หลี่ หง จื้อ
23 พฤษภาคม
ค.ศ. 1999 นครโตรอนโต้
สวัสดีทุกท่าน เวลาค่อนข้างกระชั้นสักหน่อย บางคนอาจเพิ่งทานข้าว บางคนยังไม่ได้เข้าห้องประชุม ข้าพเจ้าได้ยินว่าเวลาบ่ายสี่โมงเย็น
ผู้ฝึกบางคนก็จะต้องไปแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงเปิดประชุมเร็วหน่อย
ดูเหมือนพวกเราจะเกิดความเคยชินอย่างหนึ่ง
คือสุดท้ายเมื่อจบการประชุมแต่ละครั้งล้วนต้องการให้อาจารย์ตอบปัญหาให้ทุกท่าน วันนี้ข้าพเจ้าขอเตือนทุกท่าน
แต่ละพื้นที่อาจจะมีการประชุมอย่างนี้บ่อยๆ
ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจไปร่วมได้ในแต่ละแห่ง คำพูดนี้ข้าพเจ้าขอพูดกับทุกท่านไว้ก่อน บางครั้งพวกท่านเชิญข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าอาจไปไม่ได้ เนื่องจากฝ่าก็ได้ถ่ายทอดให้ทุกท่านหมดแล้ว
ปัญหาต่างๆที่ข้าพเจ้าตอบให้ทุกท่านที่นี่นั้น ที่จริง ท่านเพียงไปบำเพ็ญ ทุกท่านย่อมจะเข้าใจแจ่มแจ้งได้หมด แต่ ปัญหาที่ถาม จำนวนมากนั้นมักจะเป็นผู้ฝึกใหม่หรือผู้ที่หลงติดอยู่ในระดับชั้นใดชั้นหนึ่งตลอดมาในการข้ามด่าน ข้าพเจ้าคิดว่า เพียงแต่ตั้งใจไปบำเพ็ญ ปัญหาอะไรก็จะสามารถแก้ไขได้หมด
เรื่องต่างๆที่ท่านรับรู้(อู้)ไม่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งนั้น
ย่อมจะรับรู้ได้ในอนาคต
ทุกท่านร่วมกันเปิดฝ่าฮุ่ยอย่างนี้ในวันนี้
ล้วนเป็นการริเริ่มจัดตั้งกันเองของผู้ฝึก
เพราะการบำเพ็ญนั้นเป็นการบำเพ็ญของพวกท่านเอง
เรื่องที่เป็นรูปแบบเหล่านี้ทั้งหมดนั้น
แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่เคยแทรกแซง
โดยเฉพาะคือมีผู้ฝึกมากมายที่ไม่สามารถพบกับข้าพเจ้า เช่นนั้นข้าพเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกให้ทุกท่านให้ถือฝ่าเป็นอาจารย์ อ่านหนังสือให้มาก ศึกษาฝ่าให้มาก ปัญหาอะไรก็จะแก้ไขได้หมด (เสียงปรบมือ)
ในเมื่อมาแล้ว ก็จะตอบปัญหาให้กับทุกท่านก็แล้วกัน
ก่อนอื่นข้าพเจ้ามีข้อกำหนดข้อหนึ่ง พวกเราที่นั่งอยู่
บางคนจัดเป็นผู้ฝึกใหม่ที่เข้าร่วมฝ่าฮุ่ยเป็นครั้งแรก
เช่นนั้นท่านคงจะมีปัญหามากมายที่อยากถาม ที่จริงปัญหาที่ท่านอยากถามนั้น
ล้วนมีอยู่ในหนังสือ
เนื่องจากผู้ฝึกจัดฝ่าฮุ่ยสักครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าได้พบหน้ากับผู้ฝึกสักครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย เวลาก็มีน้อย
สิ่งที่ท่านจะถามต้องเป็นปัญหาขั้นต้นที่ตื้นมาก
และบ้างจะเป็นปัญหาที่ยังไม่เข้าใจฝ่าหลุนต้าฝ่าแม้แต่น้อย ท่านเองไปอ่านหนังสือก็จะเข้าใจได้ เพราะเวลาค่อนข้างมีค่ามาก
ที่นี่ข้าพเจ้าเพียงสามารถตอบปัญหาที่พบในระหว่างการบำเพ็ญให้ทุกท่าน อีกอย่าง ยังมีบางคน
ค่อนข้างใส่ใจกับเรื่องในสังคมคนธรรมดาสามัญ
จึงอาจจะถามปัญหาบางอย่างในสังคมคนธรรมดาสามัญ หรือปัญหาด้านอื่น ข้าพเจ้าคิดว่า ก็อย่าถามเลย
เพราะเรื่องอะไรของสังคมคนธรรมดาสามัญข้าพเจ้าไม่ใส่ใจทั้งสิ้น และไม่อาจตอบปัญหาอย่างนั้นให้ท่าน เอาละ ตอนนี้เริ่มตอบปัญหาได้
ศิษย์
ผู้ฝึกบางคนประสบกับทุกข์ภัยเป็นเวลานานก็ผ่านไปไม่ได้ คนอื่นชี้แนะให้เขาดี
หรือควรให้เขาไปรับรู้เองโดยผ่านการศึกษาฝ่า
อาจารย์
ทุกท่านมองเห็นสาเหตุที่เขาก้าวหน้าไม่ได้ ทำไมไม่ชี้แนะให้กับเขาละ บอกเขาด้วยเจตนาดีย่อมไม่มีปัญหา หรือกลัวจะทำให้เขาโกรธละ
ท่าทีของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่เหมาะที่จะนำมาใช้บำเพ็ญหรอกหรือ ถึงแม้สิ่งที่ท่านพูดเขาไม่อาจเข้าใจได้
ก็ไม่เป็นไร
ฉิงของคนธรรมดาสามัญเรานั้นไม่ต้องปล่อยวางหรือ เมื่อมองเห็นปัญหาต้องบอกเขา บางคนเสียเวลาอยู่ในระดับชั้นหนึ่งก็ขึ้นมาไม่ได้สักที ยิ่งขึ้นไปไม่ได้
เขาก็ยิ่งไม่อ่านหนังสือ
ยิ่งไม่รู้จักก้าวหน้า ดังนั้นด่านนี้
ทุกข์ภัยที่ยิ่งใหญ่
กล่าวสำหรับเขาแล้วก็ยิ่งหวั่นไหว
กระทั่งทำให้เขาไม่สามารถบำเพ็ญได้ในที่สุด จากต้นจนจบมีปัญหาอย่างนี้อยู่ การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก ล้วนไม่อาจทำอย่างลวกๆแม้แต่น้อย หากท่านบรรลุมาตรฐานนั้นไม่ได้
ก็จะเข้าสู่ระดับชั้นนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด
คนธรรมดาสามัญทั่วไปคนหนึ่งคิดจะบรรลุหยวนหมั่น
อันศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับผู้รู้แจ้งใหญ่องค์หนึ่ง
แต่สำหรับปัญหานี้ท่านไม่อาจไปรับรู้อย่างมีสติแจ่มแจ้งเช่นนั้น หรือกระทั่งไม่อาจเห็นความสำคัญ
เช่นนั้นจะใช้ได้อย่างไรกันละ
ศิษย์ ในหงอิ๋นมีภาพที่งดงามมากมายแทรกอยู่
ในหนังสือพูดว่า วงกลมที่ล้อมรอบร่างพระพุทธนั้นเป็นสิ่งแทนตำแหน่งพระพุทธ
เช่นนั้นวงกลมรอบศีรษะพระพุทธนั้นแทนสิ่งใด รอบศีรษะหรือรอบล้อมกายพระพุทธยังไม่ใช่มีแค่หนึ่งวงกลม
อาจารย์ ภาพลักษณ์ของพระพุทธที่ทุกท่านเห็นในวัดหรือภาพวาดบนกำแพงยุคโบราณนั้น
มักวาดขึ้นมาโดยคนธรรมดาสามัญ แต่มีบางภาพนั้นเหมือนจริงมาก โดยภาพรวมได้แสดงรูปลักษณ์ของพระพุทธ เทพปรากฏออกมาได้จริงๆ ทำไมเป็นเช่นนี้ได้นะ ทุกท่านทราบ สังคมปัจจุบันนั้น คนจำนวนมาก
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความคิดและจิตสำนึกในยุคปัจจุบัน ไม่เชื่อในเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังค้นคว้าไม่ถึง เช่นนั้นแล้วจึงทำให้คนตกอยู่ในสภาพที่ตนเองปิดกั้นตนเอง
ทำให้คนยิ่งมองไม่เห็นสภาพการณ์ที่เป็นจริงที่วิทยาศาสตร์รับรู้ไม่ได้ แต่ปรากฏการณ์ที่เหนือสามัญวิสัยนั้นไม่แน่ว่าจะไม่ปรากฏออกมา เผยออกมา แต่ในเวลาที่ปรากฏหรือเผยออกมานั้น
คนมักจะถือว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่แน่ชัดเสมอ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหรืออธิบายไม่ได้ ก็แล้วกันไป และไม่กล้าที่จะไปสัมผัสมัน
กระทั่งไม่กล้าไปสำรวจมัน ถ้าหากมีคนไปสำรวจมัน
เช่นนั้นคนเหล่านี้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นวิทยาศาสตร์ขนานแท้ดังว่านั้น
จึงลุกขึ้นมาต่อต้าน และยิ่งทำให้คนไม่กล้าเชื่อ
ทุกท่านทราบว่า ศาสนาโรมันคาทอลิกก็ดี ศาสนาคริสต์ก็ดี หรือศาสนาพุทธนั้น ในยุคที่เจริญเต็มที่ของพวกมัน
หรือก็คือประชนชนเกือบทั้งหมดล้วนเชื่อถือนั้น
ในเวลาที่ทุกคนต่างเชื่อการคงอยู่ของเทพ เช่นนั้นในเวลาเดียวกันก็สามารถทำลายทัศนคติของคนที่ไม่เชื่อเรื่องเทพ
และทำให้ง่ายที่จะมองเห็นปรากฎการณ์ที่เป็นจริงของจักรวาลและการปรากฏของเทพ นี่เป็นหลักการหนึ่งของจักรวาลคือ
เชื่อก่อน เห็นทีหลัง
ท่านยิ่งไม่เชื่อก็ยิ่งไม่ให้ท่านเห็น ที่จริงเกิดจากใจคนไม่เที่ยงตรง มีโบสถ์เก่าแก่บางแห่ง
โดยเฉพาะคือข้างในวังของปารีส
ข้าพเจ้าเห็นภาพวาดเหล่านั้นที่วาดรูปลักษณ์ของโลกสวรรค์กับเทพ เป็นเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ช่างเหมือนจริงๆ
โดยเฉพาะรูปลักษณ์ของพระพุทธที่วาดอยู่ในวัดเก่าแก่ในประเทศจีน ทำไมคนจึงสามารถวาดออกมาได้ละ
ทำไมคนจึงรู้ว่าพระพุทธเป็นรูปลักษณ์อย่างนี้
ก็คือในยุคสมัยที่คนล้วนเชื่อถือเทพกันนั้น ก็มีคนมากมายที่สามารถมองเห็น ในหมู่คนเหล่านี้ก็มีคนอาชีพต่างๆกัน รวมทั้งศิลปิน
วันนี้ทุกท่านนั่งอยู่ที่นี่เป็นคนที่ศึกษาต้าฝ่า มีจิตรกร มีปฏิมากร ทำงานเฉพาะทางชนิดต่างๆ ศิลปินเหล่านั้นพอมองเห็น
เขาก็สามารถวาดทัศนียภาพที่เขามองเห็นออกมาได้ในทันที ดังนั้นในยุคที่ศาสนาเจริญเต็มที่ จึงมีคนมากมายรวมทั้งสาวกที่เลื่อมใสในศาสนา เขาก็เป็นศิลปินด้วย เขาจึงวาดทัศนียภาพชนิดนี้ออกมา พระพุทธรูปของชาวตะวันออกเรานั้น ทุกท่านล้วนทราบว่า
คนรู้จักรูปลักษณ์ชนิดนี้ของพระพุทธได้อย่างไร สวมจีวรสีเหลือง
และรู้ว่าผมเป็นสีน้ำเงิน ก็คือว่า
บางคนสามารถมองเห็น หากไม่ถึงระดับชั้นนั้นเขาก็จะไม่แสดงภาพจริงออกมาให้ท่านเห็น
รูปลักษณ์ที่ทุกท่านมองเห็นมักจะเป็นสิ่งที่ตนเองมองเห็นได้ในระดับชั้นที่ต่างกันทั้งสิ้น หรือพูดว่า เขามองเห็นโลกสวรรค์ เขาก็มองเห็นเทพด้วย ท่านก็มองเห็นเทพกับโลกสวรรค์ ทัศนียภาพที่ทั้งสองคนมองเห็นอาจไม่ใช่อย่างเดียวกัน หรือก็คือว่า
แต่ละคนล้วนไม่ได้อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน
ผู้ที่นั่งอยู่แต่ละคนนั้นพวกท่านไม่มีสักคนที่มีความคิดอยู่ในเขตแดนเดียวกัน
ภาพที่แท้จริงของจักรวาลนั้นซับซ้อนมาก ความใหญ่เล็กของอนุภาคกำหนดมิติที่ต่างกัน
ต่างกันเพียงนิดเดียวก็จะเป็นอนุภาคอีกระดับชั้นหนึ่งแล้ว การแบ่งเขตแดน ระดับชั้นนั้นซับซ้อนมาก
หากทะลวงไปได้หน่อยหนึ่งก็ไม่ใช่เขตแดนเดียวกันแล้ว
ดังนั้นหากไม่อยู่ในเขตแดนของพระพุทธนั้น ขณะที่ท่านมองเห็นพระพุทธ
ปรากฏการณ์ที่เขาแสดงให้ท่านเห็นนั้นเป็นเพียงสิ่งที่สามารถทำให้ท่านเห็นได้ในเขตแดนนี้เท่านั้น
รัศมีแสงที่อยู่ข้างหลังพระพุทธแทนสิ่งใดหรือ ที่จริงรอบๆ ร่างกายของพระพุทธนั้น
มีสนามที่ใหญ่มาก
เวลาที่พูดถึงเสวียนกวานตั้งจุด การก่อเกิดของมันนั้นข้าพเจ้าเคยพูดแล้ว
เริ่มต้นมันเป็นรูปแบบชนิดหนึ่งของเสวียนกวาน ต่อมา หลังจากเสวียนกวานนี้กลับสู่ที่ตั้ง พร้อมๆ
กับการเติบโตของร่างวัชระที่ไม่ดับสลายนี้
มัน(เสวียนกวาน)ก็จะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นตามการโตขึ้นของร่างกาย สุดท้าย
เมื่อร่างพระพุทธนี้ ก็คือร่างของเทพนั้นที่ทุกท่านบำเพ็ญออกมา
โตเท่ากับรูปร่างของตัวท่านเอง เช่นนั้น
เสวียนกวานนี้ขยายออกมานอกร่างกายแล้ว
ในขณะเดียวกันก็ครอบคลุมขอบเขตที่ใหญ่กว่าร่างกายสักหน่อย ข้าพเจ้าเรียกมันว่าโลกของพระพุทธ ก็คือโลกของเขาเอง และภายในโลกนี้อุดมสมบูรณ์
อะไรก็มีหมด อุดมสมบูรณ์มาก อยากจะได้อะไร อะไรก็มี เช่นนั้น ทุกท่านคิดดู อยากได้อะไร อะไรก็มี
ทัศนียภาพของเขาที่ปรากฏออกมานั้นจึงเป็นความยิ่งใหญ่ เกรียงไกร
โอ่อ่าสง่างามที่ไม่มีทางที่จะพรรณนาได้เลย จากจุลภาคจนถึงมหภาค ทุกสิ่งในนั้นของเขามีเพียบพร้อม ดังนั้น ในเวลาที่ทุกท่านสามารถมองเห็นได้ล้วนเป็นแสงเจิดจรัสรุ่งโรจน์
เช่นนั้นรูปแบบที่เป็นจริงของสนามชนิดนี้
จึงไม่สามารถใช้พู่กันของมนุษย์วาดออกมาได้
คนก็ไม่มีสีชนิดนี้
เนื่องจากสีในโลกที่มีอยู่ทั้งหมดล้วนประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุล
ทุกสิ่งของมิติมนุษย์นี้ล้วนประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุล
วัสดุที่ใช้ทำสีในโลกก็ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุล แต่
วัสดุที่ใช้ทำสีในมิตินั้นของพวกเขา
ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า ดังนั้นเมื่อไม่มีสีชนิดนี้ ก็วาดออกมาไม่ได้ เวลาที่ผู้คนมองเห็นจึงรู้สึกว่า โอ้ ช่างดีเหลือเกิน ทัศนียภาพนี้ช่างงดงามเหลือเกิน มักจะเป็นความรู้สึกเช่นนี้ เช่นนั้น วงรัศมีบนศีรษะพระพุทธแทนอะไรหรือ
ที่จริงมันก็คือปัญญาญาณของพระพุทธ
สัญลักษณ์แห่งปัญญาญาณของเทพ
คือสิ่งที่เปล่งออกมาจากปัญญาญาณทางความคิดของเขา
แต่ความคิดที่ข้าพเจ้าพูดกับสมองใหญ่ที่คนพูดกันนั้นเป็นสองแนวคิดที่ต่างกัน เพราะความคิดของคนที่ข้าพเจ้าพูด
หมายถึงความคิดของร่างแท้ของท่าน
นั่นจึงประกอบขึ้นเป็นแหล่งที่มาที่แท้จริงของความนึกคิด
และเจตจำนงของท่าน
และสมองใหญ่ของคน
มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งทางกายภาพในระดับชั้นของคนนี้ของชีวิตทั้งหมดของท่าน
เป็นสิ่งที่ตื้นเขินที่สุด
มันไม่ใช่สิ่งเดียวกับความคิดโดยสิ้นเชิง แต่ในเวลาที่คนแสดงออกซึ่งอะไรก็ตาม ความคิดก็ปล่อยออกมาผ่านทางสมองใหญ่ แน่ละยังมีรูปแบบการแสดงออกมากมายของพระพุทธ มีมากเหลือเกิน
ศิษย์ เมื่อมองเห็นผู้ฝึกคนอื่นยึดติดอะไรอยู่ มักจะคิดเพียงว่า ผ่านไประยะหนึ่งพวกเขาย่อมจะอู้ได้เองและแก้ไขให้ถูกต้อง ถ้าเวลาผ่านไปนานแล้ว
จะเกิดผลกระทบด้านลบต่อการยกระดับของส่วนรวมหรือไม่
อาจารย์
สำหรับการบำเพ็ญของผู้อื่น ไม่มีผลกระทบด้านลบอะไร นี่เป็นเพียงสภาพการณ์ของตัวเขาเอง แต่ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างหนึ่ง อาจารย์มองเห็นแล้วว่าคนๆนี้มีจิตยึดติดทางด้านไหนอยู่
ก็เผยจิตยึดติดนี้ให้กับท่านอย่างจงใจ บอกให้ท่านชี้ออกมาให้เขา ก็ให้ท่านมองเห็น เช่นนั้นท่านจะบอกเขาหรือไม่ละ เพราะทุกท่านล้วนกำลังบำเพ็ญ เจิน ซั่น
เหริ่น อยู่ที่ไหนล้วนต้องเป็นคนดี เช่นนั้นเมื่อเห็นคนอื่นมีข้อบกพร่อง ยกระดับขึ้นไปไม่ได้
ทำไมไม่สามารถบอกเขาด้วยเจตนาดีสักหน่อยละ แน่ละในระดับชั้นที่ต่างกันของการบำเพ็ญ
ก็มีสภาพการณ์ที่ต่างกัน ดังนั้นในระหว่างการบำเพ็ญของผู้ฝึกย่อมจะแสดงปรากฏการณ์ออกมาต่างกัน
ณ ระดับชั้นที่ต่างกัน
ส่วนรูปธรรมนั้นตนเองไปยึดกุมเอาเอง
ศิษย์ ผมฝันมากมาย แต่บางครั้งแยกไม่ออกว่าเป็นการสะกิดเตือนของอาจารย์
หรือว่ามองเห็นอดีต อนาคตหรือเป็นทัศนียภาพของมิติอื่น
อาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องความฝัน ข้าพเจ้าได้พูดไว้ชัดเจนแล้ว
ในอดีตไม่มีใครสามารถพูดให้ชัดว่าความฝันคืออะไร ดังนั้น ข้าพเจ้าเคยพูดให้กับทุกท่านเกี่ยวกับปัญหานี้เป็นการเฉพาะ คนมีจิตที่ต่างกัน
ชีวิตท่านเองก็มีร่างชีวิตที่มีรูปลักษณ์ต่างกันคงอยู่ ซึ่งซับซ้อนมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดถึงมัน แต่ หากมีสภาพการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น นั่นก็ไม่ใช่ความฝันแล้ว เมื่อจิตสำนึกชั้นผิวของกายเนื้อ ไม่มีสติหรือพักผ่อนอยู่หรืออยู่ในสภาวะสมาธิ
และได้สัมผัสจริงๆกับทัศนียภาพหรือชีวิตในมิติอื่น
และสภาพการณ์ชนิดนั้นก็เป็นจริงอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่เป็นการสัมผัสได้อย่างแท้จริงแล้ว
สำหรับสิ่งต่างๆที่สะท้อนออกมาจากกรรมทางความคิดที่อยู่ในความคิด หรือทัศนคติต่างๆในขณะที่ท่านหลับ ล้วนไม่ใช่พฤติกรรมของจิตสำนึกหลัก นั่นล้วนไม่ต้องไปสนใจมัน
ศิษย์ คนที่ไม่เคยได้รับการศึกษาจะเข้าใจฝ่าหลุนต้าฝ่าอย่างลึกซึ้งได้อย่างไร
เขาจะสามารถหยวนหมั่นหรือไม่
อาจารย์
คนที่ไม่เคยได้รับการศึกษาสามารถเข้าใจได้แน่นอน มีตัวอย่างมากมายในประเทศจีน มีคนแก่มากมายในประเทศจีน ในช่วงวัยเด็กครอบครัวยากจนมาก
ไม่อาจเรียนหนังสือ
หลายคนไม่มีการศึกษา
คนส่วนนี้
ข้าพเจ้าพบว่าในระหว่างการบำเพ็ญไม่ตกหล่นเลย และยังบำเพ็ญได้ดีมาก โดยเฉพาะคือในระหว่างการบำเพ็ญของพวกเขา
ใจที่บริสุทธิ์นั้นสามารถทำให้เกิดปาฎิหารย์ในระหว่างที่อ่านหนังสือของต้าฝ่า
ความศรัทธาที่แน่วแน่อย่างนั้นของเขาต่อต้าฝ่า ทำให้พระพุทธ เต๋า เทพที่อยู่เบื้องหลังต้าฝ่า
ล้วนรู้สึกถึงความยอดเยี่ยม
ในด้านนี้ได้เกิดปาฏิหารย์มากมายแล้ว
อาทิเช่น
บางคนไม่รู้จักหนังสือ เขาจึงคิด คนอื่นล้วนกำลังก้าวหน้า อ่านหนังสือกัน
กระทั่งกำลังท่องฝ่า
ตัวฉันแม้แต่หนังสือสักตัวก็ไม่รู้
ฉันจะศึกษาได้อย่างไรกัน
เขาร้อนใจมาก
ใจจริงที่เคลื่อนไหวของเขานั้นเป็นความคิดที่จริงใจ มีคนมากมายก็อยู่ในสภาวะเช่นนี้ ในการศึกษาฝ่าอย่างจริงจัง และพบว่าตนเองค่อยๆ
รู้หนังสือได้แล้ว
ตัวอย่างเช่นนี้มีมากมาย
ยังมีผู้ฝึกคนหนึ่งร้อนใจมากที่ไม่รู้หนังสือ คิดไปคิดมา ฉันจะทำอย่างไรดี เขาจึงวางหนังสือเล่มนี้บนอกแล้วหลับไป
แต่ในสภาวะที่คล้ายหลับแต่ไม่หลับนั้น
เขาพบว่าตัวอักษรทั้งหมดในหนังสือล้วนกลายเป็นสีทอง แต่ละตัวอักษรล้วนบินเข้าไปในสมองใหญ่ของเขา เมื่อเขาตื่นขึ้นมา หนังสือทั้งเล่ม เขาก็สามารถอ่านได้แล้ว แต่เขาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน
ที่ผ่านมาแม้แต่ชื่อตัวเองก็เขียนไม่ได้ ตัวอักษรทั้งหมดใน จ้วนฝ่าหลุนล้วนรู้ได้แล้ว
ปรากฎการณ์อย่างนี้ก็มีมาก
แต่ไม่อาจไปแสวงหา ไม่ใช่ว่าในเมื่อมีสภาพการณ์อย่างนี้ เช่นนั้นกลับไปฉันก็ทำอย่างนี้บ้าง
เช่นนั้นท่านก็ทำโดยมีเป้าหมายอย่างหนึ่งและจิตยึดติดแล้ว แต่เขานั้นไม่คิดว่าจะได้อะไร เขาร้อนใจเพราะตัวเองไม่ได้ฝ่า ใจดวงนี้ไม่เหมือนกัน ดังน้นข้าพเจ้าว่าหากท่านไปบำเพ็ญต้าฝ่าจริงๆ
ใจของท่านต้องเที่ยงตรง
จิตใจที่แน่วแน่นั้น
ยอดเยี่ยมมาก เทพเห็นแล้วก็จะรู้สึกว่าท่านยอดเยี่ยม ก็จะเกิดปาฏิหารย์
แน่ละ จ้วนฝ่าหลุนฉบับภาษาอังกฤษ ก็มีผลเช่นเดียวกันได้ ขณะนี้ไม่เพียงแต่ภาษาอังกฤษ ภาษาอื่นก็เหมือนกัน เพียงแต่ในชนชาติอื่นนั้น
ฝ่านี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจของคนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น
จึงไม่เกิดสภาพแวดล้อมเหมือนกับในประเทศจีนนั้น ซึ่งผู้คนล้วนมีความเข้าใจต้าฝ่าอย่างลึกซึ้งมาก ก่อเกิดเป็นสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญ ดังนั้นสภาพแวดล้อมนี้จึงกระตุ้นให้คนก้าวหน้าได้
ศิษย์ จะต้องละทิ้งความเชื่อในศาสนาจึงจะศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่าได้ใช่หรือไม่
อาจารย์ สำหรับปัญหาเกี่ยวกับศาสนา
ข้าพเจ้าเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว
ข้าพเจ้าไม่คัดค้านว่าท่านจะศึกษาศาสนาใด แต่เราไม่ใช่ศาสนา
ดังนั้นท่านก็อย่านำเราไปปะปนกับศาสนา แต่ข้าพเจ้าก็ขอบอกหลักการหนึ่งให้กับท่าน
การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ศาสนาเป็นการบำเพ็ญ มันเป็นการบำเพ็ญที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เช่นนั้นหากท่านคิดจะบำเพ็ญอันนี้ ท่านก็อยากจะบำเพ็ญอันนั้น เช่นนั้นท่านจะบำเพ็ญอะไรกันแน่ละ
เพราะท่านไม่สามารถบำเพ็ญแน่วแน่หนึ่งเดียว ท่านก็ไม่อาจจะหยวนหมั่นในแนวทางนั้นได้
ดังนั้นข้าพเจ้าเพียงแต่บอกทุกท่านว่า ท่านคิดจะบำเพ็ญอะไร ท่านก็เลือกเอาเอง
แต่ข้าพเจ้าก็เคยบอกท่านแล้วว่า
การบำเพ็ญนั้นต้องแน่วแน่หนึ่งเดียว
ความแน่วแน่หนึ่งเดียวจึงจะทำให้คนหยวนหมั่นได้ ถ้าไม่แน่วแน่หนึ่งเดียว
ย่อมไม่อาจหยวนหมั่นปัญหานี้ข้าพเจ้าก็จะพูดเพียงเท่านี้
พูดถึงเรื่องศาสนา ข้าพเจ้าก็ขอถือโอกาสพูดอีกสักหน่อย ผู้ที่นั่งอยู่ อาจจะมีนักข่าว ซึ่งรู้สึกสนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด ข้าพเจ้าบอกว่า เราไม่ใช่ศาสนา วันนี้พวกเราเปิดประชุมอยู่ที่นี่ ทั้งหมดนั้นจัดตั้งกันขึ้นมาด้วยการริเริ่มของผู้ฝึกทั้งสิ้น
เนื่องจากทุกท่านฝึกพลังอยู่ด้วยกัน
พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกในพื้นที่นี้ของแคนาดา พวกเขาอยากจะร่วมกันแลกเปลี่ยนความเข้าใจต่อการศึกษาฝ่า พื้นที่อื่นก็กำลังทำกันอย่างนี้
แต่ละคนต่างแสดงความสามารถของตน
บางคนไปเช่าห้องประชุม
บางคนไปรับผิดชอบเอกสาร
บางคนไปทำอย่างนั้น อย่างนี้ จึงจัดประชุมนี้ขึ้นมาได้ ต้าฝ่าไม่มีรูปแบบใดๆของศาสนา
ศาสนามีโบสถ์หรือหากไม่มีโบสถ์ก็ต้องมีสภาพแวดล้อมหนึ่ง สถานที่หนึ่ง สถานที่สำหรับทำงาน แต่เราไม่มีเลย ทุกคนต่างเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม แต่ละคนต่างมีการงานอย่างหนึ่ง ทำในเรื่องที่ตนเองควรทำ เพียงแต่ศึกษา บำเพ็ญ ฝึกพลังในเวลาว่าง พวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงพูดว่าเป็นศาสนาไม่ได้ ไม่มีรูปแบบการบูชา และไม่มีข้อห้าม(ศีล)เหมือนในศาสนาพุทธ
เช่นนั้นศาสนาอื่นอาจจะมีระเบียบข้อบังคับต่างๆ ท่านไม่ทำตามระเบียบข้อบังคับนี้ก็ไม่ได้ ที่นี่ อะไรเราก็ไม่มีทั้งนั้น ท่านคิดจะเรียนท่านก็มา ท่านไม่เรียนท่านก็ไปได้ ไม่มีใครคอยกำกับท่าน บังคับท่าน แต่ในการบำเพ็ญของผู้ฝึกนั้น
การรับผิดชอบต่อเขานั้นไม่ได้ปรากฏอยู่ในมิตินี้ ไหนเลยจะต้องยึดติดกับรูปแบบนี้ของคนธรรมดาสามัญละ ต้าฝ่าไม่มีรูปแบบใดๆ
เช่นนั้นท่านจะบอกว่าเขาเป็นศาสนาได้หรือ เราไม่มีบัญชีรายชื่อใดๆ ใครชื่ออะไรบ้าง พำนักอยู่ที่ไหน ไม่มีสิ่งนี้ เพียงแต่มีผู้ฝึกสมัครใจบริการทุกท่านโดยไม่มีค่าตอบแทน อาทิเช่น ฉันชื่ออะไร ถ้าทุกท่านคิดจะฝึกพลังก็มาหาฉัน
ฉันอยากจะทำเรื่องเล็กน้อยเพื่อทุกท่าน
ล้วนริเริ่มทำเรื่องเหล่านี้เองทั้งนั้น ดังนั้นบางคน เขาก็ไม่เข้าใจ เขาจึงพูดว่าท่านเป็นศาสนา
นอกเหนือจากศาสนาที่ผู้คนรู้จักกันในอดีตแล้ว เช่นนั้นอย่างอื่นล้วนเป็น ลัทธินอกรีตดังนั้นเขาจึงพูดว่าท่านเป็นลัทธินอกรีตอะไรที่เรียกว่าลัทธินอกรีต เราไม่ใช่ ลัทธิ
จึงยิ่งไม่ใช่ ลัทธินอกรีต ทุกท่านล้วนทราบว่าลัทธินอกรีตนี้ มันมีสภาพการณ์หลายแบบ ได้แก่ การรีดเงิน หลอกลวงคน นำคนทำเรื่องชั่วต่างๆ ก็คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นล้วนเรียกว่า นอกรีต แต่เราที่นี่บอกให้ทุกท่านบำเพ็ญจิต มุ่งสู่ความดีงาม ทำเรื่องใดๆต้องคำนึงถึงคนอื่น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด
ท่านต้องทำงานของท่านให้ดี
ท่านต้องทำให้คนพูดว่าท่านเป็นคนดี
เช่นนั้นการที่ข้าพเจ้าบอกให้ทุกท่านทำกันอย่างนี้ เป็นพวกนอกรีตได้หรือ นอกจากนี้ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ทุกท่านทำเรื่องอื่นใด
เพียงแต่บอกให้ทุกท่านทำให้ดียิ่งขึ้น ทำตัวเป็นคนดี เป็นคนที่ดียิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจะให้ท่านเป็นคนดีที่ดีกว่าคนดีในหมู่คนธรรมดาสามัญเสียอีก สุดท้ายเป็นคนเหนือคนธรรมดาสามัญ บรรลุการหยวนหมั่น
ศิษย์ ผมเป็นสาวกศาสนาโรมันคาทอลิก มักรู้สึกว่าการอธิษฐานของผมล้วนได้รับการตอบสนอง ผมจะบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าและก็ไม่ทิ้งการอธิษฐานได้หรือไม่
อาจารย์ ข้าพเจ้าจะยังคงพูดอย่างนี้ เนื่องจากการบำเพ็ญต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว
ท่านอยากบำเพ็ญอะไรข้าพเจ้าไม่สนใจทั้งสิ้น ท่านอยากบำเพ็ญอะไร ก็บำเพ็ญอะไร แต่ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน ถ้าจะบำเพ็ญ
ต้องเลือกวิธีการบำเพ็ญที่ยึดมั่นหนึ่งเดียว
ไม่อาจทำสิ่งนี้และยังทำสิ่งนั้นด้วย
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกมาเป็นการรับผิดชอบต่อท่าน
หากท่านรู้สึกว่าการอยู่ในโบสถ์ของศาสนาโรมันคาทอลิกสามารถขึ้นสวรรค์ได้ท่านก็ไปบำเพ็ญ ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน ถ้าท่านรู้สึกว่าสามารถอยู่ในฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราบำเพ็ญหยวนหมั่นได้ เช่นนั้นท่านก็บำเพ็ญ ข้าพเจ้าก็มีความเห็นอย่างนี้ ไม่มีวิธีการใดๆที่สามารถฝืนให้คนทำแต่สิ่งนี้ ทำแต่สิ่งนั้น โดยเปลือกนอก
นำท่านมารวมกันไว้ในนั้นให้ท่านทำแต่เรื่องนี้ แต่ความคิดของท่านไม่ยินยอม ความคิดของท่านไม่อยู่ที่นั่นจะมีประโยชน์อะไรละดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่พูดถึงรูปแบบวิธีการ ท่านเองต้องเต็มใจจึงจะทำได้
แต่ข้าพเจ้าก็ขอถือโอกาสพูดสักคำ
ครั้งก่อนมีนักข่าวถามข้าพเจ้าว่า
ท่านคิดว่าเรื่องที่ท่านทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดในโลกหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า
ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเองทำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
(เสียงปรบมือ)
ข้าพเจ้าไม่ได้เก็บสตางค์ทุกท่าน
มีแต่ทุ่มเทเพื่อพวกท่าน
ข้าพเจ้าทำเรื่องที่ถูกต้องที่สุดอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าก็ทำเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน ทำให้พวกท่านสามารถหยวนหมั่นได้อย่างแท้จริง แน่ละข้าพเจ้าทำถูกต้องที่สุด เช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ถือโอกาสบอกทุกท่าน ข้าพเจ้าไม่คัดค้านศาสนาใดๆ
โดยเฉพาะคือศาสนาที่ถูกต้อง
ศาสนาโรมันคาทอลิก
ศาสนาคริสต์ ศาสนายิว แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่เคยไปคัดค้านพวกมัน รวมทั้งศาสนาพุทธ
แต่ท่านจะสามารถหยวนหมั่นในศาสนานั้นได้หรือไม่
ในศาสนานั้นมีใครที่สามารถทำให้ท่านหยวนหมั่น นี่เป็นปัญหาจริงๆ ไปใคร่ครวญปัญหานี้สักหน่อยเพื่อชีวิตนิรันดรของตนเอง
ข้าพเจ้าคิดว่าก็จะเป็นการดีทีเดียว
ข้าพเจ้ากล้าพูดว่าหากท่านสามารถบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าได้จริง ข้าพเจ้าก็สามารถทำให้ท่านหยวนหมั่นได้
หากท่านอยู่ในสภาพแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง หรืออยู่ในศาสนา ท่านลองถามบาทหลวงนั้นดูก็ดี ศาสดาก็ดี ท่านไปถามเขาว่า ท่านสามารถทำให้ฉันหยวนหมั่นได้ไหมถ้าเขาสามารถทำให้ท่านหยวนหมั่นได้
เช่นนั้นท่านก็ไปบำเพ็ญ
ปัญหานี้ข้าพเจ้าก็พูดเพียงเท่านี้
ศิษย์ ระหว่างฉิง(อารมณ์ความผูกพัน)กับวาสนา(หยวน)มีอะไรเชื่อมโยงกัน ถ้าสามารถกระโดดออกจากฉิงแต่จะกระโดดออกจากวาสนาได้ด้วยหรือไม่
อาจารย์ ฉิงกับวาสนาเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่แนวคิดเดียวกันเลย ฉิงนั้น เราเคยพูดกันอย่างชัดเจนแล้ว คนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ก็เพื่อฉิง ไม่ว่าวันนี้ท่านชอบพออะไร ความชอบ ความโกรธ ความเศร้า
ความดีใจของคน พอใจที่จะทำอะไร ไม่พอใจที่จะทำอะไร ชอบที่จะทำงานอะไร ไม่ชอบที่จะทำงานอะไร ชอบพอใคร ไม่ชอบพอใคร รักคนไหน ไม่รักคนไหน ท่านต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร
ความมุ่งมาดปรารถนาทั้งหมดของท่านล้วนเกิดจากฉิงนี้ ดังนั้นคนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อฉิง
หากท่านคิดจะบำเพ็ญท่านก็ต้องกระโดดออกจากฉิงนี้ ท่านกระโดดออกจากฉิงนี้ไม่ได้
ท่านก็จะอยู่ในฉิง และการแสดงออกในรูปธรรมของฉิงนี้ในหมู่คนธรรมดาสามัญนั้นก็คือทุกๆด้านสิ่งที่ท่านยึดติด สิ่งที่ท่านรู้สึกว่าดี ทั้งหมดคือจิตที่ปล่อยวางไม่ได้
พูดถึง วาสนา(หยวน) อาทิเช่น
วันนี้มีหลายคนก้าวเข้ามาในนี้แล้ว
ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าท่านมาทำอะไร
ท่านมาสัมภาษณ์
มาศึกษาฝ่า คิดจะมาฟังข่าวคราว
หรือท่านคิดจะมาสืบข่าว(หยั่งเชิง)อะไรหน่อย
เพียงท่านเดินเข้ามาแล้ว
ข้าพเจ้าล้วนถือว่าท่านเป็นคนๆหนึ่ง
เพียงแต่การงานต่างกันเท่านั้นเอง ไหนเลยจะเกรงว่าท่านเป็นสายลับ ท่านล้วนมีใจคนอยู่
ข้าพเจ้าล้วนมองท่านในฐานะคนทั่วไป
ข้าพเจ้าไม่มองการงานของท่าน
การงานทุกอย่างในสังคมมนุษย์นั่นล้วนเป็นการงานของคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ท่านสามารถเข้ามาได้ ท่านสามารถได้ฟังข้าพเจ้าบรรยายฝ่าที่นี่ โดยเฉพาะคือท่านได้ฟังฝอฝ่า นี่ไม่ใช่วาสนา (หยวน)
หรอกหรือ
หวังว่าพวกท่านจะสามารถเห็นคุณค่า
แน่ละวาสนานี้เมื่อพูดขึ้นมาโดยละเอียด ก็มีด้านต่างๆมากมาย เนื่องจากวาสนานี้ ก็คือดวงสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง อย่างเช่นว่า ชาติก่อนคนนี้ติดหนี้คนนั้น เคยทำเรื่องเลวไว้ ชาติต่อไปสองคนยังต้องพบกัน เขาต้องชดใช้ทุกสิ่งที่เขาติดหนี้ไว้
นี่เป็นวาสนาของความคับแค้นใจอย่างหนึ่ง
เช่นนั้นในภพก่อนท่านทำประโยชน์ให้เขา เขาปฏิญาณว่าชาติต่อไป แม้ฉันจะเป็นวัวเป็นม้าก็ต้องตอบแทนท่าน เอาละ
ชาติต่อไปท่านอาจจะไปเป็นวัวเป็นม้าจริงๆ และอาจจะเป็นภรรยาของเขา หรือสามีของเธอ หรือเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเขา นี่เป็นวาสนาอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าวาสนาที่ดีงาม เช่นนั้นวาสนาที่ผูกไว้กับต้าฝ่า นั่นย่อมเป็นวาสนาที่สูงส่งยิ่งกว่า
และเป็นไปได้ว่าเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในหมู่คนธรรมดาสามัญ นี่ล้วนสามารถก่อเกิดเป็นวาสนา ในอนาคตทำให้วาสนานี้ได้รับการผูกพัน นี่เป็นสภาพการณ์ชนิดหนึ่ง แต่หวังว่า ท่านอย่าได้ทำลายต้าฝ่า เช่นนั้นก็จะผูกเป็นดวงสัมพันธ์ที่เลวที่สุด ซึ่งไม่อาจชดใช้ได้หมดสิ้นชั่วนิรันดร์ ต้องชดใช้ชั่วนิรันดร์
ศิษย์ ดิฉันผ่านด่านที่ใหญ่ได้ค่อนข้างดี แต่สำหรับสัตว์เล็กบางอย่างกลับกลัว ลูกแมว ลูกสุนัข กระทั่งผีเสื้อ หรือยุง
อาจารย์ นั่นก็คือขี้กลัวสักหน่อย ขี้กลัวไปหน่อย ที่จริงก็เป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่ง จิตยึดติดชนิดนี้เกิดขึ้นจากทัศนคติ
อาทิเช่น
ตอนเด็กท่านไม่ชอบแมลงเป็นอย่างมาก
ไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ กระทั่ง
เมื่อท่านมองเห็นมันก็รู้สึกว่าสกปรก
เช่นนั้นจึงค่อยๆเกิดทัศนคติชนิดนี้ขึ้นในเวลาต่อมา
สุดท้ายแม้แต่จะจับก็ไม่คิดจะจับ
และไม่อยากจะแตะต้อง
ไม่กล้าให้มันมาอยู่ใกล้ตัว
จึงค่อยๆเกิดเป็นความกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นสิ่งที่ทัศนคติหลังกำเนิดกระตุ้นให้เกิดขึ้น
ที่จริงมันแสดงออกมาเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่ง
แต่จิตยึดติดชนิดนี้ไม่เหมือนกับจิตยึดติดชนิดอื่น คือมีความคิดและจิตสำนึกที่ชัดแจ้งที่ต้องการอย่างไร
อย่างไร
ก็คือการแสดงออกชนิดหนึ่งของทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิด
ศิษย์ ในความฝันผมมักจะช่วยเหลือคน ผมรับรู้ได้ว่า การหงฝ่าช่วยให้คนได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น
อาจารย์ ก็คือวาสนาชนิดนี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่
คงจะเกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านเองที่เคยผูกวาสนาไว้ในมิติที่ต่างกัน แต่
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบำเพ็ญยกระดับของท่าน ท่านก็ไปบำเพ็ญโดยยึดต้าฝ่าไว้ให้มั่น ไม่ว่าท่านจะประสบกับอะไร มองเห็นอะไร ฝันถึงอะไร ท่านก็ยืนหยัดอยู่ในต้าฝ่า ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสภาพการณ์หนึ่งที่แสดงออกมาในการบำเพ็ญของท่าน
ก็เหมือนกับบางคนที่แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมามากมาย แม้แต่จะขยับ เขาก็ไม่คิดจะทำ แตะก็ไม่คิดจะแตะ จะใช้ก็ไม่คิดจะใช้สักนิด เขารู้สึกว่าเขาไม่มีใจอย่างนั้น
ศิษย์ พระพุทธ
เต๋า เทพ ของระดับชั้นที่ต่างกัน
ก็ทำเรื่องต่างๆไปตามการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์
อาจารย์ ความมุ่งมาดปรารถนาของเทพที่สูงมากและใหญ่มากนั้น ก็คือปรากฏการณ์สวรรค์ และจากการกระทำของเทพ
ก็เป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของปรากฏการณ์สวรรค์
เหล่าเทพล้วนจะพิทักษ์เจตนารมณ์ของสวรรค์
ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ล้วนไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ว่าคนจะยึดติดอย่างไร คนอยากจะทำอะไร ใครๆล้วนคิดกันอย่างงดงามมาก แต่ก็ไม่อาจเป็นจริงได้ พูดกันว่าแต่ละชนชาติ หรือประเทศ
กระทั่งประธานาธิบดีก็อาจจะคิดไว้ดีมากทั้งนั้น แต่มักจะทำไม่ได้ดั่งใจ คนนั้นไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร ท่านคิดจะเอาอย่างไร หรือว่าท่านกลัวอะไร สิ่งที่ควรมีก็ย่อมจะต้องมี สิ่งที่ไม่ควรมีก็จะไม่มี ข้าพเจ้ามองเห็นว่าทุกสิ่งนั้นล้วนแต่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว
คนก็เพียงแต่ปฏิบัติภารกิจของพวกเขาไปตามสิ่งที่ได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วนี้ แต่ว่า ในนี้ยังมีปัญหาหนึ่งคงอยู่ ใช่หรือไม่ว่ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว
เช่นนั้นเราก็ไปทำอย่างนี้ก็ใช้ได้แล้ว คนก็คือคน เพราะคนอยู่ในวังวน ดังนั้นเขาย่อมจะไม่เชื่อ เช่นนั้นเขาจึงยังคงจะไปต่อสู้ ไปดิ้นรน คิดจะทำอะไรก็จะทำอะไรเช่นนั้นเขาจึงได้ก่อกรรมในระหว่างนั้น
ใครสามารถจะบอกได้ว่า ใครจะเป็นข้าราชการได้ชั่วชีวิต
ยิ่งกว่านั้นเมื่ออยู่ในยมโลกยังเป็นข้าราชการได้อีกหรือ เช่นนั้น มีคนมากมาย
เขาจะใช้อำนาจในมือทำเรื่องที่ดีในขณะที่มีชีวิตอยู่
เนื่องจากการคงอยู่ของชีวิตไม่ใช่เพื่อเป็นคน
ชีวิตของท่านนั้นก็ไม่ใช่ว่าเนื่องจากร่างกายที่เป็นคนตายไปแล้วท่านก็จะตายไป
ดังนั้นชีวิตของท่านยังคงต้องดำเนินต่อไป เช่นนั้นคนที่ค่อนข้างมีปัญญาแจ่มชัด คนที่มีปัญญาจริงๆ
เขาจะใช้เงื่อนไขที่มีประโยชน์สร้างสภาพแวดล้อมของชีวิตที่ดียิ่งกว่าเพื่ออนาคต
หรือพูดได้ว่าเขาจะทำเรื่องที่ดีมากมาย
เช่นนั้นก็จะมีคนที่ใช้อำนาจในมือทำเรื่องชั่ว
นี่เป็นสิ่งที่คนสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว ก็คือเมื่อเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นมา ในเรื่องนี้ท่านได้ทำอะไร
ทำดีหรือทำชั่ว
นั่นเป็นปัญหาของท่านเอง
แต่เรื่องนี้ยังคงต้องมี
ดังนั้นในเรื่องนี้คนจะแสดงบทบาทออกมาต่างกัน
ศิษย์ ความนัยของการแก้ไขปรับปรุงคือค้นหาจากภายใน การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปนั้น
สามารถแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้หรือไม่
อาจารย์
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่
เสื่อมไป
การแก้ไขปรับปรุง
นี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญส่วนตัวของพวกท่าน การบำเพ็ญก็คือไปค้นหาตนเอง ค้นหาว่ามีตรงไหนที่บกพร่อง ตรงไหนที่มีจิตยึดติดอยู่ ตรงไหนที่มีความคิดที่ไม่ดีอยู่
พวกท่านจะทำให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ทิ้งความคิดที่ไม่ดีไป นี่คือการค้นหาจากภายใน พูดถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปนั้นเป็นกฎเกณฑ์ของจักรวาล
ถ้าไม่ดีแล้วจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร นั่น เป็นเรื่องของฝ่า เป็นคนละเรื่องกับการบำเพ็ญส่วนตัว
ศิษย์ หลังจากบำเพ็ญสำเร็จแล้วหากไม่ทราบหลักการระดับชั้นสูง จะทำผิดอีกแล้วตกลงมาหรือไม่
อาจารย์ ทุกท่านล้วนหัวเราะกันแล้ว
ก็คือว่าขณะนี้ท่านยังใช้ความคิดของคน คิดเรื่องของเทพ เช่นนั้นก็จะคิดไม่กระจ่าง ไม่มีทางจะคิดได้ หลังจากคนหยวนหมั่นแล้ว
ความคิดของเขาจะเป็นความคิดของเทพทั้งหมด ไม่มีความคิดของคน จุดเริ่มต้นของการใคร่ครวญปัญหา พิจารณาปัญหา
กระทั่งรูปแบบความคิดของเขาไม่เหมือนกับคนทั้งหมด และสภาพแวดล้อม กับเขตแดนก็ไม่เหมือนกันแล้ว ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่จะไม่มีว่า ไม่เข้าใจหลักการนั้น
ถ้าไม่เข้าใจหลักการนั้นท่านก็ไปถึงระดับชั้นนั้นไม่ได้เลย นั่นเพราะอะไรละ ทุกท่านทราบการบำเพ็ญของท่าน
ทำไมจึงเรียกให้พวกท่านอ่านฝ่าอ่านหนังสือมากๆ ก็คือว่าเมื่อท่านบรรลุถึงระดับชั้นนั้นแล้ว ท่านต้องทราบหลักการระดับชั้นนั้น ทราบฝ่าระดับชั้นนั้น ดังนั้นท่านจึงสามารถอยู่ในระดับชั้นนั้น
แต่เนื่องจากร่างกายคนของท่านก็กำลังบำเพ็ญอยู่
และบนร่างกายคนของท่านย่อมต้องมีความคิดของคนอยู่ ซึ่งไม่อาจให้ความคิดของคนได้รู้ถึงหลักการของฝ่ามากมายเช่นนั้น ดังนั้น การรับรู้ต่อฝ่าในระหว่างการบำเพ็ญนั้น ก็ไม่อาจให้ด้านที่เป็นคนรู้มากเกินไป
จ้วนฝ่าหลุนนั้นข้าพเจ้าก็บรรยายให้กับพวกท่านอย่างคร่าวๆ เปิดความกระจ่างทางการรับรู้ของความรู้สึกที่แท้จริงนั้นของพวกท่าน ส่วนฝ่าที่แท้จริงนั้นจะให้คนรู้ได้อย่างไรกันละ ดังนั้นในระหว่างการบำเพ็ญของพวกท่าน จึงเพียงรู้สึกได้เท่านั้น อ้อ
ทันใดก็เข้าใจสภาพการณ์หนึ่งแล้ว เข้าใจหลักการหนึ่งแล้ว แต่ท่านมักจะใช้ภาษาคนพูดให้ชัดเจนไม่ได้ พอท่านพูดออกมา
ก็ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้นแล้ว แต่เมื่อท่านทราบหลักการนั้นแล้ว
ก็อยู่ในระดับชั้นนั้นอย่างแท้จริงแล้ว
เพียงให้ท่านเข้าใจหลักการของฝ่าอย่างคร่าวๆ ผิวเผินมากๆ นิดเดียวแค่นั้น สิ่งเหล่านั้นที่เป็นรูปธรรม
กับหลักการที่ยิ่งใหญ่ หากให้คนเข้าใจทั้งหมดได้ในทันใด ด้านที่เป็นคนนี้ก็จะไม่อยู่ในเขตแดนของพระพุทธแล้วหรือ นี่จะเป็นไปได้หรือ ไม่ได้ เนื่องจากพวกท่านยังคงบำเพ็ญอยู่ ยังมีใจของคนธรรมดาสามัญ ยังจำเป็นต้องทิ้งไป ดังนั้นจึงไม่อาจให้คนรู้ พวกท่านเรู้ได้มากเพียงแค่นั้น
แต่นั่นก็เป็นรูปแบบที่ปรากฎออกมาของการยกระดับของท่านแล้ว ดังนั้น บำเพ็ญได้สูงเพียงใด
ก็จำเป็นต้องทราบหลักการที่สูงเพียงนั้น
ส่วนนั้นของพวกท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ในชั่วพริบตานั้นที่แยกออกไป
ก็เข้าใจหลักการของฝ่าทั้งหมดในระดับชั้นนั้นแล้ว
ศิษย์ เวลาที่ร่อนทรายในคลื่นใหญ่กับการข้ามด่านใหญ่ ทุกข์ภัยใหญ่ จะมีคนรั้งท้าย หลุดจากกลุ่ม ในเวลานี้ช่วยเขาสักหน่อยดี หรือว่าให้เขาข้ามเองดีกว่า
อาจารย์ การบำเพ็ญก็คล้ายกับการร่อนทรายในคลื่นใหญ่
หากยืนหยัดต่อไปไม่ได้ย่อมจะถูกร่อนทิ้งไป ส่วนที่เหลืออยู่เปล่งแสงเป็นประกายนั้น แม้จะไม่มากนัก
แต่นั่นเป็นทองแท้ สามารถหยวนหมั่นได้จริง การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด ดังนั้นการแสดงออกในขณะข้ามด่าน หรือในทุกข์ภัย ในช่วงเวลาที่สำคัญ นั่นก็ไม่อาจคลุมเครือได้เลย ก็ดูว่าท่านจะก้าวข้ามไปได้อย่างไร ไปรับรู้ได้อย่างไร ซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อมองเห็นแล้วถ้าช่วยได้ ก็ช่วยเถอะ สามารถบอกเขา ให้เขาตื่นขึ้นมารับรู้ แน่ละ
ในระหว่างการบำเพ็ญได้กำหนดไว้แน่นอนว่าแต่ละด่านจะข้ามอย่างไร แต่ละทุกข์ภัยจะผ่านไปได้อย่างไร จิตแต่ละดวงจะทิ้งไปได้อย่างไร เมื่อพวกเราพลาดโอกาสนั้นไป ก็ยากจะค้นหากลับมาอีก โดยเฉพาะในปัญหาที่สำคัญ ท่านจะสามารถหยวนหมั่นได้หรือไม่ ในปัญหาที่หนักมาก หากมีคนที่ข้ามไปไม่ได้
เช่นนั้นท่านก็อาจสูญเสียโอกาสแห่งวาสนาเช่นนี้ไปจริงๆ อาจจะมียังมีโอกาส ข้าพเจ้าได้แต่บอกว่าอาจจะ
แต่นั่นเนื่องมาจากการศึกษาฝ่าได้ลึกซึ้งมาก
วางรากฐานได้อย่างแน่นหนาจึงจะกระตุ้นให้คนข้ามด่านนั้นได้ดี ไม่ใช่ท่านจะใช้การเตรียมพร้อมทางความคิดอะไร หรือท่านคิดจะทำอย่างไรก็สามารถข้ามไปได้
ศิษย์ เมื่อพบกับท่านหรืออ่านบทบรรยายฝ่าของท่าน
ผมก็จะน้ำตาไหล
แต่บางคนรู้สึกว่าผมแปลกๆจะอธิบายกับพวกเขาอย่างไรดี
อาจารย์
ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะการบำเพ็ญของท่านไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นดู สภาพการณ์ของการบำเพ็ญ ตนเองกำลังบำเพ็ญตนเองอยู่ ยกระดับตนเองอยู่ ที่จริงการที่น้ำตาไหลอย่างนี้
พวกเราหลายคนล้วนเคยผ่านขั้นตอนนี้มาก่อน พวกเราจำนวนมากเคยผ่านขั้นตอนอย่างนี้ ดังนั้นจึงไม่ใช่มีแต่ท่านที่เกิดสภาพการณ์ชนิดนี้
บางคนในแต่ละชาติภพก็กำลังรอคอยเพื่อจะได้ฝ่าในวันนี้ ต้องทนทุกข์มากมายจริงๆ ผ่านความทุกข์ยากมานานับประการ สุดท้ายจึงค้นพบฝ่านี้แล้ว
ทุกท่านคิดดูว่านั่นเป็นอารมณ์ความรู้สึกอะไร คนนั้น เขามีด้านหนึ่งที่เข้าใจ และมีด้านหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ชั้นผิวที่สุดของคนนี้อยู่ในวังวน จึงไม่เข้าใจ
แต่ด้านนั้นที่อยู่ในอีกมิติเข้าใจดีมาก ดังนั้นแต่ละคนที่ทำเรื่องดี
ทำเรื่องชั่วนั้น
การตัดสินท่านกับการรับผลกรรมนั้นยุติธรรมอย่างแน่นอน ท่านบอกว่าฉันไม่รู้ นั่นคือชั้นผิวของท่านไม่รู้ เพราะท่านตกลงมาในท่ามกลางความไม่รู้ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้ แต่ยังมีด้านนั้นที่สามารถรู้ได้
ศิษย์
บางคนกระตือรือร้นในการหงฝ่า บางคนกลับไม่
นี่มีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุใด
อาจารย์ บางคน
เขาก็ไม่มีความกระตือรือล้นที่จะทำเรื่องนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจจะบำเพ็ญ ยิ่งกว่านั้นอาจสามารถบำเพ็ญได้ดีมาก เพียงแต่เขาไม่มีความกระตือรือร้นไปทำ คนอย่างนี้ก็มีมาก
เช่นนั้นบางคนก็มีความกระตือรือล้น ก็คือต้องการทำเรื่องดีเพื่อผู้อื่น คนอย่างนี้ก็มีไม่ใช่น้อย เรื่องนี้กับการบำเพ็ญของท่าน สามารถจะบำเพ็ญได้หรือไม่ หรือสามารถจะหยวนหมั่นได้หรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ข้าพเจ้าคิดว่า
เนื่องจากผู้บำเพ็ญทำอะไรย่อมจะต้องคิดถึงผู้อื่น ดังนั้นทุกท่านเมื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล้วนคิดจะบอกกับคนอื่น
เพื่อให้คนมากยิ่งขึ้นได้รับการช่วยเหลือ มักจะเป็นเช่นนี้ แต่ อาจจะเป็นการทำตามคำมั่นสัญญาอะไรของตนหรือค้นหาเพื่อนสนิทที่มีวาสนากับตนเมื่อหลายภพก่อน
ให้เขาได้ฝ่า
ศิษย์ คนที่ไม่เชื่อฝ่า สักวันหนึ่งในอนาคตจะสำนึกได้ถึงโอกาสครั้งนี้ของตนที่พลาดไปหรือไม่
อาจารย์
อาจจะมีโอกาสนี้
และอาจจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาประวัติศาสตร์ไม่เห็นความสำคัญของคนเหล่านั้นที่ถูกกวาดทิ้งไปว่าเป็นอย่างไร แต่คนที่ไม่ได้ศึกษาดีพอ
ก็คือการศึกษาของเขาไม่ก้าวหน้าพอ แต่หากต่อมาเขาก้าวหน้าแล้ว คนเหล่านี้จะรู้สำนึกผิดในภายหลัง มีโอกาสสำนึกผิดในภายหลัง
ศิษย์
หลายปีมานี้สิ่งที่รอคอยก็คือต้าฝ่า ในใจอดถามไม่ได้ว่า ทำไมผมถูกจัดวางให้ได้ฝ่าช้าอย่างนี้
อาจารย์
อาจจะกำหนดโดยมองคนอย่างทั่วด้าน และอาจมีสาเหตุอื่น เพราะในเวลาที่ถ่ายทอดฝ่านี้ไม่ได้เผยแพร่ผ่านสื่อ หรือเครื่องมือโฆษณาใดๆ ข้าพเจ้าไม่ได้เดินตามทางนี้มาโดยตลอด ไม่ได้ทำอย่างนี้ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นแล้ว มีของปลอม
ของนอกรีตมากมายล้วนโฆษณายกยอตัวเอง
ดังนั้นผู้คนจึงไม่สนใจของจริงไปด้วย
โดยคิดว่าท่านกำลังหลอกคน
เช่นนี้กล่าวสำหรับฝ่าแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เข้มงวดอย่างยิ่ง การยกยอตัวเองเหมือนการโฆษณาอย่างนี้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่เดินเส้นทางนี้ พยายามรักษาความเข้มงวดของต้าฝ่าไว้ ด้วยเหตุนี้บางคนจึงได้ฝ่าช้า ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดให้มากแล้ว ปล่อยวางจิตใจไปบำเพ็ญเถิด
ในอดีตคนโบราณมีคำพูดว่า เช้าได้ฟังเต๋า ตกค่ำจะตายก็ไม่เป็นไร ฝ่าก็ได้แล้วยังจะกลัวอะไร ก็ดูว่าท่านจะไปบำเพ็ญอย่างไร
ที่จริงยังมีผู้ที่มีวาสนาจำนวนมากมายที่ยังไม่ได้ฝ่านะ
เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้นที่ไม่รับผิดชอบ ไม่เข้าใจสภาพการณ์ของพวกเรา
ที่ทำการใส่ร้ายป้ายสีพวกเรานั้น
คนเหล่านี้อาจสูญเสียโอกาสแห่งวาสนาไปด้วยเหตุนี้
นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด
และสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ ก็เสื่อมทรามจนถึงระดับนี้แล้ว
ผู้สื่อข่าวคนนั้นก็จะวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นไปตามทัศนคติและจินตนาการของตนตามชอบใจ
เขาไม่ใช่จะไปเข้าใจท่านอย่างแท้จริง
เขาคิดว่าสิ่งต่างๆที่เขาได้เรียน หรือรับรู้หลังกำเนิดนั้นเป็นสัจธรรม เขาจึงกล้าทำอย่างนี้ ขณะนี้มีคนมากมายที่มีวาสนา กระทั่งวาสนาใหญ่มากที่ยังไม่ได้ฝ่า
ศิษย์ ก่อนจะศึกษาต้าฝ่า ผมเป็นพวกรักร่วมเพศคนหนึ่ง มองไม่ทะลุต่อปัญหามารทางกามรมณ์ ไม่ทราบว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
อาจารย์
ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ หากเป็นว่า
เพื่อจะแก้ไขปัญหานี้ท่านจึงมาศึกษาต้าฝ่า
เช่นนั้นก็อาจไม่ได้รับการแก้ไข เพราะฝ่านั้นเข้มงวดมาก คือช่วยให้คนหยวนหมั่น
ไม่ใช่จะแก้ไขปัญหาอะไรให้กับคนธรรมดาสามัญตามชอบใจจึงถ่ายทอดออกมา แต่กล่าวในทางกลับกัน
ท่านว่าฉันแน่วแน่จะบำเพ็ญต้าฝ่าอย่างแท้จริง เริ่มต้นจากเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรล้วนสามารถใช้มาตรฐานของผู้บำเพ็ญ
มาตรฐานของผู้ฝึกพลังมากำหนดตนเองได้อย่างแท้จริง ไปบำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย ข้าพเจ้าคิดว่า ด่านนี้ก็จะข้ามไปได้ในทันที
(เสียงปรบมือ)
ที่จริงเรามีคนมากมาย ในเวลาที่ผ่านด่านไปไม่ได้นั้น ล้วนเป็นเพราะพวกท่านมัวยืดยาดอยู่
ไม่อาจปล่อยวางเรื่องเล็กน้อยนั้นของคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้ด่านนั้นลากแล้วลากอีก หากพวกท่านสามารถตัดขาดจิตยึดติดนั้นได้จริงๆ เดินไปบนทางที่คิดจะเดิน ทุกสิ่งล้วนจะเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะเรื่องชนิดนี้ที่รบกวนการศึกษาฝ่าของท่าน นั่นจะเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
ศิษย์ เหล่าศิษย์ที่แสดงความคารวะต่อท่านอาจารย์
ดูเหมือนจะมีลักษณะที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนและรูปแบบมากไปหน่อย
อาจารย์
เรื่องนี้ข้าพเจ้าก็มองเห็นแล้ว แต่
เมื่อก่อนทุกท่านก็เคยถามเรื่องนี้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ตอบให้กับทุกท่านแล้ว
ข้าพเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับรูปแบบ
แต่อย่างเช่นฝ่าฮุ่ยของเราในวันนี้ หรือการที่ทุกท่านฝึกพลังร่วมกัน หากท่านไม่มีรูปแบบอย่างนี้ ท่านก็จะไม่มีบรรยากาศของความสุขสงบชนิดนั้นซึ่งก่อเกิดจากการมาอยู่พร้อมหน้ากันของผู้บำเพ็ญ
ในระหว่างผู้บำเพ็ญด้วยกันสิ่งที่พูดคุยกันนั้นล้วนเป็นสภาพแวดล้อมของการรับรู้ที่สูงส่งอย่างนี้ แต่ในสังคมคนธรรมดาสามัญสิ่งต่างๆ
สิ่งที่พูดคุยกันระหว่างคนกับคนนั้นล้วนเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หลายพันปีมา
ผู้คนไม่เคยหยุดที่จะพูดคุยถึงปัญหาอย่างเดียวกัน
เพียงแต่เพิ่มคำศัพท์ในยุคปัจจุบันเข้าไปเท่านั้นเอง
หากผู้บำเพ็ญไม่มีสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ย่อมจะก่อให้เกิดความยากลำบากมากต่อการบำเพ็ญ
ต่อการหยวนหมั่นและการก้าวหน้าของพวกท่าน
ก็เหมือนกับวันนี้ที่มีผู้ฝึกอภิปราย
เขารู้สึกว่าเขาอยู่ในบ้านศึกษาได้สองเดือน ก็ศึกษาได้ดีมากแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าตนเองค่อนข้างฉลาด แต่เขาพบว่า
พอไปอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นแล้ว
เขาจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมนี้แล้ว ทุกท่านสามารถกระตุ้นเตือนแลยกระดับซึ่งกันและกัน นี่ดีมาก ในโลกไม่อาจพบดินแดนบริสุทธิ์ ท่านไปอยู่ในศาสนา
สิ่งที่พวกเขาคุยกันก็คือเงินกับการเมือง กระทั่งเรื่องกามรมณ์และฉิงก็เข้าไปในศาสนาแล้ว มีเพียงฝ่าหลุนต้าฝ่าเราตรงนี้ คือดินแดนบริสุทธิ์ที่สะอาดสอ้านอย่างแท้จริง
มีผู้สื่อข่าวบางคนไม่เข้าใจ
ทำไมมีคนร้อยกว่าล้านคนศึกษาหลักพลังนี้นะ เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป
ก็คือการตอบคำถามพวกท่าน
นี่คือดินแดนบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลก
ในนี้สามารถทำให้ศีลธรรมของคนสูงขึ้นได้อย่างแท้จริง สามารถทำให้คนดีได้
สามารถทำให้คนที่ไม่ดีไปแล้วอย่างมากเปลี่ยนกลับมาสู่สภาพการณ์ที่ดีที่สุดอีกครั้งได้ นอกจากต้าฝ่าแล้ว ขอถามว่าที่ไหนที่สามารถทำได้ถึงจุดนี้ พวกเราที่นี่สามารถทำได้ ดังนั้นจึงมีคนมากันมากมายอย่างนั้น
ศิษย์ ผมจำเป็นต้องเอาหลอดเลือดประดิษฐ์
ซึ่งฝังอยู่ในร่างกายผม เพื่อทำเคมีบำบัดเมื่อก่อนนี้ ออกหรือไม่
อาจารย์ เมื่อก่อนท่านเคยผ่าตัดอะไรไว้ หรือ
ทำอะไรไว้ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจอีกแล้ว
ท่านเพียงแต่เป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงคนหนึ่ง อะไรๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เมื่อก่อนเรามีผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ในขาของเขาฝังตะปูเหล็ก แผ่นเหล็กไว้
เปลี่ยนกระดูก กระทั่งเปลี่ยนอะไหล่บางอย่าง
ต่อมาเขาพบว่ามันอันตรธานไปแล้ว
และขาของเขากลับหายดีแล้ว ไม่มีอะไรขาดหายเลย(เสียงปรบมือ) แต่ เมื่อพูดอีกที
ข้าพเจ้าไม่ได้มาเพื่อทำเรื่องเหล่านี้ให้กับคนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าทำสิ่งต่างๆเพื่อผู้บำเพ็ญที่สามารถหยวนหมั่นได้ ถ้ามีจิตแสวงหาก็จะไม่ได้อะไรทั้งนั้น
ศิษย์ นับตั้งแต่ศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่าแล้ว
กระแสพลังงานในร่างกายผมยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้ผมสามารถใช้แรงแม่เหล็กดึงดูดวัตถุได้
ในขณะเดียวกัน ผมจำเป็นมากที่จะต้องอยู่ใต้แสงอาทิตย์เพื่อรับพลังงาน
อาจารย์ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน เริ่มต้นนั้น นี่เป็นเรื่องที่ดี แต่ต่อมา ท่านก็เริ่มยึดติดกับเรื่องนี้แล้ว ท่านก่อเกิดจิตยึดติด
ท่านรู้สึกว่ามีความสามารถพิเศษอย่างนี้แล้ว รู้สึกว่าดีมาก ท่านยึดติดกับความสามารถพิเศษนี้ แต่เป้าหมายของการบำเพ็ญ
และการหยวนหมั่นโดยตัวมันเอง
กล่าวสำหรับท่านแล้ว
กลายเป็นไม่สำคัญเท่ากับที่ท่านจะได้รับความสามารถพิเศษแล้ว เช่นนั้น
มันจึงสูญเสียประสิทธิผลของมัน
กระทั่งสูญเสียความสามารถพิเศษนี้ไป
ท่านรู้สึกว่าดูเหมือนท่านรวบรวมแสงอาทิตย์สักหน่อย รวบรวมพลังงานอื่นสักหน่อยจะสามารถเสริมเพิ่มเติมให้ท่านได้ แต่
ท่านจะพบว่ามันจะยิ่งอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
และการเสริมเพิ่มเติมชนิดนั้นไม่มีนัยสำคัญแม้แต่น้อย
ใน จ้วนฝ่าหลุน หงอิ๋น ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับทุกท่านอย่างชัดเจนแล้วว่า ความสามารถพิเศษเป็นเพียงศาสตร์เล็กศาสตร์น้อย
มันเป็นผลพลอยได้ในการบำเพ็ญ
ถึงอย่างไรก็อย่าได้ถือว่ามันเป็นจุดมุ่งหมายในการบำเพ็ญ
เช่นนั้นท่านก็จะหยวนหมั่นไม่ได้ตลอดไป การก่อเกิดจิตยึดติดต่อเรื่องนี้
เป็นการสร้างกำแพงขึ้นมาขวางเส้นทางการบำเพ็ญนี้ให้ตนเอง ท่านก็จะข้ามไปไม่ได้แล้ว
ต้องปล่อยวางการยึดติดทั้งปวงของจิตใจคนธรรมดาสามัญ ท่านจึงจะสามารถข้ามไปได้ ทะลวงสู่การหยวนหมั่น พวกท่านที่กำลังนั่งอยู่ มีหลายคนนั้น
เพียงข้าพเจ้าทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่เขา เขาก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ได้มากมาย แต่ข้าพเจ้าไม่อาจทำได้ เพราะข้าพเจ้าต้องให้เขาหยวนหมั่น ดังนั้นในระหว่างการบำเพ็ญของพวกท่าน
เมื่อกงเหนิง(ความสามารถพิเศษ)ปรากฏออกมาตามธรรมชาติแล้ว เช่นนั้น ดีที่สุดคืออย่าเห็นมันเป็นเรื่องสำคัญ อย่าสนใจมันว่าเป็นอะไร อย่าใส่ใจมัน มีก็มีไป ไม่เป็นไร เมื่อเทียบกับพระพุทธ เทพแล้วจะนับเป็นอะไรได้ละ นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่ท่านแสวงหา จุดมุ่งหมายที่ท่านแสวงหานั้นสูงกว่า
ใหญ่กว่า ตราบจนหยวนหมั่น
ในเวลานั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน หากท่านสามารถมีใจแน่วแน่ต่อไป ทำได้เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดไว้ กงเหนิงนี้ของท่านอาจจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เพราะในการบำเพ็ญกงเหนิงทั้งหมดล้วนจะถูกพลังงานทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงฟังเข้าใจความสัมพันธ์ชนิดนี้ระหว่างผลดีกับผลร้าย
ศิษย์ ในขั้นตอนการบำเพ็ญของพวกเรา
เมื่อยังบรรลุไม่ถึงเขตแดนดั้งเดิมที่สูงอย่างนั้น สสารต้นกำเนิดจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม
อาจารย์
ที่จริงท่านไม่ได้ศึกษาฝ่าอย่างละเอียด ข้าพเจ้าพูดไว้อย่างนี้ว่า เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงให้ท่านจากสิ่งที่จุลทรรศน์ที่สุดที่สร้างชีวิตท่าน
และชีวิตนั้นของท่านที่จุลทรรศน์ที่สุดอยู่ที่ไหนละ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกพวกท่าน บางทีจะจุลทรรศน์อย่างยิ่ง บางทีอาจจะไม่จุลทรรศน์อย่างนั้น
ความหมายเดิมของคำพูดนี้คืออย่างนี้ ชั้นผิวนอกสุดของท่านยังบรรลุไม่ถึงเขตแดนดั้งเดิมที่สูงอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่าพวกท่านล้วนไม่บรรลุถึงเขตแดนดั้งเดิมนั้น แต่ข้าพเจ้าให้พวกท่านบำเพ็ญกลับกัน
ทุกท่านทราบ ในอดีตประเทศจีนสถานที่นี้ พอพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ
ก็มีคนในหลายพื้นที่ล้วนสามารถเข้าใจ ในเวลาที่คนบำเพ็ญนั้น มักจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากชั้นผิว
เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากร่างกายที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุลชั้นนี้ จากนั้นจึงเปลี่ยนแปลงโดยถอยหลังไปสู่อนุภาคโมเลกุลชั้นที่สอง
เปลี่ยนแปลงสู่อนุภาคที่จุลทรรศน์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เส้นทางการบำเพ็ญของพวกเขาเป็นอย่างนี้ ดังนั้น พอบำเพ็ญ
เขาก็จะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์อย่างเต็มที่ได้ ภายในระยะเวลาที่สั้นมาก ชั้นผิวเปลี่ยนแปลงเป็นอีกลักษณะหนึ่งทั้งหมดแล้ว
แต่ทุกท่านคิดดู
ฝ่านี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในวันนี้
เป็นการถ่ายทอดในหมู่คนธรรมดาสามัญ
ต้องให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ
ไม่รบกวนสังคมคนธรรมดาสามัญ
ในขณะเดียวกัน สังคมคนธรรมดาสามัญยังสามารถให้สภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญให้กับพวกท่านได้
พวกเราจึงไม่อาจไปทำลายสภาพแวดล้อมนี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญ
ดังนั้นพวกท่านจึงปรากฏออกมาเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ ท่านต้องทำงาน ท่านต้องมีงานที่ต้องทำในสังคม คนในสังคมคนธรรมดาสามัญจะให้โอกาสท่านในการบำเพ็ญ
จะสร้างความยุ่งยาก ความเจ็บปวดให้ท่าน
จากนั้นท่านจะยกระดับได้
สลายกรรมได้
ข้ามแต่ละด่านได้ดี
ท่านจะเลื่อนชั้นขึ้นได้ ดังนั้นสภาพแวดล้อมของเราจึงไม่อาจไปทำลาย
เราต้องไม่ทำลายสภาพแวดล้อมนี้
จึงจะสามารถให้ทุกท่านบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้
ดังนั้นพวกท่านจึงต้องมีวิธีการบำเพ็ญที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนี้มาบำเพ็ญ ให้การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวของท่าน
ไม่มากเท่าการเปลี่ยนแปลงในระดับจุลทรรศน์ ในอดีตเปลี่ยนแปลงคนจากชั้นผิว
วันนี้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตท่านจากระดับจุลทรรศน์ที่สุด แต่ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ในอดีตไม่มีใครเคยทำเช่นนี้ เพราะคนในวันนี้ บางคนนั้นมาจากระดับชั้นที่สูงมาก กระทั่งผู้ที่จะช่วยเหลือท่าน ระดับชั้นของเขาก็ไม่สูงอย่างนั้น เขาจะเปลี่ยนแปลงต้นกำเนิดของท่านได้อย่างไรละ ที่ข้าพเจ้าพูดนี้ ทุกท่านคงจะฟังเข้าใจแล้ว ก็คือว่า ในอดีตไม่มีคนทำเรื่องอย่างนี้ วันนี้ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ แต่ต้นกำเนิดของท่านคนนั้น นั่นจึงจะเป็นตัวท่านที่แท้จริง เพราะจิตใจของท่าน ความคิดของท่าน ท่านคิดจะทำอะไรนั้น
ต้นกำเนิดของเจตจำนงนั้นอยู่ที่นั่น
นั่นจึงเป็นตัวของท่านที่แท้จริง แต่คำพูด รูปแบบความคิด ที่แสดงออกมาในหมู่คนธรรมดาสามัญ เป็นเพียงการส่งต่อมาที่นี่ทีละชั้นๆ มันผ่านการเพิ่มเติมของทัศนคติ ณ
เขตแดนและระดับชั้นที่ต่างกันเข้าไปข้างใน
สุดท้ายจึงแสดงออกมาเป็นคำพูด
ความคิด พฤติกรรมของคนที่นี่
ส่วนที่จุลทรรศน์ที่สุดนั้นจึงเป็นตัวท่านที่แท้จริง
ข้าพเจ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงท่านจากระดับจุลทรรศน์ที่สุด แต่ ณ ชั้นผิวนั้นก็ไม่อาจพูดได้ว่า
ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญ
มีความแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญ
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องเด็ดสิ่งที่ไม่ดีส่วนใหญ่
สิ่งที่จะกระทบต่อการบำเพ็ญของท่านทิ้งไป
ยิ่งกว่านั้นโรคภัยที่จะกระทบต่อการบำเพ็ญของท่านก็ต้องทิ้งไปทั้งหมด บางคนพูดว่า ฝ่าหลุนกงนั้นมหัศจรรย์ พอบำเพ็ญ โรคก็ไม่มีแล้ว ใช่
ผู้ที่บำเพ็ญจริงๆพอเริ่มต้นก็เปลี่ยนแปลงแล้ว พอเริ่มต้นโรคก็หายแล้ว
หากพูดว่าฉันมาเพื่อขจัดโรค
นั่นก็จะขจัดทิ้งไปไม่ได้
เพราะข้าพเจ้าไม่ได้มาเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ให้คนธรรมดาสามัญ
ข้าพเจ้าทำสิ่งต่างๆเพื่อผู้บำเพ็ญของข้าพเจ้าที่สามารถหยวนหมั่นได้
ศิษย์ พลังงานของความรักระหว่างเพศสามารถผันแปรเป็นพลังงานทางจิตหรือไม่
อาจารย์
ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน
สิ่งนั้นไม่มีพลังงาน
มันเป็นเพียงฉิงกับความร้อนของคน เมื่อท่านยึดติดกับฉิงจนเกินไป
บวกกับความตื่นเต้นอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากสัญชาตญาณของร่างกายคน ความตื่นเต้นชนิดนี้ พวกเราที่เป็นแพทย์รู้ว่า
หากคิดจะบรรลุถึงความตื่นเต้นนี้
จำเป็นต้องมีสสารชนิดหนึ่ง
เรียกว่าแคลอรี่
เมื่อใช้หมดไปแล้วก็สงบลง
เหนื่อยล้า ท่านดูมีคนหนุ่มสาวบางคน รู้สึกว่ามีพลังไม่มีที่จะใช้
เวลาเดินถนนก็อยากจะกระโดดโลดเต้นสักหน่อย ก็คือเขามีแคลอรี่มาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่พลังงาน อย่าคิดว่ามันเป็นพลังงาน
ศิษย์ ในเวลาที่พวกเราหลอมรวมเข้ากับสัจธรรมของจักรวาลนั้น จะคงอยู่ด้วยรูปแบบอะไร
อาจารย์ ข้าพเจ้าไม่เคยพูดคำพูดอย่างนี้กับพวกท่านมาก่อน บางทีท่านอาจรู้บางสิ่งบางอย่างจากชี่กงชนิดอื่น โดยเฉพาะคือชี่กงสายเต๋า ทุกๆเรื่อง
จนกระทั่งแต่ละความคิดล้วนสามารถรักษาให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกับข้อกำหนดของฝ่า นั่นจึงเป็นชีวิตภายหลังหยวนหมั่น หลายคนพูดว่า พระพุทธไม่มีรูปลักษณ์
นี่ก็คือทฤษฏีของพุทธศาสนานิกายเซนในประเทศจีน ไม่มีพระพุทธ ไม่มีรูป
ดังนั้นต๋าหมอ(ตั๊กม้อ)เองจึงพูดว่า
มีฝ่าที่สามารถถ่ายทอดได้เพียงหกรุ่น
จากนั้นก็ไม่มีอะไรที่สามารถพูดได้อีกแล้ว ในประเทศจีนยุคโบราณ เรื่อยมาจนถึงก่อนการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม
ล้วนเห็นว่านิกายเซนนั้นมุดเขาควาย
ในเวลานั้นในวงการศาสนาล้วนโต้เถียงกับนิกายเซนมาโดยตลอด ที่จริงนิกายเซนเมื่อถึงรัชสมัยซ่งแล้ว
หรือว่าพันกว่าปีก่อนของประเทศจีนนั้น มันก็ไม่คงอยู่แล้ว แต่คนรุ่นหลังมักจะรู้สึกว่าหลักการที่ต๋าหมอกล่าวนั้นใกล้กันมากกับปรัชญาของคนธรรมดาสามัญ
ดังนั้นมีบางคนจึงคิดว่ามันเป็นปรัชญา
ดูเหมือนจะเป็นปรัชญาที่สูงที่สุด บางคนที่เลอะๆเลือนๆ ก็รู้สึกว่ารับรู้ได้ถึงแก่นของหลักปรัชญา
ที่จริง มันเป็นการรับรู้ที่ต่ำมาก
ก็เพราะมันต่ำ คนธรรมดาสามัญจึงยอมรับได้ง่าย
พระพุทธนั้นมีรูปลักษณ์
และร่างกายของพระองค์ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า และก็เป็นสิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาจากสสาร
ดังนั้นตาของคนจึงมองไม่เห็น
แต่
สิ่งที่มองไม่เห็นก็ไม่แน่ว่าจะไม่คงอยู่ คนสามารถมองเห็นแต่แสงที่มองเห็นได้ หากพูดจากสเปคตรัมของแสง
สิ่งต่างๆที่คนสามารถมองเห็นได้นั้นมีน้อยมากๆ
และสิ่งที่คนมองเห็นได้นั้นทุกสิ่งล้วนเป็นแสงที่สะท้อนมาให้ท่านเห็น
สิ่งนี้(ร่างพระพุทธ)เป็นสิ่งที่แสงที่มองเห็นได้(visible light)ส่องไม่ถึง
ท่านจึงมองไม่เห็น
ท่านจะบอกได้หรือว่ามันไม่คงอยู่
ปัจจุบันอเมริกามีกล้องดาราศาสตร์หลายตัว มันพบว่ามีร่างนภามากมาย
ได้แต่ใช้แสงที่อยู่นอกเหนือแสงที่มองเห็นได้(invisible light)จึงจะสามารถมองเห็น เช่นแสงเอ็กซเรย์ แสงแกมม่า แสงอินฟาเรด แสงเหนือม่วง ยิ่งกว่านั้นในสภาพเช่นนี้เท่านั้น ท่านจึงจะสามารถตรวจสอบได้
เช่นนั้นท่านสามารถพูดได้หรือว่ามันไม่คงอยู่
ถ้าไม่มีการประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์นี้
หากท่านพูดว่ามันมีอยู่
คนที่หัวรั้นจะพูดหรือไม่ว่า ท่านงมงาย ฉะนั้นจึงเหมือนกับที่เราพูดในวันนี้ มองเห็นโลกของพระพุทธ สามารถมองเห็นพระพุทธ บางคนก็ไม่เชื่อ เพราะดวงตาของท่านประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล หาใช่ประกอบขึ้นมาจากอะตอม
ดังนั้นท่านจึงมองไม่เห็นทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคระดับชั้นอะตอม
แต่ร่างกายของพระพุทธนั้นประกอบขึ้นมาจากอะตอม ท่านจะมองเห็นได้อย่างไรกันละ หรือพูดว่าพวกเขาไม่อยู่ในขอบเขตของแสงที่มองเห็นได้
ศิษย์ ชีวิตบนโลกจะจบสิ้นทั้งหมดไหม หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่เหมาะสม
อาจารย์
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ข้าพเจ้าจะไม่พูด อยู่ที่นี่ข้าพเจ้าก็จะไม่พูด มีหรือไม่มี
ข้อเสนอของข้าพเจ้าคือทุกท่านอย่าไปไม่สนใจมัน เพราะอะไรหรือ ทุกท่านลองคิดดู ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนไม่ได้คงอยู่โดยบังเอิญ เพียงแต่คนไม่เชื่อว่ามีเทพคงอยู่ แต่เขามีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เต็มไปหมดทั่วทั้งจักรวาล อะไรๆคนก็กล้าทำ
ศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามจนถึงที่สุดแล้ว ทุกท่านคิดดู คนปัจจุบันทำในสิ่งที่อยากทำ ฆ่าคนตามชอบใจ มีปืนก็กล้าฆ่าคน
ทัศนคติทางความคิดไม่มีสิ่งใดยับยั้งได้
ความเสื่อมทรามของศีลธรรมมนุษย์
ทำให้เรื่องอะไรคนก็กล้าทำ
คนจำนวนมากล้วนพูดว่ามนุษย์เสื่อมทรามจนถึงระดับนี้แล้ว ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในแต่ละแห่งมากมายเช่นนี้ คนยิ่งไม่ดีภัยพิบัติก็ยิ่งมาก
แต่เมื่อพูดในทางกลับกัน
วันนี้เรามีคนร้อยล้านกำลังศึกษาต้าฝ่า
ไม่ว่าจะมีคนเท่าไรที่สามารถหยวนหมั่นได้ คนเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดได้กลายเป็นคนดีแล้ว หากทั้งหมดนี้ล้วนจบสิ้นแล้ว คนดีเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะคือวันนี้ทุกท่านสามารถบำเพ็ญ ยืนหยัดบำเพ็ญต้าฝ่า คนดีที่สง่างามเหล่านี้จะทำอย่างไร ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกทุกท่าน เพียงท่านไปบำเพ็ญ ท่านไม่ต้องไปพิจารณาปัญหาอื่นอีก จะไปสนใจ(ทำไม)ว่ามันจะมีภัยพิบัติหรือไม่ แม้จะมีก็ไม่ใช่เรื่องของท่าน(เสียงปรบมือ)แต่คนชั่วจะหนีไม่พ้น
ศิษย์ ท่านอาจารย์พูดว่า มีคนชนิดหนึ่ง
สิ่งที่ติดตัวเขามากับความสามารถในการอดทนของเขานั้นกำหนดไว้แน่นอน คนชนิดนี้บำเพ็ญไม่สูง
อาจารย์
ในสังคมมนุษย์
คนปัจจุบัน
มาจากระดับชั้นไหนก็มีทั้งนั้น
และมีที่มาจากระดับชั้นต่ำ
ดังนั้น
คนเช่นนี้ไม่อาจจะบำเพ็ญได้สูงนัก แต่ก้าวออกจากสามภพหยวนหมั่นได้ไม่มีปัญหา แต่จะบำเพ็ญสูงหรือไม่สูง ถ้าคนบำเพ็ญอยู่ในฝ่าแล้ว ได้ฝ่าแล้ว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ครั้งนี้เป็นการจัดวางตำแหน่งของชีวิตกันใหม่ คนที่มีของติดตัวมาน้อยสามารถเพิ่มเติม
แต่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่ง
เขาไม่คู่ควรแม้แต่จะได้ฝ่า
ยังมีพวกที่ไม่อาจได้ฝ่าเลยโดยสิ้นเชิง
ศิษย์ ผมรู้สึกว่าพลานุภาพของต้าฝ่าสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ทำไมต้าฝ่าเปลี่ยนแปลงคนชนิดนั้นไม่ได้
อาจารย์ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน พระพุทธทั่วไป อย่างเช่นว่าพระยูไล พระอาหนีถอฝอ(อมิตตพุทธ) พระศากยมุนีพุทธ พระเยซู พระแม่มารี แค่โบกมือทีเดียว
ทุกสิ่งในสังคมมนุษย์ก็จะเปลี่ยนแปลงหมด ทำไมจึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ละ แล้วทำไมเขาไม่ทำอะไรละ เพราะคนทำเรื่องชั่วเอง คนอยากทำเช่นนี้ คือคนเองอยากทำอย่างนี้
ฉันโบกมือเอากรรมทิ้งไปให้ท่านแล้ว สิ่งที่ไม่ดีไม่มีแล้ว พอหันไปท่านยังทำเรื่องชั่วต่อไปอีก ก่อกรรมต่อไป ทำไมต้องทำให้ท่านด้วยละ หากคิดจะช่วยคน จะช่วยอย่างนี้ไม่ได้ ต้องให้คนเข้าใจหลักการ ต้องให้ใจคนเองไปเปลี่ยนแปลงตนเอง จึงจะเป็นการช่วยคนอย่างแท้จริง พระยูไลองค์หนึ่งก็มีพลังยิ่งใหญ่อย่างนี้แล้ว ต้าฝ่าของจักรวาลจะเปลี่ยนแปลงคนๆหนึ่งนั้นง่ายดายเหลือเกิน
วันนั้นข้าพเจ้ายกตัวอย่างหนึ่ง
ยังคงเป็นการยกตัวอย่างที่เล็กมาก ก็เหมือนกับเตาหลอมเหล็ก หากมีเศษไม้ชิ้นหนึ่งตกลงไป ในทันใดมันก็จะหายไปแล้ว ท่านก็จะมองไม่เห็นเงาของมัน ในต้าฝ่านี้ คนก็เหมือนกับเศษไม้นั้น ทำไมข้าพเจ้าบอกให้ท่านบำเพ็ญเอง
หากใช้ต้าฝ่ามาสร้างท่านขึ้นมาใหม่จริงๆ ไม่ยอมให้ท่านไปบำเพ็ญ จากระดับจุลทรรศน์ของชีวิตจนถึงชั้นผิว
ในอนาคตก็จะไม่ใช่ตัวท่านอีกต่อไปตราบชั่วนิรันดร์
ความทรงจำทั้งหมดของท่าน
ความคิดทั้งหมดของท่าน รูปแบบที่คงอยู่ ล้วนจะถูกเปลี่ยนแปลงหมด ท่านจะไม่รู้ว่าท่านคือใคร นั่นก็เรียกว่าสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก นั่นไม่ใช่เรื่องการช่วยเหลือคนแล้ว ทำไมต้องช่วยเหลือคนละ ไม่ใช่ว่าฝ่าไม่มีพลังอย่างนี้ แต่เป็นเพราะฝ่าให้โอกาสครั้งหนึ่งแก่คน
ศิษย์ จะปฏิบัติต่อทุกข์ภัยในระหว่างการบำเพ็ญอย่างไร
ท่านเคยประสบกับทุกข์ภัยเหมือนกับในการบำเพ็ญของพวกเราหรือไม่
อาจารย์ เป็นคำถามของผู้ฝึกใหม่
แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะพูดถึงเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้า แต่มีอยู่จุดหนึ่ง ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน พวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ข้าพเจ้าไม่ใช่
พวกท่านต้องไปปฏิบัติตามมาตรฐานของผู้บำเพ็ญ ไม่ยกเว้นแม้แต่คนเดียว
ล้วนต้องบรรลุถึงเขตแดนและมาตรฐานของการหยวนหมั่น แต่ข้าพเจ้าไม่เหมือนกับพวกท่าน ข้าพเจ้ามาสอนฝ่านี้ให้พวกท่าน ความยากลำบากทั้งหลายที่ข้าพเจ้าแบกรับ
เป็นความยากลำบากของสรรพชีวิตในแต่ละเขตแดน
เรื่องทั้งหลายที่ข้าพเจ้าประสบนั้นไม่อาจพูดกับใครได้ พวกท่านไม่สามารถจะเข้าใจ พวกท่านรู้สึกว่าการบำเพ็ญนั้นง่ายมาก ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกพวกท่าน
ข้าพเจ้าได้สลายกรรมครึ่งหนึ่งให้พวกท่าน ทำให้พวกท่านสามารถบำเพ็ญ ที่จริงพวกท่านคิดดู จักรวาลนี้
เรื่องเลวเหล่านั้นที่ท่านเคยทำไว้เมื่อก่อน
จะจบสิ้นเพราะท่านบำเพ็ญแล้วหรือ
ข้าพเจ้าเคยพูดไว้อย่างนี้
ข้าพเจ้าทราบว่าทำไมพระเยซูจึงถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน พระบิดาของพระองค์คือพระยะโฮวา จะไม่สามารถทำให้พระองค์หลุดพ้นหรือ พลังของพระองค์เองก็ไม่สามารถทำให้พระองค์หลุดพ้น
จะต้องถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนเท่านั้นหรือ
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะจินตนาการได้ เรื่องการช่วยเหลือคนนั้นยากมาก มีบางคน หนี้ที่เขาติดค้างไว้
เป็นกรรมที่เกิดจากการทำเรื่องชั่วในชาติภพต่างๆของคนธรรมดาสามัญของเขา
หนี้นี้พันธนาการคนไว้ตลอดกาล
ทุกๆชาติภพก็สลัดไม่หลุด
แต่บางคน
ในเวลาที่เขาตกลงมาจากระดับชั้นที่ต่างกัน
เขาติดค้างหนี้ในระดับชั้นที่ต่างกัน
หนี้ของเทพ จะชดใช้อย่างไร
ดังนั้นการช่วยเหลือคนจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆอย่างนั้น ในศาสนามีคนพูดว่า เมื่อฉันบำเพ็ญสำเร็จแล้ว
ฉันจะช่วยคน
ข้าพเจ้าว่านั่นเป็นจิตยึดติด
จะแก้สิ่งที่พันธนาการคนได้อย่างไร
สลับตัดกันทั้งแนวดิ่งแนวนอน สูงกว่าระดับชั้นของผู้ที่จะช่วยเหลือ
เป็นตาข่ายแห่งความแค้นเคืองที่ใหญ่มาก
การช่วยเหลือคนเป็นเรื่องที่ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ปัญหานี้ก็ขอพูดเพียงเท่านี้
ศิษย์ ขอเรียนถามท่านอาจารย์ เราจะหลีกเลี่ยงการเคารพบูชาท่านแบบเป็นรูปบูชาได้อย่างไร
อาจารย์
ข้าพเจ้าเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฝึกเป็นอย่างดี เพราะพวกท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนพวกท่านจากคนธรรมดาสามัญ
ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกรรมให้กลายเป็นผู้บำเพ็ญ ให้อะไรต่างๆ
กับพวกท่าน ช่วยขจัดอะไรต่างๆ
ทิ้งให้กับพวกท่าน
อารมณ์ความรู้สึกสำนึกบุญคุณนั้นข้าพเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นบางคนจึงคิดจะเลือกรูปแบบบางอย่างในการแสดงความเคารพนับถือต่ออาจารย์
แต่หากข้าพเจ้าไม่ให้ท่านแสดงความเคารพนับถือ ก็ไม่อาจพูดอย่างนี้ได้
เพราะอย่างไรเสียข้าพเจ้าก็เป็นอาจารย์ของท่าน ท่านต้องเคารพนับถือข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พูดถึงสิ่งที่เป็นรูปแบบ แต่ผู้ฝึกบางคน
เขายังไม่สามารถรับรู้ได้สูงอย่างนั้นเหมือนผู้ฝึกหลายๆคน
ถ้าไม่บูชา(กราบไหว้)อาจารย์สักหน่อยเขาจะรู้สึกว่าผิดต่ออาจารย์ ที่จริงไม่ผิด แต่ข้าพเจ้าเคยพูดหลักการนี้แล้ว บางคนรู้สึกว่าเขาไหว้พระพุทธ เขาสร้างวัดมากมายแล้ว เขาก็สามารถเป็นพระพุทธได้ ข้าพเจ้าว่านั่นน่าขัน องค์ศากยมุนีเคยตรัสไว้ว่า ฝ่าที่มีความหมายมั่นนั้นเหมือนภาพเพ้อฝัน นั่นเป็นเรื่องของความหมายมั่น
ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น
เป็นเพียงการสะสมบุญกุศลเล็กน้อยของคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ท่านคิดว่าวัดนั้น
ท่านสร้างให้พระพุทธแล้วหรือ
ท่านสร้างวัดแล้ว
พระพุทธก็ต้องไปอยู่ด้วยหรือ
ท่านบอกว่าฉันสร้างวัดอยู่ตรงนั้นพระพุทธก็ต้องมาอยู่ ท่านบัญชาให้พระพุทธมา
พระพุทธก็ต้องมาหรือ
ไม่ใช่เรื่องเช่นนั้น และมีบางคนรู้สึกว่า ฉันโขกศีรษะแล้ว ฉันโขกศีรษะให้ท่านแล้ว
ท่านก็ต้องคุ้มครองให้ฉันอยู่เย็นเป็นสุข ให้ฉันหยวนหมั่น หากท่านบูชาฉันแล้ว ท่านเข้าใจว่าพระพุทธมีใจเหมือนคนธรรมดาสามัญ ท่านพูดคำพูดดีๆสักประโยค ฉันก็ดีใจแล้ว
เหมือนคนธรรมดาสามัญที่วันๆท่านอยู่รอบตัวฉันพูดคำพูดดีๆ
ฉันก็ต้องยกให้ท่านเป็นหัวหน้าเพิ่มเงินเดือนให้ท่าน คนเอ๋ย จะเปลี่ยนพระพุทธให้เป็นเหมือนคน
ให้มีอารมณ์ความรู้สึกแบบคน ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้นเลย ดังนั้น
ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ทุกท่านปฏิบัติต่อข้าพเจ้าอย่างไร แต่อย่างเช่นว่ามีบางแห่ง ผู้ฝึกคนนี้ เขามีความเคยชินแบบชนชาตินี้ เขาจึงรู้สึกว่าทำอย่างนี้จึงจะดี ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเขาผิด เพียงแต่ต้าฝ่าเราไม่คำนึงถึงเรื่องรูปแบบ
เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว จะทำอย่างไรบ้างหรือ ก็ทำไปตามจิตใจของตนเองละกัน แต่
สำหรับฝ่าฮุ่ยอย่างนี้ของพวกเราในวันนี้
รูปแบบนี้ พวกเราไม่ทำก็ไม่ได้
ทุกท่านบำเพ็ญอยู่ด้วยกัน
ล้วนรู้สึกว่าเข้ามาอยู่สนามนี้รู้สึกสงบและกลมกลืนมาก จิตใจของแต่ละคนจะไม่คิดเรื่องที่ไม่ดี สิ่งที่ส่งออกมาล้วนเป็นความเมตตา เป็นพลังงานที่ดีมาก
สิ่งต่างๆที่ทุกท่านพูดคุยกันล้วนเป็นเรื่องของการบำเพ็ญ
จะทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น
สภาพแวดล้อมนี้ไม่อาจขาดได้
ผ่านการพูดคุยความเข้าใจ ทุกท่านค้นหาความแตกต่างระหว่างกัน ทำให้คนอื่นก็ก้าวหน้าได้ นี่เป็นรูปแบบหนึ่งที่ดีมาก
และรูปแบบนี้เป็นการจัดตั้งกันขึ้นมาเอง ฉันออกเงินสักหน่อยไปเช่าสถานที่ ฉันออกเงินสักหน่อยพิมพ์เอกสาร เขาออกเงินสักหน่อยจัดการเรื่องอื่น ทุกท่านก็ทำกันอย่างนี้ ในฐานะผู้รับผิดชอบนั้น
จะไม่เหลือเงินไว้แม้แต่สตางค์แดงเดียว
คนที่ทำงาน ทำให้ดีด้วยตนเอง เตรียมงานให้เสร็จแล้ว ก็ส่งมอบให้กับพวกเขาก็จบแล้ว มักจะเป็นเช่นนี้
ข้าพเจ้าจำได้ว่ามีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเขียนเรื่องข้าพเจ้า ว่าหลี่ หง จื้อไม่ต้องการเงิน
แต่ศิษย์ของเขาเปิดฝ่าฮุ่ยอยู่ในนิวยอร์ก ครั้งหนึ่งก็นำเงินออกมา ๓๕,๐๐๐
ดอลล่าร์เพื่อใช้เช่าห้องประชุม
แต่ทำด้วยจิตใจที่ดี
เพื่อความยิ่งใหญ่ของฝ่า
เพื่อฝ่าฮุ่ยที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงทำเช่นนี้
ในใจเขาคิดว่ามีแต่ห้องประชุมที่ดีที่สุดจึงจะคู่ควรกับต้าฝ่า
มนุษย์สามารถใช้เงินมหาศาลเที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่ว เหตุใดฝ่าฮุ่ยที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์จึงไม่อาจเช่าสถานที่ที่ดีสักแห่งละ แต่ เรื่องนี้ทุกท่านก็ต้องระวังไว้
ต่อไปพวกเราอย่าเช่าสถานที่ที่แพงเกินไป เงิน ๓๕,๐๐๐
ดอลล่าร์ในอเมริกาดูเหมือนไม่นับว่ามาก แต่หากนำเข้าไปประเทศจีน
นั่นก็เป็นเงินหลายแสน แต่เงินนี้แม้แต่สตางค์แดงเดียวข้าพเจ้าก็ไม่เห็นเลย
เพียงแต่ผู้ฝึกใช้เช็ค ๓๕,๐๐๐ ดอลล่าร์เช่าสถานที่นี้ หลังจากเช่าแล้ว ก็บอกผู้รับผิดชอบว่า
ผมเช่าไว้แล้ว ใช้เงินไป ๓๕,๐๐๐
เหรียญ จะใช้วันไหนบ้าง ก็จบเรื่องแล้ว ที่จริงจ่ายไปแล้วสามหมื่นกว่าเหรียญ นั่นเป็นจิตใจหนึ่ง เป็นน้ำใสใจจริงของผู้ฝึกที่มีต่อต้าฝ่า
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสพูดสักหน่อย เนื่องจากเรามีผู้สื่อข่าวอยู่ด้วย
และมีคนพูดว่า หลี่ หงจื้อ
เป็นมหาเศรษฐีเงินล้าน ท่านสามารถถือว่าข้าพเจ้าเป็นมหาเศรษฐีเงินล้าน
ร้อยล้าน พันล้าน ก็ได้ทั้งนั้น เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้ามีนั้น ไม่อาจแลกเปลี่ยนมาด้วยเงินที่มีอยู่ทั้งหมดของมนุษย์(เสียงปรบมือยาวนาน)
ที่จริงข้าพเจ้าคิดว่า พูดจากอีกมุมหนึ่ง
ถ้าข้าพเจ้าไม่มีเงินแล้วจะนับเป็นอะไรได้ละ ก็คือหากพูดว่าข้าพเจ้ามีเงิน ข้าพเจ้าเองก็ไม่ใส่ใจ อาทิเช่น ข้าพเจ้ามีผู้ฝึกร้อยล้านคนกำลังศึกษาฝ่า
ถ้าตอนนี้ข้าพเจ้าพูดออกมาคำหนึ่ง
แต่ละท่านให้ข้าพเจ้าคนละหนึ่งเหรียญเถอะ ทุกท่านลองคิดดู คนหนึ่งให้ข้าพเจ้าหนึ่งเหรียญ
ข้าพเจ้าก็เป็นเศรษฐีร้อยล้านแล้ว
และทุกท่านก็จะให้ข้าพเจ้าได้ทันที
ท่านก็ถือว่าข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีร้อยล้านก็แล้วกัน
บางคนยังเที่ยวไปที่ต่างๆสอบถามเกี่ยวกับข้าพเจ้า บอกว่าขายหนังสือได้เงินเท่าไร ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ข้าพเจ้าอยู่ในประเทศจีนนั้น
หนังสือที่จัดพิมพ์จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ได้ค่าต้นฉบับแต่ละครั้งไม่กี่พันเหรินหมิงปี้(หยวน)
ดังนั้นรวมกันทั้งหมดให้ข้าพเจ้าสองหมื่นกว่าเหรินหมิงปี้(หยวน) เป็นเงินไม่กี่พันดอลล่าร์กระมังก็เป็นจำนวนเท่านี้
เพราะโรงพิมพ์ของเขานั้นเป็นของรัฐ
เขาจะไม่ให้ค่าต้นฉบับท่านเหมือนกับโรงพิมพ์ของประเทศอื่นอย่างนั้น ก็เป็นสภาพการณ์นั้น แต่การออกหนังสือในที่อื่น หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เขาจะให้ผู้ประพันธ์ร้อยละ ๕ ,๖, ๗ อย่างมากที่สุดจะให้ร้อยละ ๘
เป็นค่าต้นฉบับ
แต่ที่ข้าพเจ้าได้มานั้นน้อยมาก
โดยพื้นฐานข้าพเจ้าก็หมายถึงการยังชีพจากค่าต้นฉบับ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน พวกท่านอย่าไปยึดติดกับเรื่องนี้ ท่านจะไม่ได้ประโยชน์ในการตรวจสอบ ข้าพเจ้าจะออกแรงไปกับการหาเงินเพื่ออะไรกัน ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดคำหนึ่งว่า
แต่ละคนให้ข้าพเจ้าสิบเหรียญเถอะ
ข้าพเจ้าก็จะเป็นเศรษฐีพันล้าน
นี่จะน่าง่ายกว่าเป็นไหนๆ
ใครๆก็ล้วนยินดีที่จะให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังจะสง่าผ่าเผยด้วย ข้าพเจ้าจะเหนื่อยกับเรื่องนั้นไปเพื่ออะไรละ ดังนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า บางครั้งเจตนาของคนไม่บริสุทธิ์ เขาคิดเรื่องนั้นอย่างแคบๆมาก โง่เขลามาก
ศิษย์ หลังจากท่านนำกรรมของเราออกไปแล้ว มันไปอยู่ที่ไหนหรือ
อาจารย์
คือข้าพเจ้าสลายให้กับพวกท่านแล้ว
(เสียงปรบมือ) การช่วยเหลือคนนั้นยากมาก ข้าพเจ้าจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง
อยู่ในฝ่าฮุ่ยบรรยายให้กับทุกท่าน
ข้าพเจ้าพูดว่า มีคนๆหนึ่ง
ในชั่วชีวิตมีวันหนึ่งที่เขาถูกกำหนดให้ต้องป่วยเป็นโรคความดันเลือดสูง นั่นเป็นกรรมที่เขาต้องชดใช้ เขาจะต้องได้รับแน่นอน แต่หลังจากเขาศึกษาต้าฝ่า
(ไม่ใช่ว่าท่านศึกษาต้าฝ่าแล้ว ก็ไม่ต้องชดใช้กรรมอะไรเลย นี่ใช้ไม่ได้)
ข้าพเจ้าจึงสลายสิ่งนั้นให้เขาไปมากมาย
ตราบจนเขาตัวเบาสบายจึงสามารถทนรับได้ แต่เมื่อสภาพการณ์นี้จะปรากฏออกมา ทันใดนั้นมีอยู่วันหนึ่งเขาล้มคว่ำลงบนพื้น
ปรากฏออกมาเป็นอาการของความดันเลือดสูง
แต่เขาเองไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นผู้ฝึกพลัง แม้ว่าเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรกรรมก็สลายไปแล้ว จึงไม่หนักหนาอย่างนั้นแล้ว หากเขาเองสามารถปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลัง เขายืนหยัดขึ้นมา ในทันใดเขาก็จะไม่มีเรื่องอะไรแล้วทั้งสิ้น ก็คือด่านอย่างนี้ แต่เขาข้ามไปไม่ได้ แม้ว่าด่านจะเล็กแล้ว แต่เขาก็ข้ามไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เล็กลงแล้ว สามวันเขาก็สามารถลงพื้นยืนได้ ในหนึ่งสัปดาห์ก็สามารถเดินได้ หนึ่งเดือนให้หลัง เขาก็คล้ายกับไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ทุกท่านทราบ การรักษาโรคความดันเลือดสูงในโรงพยาบาลก็ไม่อาจจะเร็วอย่างนี้
แต่ในทางตรงกันข้ามเขากลับพูดว่า
ผมศึกษาฝ่าหลุนกงแล้ว ทำไมยังเป็นโรคความดันเลือดสูงละ
ในเวลานั้นเนื่องจากข้าพเจ้าเพิ่งถ่ายทอดฝ่า ข้าพเจ้าจึงคิดว่า การช่วยเหลือคนนั้นยากจริงๆ เขาไม่รู้ว่าในเวลาที่ข้าพเจ้าแบกรับทุกข์ภัยนี้ให้เขา ข้าพเจ้าถูกกรอกยาพิษหนึ่งชาม (เสียงปรบมือ)
ศิษย์ ฉิงบังเกิดผลโดยผ่านทัศนคติ
ทัศนคติที่เบี่ยงเบนของคนที่เบี่ยงเบนในยุคนี้กำลังใช้ฉิง อย่างพร่ำเพรื่อ
อาจารย์ ไม่ใช่ทัศนคติที่เบี่ยงเบนกำลังใช้ฉิงอย่างพร่ำเพรื่อ หากเป็นเพราะอะไรๆคนก็ไม่เชื่อแล้ว ไม่มีศีลธรรมกำกับแล้ว ทุกท่านทราบว่า ในอดีตมีศาสนา อย่างน้อยที่สุด คนยังรู้ว่าเมื่อทำเรื่องชั่วแล้ว
จะต้องได้รับการลงโทษ
แต่คนเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว
เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขันทั้งสิ้น ลงโทษอะไรกัน มีเทพที่ไหนกัน เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อการคงอยู่ของเทพ ทุกท่านคิดดู เขาไม่รู้ว่า เมื่อเขาทำเรื่องชั่วมีเทพมองเห็น
เขาไม่รู้ว่าเมื่อเขาทำเรื่องชั่วจะมีกรรมสนอง ในเมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้ควบคุมแล้ว อะไรๆเขาก็กล้าทำทั้งนั้น ฆ่าคน วางเพลิง ทำสารพัดชั่ว
ทำไมคนโบราณ คนในอดีตมีศีลธรรมสูงส่งนะ
คนนั้นที่จริงมีความสามารถต่ำมาก
ไม่ใช่ว่าศีลธรรมที่แท้จริงของเขาสูงส่งเพียงใด หากเป็นเพราะเขาเชื่อ
เขารู้ว่าเมื่อเขาทำเรื่องชั่วจะมีกรรมสนอง
ทำเรื่องดีจะมีกรรมดีสนอง
คนควรจะมีชีวิตอยู่ด้วยความดีงาม ปัจจุบันไม่มีการควบคุมนี้แล้ว
ผู้คนถือการไปโบสถ์เป็นกิจกรรมด้านวัฒนธรรมชนิดหนึ่ง
ถือการไปวัดเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งในการขอโชคลาภ ขอให้มีลูกชาย หรือได้รับการคุ้มครอง ขจัดทุกข์ภัย เขาไม่ใช่เชื่ออย่างแท้จริง ทุกท่านคิดดู สังคมอย่างทุกวันนี้ การเหนี่ยวรั้งทางศีลธรรมได้สูญเสียการควบคุมจนหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้นเขามิใช่
อะไรก็กล้าทำแล้วหรือ
เขาจึงเน้นความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุด ฉันอยากจะทำอะไรก็จะทำอะไร คุณอยากจะทำอะไรก็ทำอะไร คุณรู้สึกว่าดีมาก แต่เทพรู้สึกว่าไม่ดี ท่านอย่าลืมว่าท่านนั้นสร้างขึ้นมาโดยเทพ เมื่อเทพรู้สึกว่าท่านไม่ดี
เขาก็จะไม่ต้องการท่าน เขาจะทำลายท่าน
ศิษย์ ที่ผ่านมา สรรพชีวิตของจักรวาลไม่รู้จักฝ่าของจักรวาล แล้วสรรพชีวิตในอนาคตรวมทั้งศิษย์ต้าฝ่าที่บำเพ็ญหยวนหมั่น จะสามารถรู้หลักการของฝ่าทั้งหมดของจักรวาลในระดับชั้นที่ตนเองอยู่หรือไม่
อาจารย์
ทั้งหมดที่พวกท่านรู้
ทั้งหมดที่พวกท่านเข้าใจนั้น
ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน
เหมือนกับที่ท่านเข้าใจฝ่าด้วยตัวเองจากการอ่านหนังสือ
สิ่งที่พวกท่านทราบเป็นเพียงฝ่าของจักรวาลที่ทำให้ตัวพวกท่านเองประจักษ์แจ้งได้ในส่วนนั้น ส่วนฝ่าที่แท้จริง ไม่อาจให้พวกท่านรู้ได้ ไม่เพียงแต่มนุษย์ สรรพชีวิตทั้งปวงในจักรวาล
ล้วนไม่อนุญาตให้เขารู้ รูปแบบที่คงอยู่อย่างเป็นรูปธรรมของฝ่าชุดนี้
ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้ภาษาของคนธรรมดาสามัญ รูปแบบแนวคิดของคนธรรมดาสามัญ
บอกหลักการเช่นนี้ให้กับพวกท่านอย่างคร่าวๆ ส่วนรูปแบบการคงอยู่ที่แท้จริงของเขา พวกท่านไม่อาจทราบได้
บางทีในความคิดจิตสำนึกของพวกท่านจะมีความสำนึกอย่างนี้อยู่ ในอนาคตพวกท่านจะทราบว่าในจักรวาลมีฝ่าชุดหนึ่ง แต่รูปธรรมเป็นอย่างไรนั้น พวกท่านไม่มีทางจะทราบได้
เพราะชีวิตในเขตแดนที่ต่างกันในระดับชั้นที่ต่างกัน มีสภาพการณ์ของเขตแดนที่ต่างกัน
อยู่ในระดับชั้นนั้นเขาเป็นเทพ
แต่เทพที่สูงกว่าเขามากๆ หันกลับมามอง จะเห็นว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาสามัญ มาตรฐานนั้นยิ่งขึ้นไปก็จะยิ่งสูง
ศิษย์ การใช้จิตที่บริสุทธิ์อ่าน จ้วนฝ่าหลุน เมื่อประสบกับความขัดแย้งก็ค้นหาจากภายใน บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย ก็จะสามารถบรรลุถึงการก้าวหน้าอย่างห้าวหาญแล้วหรือ
อาจารย์
นี่ก็เป็นการแสดงออกถึงการก้าวหน้าแล้ว ถ้าหากสามารถบรรลุถึงจุดนี้ได้ ก็เป็นการแสดงออกถึงการก้าวหน้าแล้ว พวกท่านคิดจะหยวนหมั่น
ย่อมจะยังมีเรื่องการข้ามด่านเช่นนี้อยู่
ข้าพเจ้าทราบว่าผู้ฝึกมีความเข้าใจต่อฝ่าที่ลึกซึ้งมากแล้ว
ข้าพเจ้าเห็นพวกท่านพูดในทีวีวงจรปิดนั้น
ข้าพเจ้าว่าเหล่าผู้ฝึกล้วนสุกงอมแล้ว เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกในประเทศ สุกงอมมากแล้ว
เพราะหลายปีก่อนพวกเขาก็เริ่มก้าวหน้าแล้ว
วันนี้ผู้ฝึกต่างประเทศกลุ่มใหญ่ก็เริ่มสุกงอมยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้วพวกท่านสามารถพูดเรื่องฝ่าโดยอยู่ในฝ่า นี่ดีมาก
ศิษย์ พวกเราไม่ใช่ศาสนา ต่อไปมนุษย์จะเข้าใจว่าเราเป็นศาสนา ควรระมัดระวังอย่างไรในด้านการหงฝ่า พยายามไม่ให้คนมีความรู้สึกชนิดนี้
อาจารย์
เนื่องจากสภาพการณ์ของแต่ละพื้นที่ต่างกัน ในระหว่างการหงฝ่า ทุกท่านต้องระวังจุดนี้ ท่านอยากให้คนอื่นได้ฝ่า
ทำให้คนนั้นที่มีวาสนาแต่ยังไม่ได้ฝ่าสามารถได้ฝ่า
อยู่ในสังคมต้องระวังด้านนี้เป็นพิเศษ อย่าให้คนเขามีความรู้สึกชนิดหนึ่ง
คือคล้ายกับว่าเป็นศาสนาอย่างหนึ่ง
แต่ข้าพเจ้าก็พบว่า
ชาวผิวขาวยุคใหม่ ดูเหมือนว่า พอมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ ก็บอกว่าท่านเป็นศาสนา
พวกเขาไม่มีมาตรฐานต่อแนวคิดด้านศาสนา
ศิษย์ ที่จริง
ระดับชั้นของการบำเพ็ญหยวนหมั่นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการข้ามด่านเป็นตายของเขา
อาจารย์ เรื่องนี้
ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยพูดอยู่ที่ฝ่าฮุ่ยออสเตรเลียแล้ว ที่จริงพวกท่านที่บำเพ็ญนั้นไม่ใช่รอจนผู้บำเพ็ญเดินไปถึงก้าวสุดท้าย
จึงจะดูว่าท่านสามารถหยวนหมั่นได้หรือไม่
แต่เป็นว่าในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญของคนๆหนึ่ง
ดูว่าคนๆนี้บำเพ็ญใช้ได้(ขาดอีกไม่มาก)แล้ว
ก็เริ่มดำเนินการทดสอบด่านนั้นของเขาว่าจะสามารถหยวนหมั่นได้หรือไม่ ดังนั้นจึงสำคัญมาก ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ละคนล้วนจะต้องประสบ และด่านนี้กล่าวสำหรับคนๆหนึ่ง แทบจะเป็นการทดสอบความเป็นตายทีเดียว แน่ละแต่ละคน เขาไม่แน่ว่าจะประสบ เช่นว่ามีคนจะฆ่าท่าน จะทำอะไรท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับตัวอย่างที่ข้าพเจ้ายกขึ้นมา ข้าพเจ้าว่า
พวกเราบางคนนั้นในเวลาที่สำคัญ สามารถปล่อยวางอนาคตของตน การงานอะไรเอย อาชีพอะไรเอยลงได้ ในช่วงเวลาที่สำคัญสามารถปล่อยวางได้
เช่นนั้นคนๆนี้ก็สามารถผ่านด่านนี้ได้แล้วใช่หรือไม่ คนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มิใช่เพื่อจะสามารถมีอนาคตในหมู่คนธรรมดาสามัญ มีอาชีพที่ตนเองพอใจ
กระทั่งความใฝ่ฝันของตนเองที่คิดจะบรรลุถึงระดับไหน ถ้าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่วางอยู่ตรงหน้าเขา
ในเวลาที่จะเกิดการคุกคามต่อเรื่องเหล่านี้จริงๆ เขาจะสามารถก้าวออกมาได้หรือไม่ ถ้าสามารถก้าวออกมาได้จริง นั่นมิใช่เดินข้ามด่านเป็นตายนี้ได้แล้วหรือ คนมีชีวิตอยู่มิใช่เพื่อสิ่งนี้หรือ เวลาที่
แม้แต่สิ่งนี้เขาก็สามารถปล่อยวางได้
ไม่เท่ากับเขาสามารถปล่อยวางความเป็นตายได้แล้วหรือ
คนสามารถจะปล่อยวางความเป็นตายในช่วงเวลาที่สำคัญได้หรือไม่ ปล่อยวางความกลัวต่อการสูญเสียความสุขตามที่เรียกกัน ก้าวออกมาได้จากตรงนั้น การปล่อยวางจิตใจนี้
นั่นมิใช่ด่านที่จัดไว้ให้ท่านหรอกหรือ ข้าพเจ้าขอบอกอีกครั้ง ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ คนอื่นทำไมจึงสามารถก้าวผ่านไปได้ละ แต่ท่านก้าวผ่านไปไม่ได้ละ ท่านยังรู้สึกว่าที่ท่านพูดได้ถูกต้อง
และยังจะชี้แนะคนอื่นอีก
ศิษย์ สามารถจะพูดได้หรือไม่ว่าทัศนคตินั้นคงอยู่ได้เพราะกรรม เมื่อไม่มีกรรมก็จะไม่มีทัศนคติแล้ว
อาจารย์ พวกมันทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างนี้
เมื่อคนเกิดมาความคิดจะบริสุทธิ์
การรับรู้ที่มีแต่เดิมอะไรซึ่งก่อเกิดหลังกำเนิดล้วนไม่มี สิ่งที่คนเข้าใจกันว่านี่ดี
นั่นไม่ดี
เรื่องนี้ควรทำอย่างไร
ทัศนคติของคนก็จะค่อยๆเกิดขึ้น
โดยเฉพาะคือบางคนยังสั่งสอนลูกให้ปกป้องตนเองกับผลประโยชน์อย่างไร จะจัดการกับคนอื่นอย่างไร เจตนาสั่งสอนบุตรธิดาให้เป็นคนชั่ว ยังถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้าเป็นผู้ใหญ่ตามปรกติ ถ้าไม่มีทัศนคติเหล่านี้ ท่านก็นับว่ามีสติสัมปชัญญะมากที่สุด อะไรๆท่านก็แจ่มแจ้ง อะไรก็รู้
ในการประเมินปัญหาทั้งหลายท่านจะไม่ตกอยู่ในทัศนคติใดๆ ทุกสิ่งที่พบ ที่ประสบ ที่เห็น
ท่านแค่มองปราดเดียวก็รู้
นั่นจึงเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง
นั่นจึงเป็นปัญญา
คนๆหนึ่งเมื่อประสบกับปัญหาอะไร
สามารถรู้ว่าจะไปจัดการอย่างไร
คิดพิจารณาอย่างไร
นั่นเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญเรียกว่าความฉลาด แต่นั่นไม่ใช่ปัญญา
นั่นเป็นทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิดชนิดต่างๆ
กระตุ้นให้ท่านเกิดความเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้นในการปกป้องสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว
แต่สิ่งนี้โดยตัวมันเองกลับทำเรื่องเลวได้ ทำให้ท่านก่อกรรม เพราะท่านจะปกป้องผลประโยชน์ของตน จึงก่อเกิดทัศนคติเหล่านี้
เช่นนั้นทัศนคติเหล่านี้ในเวลาที่กำลังทำเรื่องเลว มันก็จะก่อเกิดกรรม
ทัศนคติเหล่านี้จะชักนำพฤติกรรมของท่าน ในเวลาที่ท่านทำเรื่องอะไร มันสามารถก่อเกิดกรรม แต่กรรมไม่ใช่ทัศนคติ
บางคนรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตของตนเองไม่เลว บางคนรู้สึกว่าตนเองฉลาดมาก
มีความสามารถมาก ต่อสู้กับคนอื่นอย่างยากลำบากเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย
ที่จริงข้าพเจ้าเห็นว่าเขามีชีวิตอย่างทุกข์ยากมาก เขาไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เขารู้สึกว่าเขาฉลาดมาก บางครั้งเขาคิดจะทำเรื่องอะไร เขาก็เข้าใจว่าความคิดของตนกำลังทำ
ที่จริงเป็นทัศนคติของเขาที่ชี้นำเขา ควบคุมเขาอยู่ เขาไม่มีสันดานเดิมของตนเอง คนที่มีชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบัน ส่วนมากล้วนอยู่ในสภาพนี้ ไหนเลยจะมีที่เขามีชีวิตอยู่ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง คนก็เป็นเช่นนี้ เขาสลัดไม่พ้นแล้ว
ดังนั้นจึงก่อเกิดทัศนคติขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่มากหรือน้อยต่างกัน
ศิษย์ คนที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน ธาตุแท้ของคน มีที่มาต่างกันมากเหลือเกิน ใช่ไหมว่าคนที่ตกลงมาจากระดับชั้นที่ต่ำ ไม่มีสสารดั้งเดิมเหมือนกับที่ชีวิตที่มาจากระดับชั้นสูงมี
อาจารย์
คนล้วนอยู่ในเขตแดนนี้
แต่มีที่มาต่างกัน
ดังนั้นบางคนเขาไม่มีอนุภาคที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตดั้งเดิมของเขาในเขตแดนระดับชั้นที่สูงกว่า
ก็คืออนุภาคพื้นฐานที่สุดที่ก่อเกิดชีวิตนั้นต่างกัน
บางชีวิตไม่มีเขตแดนที่สูงเช่นนั้น
ไม่จุลทรรศน์ขนาดนั้น
ก็เป็นความหมายนี้
ดังนั้นนี้คือความแตกต่าง
แต่กล่าวสำหรับคนเหล่านี้ของเราที่นั่งอยู่ ท่านก็ไม่ต้องคำนึงถึงปัญหานี้เลย ท่านว่าชีวิตของฉันไม่จุลทรรศน์เหมือนของเขาใช่หรือไม่ ท่านไม่อาจบำเพ็ญได้สูงเพียงนั้น
ที่จริงท่านล้วนใช้ความคิดของคนจินตนาการ ก่อนอื่นคือท่านจะสามารถหวนกลับไปได้ไหม ท่านจะหยวนหมั่นได้ไหม เมื่อท่านหยวนหมั่นแล้ว เมื่อท่านสามารถกลับไปได้จริงๆ ท่านจะพบว่าท่านจะไม่มีความคิดนี้เลย
จักรวาลช่างใหญ่อย่างเหลือประมาณ
ไม่เหมือนอย่างความคิดแบบคนของท่านนั้น ช่างสูงไกลเกินเอื้อม ไม่ใช่เช่นนั้น ขอยกตัวอย่างหนึ่ง มีบางคน ไม่ว่าจะไปที่ไหน มักจะรู้สึกว่าบ้านของเขาดีกว่า เขาอยากกลับบ้าน การเปรียบเทียบนี้ยังไม่ค่อยตรงนัก ก็คือว่า ท่านจะไม่คิดแบบคนแล้ว
ท่านจะรู้สึกว่าสถานที่นั้นของท่านดีที่สุด
ที่ไหนก็ไม่ดีเท่า
ต่อให้สูงยิ่งกว่าก็ไม่ดีกว่าสถานที่นั้นของท่าน เขาจะมีความคิดอีกชนิดหนึ่งโดยสิ้นเชิง
ศิษย์ จะแยกแยะได้อย่างไร
ระหว่างปรากฎการณ์ชนิดนี้ของการหวนคืนกลับสู่ความจริงแท้ดั้งเดิมกับการแสดงความแปลกใหม่ออกมาเนื่องจากจิตยึดติดชนิดนั้น
อาจารย์
ให้ใช้สติปัญญาบวกกับใช้ฝ่าเปรียบเทียบ เรื่องที่ไม่สอดคล้องกับฝ่า
ทำงานของต้าฝ่าแต่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมของคนธรรมดาสามัญ นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ควรทิ้งไป หากทำเรื่องที่เป็นรูปธรรม บอกว่าในการหงฝ่า
มีวิธีการที่ดีที่สามารถทำให้คนได้ฝ่า
ทั้งไม่ทำลายภาพลักษณ์ของต้าฝ่าและไม่ฝืนคนมาศึกษาฝ่า นั่นล้วนเป็นเรื่องปรกติ ถูกต้องเหมาะสม ไม่มีจิตยึดติดกับเรื่องแสดงความแปลกใหม่คงอยู่
การคิดวิธีการต่างๆให้คนอื่นได้ฝ่า
เป็นการช่วยเหลือคนที่แท้จริง
เหมือนกับการที่คนคิดจะหยวนหมั่นหวนคืนกลับไปยังที่อยู่แต่เดิมของชีวิต นี่ล้วนไม่จัดเป็นจิตยึดติด ขอบอกทุกท่าน พวกท่านที่กำลังนั่งอยู่ ล้วนกำลังบำเพ็ญ แต่ละคนล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่
หรือพูดว่าพวกท่านล้วนมีจิตของคนธรรมดาสามัญ
ปัญหาที่ท่านถาม
ปัญหาที่ท่านคิด
ท่านพูดถึงคนอื่น
ระหว่างพวกท่านด้วยกัน
รวมทั้งตัวท่าน ย่อมจะมีจิตยึดติดทั้งนั้น เพราะพวกท่านล้วนมีใจของคนธรรมดาสามัญ หากคนๆหนึ่งที่ทำงานต้าฝ่า เพื่อแสวงหาชื่อเสียง
ผลประโยชน์
ข้าพเจ้าว่าหากใจดวงนี้ทิ้งไปไม่ได้ ก็ไม่อาจหยวนหมั่น แต่เมื่อพูดในทางกลับกัน ท่านก็จริงใจในการคิดทำงานเพื่อต้าฝ่า เช่นนั้นต้องให้ต้าฝ่ามาก่อน ต่อไปจึงเป็นความคิดของท่าน ถ้าท่านละเลยต้าฝ่า เอาแต่เน้นที่ตัวเอง ข้าพเจ้าว่านั่นก็ไม่ถูกต้อง ต้าฝ่าต้องเป็นอันดับแรก
ศิษย์ เจิน ซั่น เหริ่น
จะไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์
หากชีวิตเปลี่ยนไม่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้แม้แต่ เจิน ซั่น เหริ่น ก็เบี่ยงเบนด้วยได้ไหม
อาจารย์
ไม่ว่าชีวิตจะบริสุทธิ์หรือไม่
แต่ฝ่าจะไม่เปลี่ยนแปลง
พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน เจิน ซั่น เหริ่น สามคำนี้ ไม่ว่าเวลาใดเขาล้วนจะเป็น
เจิน ซั่น เหริ่น
ท่านไม่อาจอ่านเป็นอย่างอื่นได้
ถูกหรือไม่ พูดถึงว่า
เมื่อชีวิตห่างออกไปจากมาตรฐานของเขาใกล้หรือไกล นั่นเป็นปัญหาของชีวิต ดังนั้นพวกเราต้องปรับแก้ชีวิตที่เหินห่างจากฝ่าให้ถูกต้องอย่างต่อเนื่องตามฝ่า ฝ่าที่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าผสานกลมกลืน(หยวนหรง)
ศิษย์ ลูกของดิฉันอายุ ๑๕ แล้ว เนื่องจากดิฉันควบคุมเขาไม่ได้
ดิฉันได้แต่ให้เขาไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์ ดิฉันรักลูกของดิฉัน ยิ่งกว่านั้นดิฉันปรารถนาจะช่วยเขาไม่ว่าจะต้องทำเรื่องอะไร นี่เป็นจิตยึดติดหรือไม่
อาจารย์
ในขั้นตอนการบำเพ็ญของท่าน
ความรักชนิดนี้ของพ่อแม่
ไม่อาจมองได้ว่ามันเป็นจิตยึดติด
แต่ข้าพเจ้าก็ขอบอกเหล่าศิษย์ที่บำเพ็ญว่า
ที่จริงคนนั้นมีชีวิตของเขาเอง
ท่านสามารถพยายามทำอย่างเต็มที่ตามความรับผิดชอบในฐานะพ่อแม่ เด็กก็โตพอควรแล้ว ทัศนคติของเขาหรือเขาโตแล้ว เช่นนั้นท่านจึงยากจะเปลี่ยนแปลงเขาได้อีก แน่ละการสั่งสอนเขา เป็นสิ่งที่ตนเองควรทำ หากท่านสอนเขาไม่ได้จริงๆแล้ว เขาจะทำเรื่องอะไรให้ได้ ท่านก็ไม่มีทางทำอะไรได้ เพียงเขาไม่ทำผิดกฎหมาย
ท่านก็ไม่มีทางจริงๆ
แน่ละเมื่อเขาทำผิดแล้ว
ท่านสามารถใช้กฏหมายยับยั้งเขา
แต่หากเขาไม่ทำผิดกฎหมาย
แต่สิ่งที่เขาทำก็ไม่ดี
จะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่ฟัง
ท่านก็จะทำอะไรไม่ได้จริงๆ นอกเสียจากเขาจะศึกษาต้าฝ่า
คนต่างก็มีชะตาชีวิตของตน ใครก็เปลี่ยนแปลงผู้อื่นไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นบุตรธิดาของท่านเอง
ท่านบอกว่าฉันคิดจะให้อนาคตของเขาเป็นอย่างไรๆ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน
ถึงท่านจะเหลือทรัพย์สมบัติให้เขาร้อยล้าน ถ้าเขาไม่มีโชควาสนานั้น ก็จะถูกไฟไหมหมดในคราวเดียว หรือจะถลุงเงินของท่านจนหมดอย่างรวดเร็ว เขาต้องมีโชควาสนานั้นที่จะสืบทอด จึงพูดว่าแต่ละคน
เขาต้องมีชีวิตอย่างนี้
ที่จริงบางคนคิดว่า
บุตรธิดาของฉันนั้น
ฉันคิดจะให้เขาไปเรียนหนังสือที่ไหน ผ่านการมุมานะฉันให้เขาทำได้ในที่สุด ที่จริงในชีวิตเขามี
แต่ท่านยึดติดไม่อาจปล่อยวางการมุมานะชนิดนั้น
ก็เป็นพฤติกรรมหนึ่งที่จะต้องทำของคนธรรมดาสามัญ
เพราะคนไม่อาจนอนอยู่บนเตียงรอขนมเปี้ยะหล่นลงมาจากสวรรค์ได้อย่างแน่นอน แม้จะบอกคนว่า
พอถึงเวลาจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่เชื่อ
ดังนั้นคนยังคงจะไปวิ่งเต้นเหมือนเดิม ไปทุ่มเท คนก็คือคน ดังนั้นการทุ่มเทของเขาจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ เราสามารถสั่งสอนต่อได้ ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยากจะสั่งสอนได้ นั่นก็ไม่อาจถือเป็นความผิดของท่าน
ศิษย์ สำหรับคนที่ถูกจิตสำนึกรองควบคุม
มีวิธีอะไรที่จะช่วยให้จิตสำนึกหลักของเขาเข้มแข็งยิ่งขึ้นได้
อาจารย์ ข้าพเจ้าเคยพูดกับทุกท่านแล้ว
ข้าพเจ้าจะรับผิดชอบต่อผู้บำเพ็ญเท่านั้น ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญจะไม่มีปัญหานี้อยู่ เมื่อก่อนท่านมีอยู่ เมื่อก่อนท่านไม่ได้บำเพ็ญ แต่เดี๋ยวนี้ท่านบำเพ็ญแล้ว ท่านก็ต้องบำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย ปล่อยวางทุกสิ่งลงเสีย
สนใจแต่ไปบำเพ็ญ ปัญหาอะไร
ก็จะแก้ไขได้หมด
เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง
หากท่านฝึกพลังเพียงเพื่อจะแก้ไขปัญหานี้ นั่นก็ใช้ไม่ได้ เพราะท่านไม่ใช่ผู้ฝึกพลัง
ผู้บำเพ็ญโดยแท้จริง
ท่านยังคงฝึกพลังโดยมีองค์ประกอบของความหมายมั่นที่จะแก้ไขเรื่องนี้อยู่ข้างใน ท่านมีใจเล็กน้อยอยู่ในนั้น ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้บำเพ็ญที่แท้จริง
พูดถึงว่ามีวิธีการอะไร
ทุกท่านทราบว่าผู้ฝึกของเรามีนับร้อยล้าน ในจำนวนร้อยล้านคนนี้ มีที่ร้ายแรงกว่าปัญหานี้ไม่รู้เท่าไร แต่ก็แก้ไขได้หมดแล้ว และปัญหานี้ของท่าน
ก็ไม่แน่ว่าคนที่หมายถึงนี้เป็นปัญหาของจิตรอง
ท่านยังไม่ทราบสภาพการณ์ที่แท้จริงของเขา ดังนั้นข้าพเจ้าพูดแล้วว่า
ถ้าบำเพ็ญอย่างแท้จริงแล้ว
ก็ต้องปล่อยวางมันลงอย่างแท้จริง
ไม่คิดอะไรทั้งนั้น แต่ว่า
คงทำได้ยาก
เพราะเรื่องราวใดๆล้วนมีความสัมพันธ์กับเหตุ ไม่ใช่ความบังเอิญ
หรือว่าเมื่อก่อนเขามีความแค้นเคืองกับใคร ดังนั้น จึงยังต้องปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้บำเพ็ญจริงๆ
แต่อาจยังจะประสบกับทุกข์ภัยอย่างนี้
ต่อเนื่องไประยะหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็ต้องดูว่าเขาปฏิบัติต่อปัญหานี้อย่างไร ใจแน่วแน่หรือไม่ ไม่สนใจมันได้จริงแล้ว แน่วแน่ได้แล้ว
เป็นสภาพจิตใจของผู้บำเพ็ญที่แท้จริงแล้ว
เช่นนั้นในขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวอาจจะไม่มีอะไรอีกแล้ว ก็อาจจะปรับแก้อะไรๆให้ท่านเสร็จแล้ว ดังนั้นการบำเพ็ญจึงเข้มงวดอย่างยิ่ง ไม่ใช่การล้อเล่นอย่างแน่นอน ไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน ที่จ่ายเงินสักหน่อย บอกให้ใครจัดการปัญหาอะไรให้ สิ่งนี้จะใช้เงินแลกมาไม่ได้
ศิษย์ คนที่หลงใหลอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ
แต่มีรากฐานไม่เลว
ใช่ไหมว่าเมื่อความจริงปรากฏแล้วยังจะมีโอกาสเป็นคนได้ต่อไปอีก
อาจารย์
เรื่องเหล่านี้ท่านคิดมากเกินไป
ล้วนเป็นเรื่องของอนาคต
เมื่อสรรพชีวิตของจักรวาลเบี่ยงเบนออกไปจากฝ่า เช่นนั้นเมื่อจักรวาลกำลังเจิ้งฝ่า
ดังนั้นชีวิตในระดับชั้นต่างๆที่ไม่สอดคล้องก็จะตกลงไปจากระดับชั้นของเขา หากยังไม่สอดคล้องอีก ก็จะตกลงไปอีก ตกลงไปอีก บ้างก็ตกระดับชั้นไป บ้างก็ตกลงมาเป็นคน บ้างก็ไม่อาจเป็นได้แม้กระทั่งคน
ก็คือว่าสรรพชีวิตทั้งหมดล้วนกำลังจัดวางตำแหน่งที่ต่างกันของตนเอง นั่นเป็นพฤติกรรมของพวกเขา
ซึ่งเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ที่แท้จริงของเขตแดนของพวกเขาเอง ทุกวันนี้
พฤติกรรมทั้งหลายในสังคมมนุษย์ ล้วนมีมาตรฐานหนึ่งในการประเมิน
หรือพูดได้ว่าคนก็กำลังจัดวางตำแหน่งในอนาคตที่แตกต่างกันของตนอยู่ สังคมมนุษย์ไม่อาจเสื่อมอย่างนี้ไปตลอดกาล บางชีวิตย่อมจะต้องทำลายทิ้งไป เช่นนั้นก็จะมีบางคนบำเพ็ญขึ้นไป และบางคนอาจจะเป็นคน และบางคนอาจจะเป็นอะไรอื่น หรือพูดว่า ท่าทีของชีวิตทั้งหลายที่แสดงออกมาต่อต้าฝ่า
ล้วนเป็นการจัดวางตำแหน่งให้กับตัวเองอยู่
ศิษย์ หลายๆ ครั้งรู้โดยหลักการว่าควรจะไปทำอย่างไร
แต่กลับไม่ได้ออกมาจากส่วนลึกของกมลสันดานของตน จนกระทั่งไม่สามารถทำให้คนตื้นตันใจ
อาจารย์ ในระหว่างที่ท่านอยู่ในขั้นตอนการบำเพ็ญ
บางครั้งจะแสดงออกมาว่าไม่หวั่นไหวต่อคนธรรมดาสามัญ ต่อเรื่องบางอย่างในโลก เนื่องจากผู้ฝึกก็มีใจของคนธรรมดาสามัญอยู่ ระหว่างผู้ฝึกด้วยกันในขณะพูดคุยเรื่องอะไรต่างๆ
บางครั้งก็รู้สึกน่าเบื่อ
ก็อาจเกิดสภาพการณ์นี้ แต่ในการศึกษาฝ่าหากไม่รู้สึกสนใจ
นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว หรือในเวลาที่ทำงานของต้าฝ่า ถ้าสิ่งที่พูดอยู่ในฝ่า
ก็จะทำให้คนตื้นตันใจได้
ถ้าสิ่งที่พูดไม่อยู่ในฝ่าก็จะไม่อาจทำให้คนตื้นตันใจได้
ศิษย์ ผู้ฝึกตะวันตกคิดจะศึกษาต้าฝ่า เนื่องจากขณะนี้กำลังศึกษาหวางตี้เน่ยจิง(คัมภีร์ภายในของพระเจ้าหวังตี้) ของแพทย์แผนจีน เป็นเนื้อหาในชั้นเรียน เขาอยากถามว่า อย่างนี้จะกระทบหรือไม่
อาจารย์
ไม่กระทบ ทำไมไม่กระทบ เพราะแม้จะเป็นสภาพการณ์ชนิดนี้ พวกเราล้วนถือว่ามันเป็นการงาน เป็นเรื่องในสังคมคนธรรมดาสามัญ
ดังนั้นที่ท่านศึกษาเป็นเพียงความสามารถของคนธรรมดาสามัญ สำหรับเรื่องนี้ เราจะมีวิธีจัดการอีกอย่างหนึ่ง จะไม่กระทบ
ศิษย์ ในขณะที่การนั่งขัดสมาธิสองขายังเป็นช่วงระยะที่ยากเย็นมาก ใช่ไหมว่าจะสามารถทำให้โจวเทียน(วงจรสวรรค์)ใหญ่โล่งได้
อาจารย์
คือพูดว่าในขณะที่ท่านรู้สึกทรมานมากกับการนั่งขัดสมาธิ โจวเทียนจะเปิดโล่งได้หรือไม่ คือความหมายนี้กระมัง
ในการบำเพ็ญจะไม่มีการจัดวางที่เหมือนกันอย่างตายตัวชนิดนี้ ในขณะบำเพ็ญ ไม่ว่าท่านจะทรมานอย่างไร
ล้วนไม่อาจเป็นรูปแบบที่คงอยู่แบบธรรมดาๆอย่างหนึ่ง ในขณะที่ท่านเจ็บปวดอยู่
คือการแสดงออกของการสลายกรรม ในขณะเดียวกันร่างกายของท่านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะฝึกพลัง
นี่ล้วนเป็นการเสริมประกอบซึ่งกันและกัน แต่หากท่านบอกว่าบางครั้งพวกเรากดขาไว้ เวลาที่ไม่ได้ฝึกพลังก็ขัดขาไว้
เนื่องจากพวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญ
สามารถจะใช้ทุกโอกาสที่จะให้ท่านยกระดับได้ตลอดเวลา
ศิษย์ สมมติว่าวันหนึ่งศิษย์เป็นเป้าหมายที่ถูกคนทำร้าย ควรจะไปศึกษาฝ่าอย่างไร
อาจารย์ ในสถานการณ์ใดๆก็ต้องยืนหยัดบำเพ็ญต้าฝ่าก็จบเรื่องแล้ว ทำไมต้องคิดว่าจะถูกคนทำร้ายละ ท่านในฐานะผู้บำเพ็ญ ไม่ว่าข้างตัวท่านหรือเรื่องต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ท่านไปวิเคราะห์ให้ละเอียด ก็ล้วนจะมีเหตุผลของมัน
ศิษย์ ความหมายของการออกนอกภพหลายครั้งคืออะไร
อาจารย์ ความหมายนี้พูดถึงการบำเพ็ญซ้ำแล้วซ้ำอีกใช่ไหม ที่จริงก็เป็นเช่นนี้
ต้องบำเพ็ญเรื่อยไปจนถึงเขตแดนนั้นที่ควรจะหยวนหมั่น เทพบนสวรรค์จะไม่สร้างอุปสรรคให้ท่าน
หรือพูดว่าท่านต้องบำเพ็ญอยู่ที่นี่ของคน เพื่อบรรลุถึงระดับชั้นที่สูงมาก
เมื่อบำเพ็ญผ่านไปหนึ่งรอบก็หวนกลับมาบำเพ็ญต่ออีก ตราบจนถึงมาตรฐานที่ท่านสมควรบรรลุถึง
พลังข้างบนก็โตขึ้น มันกำลังทะลวงระดับชั้น
แต่การบำเพ็ญของท่านยังคงบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ก็คือความหมายนี้ มีสภาพการณ์อย่างนี้
แต่ไม่ใช่อย่างนี้ทั้งหมด
ศิษย์ ผู้ฝึกบางคนสนใจเป็นพิเศษต่อวงกลมที่โตออกมาจากหน้าผาก
นี่เกี่ยวข้องกับการออกนอกภพหลายครั้งหรือไม่
อาจารย์ ไม่ใช่เช่นนั้น ที่จริงคนอยู่ในระหว่างบำเพ็ญ
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในแต่ละระดับชั้นล้วนจะมีสภาพการณ์ของระดับชั้นหนึ่งๆคงอยู่ ซึ่งล้วนไม่เหมือนกัน หากท่านสามารถจะมองเห็นทัศนียภาพของการบำเพ็ญของตนเอง ก่อนอื่นก็คือจะสะดุ้งตกใจ ต่อมาใจของท่านก็จะเริ่มทนไม่ไหว เทพกับพระพุทธที่ยิ่งใหญ่นั้น
เป็นทัศนียภาพที่สง่างามและน่าเกรงขาม
บวกกับภาษาของมนุษย์ไม่อาจจะบรรยายสภาพการณ์ที่ซับซ้อนชนิดนั้นได้เลย
ปรากฎการณ์ของลักษณะภายนอกที่แสดงออกมาอย่างเป็นรูปธรรมของระดับชั้นที่ต่างกันนั้น คนจะรับไม่ไหว ทุกท่านทราบ แต่ละระดับชั้นล้วนมีรูปแบบที่แสดงออกมาต่างกัน จากศีรษะจนถึงเท้า
ยังรวมถึงสนามรอบตัวท่านล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง ดังนั้นบางคนเมื่อทะลวงได้อย่างรวดเร็ว ระดับชั้นเลื่อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น นั่นจะเปลี่ยนแปลงรายวัน
ทุกท่านอาจสามารถเห็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ เป็นอย่างนี้ คือ บนศีรษะของพระพุทธมี ๔ เศียร จากนั้นบนเศียรทั้งสี่จะมีอีก ๓
เศียร และบน ๓
เศียรนั้นก็มีอีก ๒ เศียร และบน ๒
เศียรนั้นก็มีอีกหนึ่งเศียร
คล้ายกับอรหันต์ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ
นั่นก็เป็นรูปลักษณ์ที่เป็นจริงของพระพุทธ
ซึ่งเป็นรูปแบบที่แสดงออกมาในระดับชั้นที่ต่างกัน ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
ซึ่งล้วนไม่อาจใช้ความคิดของคนจินตนาการออกมาได้
ศิษย์ รู้ว่าการบำเพ็ญต้องทนทุกข์มาก แต่ยังรักการดำเนินชีวิต ใฝ่หาสิ่งที่ดี คิดจะทำงานให้ดี นี่เป็นจิตยึดติดหรือไม่
อาจารย์ ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ถือเป็นจิตยึดติด
ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ท่านปล่อยวางความงดงามของชีวิต ไม่มีความใฝ่ฝัน ไม่ทำงานให้ดี ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ายังบอกให้ท่านทำงานของท่านให้ดี หากท่านทำงานของท่านไม่ดี ท่านจะเป็นคนดีได้อย่างไรกันละ ท่านอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นคนดี
จึงจะเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเพียงบอกกับทุกท่าน ในขั้นตอนการบำเพ็ญ ท่านเพียงแต่อ่านหนังสือให้มาก ศึกษาฝ่าให้มาก บำเพ็ญตัวเอง ในขณะข้ามด่าน ผ่านความยากลำบาก
สามารถจะกำหนดตนเองอย่างเข้มงวดได้ เมื่อพบความขัดแย้ง ให้ค้นหาจากใจตนเอง ท่านเพียงแต่ทำเช่นนี้ เขตแดนของท่านก็จะค่อยๆยกระดับขึ้น ปัญหาต่างๆที่ท่านถาม ก็จะมีวิธีมองใหม่ๆ การรับรู้ใหม่ๆ
และนี่หาใช่มาจากตัวท่านเองจงใจจะให้เป็นอย่างไร คือในการบำเพ็ญของท่าน
มันจะเกิดการเลื่อนระดับชั้นชนิดนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
และการปรากฏออกมาของการรับรู้ใหม่
ศิษย์ หนูเป็นศิษย์ยุวชนอายุ ๑๐ ขวบของท่าน เวลาที่หนูฝึกพลัง ขาของหนูมักจะขยับบ่อยๆ พอบังคับมัน การเคลื่อนไหวก็จะหยุด
อาจารย์ นี่ล้วนเป็นสภาพการณ์ชั่วคราว
เพราะเป็นเด็กใช่ไหม
การขัดขาจะไม่เป็นเหมือนอย่างผู้ใหญ่
ที่ให้ท่านปวดแทบเป็นแทบตาย แต่ก็จะมีสภาวะของการสลายกรรม บางทีจะไม่ปวดมาก เป็นปรากฎการณ์ของสภาวะหนึ่ง ต่อไปจะดีเอง
ศิษย์ อาจารย์กล่าวถึงแนวคิดเรื่องสสารเหนือสสารว่ามันเป็นสสารยิ่งกว่าสสารของมิติของเรานี้
อาจารย์ สนใจเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว
อาจารย์ไม่ได้บรรยายวิชาฟิสิกส์อยู่นะ ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดถึงโครงสร้างของจักรวาล
เมื่อมันสัมพันธ์กับสภาวะนั้นของการเลื่อนระดับชั้นของพวกท่านที่แสดงออกมาในปัจจุบัน
ข้าพเจ้าจึงได้พูดถึงโครงสร้างของจักรวาล
ดังนั้นอย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้
หากบรรยายโครงสร้างทั้งหมดของจักรวาลให้กับพวกท่านในขณะนี้ เทออกมาให้พวกท่านทั้งหมด นั่นเป็นไปไม่ได้ และจักรวาลช่างซับซ้อนเหลือเกิน
ภาษาของมนุษย์ก็ไม่อาจบรรยายมันออกมาได้ ในการบรรยายฝ่าที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ข้าพเจ้าเคยบรรยายถึงจักรวาลนี้
ในขณะที่พูดนั้น
อธิบายให้ชัดเจนได้ยากมาก
ตอนที่ออกหนังสือข้าพเจ้าได้แก้ไขมันอย่างละเอียด
พวกท่านลองอ่านหนังสือเล่มนั้นดูจะเข้าใจกว่า ที่จริงก็สามารถพูดได้แค่ระดับนั้น ไม่มีภาษาที่จะบรรยายให้ชัดเจนได้อีกแล้ว และเมื่อใช้ภาษาของคนธรรมดาสามัญ
พอพูดออกมาก็ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้นแล้ว
ศิษย์ ผมมักได้ยินเสียงดนตรีของฝ่าหลุนกงอยู่เสมอ บางครั้งเกิดขึ้นขณะหลับ
อาจารย์ นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ดี เพราะดนตรีของต้าฝ่า
ในการบำเพ็ญมันได้ปรากฏด้านหนึ่งของฝ่าออกมาแล้ว และมีความนัยของฝ่าอยู่ข้างหลังด้วย
ศิษย์ ฝ่าฮุ่ยที่แคลิฟอร์เนียเมื่อต้นปีท่านอาจารย์พูดถึงสี่ธาตุใหญ่
จะพูดให้ฟังอีกได้หรือไม่
อาจารย์ ที่จริง ๔ ธาตุใหญ่ก่อนอื่นนั้นคือสิ่งที่องค์ศากยมุนีพุทธ
ตรัสออกมา ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ๔
ธาตุใหญ่นี้
มันเป็นปรากฎการณ์ของมูลเหตุการคงอยู่ของจักรวาลในเขตแดนนั้น แต่มันไม่ใช่มูลเหตุสุดท้าย ดังนั้นกล่าวสำหรับพวกท่าน ก็เหมือนกับจักรวาลหนึ่ง เมื่อท่านมองเห็นจักรวาลทั่วทั้งหมด
ก็คิดว่านี่ก็คือจักรวาล
ที่จริงมันเป็นเพียงขอบเขตของจักรวาลเล็กอันหนึ่ง จักรวาลที่เหมือนกันนี้มีนับไม่ถ้วน
กระจายอยู่ทั่วไปหมดในขอบเขตของจักรวาลที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ก็เหมือนกับโมเลกุลที่มีอยู่เต็มไปหมดในทุกสิ่งของมิตินี้
ทุกสิ่งทั้งหมดที่นี่ล้วนสร้างขึ้นจากโมเลกุล ก็คือแนวคิดนี้ มันเป็นรูปลักษณ์ชนิดหนึ่งของจักรวาลที่ปรากฏออกมาในเขตแดนที่แน่นอนหนึ่ง
แต่ในเขตแดนนั้นมีฝ่าของต้าฝ่าในระดับชั้นนั้นที่ปรากฏออกมา เพราะในเขตแดนนั้นของเขา ถ้าไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของฝ่าแล้ว เช่นนั้นในเขตแดนที่ต่ำกว่าเขา
ทั้งระบบก็ใช้ไม่ได้แล้ว
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่า ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน
เนื่องจากการเบี่ยงเบนจากฝ่า ๔ ธาตุใหญ่นั้น ก็เสื่อมสลายไปแล้ว
เหมือนกับจะดับสลายไป
แต่นี่เป็นเรื่องของอดีต ที่ได้แก้ไขใหม่ทั้งหมดแล้ว
ศิษย์ ชีวิตไม่มีเพิ่มหรือลดลง จะคงอยู่ในร่างนภาของจักรวาลที่แน่นอนหนึ่ง....
อาจารย์ ชีวิตไม่เพิ่มไม่ลด
นี่แน่นอนทีเดียว
หากชีวิตหนึ่งในเขตแดนนั้นถูกทำลายทิ้ง
เช่นนั้นในระดับชั้นเดียวกันจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น ที่จริงโลกในประวัติศาสตร์
ไม่เคยมีคนมากขึ้นแม้แต่คนเดียว
และไม่เคยมีคนน้อยลงไปแม้แต่คนเดียว แต่ปัจจุบันหากพูดขึ้นมา
คนก็ไม่เชื่อ
ประเทศจีนยังพูดเรื่องการคุมกำเนิด
เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับนโยบายการเมืองบางอย่างของประเทศจีน เรื่องเหล่านี้เราก็จะไม่พูด ปัจจุบันคนในสังคมตะวันตกมีน้อยมาก บางทีล้วนกลับชาติไปเกิดที่นั่นเพื่อจะได้ฝ่าแล้ว(เสียงปรบมือ)
ที่จริงไม่ว่าท่านจะเป็นชาวยุโรป อเมริกา อาฟริกา ออสเตรเลีย หรือว่าเอเซีย ท่านก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนผิวเหลือง ท่านก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนผิวขาว ดังนั้นสังคมอเมริกันจึงมีคนผิวขาวมากมายที่เป็นคนผิวดำหรืออินเดียนแดงกลับชาติมาเกิด
คนผิวดำหลายคนยังเป็นคนผิวขาวกลับชาติมาเกิด ดังนั้นนี่ก็คือทำไมพวกเขา
ในหมู่คนผิวขาวจึงมีหลายคนปกป้องผลประโยชน์ของคนผิวดำ
ศิษย์ อาจารย์พูดว่า ทัศนคติของคนจะควบคุมคนชั่วชีวิต ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะควบคุมเรื่อยไป
อาจารย์ เป็นเช่นนี้
ข้าพเจ้าเคยพูดอย่างนี้ว่า
คนผิวขาวที่ได้ฝ่านั้น
ท่านบอกเขาในแง่หลักการ
พอเขาดู อ้อ เข้าใจแล้ว นี่เป็นสัจธรรม ก็คือจากหลักการ ในทันใดก็ทำลายทัศนคตินี้ที่เกิดขึ้นหลังกำเนิดของเขา เปลือกนอกที่ขวางกั้นสัจธรรม ทำให้มองไม่เห็นสัจธรรม
ก็เปิดออกได้ในฉับพลัน
แต่คนจีนนั้นไม่เหมือนกัน
คนจีนเขามีทัศนคติโบราณ
มีประวัติอารยธรรม ๕ -๖ พันปี
นับแต่ปราชญ์นับร้อยสำนักเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันมีทฤษฎีมากมาย ก่อนปราชญ์ร้อยสำนักยังมีความเชื่อในสิ่งต่างๆ
ซึ่งก่อเกิดเป็นทัศนคติต่างๆ สิ่งที่ก่อเกิดในแต่ละชาติภพนี้ล้วนสะสมอยู่ในชีวิตโดยรวมของท่าน ชีวิตของท่านไม่อาจตาย กายเนื้อนี้ เขาเป็นเพียงการหมุนเปลี่ยนในแต่ละชาติ เหมือนเสื้อผ้า
ในแต่ละชาติสภาพการณ์กับความรู้สึกนั้นที่มีอยู่ก่อนกำเนิดก็จะแสดงออกมา แน่ละคนธรรมดาสามัญนั้นไม่อาจรู้สึกได้
วัฒนธรรมของคนจีนก็ลึกซึ้งยาวไกล มีสิ่งของที่เป็นของหลายยุคหลายสมัย
สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชาวจีนมีประสบการณ์มากเหลือเกิน การที่จะขจัดทัศนคติเหล่านั้นจึงยากมาก ท่านบอกเขาว่าเป็นสัจธรรม เขาเข้าใจแล้ว อ้อ เป็นอย่างนี้เอง แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนี้ละ ท่านก็บอกเขา เป็นเพราะอย่างนี้จึงเป็นอย่างนั้น อ้อ เข้าใจแล้ว พอหันกลับมาก็คิดอีก
แล้วทำไมเพราะอย่างนี้จึงเป็นอย่างนั้นละ ท่านต้องตีแตกให้เขาทีละชั้น
ทีละชั้นจนถึงที่สุด อ้อ เขาเข้าใจหมดแล้ว
ไม่มีปัญหาแล้ว
ดังนั้นบางครั้งข้าพเจ้าพบว่าชนชาติที่มีความนัยของวัฒนธรรมที่ใหญ่มาก เขาจะฉลาด เพราะเขามีประสบการณ์มากเหลือเกิน แต่ท่านจะให้เขารับรู้สัจธรรม
เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะก่อผลด้านลบ
อย่างเช่นคนผิวขาวในสังคมตะวันตก
ความคิดของเขาเรียบง่ายมาก
เขาไม่มีความนัยที่ มากอย่างนั้น
ไม่มีอุปสรรคมากอย่างนั้น
หลังจากเขารู้ว่าเป็นสัจธรรม
เขาก็เข้าใจได้ในทันที
ศิษย์ ลุ่นอวี่ที่ขงจื่อประพันธ์ จะปรากฏขึ้นในสมองเสมอ จึงพยายามยับยั้งมัน ผมทำถูกหรือไม่
อาจารย์
ในฐานะผู้บำเพ็ญ ท่านทำถูกแน่นอน
ขงจื่อเพียงพูดหลักการในการเป็นคน
ที่จริงความคิดทัศนคติของศาสนาหยูของชาวจีนนั้นแรงมาก ทุกสิ่งอาจจะกำลังปรับเปลี่ยนใหม่ อย่างไรเสียมันก็เป็นของๆคน ปัดทิ้งไป ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญ เพราะสิ่งที่ท่านจะได้คือหลักการของฝ่าที่บริสุทธิ์ที่สุด
ที่สูงกว่า มัน(ลุ่นอวี่ของขงจื่อ) จะดีอย่างไรก็เป็นของๆ
มนุษย์ ก็คือความหมายนี้ หากมันรบกวนท่านบำเพ็ญ ปรากฏออกมาในสมองท่านอย่างต่อเนื่อง
กระทบการบำเพ็ญของท่านแล้ว เช่นนั้นก็ยับยั้งมัน ปฏิเสธมัน ข้าพเจ้าขอบอกท่าน
ไม่ใช่ปฏิเสธความคิดของสายใด ข้าพเจ้ากำลังบอกผู้บำเพ็ญว่าจะบำเพ็ญอย่างไร
คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่กำลังบำเพ็ญ
ข้าพเจ้ากำลังบรรยายฝ่าให้ศิษย์ผู้บำเพ็ญของข้าพเจ้า
ไม่ใช่บรรยายให้กับคนธรรมดาสามัญ จุดนี้พวกท่านต้องแยกแยะให้ชัดเจน
ศิษย์ สามีของดิฉันเป็นอาจารย์ชี่กงของหลักพลังชนิดอื่น แต่ละครั้งที่ดิฉันชำระกรรม
เขาจะใช้หลักพลังของเขาช่วยรักษาอาการป่วยของดิฉันเสมอ
อาจารย์ ทุกท่านทราบ ที่ข้าพเจ้าเน้นคือจิตใจหนึ่ง ท่านว่าฉันแน่วแน่บำเพ็ญต้าฝ่า ของๆเธอฉันไม่ยอมรับ เราสามารถเป็นสามีภรรยากันได้ แต่ในการบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเข้มงวด ในด้านวิธีการ
ท่านไม่อาจหลีกเลี่ยงที่เขาจะทำอย่างนั้นให้ได้ ผู้ชายลำแขนใหญ่ กำลังมาก ท่านปฏิเสธไม่ให้ทำไม่ได้
เช่นนั้นหากใจท่านเองแน่วแน่จริงดังว่า
ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องราวก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ในเวลาเดียวกันเขาจะให้ท่านทำให้ได้จริงๆ เช่นนั้นจะไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น อาจารย์ล้วนดูอยู่ จะช่วยต้านทานให้ท่านได้ง่ายมาก ซึ่งเขาจะมองไม่เห็น
ศิษย์ ในขณะฝึกพลัง
ในความคิดมีการคิดวุ่นวาย
จะชักนำให้เกิดการฝึกวิชามารโดยไม่รู้ตัวได้หรือไม่
อาจารย์
ในความคิดมีการคิดวุ่นวาย
นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เราแต่ละคนล้วนจะมีอยู่ในขั้นตอนของการฝึกบำเพ็ญ เรื่องนี้จะไม่กระทบ แต่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงว่าจะทำให้ท่านฝึกได้ไม่ดี ฝึกสิ่งที่ไม่ดี เนื่องจากในความคิดของท่าน
ในขณะที่ฝึกพลังอยู่
มีเจตนาเพิ่มเติมสิ่งที่เป็นการบำเพ็ญชนิดอื่นเข้าไป หรือถูกจิตสำนึกอื่นควบคุม นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว
เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญจะไม่ก่อเกิดอะไรขึ้นมาได้ แต่ต้องผลักไสความคิดวุ่นวายทั้งหลายออกไป
ศิษย์ ในขณะฝึกสมาธิ
การเกิดความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในเปลือกไข่นั้น
ใช่หรือไม่ว่าต้องหลังจากขาไม่ปวดแล้วจึงจะเกิดขึ้นได้
อาจารย์ นั่นก็ไม่แน่
หากพูดว่าท่านสามารถนั่งได้เพียงครึ่งชั่วโมง ภายในครึ่งชั่วโมงไม่รู้สึกปวด ภายในครึ่งชั่วโมงก็อาจเกิดขึ้นได้
ในวันใดที่สงบได้ถึงสภาวะนั้นแล้ว
ผ่อนคลายได้ถึงสภาวะนั้นแล้ว
ก็อาจจะเข้าสู่สภาวะนั้นได้
แต่มันไม่แน่ว่าจะต้องเป็นอยู่เช่นนั้นนาน บางทีอาจเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาที ไม่กี่นาทีจากนั้นก็ออกจากสภาวะนิ่งแล้ว ก็อาจเป็นเช่นนี้ได้
ศิษย์ หลายครั้งตนเองออกห่างจาก เจิน
ซั่น เหริ่น โดยไม่รู้สึกตัว จิตยึดติดหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกๆถูกจิตยึดติดอื่นที่อยู่ภายนอกบดบังเอาไว้
อาจารย์ นี่ไม่เป็นไร ท่านวางใจได้ ขอเพียงท่านยืนหยัดไปบำเพ็ญ
ท่านจะสามารถรู้ว่าจะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างไร
ท่านจะสามารถรับรู้ได้ถึงความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ได้ ผลักไสมันเสีย ท่านก็เท่ากับอยู่ในการบำเพ็ญ ก็เกรงแต่ว่าจะยึดติดไม่ยอมวาง
เรื่องอื่นจะไม่เป็นอย่างนี้อย่างนั้นเพราะเหตุนี้ เพราะท่านกำลังบำเพ็ญ ท่านก็กำลังบำเพ็ญอยู่จริงๆ
ศิษย์ จิตที่ไม่ดีทั้งหลายของศิษย์ล้วนจะเผยออกมาทั้งหมดใช่หรือไม่
อาจารย์
เรื่องนี้แน่นอนทีเดียว
ข้าพเจ้าต้องให้ท่านเผยออกมา
ก็เกรงแต่ว่า เมื่อถึงเวลาท่านจะข้ามไปไม่ได้ เมื่อเผยออกมา ค้นพบจิตที่ไม่ดีนี้ รู้ว่าเป็นจิตที่ไม่ดี ท่านก็อย่าไปปกปิดมัน ท่านต้องทิ้งมันไป เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น ก็คือการที่ข้าพเจ้าต้องการบอกท่านว่า
จิตนั้นออกมาแล้ว
แต่พวกท่านล้วนไม่ไปพิจารณาตนเอง
มักจะไปค้นหาว่าคนอื่นไม่ดีต่อท่านที่ตรงไหน คนอื่นไม่ถูกต้องอย่างไรแล้ว ไม่สอดคล้องกับความเห็นของตนเองอย่างไรบ้าง ไม่สอดคล้องกับความคิดของตนบ้าง
ในเวลานั้นหากท่านจะมองตัวเองก็จะสามารถมองเห็นได้
ศิษย์ หลังจากมนุษย์ในอนาคตฟื้นคืนมาตรฐานศีลธรรมแล้ว ระดับชั้นของชีวิตจะปรากฏออกมาใหม่ใช่ไหม
อาจารย์ ชีวิตที่ปรากฏออกมาในระดับชั้นที่ต่างกัน จะมีความสามารถที่ต่างกัน ระดับชั้นของมนุษย์จะตัดสินโดยความมากน้อยของ
ความดีกับความชั่ว และ กุศลกับกรรมของตนเอง ในโลกนี้ชีวิตมนุษย์สูงกว่าสัตว์และพืชทั้งหลาย
ข้าพเจ้าก็พบว่ามีอยู่เรื่องหนึ่ง
มีชาวจีนมากมาย
โดยเฉพาะชาวจีนนอกแผ่นดินใหญ่ มีทัศนคติที่แรงมากต่อครอบครัว
ต่อวงศ์ตระกูล
แรงกว่าฝ่าเสียอีก
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า นี่เป็นอุปสรรคหนึ่งที่หนักมากต่อการได้ฝ่าจริงๆ แต่ว่าในการบำเพ็ญจริง
มีคนมากมายสามารถข้ามมาได้แล้วจริงๆ
แต่ข้าพเจ้าพบว่านี่เป็นอุปสรรคใหญ่ประการหนึ่ง ถ้าคนไม่มีบรรทัดฐานในการเป็นคน นั่นก็ไม่อาจเรียกว่าคน ทำไมไม่เรียกลิงว่าเป็นคนละ เพราะคนมีบรรทัดฐานของคน มีทัศนคติทางพฤติกรรมและมาตรฐานศีลธรรมของคนอยู่
จึงจะเป็นคน แต่สิ่งนี้หากไปสู่สุดขั้วนั่นก็ใช้ไม่ได้แล้ว
ศิษย์
ใช่หรือไม่ว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือคน
๗ พันกว่าล้านคนนี้ หมุนเวียนกลับชาติมาเกิด
อาจารย์ คงใช่กระมัง เรื่องนี้พวกท่านล้วนสนใจกัน......
ที่จริงสังคมวันนี้
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
ทุกท่านคงจะอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว
บางคนพูดว่าข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาว เขายังรู้สึกว่าน่าขัน ทุกท่านลองคิดดู
ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมนุษย์อย่างนี้
แต่ในประวัติศาสตร์กลับเคยมียุคสมัยที่วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก้าวหน้ากว่าปัจจุบัน
ยังก้าวหน้ากว่าปัจจุบันไกลลิบลับ
คนในปัจจุบันล้วนไม่อาจสร้างดวงจันทร์แล้วส่งขึ้นไปบนฟ้า มนุษย์ในประวัติศาสตร์กลับสามารถสร้างดวงจันทร์ดวงหนึ่งแล้วส่งขึ้นไปบนฟ้า แต่วันนี้วิทยาศาสตร์ที่พัฒนาโดยมนุษยชาติ
และสภาพการณ์นี้
มันหาใช่เส้นทางการพัฒนาเพียงเส้นทางเดียวของขั้นตอนการพัฒนาของมนุษยชาติทั้งหมด ยังมีเส้นทางการพัฒนาที่ต่างกัน วิทยาศาสตร์ของมนุษยชาติในวันนี้ ที่จริงก็คือสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวนำมา บางคนยังค้นคว้าวิจัยมนุษย์ต่างดาว
เสาะแสวงหาและรวบรวมสัญญาณอะไรของมนุษย์ต่างดาว ที่จริงมันก็อยู่ข้างตัวท่าน มันเพียงแต่ไม่ติดต่อกับท่าน
และมันกำลังทำเรื่องที่มันต้องการทำอย่างมีระบบมาก
ทุกท่านคิดดู
วันนั้นข้าพเจ้าพูดว่าวิทยาศาสตร์คือศาสนาหนึ่ง ในทันทีทุกท่านก็เข้าใจได้แล้ว ในศาสนามีศาสดา มีบาทหลวง วิทยาศาสตร์ก็มีตำแหน่งหน้าที่อย่างนี้ ตำแหน่งหน้าที่อย่างนั้น มีอาจารย์ใหญ่ มีปริญญาเอก ปริญญาโท ปริญญาตรี ศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เป็นต้น และมันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ เป็นระบบมาก
เป็นรูปแบบของศาสนาที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน ความเชื่อถือของคนที่มีต่อมัน
ยังเหนือกว่าความเชื่อของพวกท่านที่มีต่อศาสนาทั้งหลาย และเป็นไปอย่างชนิดไม่รู้ตัว
หากท่านไม่เรียนมันให้ดี
ท่านก็จะถูกสังคมนี้กวาดทิ้งไป
ท่านจะหางานที่ดีทำไม่ได้
ท่านจะไม่มีทางออกของชีวิตที่ดี ศาสนาทั่วไปนั้น
ทุกท่านทราบว่าคือให้ท่านเชื่อถือจากด้านจิตใจ จากนั้นให้ท่านมองเห็น ได้ยิน รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นจริง
มีเทพคงอยู่จริง
แต่ศาสนาวิทยาศาสตร์นี้
มันให้ท่านรับรู้จากด้านวัตถุ
พัฒนาทางด้านวัตถุ จนบรรลุถึงขั้นให้ท่านพึ่งพามันทางด้านจิตใจ มันกลับกัน
แต่ข้าพเจ้าหาได้ต่อต้านวิทยาศาสตร์
เพราะมันก็เป็นผลิตผลของจักรวาล
ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกพวกท่านว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร แต่วิทยาศาสตร์นั้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ มันนำภัยพิบัติมากมาย
ที่ไม่อาจแก้ไขได้ตลอดกาลมาให้มนุษชาติ
ทุกท่านทราบว่า
มลพิษทางอากาศ
อุตสาหกรรมทำให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งไม่อาจฟื้นคืนกลับไปสู่สภาพที่บริสุทธิ์ที่สุดได้อีกตลอดกาลแล้ว อุตสาหกรรมทำให้น้ำเป็นมลพิษ
ไม่ว่าคนจะเลือกใช้วิธีการที่ดีอย่างไร
ท่านล้วนไม่อาจทำให้น้ำนั้นฟื้นคืนสู่ระดับที่บริสุทธิ์ที่สุดได้แล้ว คนสูดอากาศอย่างนี้เข้าไป ดื่มน้ำอย่างนี้เข้าไป เมื่อมนุษย์พัฒนาต่อไปอย่างนี้(ไม่รวมถึงศิษย์ต้าฝ่า)
ล้วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
โครงสร้างแขนขาทั้งสี่ล้วนจะเปลี่ยนรูป และจะยิ่งร้ายแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นี่คือภัยพิบัติที่ทางวัตถุนำมา ส่วนทางด้านจิตใจ วิทยาศาสตร์นี้
ก่อนที่มันจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ หากท่านจะพูดถึงสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังรับรู้ไม่ถึง
หรือการคงอยู่ของเทพ หรือคนดีได้ดีตอบ คนชั่วได้รับกรรมชั่ว
เช่นนั้นมันก็จะบอกว่าท่านงมงาย มันก็จะบอกว่าท่านไม่เป็นวิทยาศาสตร์
มันก็จะยกกระบองวิทยาศาสตร์ขึ้นตีท่าน แต่สิ่งที่ตีทิ้งไปคืออะไรหรือ
สิ่งที่ตีทิ้งไปคือความเชื่อต่อเทพของมนุษย์
สิ่งที่ตีทิ้งไปคือทัศนคติของศีลธรรมที่ปกป้องมนุษย์ ตีสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป
มาตรฐานศีลธรรมที่ปกป้องมนุษย์จึงถูกทำลายไปถึงที่สุด ดังนั้นคนในวันนี้ เรื่องชั่วอะไรจึงกล้าทำ นี่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่ไม่พัฒนานี้นำมาหรอกหรือ
ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกสภาพการณ์ที่เป็นจริงให้กับทุกท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้พูดคัดค้านวิทยาศาสตร์
เพียงแต่เป็นเพราะคนหลงงมงายมันจนเกินไป จนก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษยชาติ
และพอดีกับที่วิทยาศาสตร์นี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวนำมา จุดประสงค์ของมันคืออะไร มันนำวิชาคณิตศาสตร์ วิชาฟิสิกส์ วิชาเคมี
ความรู้เหล่านี้มาให้กับมนุษยชาติอย่างเป็นระบบ ต่อมาในร่างกายท่าน ในความคิดของท่าน
ก็จะก่อเกิดความคิดหนึ่งที่มันต้องการ ทุกวันนี้การผลิต เครื่องมือทำงาน
วิธีการทำงาน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและรูปแบบการดำเนินชีวิตที่วิทยาศาสตร์นำมา
ทำให้รูปแบบความคิด
และพฤติกรรมทั้งหลายของมนุษย์
ประกอบขึ้นเป็นความคิดของมนุษย์ยุคใหม่ที่เบี่ยงเบนไปทั้งหมด คนในปัจจุบันแทบทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ ล้วนมีความคิดที่มนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้นให้กับคน ใครก็สลัดไม่พ้นแล้ว
เพราะทุกสิ่งที่ท่านสัมผัสล้วนเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยุคนี้นำมา เพราะมันแทรกเข้าไปทุกหนแห่ง ดังนั้นการดำเนินชีวิตทั้งหมดของท่านจึงหนีไม่พ้นวิทยาศาสตร์นี้
ฉะนั้นจิตใจของท่านจึงก่อรูปขึ้นเป็นวิธีคิดและความคิด
ที่ประกอบด้วยทัศนคติที่มีพื้นฐานจากการรับรู้เข้าใจต่อโลกวัตถุ
ซึ่งก็คือภาพลักษณ์ภายนอกตามที่ปรากฏซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่สร้างขึ้นมา
และก็เป็นการก่อรูปขึ้นมาของอนุภาคระดับชั้นหนึ่ง และพฤติกรรมของท่านก็ถูกควบคุมโดยความคิด ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำ เช่นขับรถยนต์
เรื่องทั้งหลายที่ท่านทำ
ก็เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์นี้นำมา
ดังนั้นในร่างกายและความคิดของคนก็ก่อเกิดอนุภาคชั้นหนึ่งขึ้นมา
วิทยาศาสตร์นี้ที่มนุษย์ต่างดาวนำมาให้คน
ได้ประกอบขึ้นเป็นอนุภาคชั้นหนึ่งของวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ต่างดาว
และนี่ก็คือการจัดวางอย่างเป็นระบบในการทำทุกสิ่งของมนุษย์ต่างดาวเพื่อให้ได้ร่างคน
จากนั้น
ทุกท่านทราบว่า
วิทยาศาสตร์มันใช้ตัณหาของคนเป็นประโยชน์ คนจึงพัฒนาไปตามตัณหาของตนเอง ในเวลาที่ผู้คนตั้งข้อสงสัยต่อวิทยาศาสตร์ในทุกวันนี้
ก็มักจะถูกนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งต่อต้าน
คนไม่เข้าใจว่าการไม่ยอมอดกลั้นต่อการตั้งคำถามอย่างนี้โดยตัวมันเองก็เป็นผลมาจากวิทยาศาสตร์ สามารถมองออกว่า การหมดความอดกลั้นของ
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ คือถูกอารมณ์ชักนำ ไม่ใช่สติ
ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน
เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว
สิ่งต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์สามารถประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น หาใช่การสร้างขึ้นโดยคน เป็นใครที่สร้างขึ้นมาละ เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ควบคุมให้สร้างขึ้นมา
โดยมันได้สร้างโครงสร้างขึ้นมาในสมองคน
และโครงสร้างนี้ถูกมนุษย์ต่างดาวยึดกุมไว้อย่างเหนียวแน่น มันให้แรงบันดาลใจแก่ท่าน ให้ท่านประดิษฐ์ของอะไรขึ้นมา มันได้เริ่มต้นยึดครองมนุษยชาติอย่างเป็นระบบแล้ว
จากนั้น ทุกท่านทราบว่า
ตัณหาของคนนั้นทำให้คนพัฒนาไปอย่างไม่หยุดหย่อน เริ่มต้นคนคิดจะสร้างหุ่นยนต์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่หุ่นยนต์แล้ว แต่คิดจะสร้างคน โคลนนิ่งคน หากคนถูกโคลนนิ่งสำเร็จแล้ว ทุกท่านคิดดู คนนั้นเทพเป็นผู้จัดวาง เวลาที่เกิดคนๆหนึ่งขึ้นมา หากไม่มีจิตของคน นั่นก็เป็นซากศพหนึ่ง ทำไมร่างที่ไม่มีตรงไหนเสียหายจึงตายได้ละ ตายไปในทันทีแล้วละ เป็นเพราะจิตต้นกำเนิดของคนจากไปแล้ว จิตต้นกำเนิดไม่อยู่แล้วมันก็เป็นเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อจิตต้นกำเนิดของคนอยู่ เขาก็มีชีวิตขึ้นมา ร่างกายคนก็เหมือนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ผู้คนสวมมัน มันก็สามารถเคลื่อนไหว ถ้าไม่สวมใส่มัน ก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ทุกท่านคิดดู ถ้าเทพไม่ใส่จิตต้นกำเนิดแก่ร่างโคลนนิ่ง เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนสร้าง เทพย่อมจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน แล้วจะทำอย่างไร มนุษย์ต่างดาวนั้นก็ฉวยโอกาสเข้าไป มันมาทำหน้าที่เป็นจิตต้นกำเนิดของคนๆนั้น มันก็มีร่างของคนแล้ว มันก็ยึดครองคนได้แล้ว คนชนิดนี้ก็จะขยายมากขึ้นเรื่อยๆ ตัณหาของคนถูกบงการให้คนสร้าง
และสร้างมากขึ้นเรื่อยๆ
มันก็จะกลายเป็นจำนวนที่มากมาย
มันก็เป็นส่วนหนึ่งของคน
มันยังจะฉลาดกว่าคนด้วย
ความคิดของคนก็มีอนุภาคชั้นหนึ่งของมันอยู่ข้างใน และถูกมันควบคุมอยู่ มันก็จะไปบัญญัติกฎหมาย ต่อไปจะไม่อนุญาตให้คนมีการให้กำเนิดอีก
จะต้องโคลนนิ่งทั้งหมด
มันก็จะรุกรานโลกอย่างกว้างขวาง
ดูภายนอกก็เหมือนกับคน
แต่ที่จริงได้กลายเป็นชีวิตต่างดาว ไม่ใช่คนแล้ว ทุกท่านคิดดู
ข้าพเจ้าไม่ใช่เล่าเทพนิยายให้คนฟังอย่างแน่นอน(เสียงปรบมือ)
แน่ละ ต่อสถานการณ์ชนิดนี้ในปัจจุบัน คนนั้นไม่มีกำลังที่จะทำอะไรได้เลย สลัดไม่พ้นทุกสิ่งที่วิทยาศาสตร์นำมาให้คน
เพราะวิทยาศาสตร์ของท่านถูกมันยึดกุมไว้ คนก็ไม่มีทางค้นหาพวกมันได้เลย คนยังคิดจะติดต่อมนุษย์ต่างดาว
ทุกสิ่งในทุกวันนี้ของมนุษย์ล้วนเป็นการคิดค้นประดิษฐ์ของมัน คนเข้าใจว่ามันไม่ติดต่อกับท่าน
ที่จริงคนกำลังติดต่อกับชีวิตต่างดาวอยู่ตลอดเวลา ยังต้องให้ท่านไปหามันด้วยหรือ ดังนั้นทุกสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ คนไม่มีทางที่จะทำอะไรได้เลย แก้ไขไม่ได้เลย
นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งของมนุษยชาติที่ข้าพเจ้ามองเห็นในปัจจุบัน ข้าพเจ้าพูดออกมา เพื่อบอกกับมนุษยชาติ
ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่คิดจะคัดค้านวิทยาศาสตร์อะไร แต่ข้าพเจ้ามองเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงของมนุษยชาติแล้ว
เพราะข้าพเจ้าก็อยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ช่วยเหลือพวกท่าน
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าก็ต้องนั่งรถยนต์มา
นั่งเครื่องบินมา
วิทยาศาสตร์และมนุษย์ต่างดาว ก็เป็นผลิตผลหนึ่งของจักรวาล แต่ การพัฒนาของมนุษย์ มักจะก้าวจากจุดเริ่มต้นไปสู่การดับสูญในวันหนึ่ง นี่เป็นกฎเกณฑ์
ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกพวกท่านถึงปรากฏการณ์หนึ่งในทุกวันนี้ เพื่อให้ผู้ฝึกบำเพ็ญจะได้เข้าใจจักรวาล หากจะพูดถึงรูปธรรมเหล่านั้น คนธรรมดาสามัญจำนวนมากก็จะไม่เชื่อ ดังนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่พูดละ ที่จริงกล่าวสำหรับคนแล้ว
การพัฒนาของคอมพิวเตอร์นั้นน่ากลัวมาก
ตนเองทำลายตนเองอยู่ก็ยังไม่รู้ว่าทำลายอย่างไร ปัจจุบันคนอาศัยคอมพิวเตอร์จัดเก็บข้อมูล
จากนั้นก็ใช้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ผล
เมื่อพัฒนาต่อไปอีกก็คือใช้คอมพิวเตอร์ตัดสินใจ นี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่คนต้องคอยฟังคำสั่งจากคอมพิวเตอร์แล้ว
และต่อมาคอมพิวเตอร์ก็จะบงการคนทั้งหมด
คอมพิวเตอร์ยิ่งมีสติปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ คนก็ยิ่งพึ่งพาคอมพิวเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายก็ถูกคอมพิวเตอร์ควบคุมทั้งหมด ก็คือตัณหาของคนเองนั้นถูกใช้เพื่อทำลายตนเอง
ศิษย์ จิงเหวิน(บทความ)ที่อาจารย์เขียนมักจะมุ่งต่อเรื่องที่เป็นกรณีเฉพาะ
จะกระทบต่อความเข้าใจในฝ่าของศิษย์ในต่างประเทศหรือไม่
อาจารย์ ไม่กระทบ เหมือนๆกัน จิงจิ้นเย่าจื่อที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น
โดยหลักแล้วเป็นการปรับแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการบำเพ็ญอย่างต่อเนื่องของทุกท่าน พูดถึงการบำเพ็ญ พวกเราก็ยึดกุม จ้วนฝ่าหลุนไปบำเพ็ญ ก็จะไม่กระทบ
ศิษย์ ขณะศึกษาฝ่าร่วมกันนั้น เมื่ออ่านถึงตรงไหนที่รู้สึกซาบซึ้ง
พอเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ทุกคนก็อ่านผ่านไปท่อนสองท่อนแล้ว
อาจารย์
นั่นไม่เป็นไร
จุดมุ่งหมายในการศึกษาฝ่าก็คือให้พวกท่านเข้าใจ
ความเข้าใจจึงจะเป็นอันดับแรก
เวลาที่พวกท่านอ่านฝ่า
ทุกท่านต้องทราบว่าตัวอักษรบรรทัดนี้ที่ตนเองอ่านหมายความว่าอะไร
อย่างน้อยที่สุดต้องเข้าใจความหมายชั้นผิว
พูดถึงว่าเมื่ออ่านผ่านไปแล้วก็ลืม
ตรงนั้นท่านไม่ต้องสนใจ
ไม่เป็นไร เพียงท่านสนใจที่จะไปอ่าน
หากบอกว่าแม้แต่ตัวอักษรตัวเดียวก็ไม่รู้ ก็อ่านกันอย่างนี้ อ่านไป ปากก็อ่านไป ตาก็มองไป แต่ความคิดไม่ได้อยู่ที่นี่ นี่ใช้ไม่ได้ ไม่อาจบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการบำเพ็ญ
ศิษย์ สายพุทธทำไมพูดถึงวาสนาเป็นพิเศษ
อาจารย์ ที่จริงใครๆก็พูดเรื่องวาสนา มีความจริงมากมายของจักรวาล
ที่ข้าพเจ้าไม่อาจบอกท่าน
เพราะพวกเขาเป็นเทพ
ข้าพเจ้าไม่อยากให้พวกท่านใช้ความคิดของคน คิดเกี่ยวกับพวกเขา
คนเข้าใจว่าตนเองบำเพ็ญอยู่ในศาสนาสามารถจะขึ้นสวรรค์ คนเองคิดว่าฉันเพียงแต่ศรัทธาเขา ทำตามที่เขาสอน เขาก็จะดูแลฉัน ที่จริงพวกท่านไม่รู้อะไรเลย ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
คนคิดจะบำเพ็ญขึ้นไป
ช่างยากเหลือเกิน
ถ้าแม้นคนที่ตกลงมา นั่นก็ไม่อาจให้ท่านขึ้นไปได้แล้วจริงๆ ก็คือไม่ให้ท่านกลับไปแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าไม่ว่าท่านจะบำเพ็ญอย่างไร ล้วนจะทำให้พวกเขาปนเปื้อน ไม่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพวกเขา(เทพ) แต่วันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ทุกท่านทราบ
พวกเราไม่เพียงทำได้ดียิ่งกว่าตั้งแต่ต้นกำเนิด แต่ยังจะไปเหนือกว่าทุกสิ่งที่เป็นของเก่าของพวกเขา
จะบรรลุถึงสภาวะที่เหนือกว่ายุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวาล
ศิษย์ ศิษย์จำนวนไม่น้อยยังไม่มีความรู้สึกของการออกนอกภพ พวกเขาสามารถบำเพ็ญหยวนหมั่นได้ทันไหม
อาจารย์
ฝ่าก็ได้กันแล้ว
เพียงแต่ปล่อยวางจิตใจไปบำเพ็ญ
ถ้าไม่ทันการณ์ข้าพเจ้าก็จะไม่ช่วยแล้ว ที่จริงสิ่งที่ข้าพเจ้าห่วงมากที่สุดคือ
ท่านจะสามารถบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าได้จนถึงที่สุดไหม
หาใช่ปัญหาเกี่ยวกับเวลาแต่อย่างใดไม่ พูดถึงความรู้สึก
พวกเราบางคนบำเพ็ญได้สูงมากแล้ว
เขาก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ไม่อาจอาศัยความรู้สึกของท่านประเมินตัวท่านเองว่าบำเพ็ญได้สูงหรือต่ำหรอกนะ ความรู้สึกนั้นเป็นอะไรได้ละ บางคนนั้นจะไม่ให้เขารู้สึกเลย
เพราะระดับชั้นที่เขามานั้นสูงมาก
หากมีความรู้สึกเพียงเล็กน้อยก็จะทำลายวังวนกับการอู้บางอย่างแล้ว เขาก็ไม่อาจกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมของตนได้แล้ว เพราะข้อกำหนดต่อเขานั้นสูง คนอื่นสามารถเห็นได้จึงกลับไปได้ แต่เขานั้นไม่เพียงมองไม่เห็น แม้แต่ความรู้สึก
ก็ไม่ให้เขามี
ขาดไปเพียงนิดเดียวเขาก็จะกลับไปสู่ตำแหน่งก่อนกำเนิดไม่ได้แล้ว เป็นหลักการนี้ใช่หรือไม่ละ
ศิษย์ เมื่ออ่าน หงอิ๋นของท่านอาจารย์
รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันใจในวีรกรรมอันเกริกก้องของท่านอาจารย์
จนน้ำตาหลั่งพรั่งพรู รู้สึกอย่างเด่นชัดถึงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีคำพูดจะบรรยายได้ (เสียงปรบมือ) ศิษย์ไม่มีปัญญาจะตอบแทนบุญคุณท่านอาจารย์ ซึ่งจะเป็นความสำนึกเสียใจในชีวิตชั่วนิรันดรของศิษย์
อาจารย์
ที่จริงไม่มีอะไรที่ต้องสำนึกเสียใจ
การได้รับ(ฝ่า)ของพวกท่านก็ไม่ใช่ง่าย ที่พวกท่านทราบนั้นในขณะนี้เหมือนคนอื่นบอกกับท่านโดยบังเอิญ เมื่อได้ฝ่าแล้ว
นั่นเป็นการฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจท่าน ก็เหมือนหัวปลั๊กไฟฟ้า พอเสียบเข้าไป
กระแสไฟก็ไหลแล้ว แต่บางคน
หัวปลั๊กนี้ของเขาถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองและ ดินโคลนจนไม่เกิดผลแล้ว เสียบเข้าไป ไฟฟ้าก็ไม่ไหลแล้ว มีคนมากมาย เพื่อที่จะได้รับฝ่า ในประวัติศาสตร์เคยถูกตัดศีรษะ ในประวัติศาสตร์ก็เคยบำเพ็ญ และในการบำเพ็ญก็ทนทุกข์อย่างมากมาย
ศิษย์ ถ้าลูกไม่บำเพ็ญ เมื่อพ่อแม่บำเพ็ญหยวนหมั่นแล้ว จะจัดวางอย่างไรสำหรับลูก
อาจารย์ สภาพการณ์ในขณะนี้ของท่าน
ข้าพเจ้าไม่อาจพูดว่าท่านยึดติด
เพราะขณะนี้ท่านก็อยู่ในเขตแดนนี้ แต่ปัญหานี้ ครั้นพวกท่านคิดโดยยืนอยู่บนเขตแดนที่สูง ก็คือยึดติดแล้ว ตนเองจะสามารถหยวนหมั่นหรือไม่ ตนเองยังไม่รู้ เหตุใดจึงมีความกังวลมากมายอย่างนั้นนะ
แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า
เมื่อคนๆหนึ่งบำเพ็ญหยวนหมั่นแล้ว
หนี้ที่ท่านเคยติดค้างไว้ในชาติภพต่างๆ บุญคุณความแค้นต่างๆ ท่านก็ปัดๆทิ้งไป ก็หมดเรื่องแล้ว ก็ไปได้แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่ท่านชดใช้อยู่ที่นี่
เป็นการชดใช้ด้านจิตใจเท่านั้น
แต่หนี้ที่ติดค้างจริงๆท่านไม่ได้ชดใช้ แล้วจะหยวนหมั่นได้อย่างไรละ ข้าพเจ้าล้วนต้องแก้ปัญหาให้ท่าน ต้องทำให้ท่านมากมายหลายเรื่องนะ ท่านคิดดู บุญคุณ ความแค้นของท่านนั้น ล้วนต้องแก้ไขให้เสร็จสิ้น
จะแก้ไขให้เสร็จสิ้นอย่างไร
ก่อนอื่นที่กล่าวมาข้างต้นคือ หากท่านสามารถบำเพ็ญหยวนหมั่นได้ดังว่า โลกของท่านไม่อาจว่างเปล่า
พระพุทธมิใช่พูดเรื่องช่วยเหลือสรรพชีวิตหรือ
ในโลกของท่านก็มีสรรพชีวิต
นั่นอาจเป็นไปได้มากว่า เป็นชีวิตที่ท่านเคยฆ่าเมื่อก่อนนี้ หนี้ที่ท่านติดค้าง หรือผู้ที่เคยสนิทสนมกับท่าน บุญคุณและความแค้น วาสนาสองชนิดนี้ล้วนต้องจัดการให้เสร็จสิ้น
ให้แก่ท่าน
เช่นนั้นชีวิตมากมายอาจจะไปโลกของท่านเป็นสรรพชีวิตในนั้น
บุญคุณ ความแค้นมากมายในประวัติศาสตร์ ล้วนต้องแก้ไขให้เสร็จสิ้น
เช่นนั้นวาสนาในปัจจุบันนี้ของท่านก็มิต้องแก้ไขให้ท่านด้วยหรือ บรรดาผู้หญิงหลายคนนั้น
ต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตน.....
กำลังส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน ปล่อยวางใจเสีย สนใจแต่ไปบำเพ็ญก็พอ ที่จริงคนๆหนึ่ง หากท่านสละเขาไปไม่ได้
หลังจากท่านเสียชีวิตแล้ว
ถึงท่านสละไม่ได้ก็ต้องสละ
บางทีชีวิตที่ท่านมีอยู่ไม่ยาวนานเช่นนั้นแล้ว พอถึงวันไหนก็หมดสิ้นแล้ว ไม่สละ ก็ไม่ได้นะ ถ้าท่านสามารถบำเพ็ญหยวนหมั่น ท่านคิดจะช่วยใคร อาจารย์ล้วนทราบหมด แต่
ท่านอย่าถือมันเป็นจิตยึดติดอย่างหนึ่ง
แล้วไปยึดติดในอีกลักษณะหนึ่ง
ศิษย์ มีคนหนึ่งที่บำเพ็ญได้ไม่เลวพูดว่า โหย่วเหวย(มีความหมายมั่น)ก็อยู่ในอู๋เหวย(ไร้ความหมายมั่น) รู้สึกว่าค่อนข้างงุนงง
อาจารย์ นี่มิใช่ถูกรบกวนแล้วหรือ
ไม่ใช่คำพูดในต้าฝ่าที่ข้าพเจ้าเคยพูด ท่านก็อย่าไปคิดมัน
และแม้จะเป็นคำพูดของศิษย์ที่บำเพ็ญต้าฝ่าอยู่ ก็อาจเป็นว่า
คือสิ่งที่เขาอู้ได้ในสภาวะที่ต่างกัน หรือเขตแดนที่ต่างกันของตัวเอง อาจจะถูกหรือไม่ถูก ก็ไม่ต้องไปสนใจ ข้าพเจ้าพูดอย่างไร
ท่านก็ทำอย่างนั้น
เอาความคิดจิตใจไว้ที่ฝ่า
อย่ายึดติดว่าคนอื่นพูดอะไร
การถ่ายทอดฝ่า ช่วยคนนั้น ทุกท่านต้องแจ่มแจ้งว่า
นี่ไม่อยู่ในโหย่วเหวยหรืออู๋เหวย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตทั่วๆไปจะเข้าใจได้ และเรื่องที่ดำเนินการล้วนไม่ปรากฏอยู่ในที่นี้ของคน ข้าพเจ้าเคยพูดกับพวกท่านคำหนึ่ง
ก็คือโลกของพระพุทธนั้นอุดมสมบูรณ์หลากหลายสีสัน และงดงามยิ่งนัก หาไม่แล้ว ใครจะขึ้นไปที่นั่นทำไม ไม่เหมือนกับที่คนจินตนาการ แต่ในสายตาของพระพุทธ เต๋า เทพ มีเรื่องมากมายที่คนทำ
ล้วนเป็นอุปสรรคที่กระทบอย่างแรงต่อการไปโลกของพระพุทธ
ดังนั้นจึงเป็นการยึดติดอย่างมีความหมายมั่น ฉะนั้นเรื่องการช่วยคนนี้ จึงเป็นคนละเรื่องกันแล้ว และข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ข้าพเจ้าพูดว่า ข้าพเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยคน การช่วยคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้าทำ ดังนั้นยังมีสาเหตุอื่นอยู่ ขอยกตัวอย่างหนึ่ง หากจักรวาลนี้จะดับสลายแล้ว และมีเทพองค์หนึ่งเขาสามารถแก้ไขได้ แต่เขาเห็นมันจะดับสลายก็ไม่สนใจ เช่นนั้นท่านว่า
ถ้าเขาสนใจแล้วคือโหย่วเหวย (มีความหมายมั่น)
หรือว่าการไม่สนใจคืออู๋เหวย(ไร้ความหมายมั่น)ละ
นี่เป็นการใช้ภาษาของคนพูดเรื่องในเขตแดนชั้นสูงนั้น แต่ในเขตแดนชั้นสูงนั้น ย่อมจะเป็นคนละเรื่องแล้ว
ไม่ใช่แนวคิดเรื่องโหย่วเหวยนี้ของคนจะครอบคลุมเขตแดนของพระพุทธหรือเขตแดนที่สูงกว่าได้
ศิษย์ ภูเขาไท่ซันกับผมมีวาสนาที่ไม่อาจเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้ในใจจึงมีความสงสัยนับไม่ถ้วนอยู่ ท่านอาจารย์จะกรุณาช่วยแก้ความสงสัยให้ศิษย์สักเล็กน้อยได้หรือไม่
อาจารย์ ไม่ได้
ข้าพเจ้าจะพูดแต่เรื่องการบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญ
รับผิดชอบต่อการหยวนหมั่นของท่าน เรื่องราวในชาติภพต่างๆนั้นถ้ายังยึดติดก็หยวนหมั่นไม่ได้ ถ้าบอกกับท่านก็เท่ากับให้ท่านยึดติด
ศิษย์ บางครั้งในใจคิดจะเป็นผู้ช่วยฝึกสอน เป็นผู้รับผิดชอบศูนย์ช่วยฝึกสอน
นี่เป็นจิตยึดติดที่รุนแรงและอยู่ในความหมายมั่น(โหย่วเหวย)ใช่หรือไม่
อาจารย์ ที่จริงผู้ช่วยฝึกสอนของเรามากมาย
ไม่มีใครเลือกเขา
ก็คือเมื่อเขาได้ฝ่าแล้ว
สถานที่นี้ไม่มีคนฝึก
เขาจึงรวบรวมคนกลุ่มหนึ่งมาศึกษากัน
เขาจึงกลายเป็นผู้รับผิดชอบศูนย์ช่วยฝึกสอน กับผู้ช่วยฝึกสอนโดยอัตโนมัติ
และผู้รับผิดชอบศูนย์ช่วยฝึกสอนนั้นก็ไม่ใช่มีเฉพาะแต่ในต้าฝ่า มันเป็นเพียงชื่อเรียกในหมู่คนธรรมดาสามัญ ที่ผ่านมาหน่วยงานภายใต้สถาบันวิจัยชี่กง
ก็เรียกว่าศูนย์
ล้วนเรียกว่าศูนย์ช่วยฝึกสอน
การคิดที่จะทำงานให้กับทุกคนเป็นเรื่องดี แต่ หากทำเพื่อจะเป็นผู้รับผิดชอบ
นั่นก็ไม่ดี
เพราะในนี้ไม่มีตำแหน่งของเจ้าหน้าที่
และก็จะไม่ให้เงินเดือนแก่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่นี้ อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น
ข้าพเจ้าทราบว่าท่านอยากจะทำดีเพื่อทุกคน ถ้ามีเงื่อนไข ก็ทำได้
ไม่ต้องมีตำแหน่งอะไรก็สามารถทำเรื่องที่ดีเพื่อทุกคนได้เหมือนกัน อาศัยแต่จิตใจที่กระตือรือล้น
ขณะนี้ในหลายๆพื้นที่มีคนศึกษาต้าฝ่ามาก
ล้วนแต่เป็นผลจากการทำงานหงฝ่าอย่างมากของผู้ฝึก
ศิษย์ พวกเรานั่งอยู่ที่นี่ฟังท่านบรรยายฝ่าแล้ว ร่างกายในแต่ละมิติของเราจะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่
อาจารย์
ข้าพเจ้ามิใช่เปลี่ยนแปลงร่างกายท่านจากต้นกำเนิดที่สุดหรือ ยังห่วงเรื่องนี้เพื่ออะไร
(เสียงปรบมือ)
ท่านที่ฝั่งนี้เพียงแต่ฟัง มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ส่วนทางฝั่งนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ศิษย์ แต่ละครั้งก่อนที่ผมจะเข้าร่วมฝ่าฮุ่ย ก็จะประสบกับอุปสรรคและทุกข์ภัย
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะกรรมของตนหรือได้ทำเรื่องอะไรผิดไปแล้ว
อาจารย์
เมื่อประสบกับปัญหาให้ค้นหาที่ตัวเอง ทุกข์ภัยก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คือต้องการให้ท่านละทิ้งจิตอะไรไปอย่างแน่นอน จากนั้นให้ท่านยกระดับขึ้น
ศิษย์ หลังจากศึกษาฝ่า
รู้สึกว่าเรื่องของคนธรรมดาสามัญนั้นจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้
จะทำอย่างไรจึงจะแยกแยะได้ว่าตนเองมีจิตยึดติดในการทำเรื่องอะไร
อาจารย์ ข้าพเจ้าขอพูดกับทุกท่านไกลออกไปอีกก้าวหนึ่ง พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ จะต้องพยายามบำเพ็ญโดยสอดคล้องกับสภาพของคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด
ความนัยที่แฝงอยู่ในความหมายของคำพูดนี้ของข้าพเจ้านั้นกว้างไกลมาก การกินอยู่และการเดินทาง การดำเนินชีวิต การทำงาน การศึกษาเล่าเรียนของท่าน
ทั้งหมดที่มีอยู่นั้นล้วนรวมอยู่ข้างในนี้ จะต้องบำเพ็ญโดยสอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด อย่าเป็นเหมือนผู้บำเพ็ญในอดีต พอบำเพ็ญแล้ว มองเห็นสังคมโลกนั้นไม่จีรัง ฉันจะออกบวชแล้ว
ข้าพเจ้าบอกให้ท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ และข้าพเจ้ายังจะขอบอกท่าน
เรื่องทั้งหลายที่พวกท่านทำยังจะต้องทำให้ดีกว่าเมื่อก่อน
เนื่องจากเมื่อฝ่านี้ถ่ายทอดออกมาแล้ว ก็ได้พิจารณาอย่างเพียงพอถึงคนทุกวันนี้ที่ต้องทำการงาน คนที่มีงานยุ่งมากจะบำเพ็ญอย่างไร ดังนั้นเมื่อว่างจากการงาน ท่านไปบำเพ็ญ
ไปศึกษาฝ่า รับรองว่าจะไม่ให้ท่านต้องตกหล่น
จะไม่เสียเวลา
ข้าพเจ้าต้องการขจัดจิตยึดติดของท่านทิ้งไป ไม่ใช่ทิ้งสิ่งของอะไรที่เป็นวัตถุของท่าน หากเป็นเช่นนี้ดังว่า
ขอทานบนถนนล้วนจะเป็นคนระดับสูงทั้งหมด แต่หาใช่เช่นนี้ไม่ สิ่งที่จะทิ้งไปคือใจคน ใจที่ยึดติดไม่ยอมวาง
ข้าพเจ้าพูดแล้ว หากบ้านของท่านใช้ทองก้อนก่อขึ้นมาทั้งหมด
แต่ในใจท่านกลับไม่มี ไม่เห็นเงินสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ไม่มีตัณหามากเช่นนั้น มีก็มี ในชีวิตมี ก็ไม่เป็นไร เราสามารถทำได้ถึงจุดนี้ ก็คือท่านสามารถทิ้งใจนั้นไป ท่านจะมีอะไรล้วนไม่เป็นไร หากท่านบอกว่าฉันไม่มีจิตยึดติดนั้นของคนธรรมดาสามัญ
แต่ผู้คนก็ดีต่อท่าน จะให้ท่านไปเป็นข้าราชการให้ได้ เช่นนั้นท่านก็ไปเป็นเถิด ไม่เป็นไร หากท่านว่าฉันทำการค้าใหญ่โตมาก
มันก็คือการหาเงิน
งั้นท่านก็หาเงินเถิด
ไม่เป็นไร
ไม่ว่าท่านจะอยู่ในชนชั้นไหน
ท่านก็สามารถบำเพ็ญได้ทั้งนั้น
แต่อย่าเดินสุดขั้ว
ที่ผ่านมาบางคนเป็นอย่างนี้ คือ พอบำเพ็ญ ได้ฝ่าที่แท้จริงแล้ว อะไรท่านก็ไม่ทำแล้ว นี่ใช้ไม่ได้
เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่านคือวิธีการบำเพ็ญเช่นนี้
การบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าเมื่อยังไม่หยวนหมั่น ย่อมจะต้องมีใจของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้นจึงสามารถทำงานของคนธรรมดาสามัญ
เช่นนั้นก็ย่อมจะต้องมีฉิงของคนอยู่ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
ศิษย์ รับรู้ได้ว่าคงจะเป็นจิตยึดติด แต่ตลอดมาก็ทิ้งไปไม่ได้
ใช่หรือไม่ว่าจะเหมือนอย่างการกินเนื้อสัตว์ที่สะท้อนออกมาจากในพลัง
อาจารย์ รับรู้ได้ทั้งหมดแล้วว่าเป็นจิตยึดติดแต่ยังไม่ทิ้งมันไป แน่ละในทันใดท่านย่อมทิ้งไปไม่ได้ แต่ละคนล้วนเป็นเช่นนี้ ค่อยๆบังคับตนเองไว้
เรียกร้องตนเองให้ทำดียิ่งขึ้น
จะค่อยๆทำได้เองมิใช่หรือ
แน่ละท่านว่า อาจารย์พูดแล้วว่า จะค่อยๆทำได้ เช่นนั้นพวกเราก็ทำทีละเล็กละน้อยละกัน
เช่นนั้นท่านก็ไม่แสวงหาความก้าวหน้า
ไม่ก้าวหน้าแล้ว ไม่รับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของตน ก็คือในระหว่างการบำเพ็ญท่านจะปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลังได้อย่างไร
ข้าพเจ้าคิดว่าหากท่านสามารถทำได้ถึงจุดนี้จริงๆ อะไรก็จะไม่ยากที่จะเข้าใจได้
ศิษย์ ในฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ผู้ฝึกบางคนพูดถึงการเสาะหาความทุกข์ยากทางกายเพื่อชำระกรรม
อาจารย์ นั่นผิด ไม่ถูกต้อง
ท่านไม่อาจจัดวางวิธีการบำเพ็ญเพื่อชำระกรรมนั้นให้กับตนเอง หาความทุกข์ยากให้ตนเอง ใช้ไม่ได้
เช่นนั้นท่านก็ทำให้ระบบการบำเพ็ญที่ข้าพเจ้าจัดวางไว้ท่านเกิดความยุ่งเหยิง ดังนั้น ท่านพึงสนใจแต่ไปอ่านหนังสือ
อ่านฝ่า บำเพ็ญ เมื่อพบกับปัญหา ท่านก็ค้นหาที่ตนเอง
ทางด้านการงานให้ทำให้ดีหน่อย ทางด้านการเรียนให้เรียนดีสักหน่อยเป็นใช้ได้
ศิษย์ ผมยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งรู้สึกว่าทัศนคติของคนธรรมดาสามัญยิ่งแรง ไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญหรือไม่
อาจารย์ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน
ในการบำเพ็ญของพวกท่าน
หากสามารถสำนึกถึงจิตยึดติดของตนอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน นั่นไม่ใช่ก้าวถอยหลัง
นั่นเป็นก้าวไปข้างหน้าแล้ว คนธรรมดาสามัญไม่อาจสำนึกได้ แต่พวกท่านกลับสามารถสำนึกได้อย่างแจ่มชัด
จึงสามารถพูดได้ว่าบำเพ็ญได้ไม่เลวจริงๆ แต่ทำไมยังมีจิตเหล่านี้อยู่ ซึ่งยากที่จะทิ้งไปได้ในคราวเดียวละ
ก็เพราะวิธีการบำเพ็ญที่ข้าพเจ้าให้พวกท่านไว้
ได้กำหนดเอาไว้ว่าท่านไม่อาจจะทิ้งจิตยึดติดได้ในคราวเดียว ทว่าเป็นการทิ้ง โดยแบ่งเป็นชั้นๆ
ทิ้งไปทีละชั้น ทีละชั้น เช่นนี้
พวกท่านจะยังคงมีจิตของคนธรรมดาสามัญบางอย่างอยู่ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ค่อยๆบำเพ็ญอีก ยกระดับขึ้นอีก หาไม่แล้ว หากไม่มีจิตของคนแล้ว ท่านก็จะยกระดับขึ้นไม่ได้แล้ว
สิ้นสุดการบำเพ็ญ จะอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นต้าฝ่าจึงเป็นการบำเพ็ญอย่างนี้
ศิษย์ ขณะอ่าน จ้วนฝ่าหลุนอยู่
หลังจากอ่านจบไปบทหนึ่ง
เพื่อที่จะจดจำเนื้อหา
จึงอ่านบางประโยคในนั้นซ้ำอีก อ่านอย่างนี้ถูกหรือไม่
อาจารย์ ก็ทำได้ แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านให้อ่านทำความเข้าใจทีละหน้า
ทีละหน้า อ่านให้ตลอด จะดีที่สุด
ศิษย์ ใต้ตาขวาไม่มีช่องทางรอง นี่เกี่ยวข้องกับฝ่าหรือไม่
อาจารย์ เป็นรูปแบบการคงอยู่ของชีวิตในระดับชั้นนี้ที่ฝ่าสร้างสรรค์ให้
มันก็เป็นปรากฏการณ์ของระดับชั้นนี้ด้วย ถ้าระดับชั้นสูงมากแล้ว มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง พอถึงระดับชั้นสูงมากดวงตานั้น
มันจะทะลุทะลวงในทันที จะมองทะลุปรุโปร่งได้หลายๆมิติ มองทะลุทะลวงจากมหภาคจนถึงจุลภาค
มองทะลุปรุโปร่งถึงการคงอยู่ของชีวิตที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นกับรูปแบบการคงอยู่ของมิติ ในมิติระดับสูงนั้นจะไม่ทำเรื่องชั่วเหมือนอย่างคนทำ
รูปแบบของดวงตาชนิดนั้นจะใช้ไม่ได้แล้ว
ดังนั้นดวงตาในแต่ละระดับชั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อครู่ข้าพเจ้ามิใช่พูดไปแล้วหรือ ร่างกายของคนๆนั้น
ล้วนมีรูปแบบที่ปรากฏออกมาในแต่ละระดับชั้น
รูปแบบที่ปรากฏออกมาภายนอกล้วนจะเปลี่ยนแปลง สมมติว่ามีระดับชั้นอย่างนั้นอยู่
ก็อาจเป็นไปได้ว่าทั่วทั้งใบหน้านั้นจะเกิดดวงตาหนึ่งที่เหมือนตาแมลงปออย่างนั้นขึ้นมา ข้างในมีดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน
ซึ่งอาจจะเกิดสภาพการณ์ชนิดนี้ได้ ในเวลาที่บำเพ็ญ รูปแบบที่ปรากฏออกมาในระดับชั้นที่ต่างกันนั้นซับซ้อนมาก
ข้าพเจ้าไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ให้พวกท่านฟัง
หรือก็คือพวกท่านอย่ายึดติดกับเรื่องเหล่านี้ หากพวกท่านมองเห็นสภาพการณ์ในแต่ละระดับชั้นแล้วพวกท่านจะยึดติดไปชั่วชีวิต ก็บำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้ จะยึดติดอยู่เสมอ จะคิดอยู่ร่ำไปว่า ดีอย่างนี้เชียวหรือ
ดังนั้น นั่นก็ใช้ไม่ได้ ในขณะที่บำเพ็ญอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำมาก สาเหตุที่ตรงนี้ไม่มีช่องทาง พูดถึงว่าในขณะที่คนเล็งปืนยิงคนนั้นก็ใช้ดวงตานี้ หรือยิงธนูก็ใช้ดวงตานี้เล็ง ไม่ว่าอย่างไรก็มักจะใช้ดวงตานี้ทำเรื่องที่ไม่ดี
แน่ละยังมีสาเหตุอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่มีดวงตาแท้แห่งปัญญา
ศิษย์ พอผมนั่งสมาธิศีรษะจะส่ายหรือผงก
อาจารย์
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นธรรมชาติมาก
พวกเรามากมายต่างก็ทราบ หากจื๋ออู่โจวเทียนใกล้จะเปิดโล่ง
ไม่ว่าจะเป็นโจวเทียนเล็กหรือโจวเทียนใหญ่
เมื่อจื๋ออู่โจวเทียนรูปแบบนี้เปิดโล่งแล้ว ศีรษะจะผงกขึ้นลง ถ้ามันหมุนทวนไปข้างหลัง
ศีรษะจะเงยขึ้น
ถ้าช่องทางพลังงานหมุนตามเข็มนาฬิกา(หมุนลงมาด้านหน้า)ศีรษะก็จะผงกลง ถ้าเหมาโหย่วโจวเทียนโล่งแล้ว ศีรษะจะส่าย เมื่อพลังงานไหลไปทางด้านนี้
ศีรษะก็จะส่ายไปทางด้านนี้
เมื่อพลังงงานไหลไปทางด้านนั้น ศีรษะก็จะส่ายไปทางด้านนั้น แต่ท่านอย่าจงใจส่ายตามมันไป นั่นเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่ง
คือจิตยินดี
ฉะนั้นท่านต้องพยายามประคองตนเองให้นิ่งไว้ ไม่มีพระพุทธหรือเต๋าองค์ใดนั่งอยู่ตรงนั้นส่ายศีรษะ ใช่ไหม ไม่มีปรากฎการณ์อย่างนี้ เมื่อพวกท่านเริ่มต้นฝึกพลัง
จะเกิดสภาพการณ์นี้ แต่ท่านต้องพยายามไม่เคลื่อนไหวตามมัน
ศิษย์ คิดจะเสนอให้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งตีพิมพ์ชีวประวัติโดยสังเขปของอาจารย์ ขอเรียนถามว่าจะเหมาะสมหรือไม่
อาจารย์
ไม่เหมาะ
ข้าพเจ้าไม่คิดจะพูดถึงเรื่องตนเอง
ทุกท่านก็อย่าพูด เพราะหากทุกท่านคิดจะเข้าใจข้าพเจ้า ใน จ้วนฝ่าหลุน มีชีวประวัติโดยสังเขป ชีวประวัติสั้นๆ บทความหนึ่ง
ซึ่งปัจจุบันข้าพเจ้าก็บอกให้พวกเขาเอาออกแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกกับพวกท่านก็คือฝ่า ทุกท่านก็ศึกษาฝ่าชุดนี้เถิด อย่าไปสนใจกับเรื่องราวของข้าพเจ้า จงศึกษาฝ่าชุดนี้ ก็จะทำให้ท่านหยวนหมั่น(เสียงปรบมือ)
ศิษย์ ผู้ฝึกบางคนทำงานอยู่ในบริษัท ถ้าเจ้านายจะให้เขาพูดโกหกเพื่องานจะทำอย่างไรดี
อาจารย์ ปัญหารูปธรรมนี้ข้าพเจ้าเคยพูดแล้ว พวกท่านจะทำอย่างไร ตนเองก็กำลังบำเพ็ญ เรื่องนี้ล้วนทำได้ง่าย
หากท่านหลีกเลี่ยงเรื่องชนิดนี้ไม่ได้จริงๆ นั่นก็ไม่อาจถือว่าท่านเป็นคนทำ แต่ในฐานะที่พวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง เรื่องแบบนี้จะค่อยๆน้อยลง และเมื่อท่านลงมือไปทำ ท่านยังต้องบันยะบันยัง
เรื่องบางอย่างที่เป็นรูปธรรมท่านไปยึดกุมเอาเอง
ข้าพเจ้าไม่อาจบอกเรื่องที่เป็นรูปธรรมทั้งหมดให้ท่านว่าควรทำอย่างไร เช่นนั้นก็จะไม่มีส่วนที่ท่านจะบำเพ็ญแล้ว
ศิษย์
หนังสือที่ลักลอบพิมพ์ในประเทศ ในเวลาที่เข้าเล่มได้นำภาพฝ่าหลุนวางไว้หน้ารูปภาพของท่าน หนังสืออย่างนี้จะมีปัญหาหรือไม่
อาจารย์ ขณะนี้หนังสือที่ลักลอบพิมพ์นั้นร้ายกาจมาก
หนังสือต้าฝ่าของข้าพเจ้าพูดถึงหลักการของฝ่าที่เหนือธรรมดา แต่ ข้าพเจ้าก็พยายามพูดบนทัศนะทางวิชาการ เรื่องทางกามารมณ์ที่เลอะเทอะในสังคม เหลวแหลกเสียจนไม่ไหวแล้ว
หนังสือที่สอนให้คนทำเรื่องเลว
วุ่นวายสับสน อะไรก็มีทั้งนั้น หนังสืออย่างนี้ล้วนสามารถพิมพ์ออกมาได้ แต่หนังสือของเราที่สอนให้คนเป็นคนดีกลับพิมพ์ออกมาไม่ได้
มีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหน
ทุกท่านคิดดู
มีคนร้อยล้านกำลังศึกษาต้าฝ่า ประเทศจะได้ประโยชน์อย่างมากในด้านการจัดเก็บภาษี หนังสืออย่างนี้พิมพ์ออกมาไม่ได้ เช่นนั้นหนังสือที่ลักลอบพิมพ์ก็มีมาก หนังสือที่ลักลอบพิมพ์ แน่นอนมันไม่เสียภาษี ฉะนั้นจึงจัดเก็บภาษีไม่ได้ แล้วนี่ผิดพลาดที่ตรงไหนกันละ
หนังสือที่ลักลอบพิมพ์นั้นข้าพเจ้ามองอย่างนี้
เพราะข้าพเจ้าไม่อาจไปหาแหล่งของมัน
แล้วจะทำอย่างไรละ
หนังสือที่จัดเรียงพิมพ์ขึ้นใหม่ประเภทนี้ ทุกท่านอย่าไปซื้อ เพราะมันต้องมีคำผิดอย่างแน่นอน ทุกท่านทราบดีว่า การตรวจทานก่อนตีพิมพ์ออกมานั้น
ทำได้ยากมาก เพราะเขาคือฝ่า ยังมีการรบกวนของมาร ความคิดของคนมีกรรม ก็ก่อความวุ่นวายอยู่
ดังนั้นจึงทำได้ยากมาก พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึก
ในการทำเรื่องอย่างนี้
เขาย่อมจะทำได้ไม่ดี
ที่ผ่านมาหนังสือที่ตีพิมพ์ออกมาจากโรงพิมพ์ที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการในประเทศจีนนั้น การตรวจทานต้นฉบับ
ล้วนเป็นผู้ฝึกของเราไปทำ ดังนั้น
หนังสือที่ลักลอบพิมพ์จะมีที่ผิดพลาด
มีคำตกหล่น กระทั่งบางหน้าหายไป สลับหน้าไปมา ประเภทนี้
ทุกท่านอย่าซื้อ
ส่วนประเภทที่ถ่ายสำเนา คือถ่ายจากหนังสือเดิมของพวกเรา ประเภทนี้ทุกท่านซื้อได้ เพราะมันไม่มีการแก้ไขเนื้อหาของต้าฝ่า
ศิษย์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าอัตราความเร็วของการขยายตัวของจักรวาลลดลงเรื่อยมา
แต่ในทันใดกลับขยายตัวเพิ่มขึ้น เร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์กำลังคาดเดาว่าใครที่ให้แรงผลักดันแก่มัน
อาจารย์
จักรวาลนี้ที่มนุษย์รู้จักนั้น
เป็นการมองเห็นโดยใช้กล้องส่องทางไกล
และเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากอนุภาคชั้นผิวของมิตินี้ที่ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล ดังนั้นมันยังไม่พ้นไปจากมิตินี้ พูดถึงการเคลื่อนไหวของจักรวาลนี้
แน่ละทุกท่านทราบว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ อีเลคตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียสอะตอม สสารวัตถุกำลังเคลื่อนไหวอยู่
ที่จริงยังมีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ใหญ่กว่า นักวิทยาศาสตร์เมื่อหลายปีก่อนได้ค้นพบว่าโลกเหมือนกับกำลังหายใจ มันขยายทีหดตัวที โลกของเราประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล
ฉะนั้นเมื่อมองจากระดับที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า กลุ่มชีวิตนั้นที่เล็กยิ่งกว่า
หรือกลุ่มชีวิตนั้นที่คงอยู่ข้างในโลก โลกก็คือจักรวาลหนึ่งใช่หรือไม่
โมเลกุลทั้งหมดข้างในที่ประกอบขึ้นมาเป็นโลก ล้วนเป็นดวงดาวใช่หรือไม่ มันก็เป็นจักรวาลชั้นหนึ่ง เช่นนั้น การเคลื่อนไหวชนิดนี้ของมัน ทุกท่านคิดดู
นั่นคืออะไร
นั่นมิใช่เหมือนกับปรากฎการณ์ของจักรวาลที่พวกเขามองเห็นกันในวันนี้หรือ พูดถึงว่า
ในทันใดมันก็เร็วขึ้น หรือช้าลง
นั่นล้วนมีสาเหตุอื่นอยู่ แน่ละข้าพเจ้าก็เคยพูดกับทุกท่าน เนื่องจากในเวลาที่กำลังทำเรื่องการปรับฝ่าให้ถูกต้องนี้ เป็นการทำโดยอยู่เหนือกาลเวลา ขณะเดียวกัน ก็อยู่เหนือมิติทั้งหมดด้วย หาไม่แล้ว
ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ทำไม่เสร็จ
ศิษย์ บางครั้งความคิดที่ทำเรื่องไม่ดีในอดีตจะปรากฏออกมาในสมอง
รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะฝึกต้าฝ่าเป็นอย่างมาก
อาจารย์ ท่านอย่าได้ เลิกศึกษาจริงๆ
ในเมื่อท่านสามารถสำนึกได้ถึงการรบกวนของสิ่งเหล่านี้ กลับจะเป็นเรื่องดี ก็คือว่า ท่านสามารถสำนึกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ท่าน ท่านไปควบคุมมัน ยับยั้งมัน ณ เวลานี้ก็คือกำลังสลายมันไป
ถ้าความคิดของท่านไม่ได้คิดอะไรเลย ในสมองกลับมีความคิดที่ไม่ดีออกมา มันวิ่งออกมาเอง นั่นก็คือกรรม กำลังรบกวนท่าน ไม่ให้ท่านฝึก ให้ท่านรู้สึกว่าท่านไม่คู่ควรที่จะฝึก เพราะวัตถุสสารใดๆล้วนมีชีวิต โดยเฉพาะกรรมนั้น
มันก่อเกิดขึ้นในความคิดของท่าน
ดังนั้นมันจึงเชื่อมต่อกับความคิดของท่านโดยตรง สะท้อนออกมาจากสมองของท่าน ท่านก็เข้าใจว่าเป็นความคิดของท่าน แต่นั่นไม่ใช่ความคิดของท่าน
ศิษย์ ผมเป็นผู้ฝึกออสเตรเลีย
พวกเรามาร่วมประชุมฝ่าฮุ่ยที่แคนาดา
มาผิดแล้วหรือ
อาจารย์ ไม่ผิด มาแสวงหาฝ่ายังจะผิดหรือ อาจารย์เกรงแต่ว่า
เวลาในการบำเพ็ญของพวกท่านจะน้อยไป
ศิษย์ หวนคิดถึงด่านทั้งหลายที่ตนเองผ่านมา พบว่าเป็นเพียงการทำได้แค่เปลือกนอก กลับไม่อาจทำได้จากใจจริง
อาจารย์
พวกท่านสามารถคิดได้ถึงจุดนี้
แก้ไขตนเองจากแก่นแท้
หันไปมองด่านทั้งหลายที่ก้าวผ่านมา
พบว่ายังบกพร่อง
ข้าพเจ้าขอบอกท่าน นี่ก็คือการบำเพ็ญ
เมื่อพูดอย่างเป็นรูปธรรม
ท่านพบว่าบำเพ็ญได้ไม่ดีพอ จะทำอย่างไรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก
ศิษย์ ผมเห็นศูนย์ช่วยฝึกสอนหลายแห่งมอบตราสัญลักษณ์ฝ่าหลุนกงให้กันและกัน สวมชุดฝึกพลังสีเหลืองสีเดียวกัน ทำให้หวนคิดถึงช่วงปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม
อาจารย์ ภาพการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมคงจะฝังใจท่านลึกเหลือเกินแล้ว
แต่การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมนั้นเป็นการหาเหตุก่อกบฏ พวกเราที่นี่ไม่ใช่ส่งเสริมหาเหตุก่อกบฏ
พวกเราที่นี่ต้องการทำดีเพื่อคนอื่น
ล้วนเป็นคนดี
พูดถึงการสวมชุดฝึกพลัง ที่จริงข้าพเจ้าเคยพูดกับพวกเขาว่า
เวลาที่ทุกท่านทำกิจกรรมร่วมกัน
หากจำเป็นต้องสวมชุดฝึกพลังให้เหมือนกัน ท่านก็สวมได้
แต่ชุดฝึกพลังชนิดนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าทำจากที่ไหน ดูเหมือนแต่ละพื้นที่ต่างก็ทำกันเอง
ทุกคนดีใจพวกเราก็ทำชุดฝึกพลังให้เป็นเอกภาพ คล้ายชุดออกกำลังกาย ข้าพเจ้าคิดว่า ในเวลาปกติที่ฝึกพลังพวกท่านอย่าใส่ ประการที่หนึ่ง
คนจะรู้สึกเหมือนกับศาสนา
ประการที่สอง เมื่อท่านสวมชุดชนิดนี้ฝึกพลังอยู่ตรงนั้น คนที่ไม่ได้สวมชุดแบบนี้
ซึ่งคิดจะมาเรียนก็ไม่กล้าเข้ามา
ดังนั้น ในเวลาปกติอย่าใส่ ดีที่สุดให้ใส่เมื่อจำเป็น ในเวลาที่ทำกิจกรรมร่วมกัน
ศิษย์ ท่านอาจารย์ที่เคารพกล่าวว่า ถ้าไม่รักศัตรูของท่าน ท่านก็หยวนหมั่นไม่ได้ ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ยังทำไม่ได้ตามข้อกำหนดของอาจารย์ในการอภัยให้ต่อความเห็นแก่ตัวและจอมปลอมของผู้อื่น
อาจารย์ ไม่ใช่เช่นนี้ ทุกท่านคิดดู ความเห็นแก่ตัว และจอมปลอมของคน
เป็นการทำลายตนเอง นี่ไม่น่าเวทนาหรือ เขาเห็นแก่ตัวและจอมปลอม ในเวลาที่เขาทำไม่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือการดับสลาย
พวกท่านกลับจะได้รับสิ่งที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นเขา ท่านไม่นึกเวทนาหรือ แต่ความเห็นแก่ตัวและจอมปลอม
โดยตัวมันเองนั้นไม่น่าเวทนา
แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคน ดังนั้น ท่านควรให้อภัยเขา อีกอย่าง ศัตรูที่คนจัดแบ่งนั้น เขาคือศัตรูของคน แต่ทุกท่านคิดดู นั่นไม่ใช่ศัตรูของผู้บำเพ็ญ ท่านต้องเหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ เทพจะมองคนเป็นศัตรูได้ไหม ผู้ที่อยู่ในระดับชั้นที่สูงกว่าคนธรรมดาสามัญไม่อาจถือว่าคนธรรมดาสามัญเป็นศัตรูได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่า
ท่านไม่อาจรักศัตรูของท่าน ท่านก็หยวนหมั่นไม่ได้(เสียงปรบมือ)ยกเว้นมารที่ประทุษร้ายต้าฝ่า
ศิษย์ ศิษย์ต้าฝ่าจาก ๔๘ เขตใน ๒๕
มณฑลของประเทศจีนขอเป็นตัวแทนศิษย์ต้าฝ่าในพื้นที่กล่าวสวัสดีท่าน
อาจารย์ ข้าพเจ้าขอขอบใจทุกท่าน
ศิษย์
ศิษย์ต้าฝ่าจาก
๑๖ ประเทศขอเป็นตัวแทนศิษย์ต้าฝ่าในประเทศตนกล่าวสวัสดีท่านอาจารย์
อาจารย์ ข้าพเจ้าขอขอบใจทุกท่าน
ศิษย์ เมื่อบรรยายฝ่าจบลง ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์รำมือชุดใหญ่ได้หรือไม่
อาจารย์ รำมือชุดใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะรำไม่ได้ สามารถรำมือให้กับทุกท่านได้ แต่ต่อไปในพื้นที่อื่นอย่าได้ตั้งคำถามอย่างนี้อีก เนื่องจากผู้ฝึกของเรามากมาย ยากที่จะเข้าใจความนัยที่แท้จริง
ท่านอย่าถือว่าเขา(การรำมือ)เป็นการแสดงของอาจารย์ที่นี่
เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะลำบากใจมาก
หากคนไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้ เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะไม่ทำ ดังนั้นทุกท่านต้องระวังปัญหาเหล่านี้เอาไว้
เอาละตอนนี้จะรำมือชุดใหญ่ให้กับทุกท่าน
ฝ่าฮุ่ยของเราก็จะสิ้นสุดแล้วเพราะเป็นการบรรยายฝ่าครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าทราบว่าผู้ฝึกเก่านั้นสุกงอมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้ามองเห็นจุดนี้แล้ว ข้าพเจ้าดีใจมาก ทุกท่านสามารถรับรู้ฝ่าจากในฝ่า
สามารถปฏิบัติตนในฐานะผู้บำเพ็ญได้อย่างแท้จริง ก็ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สถานการณ์ของต้าฝ่าที่อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญมั่นคง
และมีพลัง
สถานการณ์ใดๆก็ทำลายไม่ได้แล้ว
ฟ้าผ่าก็ไม่สะดุ้ง (เสียงปรบมือ)
ในใจคนคิดจะทำอะไร สถานการณ์ภายนอกใดๆล้วนไม่อาจทำอะไรเขา แน่ละข้าพเจ้านั้นสอนคนให้เป็นคนดี ทุกท่านล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่
ข้าพเจ้ามองเห็นประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากพลังอันแน่วแน่
แน่วแน่ราวหินผาของผู้ฝึก
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ที่นั่งอยู่บางคนก็ยังไม่เข้าใจต้าฝ่า และยังมีเหตุผลอื่นๆที่ก้าวเข้ามาในห้องประชุมนี้ แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นนักข่าว
หรือจารชน หรือท่านทำงานอื่น
เรื่องอย่างนี้
ข้าพเจ้าคิดว่าในชีวิตหนึ่งของท่าน
ท่านคงไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เรื่องที่ข้าพเจ้าพูดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญสามารถพูดออกมาได้ ศาสตราจารย์ชั้นสูงที่สุดในหมู่คนธรรมดาสามัญ
นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุด เขาก็พูดออกมาไม่ได้
เพราะทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากความรู้ของมนุษยชาติ
ต่อให้พลิกตำราทั้งอดีตและปัจจุบันทั้งหมดจนทั่ว ท่านก็จะไม่อาจหาเจอ ใช่ มีหนังสือจำนวนหนึ่งที่พูดถึงการบำเพ็ญ แต่ล้วนคลุมเครือไม่เปิดเผย ไม่ได้บอกความลับที่แท้จริงให้กับท่าน จึงไม่อาจนำมาบำเพ็ญได้ ผู้ที่สามารถจะนำเรื่องการบำเพ็ญที่แท้จริงทั้งหมด
บรรยายมันออกมาจริงๆ
ในอารยธรรมของมนุษย์ยุคนี้ มีไม่กี่คน แต่ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่า
ข้าพเจ้ากำลังเปรียบเทียบกับพวกเขา
ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิด
แต่ที่ข้าพเจ้าบอกกับทุกท่านนั้น คือสิ่งที่ท่านจะไม่อาจได้ยินอีกเลยจริงๆ
ตราบชั่วกาลนาน (เสียงปรบมือยาวนาน)
ชีวิตคนนั้นมีไม่มาก ทางนั้นคนต้องเดินเอง จะเดินเส้นทางชีวิตนี้ของท่านอย่างไร ล้วนแต่กำหนดด้วยตัวเอง ไม่มีใครบังคับใครได้ พวกเราที่นั่งอยู่รู้สึกว่าดี
ล้วนเป็นเพราะตัวพวกเขาเองรู้สึกว่าดีที่ได้บำเพ็ญอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงพูดว่าแต่ละคนนั้น
ล้วนต้องลองคิดดู โดยเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างแท้จริงว่า ตนเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
หรือมีชีวิตอยู่เพื่อใคร
บางทีโอกาสแห่งวาสนาเดินเฉียดตัวมาแล้วเลยไป
นั่นจะเป็นเรื่องที่เจ็ดปวดและเสียใจตลอดกาลนานก็มิอาจชดเชยได้
วันนี้ไม่ว่าท่านจะเข้ามาด้วยรูปแบบอะไร
บางทีก็อาจจะเป็นรูปแบบชนิดหนึ่งที่นำทางให้ท่านได้ฝ่า
ข้าพเจ้าหลี่
หงจื้อ เมื่อทำเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่า
ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อคน
รับผิดชอบต่อสังคม
ข้าพเจ้าจึงทำเรื่องนี้
หากข้าพเจ้าทำผิดต่อสังคม
ทำผิดต่อคน
ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
และก็จะไม่อาจมีคนจำนวนมากอย่างนี้มาเรียนกันในวันนี้ ในทางปฏิบัติก็ได้พิสูนจ์อย่างชัดแจ้งแล้ว
ข้าพเจ้าไม่ได้นำความยุ่งยากมาสู่สังคม
ในทางกลับกัน
มีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงธรรมมากมาย
เมื่อเผชิญหน้ากับข้าพเจ้าและต้าฝ่า
ได้เผยความไม่ถูกต้องเที่ยงธรรมของมันออกมา
มันก็จะลุกขึ้นมาต่อต้านข้าพเจ้าและต้าฝ่า
นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสอนให้คนเป็นคนดี
นี่ไม่ผิดอย่างแน่นอน
การสอนให้คนเป็นคนดียิ่งขึ้น ก็ไม่ผิด
แต่เป็นเพราะข้าพเจ้ากับเหล่าผู้ฝึกทำได้ถูกต้องเที่ยงธรรมเหลือเกิน ทุกสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือถูกต้องไม่พอ จึงเกิดความไม่พอใจ
ใช่ ข้าพเจ้าเคยพูดว่า การสอนให้คนๆหนึ่งเป็นคนดีนั้นยากมาก
ไม่ใช่ทำให้คนๆหนึ่งบรรลุถึงการเปลี่ยนแปลงจากเปลือกนอก ใจของคนต้องซาบซึ้งอย่างแท้จริง เขาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และการเปลี่ยนแปลงชนิดนี้ก็ไม่อาจมีพลังอะไรที่จะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงอีก
(เสียงปรบมือ)
ข้าพเจ้าก็มองเห็นแล้วว่าคนมีจิตพุทธอยู่ ไม่ว่าสังคมมนุษย์จะเสื่อมทรามถึงระดับไหน ทว่าคนยังมีจิตใจดีงาม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทำเรื่องนี้
ในทางปฏิบัติก็พิสูจน์แล้วว่าข้าพเจ้าสามารถทำได้แล้ว ข้าพเจ้ามองเห็นศิษย์ต้าฝ่าในวันนี้สามารถก้าวหน้าอยู่ในต้าฝ่าได้
และยกระดับชั้นของตนเองขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้ายินดีที่สุด
พูดถึงว่าสังคมจะมองข้าพเจ้าอย่างไรนั้น
ข้าพเจ้าคิดว่าขอเพียงข้าพเจ้ากับต้าฝ่าเดินได้เที่ยงตรง ผู้ฝึกของข้าพเจ้าเพียงทำได้ดี ไม่ว่าจะมีอคติมากมายเพียงใด
ข้าพเจ้าคิดว่าก็จะปรับเปลี่ยนกลับมาได้ทั้งสิ้น (เสียงปรบมือ)
คนทั้งหลายที่ไม่เข้าใจพวกเรา
คนที่โจมตีพวกเรา
ล้วนพูดเหมือนกันว่า พวกท่านทำได้ดีถึงอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ ก็คือว่าเขาไม่เชื่อว่า มนุษยชาติยังมีคนดีหลงเหลืออยู่
ดังนั้นพวกเราก็ทำให้พวกเขาเห็นสักที (เสียงปรบมือ)
ข้าพเจ้าคิดว่า
บางคนที่ไม่เข้าใจความจริงแล้วต่อต้านเรา
สาเหตุสำคัญคือไม่ค่อยเข้าใจเรา เราสามารถให้เขาทำความเข้าใจ ให้เขารับรู้ จะด้วยวิธีการใดก็ได้ทั้งนั้น ท่านจะมาตามช่องทางปกติ
หรือช่องทางที่ไม่ปกติ
เราทุกคนก็ล้วนจะเปิดประตูออก
อยากจะรู้อะไรก็ให้เขารู้
อยากดูอะไร
เราก็ให้เขาดูทั้งหมด
ท่านคิดจะรู้อะไร
ถ้าท่านไม่เจตนามาทำลาย
ขอให้ท่านมาทำความเข้าใจ
ถ้าในนี้มีปัญหาจริง
เช่นนั้นพวกเราที่นี่ก็ไม่ใช่ดินแดนบริสุทธิ์อย่างแน่แท้แล้ว ข้าพเจ้ากล้าบอกให้ทุกท่านทำเช่นนี้ ข้าพเจ้ากล้าบอกให้พวกท่านทำอย่างนี้ ก็คือว่าพวกเรานั้นสามารถบรรลุถึงจุดนี้ได้ พวกเราที่นี่คือดินแดนบริสุทธิ์(เสียงปรบมือ)
เราไม่ใช่ศาสนา ยิ่งไม่ใช่ศาสนานอกรีต เหล่าผู้ฝึกเพียงแต่บำเพ็ญ ผู้ที่ไม่อาจหยวนหมั่น
เขาก็จะเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคมคนธรรมดาสามัญได้
คนมากมายเช่นนี้สามารถบังเกิดผลในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด ล้วนแต่จะเป็นประโยชน์ต่อที่นั่น สามารถจะทำให้สังคมมั่นคงได้อย่างแน่วแน่
สามารถทำให้ใจคนดีงาม
ประเทศไหนๆก็จะต้อนรับเขา
ดังนั้น
กล่าวสำหรับข้าพเจ้าและผู้ฝึก
แน่ละไม่ได้มีเจตนาที่จะทำอะไรให้กับสังคม ข้าพเจ้าหลี่ หงจื้อ
ได้พูดไว้นานแล้วว่า
ข้าพเจ้าไม่คิดจะทำอะไรให้กับสังคมคนธรรมดาสามัญ แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าทำนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคมคนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าหาได้คิดจะทำอะไรให้สังคมคนธรรมดาสามัญ
ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการรับผิดชอบต่อผู้บำเพ็ญเหล่านี้ แน่ละมีคนศึกษาต้าฝ่ามากขึ้น บทบาทของพวกเขาในสังคมย่อมจะต้องมีประโยชน์ต่อสังคมแน่นอน พวกเขาจะก่อเกิดเป็นสนามที่ใหญ่มาก
จะก่อเกิดเป็นกลุ่มคนที่ใหญ่มากกลุ่มหนึ่ง จะชักนำให้ศีลธรรมของทั่วทั้งสังคมฟื้นคืนขึ้นมา
(เสียงปรบมือ)
มีผู้สื่อข่าวมากมาย มีคนมากมายกำลังงงงัน
ทำไมมีคนมากมายอย่างนั้นมาศึกษาต้าฝ่า
บางทีคนที่นั่งอยู่ในวันนี้พวกท่านก็มองเห็นแล้ว เพราะอะไร
เพราะในนี้สอนให้คนเดินบนทางที่ถูกต้อง และเป็นคนดีที่แท้จริง ในนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นของเลอะเทอะในสังคม
จะชำระสิ่งที่ไม่ถูกต้องทุกสิ่ง
เป็นคนที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อสังคม
ตราบจนเป็นคนที่บรรลุมาตรฐานของการหยวนหมั่น พวกเราที่นี่ไม่เก็บเงิน ไม่นำคนไปทำเรื่องที่ไม่ดีเหล่านั้น ไม่ยุ่งกับการเมือง ดังนั้นจึงมีคนมากมายอย่างนั้น คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่ามนุษยชาติยังมีคนดีประเมินจุดนี้ต่ำเกินไป(เสียงปรบมือ)
ข้าพเจ้าไม่คิดจะโฆษณาตนเอง
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพยายามไม่พบกับสื่อมวลชน ผู้ที่ไม่เข้าใจ ถ้าพวกท่านอยากสัมภาษณ์ มีผู้ฝึกมากมาย พวกเขาล้วนสามารถบอกท่านได้ หากจะพบข้าพเจ้าให้ได้
ข้าพเจ้าคิดว่าหากท่านไม่เข้าใจฝ่าของเรา ท่านจะถามว่าฝ่าหลุนกงคืออะไร ข้าพเจ้าก็จะไม่พบกับท่าน
ท่านไปอ่านหนังสือของข้าพเจ้าเสียก่อน ทำความเข้าใจคนกลุ่มนี้ของเรา จากนั้นข้าพเจ้าค่อยพบกับท่าน
(เสียงปรบมือ)
พวกเราต่างทราบว่า
เพียงพูดกันสองสามคำนั้นไม่อาจพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้ เขา(ต้าฝ่า)ไม่ใช่เรื่องในหมู่คนธรรมดาสามัญ ดังนั้นนักข่าวเหล่านั้นที่ไม่เข้าใจเรา จึงจับใจความบางตอนเอาไปพูดต่อ ไปขยายความ จินตนาการ ไปวิจารณ์
ตามทัศนคติของเขาเอง ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก
เนื่องจากพวกเขาล้วนกำลังทำตัวเป็นคนดี พวกท่านพูดว่าพวกเขาไม่ดีอีก นี่ไม่ยุติธรรมเลย ทำร้ายจิตใจพวกเขาเกินไปแล้ว
(เสียงปรบมือ)การรายงานของพวกท่านเบี่ยงเบนไปไกลมาก ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าไม่อยากพูดมากเกินไป ข้าพเจ้าหวังว่าศิษย์ต้าฝ่าของข้าพเจ้าล้วนบำเพ็ญจริงให้ก้าวหน้าโดยเร็ว หยวนหมั่นโดยเร็ว
(เสียงปรบมือยาวนาน)
ขอบใจทุกท่าน