถึงการบำเพ็ญจิตและชีวิตควบคู่กัน และยังสามารถบำเพ็ญสิ่งอื่นๆ ออกมา โดยจิตหลักของตัวเองควบคุมทุกสิ่ง

 

จิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)เป็นสสารพลังงานสูงใช่ไหม

ไม่อาจจะเข้าใจกันเช่นนี้ จิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)ของท่านนั้นประกอบขึ้นโดยสสารที่จุลทรรศ์ที่สุด เล็กที่สุด และดั้งเดิมที่สุด อุปนิสัยของท่าน เอกลักษณ์ของท่านได้กำหนดไว้แน่นอนแล้วในสสารดั้งเดิม ฉะนั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ชาติแล้วชาติเล่าก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่คุณสมบัติดั้งเดิมนั้นดีงาม 

 

พระเยซูคริสต์มาเพื่อช่วยโปรดคนที่มาจากโลกบนสวรรค์ของพระองค์หรือ

เป็นคำพูดที่ไม่ผิด เพราะชนชาติในยุโรป ชนชาติที่ดั้งเดิมที่สุดล้วนมาจากมิติที่พิเศษเฉพาะตรงนั้นของพวกเขา ที่ตรงนั้นของเขามีสภาพการณ์ที่พิเศษเฉพาะของเขาตรงนั้น

 

ก่อนที่ฉันจะเรียนฝ่าหลุนต้าฝ่า ได้พบท่านในฝัน เรื่องเป็นอย่างไร

ก่อนเรียนต้าฝ่า มีคนจำนวนมากที่เห็นข้าพเจ้า หลายปี หลายสิบปีที่แล้วก็มีคนรู้จักข้าพเจ้าแล้ว ก็มีคนเห็นข้าพเจ้าในฝัน นี่ก็มีจำนวนมาก ยังมีคนที่ทำนายดวงชะตาบอกกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อนเป็นต้น นี่เป็นการสะท้อนของมิติที่ต่างกัน

 

ลูกของฉันบอกว่าเคยเห็นท่าน และรู้จักท่าน

รากฐาน(เกินจี)ของเด็กคนนี้ไม่เลวทีเดียว เด็กพูดไม่ผิด เด็กบางคนนั้นมีที่มาที่ไม่ธรรมดาและมาเพื่อได้ฝ่า

 

เต๋อ(กุศล) พลัง(กง) และเจิน ซั่น เหริ่น (ความจริง ความเมตตา ความอดทน) เป็นสสารประเภทเดียวกัน ใช่หรือไม่

เจิน ซั่น เหริ่นไม่สามารถจะเข้าใจว่าเป็นสสารทั่วๆ ไป ไม่ใช่แนวคิดเดียวกัน แต่สิ่งใดๆ ล้วนประกอบขึ้นโดยสสาร แต่มันไม่ใช่แนวคิดอย่างนี้ มันก็เหมือนกับจิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)ของคนเรา ท่านบอกว่ามันกับร่างกายของคนเราประกอบขึ้นจากสสารอะไร ก็เหมือนคำถามที่ข้าพเจ้าหยิบยกขึ้นมาเมื่อครู่ มันไม่ถูกต้อง แต่สสารใดๆ ล้วนเป็นวัตถุ ที่คงอยู่อย่างแท้จริงคือคุณสมบัติพิเศษชนิดนี้ และเป็นปรากฏการณ์ของฝ่า ขณะที่เต๋อและพลัง(กง)ก็ปรากฏในรูปแบบของสสาร แต่ล้วนไม่ใช่สสารประเภทเดียวกัน แต่ก็ล้วนกลืนกลายเข้ากับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล เจิน ซั่น  เหริ่น

 

ต้นหอม ขิง กระเทียม กินได้หรือไม่

วันนี้พวกเราบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญไม่ได้กำหนดเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ในการมุ่งบำเพ็ญเป็นหลักของพวกเรา พระสงฆ์ในอนาคตต้องงดสิ่งนี้ คนที่ต้องนั่งสมาธิบำเพ็ญจริงเป็นกลุ่มกับทุกคนก็กินไม่ได้ ในอดีตเพราะมันเคยรบกวนผู้บำเพ็ญ จึงมีการหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมา ต้นหอม ขิง กระเทียมสามารถกระตุ้นประสาทของคน ดังนั้นกินบ่อยๆ ก็จะติด ไม่กินก็อยาก เกิดจิตยึดติดได้ สิ่งเหล่านี้ต้องปล่อยวางให้เบาบาง พูดถึงว่าทำสุกแล้วนั่นไม่มีปัญหา มันไม่มีกลิ่น ต้นหอมสับเล็กๆ ได้ พวกเราดูจากความหมายในทางปฏิบัติ เพราะในสมัยนั้นองค์ศากยมุนีไม่ให้กิน ก็เพราะมันรบกวนผู้บำเพ็ญ กลิ่นที่โชยออกมาแสบจมูกคนมาก ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่สมาธิได้ ในเวลานั้นพระสงฆ์สิบคน แปดคนนั่งล้อมเป็นวง นั่งสมาธิ เมื่อกลิ่นนี้โชยออกมา ทุกคนใครก็ไม่สามารถเข้าสู่สมาธิ เพราะการนั่งสมาธิบำเพ็ญจริงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นการงดสิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นเรื่องที่เข้มงวด

 

เต๋อ(กุศล) พลัง(กง)กับเจิน ซั่น เหริ่น (ความจริง ความเมตตา ความอดทน) เป็นสสารประเภทเดียวกันไหม

เต๋อ(กุศล)เป็นสสารสีขาวชนิดหนึ่ง เป็นสสารที่พิเศษชนิดหนึ่ง กรรมก็เป็นสสารที่พิเศษชนิดหนึ่ง สำหรับพลัง(กง) นั่นเป็นสสารชนิดหนึ่งที่เลื่อนระดับขึ้นจากเต๋อ และยังก่อเกิดขึ้นโดยได้ผสมผสานกับสสารอื่นของจักรวาล เจิน ซั่น เหริ่น (ความจริง ความเมตตา ความอดทน) คือฝ่า คือคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่ง ไม่อาจจะเข้าใจด้วยแนวคิดที่เป็นสสารทั่วๆ ไป มันเป็นสิ่งที่เหนือสสาร

 

ร่างที่ไม่เสื่อมถอยจะเข้าใจอย่างไร

ออกพ้นฝ่าในภพแล้วก็คือร่างที่ไม่เสื่อมถอย ร่างพุทธ จะเสื่อมถอยได้หรือ เขาประกอบขึ้นจากสสารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุดในจักรวาล จักรวาลไม่เสื่อมถอย เขาก็ไม่เสื่อมถอย

 

คนที่บำเพ็ญปฏิบัติฝ่าหลุนต้าฝ่า สุดท้ายล้วนไปโลกฝ่าหลุนทั้งหมดหรือไม่

โลกฝ่าหลุนของข้าพเจ้าไม่อาจจะบรรจุได้ทั้งหมดหรอกนะ มีแต่คนที่ได้มรรคผลถูกต้อง(เจิ้งกั่ว)และหยวนหมั่นเท่านั้นจึงจะไปได้ บอกว่าบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าแล้วก็ไปโลกฝ่าหลุน ปัจจุบันมีคนเป็นพันๆ ล้านคนหนา ในอนาคตจะมีคนเรียนต้าฝ่ามากยิ่งขึ้น คนจะทวีมากขึ้นและบำเพ็ญต่อไปชาติแล้วชาติเล่า ไปโลกฝ่าหลุนกันทั้งหมดคงจะบรรจุได้ไม่หมด คนที่บำเพ็ญไม่หยวนหมั่นอาจจะไปมิติชั้นสูงก็สวยงามด้วย ในหมู่ผู้ฝึกของเรา มีคนส่วนใหญ่มาจากระดับชั้นต่างๆ กัน หลังจากได้ฝ่าแล้วก็จะกลับไปยังโลกเดิมของตัวเอง

 

หลานสาวดิฉันห้าขวบเข้าร่วมชั้นเรียนสองครั้ง ขึ้นมาฝึกพลัง(กง)ในฝันบ่อยๆ ผู้ใหญ่พูดกับเธอ เธอไม่สนใจ เป็นปกติหรือไม่ เธอยังเห็นท่านอาจารย์สอนให้รู้จักตัวหนังสือ สอนวาดภาพบ่อยๆ และเห็นท่านอาจารย์อยู่ในอวกาศและบนเมฆหลากสี

ที่ฝึกคือฝ่าหลุนต้าฝ่า ก็คือปกติ เป็นเด็กที่มีรากฐาน(เกินจี)ดี อย่าให้เด็กฝึกพลัง(กง)ที่เลอะเทอะต่างๆ เป็นอันขาด อย่าทำลายเด็ก เด็กประเภทนี้ล้วนมาเพื่อได้ฝ่า อย่าให้เด็กทำเรื่องที่ไม่ดีเป็นอันขาด ทั่วประเทศมีเด็กอย่างนี้เป็นจำนวนมาก

 

การรับผู้ฝึกใหม่ มีมาตรฐานอย่างไร

ไม่มี ใครที่สามารถจะฝึกก็ให้ฝึกได้ แน่นอนควรจะบอกให้รู้ว่ามีโรคสองชนิดที่ไม่สามารถจะบำเพ็ญ นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้ากำหนดไว้ผู้ป่วยด้วยโรคที่รุนแรงนั้นมีกรรมหนักมาก และไม่สามารถบำเพ็ญ ผู้ป่วยด้วยโรคประสาทมีกรรมแห่งความคิดมาก จิตหลักไม่แจ่มชัดไม่สามารถบำเพ็ญ

 

การบำเพ็ญในหมู่คนธรรมดาสามัญ องค์ประกอบของโมเลกุลในร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นพวกเราออกจากฝ่าในภพ องค์ประกอบของโมเลกุลในร่างกายก็เปลี่ยนแปลงแล้ว ใช่หรือไม่

ในระหว่างการบำเพ็ญท่านไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากออกจากฝ่าในภพแล้ว เช่นนั้นท่านยังจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรล่ะ อยู่ในช่วงฝ่าในภพ ท่านก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง ยกระดับสูงขึ้นทีละก้าว ทีละก้าว เมื่อเดินออกจากฝ่าในภพ โดยหลักก็เปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว

 

ในทีวีมีการแสดง “เรื่องของต๋าหมอ” บอกผู้ฝึกไม่ให้ดู ถูกต้องหรือไม่

เรื่องนี้ไม่เป็นไร ผู้ฝึกจะดูมันเป็นนิทาน จะไม่ลอกเลียนแบบ คนในปัจจุบันท่านไม่สอนฝ่าให้เขา เขาก็จะไม่เรียนอย่างแน่นอน แม้แต่พระสงฆ์รูปนั้นในพุทธศาสนานั่งอยู่ตรงนี้ จะพูดอย่างไรเขาก็จะไม่เรียน เรื่องนี้ไม่เป็นไร เพราะเวลาจัดสอนพวกเราก็เคยเน้นย้ำแล้ว นิกายฉันจงก็ไม่คงอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่ปัจจุบันไม่คงอยู่แล้วเท่านั้น ถึงผู้นำรุ่นหกฮุ่ยเหนิงก็ไม่มีแล้ว ภายในไม่กี่ร้อยปีก็ไม่มีแล้ว ที่เหลือสืบทอดมาคือประวัติศาสตร์ ท่านดูพระสงฆ์ของฉันจงปัจจุบันดูอะไรล่ะ พระสูตรของพระอาหนีถอฝอเขาก็เอาออกมาอ่าน สิ่งที่เป็นของฉันจงไม่มีเหลือแล้ว ฝ่าของฉันจงไม่มีเหลืออยู่ในโลกแล้ว ที่จริงยุคธรรมะปลายอะไรก็ไม่เหลือแล้ว ไม่เพียงแต่ฝ่าของฉันจงเท่านั้น

 

บางคนไม่เคยเข้าร่วมชั้นเรียนแต่ร่วมฝึกพลัง(กง) ซื้อหนังสือและตราสัญญาลักษณ์ฝ่าหลุน ต่อมาภายหลังก็ไม่ฝึกแล้ว หนังสือ ตราสัญญาลักษณ์ ควรจะนำคืนมาหรือไม่

เขาซื้อไปแล้วก็ถือว่าซื้อไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ เพราะเขาจ่ายเงินแล้ว พวกเราก็ไม่มีวิธีการบริหารจัดการใดๆ ในระยะแรกข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยที่นำสิ่งเหล่านี้ออกมา ที่นำออกมาในเวลานี้เนื่องจากผู้ฝึกและศิษย์ร้องขอ ได้แต่เป็นเช่นนี้ 

 

เวลาฝึกท่า “อุ้มหลุนบนศีรษะ” รู้สึกว่าศีรษะหนักมาก เงยศีรษะไม่ขึ้นเป็นเพราะอะไร

ไม่ต้องไปสนใจ ศีรษะหนักไม่ใช่เป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป บำเพ็ญจนมีกงจู้(เสาพลัง(กง))ออกมา มันก็มีน้ำหนัก มีความรู้สึก ถ้าข้างบนมีลูกบอลแสงลูกใหญ่ออกมา มันก็จะกดทับท่าน ถ้าข้างบนมีพระพุทธนั่งอยู่ก็จะยิ่งกดทับท่าน อย่าไปสนใจว่าข้างบนนั้นมีอะไรอยู่ การฝึกพลัง(กง)ก็เป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเรื่องดี หลายสิ่งหลายอย่างจะปรากฏออกมา ณ ส่วนยอดของศีรษะของคน การฝึกชี่ยังจะมีเสาชี่ใหญ่อันหนึ่งปรากฏออกมาอีกด้วย

 

เวลาถูกทดสอบในฝัน จะตอบสนองได้ดีกว่าเวลาตื่น เป็นจิตรองหรือไม่

แน่นอนทำได้ดีทีเดียวแล้ว ไม่ใช่จิตรอง จิตรองทำอะไรจะไม่ให้ท่านเห็น ท่านก็จะไม่รู้ด้วย นั่นคือตัวท่านเอง

 

เมื่อบำเพ็ญถึงระดับชั้นร่างขาวบริสุทธิ์ขึ้นไป ร่างกายจะไม่ตอบสนองต่อความเย็น ร้อน ไม่รู้สึกชา บวมเป็นต้น ใช่หรือไม่

ก็จะมีปฏิกิริยาบ้าง เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งต่างๆ ของระดับชั้นที่ต่างกันซึ่งปรากฏออกมาในร่างกายของท่าน สภาวะของความรู้สึกไม่สบายเหมือนป่วยเป็นโรคจะน้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ข้าพเจ้าจะบอกพวกท่าน เหล่าจวินผู้สูงส่งได้พูดไว้เช่นนี้ ในหนังสือของสายเต๋าก็ได้กล่าวไว้เช่นนี้ไม่ว่าจะบำเพ็ญได้สูงถึงเพียงไร ทำไมรู้สึกทรมานเช่นนี้ เพียงเพราะอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ

 

ฝ่าหลุนต้าฝ่ากับศาสนาขัดแย้งกันหรือไม่

ในประวัติศาสตร์พวกเราไม่เคยเดินเข้าสู่ศาสนา ปัจจุบันพวกเราส่วนใหญ่บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ เขาจึงไม่ใช่ศาสนา จุดประสงค์ของศาสนาหนึ่งคือบำเพ็ญปฏิบัติ หนึ่งคือช่วยเหลือคน บอกให้คนทำความดี ให้ศีลธรรมคงอยู่ในโลกมนุษย์อย่างยั่งยืน นี่คือสองเรื่องที่เขา(ศาสนา)ทำ พวกเราบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญก็สามารถบังเกิดผลเช่นนี้ แต่พวกเราไม่มีรูปแบบประเภทนี้ของศาสนา ในอนาคตจะมีศิษย์ที่มุ่งบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นหลัก แต่ปัจจุบันพวกเรายังไปไม่ถึงขั้นนี้ จะปฏิบัติกับปัญหานี้อย่างไร ปัจจุบันก็มีพระสงฆ์บำเพ็ญต้าฝ่าแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ฝ่าของพวกเรานี้มีประโยชน์ต่อสังคม มีประโยชน์ต่อคน พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของสังคม ไม่ฝ่าฝืนนโยบายของรัฐบาล พวกเราไม่ทำในเรื่องเหล่านี้ ไม่มีผลร้ายต่อประเทศชาติ ต่อคนธรรมดาในสังคมและต่อเรื่องใดๆ มีแต่ผลดีเท่านั้น

 

เวลาที่ฉันนั่งสมาธิบ่อยครั้งที่รู้สึกเหมือนเลื่อนลงไปข้างล่างเหมือนลงบันไดเลื่อน ตัวเองเปลี่ยนจนเล็กมากๆ ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร

นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะจิตต้นกำเนิด(จิตหลัก)นั้นเล็กมากๆ และก็อาจจะเปลี่ยนจนใหญ่มากๆ ฉะนั้นเวลาคนฝึกพลัง(กง) ร่างกายจะขยายออกสู่ภายนอก ฉะนั้นบางคนจะรู้สึกว่า(ตัวเอง)สูงเทียมฟ้ายืนอยู่บนดิน บางคนรู้สึกว่า(ตัวเอง)เล็กมากๆ ล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ แต่มีจุดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเมื่อได้ทำเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักก็จะรู้สึกว่า(ตัวเอง)ตกสู่เบื้องล่าง นั่นคือระดับชั้นต่ำลงมาแล้ว ปริมาณความจุของร่างกายก็หดเล็กลง

 

หลายเดือนมานี้ มักจะฝันว่าฉันกับญาติๆ ที่อยู่รอบตัวบางคนกำลังทำงานยุ่งอยู่ด้วยกันในที่ที่เฉอะแฉะเต็มไปด้วยโคลนเลนและลื่นมาก

นี่ก็คือคนที่อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ คนเขามองว่ามนุษย์นั้นคลุกอยู่กับดินโคลนน่ะ

 

บำเพ็ญปฏิบัติฝ่าหลุนต้าฝ่าจนได้เจิ้งกั่ว(มรรคผลถูกต้อง)นั้น จะต้องนำเปิ๋นถี่(ร่างแท้)ไปด้วย ใช่หรือไม่

วิธีบำเพ็ญของเรานี้กำหนดให้นำเปิ๋นถี่ไปด้วยเมื่อ(เขา)หยวนหมั่น ถ้าไม่สามารถนำเปิ๋นถี่ไปด้วย ร่างกายนี้บรรลุไม่ถึงรูปแบบชนิดนี้ก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุใดหรือ เพราะพวกเราล้วนสามารถบรรลุได้ถึง แทบทุกคนที่บำเพ็ญอย่างแท้จริงล้วนสามารถบรรลุได้ถึง เพียงแต่ท่านเข้าสู่กั่วเว่ย(มรรคผล)และเดินสู่การบำเพ็ญฝ่านอกภพ ร่างกายท่านก็สำเร็จแล้ว มีคนจำนวนมากที่บรรลุถึงขั้นนี้แล้วตัวเองไม่รู้ เพราะร่างกายส่วนหนึ่งถูกปิดกั้นเอาไว้และถูกพันธนาการไว้บางส่วน ดังนั้นจึงไม่รู้สึก พร้อมกับที่ท่านบำเพ็ญมันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องอธิบายปัญหาหนึ่งให้เข้าใจ บางคนอาจถูกจำกัดด้วยเหตุผลหลายๆ ด้านไม่สามารถบรรลุหยวนหมั่นได้ เป็นได้แต่ชาวสวรรค์(เทพ เซียน)ในระดับชั้นต่างๆ เท่านั้น ฉะนั้นร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ที่จริงในสายตาของคนทั่วไปแล้วก็เป็นความเป็นศิริมงคลที่สูงเกินเอื้อม สวยงามวิจิตรอย่างคาดไม่ถึงแล้ว เป็นสิ่งที่ชี่กงทั่วๆ ไป และพลัง(กง)ที่มีฝู่ถี่ พลัง(กง)ชั่วร้ายไม่สามารถจะบรรลุได้โดยแท้จริง

  

ใบคำถามหมดแล้ว คำถามเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าตอบให้ในวันนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าโดยหลักเป็นการอธิบายในประเด็นที่ผู้ช่วยฝึกสอนและผู้ฝึกที่เป็นแกนหลักหยิบยกขึ้นมาโดยเฉพาะ แน่นอน ผู้ฝึกบางคนของเราแม้แต่คนที่ยังไม่เคยเข้าร่วมชั้นเรียน หรือที่เคยเข้าร่วมชั้นเรียนเพียงครั้งเดียว คนที่ไม่ควรมาก็มา ไม่ใช่ว่าท่านไม่ควรฟังฝ่านี้ และไม่ใช่ว่าท่านไม่สามารถบำเพ็ญ หมายความว่าท่านยังรับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ มันเกี่ยวโยงถึงปัญหาที่ใหญ่มาก ไม่ให้ท่านเข้ามาท่านอาจจะมีความคิดบางอย่าง(อาจจะไม่เข้าใจ) บางคนที่ซินซิ่งยังไม่สูง อาจจะพูดอะไรต่างๆ นาๆ แต่มาแล้วก็กลัวว่าท่านจะรับไม่ได้ เกิดความสงสัยแล้วทำลายอนาคตของท่าน ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อฟังแล้วไม่เชื่อก็ถือว่าฟังนิทานและอย่าได้เกิดอารมณ์ต่อต้านขึ้นมาเป็นอันขาด  

ฝ่าเหล่านี้ที่อธิบายโดยหลักคือพูดให้กับผู้ช่วยฝึกสอน ผู้ฝึกที่เป็นแกนหลักเหล่านี้ของเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการทำงานของพวกท่านจากนี้ไป บางปัญหาที่มีลักษณะคล้ายกัน ผู้ฝึกถามขึ้นมาแล้วตอบไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดให้พวกเราสามารถรู้บางสิ่งบางอย่าง ที่จริงข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า ไม่จัดประชุมผู้ช่วยฝึกสอนครั้งนี้ก็ทำได้ เป็นต้นว่า เมื่อครั้งข้าพเจ้าบรรยายจบในชั้นเรียนที่จี่หนานและจะกลับ ผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงหลายๆ ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า(ท่าน)บรรยายทั้งหมดแล้วในชั้นเรียนครั้งนี้ ความหมายคือสิ่งที่ควรให้คนธรรมดาสามัญรู้ก็บรรยายออกมาทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้าบอกให้ศึกษาโดยปฏิบัติตามฝ่านี้ เพียงแต่ศึกษาให้ถ่องแท้ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ฝ่านี้ที่ข้าพเจ้าบรรยายนั้น ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในวิชาของข้าพเจ้าเท่านั้น ฉะนั้นจึงพูดว่าเขาเป็นสิ่งที่ใหญ่มากๆ แน่นอนเรื่องที่พวกเราทำในวันนี้กับพลัง(กง)ที่ถ่ายทอดในอดีตนั้น สิ่งที่ทำนั้นไม่เหมือนกัน การช่วยเหลือสรรพชีวิตที่คนเขากล่าวนั้น องค์ศากยมุนีได้รวมสัตว์ไว้ด้วย  การช่วยเหลือสรรพชีวิตที่องค์ศากยมุนีกล่าวนั้น พระองค์สามารถช่วยเหลือสรรพชีวิต พระองค์ทรงต้องการจะเมตตาต่อชีวิตทั้งหมด เหตุใดพวกเราไม่ทำเช่นนี้ในวันนี้นะหรือ พวกเราช่วยเหลือคนยังจะต้องเลือกสรรล่ะ คนที่เข้ามาร่วมชั้นเรียนของเรา ยังจะต้องมีเงื่อนไขในการเลือกสรรล่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแตกต่างจากในระยะแรกแล้ว บางคนเลวทรามเสียจนไม่ไหวแล้ว ก็ต้องชำระสะสาง บางคนจะคงเหลือไว้ บางคนอาจจะบำเพ็ญขึ้นไปได้ จึงมีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น

เอาล่ะ ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราจะปฏิบัติอย่างไรต่อการประชุมครั้งนี้นะ หลังจากนี้จะทำอย่างไรในสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด พวกเราทุกคนล้วนรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะย้ำเรื่องนี้เพียงเท่านี้ มีแต่คำพูดประโยคเดียวให้ยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อฝ่าของเรานี้ รับผิบชอบต่อตัวท่านเอง ท่านก็จะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ก็พูดเพียงเท่านี้

......พวกเราหลังจากพูดคุยหารือกันแล้ว อาจจะเข้าใจต้าฝ่าลึกซึ้งมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง และช่วยให้ความเข้าใจของพวกเราเป็นเอกภาพมากขึ้น ต่อไปการตอบปัญหาในบางเรื่องของผู้ฝึก ข้าพเจ้าคิดว่าก็จะทำได้ดี นี่เป็นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งข้าพเจ้ายังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับผู้รับผิดชอบหลายคนของเรา ก็คือให้พวกเราเป็นผู้ริเริ่มในบ้านเกิดของตัวเอง จัดกลุ่ม จัดเวลาสำหรับการศึกษาฝ่าด้วยกันได้หรือไม่ พวกเราไม่อาจจะเพียงแต่ฝึกพลัง(กง)เป็นกลุ่มเท่านั้น ค่อยๆ อ่านทีละบททีละตอน ทุกคนอ่านและพูดคุยหารือกัน การจัดเวลาศึกษาให้กำหนดแน่นอนเหมือนการฝึกพลัง(กง)เป็นกลุ่ม ข้าพเจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้จะมีประโยชน์ มีจุดมุ่งหมายมากยิ่งขึ้น การทำเช่นนี้ในอนาคตเวลาพวกเราประสบกับปัญหาจริงๆ ก็จะมีฝ่าให้ปฏิบัติตามได้ ให้พวกเราเป็นผู้ริเริ่มโดยให้ศูนย์ฝึกฯ แต่ละแห่งทั่วประเทศสามารถมีบทบาทในการนำได้ดี หลังจากนั้นพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศสามารถปฏิบัติตามแบบอย่าง การทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับความเข้าใจของพวกเรา นี่เป็นข้อเสนอ(ของข้าพเจ้า)

 

                                                            บันทึกเสียงโดยฝ่าหลุนต้าฝ่า ศูนย์ใหญ่เมืองฉางชุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า ณ เป่ยจิง

(17-12-1994)

 

ข้าพเจ้าจะยืนพูด ทุกท่านจะได้มองเห็นได้ชัดเจน

เป็นเวลานานมากที่ไม่ได้พบกับทุกท่าน เนื่องจากมีเรื่องมากยมายที่ต้องจัดการ เกี่ยวกับการถ่ายทอดพลัง(กง) ล้วนเป็นเรื่องที่คนธรรมดาสามัญยังไม่ค่อยเข้าใจ และไม่สามารถเข้าใจนัก ดังนั้นจึงได้หยุดจัดการสอน ในช่วงระยะนี้จึงจัดการกับปัญหาเหล่านี้อยู่ เวลานี้โดยพื้นฐานปัญหาเหล่านี้ก็จัดการใกล้จะแล้วเสร็จ เดิมทีหลังจากจัดการเสร็จ จัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจะออกมาอีกครั้งเพื่อจัดเตรียมเรื่องการถ่ายทอดพลัง(กง)อย่างไรต่อไป แต่การเปิดสอนจัดขึ้นที่กว่างโจวครั้งนี้ เนื่องจากในตอนนั้นกำหนดอย่างเร่งรีบ ลงประกาศทั้งในหนังสือพิมพ์และลงโฆษณา แล้วยังเก็บค่าเล่าเรียนไว้มากมาย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องออกมากลางคัน จึงถือโอกาสมาเตรียมงานบางอย่างที่เป่ยจิงก่อนจะเปิดการสอนที่กว่างโจวหนึ่งวัน จึงถือโอกาสนี้พบกับทุกท่าน ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้พบกับทุกท่าน

เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยพูดเช่นนี้ข้าพเจ้าว่าคนในปัจจุบันมาตรฐานศีลธรรมตกต่ำมากแล้ว ในทุกสาขาอาชีพ จะหาดินแดนที่บริสุทธิ์สักแห่งหนึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่พอมาถึงที่ตรงนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นสนามของเรานี้สงบและสมัครสมานอย่างยิ่ง ฝ่าหลุนต้าฝ่า ที่ตรงนี้ของเรา ข้าพเจ้ากล้าพูดว่ามันเป็นดินแดนที่บริสุทธิ์ (เสียงปรบมือ) ในเวลาเดียวกัน ข้าพเจ้าก็มองเห็นการบำเพ็ญของพวกเราทุกคนบรรลุผลสำเร็จเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนมีจิตต้องการพัฒนา(ตัวเอง)และใฝ่ดี น่ายินดีอย่างยิ่ง ดังนั้นบรรยากาศนี้และสภาวะจิตอย่างนี้ก็เหมือนกันโดยสิ้นเชิง พูดอีกนัยหนึ่ง ไม่ได้ศึกษาต้าฝ่าโดยเปล่าประโยชน์ ล้วนได้รับผลสำเร็จในระดับหนึ่ง  ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถ่ายทอดต้าฝ่านี้โดยเสียแรงเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มปิติ ในช่วงแรกที่ข้าพเจ้ามาเป่ยจิงบรรยายฝ่าและถ่ายทอดพลัง(กง)ใหม่ๆ การเปิดชั้นเรียนครั้งแรกก็มีคนเพียงเท่านี้ แต่หลังจากผ่านเวลาไปช่วงหนึ่ง มาถึงเวลานี้ก็เพียงสองปี ที่จริงข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้อย่างเป็นทางการก็เพียงปีเดียว เมื่อตอนเริ่มต้นถ่ายทอดฝ่าด้วยรูปแบบของชี่กงระดับต่ำ พวกเราในวันนี้ ที่เป่ยจิงตรงนี้ ผู้ช่วยฝึกสอนก็มีจำนวนมากเท่านี้แล้ว พูดได้ว่าต้าฝ่าของเรานี้ได้เป็นที่รับรู้จากผู้คนที่มีจิตใจดีงามมากยิ่งขึ้น สามารถพัฒนา บำเพ็ญตัวเองอยู่ในฝ่านี้ นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ปัจจุบันจะคำนวณจำนวนผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราว่ามีจำนวนเท่าใดนั้น คำนวณได้ยากมาก ถ่ายทอดแบบคนต่อคน นับจำนวนนับไม่ถ้วน ในบางพื้นที่ อำเภอหนึ่งหรือเมืองหนึ่งมีคนเรียนกันคนหรือสองคน ผลปรากฏว่าเพิ่มจำนวนนับเป็นพันคน หลายๆ พื้นที่ล้วนมีสภาพแบบนี้ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้นะหรือ  เพราะข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา   เป็นการบำเพ็ญ ซินซิ่งของคน กำหนดให้คนยกระดับมาตรฐานศีลธรรมให้สูงขึ้น และชี้ให้รู้ถึงสาเหตุมูลฐานที่แท้จริงว่าพวกเราบำเพ็ญแล้วทำไมพลัง(กง)จึงไม่โต ชี้ให้เห็นถึงปัญหานี้ ฉะนั้นพวกเราได้กล่าวถึงประเด็นที่แท้จริง ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูด บางคนได้พูดกับข้าพเจ้าในที่ประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บอกว่าหลังจากที่อาจารย์ถ่ายทอดฝ่านี้ออกมา มีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาอารยธรรมด้านจิตใจของสังคมของเรา แน่นอนข้าพเจ้าพูดแล้วว่า นี่ยังไม่ใช่จุดประสงค์หลัก ข้าพเจ้าต้องการจะมอบฝ่านี้ไว้ให้กับคน นำฝ่านี้ถ่ายทอดออกมาเพื่อให้คนจำนวนมากได้รับประโยชน์ สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นอย่างแท้จริง ใช้คำพูดของสายพุทธของเราพูด ก็คือสามารถเลื่อนระดับสูงขึ้นอย่างแท้จริง บรรลุหยวนหมั่น แต่ฝ่านี้จะนำมาซึ่งผลเช่นนี้ ทำให้มาตรฐานศีลธรรมของคนยกระดับสูงขึ้น เพราะข้อกำหนดของพลัง(กง)ชุดนี้ของเรา ข้าพเจ้าได้ชี้ถึงประเด็นที่แท้จริง กำหนดให้คนเห็นความสำคัญของการบำเพ็ญซินซิ่ง ทำไมคนจำนวนมาก รวมทั้งพระภิกษุมากมาย ผู้บำเพ็ญเต๋าเป็นหลักก็เช่นเดียวกัน คนไม่รู้ว่าจะยกระดับสูงขึ้นอย่างไรแล้ว คนเห็นความสำคัญแต่เพียงสิ่งที่เป็นรูปแบบ แต่ไม่เห็นความสำคัญกับสิ่งที่เป็นแก่นแท้จริง

ถ้าซินซิ่งของคนไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นไป ข้าพเจ้าว่านั่นคือโดยมูลฐานเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยกระดับสูงขึ้น เพราะคุณสมบัติพิเศษของจักรวาลนี้ไม่อนุญาตให้(คนที่)ซินซิ่งไม่สูงเลื่อนระดับขึ้นไป ถ้าคนสามารถบรรลุถึงระดับหนึ่งเช่นนี้ ก็คือ(เขา)ได้ยกระดับสูงขึ้น ณ ระดับที่ต่างกัน ข้าพเจ้าว่าคนๆ นี้ถึงแม้จะไม่หยวนหมั่น เขาก็จะมีประโยชน์ต่อสังคม เขาจะไม่ไปทำเรื่องที่ไม่ดีโดยมีสติแจ่มแจ้ง เขารู้ว่าการทำเรื่องที่ไม่ดีจะนำมาซึ่งผลพวงที่ไม่ดีเหล่านั้นมาสู่ตัวเอง เช่นนี้เขาก็จะทำนุบำรุงอารยธรรมด้านจิตใจให้แก่สังคม และยกระดับมาตรฐานศีลธรรมโดยสอดคล้องตามกันไป จุดนี้เป็นเรื่องแน่นอน พวกเราถ่ายทอดพลัง(กง)นี้ด้วยความรับผิดชอบต่อคนและต่อสังคม พวกเราก็ดำเนินการได้ถึงจุดนี้ ดังนั้นผลสะท้อนที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ในหมู่ผู้ฝึกนั้นค่อยข้างดี ตลอดมาพวกเราก็ดำเนินการเช่นนี้โดยปฏิบัติตามฝ่านี้อย่างเคร่งครัด พลัง(กง)ของเรานี้ก็ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คงสภาพการบำเพ็ญที่สะอาดและบริสุทธิ์เช่นนี้ตลอดมา

ตามสถานการณ์ของเราในปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นไปได้ว่าพลัง(กง)นี้จะถ่ายทอดได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ คงจะเป็นปีหน้า อาจจะถ่ายทอดพลัง(กง)ในต่างประเทศมากสักหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ผลสะท้อนไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในประเทศของเรา คนที่กลับจากต่างประเทศเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า เมื่อพวกเขารับประทานอาหารอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ได้เห็นเอกสารแนะนำเรื่องของฝ่าหลุนกงแขวนอยู่ในภัตตาคารแห่งนั้น เขารู้สึกแปลกใจ จากนั้นจึงถามคนเขา นี่เป็นเรื่องที่พวกเราไม่รู้ ยังไม่รับทราบข้อมูล อาจเป็นกระแสที่พัฒนาอย่างรวดเร็วมาก เหตุผลแท้จริงเป็นเพราะพวกเราเห็นความสำคัญของการยกระดับซินซิ่งของคนให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะต่อสังคมก็ดี คนในระดับชั้นต่างๆ ก็ดี หรือคนที่มีความคิดต่างกันก็ดี ล้วนสามารถยอมรับฝ่าหลุนต้าฝ่า นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ เพียงแต่พูดให้ฟังสั้นๆ ถึงสถานการณ์การพัฒนาของฝ่าหลุนต้าฝ่า ที่เป็นอยู่เช่นนี้ในปัจจุบัน

เนื่องจากนี่เป็นการประชุมผู้ช่วยฝึกสอน ข้าพเจ้าจึงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูสถานการณ์การพัฒนาของฝ่าหลุนต้าฝ่าในพื้นที่แต่ละแห่ง ล้วนมีจุดแข็งที่ต่างกัน และได้จัดทำข้อสรุปประสบการณ์ขึ้นมาไม่น้อย เกี่ยวกับการศึกษาต้าฝ่า ในการบำเพ็ญก็มีประสบการณ์ที่ดีไม่น้อย เนื่องจากในช่วงเวลานี้ข้าพเจ้าอยู่บ้าน อยู่ที่ฉางชุนตลอด ดังนั้นจึงดูแลสถานการณ์ของฉางชุนได้ค่อนข้างดีสักหน่อย เป็นต้นว่า ปัจจุบันมีเปิดกระแสนิยมศึกษาฝ่าเกิดขึ้นที่ฉางชุน เป็นกระแสนิยมศึกษาฝ่าเช่นไรหรือ ปัจจุบันในพื้นที่อื่น จัดเรื่องการฝึกท่าเคลื่อนไหวเป็นเรื่องสำคัญมาก แน่นอนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หลักพลัง(กง)บำเพ็ญจิตและชีวิตควบคู่กัน แน่นอนย่อมขาดไม่ได้ แต่ที่ฉางชุน พวกเขาจัดเรื่องการศึกษาฝ่านี้ไว้ ณ ต่ำแหน่งที่สำคัญยิ่งกว่า ดังนั้นทุกวันหลังจากฝึกพลัง(กง)เสร็จแล้ว พวกเขายืนหยัดนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มอ่านหนังสือกัน เริ่มศึกษาฝ่า หลังจากศึกษาแล้วทุกคนยังอภิปราย อภิปรายทีละท่อนๆ ต่อมาภายหลัง พวกเขายังพัฒนาไปสู่การท่องหนังสือ พวกเรารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี (แน่นอนนี่เป็นคำพูดของผู้ฝึก ไม่ใช่เป็นคำพูดของข้าพเจ้า) ในอดีตมีพระสูตรมากมายที่บรรยายไว้ไม่ชัดเจน ล้วนบรรยายไว้อย่างคลุมเคลือ ผู้คนก็ยังท่องจำกัน แน่นอนยังมีการพูดแบบอื่นๆ ข้าพเจ้าก็พูดในความหมายนี้ บอกว่าสิ่งที่ดีเช่นนี้พวกเขาทำไมไม่ท่องเขา(ฝ่า)ให้ได้ล่ะ กำหนดให้พวกเราสามารถปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญทุกเวลานาที สามารถพัฒนายกระดับให้สูงขึ้น ท่านท่องจำได้มิยิ่งดีกว่าหรือ จะได้มี(ฝ่า)ไว้เปรียบเทียบอ้างอิงทุกเวลานาที เมื่อเป็นเช่นนี้กระแสนิยมการท่องหนังสือจึงเกิดขึ้น 

ปัจจุบันที่ฉางชุนมีคนท่องหนังสือนับหมื่นคน ปัจจุบันการศึกษาฝ่าของพวกเขาพัฒนาเป็นสภาพการณ์อย่างไรหรือ ก็คือนั่งอยู่ตรงนั้นเริ่มศึกษา ไม่ต้องใช้หนังสือ เขาเริ่มท่องหนังสือจากเริ่มต้น พอหยุด อีกคนก็ท่องต่อ ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย ท่องต่อๆ กันโดยหนังสือไม่มีผิดแม้แต่ตัวเดียว จากนั้นท่านท่องหนึ่งท่อน เขาท่องหนึ่งท่อน ท่องต่อๆ กันเช่นนี้ ต่อมาภายหลังก็พัฒนามาเป็นการคัดหนังสือ ถ้าคัดผิดหนึ่งตัวก็เริ่มคัดทั้งหมดใหม่อีกรอบ คัดใหม่อีกรอบทั้งหมด มีจุดประสงค์อะไรนะหรือ ก็คือเพิ่มความเข้าใจและรับรู้ต่อฝ่าให้ลึกซึ้งมากขึ้น เช่นนี้ก็จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาของผู้ฝึกอย่างยิ่ง เพราะในความคิดของเขา เขามี(ฝ่า)ประทับอยู่อย่างลึกซึ้งเช่นนั้นแล้ว ทุกครั้งที่เขาทำเรื่องอะไร เขาก็สามารถกำหนดตัวเองด้วยมาตรฐานของผู้ฝึกพลัง(กง)

ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่ได้กำหนดให้ผู้ฝึกทำเช่นนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปเมื่อครู่ ประสบการณ์อื่นๆ ที่สรุปและรวบรวมขึ้นมาในพื้นที่แต่ละแห่งล้วนแต่ดีมาก ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวกับหัวหน้าศูนย์ฝึกสอนฉางชุน ข้าพเจ้าว่าประสบการณ์ของพวกท่านควรที่จะส่งเสริมให้ขยายออกไปทั่วประเทศ หลังจากที่ศึกษาฝ่ากันเช่นนี้ผู้ฝึกเหล่านี้ยกระดับสูงขึ้นได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ระดับชั้นก็ยกระดับสูงขึ้นได้รวดเร็ว นั่นเป็นเรื่องแน่นอน บางทีพวกเราหลายๆ คน เพราะพวกเราฝึกพลัง(กง)นี่นะ ที่นั่งอยู่ทุกท่านล้วนเป็นผู้ช่วยฝึกสอน ข้าพเจ้าสามารถจะพูดให้ลึกอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร ในหนังสือของข้าพเจ้า มองดูในระดับผิวเผิน ทุกตัวอักษรคือฝ่าหลุนองค์หนึ่ง มองดูในระดับชั้นที่ลึกนั้นก็คือฝ่าเซินของข้าพเจ้า แม้แต่ส่วนประกอบของตัวอักษรด้านข้าง ด้านบนก็เป็นแต่ละองค์ เวลาอ่านออกมาจากปากของท่าน นั่นก็ไม่เหมือน(กับหนังสืออื่นๆ) หลายๆ คนได้บำเพ็ญจนมีพลัง(กง)ได้ไม่เลวทีเดียว ตัวอักษรที่อ่านออกมาล้วนแต่มีรูปลักษณ์ ที่ออกมาจากปากล้วนคือฝ่าหลุน หมายความว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือทั่วๆ ไป แน่นอนคนที่มีระดับชั้นยังไม่สูงพอก็ยังใช่ไม่ได้ การสามารถทำให้ท่านอ่านหนังสือศึกษาฝ่าก็คือกำลังยกระดับสูงขึ้น เพราะพวกเราเน้นความสำคัญที่การบำเพ็ญ ซินซิ่ง การรับรู้เข้าใจเขา(ฝ่า)ด้วยเหตุผลก็คือการยกระดับ   

ของเราเป็นหลักพลัง(กง)จิตและชีวิตควบคู่กัน ท่าเคลื่อนไหวโดยหลักเป็นการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ก็คือเปลี่ยนแปลงกายเนื้อของเราและรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของร่างกายสสารที่คงอยู่ในแต่ละมิติ โดยหลักคือความหมายนี้ ยังมีสิ่งที่เป็นศาสตร์บ้าง คิดจะยกระดับสูงขึ้นอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าว่านั่นก็ต้องยกระดับสูงขึ้นจากในฝ่า ถ้าซินซิ่งของเราไม่สามารถเลื่อนสูงขึ้น ก็ไม่สามารถยกระดับสูงขึ้นจากในฝ่า นอกนั้นล้วนเป็นการพูดโดยเปล่าประโยชน์ ทำไมจึงพูดเช่นนี้นะหรือ เพราะท่านไม่มีระดับชั้น ซินซิ่งไม่ได้ยกระดับขึ้นมา ก็ไม่มีพลัง(กง)นี้ที่กำหนดระดับชั้นสูงหรือต่ำ(ของท่าน) ไม่ได้บำเพ็ญซินซิ่ง ก็ไม่มีพลัง(กง) ไม่มีพลังงานนี้มาเสริมเพิ่มเติม ท่านคิดจะเปลี่ยนแปลงเปิ๋นถี่(ร่างแท้) จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรล่ะ ก็ขาดสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีพลังงานชนิดนี้มาเสริมเพิ่มเติม ท่านก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร ฉะนั้นการศึกษาฝ่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่า ผู้บำเพ็ญต้องอ่านหนังสือให้มาก รับรองว่าการยกระดับของทุกท่านก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว (คำพูดแทรก พวกเขาบอกว่าท่านอาจารย์เมื่อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์นั่ง ขอท่านอาจารย์พูดต่ออีกหน่อย) อยากจะให้ข้าพเจ้าพูดต่ออีก (เสียงปรบมือกึกก้อง)

เมื่อครู่โดยหลักเป็นการพูดถึงสถานการณ์การพัฒนาของฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา “ฝ่าหลุนกง” เป็นคำศัพท์ที่เราใช้เรียกตั้งแต่แรกเริ่มที่พวกเราถ่ายทอดพลัง(กง)ที่เป่ยจิง เพราะข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ชี่กงเป็นคำศัพท์ที่ตั้งขึ้นโดยคนในสมัยนี้ โดยแท้จริงชี่กงเป็นการบำเพ็ญประเภทหนึ่ง ที่แพร่หลายอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ เป็นเพียงสิ่งที่เป็นรูปแบบที่ต่ำสุดของชี่กงเท่านั้น เพียงแต่เริ่มจะสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายคนเพื่อเดินสู่การฝึกพลัง(กง) เป็นเพียงวิถีทางในขั้นตอนระยะแรก ที่นำมันออกมาถ่ายทอด ความจริงแล้วชี่กงเป็นการบำเพ็ญ หลักพลัง(กง)ของเราเป็นการถ่ายทอดในระดับชั้นสูง เนื่องจากเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้ ความแพร่หลายของชี่กงได้วางรากฐานความเข้าใจในขั้นแรกต่อชี่กงให้แก่ผู้คน ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว ทันทีที่เริ่มต้นพวกเราก็จะพูดถึงประเด็นของการบำเพ็ญอยู่ ณ ระดับชั้นสูง ต่อไปพวกเราอย่าเรียกมันเป็นชี่กง ชี่กงอีก

ฝ่าหลุนกงของเรานี้ แน่นอนเมื่อยังไม่เป็นที่รู้จักท่านเรียกเช่นนี้ได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าของเราคือวิธีบำเพ็ญฝ่าหลุนตั้งแต่ต้น การบำเพ็ญฝ่าหลุน หรือเรียกว่าหลักธรรมใหญ่บำเพ็ญฝ่าหลุน(ฝ่าหลุนซิวเลี่ยนต้าฝ่า) ประเด็นที่พูดถึงตรงนี้ การเรียกคำศัพท์นี้ ข้าพเจ้าคิดไปถึงปัญหาหนึ่ง คือพวกเราผู้ฝึกจำนวนมากได้ทำความดีอย่างเงียบๆ ทำความดีมากมายอยู่ในสังคม ในสภาพแวดล้อมอื่นๆ ในการทำงานโดยไม่เห็นแก่ชื่อเสียงไม่เห็นแก่รางวัล มีตัวอย่างมากมาย จุดนี้ข้าพเจ้าก็รู้ ท่านไม่พูดข้าพเจ้าก็รู้ดี พวกเราไม่เห็นแก่ชื่อเสียงนี่เป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเราลองคิดดู พวกเราถ่ายทอดหลักพลัง(กง)นี้ออกมา เวลานี้มีปรากฏการณ์เช่นนี้ที่จะทำให้คนในสังคมมีจิตใจใฝ่ความดี ยกระดับมาตรฐานศีลธรรม หากบรรลุถึงสภาพนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าผลสะท้อนของฝ่าหลุนต้าฝ่าก็จะส่งผลในระดับหนึ่งที่แน่นอน   ฉะนั้นข้าพเจ้าคิดว่า บางคนเมื่อทำเรื่องที่ดีแล้ว คนเขาถามท่านท่านแซ่อะไร ท่านไม่พูดอะไร ไม่เห็นแก่ชื่อเสียงไม่เห็นแก่รางวัล สิ่งที่พวกเราต้องการคือบุญบารมีหรอกหนา ข้าพเจ้าคิดว่าท่านอาจพูดอะไรบ้าง ท่านอาจพูดว่าฉันบำเพ็ญฝ่าหลุนกง หรือบอกว่าฉันเป็นผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า เช่นนี้จะมีผลสะท้อนต่อสังคม เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมเผยแพร่ต้าฝ่าของเรา ผู้คนต่างมาแสวงหาฝ่าที่ถูกต้อง เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ยังจะดีกว่า เพราะผลสะท้อนของเราเหล่านี้ ทั่วประเทศ แต่ละพื้นที่คนที่มาฝึกพลัง(กง)มีจำนวนค่อนข้างมากแล้ว ผลสะท้อนนี้ก็ใหญ่มากแล้ว เวลานี้ในสังคมผู้คนทำความดีอะไรสักหน่อย คนเขาก็รู้สึกแปลกใจแล้ว แน่นอนสำหรับบางคนรู้สึกว่าทำไมยังมีเหล่ยฟงออกมาในเวลานี้ คนๆ นี้ชั่งดีจริงๆ พวกเราอาจลองบอกพวกเขาให้เข้าใจแจ่มแจ้งดูก็ได้  

ในช่วงเวลานี้ยังมีบางปัญหา เป็นต้นว่าผู้ฝึกบางคนในขั้นตอนของการบำเพ็ญมีปัญหามากมายที่พวกเขาแก้ไม่ได้อยู่เสมอ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ นี่หมายความว่าอย่างไร ปัญหาเหล่านี้ พวกเราผู้ช่วยฝึกสอนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ถ้าท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าจะให้ท่านถามคำถามตรงนี้ ท่านยังจะถามคำถามต่างๆ มากมายที่ผู้ฝึกทั้งหลายยกขึ้นมาถามในชั้นเรียน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้นะหรือ ก็เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ ความเข้าใจต่อฝ่ายังคงไม่ลึกซึ้ง เพราะข้าพเจ้าได้รวมสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นต่างๆ เข้าด้วยกันในการบรรยาย บางคนเมื่ออ่านหนังสือจบหนึ่งรอบ เขารู้สึกว่าดีมาก หลังจากนั้นเมื่ออ่านใหม่ก็จะมีความเข้าใจที่ใหม่อีก อ่านอีกก็ยังจะมีความเข้าใจที่ใหม่อีก ดูราวกับว่าความหมายของตัวหนังสือนั้นได้เปลี่ยนไป พวกเราหลายๆ คนต่างก็มีความรู้สึกอย่างนี้ เป็นเพราะข้าพเจ้าได้ผนึกสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นต่างๆ เข้าไว้ในหนังสือ พร้อมๆ กับที่ท่านเลื่อนขึ้นไปท่านก็จะมีความเข้าใจที่แตกต่าง นี่ก็คือฝ่า ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าท่านสามารถศึกษาฝ่าอย่างจริงๆ จังๆ ประเมินด้วยฝ่า ปัญหาอะไรท่านก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย รับรองว่าเป็นเช่นนี้ ขอเพียงเป็นปัญหาเกี่ยวกับการบำเพ็ญ ล้วนแต่แก้ไขได้  

ข้าพเจ้าจำได้ว่าในชั้นเรียนที่จี้หนานเป็นการบรรยายที่ครบถ้วนที่สุดครั้งหนึ่ง และปัญหาต่างๆ ก็ได้อธิบายออกมาให้หมดแล้ว แต่ประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้อธิบายให้ละเอียด แต่ก็ได้ชี้แนะความหมายให้แล้ว ท่านไม่เชื่อ เมื่อพวกเราทุกคนสามารถศึกษา(ฝ่า)อย่างแท้จริง ปัญหาอะไรก็มีคำตอบ ที่จริงพวกเรามีคำถามมากมาย บางคนบอกว่าทำไมฉันไม่สบายตรงนี้ ไม่สบายตรงนั้น หลายๆ คนไม่คิด ถ้าท่านไม่รู้สึกไม่สบาย นั่นคงจะแย่แล้ว หมายความว่าข้าพเจ้าไม่ได้ดูแลท่าน เพราะท่านคิดจะบำเพ็ญ ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น นั่นคือไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราอาจพูดได้ว่า คนล้วนมีกรรม แล้วจะไม่ชำระคืนได้อย่างไรล่ะ บอกว่าอะไรก็ชำระให้ท่านทิ้งไปทั้งหมดในทันที ให้ท่านขึ้นไปเป็นพระพุทธ เพราะเห็นว่าท่านเป็นคนที่พิเศษอะไรทำนองนั้น ข้าพเจ้าก็พูดในความหมายนี้ ไม่ว่าใครมิต้องผ่านการบำเพ็ญจึงจะสามารถยกระดับสูงขึ้นหรอกหรือ ขั้นตอนการบำเพ็ญก็คือการสลายกรรม ก็คือการทนทุกข์ทนลำบาก ท่านไม่ทนทุกข์ทนลำบาก กรรมนั้นก็ไม่สลายไป ฉะนั้นความเจ็บปวดบนร่างกาย มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไป ปัญหาความยุ่งยากที่ท่านประสบในชีวิต มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไป ท่านแบกรับผ่านไปแล้ว แต่ท่านไม่รู้

เรามายกตัวอย่างหนึ่ง ในอดีตในพุทธศาสนากล่าวว่า การบำเพ็ญน่ะต้องทนทุกข์อย่างมากมาย ท่านยังไม่รู้ความทุกข์เล็กน้อยที่ท่านประสบนั้นนับเป็นอะไรได้ เนื่องจากมีอาจารย์ดูแลท่านแล้ว ชำระทิ้งไปมากมายให้ท่านแล้ว ทุกภพทุกชาติมีใครบ้างที่ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่ดี ข้าพเจ้าว่าคนในวันนี้มาถึงขั้นนี้ คนที่ไม่เคยฆ่าชีวิต ไม่เคยติดหนี้กรรมที่ใหญ่นั้นหาได้ยากอย่างยิ่งแล้ว เราลองหมุนประวัติศาสตร์กลับมา ในเวลานั้น เวลาที่ท่านทำเรื่องที่ไม่ดี คนเขาต้องแบกรับทุกข์ภัยมากเพียงไรล่ะ เช่นนั้นวันนี้ท่านแบกรับสิ่งเล็กน้อยนี้ ท่านก็แบกรับไม่ไหวแล้ว แน่นอนก็พูดถึงความหมายนี้ หลายๆ คนมองไม่เห็น ตรงนี้เราพูดถึงการบำเพ็ญ ก็คือพูดเกี่ยวกับปัญหาของการรับรู้ ท่านมองไม่เห็น ใช่ มองไม่เห็น ถ้าท่านมองเห็นทั้งหมดแล้ว ก็จะไม่ไปทำเรื่องที่ไม่ดี ก็ไม่มีปัญหาของการบำเพ็ญคงอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อคนตกลงมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะไม่ให้ท่านมองเห็น ให้ตกลงมาบำเพ็ญท่ามกลางวังวน

ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้วข้าพเจ้าก็ถือโอกาสพูดสักหน่อย ก็คือพวกเราหลายๆ คนตาทิพย์เปิดแล้ว ตาทิพย์เปิดแล้ว ณ ระดับชั้นต่างๆ แต่ล้วนบรรลุไม่ถึงระดับชั้นที่สูงมาก สิ่งที่มองเห็นไม่ใช่ธาตุแท้ของสรรพสิ่ง มองไม่เห็นความสัมพันธ์ของเหตุของมัน ฉะนั้นตรงนี้ยังจะนำมาซึ่งปัญหาหนึ่ง ก็คือเขาอาจพูดไปตามอำเภอใจ เมื่อเขาพูดไปตามอำเภอใจ ก็จะส่งผลที่รุนแรงตามมา คนๆ นั้นพูดว่า ฉันบำเพ็ญถึงระดับนี้แล้ว ทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ อันที่จริงเขามองเห็นได้ไม่ถูกต้องแม่นยำ ยกตัวอย่าง หลายๆ คนที่ตาทิพย์เปิดแล้วบอกว่าท่านมีฟู่ถี่(ตัวสิง) เขามีฟู่ถี่ ล้วนมีฟู่ถี่ ข้าพเจ้าเคยพูดเช่นนี้ก่อนแล้วว่าข้าพเจ้าบอกว่าผู้ฝึกของฝ่าหลุนต้าฝ่า พวกเราผู้บำเพ็ญที่แท้จริงนั้นไม่มีฟู่ถี่(ตัวสิง) สิ่งนี้ข้าพเจ้าชำระให้แล้ว เช่นนั้นเหตุใดบางคนมองเห็นรูปลักษณ์ของสัตว์ต่างๆ มองเห็นรูปลักษณ์อย่างนี้  รูปลักษณ์อย่างนั้นล่ะ อันที่จริงข้าพเจ้จะบอกกับทุกท่าน พวกเราหลายๆ คนแยกแยะได้ไม่ชัดเจนถึงรูปแบบการคงอยู่ของจิตหลัก จิตรองและฟู่ถี่(ตัวสิง) อันที่จริงที่เขามองเห็นเป็นเพียงจิตรองในชาติก่อนของท่าน หรือจิตหลักในชาติก่อนของท่าน เป็นสภาพการณ์เหล่านี้ พอท่านไปพูดจนสับสน มิทำให้จิตใจของคนอื่นหวาดกลัวหรอกหรือ ท่านบอกว่าคนไหน คนไหนมีฟู่ถี่(ตัวสิง) ที่จริงเขาไม่มีฟู่ถี่

ในอดีต ในพุทธศาสนาเคยกล่าวถึงวัฏสงสารหกทาง พุทธศาสนายังมีคำพูดประโยคหนึ่งเช่นนี้: กล่าวว่าคนมาเกิดใหม่เป็นคนมีน้อยนัก ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่มาเกิดใหม่เป็นคนมีค่อนข้างมาก แน่นอน เป็นสภาพการณ์ชนิดนี้ใช่หรือไม่ เป็นสิ่งที่กล่าวกันในพุทธศาสนา ข้าพเจ้าเพียงแต่ยกตัวอย่างนี้ ก็พูดในความหมายนี้ แน่นอนทุกท่านก็อย่าได้ท้อแท้ใจ ใครจะรู้ว่าชาติก่อนๆ เป็นอะไรล่ะ วันนี้เป็นการประชุมของผู้ช่วยฝึกสอน คนที่ไม่เคยเข้าร่วมฟังการบรรยายมาก่อน ถ้าไม่เชื่อท่านก็ถือว่าเป็นการฟังนิทานก็ได้ ตามที่กล่าวกันในอดีต กล่าวกันว่าเวลาที่คนข้ามมาจากฝั่งนั้นล้วนแต่คิดจะเป็นสัตว์ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อน มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ คิดจะเป็นสัตว์ยังไม่ใช่ง่ายหรอกนะ เปรียบเทียบกันแล้วเป็นคนยังจะง่ายกว่า คนต้องทนทุกข์ทนลำบาก ก็คือความหมายนี้ แต่ก็เนื่องจากคนมีความลำบาก คนจึงสามารถบำเพ็ญ ชีวิตอื่นๆ ไม่สามารถจะบำเพ็ญ บำเพ็ญขึ้นไปก็คือเข้าสู่ทางมาร ไม่อนุญาตให้เขามีระดับสูง ฉะนั้นจากวันนี้ไปพวกเราคนที่ตาทิพย์เปิดแล้ว ให้ระวังปัญหานี้ให้ดี ต้องไม่พูดอะไรเลอะเทอะ ท่านเห็นได้ไม่ถูกต้องแม่นยำ นอกจากนี้บางสิ่งบางอย่างที่ท่านรู้สึกสัมผัสได้ สัญญาณที่ท่านรู้สึกสัมผัสได้นั้นมาจากที่ใด อาจจะเป็นมารถ่ายทอดให้ท่าน ฉะนั้นไม่อาจจะยึดติดกับสิ่งเหล่านี้เป็นอันขาด

พวกเราผู้ฝึกก็อย่าเห็นว่าคนที่ตาทิพย์เปิดแล้วสูง มีระดับชั้นสูง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กำหนดตามระดับชั้นที่ตาทิพย์เปิด ไม่เปิดตามระดับชั้นของการบำเพ็ญของคน ท่านอาจจะไม่เปิด(ตาทิพย์)แต่ท่านสูงกว่าเขา(คนที่ตาทิพย์เปิด)มากๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปมากเลย ปรากฏการณ์ประเภทนี้ยังไม่ใช่เพียงเฉพาะสองสามกรณี พวกเราดูคนๆ หนึ่งว่าบำเพ็ญได้ดีหรือไม่ดี  นั่นก็คือดูซินซิ่งของคนๆ หนึ่งว่าสูงหรือต่ำ และระดับความเข้าใจต่อฝ่า มีคนบอกว่าถ้าอาจารย์ไม่อยู่หรืออาจารย์ถ่ายทอดพลัง(กง)เสร็จแล้ว ทุกคนไม่ได้พบ(อาจารย์)แล้วจะทำอย่างไร บางคนบอกว่าเช่นนั้นก็บำเพ็ญไม่ได้ ไม่มีเรื่องบำเพ็ญไม่ได้ ทุกท่านลองคิดดู ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้เพื่ออะไร องค์ศากยมุนีเมื่อครั้งที่ยังทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์ไม่ได้เหลือลายลักษณ์อักษรทิ้งไว้ สิ่งที่พระองค์เหลือไว้ให้เป็นเพียงสิ่งต่างๆ ที่องค์ศากยมุนีตรัสไว้ เป็นท่อนๆ ไม่ประติดประต่อกันในความทรงจำของคนรุ่นหลัง และไม่เป็นระบบ พระสูตรที่ทุกท่านดูก็เป็นเช่นนี้ เพราะในเวลานั้นให้คนรู้ได้ในระดับนี้เท่านั้น จึงตั้งใจทำเช่นนั้น ข้างในนั้นยังมีบางสิ่งที่ไม่ใช่องค์ศากยมุนีตรัสปะปนอยู่ด้วย วันนี้พวกเราบรรยายฝ่านี้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว องค์ศากยมุนีในครั้งนั้นเหลือไว้แต่ศีลเท่านั้น เมื่อครั้งที่องค์ศากยมุนียังทรงมีชีวิตอยู่ไม่ได้เหลือลายลักษณ์อักษรเอาไว้ ในปีท้ายๆ ขององค์ศากยมุนี ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ เพื่อจะให้คนสามารถได้บำเพ็ญ สามารถบำเพ็ญขึ้นไป จึงกำหนดศีลเอาไว้มากมาย แต่วันนี้พวกเราไม่มีสิ่งนี้ อันที่จริง สิ่งสำคัญที่สุดที่องค์ศากยมุนีเหลือทิ้งไว้ก็คือศีล

พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมีข้อห้ามอะไร และไม่จำเป็นต้องกำหนดให้ท่านทำอย่างไร เพราะเหตุใดหรือ เพราะวันนี้พวกเราได้ให้ฝ่าไว้แล้ว ฝ่านี้ก็จะบอกท่านว่าควรจะทำอย่างไร ฉะนั้นข้าพเจ้าว่า เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่แล้วก็ดี ท่านหาข้าพเจ้าไม่พบก็ดี ต้อง “ยึดฝ่าเป็นอาจารย์” ก็เพียงแต่ศึกษาฝ่านี้ ท่านจะสำเร็จหรือไม่ ไหวหรือไม่ไหวทั้งหมดคือฝ่านี้ ถ้าวันนี้หลี่หงจื้อเห็นว่าผู้ฝึกคนใดไม่เลว เปิดประตูหลังให้ท่าน และให้พลัง(กง)ท่านสักเล็กน้อย ให้ท่านขึ้นไปเถอะ ทุกท่านลองคิดดู เรื่องอย่างนี้มิเท่ากับข้าพเจ้ากำลังบ่อนทำลายฝ่าหรือ ฉะนั้นพวกเราทุกคนจักต้องบำเพ็ญ ล้วนต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญอย่างจริงๆ จังๆ แน่นอนพวกเราบางคนทุ่มเทอุทิศเป็นพิเศษให้กับฝ่าหลุนต้าฝ่า นั่นก็กำลังบำเพ็ญ เพียงแต่รูปแบบการบำเพ็ญไม่เหมือนกัน เขาเป็นการบำเพ็ญอีกวิธีหนึ่ง ที่จริงข้าพเจ้าพูดมาครึ่งวัน ก็คือบอกให้ทุกท่านสามารถศึกษาฝ่าอย่างจริงจัง บำเพ็ญอย่างจริงจัง

ในอนาคตโอกาสที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดพลัง(กง)ในประเทศอาจจะมีไม่มากแล้ว ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือทุกท่านจะยึดกุมฝ่านี้ให้ดีได้อย่างไร ฝ่าได้ถ่ายทอดไว้ให้แก่ทุกท่านแล้ว อันที่จริงจุดประสงค์ของข้าพเจ้าก็คือถ่ายทอดฝ่านี้ให้ไว้กับทุกท่าน ถ้าข้าพเจ้าเฝ้าดูใครบำเพ็ญอยู่โดยตลอด ข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านไม่ปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้าบอก นั่นจะมีประโยชน์อะไร ทั้งหมดไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ข้าพเจ้าบอกว่าฝ่าเซินของข้าพเจ้าสามารถปกป้องท่าน ที่จริงข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงสภาพการณ์ที่สูงยิ่งกว่า ยังไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ใหญ่กว่า  เพราะคนอยู่ในมิติอื่นล้วนมีร่างกาย ทุกๆ คน ร่างกายนั้นเมื่อมีพลังงานในระดับหนึ่งที่แน่นอนล้วนจะขยายใหญ่ ร่างกายที่บำเพ็ญของข้าพเจ้า ณ ฝั่งนั้นใหญ่มากแล้ว ใหญ่ถึงระดับใดนะหรือ มีคนถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์ไปสหรัฐฯ แล้ว ฉันจะฝึกพลัง(กง)อย่างไร ท่านสามารถจะปกป้องฉันหรือ ข้าพเจ้าบอกว่ามีฝ่าเซินปกป้องท่าน ที่จริงมีความหมายชั้นหนึ่ง ไม่เพียงแต่ฝ่าเซินของข้าพเจ้าที่ปกป้องท่าน ขอบเขตมิติที่ใหญ่พอควร ขอบเขตมิติที่กำหนดแน่นอนในจักรวาล ล้วนออกไปไม่พ้นท้องของข้าพเจ้า ต่อให้ท่านไปที่ใด นั่นมิใช่อยู่กับข้าพเจ้าตรงนี้หรือ หมายความว่าให้ท่านพยายามไปบำเพ็ญให้ดี

แน่นอนยังมีมารส่วนหนึ่งคงอยู่ ทำไมมีมารส่วนหนึ่งคงอยู่นะหรือ ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ช่วงใกล้ๆ นี้จัดการกับปัญหาบางอย่างอยู่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ทุกท่านลองคิดดู ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ศูนย์ฝึกพลัง(กง)ใดของเราก็มีเรื่องเช่นนี้ การบ่อนทำลายฝ่าของเรามีเกิดขึ้นเสมอ มีคนด่าว่าข้าพเจ้า มีคนบอกว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่ดีอย่างไร อย่างไร รบกวนการบำเพ็ญของพวกเราอย่างร้ายแรง แต่ทุกท่านลองคิดดู เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่ล่ะ ตลอดขั้นตอนของการบำเพ็ญของท่านล้วนมีประเด็นมูลฐานของความเข้าใจต่อฝ่าคงอยู่ ประเด็นที่ว่าท่านเด็ดเดี่ยวแน่วแน่หรือไม่ ตลอดไปจนท่านบำเพ็ญถึงขั้นสุดท้าย ยังคงทดสอบว่าท่านเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อฝ่าหรือไม่ หากประเด็นมูลฐานนี้ไม่ได้รับการแก้ไข ประเด็นอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง อะไรก็ไม่ต้องพูดถึง นี่ไม่ใช่ประเด็นหรอกหรือ ท่านไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อฝ่า ท่านจะสามารถปฏิบัติไปตามฝ่าหรือ แล้วท่านจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งอื่นหรือ   เขาจะคิดว่านี่ล้วนไม่ใช่ของจริง เขาจะมีปัญหาเช่นนี้คงอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย ดังนั้นจึงมีมารในรูปแบบชนิดนี้มารบกวนพวกเรา ถ้าไม่มีมารชนิดนี้จะเป็นอย่างไรนะ คนเขาก็พูดแล้ว ฝ่าหลุนต้าฝ่าของท่านนี้ ถ้าไม่มีการบ่อนทำลายเหล่านี้ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้มารบกวน ท่านก็บำเพ็ญง่ายเกินไปแล้ว เช่นนั้นจะดูว่าคนเขายกระดับสูงขึ้นอย่างไร เพียงแต่มีความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ไม่สบายทางร่างกาย เพียงแต่มีปัญหาความยุ่งยากเหล่านั้นที่ท่านประสบในเวลาปกติ เช่นนั้นท่านมิเท่ากับพลาดบางรายการไปแล้วหรือ แล้วเรื่องที่ว่าท่านเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อฝ่าหรือไม่ ทางด้านนี้จะทำอย่างไรล่ะ ผู้บำเพ็ญคือสมควรต้องยกระดับสูงขึ้นในทุกๆ ด้าน จิตที่สั่นคลอนเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่งที่มีความไม่มั่นคง ก็เป็นจิตยึดติด

ตรงนี้ข้าพเจ้าถือโอกาสพูดถึงอีกปัญหาหนึ่ง พูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง เพราะพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกท่านอยากจะให้ข้าพเจ้าพูดอีกหน่อย ก็คือเวลาที่ข้าพเจ้าเปิดสอน มีการถามถึงปัญหาหนึ่ง ก็คือเกี่ยวกับเรื่องของกรรม ทำความชั่วได้รับกรรม ทำความดีสามารถสะสมกุศล ได้กุศล ในการเปิดสอนรอบหลังๆ ข้าพเจ้าก็ได้พูดถึงว่า คนจะก่อเกิดกรรมแห่งความคิดชนิดหนึ่ง เรื่องนี้ที่ผ่านมาไม่ได้พูดละเอียด เพราะข้าพเจ้าเพียงแต่พูดอย่างกว้างๆ ว่ามีกรรมคงอยู่ เกี่ยวกับกรรมแห่งความคิดไม่ได้พูดละเอียด เช่นนั้นกรรมชนิดนี้มันจะส่งผลที่ไม่ดีอย่างไรล่ะ ทุกท่านล้วนเป็นผู้ช่วยฝึกสอน ในอนาคตเมื่อพบกับสภาพการณ์นี้ก็สามารถจะไปอธิบายกับทุกคน ผู้ฝึกใหม่บางคนพอฝึกพลัง(กง) ก็ด่าว่าอาจารย์ ด่าว่าฝ่าหลุนต้าฝ่า ความคิดไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ทำไมมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นล่ะ และยังด่าว่าด้วยคำพูดที่สกปรกหยาบคายมากๆ คำพูดสกปรกหยาบคายที่เวลาปกติคิดไม่ถึงก็พูดออกมาได้ ถึงแม้ไม่พูดออกมาก็คิดถึงมันในความนึกคิด หลายๆ คนเคยผ่านขั้นตอนเช่นนี้ โดยเฉพาะการฝึกพลัง(กง)ในระยะแรกจะมีปัญหานี้ปรากฏ เมื่อท่านบำเพ็ญจริงอย่างแท้จริง หลายๆ คนล้วนจะพบกับปัญหานี้ ดังนั้นบางคนจึงคิด “ทำไมฉันด่าว่าอาจารย์นะ” ความคิดนั้นก็ก่อเกิด “ฝ่านี้เป็นของปลอมจะฝึกตามเขาไม่ได้” จะมีความคิดเช่นนี้ บางคนความนึกคิดไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ก็โอนเอนตามไป ไม่ฝึกแล้ว ไม่เชื่อแล้ว พวกเราพูดแล้วว่า การบำเพ็ญพลัง(กง)ชุดนี้คือบำเพ็ญจิตสำนึกหลักของคน ตัวท่านเองก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองแล้ว ใครก็ไม่สามารถช่วยท่านได้ เหตุใดพวกเราจึงเน้นย้ำไม่ให้คนป่วยเป็นโรคประสาทเข้าร่วมชั้นเรียนนะหรือ ก็คือตัวเขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นใครที่พวกเราช่วยล่ะ พวกเราไม่ใช่ช่วยท่านหรอกหรือ ดังนั้นพวกเราจึงพูดถึงปัญหานี้

เช่นนั้นมีคนส่วนหนึ่งสามารถแยกแยะ บางคนก็คิด “ทำไมฉันด่าว่าอาจารย์นะ ทำไมฉันด่าว่าฝ่านะ ฉันต้องยับยั้งมัน” เวลานานเข้าทำให้จิตใจตรึงเครียด ตัวเองก็ยับยั้งไม่อยู่ แต่ฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็จะรู้ พอเห็นว่าความนึกคิดของท่านเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างนี้ ก็จะช่วยท่านสลายกรรมแห่งความคิดอันนี้ทิ้งไป อันที่จริงล้วนเป็นกรรมแห่งความคิดนั้นที่กำลังก่อปัญหา ในอดีตท่านเคยด่าว่าคน ความคิดที่ไม่ดีในอดีตของท่านล้วนสามารถพลิกกลับออกมา ทำไมมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนะหรือ ทุกท่านลองคิดดู พวกเราฝึกพลัง(กง)ก็คือการสลายกรรม ในมิติอื่นทุกสิ่งล้วนมีชีวิต ข้าพเจ้าก็เคยพูดก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องนี้ในชั้นเรียนว่า กรรมนั้นก็มีชีวิต ท่านจะสลายกรรม กรรมนั้นเมื่อถูกสลายไป มันก็จะตาย หมดไป แล้วมันจะยอมหรือ ท่านจะให้มันตายมันจะยอมได้หรือ มันมีชีวิตอยู่แล้ว ฉะนั้นมันจึงไม่ให้ท่านฝึก  ไม่ให้ฝึกเป็นเพราะมันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ให้ท่านสลายมันทิ้ง ดังนั้นมันจึงสะท้อนคำพูดสกปรกหยาบคายเข้าไปในสมองของท่าน ไม่ให้ท่านเชื่อถือฝ่าหลุนต้าฝ่า กระทั่งด่าว่าข้าพเจ้า คำพูดอะไรก็คิดออกมาได้ บางคนจึงเข้าใจว่าเป็นตัวเขาเอง อธิบายไม่ถูกแล้ว ใช่หรือไม่ว่ามีใครกำลังคิดคำพูดให้แก่เขา หรือตัวเองรู้อย่างแท้จริงนะ เขาแยกแยะไม่ออก ก็โอนเอนตามไป คนคนนี้ก็จบแล้ว ใครก็ช่วยเขาไม่ได้แล้ว ที่จริงก็คือกรรมแห่งความคิดนี้กำลังก่อผลในการขัดขวาง

มันเป็นขั้นตอนหนึ่ง ขั้นตอนที่สั้นมาก เพียงแต่ความคิดของท่านเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ก็สามารถสลายมันทิ้งไปได้ ก็สามารถสลายกรรมนี้ทิ้งไปได้ ที่ผ่านมาเวลาจัดการสอนข้าพเจ้าไม่ได้เน้นอธิบายสิ่งนี้ ในระยะหลังๆ นี้ มีคนจำนวนไม่น้อยสะท้อนสภาพการณ์นี้ให้แก่ข้าพเจ้า ทุกท่านไม่ต้องกังวล ท่านด่าว่าข้าพเจ้าก็ดี ด่าว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าก็ดี นั่นไม่ใช่ตัวท่านที่กำลังด่าว่า จะต้องแยกแยะให้ชัดเจน ถ้าจิตสำนึกหลักไม่แจ่มชัดก็เป็นอันจบกัน ใครก็ไม่อาจจะช่วยได้แล้ว ปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ บางคนถึงกับคิด “ฉันทำไมทำผิดต่ออาจารย์ ฉันทำไมด่าว่าอาจารย์นะ” ที่เมืองฉางชุนมีผู้ฝึกพูดว่า “ฉันทำไมด่าว่าอาจารย์ ด่าว่าต้าฝ่านะ” แล้วก็พูดต่อหน้ารูปถ่ายของข้าพเจ้าว่า“อาจารย์ ฉันไม่สามารถฝึกแล้ว พอฉันฝึกในความคิดก็ด่าว่าท่าน ฉันไม่สามารถบำเพ็ญแล้ว ฉันทำผิดต่ออาจารย์” พอสัมผัสกับฝ่าหลุนต้าฝ่าก็จะด่าว่า หยิบหนังสือขึ้นมาในความคิดก็ด่าว่า สุดท้ายพูดว่า“อาจารย์ดีอย่างนี้ ฝ่าที่ดีอย่างนี้ ฉันรู้สึกเสียใจยิ่งนัก” แน่นอนผู้ฝึกของเราคนนี้ ความคิดของเขาไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย เขามีสติแจ่มชัด บอกว่าฉันทำอย่างนี้ผิดต่ออาจารย์ ต่อมาภายหลังเมื่อเขาฝึกพลัง(กง)ก็ได้นำเรื่องนี้บอกกล่าวแก่ผู้ช่วยฝึกสอนของเราที่ศูนย์ฝึกฯ ผู้ช่วยฝึกสอนจึงรายงานไปยังศูนย์ใหญ่ทันที ต่อสถานการณ์นี้ทุกคนบอกเขาว่านี่ล้วนเป็นการส่งผลของมาร ที่จริงกรรมชนิดนี้ก็เป็นรูปแบบชนิดหนึ่งของมารนี่นะ ในช่วงระยะนั้นที่เขาฝึกพลัง(กง)ชักนำมาร ทุกคนฝึกล้อมรอบตัวเขา ล้อมเป็นวงรอบตัวเขาอ่านหนังสือ เขาจึงมีสติแจ่มชัดแล้ว ในความเป็นจริงคือช่วยเขาสลายกรรม

แน่นอน หนังสือของข้าพเจ้าสามารถบังเกิดผลเช่นนี้ ท่านไม่เชื่อ บางคนเป็นโรค แน่นอนข้าพเจ้าไม่อยากบอกว่าเป็นโรค ที่จริงโรคนั้น เชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเป็นต้น สิ่งมีชีวิตจุลภาคประเภทนี้ ล้วนเป็นกรรมที่ปรากฏอยู่บนร่างกายของเรา ในมิตินี้ ดังนั้นอ่านหนังสือของข้าพเจ้าก็จะสามารถสลายมัน เวลาที่อ่านหนังสือสิ่งที่ส่งออกมาล้วนเป็นพลัง(กง) สิ่งที่ส่งออกมาล้วนคือฝ่า จึงสามารถบังเกิดผลในการสลายกรรม เขารู้สึกว่ามีสติแจ่มชัดมาก ดีมาก แต่พอกลับไปเขาก็ป่วยอีก ทำไมป่วยอีกแล้วล่ะ ที่จริงในช่วงเวลานี้เป็นเพราะกรรมแห่งความคิดของเขาค่อนข้างใหญ่ เขาต้องแบกรับมากว่าคนอื่นสักหน่อย แต่เมื่อเขาเข้าใจแล้ว เขาอดทนแบกรับไปได้ เวลาผ่านไปไม่นาน ฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็จะช่วยสลายกรรมให้เขาและสลายส่วนที่เหลือทิ้งไปแล้ว เขาก็จะข้ามมาแล้ว เวลานี้หายดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เมื่อเกิดปัญหานี้ ทุกท่านก็อย่าถือว่าเกิดจากประสาทไม่ดี หรือถูกฟู่ถี่(ถูกสิง ถูกแฝง)แล้ว ไม่ใช่เป็นกรณีเช่นนี้

ท้ายนี้ข้าพเจ้าพูดถึงความหวังสักหน่อย ไม่อยากจะใช้เวลาของทุกท่านมากไปกว่านี้ เนื่องจากเป็นการประชุมของผู้ช่วยฝึกสอน ในศูนย์ของพวกท่านยังมีเรื่องอื่นอีก หวังว่าทุกท่านจากวันนี้ไปจะสามารถริเริ่มความนิยมศึกษาฝ่า ต้องไม่คิดว่าการฝึกพลัง(กง)ทุกวันสำคัญกว่าการศึกษาฝ่า พวกเราต้องยืนหยัดฝึกพลัง(กง)ทุกวัน การศึกษาฝ่าก็ต้องยืนหยัดทุกวันเช่นกัน ยึดกุมฝ่านี้ให้ดีอย่างแท้จริง จึงจะสามารถชี้นำการบำเพ็ญของท่าน บางคนจะรอแต่อาจารย์ มีปัญหาก็จะรอแต่อาจารย์อธิบายปัญหาให้เขา ที่จริงทั้งหมดมีอยู่ในฝ่านั้น เพียงท่านไปศึกษาปัญหาอะไรก็มีคำตอบ แน่นอนถ้าท่านไม่เชื่อถือฝ่า ใจหวั่นไหว ข้าพเจ้าว่านั่นก็คือปัญหาของการรับรู้ นอกจากนี้ พวกเรานั่งอยู่ ณ ที่นี้ ทุกคนล้วนเป็นผู้ช่วยฝึกสอน ทำงานของผู้ช่วยฝึกสอนอยู่ แน่นอน ทุกคนล้วนเป็นการอาสาสมัคร พวกเราไม่ได้กำหนดให้ทุกท่านทำอย่างไรอย่างไร ทำอะไรอะไรโดยการบีบบังคับ แน่นอนพวกเรากำหนดว่าผู้ช่วยฝึกสอนต้องจริงจังและรับผิดชอบ การฝึกพลัง(กง)ต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว นี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะขาดไม่ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการบริหารต่างๆ มาพวกควบคุมใคร พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์อันนี้ด้วย การบำเพ็ญต้องพึ่งตัวเอง พวกเราเพียงแต่อาสารับหน้าที่เช่นนี้ในการจัดรวบรวมคน ช่วยทุกคนแก้ไขปัญหา

เช่นนั้นข้าพเจ้าคิดว่าผู้ช่วยฝึกสอนควรจะเข้าใจรับรู้ฝ่าได้สูงกว่าผู้ฝึกทั่วไปสักหน่อย ฉะนั้นต้องศึกษาฝ่าให้มาก ผู้ฝึกบางคนถามคำถามแล้วตอบไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่านี่ก็เป็นปัญหา ท่านมีการศึกษาต่ำไม่เป็นไร เวลาจัดรวบรวมคนศึกษา(ฝ่า) เวลาทุกคนอ่านหนังสือ เวลาทุกคนพูดถึงความเข้าใจก็ช่วยท่านยกระดับสูงขึ้น ข้าพเจ้าอยู่ที่ฉางชุน พวกเขาจัดการประชุมของผู้ช่วยฝึกสอนครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้พูดอย่างนี้ข้าพเจ้าบอกว่ารูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้ของพวกเราในวันนี้ คนเหล่านี้ที่กำลังบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ นั่นก็คือเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ แต่ในความเป็นจริงพวกเราเป็นผู้ฝึกพลัง(กง)คนหนึ่ง แต่ก็ไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ เช่นนั้นการเป็นผู้ช่วยฝึกสอนคนหนึ่ง ทุกท่านลองคิดดู เวลาที่ท่านจัดรวบรวมคนกลุ่มหนึ่งฝึกพลัง(กง) หน้าที่ของท่านคืออะไร ถ้าบำเพ็ญกันเป็นอาชีพ นั่นก็คือเจ้าอาวาส สมภารในวัด ทุกท่านลองคิดดู เช่นนั้นพวกเราไม่สมควรจะทำงานนี้ให้ดีหรอกหรือ การเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ท่านต้องบำเพ็ญ ยังต้องช่วยเหลือทุกคนในการบำเพ็ญ ไม่ใช่พูดว่าตั้งข้อกำหนดต่อทุกท่านไว้สูง ในความเป็นจริงก็คือเช่นนี้ ทุกท่านจะต้องทำให้ดีในบทบาทนี้ จัดรวบรวมผู้ฝึกให้ดี เพื่อให้พวกเราสามารถส่งเสริมฝ่าหลุนต้าฝ่านี้ให้เจริญรุ่งเรือง สร้างความผาสุขให้แก่มนุษยชาติ นี่คือสิ่งที่พวกเราพูด ณ ระดับชั้นที่ต่ำสุด ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้

ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ข้าพเจ้านึกขึ้นมาได้ เมื่อครู่เป็นข้อกำหนดบางประการที่มีต่อพวกเราทุกคน นอกจากนี้บางคนไม่ตั้งใจทำงาน เรื่องอะไรของสังคมดูเหมือนก็ไม่สนใจแล้ว รอคอยแต่มหันตภัยที่จะมา บางคนยังต้องการจะถามข้าพเจ้า มหันตภัยจะเริ่มขึ้นเมื่อไรนะ ในช่วงของการเปิดสอนข้าพเจ้าเคยพูดถึงปัญหานี้ ข้าพเจ้าพูดว่ามหันตภัยอะไร ทุกท่านลองคิดดู มหันตภัยนั้นมุ่งตรงมาที่ใคร คนดีไม่ตกอยู่ในมหันตภัย ถ้ามีหมันตภัยจริงๆ เช่นนั้นคนดีก็จะต้องคงเหลืออยู่ มันจะกำจัดคนเลวทิ้งไป ฉะนั้นท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ท่านกำลังยกระดับสูงขึ้น ท่านยังจะสนใจสิ่งเหล่านั้นไปทำไม มันจะเป็นมหันตภัยอะไร จะเป็นมหันตภัยอะไรก็แล้วแต่ จะไม่เกี่ยวกับท่าน นี่พูดถึงว่าถ้าจะมีมหันตภัยจริงๆ แต่วันนี้ข้าพเจ้าสามารถบอกกับทุกท่านอย่างชัดเจนมหันตภัยที่ว่านี้ไม่คงอยู่แล้ว ที่ผ่านมาทุกคนพูดว่า โลกจะระเบิดอะไรเอย การชนกันของดาวบริวารอะไรเอย เกิดน้ำท่วมใหญ่อะไรเอย ทุกท่านทราบมหันตภัยนี้ ในอดีตมหันตภัยที่กำหนดนั้นจะเกิดขึ้นทีละอย่างต่อๆ กัน มหันตภัยที่กำหนดไว้ ณ ระดับชั้นต่างๆ ล้วนผ่านไปแล้ว ดาวหางชนดาวจูปีเตอร์ไปแล้ว ไม่ได้ชนโลก น้ำท่วมนั้นก็ผ่านไปแล้ว เมื่อปีที่แล้วน้ำท่วมครั้งนั้นรุนแรงมาก เป็นไปทั่วโลก เวลานี้อ่อนลงมากแล้ว เล็กลงถึงระดับที่ผ่านไปทั้งหมดแล้ว สิ่งต่างๆ ก็ผ่านไปแล้ว  สิ่งเดียวที่คงอยู่ก็คือ พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง สิ่งเดียวที่คงอยู่ในอนาคตอาจจะมีคนกลุ่มหนึ่งต้องถูกกำจัดทิ้งไป คนที่ไม่ดีเหล่านั้น อาจจะต้องถูกกำจัดทิ้งไปท่ามกลางโรคภัยที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง นี่เป็นเรื่องเป็นไปได้ ฉะนั้นพวกเราจึงพูดว่าคนแก่เฒ่าบางคนที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเหล่านี้ ภัยพิบัติชนิดนี้ไม่คงอยู่แล้ว จะบำเพ็ญอย่างไร จะยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นอย่งไร นี่เป็นประเด็นสำคัญ

ข้าพเจ้าก็จะพูดเพียงเท่านี้ ต่อจากนี้พวกเราก็ประชุมกันต่อ (เสียงปรบมือกึกก้อง)

 

 

                                    บันทึกเสียงโดยศูนย์ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า ศูนย์ใหญ่เป่ยจิง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การบรรยายธรรมต่อหัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนบางส่วนจากทั่วประเทศ ณ กว่างโจว

(27-12-1994)

            ศูนย์ช่วยฝึกสอนของเราได้ทยอยก่อตั้งขึ้นมาในหลายพื้นที่ หลายๆ คนที่ได้เข้าร่วมการสัมมนาในพื้นที่อื่นแล้วรู้สึกว่าหลักพลัง(กง)นี้ดีมาก อยากจะถ่ายทอดหลักพลัง(กง)นี้ให้แก่คนในท้องถิ่น จึงริเริ่มสอนพลัง(กง)ในสวนสาธารณะหรือถ่ายทอดพลัง(กง)นี้ด้วยวิธีอื่นๆ ส่งผลให้ฝ่าหลุนต้าฝ่าได้รับผลสะท้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกท่านได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ได้อุทิศตนอย่างมาก สรุปเป็นคำพูดหนึ่งประโยค คืออยากให้คนได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น ให้คนมากยิ่งขึ้นได้ยกระดับสูงขึ้น ให้คนมากยิ่งขึ้นได้ประโยชน์ ทุกท่านล้วนแต่กำลังทำความดี ศูนย์ช่วยฝึกสอนได้ทยอยก่อตั้งขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ในอนาคตยังจะมีมากยิ่งขึ้น สิ่งที่ประสบก็คือปัญหาการจัดการดูแลอย่างไร และจะเป็นประเด็นที่เด่นชัดในอนาคต จึงอยากให้พวกเรานั่งลงมาพูดคุยกันให้ทันกับเวลา

            การจัดการดูแลศูนย์ช่วยฝึกสอนของเรานั้นมีการกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกท่านทราบ การมาศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่า พวกเราไม่ใช้วิธีการบริหารองค์กร เช่นจะต้องให้คนมาเรียนเอย แต่งตั้งตำแหน่งให้ ให้สัญญา บอกว่าจะได้เงินมากเท่าใดๆ เอย ทุกท่านล้วนมาด้วยความสมัครใจกันทั้งหมด และล้วนต้องการจะศึกษาฝ่านี้ อยากให้คนจำนวนมากยิ่งขึ้นได้รับประโยชน์ ทุกท่านจึงทำงานนี้ด้วยความกระตือรือร้น หมายความว่าทำโดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัด ยิ่งกว่านั้นการทำงานนี้ก็ลำบากมาก เป็นการทำความดีเพื่อผู้อื่น ทุ่มเทเพื่อผู้อื่น ไม่มีค่าตอบแทน แน่นอนไม่มีค่าตอบแทน นั่นเป็นการพูดจากมุมมองของคนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าว่าการเผยแพร่ต้าฝ่าให้กว้างไกลนั้นคือคุณูปการและบุญกุศลอันประเมินมิได้ ก่อนหน้านี้พวกเราได้กำหนดไว้หลายครั้งแล้ว ในหนังสือก็มีเงื่อนไขของการก่อตั้งศูนย์ช่วยฝึกสอน ศูนย์ช่วยฝึกสอนที่พวกเราก่อตั้ง ไม่เหมือนกับหน่วยงานใดในสังคม และไม่เหมือนกับบริษัทหนึ่งๆ หรือหน่วยงานองค์กรหนึ่งๆ พวกเราไม่ทำอย่างนี้ นี่เป็นลักษณะเด่นที่สุดของเรา เหตุใดไม่ทำอย่างนี้นะหรือ เพราะมันจะกระตุ้นให้คนคิดอยากทำเป็นธุรกิจได้ง่าย กระตุ้นให้เกิดจิตยึดติดอันนี้ได้ง่าย นอกจากนี้ยังจะเกี่ยวโยงไปถึงประเด็นต่างๆ ที่จะตามมา หากศูนย์ช่วยฝึกสอนของเราดำเนินการเหมือนกับหน่วยงานหนึ่งๆ ในนั้นก็จะเกี่ยวโยงถึงปัญหาอีกมากมาย ตัวอย่างเช่นสถานที่ต้องใช้เงิน ติดตั้งโทรศัพท์ต้องใช้เงิน ค่าน้ำค่าไฟล้วนต้องใช้เงิน เช่นนั้นเงินทุนเหล่านี้จะมาจากไหนล่ะ ทุกท่านล้วนแต่อาสาสอนฝึกพลัง(กง) พวกเราก็ไม่เก็บค่าสมาชิกเลย ไม่เก็บเงินจากทุกคน ทั้งหมดล้วนเกิดจากความสมัครใจ ฉะนั้นพวกเราจึงไม่ทำเช่นนี้ การบำเพ็ญที่แท้จริงก็ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ องค์ศากยมุนีเมื่อตอนที่ถ่ายทอดฝ่าอยู่นั้น เพื่อไม่ให้คนเกิดจิตยึดติดอันนี้ พระองค์ทรงนำลูกศิษย์ออกบวชไปบำเพ็ญในวัด พระองค์ทรงทำเช่นนี้ แต่ศาสนาอื่นๆ บางศาสนา เช่นศาสนาทางตะวันตกบางศาสนาจึงไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ โดยแท้จริงก็มีการพูดถึงเรื่องการมองดูชื่อเสียง ผลประโยชน์อย่างเบาบาง หมายความว่า พวกเราคิดจะบำเพ็ญอย่างแท้จริง คิดจะยกระดับสูงขึ้น คิดจะทำเรื่องที่ดีนี้ พวกเราก็ไม่อาจทำเรื่องนี้ให้เป็นธุรกิจ และไม่อาจทำเหมือนกับหน่วยงานองค์กร ทุกท่านพึงระวังเรื่องนี้ให้ดี

            นอกจากนี้ ตรงนี้ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าท่านหาเงินหาทอง ใช้มันเพื่อหาเงินทอง เช่นนั้นก็เป็นการบ่อนทำลายฝ่าโดยสิ้นเชิง เพราะฝ่าคือการช่วยเหลือคน ไม่สามารถนำมาทำค้าขาย ทำการค้า นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้มีอาจารย์ชี่กงมากมายที่ทำการรักษาโรคเอย ให้คำปรึกษาเอย และหาเงินทองได้จำนวนหนึ่ง ในพลัง(กง)สำนักอื่นๆ มีการทำเช่นนี้ ยังมีบางสำนักพูดอย่างเปิดเผยว่าไม่มีเงินทองไม่อาจจะทะนุบำรุงเต๋า โดยแท้จริงล้วนเป็นการพูดเหลวไหล ราวกับว่าผู้บำเพ็ญในยุคโบราณของจีนล้วนมีเงินทองร่ำรวย แท้จริงแล้วพวกเขายากจนมาก แน่นอนพวกเราก็ไม่คัดค้านที่ท่านมีเงินทอง ปัญหานี้ข้าพเจ้าเคยพูดไปแล้ว ในการทำงานท่านสามารถทำงานในความรับผิดชอบให้ดี หาเงินได้มากสักหน่อย นี่เป็นเรื่องในหมู่คนธรรมดาสามัญ ในขั้นตอนของการบำเพ็ญก็คือพวกเราจะปกป้องฝ่านี้อย่างไร ไม่ทำให้ฝ่านี้เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ผิดเพี้ยนไปได้อย่างไร ไม่เพียงแต่ทุกท่านเท่านั้นที่เรียนฝ่านี้ในวันนี้ ในอนาคตยังจะสืบทอดอยู่ต่อไปในประวัติศาสตร์เป็นเวลายาวนาน ทุกท่านล้วนกำลังศึกษาฝ่านี้ ปฏิบัติตามฝ่านี้ ถ้าพวกเราไม่ปฏิบัติต่อเขา(ฝ่า)ให้ดีๆ ตั้งแต่เริ่มต้น เดินผิดเพี้ยนไปตั้งแต่เริ่มต้น เช่นนั้นในอนาคตโฉมหน้าก็จะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกท่านทราบ ข้าพเจ้าตรงนี้ ที่ตัวข้าพเจ้าตรงนี้จะพยายามปฏิบัติกับเขาให้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่ดี ปรากฏการณ์ที่ไม่ดีใดๆ ในอนาคตศูนย์ช่วยฝึกสอนแต่ละแห่งก็เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ที่ท่านทำก็เป็นตัวแทนฝ่าหลุนกง จากอีกนัยหนึ่งก็เป็นการสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของฝ่าหลุนกง ทุกท่านพึงต้องระวังภาพลักษณ์ของตัวเอง พึงระวังวิธีทำงานให้ดี ต้องไม่ทำให้ฝ่าหลุนกงมัวหมอง ถ้าก่อตั้งเป็นหน่วยงานองค์กรขึ้นมาหาเงินหาทอง ข้าพเจ้าว่านี่ก็จะไม่ใช่ฝ่าแต่อย่างใดแล้ว ในนี้เมื่อเกี่ยวโยงไปถึงเงินทอง สิ่งของ ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ ก็จะเกิดเรื่องท่านหาเงินทองได้มาก ฉันหาได้น้อย ฉันทำงานมากควรจะได้รับการชดเชยซิ จะเบิกค่าใช้จ่ายอย่างไรดีนะ สังคมยังจะขอให้ท่านช่วยออกค่าใช้จ่ายอะไรเป็นต้น ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าทำในรูปแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ ละก็ นั่นก็จะไม่ใช่การบำเพ็ญแล้ว นั่นเป็นบริษัทโดยสิ้นเชิง ให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด

            พวกเรานำฝ่านี้ออกมาถ่ายทอด เหตุผลที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้เป็นเพราะพวกเราสามารถจัดการดูแลเขา(ฝ่า)ได้ดี สามารถทำให้เขาไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ผิดเพี้ยนไป ถ้าพวกเราไม่ทำให้ดีตั้งแต่เริ่มต้น ก็ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังจะทำให้ผิดเพี้ยนไปไกลแค่ไหน เมื่อก่อนในสภาพการณ์ที่หลี่หงจื้อยังอยู่ทำเช่นไร วันนี้ก็ทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าอยู่ เรื่องบางอย่างข้าพเจ้าสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่  ก็ไม่รู้ว่าจะทำจนกลายสภาพเป็นเช่นไร ดังนั้นพวกเราจึงกำหนดให้ทำเช่นนี้อย่างเข้มงวดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ก่อตั้งเป็นองค์กร การจัดการดูแลพลัง(กง)ของเราคือ ศูนย์ช่วยฝึกสอนนั้นไม่ให้มีการเก็บเงินทองเอาไว้ ทั้งหมดเป็นการช่วยฝึกสอนด้วยความสมัครใจ พวกเราก็ไม่จัดตั้งเป็นองค์กร เป็นกลุ่มเป็นพรรค หมายความว่าทุกคนอาสาทำความดีเพื่อผู้คน เพื่อผู้คนจำนวนมาก

            คนเขาอยากจะบำเพ็ญพวกเราก็ช่วยสอนเขา พวกเราตัวเองก็เป็นผู้บำเพ็ญ ก็คือหลักการอย่างนี้ ดังนั้นการก่อตั้งศูนย์ช่วยฝึกสอน ทุกท่านก็ไม่ควรอยากจะตั้งสำนักงานอะไรเอย โทรศัพท์เอย อย่างนี้อย่างนั้น ไม่ทำเช่นนี้ ศูนย์ช่วยฝึกสอนของเราบางแห่งใช้เงื่อนไขที่มีอยู่ หรือตั้งอยู่ที่บ้าน หรือแม้กระทั่งใช้ห้องทำงานของตัวเอง ก็สามารถทำได้ดีมาก มีเงื่อนไขอะไร พวกเราทำได้อย่างไรอันนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือความเข้าใจต่อฝ่าและการรับรู้และเข้าใจต่อฝ่า สามารถยืนหยัดบำเพ็ญต่อไปได้หรือไม่ นี่คือสิ่งสำคัญ จะยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นได้อย่างไร อันนี้จึงจะเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นเรื่องรอง แน่นอน เพื่อให้ทำงานได้สะดวก มีบางคนเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกแก่เราบ้าง ข้าพเจ้าว่านี่ไม่มีปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ในหมู่ผู้ฝึกของเรา บางคนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับผู้นำในสถาบันหนึ่งๆ หรือในองค์กรธุรกิจ หรือในหน่วยงานอื่นๆ หรือเป็นผู้จัดการในองค์กรธุรกิจ เสนอสิ่งอำนวยความสะดวก จัดสถานที่ให้พวกเราใช้ประชุม ข้าพเจ้าว่าอันนี่ไม่มีปัญหา มันก็ไม่เกี่ยวโยงถึงเรื่องเงินทอง เพราะทุกสาขาอาชีพล้วนมีผู้ฝึกของเรา สามารถแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ยิ่งกว่านั้นคนเขายังยินดีที่จะทำอย่างนี้ อาสาทำงาน อุทิศอะไรเล็กน้อยเพื่อฝ่าหลุนกง รู้สึกยินดีมาก เรื่องประเภทนี้ล้วนมีปรากฏทุกแห่ง เสนอสถานที่ให้ฝ่าหลุนกงใช้ เสนอเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย ทุกท่านทำเรื่องอย่างนี้อย่างกระตือรือร้นมาก

            นอกจากนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ฝึกในการฝึกพลัง(กง) ศูนย์ช่วยฝึกสอนแต่ละแห่งได้จัดทำสิ่งพิมพ์ประเภทรายงานข่าวย่อยออกมาเป็นระยะๆ เช่น “ฝ่าหลุนต้าฝ่าที่ฉางชุน”  “ฝ่าหลุนต้าฝ่าที่เป่ยจิง” “ฝ่าหลุนต้าฝ่าที่อู่ฮั่น” และอื่นๆ ข้าพเจ้ารู้สึกว่ารูปแบบอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือเอกสารแนะนำ ล้วนเป็นประสบการณ์และความเข้าใจของผู้ฝึกเรา เมื่อมีเรื่องที่ต้องการให้ทุกท่านทำก็แจ้งให้ทุกท่านรับรู้ได้ทันเวลา แต่โดยมากพวกเขาทำเรื่องนี้อย่างเรียบง่าย ใช้กระดาษแผ่นสองแผ่น หรือจัดพิมพ์ให้ดีขึ้นอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นค่าใช้จ่ายจำนวนนี้จะจัดการกันอย่างไรล่ะ ตรงนี้ก็เกี่ยวโยงถึงเงินทอง   ตามที่ข้าพเจ้าทราบ พื้นที่ที่จัดทำสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ใช้วิธีเช่นนี้ หนึ่งคือในหมู่ผู้ฝึกมีบางคนทำการค้า เวลานี้มีคนจำนวนไม่น้อยเปิดบริษัท หรือทำงานอย่างนี้ในหน่วยงาน หรือเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร มีเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย หน่วยงานมีโรงพิมพ์ จึงใช้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวยเช่นนี้จัดพิมพ์ หรือมีองค์กรธุรกิจเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกให้ท่านทำเรื่องนี้ พวกเราศูนย์ช่วยฝึกสอนไม่แตะต้องเงินทอง เขาช่วยทำให้เรา พวกเราเพียงแต่จัดทำร่าง จัดทำเสร็จแล้วพวกเราก็แจกจ่ายออกไป ล้วนแต่ทำกันเช่นนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการทำเช่นนี้ดีแล้ว บางคนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำ มีกำหนดการจัดทำเป็นประจำ ทำไม่ได้ก็คิดหาวิธี พวกเราไม่จำเป็นต้องมีกำหนดการจัดทำเป็นประจำ มีเงื่อนไขทำได้ก็ให้กำหนดการจัดทำเป็นประจำ ไม่มีเงื่อนไขทำได้ก็ไม่ต้องฝืนทำ คือหลักการเช่นนี้

            การจัดการดูแลศูนย์ช่วยฝึกสอนนั้นมีข้อกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกท่านก็ทำไปตามข้อกำหนด การจัดตั้งศูนย์ช่วยฝึกสอนนั้นก็มีกำหนดเงื่อนไข และก็ได้บอกกับทุกท่านแล้ว ให้แจ้งศูนย์ฯ ตั้งใหม่ต่อทางเป่ยจิงหรือต่อทางศูนย์ใหญ่ที่มีอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะคือศูนย์ฯ ระดับมณฑลหรือของเมืองใหญ่ๆ ควรรับผิดชอบดูแลศูนย์ฯ ตั้งใหม่ที่อยู่ในเขตการจัดการของท่าน เช่นศูนย์ฯ เมืองกุ้ยหยางก็ต้องรับผิดชอบทางกุ้ยโจว ศูนย์ฯ ในแต่ละอำเภอก็ต้องติดต่อกับพวกเขาให้ทันเวลา มันอาจจะไม่สะดวกที่ศูนย์ฯ ทุกๆ แห่งจะติดต่อกับทางเป่ยจิง ศูนย์ที่อยู่ใกล้เมืองใหญ่ของแต่ละอำเภอก็ต้องดูแล เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินการและขยายงานออกไปได้ บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อฝ่าหลุนกง หากท่านไม่จัดการดูแล ปล่อยให้เขาทำไปตามอำเภอใจโดยที่ไม่เข้าใจหลักการของเรา ก็จะทำผิดเพี้ยนไปเลย นี่ก็จะเป็นการสูญเสียสำหรับฝ่าหลุนกง นอกจากนี้เหมือนศูนย์ที่ใหญ่ขนาดศูนย์อู่ฮั่นซึ่งช่วยดูแลหลายมณฑลที่อยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าเห็นว่าดีมากทีเดียว พวกเขามีประสบการณ์ค่อนข้างมาก ทำงานมานานแล้วข้าพเจ้าก็วางใจ พวกเขามีความเข้าใจต่อฝ่าค่อนข้างดี ขยายงานได้ค่อนข้างดี โดยหลักเป็นสภาพการณ์เช่นนี้ ศูนย์ช่วยฝึกสอนของเราอย่าได้เดินผิดเพี้ยนเป็นอันขาด

            มีคนส่งคำถามขึ้นมาถามว่าบุคลากรของศูนย์ช่วยฝึกสอนจัดสรรกันอย่างไร บุคลากรล้วนแต่เป็นอาสาสมัคร แต่มีข้อกำหนดข้อหนึ่ง หัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนต้องเป็นคนที่เคยเข้าร่วมการสัมมนาที่ข้าพเจ้าจัด ยิ่งฟังมากจะยิ่งเข้าใจได้ลึกซึ้ง คนที่ฟังน้อยมักจะเข้าใจไม่ลึกซึ้ง กระทั่งยังมีบางสิ่งที่ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราว(ฝ่าหลุนกง)เป็นอย่างไร จึงนำพา(คน)ผิดเพี้ยนได้ง่าย แน่นอนต่อไปเมื่อฟังให้มาก ดูให้มาก ศึกษาให้มากความเข้าก็จะเพิ่มมากขึ้นได้ การรับรู้เข้าใจจะมีมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เวลาคัดเลือกคนต้องเลือกคนที่มีความกระตือรือร้น ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำอะไรที่นอกรีตนอกรอย

            นอกจากนี้ การบำเพ็ญปฏิบัติของฝ่าหลุนกงไม่ใช่การฝึกบำเพ็ญชี่กงทั่วๆ ไป เขา(ฝ่าหลุนกง)เป็นการบำเพ็ญปฏิบัติในระดับชั้นสูง การชำระร่างกายให้แก่คนๆ หนึ่งให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ลำบากมาก  การยกระดับซินซิ่งให้สูงขึ้นอย่างแท้จริงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก ข้าพเจ้าต้องส่งพลัง(กง)ออกไปมากมายเพื่อชำระร่างกายของพวกเขาให้บริสุทธิ์ การชำระสะสางร่างกายให้แก่พวกเขา ต้องใส่สิ่งต่างๆ ให้แก่พวกเขา ยังต้องอธิบายฝ่าให้ถึงแก่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ข้าพเจ้าสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ภายในเวลาอันสั้น  ถ้าพวกเขาบำเพ็ญด้วยตัวเอง อาจจะต้องใช้เวลานับหลายสิบปีจึงจะสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ทั่วไปก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาบรรลุถึงขั้นนี้ภายในเวลาหนึ่งหรือสองปี การนำพาคนๆ หนึ่งอย่างแท้จริงนั้นไม่ง่ายเลย หากจะทำลายคนๆ หนึ่งนั้นใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ ดังนั้นพวกเรามีข้อกำหนดเช่นนี้เสมอมา

มีกฎข้อหนึ่งเช่นนี้ ไม่ให้ผู้ที่มีตำแหน่งในสมาคมชี่กงของแต่ละพื้นที่รับผิดชอบงานของศูนย์ช่วยฝึกสอนของเรา แต่มีกรณียกเว้นกรณีหนึ่ง เช่นมีหัวหน้าศูนย์ฝึกคนหนึ่ง เป็นคนที่ดีมากๆ เขาคิดจะถอนตัวจากสมาคมชี่กงเพื่อมาทำงานของศูนย์ฯ เพราะสมาคมชี่กงนี้อยู่ในสภาพแทบจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้แล้ว ตัวเขาเองก็เป็นคนที่ดีมากๆ และสามารถประคองตัวเองไว้ได้ นี่คือกรณียกเว้นเพียงกรณีเดียว คนของสมาคมชี่กงพื้นที่อื่นๆ มีความเข้าใจต่อฝ่าของเรานี้ไม่ลึกซึ้ง ในสมองของพวกเขา โดยหลักคือจะหาเงินทองได้อย่างไร เรื่องดูแลจัดการพลัง(กง)แต่ละกลุ่มเอย ความคิดเดิมๆ ฝังแน่นอยู่ในสมองของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเขาเห็นพวกเราเป็นชี่กงทั่วไป แลัวจัดการตามลักษณะนั้นก็อาจจะทำลายผู้ฝึกของเราไป ดังนั้นตลอดมาพวกเราได้ตั้งกฎไว้ว่าไม่อาจจะให้คนของสมาคมชี่กงรับผิดชอบงานของศูนย์ของเรา หัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนของเราล้วนแต่อนุมัติโดยสมาคมค้นกว้าวิจัยของเรา ส่วนใหญ่ล้วนแต่มอบหมาย กำหนดโดยตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่จะไม่ทำให้ต้าฝ่าของเราเบี่ยงเบนไป ไม่เช่นนั้นหากดูแลจัดการตามแบบชี่กงทั่วไป ไปแล้ว ทุกท่านลองคิดดู พวกเขามีข้อมูลสับสนยุ่งเหยิงมากมาย นำเอาเอกสารข้อมูลมาขายสักหน่อย เขาดีใจมากเลย เป็นโอกาสดีที่จะหาเงินหาทอง สามารถหาเงินได้มาก ขายสิ่งนี้นิด ขายสิ่งนั้นหน่อย เขามีเป้าหมายอยู่ที่หาเงินทอง ไม่ได้ตั้งใจบ่อนทำลายหลักพลัง(กง)ของเรา แต่ว่ามันส่งผลในการบ่อนทำลาย สิ่งที่สับสนยุ่งเหยิงต่างๆ ในนั้นจะรบกวนผู้ฝึกของเรา บางคนที่เข้าใจหลักการของฝ่าไม่ลึกซึ้งก็จะเดินผิดเพี้ยนได้ง่าย ยังอาจเอาหนังสือชี่กงที่สับสนยุ่งเหยิงมาขาย สำนักพลัง(กง)อื่นก็ทำกันเช่นนี้

เวลานี้มีอาจารย์ชี่กงมาจัดสัมมนา ผู้คนต่างตรึกตรองอย่างสุขุม ไม่หลับหูหลับตาเหมือนเมื่อก่อนพอมีอาจารย์ชี่กงมาเปิดสอนสักคนก็พากันไปร่วมสัมมนา ปัจจุบันทุกคนต่างมีความสุขุม ต้องลองสังเกตดูว่าเป็นอาจารย์ชี่กงจริงหรือปลอม ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ดังนั้นอาจารย์ชี่กงจึงจัดสัมมนาได้ลำบากมาก ครั้นเมื่อเขารับผู้สมัครไม่ได้ ก็จะมาลากผู้ฝึกของเราไปร่วม เขาก็เปิดสอนได้ เงินทองก็ได้แล้ว แต่ก็ทำลายผู้ฝึกของเราไปแล้ว พวกเราทำเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ทุ่มเทกำลังไปมากขนาดนี้ เขากลับทำลายผู้ฝึกของเราไปในชั่วพริบตา แน่นอนผู้ฝึกบางคนท่านไม่อาจกำหนดเขาให้สูงเกินไปนัก เขาเพิ่งจะศึกษาฝ่า ความเข้าใจต่อฝ่าอาจจะไม่ลึกซึ้งนัก อาจจะทำลายตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว ที่ผ่านมาเรามีข้อกำหนดไว้เช่นนี้ ไม่ว่าหัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนของพื้นที่ใด มณฑลหรือเมืองใดที่ทำเช่นนี้จะต้องเปลี่ยนคน ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้

ถ้ามีคนของศูนย์ช่วยฝึกสอนของพื้นที่ใด ผู้ช่วยฝึกสอนของศูนย์ฝึกพลัง(กง)คนใดมาลากผู้ฝึกของเราไปฟังการบรรยายของอาจารย์ชี่กงอื่น หรือขายเอกสารข้อมูลชี่กงอื่นให้แก่ผู้ฝึกของเรา หรือนำผู้ฝึกของเราออกสู่ทางนอกรีต พบเห็นผู้ช่วยฝึกสอนเช่นนี้เมื่อใดให้เปลี่ยนคน ปล่อยไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว หากปล่อยไว้ผลร้ายจะตามมาในภายหน้าอย่างไม่สิ้นสุด นี้เป็นการบ่อนทำลายฝ่าอย่างร้ายแรง เป็นการบ่อนทำลายฝ่าจากภายใน นี้เป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตโดยเด็ดขาด นี้ นี้เป็นเรื่องที่เห็นแก่ใครไม่ได้โดยเด็ดขาด พบหนึ่งคนให้เปลี่ยนหนึ่งคน

            หลักการของเราคือการดูแลจัดการแบบอิสระหลวมๆ แต่ในเรื่องการฝึกพลัง(กง)นั้นพวกเราเอาจริงเอาจัง ใครก็ไม่อาจจะบ่อนทำลาย รูปแบบการจัดตั้งของเรานั้นอิสระหลวมๆ อย่างยิ่ง ท่านอยากจะมาร่วมฝึกพลัง(กง)ท่านก็มา ท่านไม่อยากมาร่วมฝึกพลัง(กง)กับพวกเราท่านก็ไปได้ เมื่อท่านเข้ามาแล้วเราก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน บอกท่านให้ปฏิบัติอย่างไร ท่านไม่อยากเรียน ใจของท่านดวงนี้ใครจะรั้งท่านให้อยู่ได้ล่ะ รั้งท่านให้อยู่ที่นี่แล้วท่านไม่ปฏิบัติให้ดี อะไรท่านก็พูด ทำอะไรวุ่นวายไปหมด เท่ากับท่านแยกสลาย บ่อนทำลายฝ่าของเราจากภายใน เราไม่อนุญาตให้ทำเรื่องอย่างนี้ ใครอยากเรียนคนนั้นก็เรียนเอาเอง เมื่อรับรู้เข้าใจต่อฝ่าแล้วเขาก็บำเพ็ญ ใจคนใฝ่ดีล้วนแต่สำนึกด้วยตัวเอง ไม่มีใครบังคับได้ บอกว่าท่านต้องเป็นคนดี ไม่ทำอย่างนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเขาไม่อยากทำ ท่านจะทำอย่างไรกับเขาล่ะ คนเขาพูดว่าถ้าคนๆ นี้ไม่อยากบำเพ็ญ พระพุทธก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาต้องสมัครใจ จะไปบังคับไม่ได้

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พวกเรามีผู้ฝึกเป็นจำนวนมาก มีจำนวนมากทีเดียวที่อ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบๆ อ่านทุกวัน แม้กระทั่งเมื่อพบกับปัญหาก็อ่านกันอยู่ ดูจากจุดนี้พวกเขาทำได้ดีกว่าผู้ช่วยฝึกสอนของเราเสียอีก ดังนั้นศูนย์ฝึกฯ แต่ละแห่งควรจะจัดให้ทุกคนศึกษาฝ่าให้มาก โดยเฉพาะผู้ช่วยฝึกสอนของศูนย์ฝึกแต่ละแห่งควรจะเป็นผู้ริเริ่ม สำหรับผู้ช่วยฝึกสอนนั้น เรามีข้อกำหนดว่าต้องบำเพ็ญปฏิบัติฝ่าหลุนกงเพียงวิชาเดียวเท่านั้น (สำหรับผู้ฝึก ถ้าอยากเรียนท่านก็เรียน) ไม่เช่นนั้นผู้ฝึกกลุ่มนี้ก็จะถูกเขานำพาไปสู่ทางที่ผิด ในเมื่อท่านเป็นผู้ช่วยฝึกสอนท่านก็สมควรทำให้ดี เราก็ต้องให้ผู้ช่วยฝึกสอนมีความเข้าใจต่อฝ่าให้ลึกซึ้งมากขึ้น ให้พวกเขาอ่านหนังสือให้มากในเวลาปกติ แน่นอนมีผู้ช่วยฝึกสอนที่ตั้งใจและยินดีที่จะทำงานนี้เป็นจำนวนมาก แต่โดยมากพวกเขามีระดับการศึกษาจำกัด กระทั่งอ่านหนังสือยังอ่านได้ลำบาก อายุก็มากแล้ว อันนี้ไม่เป็นไร พวกเขาสามารถจัดให้ทุกคนศึกษาด้วยกัน เวลาที่จัดให้ทุกคนศึกษาด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน พวกเขาก็ได้ฟังมิใช่หรือ เวลาที่ทุกคนพูดถึงประสบการณ์พวกเขาก็ได้ยกระดับสูงขึ้นพร้อมกับทุกคนด้วย ขอเพียงทุกคนศึกษาก็สามารถได้รับการยกระดับสูงขึ้น ควรจะจัดการศึกษาฝ่าและการฝึกท่าให้รวมอยู่ด้วยกัน พัฒนาไปพร้อมกัน

เวลานี้มีหลายพื้นที่จัดการฝึกพลัง(กง)เป็นกลุ่มได้ดีมาก แต่มักจะละเลยการศึกษาฝ่า เมื่อผู้ฝึกถามปัญหา ผู้ช่วยฝึกสอนตอบไม่ได้หรืออธิบายได้ไม่ชัดเจน จึงรอจะถามอาจารย์ คอยดูว่าอาจารย์จะไปที่ไหน ที่จริงปัญหาบางปัญหาก็มีคำตอบอยู่ในหนังสือแล้ว  ในหนังสือ[จงกั๋วฝ่าหลุนกง (ฉบับปรับปรุง)] ได้อธิบายอย่างครอบคลุมไว้แล้ว เพียงแต่ต้องไปศึกษาอย่างจริงจังก็จะสามารถแก้ไขปัญหา นับตั้งแต่ฉางชุนริเริ่มกระแสศึกษาฝ่าเป็นต้นมา ผู้ฝึกพอพบกับข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรจะถาม เมื่อพบกับข้าพเจ้าก็ไม่ถามแล้ว ไม่เช่นนั้นพอข้าพเจ้าออกไปข้างนอกใครๆ ก็รู้จักข้าพเจ้า เพราะเป็นบ้านเกิด พอออกไปบนถนนมีคนศึกษาฝ่ามาก มีคนรู้จักข้าพเจ้ามาก หลายๆ คนก็จะถามนี่ถามนั่น เวลานี้พอพบหน้าอาจารย์ก็กล่าวคำสวัสดีกับอาจารย์ ไม่ถามอะไรแล้ว เพราะไม่มีอะไรจะถาม นับตั้งแต่มีการริเริ่มท่องหนังสือ ผู้ฝึกไม่ใช่นำมาเปรียบเทียบหลังจากที่ได้ทำเรื่องนั้นแล้ว แต่ก่อนที่จะทำเขาก็รู้แล้วว่าควรหรือไม่ควรทำ  นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก ทุกท่านจัดการศึกษาฝ่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องไปศึกษาในการฝึกพลัง(กง) และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า ข้าพเจ้าคิดว่าทุกๆ พื้นที่ก็ควรไปศึกษาฝ่าเหมือนอย่างที่ฉางชุนทำ เมื่อกระแสศึกษาฝ่าขยายออกไป หลายๆ ปัญหาก็แก้ตกได้อย่างง่ายดาย ปัญหาเหล่านี้ตัวเองก็แก้ไขได้ นอกจากนี้เวลาเลือกผู้ช่วยฝึกสอน ต้องไม่คำนึงว่าระหว่างท่านกับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ท่านต้องไม่ใช้ความรู้สึกในการเลือกเป็นอันขาด หรือเมื่อตั้งผู้ช่วยฝึกสอนแล้วจะเปลี่ยนคนใหม่ไม่ได้แล้ว คิดเช่นนั้นไม่ได้ ต้องรับผิดชอบต่อฝ่า ต้องระวังเรื่องเหล่านี้ให้ดี  คนที่ได้มาตรฐานและมีความสามาถก็ให้เขาทำ คนที่ไม่ได้มาตรฐาน หาคนมาทำชั่วคราวยังจะดีกว่า ไม่ใช่เลือกอย่างขอไปทีให้ครบจำนวน ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยอธิบายปัญหาเช่นนี้ พระภิกษุที่บำเพ็ญในวัด เป็นหัวหน้าในวัดแห่งนั้น เป็นสมภาร เป็นเจ้าอาวาส เขาบำเพ็ญเป็นอาชีพ พวกเราบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ฝ่าของเรานี้เป็นฝ่าที่ดี สามารถบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูง เช่นนั้นผู้ช่วยฝึกสอนของศูนย์ช่วยฝึกสอนพลัง(กง)กับเจ้าอาวาส สมภารมีอะไรแตกต่างกัน ไม่ใช่ตั้งข้อกำหนดกับพวกท่านไว้สูง แต่เป็นคุณูปการและบุญกุศลที่มิอาจวัดได้จริงๆ  ไม่ว่าที่ศูนย์ฝึกหนึ่งมีคนบำเพ็ญสำเร็จออกมาได้สักกี่คน ต่อให้บำเพ็ญสำเร็จหนึ่งคน ผู้ช่วยฝึกสอนคนนี้ก็มีคุณูปการและบุญกุศลที่มิอาจวัดได้ นี่เป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง ควรต้องทำเรื่องนี้ให้ดี ถึงแม้พวกเราได้ใช้เงื่อนไขที่สะดวกที่สุดในการบำเพ็ญ ให้ทุกท่านยกระดับสูงขึ้น แต่เงื่อนไขที่สะดวกเราก็ไม่สามารถจะปฏิบัติต่อฝ่าแบบตามใจชอบโดยไม่รับผิดชอบ ในอนาคตอาจมีคนที่บำเพ็ญเป็นอาชีพปรากฏก็เป็นได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขบางประการ

            การฝึกพลัง(กง)ในระยะนี้ แต่ละพื้นที่อาจมีปัญหาต่างๆ ปรากฏออกมา ทุกท่านสามารถหยิบยกขึ้นมาถาม ทั้งเรื่องการฝึกพลัง(กง) เรื่องงาน เรื่องบางอย่างที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร ทุกท่านสามารถหยิบยกขึ้นมาถาม ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาให้แก่พวกท่าน

 

เกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกฝ่าหลุนกงไปร่วมการแสดงความสามารถพิเศษ

ข้าพเจ้ายังไม่เห็นเรื่องนี้ ห้ามทำเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ทำไม่ได้เด็ดขาด เขาบำเพ็ญฝ่าหลุนกงแต่เพียงวิชาเดียวหรือ ก่อนหน้านี้ล่ะ (พูดแทรก: คนๆ นี้เคยฝึกหลักพลัง(กง)อื่น แต่พลัง(กง)ของเขาก็ไม่สูงขึ้น หลังจากฝึกฝ่าหลุนกงแล้วพลัง(กง)จึงสูงขึ้น เขาบอกว่าถึงระดับ “ซัน ฮวาจวี้ติ่ง (ดอกไม้สามดอกรวมอยู่บนศรีษะแล้ว)” พวกเราต้องให้ความรู้แก่คนเหล่านี้ว่า ถ้าคิดจะฝึกฝ่าหลุนกง ก็ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของฝ่าหลุนกง โดยแท้จริงเขาไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของฝ่าหลุนกง ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของผู้ฝึกฝ่าหลุนกงเลย และคนๆ นี้อาจมีฟู่ถี่(ตัวสิง ตัวแฝง) ตัวเขาเข้าใจว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี  เมื่อตัวเองแสวงหา ฝ่าเซิน(ร่างฝ่า)ของข้าพเจ้าก็จะไม่ดูแลเขา อาจจะเป็นกรณีเช่นนี้ กรณีเช่นนี้เป็นการบ่อนทำลายฝ่าของเราจากอีกมุมหนึ่ง ให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด หากคนๆ นี้สามารถยืนหยัดบำเพ็ญอย่างแท้จริง ก็ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานของเรา มิเช่นนั้น  พวกเราไม่ต้องให้อะไรแก่เขา ไม่ถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติฝ่าหลุนกง คนที่ฝึกพลัง(กง)อื่น คิดอยากจะมาเรียนฝ่าก็ให้มาเรียน ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา การไปเรียกคนให้มาเรียน หรือไปลากคนจำนวนหนึ่งมาเรียน หรือคนเขาไม่อยากเรียน แต่เพราะทุกคนมาเรียนก็ตามมาเรียน ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คนนั้นบางคนช่วยเหลือได้ บางคนช่วยเหลือไม่ได้ พวกเรานั้นขึ้นอยู่กับบุญวาสนา  อย่าเห็นว่าเขาพาเข้ามาจำนวนกี่คนแล้ว คนเหล่านี้จะสามารถฝึกฝ่าหลุนกงได้หรือไม่ จะสามารถยึดมั่นวิชาเดียวได้หรือไม่ ล้วนแต่เป็นปัญหา ทุกท่านเมื่อกลับไปแล้วต้องริเริ่มกระแสศึกษาฝ่า ข้อกำหนดนี้ทุกท่านควรจะต้องทำให้ได้ ควรจะต้องให้ทุกคนรับรู้เข้าใจโดยทั่วกัน ไม่เช่นนั้นปัญหานี้จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเราจะเพิ่มจำนวนผู้รับผิดชอบที่ศูนย์ฝึกฯ ได้หรือไม่

ได้ จะเพิ่มผู้รับผิดชอบ พวกท่านสามารถเลือกด้วยตัวเอง จะเพิ่มอีกคนสองคนก็ได้ แต่ต้องเลือกคนที่มีความเข้าใจต่อฝ่าค่อนข้างดี กระตือรือร้นตั้งใจทำงานนี้

 

มีผู้ฝึกคนหนึ่งพูดว่า: ฉันบรรลุระดับซันฮวาจวี้ติ่งแล้ว เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม อาจารย์หลี่หงจื้อพา “ฝ่าเซิน” ของฉันไปแล้ว

ให้ทุกท่านระวัง คนอย่างนี้ล้วนเป็นความรู้สึกลวงอันเกิดจากจิตยึดติดแต่ละชนิด มีคนอย่างนี้ปรากฏเป็นระยะๆ ในหลายพื้นที่ เหมือนอย่างที่ท่านพูดเมื่อครู่ เขากำลังตกอยู่ในอันตรายมาก ที่เขาพูดว่า: ฉันบรรลุระดับซันฮวาจวี้ติ่งแล้ว ฉันมีความสามารถมากแล้ว สุดท้ายฉันก็คือพระพุทธแล้ว พวกท่านอย่าไปเรียนกับอาจารย์หลี่หงจื้อ มาเรียนกับฉันเถอะ! ก็อาจพัฒนาต่อไป สุดท้ายก็เกิดปัญหาเช่นนี้ กับคนประเภทนี้ต้องบอกให้เขารู้ทันที ต้องให้เขาละทิ้งจิตยึดติดเหล่านี้ มันเกิดปัญหาได้ง่าย เริ่มแรกคนเหล่านี้นับถือข้าพเจ้าอย่างมาก บางคนถึงกับกรีดนิ้วมือเขียนหนังสือด้วยเลือดให้ข้าพเจ้า แสดงเจตจำนงว่าจะบำเพ็ญฝ่าหลุนกงให้ถึงที่สุด สุดท้ายเขาว่าเขาเป็น “พระพุทธ” เสียแล้ว เขาบอกว่า ท่านไม่ต้องเรียนกับหลี่หงจื้อแล้ว ท่านมาเรียนกับฉันเถอะ เป็นเพราะเขาลื่นลงไปแล้ว ตัวเขาแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ เกิดจิตยินดี บวกกับการรบกวนของมาร ตัวเองไม่สามารถถอนตัวให้หลุดพ้นแล้ว โดยผิวเผินเขายังบอกว่าฝ่าหลุนกงดี แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมของเขากำลังบ่อนทำลายฝ่าหลุนกง เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้ มีคนบอกว่า ฝ่าหลุนกงนั้นดี เรียนฝ่าหลุนกงแล้วไม่เกิดเรื่อง ท่านดูฉันถือหนังสือเล่มนี้เดินอยู่บนถนนใหญ่ รถยนตร์ไม่กล้าชนฉัน นี่เขาไม่ใช่กำลังบ่อนทำลายฝ่าหลุนกงหรอกหรือ โดยผิวเผินดูเหมือนกำลังปกป้องฝ่าหลุนกง แท้จริงแล้วก็คือการบ่อนทำลายฝ่าหลุนกง

 

    เรื่องที่ช่วงก่อนหน้านี้ สมาคมค้นคว้าวิจัยชี่กงในเขตกว่างโจวจัดแสดงโชว์ชี่กง

            สมาคมค้นคว้าวิจัยชี่กงในพื้นที่บางแห่งอยู่ในความดูแลของคณะกรรมการกีฬา  คณะกรรมกีฬาจึงจัดชี่กงเป็นกิจกรรมกีฬาประเภทหนึ่ง เป็นกิจกรรมกีฬาของมวลชน  บางครั้งก็จัดกิจกรรมกลุ่มฝึกพลัง(กง)วิชาต่างๆ  เหมือนการบริหารร่างกาย จัดกิจกรรมชี่กงในโอกาสต่างๆ เพราะพวกเขาจัดมันเป็นกิจกรรมกีฬาประเภทหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เรื่องประเภทนี้ ถึงแม้ว่าพวกเราไม่อยากจะไปร่วม แต่หากพวกเขาต้องการจัดจริงๆ  เพื่อเป็นการให้เกียรติพวกเราก็สามารถรวบรวมคนไป(ร่วมงาน) ไปทำท่าการเคลื่อนไหวเหมือนกับการบริหารร่างกาย แต่พึงต้องระวัง ที่กล่าวไปนั้นเราต้องไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องไปทำเช่นนั้น แต่อยู่ในสถานการณ์ที่สมาคมค้นคว้าวิจัยชี่กงขอให้พวกเราทำเช่นนั้น พวกเราสามารถพูดกับทุกคนให้ชัดเจน ที่พวกเราไปฝึกท่าการเคลื่อนไหวด้วยกันสักท่าสองท่านั้นถือว่าเป็นการสนับสนุนกิจกรรมกีฬาของพวกเขา ภายใต้กรณีพิเศษสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่มีอยู่จุดหนึ่ง ถ้ามีอาจารย์ชี่กงอื่นจัดกิจกรรมประเภทนี้เพื่อการแสดง พวกเราไม่ไปร่วมกิจกรรม ถ้าเป็นกิจกรรมประเภทการบริหารร่างกายล้วนๆ สามารถไปร่วมได้ เรื่องนี้ทุกท่านต้องยึดกุมให้ดี

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง ปัจจุบันศูนย์ช่วยฝึกสอนของเราหลายๆ แห่งมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนต่างกำลังเผยแพร่ฝ่าหลุนกง บางแห่งใช้รูปแบบการจัดสัมมนา ให้ดีพวกเราอย่าเรียกว่า “จัดสัมมนา” ให้เรียกเป็นชื่ออื่น เพราะเมื่อจัดเป็นสัมมนาแล้วไม่มีใครสามารถบรรยายฝ่านี้ได้ แน่นอนไม่อาจทำเช่นนั้นได้  ถ้าแม้นมีใครยืนอยู่ตรงนี้บรรยายฝ่าหลุนกง บรรยายฝ่านี้ว่าควรทำอย่างไรอย่างไร เช่นนั้นเขาก็กำลังถ่ายทอดฝ่าที่ไม่ถูกต้อง กำลังบ่อนทำลายต้าฝ่า ฝ่าหลุนต้าฝ่ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าเขาถือหนังสือขึ้นมาอ่านให้ฟัง อย่างนี้ทำได้ หัวหน้าศูนย์ฯ มอบหมายให้ใครถือหนังสือขึ้นมาอ่าน อย่างนี้ทำได้

            นอกจากนี้ จัดให้ทุกคนดูวิดีโอเทป หมายถึงวิดีโอเทปการบรรยายฝ่าทั้งชุด ดูจบหนึ่งบทแล้ว ให้หยุดไว้แล้วฝึกพลัง(กง) วันรุ่งขึ้นเมื่อดูบทที่สองแล้ว ให้หยุดไว้แล้วฝึกพลัง(กง)อีก

อีกประการหนึ่งคือการฟังเทปบันทึกเสียง ฟังทีละบททีละบท หลังจากนั้นจัดให้คนสอนท่าการเคลื่อนไหว อย่างนี้ไม่มีปัญหา ท่าการเคลื่อนไหวให้ทุกคนฝึกด้วยกันได้ จากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราสามารถใช้รูปแบบเช่นนี้ นี้เป็นรูปแบบที่ดีที่สุด พวกเราสามารถจัดให้ทุกคนมาเรียนฝึกพลัง(กง)เป็นกลุ่มด้วยกัน สามารถเรียนฝึกกันเช่นนี้

นอกจากนี้คนที่มาเองคนเดียวสามารถฝึกกับทุกคนที่ศูนย์ฝึกฯ โดยตรง หลักจากนั้นให้อ่านหนังสือ ฟังเทปบันทึกเสียง ให้ทำเช่นนี้ แต่มีจุดหนึ่งต้องทำให้ได้ พวกเราต้องไม่จัดทำกิจกรรมถ่ายทอดพลัง(กง)ทั้งหมดในลักษณะธุรกิจ ให้พวกเราจัดทำตามเงื่อนไข(สภาพ)ที่สามารถเอื้ออำนวย และไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ไม่ว่าพวกเราจะขอใช้ห้องเรียน ขอใช้ห้องประชุม หรือขอใช้หอประชุมเพราะคนมากก็ตาม สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่าย พวกเราได้พูดกันเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ไม่สามารถจัดทำเป็นองค์กรธุรกิจ พึงระวังจุดนี้ให้ดี ถ้ามีกรณีที่พิเศษมากๆ พวกเรามีผู้ฝึกมาก มีคนศึกษาฝ่ามากจนต้องใช้สถานที่ที่ใหญ่และขอยืมสถานที่ไม่ได้ จำเป็นต้องใช้หอประชุมของคนเขา และหอประชุมเรียกเก็บค่าใช้จ่าย เช่นนั้นกรณีที่พิเศษแบบนี้ก็ต้องติดต่อกับทางเป่ยจิงโดยตรง ถ้าเป็นกรณีแบบนี้จริงๆ สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าหอประชุมได้ และแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ไม่ให้มีเหลือเอาไว้ กล่าวโดยสรุป พวกเราไม่สามารถมีเงินคงเหลืออยู่ในมือ ศูนย์ช่วยฝึกสอนไม่อาจมีเงินเก็บเอาไว้ ไม่จัดทำกิจกรรมในลักษณะธุรกิจ ปัญหานี้ข้าพเจ้าพูดกับทุกท่านชัดเจนแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง พลัง(กง)ของเรานี้สามารถเดินบนหนทางที่ถูกตรงได้ และจุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างอย่างแท้จริงกับพลัง(กง)อื่นๆ

 

   ทางซ่างไห่(เซี่ยงไฮ้)รายงานว่ามีผู้ฝึกฝ่าหลุนกงที่ยังไม่ได้เข้าร่วมการสัมมนาคนหนึ่ง ก่อนที่จะฝึกพลัง(กง)เขาจะบอกให้ทุกคนพูดว่า: “ไหว้อาจารย์หลี่หงจื้อที่เคารพ ศึกษาต้าฝ่าฝ่าหลุนกง บำเพ็ญซินซิ่ง และเจิน ซั่น เหริ่น (ความจริง ความเมตตา ความอดทน)” เมื่อท่องเสร็จแล้วก็ฝึกพลัง(กง) หลังจากฝึกเสร็จแล้วก็ให้พูดว่า: “เสร็จแล้ว ขอบคุณอาจารย์” เขาบอกว่าเป็นการบูชาอาจารย์

เขาไม่เคยเข้าร่วมการสัมมนาหรือ (ตอบ: ไม่เคย) เรื่องที่ท่านพูดมานี้สำคัญมาก เพราะผู้ฝึกในหลายๆ พื้นที่ พอเขาได้อ่านหนังสือหรือบางคนได้ฟังเทปบันทึกเสียง เขารู้สึกว่าดีมาก แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจปรากฏปัญหาอย่างนี้ พื้นที่อื่นๆ ก็อาจจะมีปรากฏในอนาคต ทุกท่านต้องระวังให้ดี เมื่อได้ยินการบอกกล่าวเช่นนี้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ศูนย์ช่วยฝึกสอนในพื้นที่ใด ล้วนมีหน้าที่ไปบอกเขาไม่สมควรทำเช่นนี้  เรื่องแบบนี้มักจะชักนำให้คนที่ไม่เคยเรียนฝึกฝ่าหลุนกงไปในทางนั้นโดยไม่รู้ตัว ในความเป็นจริงคนๆ นี้ไม่เคยเข้าร่วมการสัมมนา เขาไม่ค่อยเข้าใจ เขาอาจจะใช้วิธีนี้มาโอ้อวดตัวเองก็เป็นได้ แต่อย่าด่วนสรุปเกี่ยวกับคนๆ นี้ ต่อไปหลังจากที่เขาเข้าร่วมการสัมมนาแล้ว เขาก็จะรู้ว่าจะปฏิบัติกับเรื่องนี้อย่างไร นี่เป็นปัญหาจริงๆ ทุกคนพึงระวังจุดนี้ให้ดี ไม่ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นในพื้นที่ใด เมื่อศูนย์ช่วยฝึกสอนได้ยินข่าว ใครที่อยู่ใกล้พื้นที่ของเขา ทุกคนสามารถติดต่อทางโทรศัทพ์หรือใช้รูปแบบอื่นๆ ยับยั้งเขา ต้องปรับแก้เรื่องประเภทนี้ให้ถูกต้อง

ซ่างไห่(เซี่ยงไฮ้)พื้นที่นี้ ในอนาคตมีโอกาสข้าพเจ้าจะไป เพราะข้าพเจ้าคิดจะไปตลอดมา

 

เกี่ยวกับเรื่องที่ศูนย์ใหญ่ฮาร์บินจัดผู้ช่วยฝึกสอนฯ กลุ่มหนึ่งไปศึกษาที่เมืองฉางชุน

สภาพการณ์ของฮาร์บินนั้นดีมาก ตั้งแต่ที่ได้จัดผู้ช่วยฝึกสอนกลุ่มหนึ่งไปฉางชุนเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ศูนย์ใหญ่จัดขึ้นเป็นต้นมา ความเข้าใจของพวกเขาสูงขึ้นมาก ได้จัดทำกิจกรรมต่างๆ ทางด้านนี้ทำได้ดีมาก ศูนย์ใหญ่ฉางชุนได้รายงานสภาพการณ์ของฮาร์บินให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบแล้ว ข้าพเจ้าว่าฤดูร้อนที่ฮาร์บินอากาศดีมาก โดยเฉพาะเมื่อพวกเรานั่งอ่านหนังสือด้วยกันเป็นกลุ่มอยู่ริมแม่น้ำ เป็นเรื่องที่ดีมาก

 

เกี่ยวกับเรื่องที่ต้าชิ่งเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปเปิดสัมมนา

เรื่องจัดสัมมนาไม่ต้องพูดแล้ว ในอนาคตข้าพเจ้าจะจัดโดยวางแผนเป็นองค์รวม เวลานี้หนังสือเชิญมีมากมาย หนังสือเชิญจากต้าชิ่งข้าพเจ้าเห็นสองฉบับแล้ว ปีกลายจัดที่ฉีฉีฮาร์ คนจากต้าชิ่งก็ไปเรียนด้วย

 

ปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายทอดฝ่าในพื้นที่ที่ท่านอาจารย์ยังไม่เคยจัดการสัมมนา

สามารถทำเช่นนี้ได้ หลังจากได้มาฟังที่กว่างโจวครั้งนี้แล้ว เมื่อกลับไปให้พวกท่านไปรวบรวมผู้ฝึกที่ยังไม่เคยเข้าร่วมการสัมมนามาปรึกษาหารือกัน เทปบรรยายฝ่าที่พวกท่านบันทึกไว้ ท่านสามารถจัดให้ทุกคนมาฟัง เทปบรรยายฝ่าที่จี่หนานก็มี ดีมากทีเดียว ท่านสามารถจัดให้ทุกคนมาฟังเทปการบรรยายด้วยกัน ไม่ต้องฟังทั้งหมดรวดเดียว ฟังช่วงหนึ่งแล้วหยุดไว้ พูดกับทุกคนตามที่ตัวเองสามารถเข้าใจ แล้วให้ทุกคนพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง สร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาสักหน่อย

 

เกี่ยวกับเรื่องเงินสนับสนุน

ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมีเงินทองมากเท่าใด หรือเขาคิดอยากจะให้เงินสนับสนุนแก่ฝ่าหลุนกงมากเท่าใด พวกเราก็ไม่เอา เพราะอะไรหรือ เพราะท่านก็จะมีการเก็บเงินเอาไว้ เช่นนั้นศูนย์ช่วยฝึกสอนอื่นๆ ก็มีเงินเก็บไว้ได้ ใช่หรือไม่ เมื่อศูนย์ช่วยฝึกสอนทั้งหมดล้วนแต่มีการเก็บเงินเอาไว้ ในอนาคตเมื่อมีประเด็นของเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง ใจคนก็จะเปลี่ยน ดังนั้นพวกเราจึงไม่ทำ ถ้าคนๆ นี้คิดจะมีส่วนช่วยเหลือฝ่าหลุนกงจริงๆ ละก็ เช่นการซื้อเอกสารข้อมูลบางอย่างเอย หรือจัดกิจกรรมศึกษาฝ่าเอย ท่านสามารถบอกให้เขาทำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรม ให้เขาทำสิ่งที่ต้องทำในเวลานั้นเลย ให้ทำเช่นนี้ได้

 

ผู้ช่วยฝึกสอนที่เทียนมู่(ตาทิพย์)เปิดแล้วควรจะยึดกุมอย่างไร

ผู้ช่วยฝึกสอนที่เทียนมู่(ตาทิพย์)เปิดแล้วควรจะยึดกุมอย่างไร เวลาที่ทุกคนฝึกได้ดี ไม่ต้องบอกพวกเขา สำหรับผู้ฝึกบางคนที่ยังมีจุดบกพร่อง ให้ท่านบอกเขามีจุดใดยังต้องปรับปรุง มีปัญหาตรงไหน ให้บอกเขาเช่นนี้ก็พอแล้ว ถ้าท่านพูดอย่างเปิดเผยว่า: ฝ่าหลุนของท่านใหญ่เพียงใด ฝ่าหลุนของเขาเป็นอย่างไร เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ทุกคนก็จะพากันเข้ามาหาท่านทุกวัน พะวงอยู่แต่เรื่องนี้ บางคนอยากถามว่าตัวเองบำเพ็ญสูงเพียงใดแล้ว ต้องไม่พูดเรื่อยเปื่อย ไม่ระมัดระวังเป็นอันขาด พอพูดออกไปคนๆ นั้นก็จะเกิดจิตยึดติด จุดนี้ต้องยึดกุมให้ดี

 

มีบางคนพูดถึงการฝึกพลัง(กง)ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากหน่วยงาน

ในหลายๆ พื้นที่ ในพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็น การฝึกพลัง(กง)ในฤดูหนาวนั้นลำบากมาก แต่บางหน่วยงานให้การสนับสนุนมาก หน่วยงานจัดสถานที่ให้ ตัวอย่างเช่นนี้ก็มีมาก เพราะพวกเราให้ผลสะท้อนที่ดีมาก ผู้ฝึกทำความสะอาดสถานที่เมื่อฝึกพลัง(กง)เสร็จแล้ว แม้กระทั่งกวาดลานสนามหลังหิมะตก พวกเราปฏิบัติตนได้ดีในทุกๆ ที่ แน่นอนคนเขาจึงจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้

 

เกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกฝ่าหลุนกงประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ฉางชุนได้บันทึกวิดีโอเทปชุดหนึ่งโดยผู้ฝึกกล่าวบทความที่น่าประทับใจมีชีวิตชีวา ผู้ฝึกที่ฟังอยู่ก็รู้สึกตื่นเต้นประทับใจมาก บางคนน้ำตาไหล เพราะการประชุมจัดได้อย่างมีชีวิตชีวามีบรรยากาศดี ทุกคนก็ดีใจ เหมือนอย่างที่มีคนกล่าวไปเมื่อครู่ว่า อยู่ในสนามพลังนี้ ไม่มีอะไรขาดนอกจากข้าพเจ้าไม่อยู่ที่นั่น เหมือนกับเวลาที่ข้าพเจ้าจัดสัมมนา สนามพลังแรงมากๆ อาจพูดได้ว่านั่นเป็นการรวมตัวกันของฝ่าหลุนกง เหมือนการจัดประชุมฝ่าฮุ่ย จึงได้ผลลัพธ์ดีอย่างยิ่ง ต่อไปภายหน้าเมื่อผู้ฝึกมีจำนวนมากแล้ว ผู้ฝึกอาจทำเช่นนี้ได้ พูดถึงประสบการณ์และความเข้าใจของตน ผ่านการศึกษาฝ่า นี่เป็นการให้ความรู้แก่คน คือผู้ฝึกพูดถึงสิ่งที่ตัวเองได้รับหลังจากที่ได้ฝึกพลัง(กง) ดูจากบางด้านนี่ยังจะมีชีวิตชีวามากพวกเราพูดเสียอีก

 

เกี่ยวกับเรื่องพวกเราแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเข้าใจของตัวเอง

เมื่อบรรลุถึงระดับชั้นสูง ตัวเองจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ได้มาจากบุญสัมพันธ์อันมีมาแต่ปางก่อน ยกระดับสูงขึ้นตามระดับชั้น สิ่งนี้ไม่อาจจะแลกเปลี่ยนกันได้ การแลกเปลี่ยนเป็นเพียงการที่พวกเรายกระดับสูงขึ้นอย่างไรในการบำเพ็ญซินซิ่ง พวกเราบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง ไม่กลัวผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน

 

จะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนกงกับสมาคมชี่กงในพื้นที่ให้ดีได้อย่างไร

ปัญหานี้สำคัญมาก เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า โดยหลักการสมาคมวิจัยชี่กงวิทยา สมาคมวิจัยสรีระมนุษย์วิทยาหรือสมาคมชี่กง ทั้งหมดล้วนไม่อาจให้ร่วมทำงานเป็นผู้นำของเรา ไม่อาจให้เป็นหัวหน้าศูนย์ฝึกฯ ของฝ่าหลุนกง เป็นผู้ช่วยฝึกสอนของเราได้ แต่พวกเราต้องประสานความสัมพันธ์กับพวกเขาให้ดี เพราะปัจจุบันสมาคมวิจัยชี่กงวิทยาจีนมีข้อกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ชี่กงทุกสำนักที่จัดเป็นการบำเพ็ญโดยตรงให้จัดการดูแลโดยอาจารย์ของสำนักนั้นเอง และให้พวกเขาบริหารจัดการงานในท้องที่ แต่พวกเราไม่มีการบริหารจัดการแต่อย่างใด การดูแลจัดการพลัง(กง)ของเรานั้นทำกันแบบอิสระหลวมๆ พวกเราสามารถแจ้งชื่อหัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนไปที่พวกเขาได้ เมื่อมีการประชุมที่เป็นทางการพวกเขาสามารถแจ้งให้หัวหน้าของเราไปร่วมประชุม ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าพวกเขาจะมาลากผู้ฝึกของเราไปทำสิ่งอื่นที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของเรา พวกเราไม่ทำ เรื่องเหล่านี้พวกเราสามารถพูดกับเขาให้ชัดเจน ถ้าหากพวกเขาจัดกิจกรรมประเภทที่เป็นประโยชน์ โดยไม่ครอบคลุมถึงประเด็นอื่น เหมือนกิจกรรมการบริหารร่างกาย มีคนเข้าร่วมเป็นร้อยๆ คน เพราะเป็นกิจกรรมของมวลชน จัดพลัง(กง)สำนักต่างๆ มาทำท่าเคลื่อนไหวสักสองสามชุด มาแข่งกันดูว่าของใครดี จากนั้นมอบรางวัลให้ ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาวงการกีฬา กิจกรรมกีฬาอันนี้พวกเราไปร่วมได้  ไม่มีปัญหา ถ้าเขาใช้พลัง(กง)ของเราไปทำสิ่งอื่น อย่างนี้ไม่ได้ พวกเราสามารถพูดกับเขาให้ชัดเจนได้

พวกเราสามารถไปขึ้นทะเบียนกับทางท้องที่ได้ สามารถไปขึ้นทะเบียนไว้กับพวกเขา ที่จริงการไปขึ้นทะเบียนกับพวกเขาตรงนั้นท่านก็ไม่ต้องทำกิจกรรมอะไร ไม่ต้องทำเรื่องอะไร เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะเรียกท่านไปแจ้งว่ามีอาจารย์ชี่กงคนใดจะจัดสัมมนา ให้พวกท่านไปร่วมฟัง! จะเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี ตัวผู้ฝึกตัดสินใจเอง พวกเขาแจ้งให้ไป ผู้ฝึกไม่ไปเอง เป็นปัญหาแบบนี้ สมาคมวิจัยสรีระมนุษย์วิทยาโดยทั่วไปไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ ศูนย์ใหญ่ฝ่าหลุนกงของกว่างโจวได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมวิจัยสรีระมนุษย์วิทยา ไม่ใช่เพิ่งจะจดทะเบียนแต่ได้จดทะเบียนไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว เมื่อมีกิจกรรมอะไรพวกเราหัวหน้าศูนย์ฝึกฯ สามารถไปร่วมได้ ไม่มีปัญหา  มันเป็นความสัมพันธ์อย่างนี้ เหมือนที่ต้าเหลียน สมาคมวิจัยชี่กงวิทยามีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ กับพวกเราในหลายๆ พื้นที่  พวกเขาหลายๆ คนล้วนแต่กำลังฝึกฝ่าหลุนกงอยู่  เช่นนี้ก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้ฝ่าหลุนกงของเราในการจัดกิจกรรม ให้กับประชาชนในการฝึกพลัง(กง) ไม่มีอุปสรรค์ อย่างนี้ดีมาก หมายความว่าจะประสานความสัมพันธ์กับพวกเขาให้ดีได้อย่างไร ตัวพวกเราต้องยึดกุมหลักการให้ดี ก็คือพวกเราต้องยึดหลักการของข้อกำหนดฝ่าหลุนกงให้มั่น สำหรับเรื่องอื่นๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ใช่ประเด็นนั้นไม่มีปัญหา

 

    ควรจะใช้วิธีทำงานอย่างไรกับพระภิกษุและอุบาสกอุบาสิก

เมื่อเวลาผ่านไป เกรงว่าพวกเขาจะเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่จะเข้าใจ(ต้าฝ่า) ดูจากปัจจุบันโดยหลักก็เป็นสภาพการณ์เช่นนี้ เพราะคนที่ได้ฝ่าก่อนล้วนแต่ได้กันแล้ว อนาคตค่อยดูกัน! เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าออกมา เรื่องนี้ได้มีการพูดกับข้าพเจ้าอย่างชัดเจนว่า คนเหล่านี้ต้องรอจนถึงเมื่อพวกเขารู้กันจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่คงอยู่แล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีที่ที่จะกลับไปแล้ว คนส่วนหนึ่งอาจจะกลับคืนสู่ฆราวาส คนอีกส่วนหนึ่งจะบำเพ็ญฝ่าหลุนกง จะปรากฏเรื่องอย่างนี้ นั่นเป็นเรื่องในภายหน้า ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นเรื่องง่าย  อุบาสกลอุบาสิกาอยู่ในสังคมโดยมากมักจะยินยอมลองฝึกชี่กงดู อย่างนั้นอย่างนี้ ไปค้นหาจากภายนอก พอค้นพบฝ่าหลุนกงก็อยากฝึก อย่างไรก็ตามถ้าเขาฝึกจริงๆ ข้าพเจ้าว่าความเข้าใจต่อฝ่า คนที่สามารถเข้าใจอย่างแท้จริง ก็จะได้สัมผัสติดต่อ เช่นนั้นถ้าเขาสามารถศึกษาต่อไปอีกก็สามารถจะเข้าใจ สิ่งสำคัญคือการศึกษาฝ่า จัดให้พวกเขาศึกษาฝ่า

 

จะจัดการอย่างไรกับคนที่มีสติไม่ปกติ

    ให้จัดการกับปัญหานี้เช่นนี้ ถ้าคำพูดและการกระทำของเขาไม่ปกติ แน่นอนย่อมไม่ตรงกับข้อกำหนดของการฝึกฝ่าหลุนกง เมื่อใดที่เกิดปัญหานี้รับรองว่าเป็นคนอย่างนี้: หนึ่งคือเกินจี(รากฐาน)ของตัวเองอาจจะไม่ดี หรือคนๆ นี้เกินจีดี แต่ได้ชักนำสิ่งที่ไม่ดีเข้าสู่ตัวเนื่องจากมีจิตยึดติดที่เขาปล่อยวางไม่ได้ เกิดจากสาเหตุสองด้านนี้ ให้พวกเราพูดกับเขา ถ้าเขาสามารถละทิ้งและสามารถมีสติแจ่มชัดขึ้นมาก็ดี ไม่สามารถมีสติแจ่มชัดขึ้นมาพวกเราก็หมดปัญญา แน่นอนมีวิธีบังคับที่ดีที่สุด ถ้าคนๆนี้เป็นคนที่ไม่เลว  ส่งผลกระทบในวงกว้าง พวกเราสามารถร่วมกันอ่านหนังสือเป็นกลุ่มต่อเขาตามสภาวะของเขา ถามเขาว่าอยากศึกษาหรือไม่ ถ้าเขาอยากศึกษา พวกเราก็อ่านหนังสือกับเขา ให้ทุกคนนั่งล้อมตัวเขาอ่านหนังสือ อ่านหนังสือต่อเขา ในขั้นตอนการอ่านหนังสือสามารถเลือกอ่าน สติของเขาเลอะเลือนนั่นก็คือชักนำมาร เกิดมารสิ่งเหล่านี้ อ่านต่อเขา ให้เขาฟัง ตัวเขาเองอ่านก็จะเข้าใจ จู่หยวนเสิน(จิตหลัก)ของเขาก็ขึ้นมา มีสติแจ่มชัดขึ้นมา ก็รับรู้แล้ว เช่นนั้นเขาอาจจะมีสติแจ่มชัดขึ้นมาได้ ถ้าเขาไม่มีสติแจ่มชัดขึ้นมา และกระทบกับกำลังของเรา ข้าพเจ้าคิดว่าก็อย่าปล่อยให้คนๆ นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกของเรา ใครก็ตามที่มีสติไม่แจ่มชัด ไม่ปกติ พูดจาสับสนยุ่งเหยิง หรือบอกว่าตัวเองมีระดับสูงเพียงใดเพียงใด หรือพูดอะไรที่เหลือเชื่อ สับสนเลอะเทอะ คำพูดคำจาไม่ชัดเจน เขาก็มีสติไม่ปกติ คนๆ นี้มีปัญหาอย่างแน่นอน สำหรับคนประเภทนี้ถ้าเป็นผู้ช่วยฝึกสอนให้ถอดออกทันที ถ้าเป็นผู้ฝึกให้พวกเราพูดกับเขา ถ้าเขาแก้ไม่ได้ พวกเราก็แนะนำให้เขาอย่าฝึก ถ้าเขาจะฝึก พวกเราใครก็อย่าไปฟังเขาและไม่ต้องไปรายล้อมตัวเขา ไม่ว่าใครก็อย่าเปิดโอกาสให้เขาทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อไม่มีคนฟัง มารนั้นก็ไม่สนใจแล้ว คำพูดของเขาไม่มีคนฟัง เขาก็ไม่สามารถทำลายพวกเรา เขาก็ไม่อะไรน่าสนใจแล้ว

 

    เกี่ยวกับปัญหานิตยสาร [หน้าต่างศิลปวรรณคดี]

เรื่องนิตยสาร [หน้าต่างศิลปวรรณคดี] ปัญหานี้ข้าพเจ้าได้พูดกับพวกเขาแล้ว ตั้งแต่บรรณาธิการถึงนักเขียน จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่ต้องการจะบ่อนทำลายฝ่าหลุนกง พวกเขาต้องการจะเผยแพร่ฝ่าหลุนกง แต่พวกเขามักจะเขียนจากมุมของศิลปวรรณคดี งานศิลปวรรณคดี มีการเรียบเรียง ขยายความจนเกินจริง จินตนาการตามใจชอบ สามารถทำได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้พูดกับพวกเขาแล้วว่า ต้องพยายามเข้าใจฝ่านี้ของเราแล้วค่อยเขียน นักเขียนคนนี้มาฟังการสัมมนาหลายครั้งแล้ว แต่หลังจากฟังการสัมมนาครั้งแรกแล้วเขารู้สึกดีมาก รู้สึกตื่นเต้นจึงลงมือเขียนเลย แต่เขาเข้าใจไม่ลึกซึ้ง บวกกับครั้งหลังๆ เขามาฟังการสัมมนาก็เพื่อจะเขียนบทความนั้น เขายุ่งอยู่กับการจดบันทึก เป็นผลทำให้เขาฟังได้ไม่ครบถ้วน เข้าใจได้ไม่ลึกซึ้ง ในตอนเริ่มต้นบทความที่เขาเสนอมานั้นยังไม่มีปัญหามากนัก บรรณาธิการคนนี้ก็มาฟังการสัมมนาหลายครั้ง จากนั้นก็ไปเรียบเรียงตามอำเภอใจ แก้ไขตามใจชอบ เมื่อมีการแก้ไข บทความก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมโดยสิ้นเชิง บทความที่ออกมาก็เป็นอย่างนั้น แต่เราพูดแล้วว่า จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ได้คิดจะบ่อนทำลายฝ่าหลุนกง จุดนี้แน่นอน แต่โดยแท้จริงบทความก็ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเรา ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ คนเขามีจุดประสงค์ดี ไม่ได้คิดจะบ่อนทำลาย เพียงแต่ระดับของการใช้ภาษา การจินตนาการ บางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของฝ่าหลุนกง แน่นอนข้าพเจ้าไม่ได้อ่านบทความชุดนี้ ไม่ได้อ่านแม้แต่เล่มเดียว เรื่องนี้พวกเราต้องอธิบายให้ผู้ฝึกเข้าใจ ไม่สามารถนำมาเป็นสิ่งอ้างอิงในการบำเพ็ญของเรา สิ่งที่พวกเราอ้างอิงในการบำเพ็ญคือหนังสือของฝ่าหลุนกงที่ตีพิมพ์ออกมาในเวลานี้ หนังสือที่ออกมาอย่างเป็นทางการ หรือเทปบันทึกการบรรยายของข้าพเจ้า สำหรับสิ่งเหล่านั้นที่ตัวข้าพเจ้าบำเพ็ญ เมื่อถึงเวลาเหมาะสมข้าพเจ้าจะเขียนออกมา เวลานี้ไม่อยากเขียนอย่างนี้ เพราะเวลานี้เป็นช่วงเวลาของการถ่ายทอดฝ่า เขียนออกมาแล้วคนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เมื่อผู้ฝึกยังไม่มีความเข้าใจในระดับสูงแล้ว อาจทำให้ผู้ฝึกก่อเกิดจิตแสวงหาสิ่งปาฏิหาริย์เอย ความสามารถเอย สิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้ คนที่ไม่เข้าใจอาจคิดว่าท่านกำลัง.....

 

จะจัดให้ผู้ฝึกพูดถึงประสบการณ์และความเข้าใจอย่างไร

    พวกเราสามารถคัดเลือก ฟังดูก่อนว่าเขาจะพูดอะไร โดยเฉพาะเวลาพวกเราจัดการประชุมระดับใหญ่สักหน่อย จะต้องตรวจสอบบทความ พึงระวังปัญหาข้อหนึ่ง ถ้ามีผู้ฝึกคนหนึ่งพูดผิดไปหนึ่งประโยค ดีไม่ดีการประชุมของเราก็จะเกิดปัญหา

 

    เกี่ยวกับเรื่องการบริจาคเงินทอง

    เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่ ถ้าธุรกิจการค้าของเขาดีมากจริงๆ ทำธุรกิจที่ใหญ่โต เขาอยากจะให้การสนับสนุน หากเขามาจากต่างประเทศมีกำลังทรัพย์มากจริงๆ เขาจะให้การสนับสนุนพวกเรา พวกเราศูนย์ช่วยฝึกสอนในพื้นที่ก็ไม่รับ ถ้าเขาคิดจะบริจาคให้ได้ หากเกิดกรณีแบบนี้จะทำอย่างไร พวกท่านสามารถให้เขาติดต่อกับสมาคมค้นคว้าวิจัย(ฝ่าหลุนกง)ได้ พวกเราจัดการโดยวางแผนเป็นองค์รวม ก่อสร้างเขตฐานสำหรับการบำเพ็ญอย่างเป็นเอกภาพ ในอนาคตผู้ฝึกไม่ต้องวิ่งรอกอีกแล้ว พวกเราจะก่อสร้างเขตฐานสำหรับการบำเพ็ญขึ้นหลายแห่งในหลายพื้นที่ ทางเหนือ ทางใต้ จนถึงปัจจุบันพวกเราไม่ได้มีการรับเงินบริจาคแม้แต่น้อย

 

    เกี่ยวกับท่าการเคลื่อนไหวในการฝึกพลัง(กง)

            เมื่อทะลวงสู่ระดับชั้นที่สูงขึ้นไป จะไม่มีท่าการเคลื่อนไหวใดๆ เป็นการนั่งสมาธิโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าท่านจะฝึกสายพุทธ ฝึกสายเต๋า ล้วนแต่นั่งสมาธิ เพราะพลัง(กง)ทั้งหมดนั้นจะก่อเกิดโดยอัตโนมัติ มันจะขึ้นไปโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ยกระดับซินซิ่งสูงขึ้นมันก็จะขึ้นไป พึงระวังให้ดี เมื่อใดที่มีท่าเคลื่อนไหวอื่นปรากฏออกมา จะต้องผลักไสมันทิ้งไป ต้องบอกผู้ฝึกให้เข้าใจชัดเจน: บางคนเห็นอาจารย์มาสอน(ท่าอย่างนั้น) นั่นเป็นตัวปลอม ข้าพเจ้าจะไม่สอนทุกคนอย่างนั้นเด็ดขาด

 

    การฝึกรำมือ

    อย่าฝึกการรำมือชุดนั้น เพราะเหตุใดหรือ การรำมือชุดนั้นคือคำพูดที่ข้าพเจ้าพูดกับผู้ฝึก ก็เหมือนคำพูดที่ข้าพเจ้าพูดวันนี้ ท่านไม่สามารถพูดคำพูดของข้าพเจ้าจากมุมของข้าพเจ้าตรงนี้ คือหลักการเดียวกัน

 

    มีรายงานจากกว่างโจว มีคนอ้างว่า “ฉันเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่เท่าไรๆ ของฝ่าหลุนกง” “อยู่สำนักเดียวกับหลี่หงจื้อ”

    คนๆ นี้ดีไม่ดีมีฟู่ถี่(ตัวสิง ตัวแฝง)ของสิ่งยุ่งเหยิงสับสน คงคิดจะหาเงิน คิดจะบ่อนทำลายฝ่าหลุนกง ล้วนเป็นคนประเภทนี้ มีจุดหนึ่งจะพูดให้ชัดเจนกับทุกท่าน ฝ่าหลุนกงในโลกนี้มีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถ่ายทอดอยู่ ก็คือไม่มีใครกล้าลงมาถ่ายทอดจากโลกฝ่าหลุน เรื่องนี้ข้าพเจ้าพูดกับทุกท่านชัดเจนแล้ว หมายความว่าไม่มีบุคคลที่สองมาทำเรื่องนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าพเจ้า  พวกท่านล้วนแต่เป็นหัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอน ข้าพเจ้าสามารถพูดสูงอีกหน่อยกับทุกท่าน ฝ่าหลุนกงของเรานี้ไม่เหมือนกับพลัง(กง)สำนักอื่น ไม่มีเรื่องที่ว่าข้าพเจ้าเรียนกับใครในชาตินี้ ทุกท่านอาจได้อ่านตามที่เขียนไว้ในหนังสือว่า ข้าพเจ้ามีอาจารย์ ----- พระอาจารย์ฉวนเจวี๋ยเป็นต้น ยังมีพระอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่านว่าเรื่องเป็นอย่างไร: พระอาจารย์ฉวนเจวี๋ยท่านนี้ ยังมีท่านปาจี๋เจินเหยิน(ปาจี๋คนจริง) เป็นต้น คนเหล่านี้ ทุกท่านทราบ เมื่อปรากฏการณ์สวรรค์พัฒนามาถึงก้าวนี้ หรือเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ เช่นนั้นทุกสิ่งของประวัติศาสตร์พัฒนามาถึงก้าวนี้ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการพัฒนา เป็นไปได้ว่าล้วนแต่เกิดขึ้นเพื่อฝ่านี้ ดังนั้นในระหว่างขั้นตอนนี้มารทั้งหลายก็อาจเพื่อจะบ่อนทำลายฝ่านี้ หมายความว่า วันนี้พวกเราเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว  ณ เวลาที่ข้าพเจ้าเกิดมา เป็นไปไม่ได้ที่จะไคอู้(เปิดการรับรู้) และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้าพเจ้าไคอู่เมื่อเกิดมา อย่างนี้ไม่อาจจะช่วยเหลือคนได้ ข้าพเจ้าก็ทำไม่ได้ ข้าพเจ้าอยู่ในขั้นตอนนี้ต้องมีคนที่จะมาฟื้นความจำของข้าพเจ้าในสิ่งของที่ข้าพเจ้ามี คิดหาวิธีของเขาทำให้ข้าพเจ้าไคอู้ นี่คือพระอาจารย์ฉวนเจวี๋ยที่ข้าพเจ้าพูดถึง หลังจากไคอู้แล้ว รับรู้สิ่งที่เป็นของข้าพเจ้าแล้ว ต่อมาภายหลังก็อยู่ในสภาวะกึ่งปิดและเรียนรู้สิ่งอื่นๆ สิ่งที่เป็นของข้าพเจ้าเองนั้นไม่เปลี่ยนแปลง หลายๆ คนรู้ว่าข้าพเจ้ามาแล้ว คนนี้ก็อยากให้สิ่งของที่ดีแก่ข้าพเจ้าสักเล็กน้อย คนนั้นก็อยากให้สิ่งของที่ดีแก่ข้าพเจ้าสักหน่อย เพียงเพื่ออยากให้ข้าพเจ้ายอมรับสิ่งของในวิชาของเขา เพื่อว่าในอนาคตเขาจะสามารถได้รับการปกป้องให้เหลือไว้ ก็พูดในสิ่งเหล่านี้ พวกเราตรงนี้พูดในระดับสูงสักหน่อยได้ แน่นอนอะไรดี อะไรไม่ดีย่อมมีวิธีชั่งวัด  อะไรที่ดีย่อมต้องปกป้องเอาไว้อย่างแน่นอน อะไรที่ไม่ดีก็อาจจะต้องกำจัดทิ้งไป แต่คนที่ถ่ายทอดฝ่าหลุนกงนี้ ทำเรื่องนี้อย่างแท้จริง และเป็นตัวแทนสิ่งที่แท้จริงของวิชาฝ่าหลุนกงนี้คือข้าพเจ้า ดังนั้นจะไม่มีบุคคลที่สอง

 

    ทางกว่างซีอยากจะก่อตั้งศูนย์ช่วยฝึกสอน

    สามารถจัดตั้งได้ ปัจจุบันนี้พวกท่านมีคนฝึกอยู่จำนวนเท่าใด ร้อยกว่าคน ให้ทางกว่างโจวช่วยพวกท่าน หารือกับพวกท่าน ช่วยพวกท่านก่อตั้งศูนย์ใหญ่ขึ้นมา พวกท่านมีเวลาน้อย ในระหว่างนี้สามาถบอกให้ทางกว่างโจนช่วยดูแลแทนชั่วคราว ในอนาคตเมื่อพวกท่านดูแลตัวเองได้แล้ว สามารถทำกิจกรรมได้แล้ว พวกท่านค่อยแยกออกจากกัน

  บันทึกเสียงโดยศูนย์ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า ศูนย์ใหญ่เป่ยจิง

 

ความเห็นเกี่ยวกับเจิ้งฝ่า(ฝ่าที่ถูกต้อง)ต่อที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า

ณ เป่ยจิง

(2-1-1995)

สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน

ต้องแจ้งให้ทุกท่านมาประชุมทั้งที่อยู่ในช่วงปีใหม่ จำเป็นต้องเรียกประชุมครั้งนี้เพราะผู้ฝึกพวกเราจำนวนมากต่างรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังจะไปถ่ายทอดพลัง(กง)ในต่างประเทศ ดังนั้นในสถานการณ์เร่งด่วน ข้าพเจ้าจึงแจ้งให้ทุกท่านมาประชุม เนื่องจากมีบางประเด็นจำเป็นต้องพูดกับทุกท่าน ไม่เช่นนั้น ปัญหาบางอย่างที่ปะทุออกมาในเวลานี้จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาที่มั่นคงของต้าฝ่าของเราได้

ก่อนอื่นจะพูดถึงสถานการณ์ของการถ่ายทอดฝ่าหลุนต้าฝ่า ทุกท่านทราบฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราในเวลานี้ได้รับผลสะท้อนที่ค่อนข้างใหญ่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปัจจุบันผู้นำในวงการชี่กงและยังองค์กรชี่กงต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ สมาคมวิจัยชี่กงวิทยาในมณฑลต่างๆ และเมืองต่างๆ ต่างมีความรู้สึกเช่นนี้: ชี่กงทั้งหมดที่มีอยู่นั้นล้วนกำลังเดินสู่ทางขาลง มีแต่ฝ่าหลุนต้าฝ่าที่ปรากฏแนวโน้มในทางขาขึ้น และยังพัฒนาได้รวดเร็วอย่างยิ่ง นี้เป็นสภาพการณ์ที่บอกกล่าวโดยสมาคมวิจัยชี่กงวิทยาในพื้นที่ต่างๆ และผู้นำในวงการชี่กง ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเอง นี้ก็อธิบายประเด็นหนึ่ง ประเด็นอะไรหรือ ต้าฝ่าของเราพัฒนาได้รวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนมีมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุที่สามารถพัฒนาได้รวดเร็วอย่างนี้ แน่นอนอันนี้ต้องมองจากสองด้าน: เหตุผลหนึ่งคือมีชี่กงจำนวนมากที่เป็นของปลอม เป็นของที่หลอกลวงคน ไม่เน้นศีลธรรม เมื่อคนถูกหลอกสักครั้งหรือสองครั้ง เวลาผ่านไปนานๆ เข้าคนเขาก็จะเข้าใจ นี่คือด้านหนึ่ง เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ หลังจากที่ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราถ่ายทอดออกมา พวกเรารับผิดชอบต่อผู้ฝึก ต่อสังคม ทำให้ผู้คนมากมายได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง และทำให้ผู้คนมากมายที่บำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าอย่างแท้จริงสามารถส่งผลให้สังคมเกิดการพัฒนา ดังนั้นเขาจึงได้ผลรับที่ดีเช่นนี้ หมายความว่าฝ่าหลุนต้าฝ่านั้นเผยแพร่ได้รวดเร็วมาก ปัจจุบันเป็นที่รู้จักของผู้คนอย่างกว้างขวาง แต่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ในสภาพการณ์ที่ดีมากนั้น พวกเราก็มองเห็นจุดบกพร่องของตัวเราเอง นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน ผู้ช่วยฝึกสอนที่ศูนย์ฝึกของเรา ยังมีผู้ฝึกพลัง(กง)ของเรามากมาย อีกทั้งผู้ฝึกเก่าบางคน มีวิธีทำงานที่ผิดไปจากข้อกำหนดอย่างมาก ได้ทำลายฝ่าหลุนต้าฝ่าในระดับหนึ่ง ก่อผลของการทำลายแบบหนึ่ง เพราะพวกเราในฐานะผู้ฝึกคนหนึ่งก็ดี ในฐานะผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าก็ดี โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของผู้ช่วยฝึกสอน คนเขาไม่เห็นท่านเป็นปัจเจกบุคคล เป็นผู้ฝึกพลัง(กง)ทั่วๆ ไปคนหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะทำเรื่องอะไร ผู้คนก็จะเห็นท่านเป็นผู้บำเพ็ญของฝ่าหลุนต้าฝ่าคนหนึ่ง เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของฝ่าหลุนต้าฝ่า เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ มีคนไม่น้อยต่างรู้ว่าฝ่าหลุนกงดี ดีก็ดีตรงที่เขาเน้นการบำเพ็ญซินซิ่ง ชี้ถึงประเด็นที่แท้จริง การบำเพ็ญของฝ่าหลุนต้าฝ่าล้วนแต่เน้นที่ซินซิ่งเป็นสำคัญ ดังนั้นสายตาของผู้คนก็จะจดจ้องที่พวกท่าน ผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าเหล่านี้ สนใจทุกๆ การกระทำของพวกท่าน ท่านทำไม่ดี คนเขาก็เข้าใจว่าพวกท่านดีแต่พูดแต่ไม่ลงมือทำจริง ถ้าพวกท่านพูดได้น่าฟัง แต่ความจริงไม่เป็นไปตามนั้น ก็จะทำให้คนมีความรู้สึกอย่างนั้น ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ก็ไม่ดี

ที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่คือสถานการณ์ของการถ่ายทอดพลัง(กง) พวกเราก็มองเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ จึงต้องเรียกประชุมครั้งนี้ ในเวลาเดียวกันข้าพเจ้าก็ต้องพูดกับทุกท่านถึงปัญหานี้ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปต่างประเทศ เพราะที่เป่ยจิงผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่ามีจำนวนค่อนข้างมาก สามารถส่งผลกระทบในระดับที่แน่นอน ที่จริงข้าพเจ้าไปถ่ายทอดพลัง(กง)ในต่างประเทศก็เหมือนกับการถ่ายทอดพลัง(กง)ในประเทศ ทุกท่านทราบ วันนี้ข้าพเจ้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ พรุ่งนี้ไปตะวันตกเฉียงใต้ มะรืนนี้ไปทางใต้ จากนั้นก็มาที่ตรงนี้แล้วก็ไปที่ตรงนั้น ไม่ใช่เดินทางกันอย่างนี้หรอกหรือ นี่ก็เหมือนกัน ท่านเดินทางไปรอบโลกก็ใช้เวลาเพียงสองวัน ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าไปที่ไหนแล้วจะไม่กลับมาตลอดไป มีคนจำนวนมากคิดอย่างนี้ ยังมีคนหนึ่งพูดว่า: เมื่อหลี่หงจื้อไปแล้ว ถึงคราวที่ฉันจะเป็นใหญ่มั่งละ ความคิดของคนต่างๆ นานา

การบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรานั้นให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญซินซิ่ง หากการกระทำใดของท่านไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของผู้บำเพ็ญ ผู้ฝึกของเราล้วนสามารถประเมินออกมาได้ แต่ก็มีคนส่วนหนึ่ง เขาไม่สามารถรับรู้การโน้มเอียงไปทางที่ผิด การกระทำที่ผิดเหล่านี้ได้ชัดเจน เพราะสำหรับผู้ฝึกจำนวนมากนั้นเกิดจากจิตยึดติด จิตโอ้อวด จิตแต่ละชนิดที่ยังขจัดทิ้งไปไม่ได้ ทุกท่านต่างรู้ว่าฝ่านี้ดี ทุกท่านต่างก็รู้ว่าฝ่านี้สามารถบังเกิดผลในการช่วยเหลือคน เช่นนั้นท่านลองคิดดู: ฝ่านี้เขาสามารถช่วยเหลือคน เหตุใดสามารถช่วยเหลือคน เหตุใดสามารถทำให้คนเปลี่ยนแปลงเป็นคนดี เงื่อนไขอันดับแรกอันนี้คือถ้าท่านไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนดีแล้วใครก็ไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้ แต่การจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีของท่าน จะทำได้ต่อเมื่อตัวท่านต้องการจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีเท่านั้น ทุกๆ การกระทำล้วนต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง นี่เป็นเรื่องที่เง้มงวดจริงจังมาก

                        คนบางคนจิตโอ้อวดแสดงออกมาเด่นชัดมากๆ หากพัฒนาต่อไปก็จะบ่อนทำลายฝ่า และยังจะทำให้คนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมสัมมนาและผู้ฝึกพลัง(กง)ที่ศูนย์ฝึกต่างๆ เกิดการรับรู้เข้าใจที่ผิด กระทั่งทำอะไรเลอะเทอะตามพวกเขาด้วยความคิดที่สับสน ตรงนี้จึงต้องพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบของผู้ช่วยฝึกสอน ความรับผิดชอบของผู้ช่วยฝึกสอนมีความสำคัญอย่างยิ่ง จำได้ว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปถ่ายทอดพลัง(กง)ที่กว่างโจว ข้าพเจ้าได้พูดไว้เช่นนี้: ข้าพเจ้าพูดว่าผู้ช่วยฝึกสอน ความรับผิดชอบของท่านไม่เป็นรองจากเจ้าอาวาสในวัด เหตุใดจึงพูดอย่างนี้นะหรือ การถ่ายทอดพลัง(กง)สู่ระดับชั้นสูงก็คือเรื่องการช่วยเหลือคน ผู้ที่บำเพ็ญเป็นอาชีพอย่างแท้จริง เขาก็เป็นผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเขาบำเพ็ญอยู่ในศาสนา แต่พวกเราส่วนใหญ่นั้นบำเพ็ญอยู่ในสังคมในรูปแบบนี้ เช่นนั้นในเมื่อทุกท่านต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญ ทุกท่านฝึกพลัง(กง)ด้วยกัน แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ยกระดับสูงขึ้นด้วยกัน ดังนั้นเจ้าอาวาสคนนี้ หมายความว่าผู้ช่วยฝึกสอนคนนี้กับเจ้าอาวาสคนนั้นในวัดมีอะไรแตกต่างกันหละ ในช่วงธรรมะปลาย ข้าพเจ้าว่าผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราซินซิ่งยังจะสูงกว่าพระภิกษุเสียอีก ข้าพเจ้าว่าผู้ฝึกของข้าพเจ้ามีซินซิ่งสูงกว่าพระภิกษุ ฉะนั้นผู้ช่วยฝึกสอนของเราจึงสูงกว่าเจ้าอาวาส สูงกว่าสมภารในวัด เช่นนั้นผู้ช่วยฝึกสอนของเราบางคนปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดนี้หรือไม่หละ

แน่นอน พวกเราที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ยังมีผู้ช่วยฝึกสอนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมการสัมมนา นี่คือปัญหาหนึ่ง แต่ประเด็นนี้พวกเราไม่คัดค้าน ในอนาคตพวกเราไม่อาจที่จะให้ผู้ฝึกพลัง(กง)ในทุกๆ พื้นที่ทั่วประเทศต่างเข้าร่วมการสัมมนาแล้วค่อยเป็นผู้ช่วยฝึกสอนได้ แต่พิจารณาจากมาตรฐานของการเป็นผู้ช่วยฝึกสอนคนหนึ่งท่านได้มาตรฐานหรือไม่ ความเข้าใจต่อฝ่ามีระดับเช่นไร คนที่กระทั่งคำพูดและการกระทำก็ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญ ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญต้าฝ่าคนหนึ่ง คนอย่างนี้จึงไม่อาจจะเป็นผู้ช่วยฝึกสอนได้ จุดประสงค์ของการบำเพ็ญของเรานั้นชัดเจนมาก คือสามารถบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูง ในการสัมมนาพวกเราพูดไว้ชัดเจนมากแล้ว ท่านลองคิดดู คนจริงที่ได้เต๋า หรือพระพุทธ พระโพธิสัตว์ของสายพุทธ เขาจะพูดจาเหมือนท่านไหม ความคิดของเขาจะไม่บริสุทธิ์เหมือนของท่านไหม ทำอะไรเหมือนอย่างที่ท่านทำไหม แน่นอน ไม่ใช่ว่าพวกเราจักต้องกำหนดทุกท่านไว้สูงเช่นนั้นให้ได้ ถึงอย่างไรพวกเรายังเป็นคนที่อยู่ในระหว่างการบำเพ็ญ แต่ท่านควรจะเข้มงวดกับตัวเองหรือไม่หละ

ผู้ฝึกส่วนใหญ่ ผู้ช่วยฝึกสอนส่วนใหญ่ล้วนปฏิบัติตนได้ดีอย่างยิ่ง ทุ่มเทอุทิศตนอย่างมาก จัดให้ทุกคนศึกษาฝ่าด้วยความลำบาก พวกเราล้วนแต่มาบำเพ็ญโดยสมัครใจ และไม่มีใครแต่งตั้งตำแหน่งให้ท่าน หรือสัญญาจะให้อะไร หรือท่านจะหาเงินทองได้มากน้อยเท่าใด พวกเราไม่มีอำนาจ และไม่มีพันธะหน้าที่จะต้องทำ และไม่ได้บอกว่าจะได้เงินเดือนสักเท่าใด ทุกท่านล้วนแต่อาสาทำงาน  ทำด้วยจิตใจที่กระตือรือร้น ทุกคนปกป้องรักษาฝ่า กำลังทำเรื่องอย่างนี้ เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่ทำเรื่องนี้ให้ดีหละ แน่นอนเมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการสัมมนา ในอนาคตข้าพเจ้าว่าพวกเราสามารถจัดการฝึกอบรมเป็นระยะๆ ให้กับผู้ฝึกใหม่หรือผู้ช่วยฝึกสอนเป็นการเฉพาะ จะต้องทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะตามไม่ทัน ในบางพื้นที่ไม่มีผู้ฝึกเก่าแม้แต่คนเดียว ก็ต้องจัดตั้งศูนย์ช่วยฝึกสอน ดังนั้นก็ต้องจัดการฝึกอบรมในส่วนที่จำเป็นให้แก่พวกเขา แน่นอนการฝึกอบรมเป็นเรื่องภายหน้า พวกเราไม่สนใจว่าท่านเคยเข้าร่วมการสัมมนาแล้วหรือไม่ ต่อแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราขอให้ผู้ช่วยฝึกสอนทั้งหมดต้องเข้าใจฝ่าให้ดี พวกเราคนที่มีความสามารถ คนที่อยู่ในวัยหนุ่มแน่นมีกำลังวังชา ยกเว้นผู้สูงอายุ คนที่ความจำไม่ดีแล้ว ล้วนต้องท่องหนังสือ บางทีข้าพเจ้าอาจจะตั้งข้อเสนอไว้สูงมาก กำหนดสิ่งที่สูงเกินไป แต่ในหลายๆ พื้นที่ผู้ฝึกจำนวนมากต่างท่องได้คล่องแคล่วอย่างยิ่ง เวลาที่พวกเขาศึกษาก็ไม่ต้องใช้หนังสือเลย ล้วนท่องกันออกมา ดังนั้นเปรียบเทียบกันแล้ว...... ถึงแม้ว่าบ้านเกิดของข้าพเจ้าจะอยู่ที่ตะวันออกเฉียงเหนือ  แต่ข้าพเจ้าอยู่ที่เป่ยจิงเป็นประจำนี่ สมาคมค้นคว้าวิจัยของเราตั้งอยู่ที่เป่ยจิง และข้าพเจ้าก็จัดสัมมนาที่นี่บ่อยมาก เวลานี้ฐานของเราก็ยังอยู่ที่นี่นะ ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราที่เป่ยจิงจึงควรทำหน้าที่ในการนำ โดยแท้จริงเป่ยจิงสมควรแสดงบทบาทในการนำ แต่เวลานี้พื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศผู้คนต่างกำลังศึกษากันแล้ว

การศึกษาฝ่ามีประโยชน์อะไรหรือ ก็คือเมื่อผู้ฝึกของเรามีปัญหาอะไร ตัวเขาก็สามารถแก้ไขเองได้ ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง เมื่อใครคิดจะก่อความวุ่นวาย เช่นนั้นผู้ฝึกเองก็จะแยกแยะได้ ทำให้คนที่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง คอยปลุกปั่นเรื่องราว ไม่อาจจะทำได้ ไม่มีโอกาสทำ(ไม่มีใครสนใจ)  จากวันนี้ไปพวกเราสามารถตั้งเป็นกฎเกณฑ์ ถ้าท่านจะบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า ถ้าท่านคิดอยากจะบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าของเรานี้ ท่านก็ต้องศึกษาฝ่า คนที่ฝึกแต่ท่าการเคลื่อนไหวเท่านั้น พวกเราไม่ยอมรับ ตรงนี้ไม่ใช่ตั้งข้อกำหนดกับท่านไว้สูง เพราะปัญหานี้ได้บ่อนทำลายชื่อเสียงของฝ่าของเราอย่างร้ายแรงมากแล้ว บอกว่าฉันเพียงแต่ฝึกท่าการเคลื่อนไหว ไม่บำเพ็ญซินซิ่ง ออกจากบ้านก็ทำตามอำเภอใจ คิดจะทำอะไรก็ทำอะไร อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ สิ่งที่ทำยังแย่ยิ่งกว่าที่คนธรรมดาสามัญทำเสียอีก ข้าพเจ้าว่าให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงตั้งข้อกำหนดนี้ขึ้นมา

เนื่องจากผู้ฝึกของเราบางคนมีจิตโอ้อวดที่ยังไม่ขจัดทิ้งไป ทำให้เกิดกรณีต่างๆ อย่างนี้ เช่นบางคนมักจะโอ้อวดตัวเอง ณ ที่นี้ข้าพเจ้าจะพูดถึงพวกเราผู้ช่วยฝึกสอน นี่เป็นการประชุมของผู้ช่วยฝึกสอน ถ้าข้าพเจ้าพูดถึงผู้ฝึกของเรา ผู้ฝึกของเราก็ไม่ได้ยิน ข้พเจ้าจึงพูดถึงแต่ผู้ช่วยฝึกสอน จิตโอ้อวดไม่ขจัดทิ้งไป ตรงนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้ช่วยฝึกสอนของเราจำนวนมากมีความเข้าใจต่อฝ่าต่ำมาก ต่ำกว่าผู้ฝึกทั่วไปเสียอีก แต่มีปัญหาหนึ่ง เมื่อผู้ฝึกมีข้อสงสัย ที่ผ่านมาพวกเขาโดยมากไม่อ่านหนังสือ ไม่ศึกษา ถึงอ่านหนังสือก็ไม่อ่านเป็นประจำ จึงเกิดเรื่องอย่างนี้  มีหลายๆ ปัญหาที่เขาแก้ไม่ตก จึงอยากจะถามผู้ช่วยฝึกสอน พอถามผู้ช่วยฝึกสอน เนื่องจากผู้ช่วยฝึกสอนของเราซินซิ่งตัวเองมีปัญหา..... ผู้ช่วยฝึกสอนเองก็ไม่ศึกษาฝ่า และไม่อ่านหนังสือ มีความเข้าใจต่อฝ่าแบบครึ่งๆ กลางๆ ผู้ช่วยฝึกสอนบางคนจึงคิด: ถ้าฉันไม่สามารถอธิบายละก็ จะทำให้บารมีและชื่อเสียงของฉันลดลง จะจัดให้คนฝึกพลัง(กง)ด้วยกันก็อาจจะจัดลำบาก แน่นอน อาจมีจุดประสงค์เพื่อจะปกป้องฝ่านี้ ---- จัดให้คนฝึกได้ลำบาก ดังนั้นสำหรับปัญหาที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ ผู้ช่วยฝึกสอนบางคนจึงกล้าที่จะสรุปความและพูดจาเรื่อยเปื่อย พูดโดยคาดคเนเอา หรือพูดตามความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง อันที่จริงก็คือบ่อนทำลายฝ่า  บ่อนทำลายฝ่าอย่างร้ายแรง ที่ผ่านมาข้าพเจ้าก็เคยพูดถึงปัญหานี้ ไม่สามารถจะไปอธิบายฝ่านี้โดยใช้ความรู้สึกของตัวเอง ใช้สิ่งที่ตัวเองอู้(รับรู้)ได้ ณ ระดับชั้นของตัวเอง ประเด็นนี้ไม่ใช่พูดชัดเจนแล้วหรือ ก็คือประเด็นอย่างนี้! ฉะนั้น พวกเราทุกคนต้องระวังเรื่องนี้ให้ดี

ทุกท่านมีจุดประสงค์ดี อยากจะปกป้องฝ่านี้ ฉันไม่ใช่ทำเพื่อจะเสริมบารมีและชื่อเสียงของตัวเอง ถ้าฉันจัดให้คนฝึกพลัง(กง)ไม่ได้ ฉันก็ทำงานได้ไม่ดี  นี่อาจจะเป็นจุดประสงค์ของท่าน แต่ข้าพเจ้าขอแนะนำพวกท่าน วิธีเดียว หนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้คือท่านต้องเข้าใจฝ่านี้ให้ลึกซึ้ง  เข้าใจฝ่านี้ให้ถ่องแท้ เมื่อถึงเวลาที่คนถามท่าน ท่านก็จะพูดอยู่ในฝ่านี้ ก็คือพูดเกี่ยวกับฝ่านี้ สำหรับการปรากฏของสภาวะความสามารถต่างๆ นั้น ท่านไม่จำเป็นต้องบอกเขา ให้ท่านบอกว่าความสามารถนั้นมีหลากหลายชนิดและปรากฏออกมาเป็นหมื่นๆ รูปแบบ แล้วจะให้ฉันบอกท่านอย่างไรหละ สภาวะแต่ละชนิดของท่าน สภาวะอย่างนี้ สภาวะอย่างนั้น  เมื่อท่านถือว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจมัน สภาวะบางอย่างท่านจะรู้สึกได้ สภาวะบางอย่างยังไม่ทันที่ท่านจะรู้สึกมันก็ผ่านไปแล้ว ความสามารถนั้นมีมากกว่าหมื่นชนิด อยู่ในร่างกาย ถ้ามันขยับเพียงเล็กน้อยก็จะมีความรู้สึก ในความสามารถนั้นมีประจุไฟฟ้าแรงกล้า แม่เหล็กแรงกล้า ยังมีสิ่งอื่นๆ อีก ถ้ามันขยับเพียงเล็กน้อยท่านก็จะรู้สึก ล้วนไวต่อความรู้สึก บอกว่าสภาวะแต่ละชนิดของท่าน และยังร่างชีวิตแต่ละชนิดที่ท่านแปรผันออกมา เช่นนั้นท่านจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้เขาอย่างไรหละ สิ่งเหล่านี้ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายให้กับเขา ให้ท่านบอกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปฏิกิริยาปกติ ล้วนแต่เป็นเรื่องดี ถ้าเข้าใจฝ่าได้ถ่องแท้ พวกเราสามารถจะอธิบายไปตามฝ่า ที่ผ่านมาพวกเราต้องการแต่จะปกป้องฝ่านี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คิดแต่จะอธิบายกับทุกคนให้มากสักหน่อย และกลัวว่าทุกคนจะเข้าใจได้ไม่ดีพอ สาเหตุสำคัญคือพวกเราเข้าใจฝ่าได้ไม่ลึกซึ้ง ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายออกมาให้กับคนเขา เมื่ออธิบายไม่ออกตัวเองก็กลัวจะเสียหน้า จึงพูดตามไปที่ตัวเองคาดคเน อย่างนั้นไม่ใช่เป็นการบ่อนทำลายนี้อย่างร้ายแรงหรือ

จิตโอ้อวดนี้ถ้าพัฒนาต่อไป มันจะกระตุ้นให้คนแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ เพราะโดยแท้จริงต้นตอของมันมาจากตรงนี้---- การแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ถ้าพัฒนาต่อไปอีกก็จะแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า เขาก็จะเป็นหัวหน้าก๊ก พวกท่านต้องฟังฉัน! หลี่หงจื้อทำอะไรก็ยังต้องฟังฉัน ถึงอย่างไรผู้ฝึกก็ไม่รู้ เขาจึงพูดอย่างนี้ ดีไม่ดีเขายังจะพูดว่าหลี่หงจื้อเป็นมารเสียอีก! เขาเท่านั้นที่เป็นใหญ่ เวลานี้พวกเราไม่ใช่มีคนเช่นนี้อยู่หรอกหรือ! ปัญหาเหล่านี้ปรากฏออกมาล้วนแต่ร้ายแรงอย่างยิ่ง ในฝ่าของเรานี้ ในหมู่ผู้ช่วยฝึกสอนของเราที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ในวันนี้ ที่เป่ยจิงตรงนี้ เรื่องประเภทนี้ล้วนไม่สมควรมีเกิดขึ้นอีก แต่มันก็ยังเกิดขึ้นอีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระดับความเข้าใจต่อฝ่าของพวกเรายังต่ำมาก ดังนั้นเวลานี้มีหลายคนที่ทำกันจนเกินเหตุ ทำกันจนดูไม่ได้ แต่บางคนยังเลื่อมใสศรัทธาเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้าเน้นประเด็นที่เรื่องราวไม่เน้นที่คน จึงพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ทุกท่านพึงระวังปัญหาเหล่านี้ให้ดี

ยังมีสภาพการณ์อีกแบบหนึ่งที่สะท้อนออกมาในหมู่ผู้ช่วยฝึกสอนของเรา ก็คือจิตยึดติดในการทำงานแบบหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ แต่ปรากฏออกมาในสภาพการณ์อันพิเศษของเราในวันนี้ ปรากฏออกมาในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่พิเศษ เหตุใดสภาพการณ์นี้จึงปรากฏออกมานะหรือ ในประวัติศาสตร์ พวกเราคนจีนหรือพื้นที่อื่นๆ ในโลกก็เช่นเดียวกัน มีครอบครัวเป็นศูนย์รวม แต่คนในปัจจุบัน โดยเฉพาะคือพวกเราคนจีนต่างมีการงานของตัวเอง  ทำงานกันทั้งชีวิต ถ้าไม่มีงานทำจิตใจก็ไม่มีอะไรรองรับ ปรากฏสภาพการณ์เช่นนี้ ดังนั้นจึงถือเอาฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราเป็นการทำงานแบบหนึ่ง มีผู้ช่วยฝึกสอนจำนวนมากที่มีจิตใจชนิดนี้ เขาก็รู้สึกว่าฝ่าดี ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่เป็นอย่างนี้ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องที่แน่นอน เขารู้ว่าดี แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะศึกษาฝ่าให้ดี รับรู้เข้าใจให้ดีได้อย่างไร จะยกระดับตัวเองให้สูงในฝ่าได้อย่างไร เขามีจิตยึดติดต่อการทำงานชนิดหนึ่ง ฉันอายุมากแล้ว เวลานี้เกษียณจากการงานแล้ว หรือฉันกำลังจะเกษียณแล้ว ไม่มีงานทำ ทีนี้มีงานเล็กๆ น้อยๆ ทำแล้ว ดีอะไรอย่างนี้ พลัง(กง)นี้ก็ดี เขามีจิตใจอย่างนี้ ทุกท่านลองคิดดู ความคิดแบบนี้ช่างห่างไกลจากข้อกำหนดของฝ่าของเราเป็นสิบหมื่นแปดพันลี้ พวกเราต้องรับผิดชอบต่อฝ่านี้ ไม่ใช่รับผิดชอบต่อความรู้สึกส่วนตัวของท่าน ท่านรู้สึกว่าไม่มีงานทำแล้ว ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งพิงแล้ว อยากจะหาอะไรทำสักเล็กน้อย มันไม่ใช่อย่างนี้ นี่เป็นปัญหาที่เด่นชัดมาก ท่านปฏิบัติต่อฝ่าด้วยความคิดเช่นไร นี่เป็นปัญหาที่เข้มงวดจริงจังมาก!

เมื่อคนบำเพ็ญ เมื่อคนบำเพ็ญสู่ระดับชั้นสูงอย่างแท้จริง นั่นก็คือเรื่องของการช่วยคนและช่วยตัวเอง ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางความคิดนี้ ท่านก็ทำงานนี้ได้ไม่ดี เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าขอเน้นย้ำอีกครั้ง ข้าพเจ้าพูดถึงปัญหานี้ ณ พื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พวกเราไม่อาจจะปฏิบัติเหมือนการบริหารหน่วยงาน บริหารธุรกิจ หรือบริหารวิสาหกิจหรือองค์กร ข้าพเจ้ายกตัวอย่างนี้บ่อยๆ: ในปีนั้นที่องค์ศากยมุนีทรงถ่ายทอดฝ่า ด้วยเกรงว่าผู้คนจะเดินเข้าสู่รูปแบบนี้ ในเวลานั้นยังไม่เกี่ยวโยงถึงปัญหาเหล่านี้ เกี่ยวโยงแต่เฉพาะการแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ องค์ศากยมุนีทรงสอนให้คนตัดขาดจากมันโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงนำคนเข้าป่าไปบำเพ็ญธรรมอยู่ในถ้ำตามภูเขา ไม่ให้ท่านมีอะไรเลย ให้ตัดขาดจากสิ่งที่เป็นวัตถุเพื่อขจัดจิตยึดติดทุกชนิด จิตยึดติดกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของคนให้หมดสิ้นไป แต่พวกเรานั้นอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ทุกท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมาดาสามัญของสังคม ล้วนแต่บำเพ็ญด้วยสำนึกของตน ที่จริงข้าพเจ้าไม่มีนัยที่จะวิพากษ์วิจารณ์พวกเราแม้แต่น้อย เพียงเพื่อจะรับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของทุกท่าน ข้าพเจ้าจึงชี้ให้เห็นถึงอุปสรรค์เหล่านี้ที่จะส่งผลอย่างร้ายแรงต่อการบำเพ็ญสู่ระดับชั้นสูง  แต่พวกเราในฐานะผู้ช่วยฝึกสอนคนหนึ่ง พวกเรามีปัญหาของความรับผิดชอบ หมายความว่าถ้าท่านทำไม่ดี คนกลุ่มนี้อาจถูกท่านนำพาไปในทางที่ไม่ดี ถ้าคนกลุ่มนี้ถูกท่านนำพาไปในทางที่ไม่ดี ตัวท่านเองจะเป็นอย่างไรเราจะไม่พูด ท่านอาจทำลายคนกลุ่มหนึ่งไปนี่ซิ! ข้าพเจ้าพูดถึงปัญหานี้อยู่เสมอ จิตยึดติดต่อการทำงานนี้   แน่นอนมันมีด้านที่ดีของมันอยู่ พวกเราต้องจัดวางความสัมพันธ์นี้ให้ดี ถ้าทุกคนไม่มีจิตที่อยากจะทำงาน ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นผู้ช่วยฝึกสอนแล้วละก็ ข้าพเจ้าว่าเช่นนั้นเราก็ไม่อาจจะทำงานของเราให้ดีได้ ทุกท่านต้องมีความกระตือรือร้นอยากจะทำงานนี้ แต่จุดเริ่มต้องเป็นการทำเพื่อฝ่านี้ เพื่อให้คนศึกษาฝ่าได้ฝ่า เพื่อเผยแพร่ฝ่าให้กว้างไกล เพื่อช่วยเหลือคน จุดเริ่มไม่อาจเป็นเพื่อจะให้ฉันมีงานอะไรทำบ้าง ตรงนี้ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเรายังทำได้ไม่ดีพอ ให้พวกเราทบทวนสิ่งเหล่านี้ให้มาก

จากนี้ไปพวกเราผู้ช่วยฝึกสอนต้องเข้าใจฝ่าให้ถ่องแท้ ข้าพเจ้าคิดว่าก็จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ รวมทั้งผู้ฝึกเหล่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมการสัมมนาก็ต้องเข้าใจฝ่าให้ถ่องแท้  ดังนั้นพวกเราจึงตั้งมาตรฐานสำหรับผู้ช่วยฝึกสอนไว้สูง มีบางคนแต่งตั้งผู้ช่วยฝึกสอนโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่นเราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เราทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีมาแต่ไหนแต่ไรมา พวกเราไม่อาจจะจัดการปัญหากันเช่นนี้ ต้องเป็นพวกท่านใครที่ศึกษาได้ดี ใครที่บำเพ็ญได้ดี คนนั้นก็มาทำงานนี้ ณ ที่นี้ข้าพเจ้าอาจตั้งข้อกำหนดกับทุกท่านไว้สูง ข้าพเจ้ารู้สถานการณ์ข้างล่าง แต่ข้าพเจ้าคิดว่าถึงอย่างไรพวกเราอยู่ที่เป่ยจิงนี่นะ สมาคมค้นคว้าวิจัยฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราก็อยู่ที่นี่ ศูนย์กลางอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าว่าที่ตรงนี้ถ้าทำไม่ดีก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่อื่นๆ

ไม่อยากจะพูดอะไรมากนัก เพราะถึงอย่างไรสิ่งเหล่านั้นคือจุดบกพร่อง ถึงแม้ข้าพเจ้าไม่ใช่กำลังวิพากษ์วิจารณ์พวกท่าน แต่ที่พูดไปก็คือจุดบกพร่อง ที่ไม่ได้ขอให้คนอื่นมาร่วมประชุมครั้งนี้เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่องานของพวกท่านในวันข้างหน้า ดังนั้นจึงไม่บอกให้คนอื่นมาประชุม ให้ผู้ช่วยฝึกสอนของเรามาประชุมเท่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าผู้ช่วยฝึกสอนของเราสามารถทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำเรื่องเหล่านี้ให้ดี การสร้างสรรค์พลัง(กง)ของเรา การพัฒนาตามปกติในวันข้างหน้า ข้าพเจ้าคิดว่าไม่เป็นปัญหา

ยังมีข่าวลือเช่นนี้ว่า หลี่หงจื้อไปต่างประเทศแล้ว อาจจะไม่กลับมา คนที่พูดอย่างนั้นเห็นข้าพเจ้าเหมือนกับคนธรรมดาสามัญทั่วไป ข้าพเจ้าไปต่างประเทศแล้ว ไปทำงานหาเงินแล้วค่อยกลับมา หรือไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าไม่ใช่คนอย่างนั้น ทุกท่านทราบข้าพเจ้ามีญาติอยู่ต่างประเทศ ข้าพเจ้าสามารถไปต่างประเทศได้ทุกเวลา สภาพความเป็นอยู่ดีกว่าที่นี่ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้แสวงหาสิ่งเหล่านี้ ชื่อเสียงเอย ผลประโยชน์เอย การเสวยสุขอะไรเหล่านี้เป็นต้น ข้าพเจ้าก็ไม่แสวงหา สิ่งเหล่านั้นไม่มีประโยชน์สำหรับข้าพเจ้าแต่อย่างใด แต่เพื่อป้องกันบางคนที่ไม่รู้เรื่อง ป้องกันบางคนที่คิดเช่นนี้ ในกรณีที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  บางพื้นที่อาจมีปัญหาเช่นนี้ปรากฏ เพื่อเป็นการชี้แนะในการบำเพ็ญในกรณีที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ เรื่องต่างๆ ทั้งหมดให้สมาคมค้นคว้าวิจัยฝ่าหลุนกงของเราเป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพ นำพาทุกคนบำเพ็ญอย่างเป็นเอกภาพ เมื่อก่อนทุกสิ่งที่สมาคมค้นคว้าวิจัยตัดสินใจดำเนินการไปล้วนแต่ได้รับความเห็นชอบจากข้าพเจ้า ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่ใด การตัดสินใจดำเนินการของพวกเขาล้วนทำไปหลังจากติดต่อกับข้าพเจ้าทางโทรศัพท์หรือโทรสารแล้วเท่านั้น ยังมีอีกจุดหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าก็ได้พูดกับพวกเขาแล้ว นี่ก็เป็นการทดสอบต่อสมาคมค้นคว้าวิจัย ดูว่าพวกเขาจะนำพาทุกคนได้ดีหรือไม่ในเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ นี่ก็เป็นการทดสอบต่อพวกเขา แต่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีปัญหาเพราะคนที่อยู่กับข้าพเจ้ามานาน พวกเขาค่อนข้างจะเข้าใจวิธีทำงานของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการทำทั้งหมดในการเผยแพร่ฝ่า ดังนั้นจะพูดให้ชัดเจนตรงนี้ว่า: ในกรณีที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ ให้ศูนย์ช่วยฝึกสอนทุกแห่งทั่วประเทศยอมรับและดำเนินการในสิ่งที่สมาคมค้นคว้าวิจัยตัดสินใจไป ในฐานะผู้ช่วยฝึกสอนก็ยิ่งต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตน

ข้าพเจ้าจะพูดจากอีกด้านหนึ่ง พวกเราหลายๆ คนนำเอา “ผู้ช่วยฝึกสอน” มาตั้งเป็นยศฐาบรรดาศักดิ์แบบหนึ่ง พวกเราไม่ได้ให้ทุกท่านใช้เป็นตำแหน่ง  ตำแหน่งหน้าที่ประเภทนั้นตามที่เรียกขานกันในหมู่คนธรรมดาสามัญ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งของประเภทนี้ ผู้ช่วยฝึกสอนไม่ใช่ขั้นตำแหน่งอะไรแต่อย่างใด  นอกจากนี้ถ้าท่านแสดงกิริยาเป็นใหญ่กับคนเขาที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง) ถ้าคนเขาหันหลังให้ไม่สนใจท่าน ท่านก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าท่านแสดงกิริยาไม่ดีอีก เขาอาจบอกว่า ฉันไม่มาฝึกแล้วหละดีไหม ดังนั้นพวกเราไม่มีอำนาจแต่อย่างใด พวกเราล้วนแต่อาสาทำงานนี้ด้วยความสมัครใจและอย่างกระตือรือร้น เพื่อทำความดีให้กับทุกคน ดังนั้นพวกเราก็ต้องระวังวิธีทำงานสักหน่อย ในเมื่อมันไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่ตำแหน่งอะไรเลย  ข้าพเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนตัวผู้ช่วยฝึกสอนนั้นสามารถทำได้ทุกเวลาและสถานที่  อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้ บอกให้ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝึกสอน ฉันก็จะทำ  ไม่ให้ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝึกสอน ฉันก็จะเป็นผู้ฝึกพลัง(กง)ทั่วไปคนหนึ่ง ฝึกพร้อมกับทุกคน ที่จริงการเป็นผู้ช่วยฝึกสอนคือการทำหน้าที่ และไม่ใช่ให้ท่านเป็นผู้ช่วยฝึกสอนแล้วท่านก็บำเพ็ญสำเร็จแล้ว! ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ทำเพื่อคนอื่นมากสักหน่อย ผจญทุกข์มากสักหน่อย แบกรับงานมากสักหน่อย ดังนั้นหลายๆ พื้นที่ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏ บอกว่าหลังจากที่ผู้ช่วยฝึกสอนถูกเปลี่ยนไปแล้วก็ท้อแท้ไม่ให้ความร่วมมือ  บางคนถึงกับรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในฝ่าหลุนต้าฝ่า ผู้บำเพ็ญทำเรื่องเหล่านี้ได้หรือ ข้าพเจ้าจึงพูดถึงผู้ช่วยฝึกสอนของเรา พวกเราก็พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ณ ระดับชั้นนี้ อย่าเห็นเรื่องเหล่านี้สำคัญมากเกินไป อย่าเห็นเรื่องเหล่านี้สำคัญมากเกินไปเป็นอันขาด

แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่บ่อนทำลายฝ่านี้ของเราอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกเราก็ต้องเปลี่ยนทุกคนเมื่อใดที่มีปรากฏออกมา เพราะพวกเราไม่ได้ตั้งข้อกำหนดกับผู้ฝึก ท่านอยากเรียนท่านก็เรียน ท่านไม่อยากเรียนก็หมดปัญญา แต่ถ้าท่านเรียนพวกเราก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน พวกเราต้องอธิบายให้กับท่าน สำหรับผู้ช่วยฝึกสอนให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ เพราะถ้าท่านทำไม่ดีก็จะส่งผลกระทบไปถึงคนกลุ่มใหญ่และรบกวนผู้อื่น ดังนั้นเมื่อใดที่พวกเราพบเห็นคนที่ทำสิ่งที่เป็นวิชานอกรีต พบเห็นหนึ่งคนให้จัดการเปลี่ยนออกหนึ่งคน  ณ ที่นี้ข้าพเจ้าพูดกับพวกท่านอย่างจริงจัง: ผู้ฝึกคนนั้นที่ศูนย์ฝึกพลัง(กง)สวนสาธารณะสื่อจี้ชิง(เขียวขจีทั้งสี่ฤดู) มีช่วงเวลาหนึ่งทำกันออกนอกลู่นอกทางมากๆ จนถึงเวลานี้เขาก็ยังไม่ยอบรับว่าผิด แต่พวกเราก็ไม่ต้องการให้คนเขายอมรับผิด ตัวเขาเองควรแก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง แต่เขาไม่ทำอะไรเลย ยิ่งกว่านั้นได้ยินว่าส่งผลกระทบที่ไม่ดีมากๆ ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติกับข้าพเจ้าอย่างไร ไม่ว่าต่อหน้าเขาจะปฏิบัติกับข้าพเจ้าอย่างไร หรือลับหลังเขาจะปฏิบัติกับข้าพเจ้าอย่างไรก็ตาม เขาส่งผลด้านลบต่อฝ่านี้ เช่นนั้นจึงไม่สามารถเป็นผู้ช่วยฝึกสอนได้แล้ว อย่างเช่นมีคนบอกว่า: ฉันก็คือพระพุทธ ฉันเป็นใครเป็นใครมาก่อน ฝ่าหลุนของฉันใหญ่เท่าบ้าน หรือฉันเก่งกาจกว่าหลี่หงจื้อ เขาจะพูดอย่างไรก็ได้ ข้าพเจ้าก็จะไม่สนใจ แต่ถ้าเขาไม่ปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานของผู้ช่วยฝึกสอนของฝ่าหลุนต้าฝ่าละก็ไม่ได้ เราก็ต้องปลดเขาลงมา ในภายหน้าถ้าเขาเปลี่ยนแปลงดีแล้ว ก็อาจให้เป็นหัวหน้าศูนย์อีกครั้ง พวกเราก็อย่ากำหนดคนเขาให้เป็นที่แน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลง นี่ก็คือประเด็น ณ ที่นี้ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะวิพากษ์วิจารณ์ใคร หรือประนามใคร พวกเราเน้นที่ปัญหาไม่เน้นที่คน จึงยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา คนอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดถึงนั้น มีการทำเรื่องประเภทนี้หรือไม่  ก็มี เพียงแต่กรณีไม่เด่นชัดอย่างนี้

นอกจากนี้ อย่างที่ข้าพเจ้าได้พูดไปเมื่อครั้งที่แล้ว นั่นคือพวกเราต้องสร้างกระแสนิยมของการศึกษาฝ่าให้เกิดขึ้น จะต้องสร้างกระแสนิยมของการศึกษาฝ่า  เข้าใจฝ่าให้ดี มีแต่เข้าใจฝ่านี้ให้ดี ใครคิดจะมาก่อความวุ่นวายก็จะไม่มีคนสนใจ พอเขาคิด พูดอะไรสักประโยค ท่านก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ ท่านว่าเขาจะก่อความวุ่นวายขึ้นมาได้ไหม สิ่งที่เป็นวิชานอกรีตก็ทำไม่ขึ้น รับรองเป็นเช่นนี้

  ทุกท่านต่างก็รู้ว่าฝ่านี้ดี อันที่จริง ในการสัมมนาทุกครั้งข้าพเจ้าล้วนแต่บรรยายจากมุมที่ต่างกัน บางคนบอกว่า: การสัมมนาวันนี้ฉันได้ฟังอาจารย์บรรยายเช่นนี้ การสัมมนาวันนั้นได้ฟังอาจารย์บรรยายอีกแบบหนึ่ง อันที่จริงล้วนแต่เป็นประเด็นเดียวกัน เพียงแต่ข้าพเจ้าบรรยายจากมุมที่ต่างกัน แต่ฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายทุกครั้ง ในการบำเพ็ญปฏิบัติของท่านในอนาคต หรือในการยกระดับของท่านในอนาคต หรือเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ท่านจะพบว่าสิ่งที่ชี้แนะให้ท่านล้วนมีครอบคลุมไว้แล้ว ล้วนมีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ฝ่านี้ครอบคลุมสิ่งต่างๆ มากมายที่(ข้าพเจ้า)บรรยายจากมุมที่แตกต่างกัน ส่วนประกอบที่แตกต่างกัน และในสภาพที่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าบรรยายเขาออกมาในสถานการณ์หนึ่ง ดังนั้นเมื่อท่านเข้าใจก็จะเก็บเกี่ยวได้ผล เพียงแต่พวกเราศึกษาเขาให้ดี ข้าพเจ้าว่าก็จะไม่มีปัญหา หนังสือเล่มที่สาม – [จ้วนฝ่าหลุน] กำลังจัดพิมพ์ออกมาแล้ว ซึ่งรวบรวมเนื้อหาทั้งหมดที่ข้าพเจ้าบรรยายในการสัมมนา ซึ่งค่อนข้างสมบูรณ์ กำลังจัดพิมพ์ออกมาแล้ว ผู้ที่จะได้เห็นหนังสือเล่มนี้ก่อน ผู้ที่จะได้ประโยชน์ก่อนก็คือผู้ฝึกเป่ยจิง พวกเราทุกคนต้องศึกษาฝ่าให้มาก เข้าใจฝ่าให้ดี

ที่ข้าพเจ้าพูดมาทั้งหมดก็เพื่อให้ทุกท่านสามารถยกระดับให้สูงขึ้นได้อย่างแท้จริง จึงพูดสิ่งเหล่านี้กับทุกท่าน ที่เรียกทุกท่านมาประชุมอย่างเร่งด่วนเช่นนี้เพราะกลัวว่าในขั้นตอนการบำเพ็ญต่อจากนี้ พวกท่านอาจจัดการได้ไม่ดี หรือเนื่องจากเข้าใจ(ฝ่า)ได้ไม่ดี หรือเพราะข้าพเจ้าไม่ได้นำพาท่านสู่หนทางที่ถูกต้องจนท่านล้มเลิกกลางคัน ข้าพเจ้าก็จะรู้สึกผิดต่อท่าน ดังนั้นจึงเรียกทุกท่านมาประชุมเพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้แก่ทุกท่าน การบำเพ็ญเป็นเรื่องของตัวเอง ในอนาคตใครที่ตามไม่ทัน ใครที่ทำไม่ได้ ข้าพเจ้าตรงนี้ไม่สามารถเปิดประตูหลังให้แก่เขาได้ บอกว่าข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเป็นคนพอใช้ได้ หรือเขาอธิบายสถานการณ์ให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วพวกเราก็เปิดประตูหลังเถอะ ให้เขาขึ้นมาเสียเลย ให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ทุกท่านทราบ สิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในวันนี้คือฝ่า ฝ่านี้คือฝ่าของจักรวาล ถ้าข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตามฝ่า มิเท่ากับข้าพเจ้าเป็นผู้นำการบ่อนทำลายฝ่าหรือ ล้วนขึ้นอยู่กับตัวท่านไปบำเพ็ญ (ฝ่า)เป็นสิ่งที่ดี สามารถช่วยคน ยังสามารถช่วยชีวิตคน ก็ดูว่าทุกท่านจะเข้าใจฝ่าอย่างไร รับรู้เข้าใจฝ่าอย่างไร ที่เรียกทุกท่านมาก็ต้องการจะพูดเพียงเท่านี้ อย่าได้คิดว่าการประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเห็นข้อบกพร่องของพวกท่าน และต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์พวกท่านเป็นอันขาด ไม่ใช่เช่นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าสำหรับบางปัญหา การชี้ออกมาให้ทันเวลาดีกว่าชี้ออกมาภายหลัง พวกเราหัวหน้าศูนย์ช่วยฝึกสอนแต่ละแห่ง หรือผู้ช่วยฝึกสอน คนที่พวกเราเห็นว่าไม่ดี หลังจากที่ถอดเขาออกไปทันทีแล้ว คนๆ นี้เมื่อเขาจอดรถอย่างกระทันหันและค่อยๆ รับรู้เข้าใจปัญหาของตัวเองแล้วเริ่มบำเพ็ญใหม่อีก เขาจะเป็นหัวหน้าศูนย์ฝึกหรือเป็นผู้ช่วยฝึกสอนหรือไม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เขาสามารถบำเพ็ญถึงที่สุดเช่นกัน ก็ให้หยุดทำสิ่งที่เขาทำ และจะเป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก ตัวเขารับรู้เข้าใจแล้ว และยังบำเพ็ญต่อไป มีบางคนพวกเราให้โอกาสแก่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่อู้(รับรู้)ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็สายเกินไป เขาตกลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว กลายเป็นมารในสภาพแบบนั้น นี่เป็นบทเรียน!

ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบพูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่ชอบพูดอ้อมค้อม ในช่วงระยะหลังนี้ พวกเราไม่ว่าจะเป็นศูนย์ช่วยฝึกสอนก็ดี ศูนย์สาขาก็ดี หรือผู้ช่วยฝึกสอนของศูนย์ต่างๆ ของเราก็ดี ต่างทำงานเป็นปริมาณมากจริงๆ ทำให้ฝ่าของเรานี้ได้รับผลสะท้อนที่ใหญ่ขนาดนี้ในวันนี้ แน่นอนการที่ฝ่าดีคือด้านหนึ่ง ทุกท่านอุทิศตนอย่างมากมาย ปกป้องฝ่านี้ ช่วยประชาสัมพันธ์ฝ่านี้ อันที่จริงฝ่านี้ ข้าพเจ้าว่าคือฝ่าของจักรวาลตั้งแต่ต้น รวมทั้งทุกท่าน พวกท่านล้วนอยู่ในฝ่านี้ เช่นนั้น ฝ่านี้ก็เป็นของพวกท่าน จะปกป้องฝ่านี้หรือไม่ จะประชาสัมพันธ์ฝ่านี้หรือไม่ จะเผยแพร่ฝ่านี้ให้กว้างไกลหรือไม่ ในอนาคตจะกลืนกลายเข้ากับฝ่านี้หรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องของตัวพวกท่านเอง ข้าพเจ้าได้แต่บรรยายเขาออกมา นำพาท่านสู่หนทางที่ถูกต้องสายนี้ นี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ สำหรับการหยวนหมั่นอย่างแท้จริงในอนาคต ข้าพเจ้าว่านั่นคือท่านต้องบำเพ็ญเอาเอง

ไม่อยากจะใช้เวลาของทุกท่านมากเกินไปนัก เดิมทีหลายต่อหลายคนอยากมาฟังดูว่าอาจารย์จะบรรยายอะไรในระดับชั้นสูงในที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอน ล้วนแต่มาพร้อมกับจิตแสวงหา ความยึดติด การสืบเสาะหาความรู้ ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ไม่ดีเลย ข้าพเจ้าไม่อยากพูดอะไรมาก ถ้าพวกเรามีปัญหาอะไร มีปัญหาที่พิเศษเฉพาะ พวกเราจะให้เวลาสักเล็กน้อย ทุกท่านหยิบยกขึ้นมาถามได้ ศูนย์ใหญ่เป่ยจิงดูแลเรื่องการถ่ายรูป อีกสักครู่ศูนย์ช่วยฝึกสอน ศูนย์สาขาต่างๆ สามารถจัดกลุ่มขึ้นมาถ่ายรูป ไม่มีปัญหา (ข้าพเจ้า)สามารถถ่ายรูปกับทุกท่าน ทุกท่านที่นั่งอยู่ข้างล่างมีปัญหาที่พิเศษเฉพาะสามารถหยิบยกขึ้นมาถามข้าพเจ้าได้ ก็จะพูดเพียงเท่านี้

ข้าพเจ้าได้ยินว่ามีผู้ฝึกส่วนหนึ่งชอบไปยังศูนย์ฝึกต่างๆ การไปยังศูนย์ต่างๆ เป็นเรื่องดี ทำให้มีการติดต่อและเรียนรู้ระหว่างผู้ฝึกด้วยกันมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่มีบางคนเมื่อไปที่ศูนย์บางแห่งแล้วดูเหมือนจะมีจิตโอ้อวดแบบหนึ่ง: “ฉันรู้ข่าวบางอย่าง” ถ่ายทอดข่าวเล็กข่าวย่อย หรือ “พวกท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรอก ฉันเข้าใจ” (พวกเขา) มักคิดจะ..... มีหัวเชื้อจิตยึดติดซ่อนอยู่ลึกๆ หัวเชื้อเล็กๆ ใช้ฝ่านี้เป็นประโยชน์เพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้น ก็คือจิตโอ้อวดเช่นกัน (พวกเขา)ไม่ใช่ต้องการจะยกตัวเองให้สูงขึ้นด้วยสำนึกที่จัดเจน ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่มีหัวเชื้อจิตโอ้อวดเล็กๆ จิตโอ้อวดนี้เป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับผู้บำเพ็ญ

 

บางคนถามว่าคนที่ยังไม่ไคอู้(เปิดการรับรู้)จะมีฝ่าเซิน(ธรรมกาย)ได้อย่างไร

คนที่ยังไม่ไคอู้(เปิดการรับรู้) ตั้งใจฟังให้ดีหละ! คนที่ยังไม่ไคอู้ถ้าบำเพ็ญบรรลุถึงเขตแดนของพระพุทธก็จะมีฝ่าเซิน แต่ ณ เวลานี้ผู้ฝึกของเรายังไม่มีแม้แต่คนเดียว รวมทั้งอาจารย์ชี่กงในสำนักพลัง(กง)อื่นก็ยังไม่มีแม้แต่คนเดียว เท่าที่ข้าพเจ้ารู้คนที่มีฝ่าเซินมีเพียงข้าพเจ้าคนเดียว เหตุใดบางคนฝันเห็นผู้ช่วยฝึกสอนของเรา ยังเห็นหัวหน้าศูนย์ฝึกของเรา เห็นอะไรอื่นๆ นั่นคือผลจากความคิดของตัวท่านบวกกับสนามมิติของท่าน เป็นการสะท้อนออกมา ของความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันในสนามมิติของท่านแบบนี้ เป็นสภาวะแบบหนึ่งที่ใช้สิ่งนี้สะท้อนเข้าไปภายในขอบเขตของสนามมิตินี้ของท่าน นอกจากนี้เมื่อบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งที่แน่นอน (เขา)ยังสามารถจะแยกร่างถ้าไม่ถูกปิดล๊อกเอาไว้ หมายความว่าจู่หยวนเสิน(จิตหลัก) สามารถแยกออกจากร่างกายของเขาได้ แต่นั่นล้วนแต่เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งทำกันในระดับชั้นที่ต่ำมาก

 

มีใครบางคนอ้างตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์เวยถัว และสามารถเอาฝ่าหลุนที่ท่านอาจารย์ใส่ให้แก่ผู้ฝึกออกมาได้

  นั่นคือใจตัวเขาเกิดมาร ใจตัวเองแปรผัน ตัวเขาคิดเอาเอง เขาเอาออกมาหรือไม่ ที่เอาคือสิ่งที่ตัวเขาจินตนาการเอง เป็นภาพที่ตัวเองจินตนาการขึ้นภายในขอบเขตของสนามมิติของเขา อะไรเขาก็ทำไม่ได้ อ้างตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์เวยถัวอะไรเอย ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน ข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องนี้กับพวกเราก่อนหน้านี้แล้วว่า: ในยุคธรรมะปลายชีวิตในระดับชั้นสูง พวกเขาก็ตกอยู่ในมหันต์ภัย  ที่สมควรปกป้องก็ปกป้องขึ้นมาแล้ว ที่ไม่ได้ปกป้องขึ้นมาก็ถูกระเบิดทำลายไปแล้ว เวลานี้ไม่มีใครแล้ว หลายๆ คนเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิน ผู้ฝึกบางคนนำรูป(พระโพธิสัตว์กวนอิน) มาเบิกเนตร ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน จิต(ความคิด)ที่คนส่งออกมาในชั่วพริบตานั้นขณะที่เขาไหว้พระอยู่เป็นจิตใจที่เมตตาที่สุด ดีงามที่สุด ดีที่สุด เพื่อปกป้องจิต(ความคิด)ดวงนี้ของท่านเอาไว้ จึงให้ท่านเห็นภาพลักษณ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิน ที่จริงล้วนเป็นปรากฏการณ์ของฝ่าเซินของข้าพเจ้า ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดถึงประเด็นนี้ในการสัมมนาแล้ว

 

  บันทึกเสียงโดยศูนย์ช่วยฝึกสอนฝ่าหลุนต้าฝ่า ศูนย์ใหญ่เป่ยจิง