การบรรยายฝ่าที่ฝ่าฮุ่ยสิงคโปร์

หลี่ หง จื้อ

22-23  สิงหาคม ค.ศ. 1998

 

ผู้ฝึกทั้งหลาย  สวัสดีทุกท่าน (เสียงปรบมือ  บรรดาศิษย์ – สวัสดีท่านอาจารย์)

ข้าพเจ้าทราบว่า พวกเราที่กำลังนั่งอยู่มีทั้งผู้ฝึกสิงคโปร์ของเรา  และยังมีผู้ที่มาจากที่ห่างไกลนับพันลี้  จากประเทศจีนและประเทศอื่นๆกับพื้นที่อื่นๆมากมาย จุดประสงค์ของฝ่าฮุ่ยครั้งนี้คือให้สามารถค้นพบความบกพร่องต่างๆโดยผ่านการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทำให้ทุกท่านสามารถยกระดับชั้นได้อย่างรวดเร็ว  มักจะเป็นจุดประสงค์อย่างนี้เสมอ  แต่ว่านะ  ผู้ฝึกเราส่วนหนึ่งเนื่องจากผ่านการบำเพ็ญมายาวนานนับวันจึงสามารถเข้าใจฝ่าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีความซาบซึ้งมากมายของตนเอง มีความรู้สึกด้านต่างๆที่สัมผัสได้ด้วยตนเองนับวันก็ยิ่งมากขึ้น   ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกมากมายที่อยากจะพบกับข้าพเจ้า  พวกท่านมีหลายคนจัดว่าไม่เคยเข้าร่วมชั้นเรียนที่ข้าพเจ้าจัดขึ้นในประเทศจีนในช่วงแรก  หลายๆคนศึกษาด้วยตัวเอง  เช่นนี้แล้ว  จึงมีจิตใจกระหายอยากที่จะพบข้าพเจ้ามาก  ข้าพเจ้าก็ทราบสภาพจิตใจของทุกท่าน  ดังนั้นทุกท่านจึงมากันแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่คิดเช่นนี้  ก็อยากจะมา  สภาพจิตใจของพวกท่านนั้นข้าพเจ้าเข้าใจอย่างยิ่ง  แต่ข้าพเจ้าคิดว่า  ปีนั้นที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าด้วยตนเองนั้น ก็ถือการถ่ายทอดฝ่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ในเมื่อฝ่าได้ถ่ายทอดออกมาแล้วในปัจจุบัน  หนังสือก็เผยแพร่อย่างกว้างขวางในสังคมแล้ว  ผู้ฝึกเราต่างก็มีหนังสือกัน  หรือกล่าวได้ว่าพวกท่านล้วนสามารถศึกษาฝ่า บำเพ็ญ  ได้ผลเหมือนกับปีนั้นที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่า จัดชั้นเรียนด้วยตนเอง  ไม่มีอะไรตกหล่น  ดังนั้นในขณะนี้ก็คือทำอย่างไรให้พวกท่านมีสภาพแวดล้อมอันหนึ่งของการบำเพ็ญที่สงบมั่นคง ทำอย่างไรให้พวกท่านยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วได้  เรื่องนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด   เมื่อผ่านการศึกษาฝ่า  ผ่านการบำเพ็ญ ทุกท่านก็เข้าใจได้แล้ว ทราบว่าอาจารย์กำลังดูแลพวกท่านอยู่อย่างแท้จริง  รับผิดชอบต่อพวกท่าน  ดังนั้นการยกระดับของพวกท่าน จึงมีระบบ  มีการจัดวางไว้ทั้งหมด  แต่ละคนต่างมีเส้นทางการบำเพ็ญสายหนึ่งที่เป็นระบบ เพราะว่าทุกท่านอยากจะพบข้าพเจ้า  พอใจดวงนี้ฟูฟ่องขึ้นมา  ไม่อาจสงบใจบำเพ็ญได้ หรือเที่ยวค้นหาข้าพเจ้าไปทั่ว  ดังนั้นย่อมจะกระทบต่อลำดับขั้นตอนของการบำเพ็ญของพวกท่าน  ฝ่าได้ถ่ายทอดออกมาแล้ว แต่ทุกท่านเคยคิดหรือไม่ว่า  การยกระดับของพวกท่าน  การบำเพ็ญของพวกท่าน นี่จึงจะสำคัญที่สุด  หากพวกท่านไม่สามารถจะยกระดับได้ ไม่สามารถจะบำเพ็ญได้  การถ่ายทอดฝ่านี้ของข้าพเจ้าก็เท่ากับศูนย์(สูญเปล่า)

ในเมื่อเรื่องการบำเพ็ญของพวกท่านนี้เป็นเรื่องลำดับที่หนึ่ง ฉะนั้นเรื่องใดๆล้วนไม่อาจรบกวนมันได้  ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการบอกทุกท่าน ในระหว่างการบำเพ็ญนั้นต้องสงบใจลงมาบำเพ็ญ อย่าให้จิตใจแบบคนธรรมดาสามัญชนิดใดๆมากระทบต่อตนเอง ถ้าหากท่านทำเพื่อการบำเพ็ญจริงๆ  เพื่อยกระดับเขตแดนของตน  ค้นหาจุดบกพร่อง  หรือลองพิจารณาสภาพการณ์บำเพ็ญของผู้ฝึกสิงคโปร์ ลองฟังความเข้าใจของพวกเขา  ว่าจะกระตุ้นการยกระดับของตนเองได้อย่างไร  หากพวกท่านต่างพิจารณากันได้อย่างนี้  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะดีใจมาก  แน่ละ การที่ทุกท่านอยากจะพบข้าพเจ้านั้นไม่มีอะไรผิด  เพียงแต่ฉิงของมนุษย์นี้ของพวกท่านอย่าหนักจนเกินไป อย่างไรเสียจิตอย่างนี้ของคนธรรมดาสามัญก็ต้องปล่อยวาง  หาไม่แล้วพวกท่านก็จะใช้ฉิงของคนธรรมดาสามัญ  จิตใจของคนธรรมดาสามัญมาปฏิบัติต่อข้าพเจ้า  ใช้วิธีคิดแบบคนธรรมดาสามัญมาปฏิบัติต่อฝ่า  นี่ก็จะก่อให้เกิดอุปสรรคอย่างมากต่อการยกระดับของพวกท่าน    ทุกท่านต้องระวังปัญหานี้ไว้

พวกเราหลายคนมาถึงที่นี่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ บางคนงานการก็ยุ่งมาก  เจียดเวลา มาสิงคโปร์โดยเฉพาะ อะไรๆก็มีทั้งนั้น แม้ว่าได้มาแล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าก็ควรสงบใจลงมา ลองฟังว่าผู้ฝึกสิงคโปร์เขาบำเพ็ญกันอย่างไร  ยกระดับกันอย่างไร  รวมทั้งผู้ฝึกที่มาจากนอกพื้นที่ให้ถือมันเป็นการหาประสพการณ์ครั้งหนึ่งก็แล้วกัน

            เดิมทีข้าพเจ้าจะมาร่วมฝ่าฮุ่ยครั้งนี้  มาฟังทุกท่านพูด  แต่ว่า ผู้ฝึกของเราหลายคนมักจะยังมีคำถามมากมายที่ไม่เข้าใจ   เนื่องจากต้าฝ่าถ่ายทอดอยู่ในโลกมนุษย์ ย่อมต้องมีผู้ฝึกใหม่ ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ฉะนั้นเขาย่อมจะต้องมีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้  ที่จริงปัญหาอะไรก็สามารถหาคำตอบได้จากในหนังสือทั้งนั้น  แต่ผู้ฝึกเราหลายคนยังคงไม่วางใจ ก็มักจะอยากถามสักหน่อย  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงให้โอกาสอย่างนี้สักครั้งแก่ทุกท่าน การประชุมมีเวลาสองวัน ข้าพเจ้าจะไม่พูดอะไรมากในเวลานี้ โดยหลักคือฟังทุกท่านพูด รอถึงช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ ตลอดช่วงบ่ายข้าพเจ้าจะตอบปัญหาให้ทุกท่าน ทุกท่านสามารถยกคำถามในการบำเพ็ญให้มากหน่อย  ข้าพเจ้าจะตอบทุกท่าน  ข้าพเจ้าคิดว่ามีเวลาครึ่งวันก็เพียงพอแล้ว  เนื่องจากมีเวลาทั้งสิ้นเพียงสองวัน ผู้ฝึกเรายังต้องจัดการให้มีการพูด  ยังมีกิจกรรมอื่นอีก  พวกเราพยายามจัดฝ่าฮุ่ยนี้ให้สำเร็จสมบูรณ์เถอะ  การประชุมใหญ่แบบนี้ ในสิงคโปร์ก็เป็นครั้งแรก   และยังมีผู้ฝึกจากนอกพื้นที่มากันมากมาย  การจัดการด้านต่างๆก็ไม่ง่าย  ไม่ต้องให้ข้าพเจ้าบอกพวกท่านมากเกินไป            ทุกท่านก็ทราบว่าจะไปทำอย่างไรและสามารถทำได้ดีมาก

            ต่อไปข้าพเจ้าจะพูดถึงสภาพการณ์โดยรวมของต้าฝ่าเราในขณะนี้  ในอดีตเมื่อข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าอยู่ในประเทศจีน  ประเทศจีนพอดีอยู่ในยุคของการปฏิรูปเปิดกว้าง  ข้าพเจ้าจึงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า  ความคิดของคนเปลี่ยนแปลงไปกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นในเวลานี้เมื่อข้าพเจ้านำสิ่งนี้ออกมาพูด  คนจำนวนมากเนื่องจากทัศนคติที่ก่อเกิดมายาวนาน  จึงทำให้ความเข้าใจของเขาต้องมีขั้นตอนหนึ่ง หลังผ่านการศึกษาฝ่าช่วงหนึ่งแล้ว  เขาจึงจะเข้าใจว่าข้าพเจ้ากำลังนพูดอะไร  ต่อมาข้าพเจ้าพบว่า  โดยเฉพาะในช่วงระยะนี้   ในการได้รับฝ่าของผู้ฝึกใหม่มีความรู้สึกว่าผู้มาทีหลังได้แซงขึ้นหน้าไป  คือเขาไม่มีอุปสรรคในการรู้สึกรับรู้  ยอมรับได้ในทันที  ทุ่มตัวเข้ามาในทันที  ไม่มีขั้นตอนของการรับรู้  ฉันจะศึกษาได้หรือไม่นะ  อยากจะศึกษาไหมนะ  เขาไม่มีสิ่งนี้  หรือว่า ในหลักการที่ท่านพูดนั้นถูกต้องหรือไม่นะ หรือพูดว่า ผู้ฝึกเหล่านี้ของเราแม้ว่าจะได้ฝ่าทีหลัง แต่ข้าพเจ้าพบว่าก็ไม่ตกหล่น     เมื่อผ่านการมุมานะของเขาเองก็สามารถตามได้ทันอย่างรวดเร็ว

            ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสถานการณ์ของต้าฝ่าโดยรวม  การรับรู้ต่อฝ่า (ผู้ฝึก)นับวันก็ยิ่ง(มีความเข้าใจ)ลึกซึ้งมากขึ้น  ความเข้าใจต่อฝ่านับวันยิ่งล้ำลึก  รู้ว่าฝ่าคืออะไรอย่างแท้จริง  ตรงนี้เทียบกับเมื่อเริ่มแรกที่ใช้ความรู้สึกของคน ความนึกคิดของคนมาปฏิบัติต่อฝ่านี้แล้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  มีการเปลี่ยนแปลงมากจริงๆ  ไม่เหมือนกับเมื่อแรกเริ่มโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นจึงพูดได้ว่า  พวกท่านต่างกำลังบำเพ็ญอยู่ในฝ่าอย่างแท้จริงแล้ว  ไม่ได้ใช้ฉิง(อารมณ์ ความรัก ความผูกพัน)อันนั้นของคนธรรมดาสามัญ  ความรู้สึกเคารพเลื่อมใสแบบคนธรรมดาสามัญชนิดนั้น  ทัศนคตินานาชนิดแบบนั้นของคนธรรมดาสามัญมาพิจารณาฝ่านี้  ตัดสินฝ่า  สิ่งนี้มีน้อยลงเรื่อยๆ ฉะนั้นจึงพูดว่าฝ่าของเราอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญนี้ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ

อะไรที่เรียกว่าหล่อหลอมเข้ากับฝ่านะ  บางทีผู้บำเพ็ญของเราจำนวนมากอาจจะยังไม่ทราบ  ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  สามารถช่วยพวกเรา  สามารถทำให้พวกเราบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นและเขตแดนที่ต่างกันได้  สามารถทำให้พวกเราหยวนหมั่น แล้วเหตุใดจึงยังต้องให้คนไปหล่อหลอมเข้ากับเขาละ  ที่จริงนะ  ทุกท่านอาจคิดกันว่า  สังคมคนธรรมดาสามัญก็เป็นปรากฏการณ์ของต้าฝ่าที่ไร้ขอบเขตของจักรวาลนี้ ณ ระดับชั้นที่ต่ำที่สุดของคนธรรมดาสามัญ  รูปแบบทั้งหมดที่แสดงออกมาของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ก็เป็นสิ่งที่ฝ่านี้มอบให้  สร้างสรรค์ให้   ฉะนั้นในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง พวกเรากำลังอาศัยสภาพแวดล้อมอย่างนี้ในการบำเพ็ญ   ฉะนั้นสังคมคนธรรมดาสามัญแม้ว่าเมื่อมองดูมันจากระดับชั้นที่ต่างกันจะเห็นว่ามันไม่ดี  แต่มันก็เป็นระดับชั้นหนึ่ง  เขตแดนหนึ่ง ที่ฝ่าสร้างสรรค์ขึ้นมา  ดังนั้นในระหว่างการบำเพ็ญของพวกเราจะกระโดดออกจากระดับชั้นนี้ได้อย่างไร  จะสลัดพ้นจากทัศนคติด้านพฤติกรรมนานาชนิดของสังคมคนธรรมดาสามัญได้อย่างไร  เมื่อแจ่มแจ้งได้แล้วพวกท่านจึงจะสามารถทะลวงอุปสรรคเหล่านี้ไปได้  และจะสามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปนี่คือสิ่งที่พวกท่านจะต้องทำในระหว่างที่บำเพ็ญ 

หากท่านปล่อยวางสิ่งของๆคนธรรมดาสามัญไม่ลง  ก็ย่อมจะขัดขวางการบำเพ็ญของท่านอย่างร้ายแรง  แต่ในขณะนี้การเสื่อมทรามของศีลธรรม  การตกต่ำของทัศนคติด้านศีลธรรมของมนุษย์  ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฝ่าระดับชั้นนี้ที่สร้างสรรค์ทุกสิ่งให้กับสรรพชีวิตระดับชั้นนี้   ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนทราบว่าสังคมคนธรรมดาสามัญยังคงมีสัจธรรมที่เป็นมาตรฐานอันหนึ่ง  หากไม่มีมาตรฐานนี้แล้วคนล้วนกล้าที่จะทำอะไรก็ได้  อะไรก็กล้าทำ  อะไรก็ไม่กลัว   ดังนั้นจึงก่อให้เกิดการเสื่อมของศีลธรรมและทัศนคติในสังคม  ปรากฏออกมาซึ่งปรากฏการณ์ที่ไม่ดีนานาชนิด กับความผิดบาปนานาชนิดในสังคมคนธรรมดาสามัญ

พวกท่านจะหล่อหลอมให้เข้ากับฝ่าได้นั้น  ก่อนอื่นต้องเป็นคนดีคนหนึ่ง  ในขณะที่ทุกท่านทำตัวเป็นคนดีนั้นก็ได้หล่อหลอมให้เข้ากับฝ่าแล้ว แต่พวกท่านนั้นก็บำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  พวกท่านยังจะต้องสูงกว่าสิ่งทั้งปวงนี้  เช่นนั้นพวกท่านเองจะสามารถเข้าใจฝ่าอย่างแท้จริงได้อย่างไร  บำเพ็ญอยู่ในฝ่า  ทำตัวเป็นผู้บำเพ็ญที่สง่างามคนหนึ่งอย่างแท้จริง  เช่นนี้ทุกท่านจึงกำลังหล่อหลอมเข้ากับฝ่า  พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ท่านก็กำลังปกป้องฝ่า  เพราะการแสดงออกในสังคมคนธรรมดาสามัญของผู้ฝึกแต่ละคน  ล้วนแต่เป็นตัวแทนรูปลักษณ์ของฝ่าหลุนต้าฝ่า  ใช่เช่นนี้หรือไม่  ถ้าพวกเราต่างก็ทำไม่ดี  เช่นนั้นย่อมจะต้องทำให้ต้าฝ่าด่างพร้อย  ในขณะเดียวกันพวกเราก็ไม่อาจพูดว่าหล่อหลอมเข้ากับฝ่า  บางคนพูดว่า  เราต้องปกป้องฝ่า ต้องพิทักษ์ฝ่า  คนอื่นพูดว่าพวกเราไม่ดี พวกเราจะปฏิบัติอย่างไร  โดยเฉพาะคือบางคนดำเนินการใส่ร้ายป้ายสีต้าฝ่า หรือไม่เป็นธรรมต่อเรา  พวกเราจำนวนมากในใจมักจะรู้สึกไม่พอใจ  จะเลือกวิธีการอะไรตอบโต้เขา  เขาไม่ดีต่อเรา  เราก็จะปฏิบัติต่อเขาแบบเดียวกันเช่นนั้นพวกเราก็เท่ากับเป็นคนธรรมดาสามัญ ก็เหมือนกันกับเขาแล้ว

ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  การปกป้องฝ่าไม่ใช่การใช้ความรุนแรง  ดีชั่วสองด้านมีอยู่พร้อมกันในตัวคน  พวกเราขจัดด้านที่ชั่วร้ายไป ใช้เพียงด้านที่ดีงามมาปกป้องฝ่า  คนอื่นพูดว่าเราไม่ดี  เราสามารถบอกให้เขาเข้าใจได้ว่าเราดีอย่างไร  บอกเขาด้วยเหตุผล  ใช้ด้านที่ดีงามทั้งสิ้น  คนธรรมดาสามัญเมื่อพบกับเรื่องอะไร เขาก็มักจะเลือกวิธีการด้านลบ  เช่นนั้นจึงเลือกการกระทำที่เกินเลยหรือเลือกความรุนแรงอะไร กล่าวสำหรับพวกเรา นี่ล้วนใช้ไม่ได้  ข้าพเจ้ามักพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า หากคนๆหนึ่งไม่มีทัศนคติใดๆของตนเอง   ไม่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นจุดเริ่ม ทำเพื่อคนอื่นอย่างจริงใจ  บอกจุดบกพร่องของคนอื่นให้กับเขา  หรือบอกเขาว่าที่ถูกคืออะไร  เขาก็จะตื้นตันใจจนน้ำตาไหล

พลังของความเมตตานี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน  เพียงแต่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ในเวลาที่บอกเล่าเรื่องที่ดีให้กับคนอื่นก็จะมีทัศนคติของตนอยู่ด้วย   กระทั่งกลัวว่าตนเองจะสูญเสีย  ปกป้องจิตใจนั้นของตนเอง  มีสิ่งต่างๆมากมายหลายด้านปนอยู่ข้างใน  ดังนั้นคำพูดที่พูดออกไป  ได้ยินแล้วจึงฟังดูไม่ดี ไม่บริสุทธิ์เลย  และยังมักจะมีอารมณ์อยู่ด้วย  หากท่านเกิดจิตเมตตาอย่างแท้จริง ไม่มีทัศนคติของตนเองแทรกอยู่ข้างในคำพูดที่ท่านพูดออกไป จะทำให้คนตื้นตันใจจริงๆ

ข้างในนี้ที่ข้าพเจ้าพูดก็คือ พวกเราที่อยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญจะหล่อหลอมเข้าฝ่าได้อย่างไร  จะทำอย่างไรไม่ให้ฝ่าได้รับความเสียหาย     พวกเราหลายคนได้อธิบายเหตุผลของพวกเราให้กับหน่วยงานต่างๆของรัฐในสังคม  ข้าพเจ้าว่าคือเรื่องที่ดี ถ้าเขาฟังเข้าใจแล้วเขาอาจกลายเป็นคนดีคนหนึ่งแล้ว  เกรงแต่ว่าเขาจะไม่ยอมรับฟัง   หากพวกเขาคิดจะเข้าใจฝ่าของเราจริงๆ  เพียงเขาไปอ่านหนังสือ เพียงเขาได้อ่านฝ่า  เขาสามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงแล้ว  เช่นนั้นเขาก็จะรู้ว่าพวกเราเป็นอย่างไร   คนที่พูดว่าพวกเราไม่ดีล้วนแต่ไม่เข้าใจพวกเรา  เป็นผู้ที่ไม่เข้าใจพวกเรา  พวกเรานั้นทั้งหมดล้วนแต่เปิดเผย  ไม่มีสิ่งใดที่ไม่กล้าสู้หน้าคน  เส้นทางนี้ที่เราเดินเที่ยงตรงอย่างยิ่ง   ข้าพเจ้ามักพูดว่า  ก็เพราะเส้นทางที่เราเดินเที่ยงตรงยิ่งนัก  ทุกสิ่งในสังคมคนธรรมดาสามัญล้วนไม่เที่ยงตรง  ไม่เที่ยงตรงพอ  กระทั่งไม่สมบูรณ์แบบพอ  จึงถือว่าพวกเราเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง  เพราะพวกเรานั้นดีเกินไปแล้ว  เช่นนั้นจึงอาจมีบางสิ่งเปิดโปงความบกพร่องของตัวมันออกมา  ดังนั้นมันจึงส่งผลที่ไม่ดีหลายประการต่อเรา  นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น  หากสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงตรงถ่ายทอดออกมาแล้วไม่มีคนต่อต้าน   เช่นนั้นข้าพเจ้าว่ามันย่อมจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี(เสียงปรบมือ)

พูดจากอีกด้านหนึ่ง  ฝ่าของเราถ่ายทอดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  การประสบกับการโจมตีตามอำเภอใจของคนและหน่วยงานเหล่านั้นที่ไม่เข้าใจเรา หรือให้คำจำกัดความบางอย่างแก่พวกเราตามชอบใจ  หรือเลือกวิธีการที่ไม่ดีต่างๆมาปฏิบัติต่อพวกเรา  ข้าพเจ้าคิดว่าปัญหาเหล่านี้พวกเราเองก็ต้องพิจารณาจากตนเองด้านนี้ด้วย  เหตุใดจึงเกิดเรื่องอย่างนี้ได้  ใช่หรือไม่ว่าพวกเราเองหรือผู้รับผิดชอบของเรา  ศูนย์ฝึกเรา หรือผู้ฝึกคนไหนของเราทำได้ไม่ดีพอ  เมื่อพวกเราประสบกับเรื่องอะไร ถ้าสามารถประเมินตัวเราเองด้านนี้สักหน่อย  ข้าพเจ้าว่าคนๆนี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว  บนเส้นทางของการหยวนหมั่น ก็จะไม่มีอุปสรรคใดๆที่จะขัดขวางท่านได้  เมื่อพวกเราพบกับเรื่องอะไรก็มักจะมองสู่ภายนอก คุณทำไมปฏิบัติต่อผมอย่างนี้  ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมชนิดหนึ่ง  ไม่ไปพิจารณาตนเอง  นี่คืออุปสรรค และจุดอ่อนที่เป็นจุดตายที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตทั้งปวง ในอดีตหลายคนพูดว่าบำเพ็ญขึ้นมาไม่ได้  จะบำเพ็ญขึ้นมาได้อย่างไรละ  เพราะว่านี่คืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด  ใครก็ไม่ต้องการที่จะพิจารณาตนเองอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง  รู้สึกว่าตนเองได้รับความเจ็บปวดแล้ว  ประสบความเคราะห์ร้ายแล้วยังจะต้องค้นหาจากในตนเอง  ดูว่าตนเองทำไม่ถูกที่ตรงไหน   ทำได้ยากจริงๆ ถ้าใครสามารถทำได้  ข้าพเจ้าว่า บนเส้นทางนี้  บนเส้นทางการบำเพ็ญนี้  ชั่วชีวิตนี้ของท่าน ก็ไม่มีอะไรที่จะขวางกั้นท่านได้เลย  เป็นอย่างนี้จริงๆ  เพราะพวกเราต่างก็มีความคิด  ถึงแม้เหตุผลจะอยู่ตรงหน้า  ถึงแม้ในใจมักจะเข้าใจได้แล้ว  แต่ยังข้ามไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรในใจพวกเรานั้นเข้าใจ  รู้ว่าสิ่งไหนที่ถูกต้อง  สิ่งไหนที่ผิด  ทำได้ไม่ดีครั้งหนึ่ง  ทำได้ไม่ดีสองครั้ง  ต่อไปพวกเราจะทำได้ดี  ที่สำคัญคือท่านจะรู้ตัวได้อย่างไร            จะสามารถยึดถือปฏิบัติกับตนเองให้ถูกต้องค้นหาสาเหตุของตัวเองได้อย่างไร

ที่ผ่านมาผู้ฝึกของเราหลายคนเกิดความขัดแย้งต่างๆกับคนนอกวงการ  หรือคนในสังคม  หรือหน่วยงานไหนในสังคมที่ไม่เป็นธรรมต่อเรา  พวกเรามักจะไม่ค้นหาสาเหตุจากด้านนี้ของตนเอง   ล้วนแต่ไปเน้นที่อีกฝ่ายหนึ่ง  บางสิ่งนั้นก็ไม่ดีมาก  มันกำลังประทุษร้ายอย่างกำเริบเสิบสาน  แต่พวกท่านคิดหรือไม่ว่า แม้ว่ามันไม่ดี  แม้ว่ามันคือมารที่แสดงออกมา  แต่มันจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้อย่างไรกันละ  ใช่หรือไม่ว่ากำลังอาศัยด้านที่ไม่ดีของมันทำให้เรามองเห็นด้านที่ไม่ดีของตนเองละ  ข้าพเจ้ามักพูดเสมอว่า  เมื่อคนสองคนพบกับความขัดแย้งพวกท่านต่างก็ต้องมองดูตัวเอง  ไม่เพียงแต่ท่านทั้งคู่ที่เกิดความขัดแย้งต้องมองดูตัวเอง   คนรอบข้างที่เห็นปัญหานี้ ท่านก็ควรที่จะพิจารณาตนเองด้วย  ข้าพเจ้าว่านั่นจึงจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในระหว่างการยกระดับ

ทุกท่านทราบว่าชีวิตเราประกอบขึ้นมาจากจุลสสารในระดับชั้นที่ต่างกัน  บ้างก็เล็กอย่างยิ่ง   การบำเพ็ญของเรานั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงท่านโดยเริ่มจากสภาวะที่จุลทรรศน์ที่สุด หรือก็คือ จุดกำเนิดของชีวิตท่าน  เปลี่ยนแปลงท่านอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน  จากนั้นก็ทะลวงสู่ชั้นผิว  ทะลวงสู่ชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง  เปลี่ยนแปลงท่านโดยมุ่งสู่ชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง  ถ้าเปลี่ยนแปลงจวบจนถึงชั้นผิว  เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว  ท่านก็หยวนหมั่นแล้ว  ทางที่เราเดินคือเส้นทางเช่นนี้   ฉะนั้นหากเรายังไม่บรรลุถึงชั้นผิว ก่อนที่จะถูกฝ่าหล่อหลอม  ท่านยังคงมีพฤติกรรมของคนธรรมดาสามัญ  ความคิดของคนธรรมดาสามัญ  วิธีการทำงานของคนธรรมดาสามัญในสภาวะการณ์ต่างๆนี่เป็นสิ่งแน่นอน

ผู้ฝึกของเราหลายคนยังมาพูดกับข้าพเจ้าว่า  ผมบำเพ็ญมานานอย่างนี้แล้ว  ตนเองก็รู้สึกว่าบางครั้งการรับรู้ต่อฝ่าก็ไม่เหมือนกับสภาวะของผู้ฝึกใหม่ทั่วไปนั้น   เช่นนั้นแล้วเหตุใดในความคิดยังสะท้อนทัศนคติที่ไม่ดีออกมาอีกละ  นี่เป็นปัญหาหนึ่งที่พวกเราแต่ละคนที่นั่งอยู่ล้วนคิดกันได้  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  พวกท่านอยู่ในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญนั้น พวกท่านถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดกำเนิดแรกเริ่มที่สุดของชีวิต ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงจนถึงชั้นผิวนอกสุดของพวกท่าน  ความคิดของคนธรรมดาสามัญก็จะยังคงมีอยู่โดยตลอด        มันมีข้อดีและข้อเสียอะไรละ ข้อดีคือท่านสามารถรักษาสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญในหมู่คนธรรมดาสามัญนี้ไว้ได้  จึงสามารถจะทำให้ท่านยกระดับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง  ยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น  แล้วข้อเสียละ  ก็คือท่านมักจะไม่อาจรู้สึกได้ว่าตนเองนั้น ที่แท้อยู่ในเขตแดนไหนแล้ว  ณ เวลาหนึ่งเวลาใด เมื่อท่านบำเพ็ญได้ดีมาก  เข้าใจฝ่าได้ดีมาก สามารถท่องหนังสือได้หมด  หรือก็คือในเวลาที่บรรลุถึงมาตรฐานของเขตแดนแล้ว  ก็จะกันออกไปให้ท่านในทันที  ก็คือกันออกไปจากส่วนนั้นของท่านที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ  ทันใดนั้นท่านจะรู้สึกว่าความเข้าใจต่อฝ่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว ความคิดฉันทำไมเปลี่ยนเป็นไม่ดีอีกแล้วท่านจะมีความรู้สึกอย่างนี้ได้

คนบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว   ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่สง่างามแล้ว  ฉะนั้นเทพจึงไม่อาจเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ ที่มีพฤติกรรมในสังคมคนธรรมดาสามัญ  นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมให้มีได้อย่างเด็ดขาด ถ้าเกิดมีขึ้นแล้วก็จะตกลงมาทันที  เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะสามารถบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ และเพื่อให้ท่านไม่ตกลงมา  พอท่านบรรลุถึงมาตรฐานในชั้นนั้นก็จะแยกออกไปทันที  ส่วนที่บำเพ็ญได้ดีแล้วนั้นจะนั่งอยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์ไม่เคลื่อนไหว  ไม่เกิดความนึกคิดใดๆ  ไม่เข้าร่วมกับพฤติกรรมใดๆของคน  นี่ก็เป็นหลักประกันไม่ให้ท่านตกลงไป  ตราบเท่าที่ท่านบำเพ็ญอยู่ไม่หยุดหย่อน  ก็มีแต่จะยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ  ในนี้ข้าพเจ้าได้พูดถึงเหตุผลอีกประการหนึ่ง  ก็คือพวกเราอยู่ในการบำเพ็ญ ท่านจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากระดับจุลทรรศน์อย่างต่อเนื่อง  ทะลวงสู่ชั้นผิวโดยตลอด       พอชั้นผิวของท่านถูกหล่อหลอมจนหมดสิ้นท่านก็หยวนหมั่นแล้ว

ดังนั้นพวกเราอยู่ในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญ ถ้ายังไม่บรรลุหยวนหมั่น พวกเราก็จะมีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่โดยตลอด มีการแสดงออกแบบคนธรรมดาสามัญ  และยังจะเกิดปัญหาอย่างหนึ่ง  ก็คือบางครั้งดูเหมือนความคิด จะเปลี่ยนแย่ลงเรื่อยๆ  เพราะอะไรหรือ  สิ่งที่ไม่ดีมากมายนั้นล้วนแต่มีราก  ไม่ใช่จะมีอยู่แต่ในอนุภาคของระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น ข้างในอนุภาคที่ต่างกันล้วนมีทั้งนั้น เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู พวกเราอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญมุ่งทะลวงสู่ชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง  สิ่งที่ไม่ดีของอนุภาคระดับจุลทรรศน์ของท่าน จะถูกชะล้างไม่มีหยุด ชะล้าง ๆ ฉะนั้นที่เหลือก็คือชั้นผิวที่สุด  ชั้นผิวที่สุดก็จะไม่ดีที่สุด  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  มันไม่ดีที่สุดแต่กลับอ่อนแอที่สุด หรือก็คือท่านอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญนั้นเพียงแต่ตัวเองสามารถควบคุมตัวเองไว้ได้ ท่านก็จะสามารถควบคุมสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายขจัดมันทิ้งไปได้ในระหว่างการบำเพ็ญรวมทั้งทัศนคติต่างๆนานาในความคิดของท่าน

หลักการที่ข้าพเจ้าพูดนี้ ทุกท่านคงจะฟังเข้าใจแล้วกระมัง  อ้อ  ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง  คนที่อยู่ในการบำเพ็ญตั้งแต่ต้นจนจบล้วนจะมีความคิดที่ไม่ดีคงอยู่   จากวันนี้ไปฉันจะไม่สนใจมัน  ไม่กลัวแล้ว  มันอยากจะคิดอะไรก็คิดอะไร   ไม่ได้ เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  หากท่านเองไม่ควบคุมตัวเองที่ชั้นผิว  เท่ากับท่านไม่ได้บำเพ็ญ  ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้  ตรงนี้ข้าพเจ้าได้พูดถึงสภาพการบำเพ็ญโดยรวมนี้ของผู้ฝึกเรา จึงถือโอกาส พูดถึงปัญหาบางอย่างไปด้วย

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง   ต้าฝ่านี้ของเราเผยแพร่อยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ทำไมจึงเลือกรูปแบบชนิดนี้ละ  ทุกท่านทราบว่า  เรามีการจัดการควบคุมกันแบบหลวมๆ  ไม่มีบัญชีรายชื่อใดๆ  คุณจางเอย  คุณหลี่เอย อย่างนี้ล้วนไม่มี  คุณเป็นใคร  อายุเท่าไร  อาศัยอยู่ที่ไหน ล้วนไม่มี  อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น  เพียงท่านบำเพ็ญอยู่ ข้าพเจ้าก็สามารถดูแลท่าน  เพราะสิ่งที่บำเพ็ญไม่สะท้อนออกมาในมิติชั้นนี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นรูปแบบภายนอกเป็นเพียงรูปแบบหนึ่ง แต่กลับไม่มีประโยชน์อะไร  หากท่านไม่บำเพ็ญ  การขึ้นทะเบียนชื่อของท่านนั่นก็เป็นแค่นับจำนวนรายชื่อ  ไม่ใช่การบำเพ็ญ  ดังนั้นเราจึงละทิ้งรูปแบบใดๆที่ปรากฏออกมาในหมู่คนธรรมดาสามัญทั้งหมด

            เราดูแต่ใจคน  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็จะดูแลท่าน  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญ ท่านก็เป็นผู้ฝึกของเรา  ในการฝึกพลังของท่าน  ผู้ช่วยฝึกสอนของเราก็จะจัดให้ทุกท่านศึกษาฝ่า  ก็เป็นเช่นนี้  เราไม่มีการบริหารองค์กรใดๆ แบบนั้นของสังคมคนธรรมดาสามัญ ไม่เหลือเงินทองเอาไว้ ไม่สะสมสิ่งของ ทุกท่านมาที่นี่ต่างก็ออกค่าใช้จ่ายกันเอง  ข้าพเจ้าหลี่ หงจื้อ ก็ไม่เอาเงินสักสตางค์แดงเดียวของท่าน  พวกเราทำงานใดๆล้วนเป็นการอาสาทำกันเอง  ล้วนแต่สมัครใจทำความดีเพื่อทุกคน  ทุกสิ่งทุกอย่างพวกเราล้วนแต่จัดการควบคุมแบบหลวมๆ

            ข้าพเจ้าทำอย่างนี้เพราะอะไรหรือ ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในวันนี้ใหญ่มาก  เขาสามารถทำให้ท่านบำเพ็ญไปถึงเขตแดนที่ต่างกัน  ระดับชั้นที่ต่างกัน  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ  ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้เมื่อถ่ายทอดออกมา  ถ้าเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคน  ไม่สามารถทำให้ใจคนหวนคืนขึ้นไปได้  เช่นนั้นฝ่านี้จะถ่ายทอดหรือไม่  ก็ไม่มีประโยชน์  ข้าพเจ้าทราบว่านี่คือสัจธรรมของจักรวาล  ฝ่าของจักรวาล  เขาจะต้องเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อผู้บำเพ็ญอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราแต่ละคนจึงรู้ว่าควรจะไปทำอย่างไร และไม่ต้องให้ข้าพเจ้าบอกพวกท่านว่าควรไปทำอย่างไรอย่างไร

            ในช่วงที่องค์ศากยมุนีถ่ายทอดฝ่านั้น มีศีลร้อยกว่าข้อ  กล่าวกันว่าปัจจุบันนี้ศาสนาพุทธมหายานมีศีลสองร้อยกว่าข้อ  จุดประสงค์ของเขาคือบังคับให้ท่านสอดคล้องกับมาตรฐานนี้ให้ได้   ไปทำเช่นนี้จึงจะใช้ได้  พวกเราในวันนี้ไม่มีกฎข้อห้าม  เปิดกว้างโดยสิ้นเชิง  รูปแบบอะไรก็ไม่ดู  ดูเพียงใจคน  เพราะฝ่าของเรามีพลานุภาพอย่างนี้  และเมื่อพูดจากอีกแง่มุมหนึ่ง  รูปแบบการแสดงออกชนิดใดๆ ของสังคมคนธรรมดาสามัญก็ไม่คู่ควรกับต้าฝ่านี้ ดังนั้นเราจึงเลือกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมกับการเผยแพร่ต้าฝ่าอย่างแท้จริง  รูปแบบอะไรหรือ  ก็คือ “เต๋าใหญ่ไร้รูป”(เสียงปรบมือ) พวกเราได้เดินบนทางเส้นหนึ่งของ “เต๋าใหญ่ไร้รูป”อย่างแท้จริง  นี่จึงจะคู่ควรกับต้าฝ่าของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นจากปีนั้นที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าเรื่อยมาจนทุกวันนี้ล้วนแต่เดินผ่านมาเช่นนี้

            สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถเห็นได้ก็คือทุกท่านอ่านหนังสือ  ทุกท่านฝึกพลังรวมกัน  แต่ก็เป็นความสมัครใจทั้งสิ้น  แบบตามสบาย  ท่านจะมาก็มา  ไม่อยากมาก็ตามสะดวก  ข้าพเจ้าว่า อย่างนี้ก็ดีมาก  สิ่งที่มีรูปแบบใดๆ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงใจคนได้   เขาไม่คิดจะเรียนท่านไปลากมา  เขาไม่เพียงเรียนไม่ได้ เขาไม่เข้าใจ  ยังจะพูดโน่นพูดนี่  ก่อให้เกิดผลเสียหายภายใน   เพราะวันนี้พวกเราเดินได้เที่ยงตรงอย่างยิ่ง  ดังนั้นสิ่งทั้งปวงที่ไม่เที่ยงตรง  ก็อาจดูพวกเราขัดหูขัดตาไปหมด  เพราะความบกพร่อง อ่อนด้อยของพวกเขาทั้งหมดได้เผยออกมาแล้ว

            ในอดีตชี่กงนั้นอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะคือประเทศจีน สถานที่นั้น มีกันมากมายหลายหลากชนิด ข้าพเจ้าคิดว่า ตั้งแต่ต้าฝ่าเราถ่ายทอดออกมา โดยเฉพาะคือระหว่างหลายปีมานี้ ชี่กงปลอมจำนวนมากก็เงียบหายไร้ร่องรอยไปแล้ว  เพราะอะไรหรือ เมื่อฝ่าที่ถูกต้องของเราถ่ายทอดออกมา  สิ่งเหล่านี้ที่เป็นของนอกรีต  ชั่วร้าย  ของปลอม  ก็ล้วนถูกเปิดโปงออกมากลางวันแสกๆ  (เสียงปรบมือ) ดังนั้นมันจึงเงียบหายไร้ร่องรอยไปเอง ผู้ที่ฝึกหลักพลังอย่างอื่นต่างพากันหันมาเรียนต้าฝ่า พวกเราไม่ได้ไปลากใครมา ล้วนเป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้สามารถรับรู้ฝ่าได้  รู้ว่าดี  รู้ว่าเขา(ฝ่า)เป็นเส้นทางหนึ่งที่ถูกต้องจึงมาเรียนกัน

            จากอีกด้านหนึ่ง ทุกท่านเคยคิดไหมว่า  ฝ่าที่ถูกต้องอันหนึ่งเมื่อถ่ายทอดออกมา สามารถทำให้คนบำเพ็ญไปถึงระดับชั้นที่ต่างกัน เช่นนั้นจึงมีปัญหาหนึ่ง  ก็คือท่านใช้ฝ่าอะไรบำเพ็ญขึ้นมา  นี่เป็นปัญหาที่สำคัญมาก   ถ้าฝ่านี้ไม่ถูกต้อง  ท่านก็จะบำเพ็ญขึ้นมาไม่ได้โดยปริยาย ถ้าฝ่านี้ไม่มีธรรมานุภาพมากอย่างนั้น   หรือพูดว่าเขาไม่มีฝ่าที่ใหญ่อย่างนั้น  ท่านก็บำเพ็ญขึ้นไปไม่ถึงระดับชั้นสูงอย่างนั้น  ถ้าฝ่านี้ไม่ใหญ่อย่างนั้น  ไม่ดีอย่างนั้น  หากให้ท่านขึ้นไประดับชั้นนั้นได้  นั่นก็เท่ากับทำให้ทั่วทั้งจักรวาลยุ่งเหยิง  ท่านขึ้นไปแล้ว  ท่านก็จะรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นั่น  ท่านเห็นผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่นั่น  ธรรมานุภาพนั้น ไม่อาจจะพรรณาได้  ท่านจะพบว่า ตนเองขึ้นมาได้อย่างไรละ  ตัวเองก็จะลงไปเองแล้ว  ไม่คู่ควรจะอยู่ที่นี่   เช่นนั้นพวกเราอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ที่นำความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงให้กับต้าฝ่านี้ของเรา ฉะนั้นเราก็กำลังอาศัยมันประสานกลมกลืนเข้ากับฝ่าของเรา  สร้างธรรมานุภาพหนึ่งให้ฝ่าของเรา  รูปแบบวิธีการใดๆที่ต่อต้านต้าฝ่าในสังคมคนธรรมดาสามัญที่ปรากฏออกมา  พวกเราล้วนไม่เคยใช้วิธีการอย่างเดียวกันที่ปรากฏออกมานั้น หันกลับไปปฏิบัติต่อมัน  พวกเราใช้แต่ด้านที่ดีงามทั้งสิ้น  จัดการทั้งหมดได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ  พวกเราอดทนต่อการทดสอบต่างๆมากมายต่อฝ่า เช่นนั้นฝ่านี้ของเรามิใช่สร้างธรรมานุภาพของตนเองได้แล้วหรือ  เขาเดินได้ยิ่งเที่ยงตรง ฝ่านี้ก็จะยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น  พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในฝ่านี้  ก็ยิ่งยอดเยี่ยม  ใช่ความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งอย่างนี้หรือไม่   ใช่  ดังนั้นเมื่อพวกเราพบกับปัญหาใดๆจะต้องพิจารณาจากสองด้านคือบวกกับลบ ค้นหามูลเหตุจากตนเอง จากตัวเราเอง จากภายในพวกเราเอง  พบกับเรื่องอะไรก็ค้นหามูลเหตุจากภายในพวกเราเอง ค้นหาความบกพร่อง

            ข้าพเจ้ามักพูดถึงหลักการข้อหนึ่ง บางคนพอประสบกับความยุ่งยากแล้ว  เขาอยู่ในความยุ่งยากนั้น  พูดว่า  คนอื่นทำไมปฏิบัติต่อฉันอย่างนี้นะ  ทำไมจึงไม่ไหวแล้วละ  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ไม่ใช่คนอื่นไม่ดีต่อท่าน  ฝ่าของจักรวาลนั้นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างมาก  ถ้าตัวท่านเองเกิดปีนเกลียว(ไม่ลงรอย)กับฝ่าแล้ว  ท่านจะพบว่า  ทุกสิ่งรอบตัวท่านก็จะไม่เป็นปกติ  พอท่านหาสาเหตุของตัวท่านเองออกมา ปรับให้สอดคล้องเสีย  ก็จะพบว่าทุกสิ่งเป็นปกติแล้ว มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ

            ยังมีอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากพวกเราเอาชนะความยากลำบากและข้อบกพร่องมากมาย  ฝ่าของพวกเราก็จะยิ่งเดินยิ่งเที่ยงตรง  ดังนั้นสถานการณ์มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นขณะนี้คนที่ศึกษาฝ่าจึงมีมากเหลือเกิน  ผู้ฝึกทั้งในและนอกประเทศจีนมีร่วมร้อยล้านแล้ว  คนมากมายอย่างนี้ และศิษย์ต้าฝ่าเรานั้นมีจุดเด่นเฉพาะ  คือพอบำเพ็ญแล้ว  เข้าใจสัจธรรมนี้แล้ว เขาก็จะบำเพ็ญจนถึงที่สุด   ก็คือจุดนี้ที่มีค่าอย่างยิ่งในการบำเพ็ญ  นี่จึงไม่เหมือนกับทฤษฎีใดๆ  การบำเพ็ญใดๆในประวัติศาสตร์ มีคนมากมายเช่นนี้ที่กำลังศึกษาอยู่  คนมากมายเช่นนี้กำลังบำเพ็ญอยู่  ฉะนั้นเขาจึงเป็นสภาพความเป็นจริงอย่างหนึ่งในสังคม  ไม่ยอมรับเขาก็ไม่ได้  มีคนมากมายเช่นนี้ต้องการเป็นคนดี  พวกเราไม่มีอะไรที่ไม่ดี  ฉะนั้นข้าพเจ้าคิดว่าสถานการณ์มีแต่จะดียิ่งๆขึ้น

            ในประเทศจีน  ที่ผ่านมาฝ่าหลุนกงจัดเป็นสมาคมหนึ่งของสมาคมค้นคว้าวิจัยวิทยาศาสตร์ชี่กงแห่งประเทศจีน  แต่เราพบว่า สมาคมค้นคว้าวิจัยชี่กงมันไม่เพียงไม่ทำการค้นคว้าวิจัยวิทยาศาสตร์ชี่กง ไม่วิจัยเรื่องหลักพลัง หรือไม่ไปรับรู้ต่อตัวมันเอง(หลักพลัง)ด้วย  เอาแต่หาเงิน  อาศัยสำนักฝึกพลังต่างๆหาเงิน   ดังนั้นเราจึงลาออกในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๙๖  (เสียงปรบมือ) หลังจากลาออกแล้ว  พวกเขาเคยทำการโจมตีเรา  เราไม่ไปสนใจมัน  เรื่องนี้เอาไว้ก่อนไม่ขอพูด  ก็คือว่า เราต้องเดินบนทางของตัวเอง  ต้องเดินบนทางเส้นหนึ่งของผู้บำเพ็ญที่แท้จริง รับผิดชอบต่อสังคม ในเวลาเดียวกัน ก็รับผิดชอบต่อศิษย์ที่บำเพ็ญด้วย

            ข้าพเจ้าคิดว่า กลุ่มคนที่มากอย่างนี้     จำนวนคนที่มากอย่างนี้  และทุกท่านล้วนเป็นคนดีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  พวกเราไม่มีความคิดใดๆของตนเองที่อยากจะได้อะไร รวมทั้งข้าพเจ้าเอง หลี่ หง จื้อ  เพื่อไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากใดๆต่อรัฐบาล  ข้าพเจ้าจึงไปพำนักอยู่ต่างประเทศ (เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าคิดว่ามีคนมากมายอย่างนี้กำลังบำเพ็ญอยู่  ล้วนทำตัวเป็นคนดี  ใครก็ไม่สามารถผลักไสคนนับร้อยล้านนี้ไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล จุดนี้ข้าพเจ้าสามารถบอกทุกท่านได้  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง ไม่ว่าพวกเราตนเองจะทำอย่างไร  พวกเราตนเองก็ควรเดินให้เที่ยงตรงบนทางของตนเอง  เดิมทีไม่คิดจะพูดมากเกินไป  เพียงแต่พูดถึงสถานการณ์ของต้าฝ่าให้ทุกท่านฟัง   พวกเราควรบำเพ็ญอย่างไร และการรับรู้ต่อฝ่าในระหว่างที่บำเพ็ญ เรื่องเหล่านี้  ในขณะเดียวกัน ก็ถือโอกาสพูดเรื่องของการบำเพ็ญ ให้กับทุกท่านอีกครั้ง

            ดังนั้นข้าพเจ้าขอถือโอกาสพูดอีกปัญหาหนึ่ง  หลายคนถ่ายรูปโดยไม่แบ่งกาลเทศะ  ตอนนี้ข้าพเจ้าก็จะพูดปัญหาการถ่ายรูป  ที่ผ่านมาทุกท่านได้พบกับข้าพเจ้าน้อยมาก  จึงมักจะถ่ายภาพข้าพเจ้าไว้  หรือถ่ายภาพร่วมกับอาจารย์สักใบ  หากท่านมีใจที่บำเพ็ญจริง  ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน   แต่หากท่านมีใจแบบคนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าก็รู้สึกไม่สบายใจมาก  ยังมีอีกจุดหนึ่ง  ทุกท่านเวลาถ่ายภาพไม่ดูกาลเทศะ  ถ่ายภาพที่ไม่น่าดูออกมามากมาย เช่นนี้ย่อมไม่ดีต่อพวกเรา  เพราะท่านก็เป็นศิษย์ของข้าพเจ้า  ท่านถ่ายรูปอาจารย์เป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกันนะ  ทุกท่านออกจากที่ประชุมนี้แล้ว ให้ไปบอกกับผู้ฝึกที่อื่น  ให้เผารูปที่ถ่ายไว้ไม่ดีจำพวกนั้นทิ้งให้หมด  แม้แต่ฟิล์มก็ให้เผาทิ้งด้วย  ถ้าพวกท่านคิดจะถ่ายรูปให้ได้จริงๆ  ข้าพเจ้าจะให้โอกาสท่านถ่าย (เสียงปรบมือ)  ข้าพเจ้าก็พูดเพียงเท่านี้  บ่ายวันพรุ่งนี้จะตอบคำถามให้ทุกท่าน

            การตอบปัญหานั้น ทุกท่านอย่าเขียนคำถามให้ยาวเกินไป  ดูแล้วยุ่งยากมาก  สิ้นเปลืองเวลา  ขึ้นต้นไม่ต้องมีพิธีรีตอง  ท่านบอกว่าอาจารย์ครับผมคิดถึงอาจาย์อย่างไร  หรืออาจารย์ครับท่านบรรยายได้ดีจริงๆ  ผมยังมีคำถามอะไร   ไม่ต้องมีพิธีรีตอง  ท่านก็พูดว่าอาจารย์ผมมีคำถามอะไรๆ  เรื่องราวเป็นอย่างไร  จากนั้นข้าพเจ้าก็จะตอบคำถามให้ท่าน  ให้กระชับหน่อย  ข้าพเจ้าอ่านได้ง่าย ไม่สิ้นเปลืองเวลา  ก็จะตอบได้เร็ว  เอาละ ต่อไปข้าพเจ้าก็จะฟังผู้ฝึกพูดพร้อมกับทุกท่าน (เสียงปรบมือ)

            บ่ายวันนี้ข้าพเจ้าจะอธิบายฝ่าให้กับทุกท่าน   ผู้ที่มีคำถามสามารถส่งขึ้นมาได้  เอาละ ต่อไปเริ่มต้นตอบปัญหา

ศิษย์     ภาพและเสียงที่เราบันทึกในฝ่าฮุ่ย จะส่งเข้าไปในประเทศจีนได้หรือไม่

อาจารย์  โดยหลักการไม่มีปัญหาอะไร แต่พวกท่านมักคิดที่จะเผยแพร่อะไรอยู่เสมอ จิตใจนี้ต้องปล่อยวางเสีย ให้บำเพ็ญไปอย่างสง่าผ่าเผย  ทำไมจึงมีจิตยินดีมากมายเช่นนั้น จิตยึดติดมากมายเช่นนั้นละ ทั้งหมดนี้สามารถทำให้ท่านหยวนหมั่นได้หรือไม่  เอาไว้ดูเองได้ แต่อย่าอัดสำเนาไว้

ศิษย์  ท่านอาจารย์กล่าวในจิงเหวินบทที่ชื่อ “วาเกิน(ขุดราก)”ว่า “ข้าพเจ้าบอกให้พวกท่านตัดขาดจากคน  พวกท่านกลับไม่เดินตามข้าพเจ้า  โอกาสในแต่ละครั้งจะไม่มีอีก” ถ้าพลาดโอกาสไปแล้ว จะกระทบต่อการบรรลุระดับชั้นหรือไม่

อาจารย์   ในเวลาที่เผชิญกับการทดสอบที่เข้มงวด ซึ่งในนี้รวมถึงด้านต่างๆ  ไม่ใช่เพียงรูปแบบชนิดนี้เท่านั้น โดยแก่นแท้ล้วนเป็นการทดสอบที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับผู้ฝึกของเรา ว่าจะสามารถเดินออกมาจากความเป็นคนได้หรือไม่ นี่เป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญ ว่าจะหยวนหมั่นได้หรือไม่  จะต้องเดินผ่านก้าวนี้ไป  ผู้ฝึกของเราจะประสบกับการทดสอบต่างๆนานาอย่างนี้หรืออย่างนั้น  เป็นไปได้หรือไม่ว่า  เนื่องจากได้พลาดโอกาสไปแล้วก็ไม่สามารถจะหยวนหมั่นแล้วล่ะ บางทียังจะมีโอกาส  แต่ข้าพเจ้าคิดว่า การที่จะมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งนั้น ยากมาก  เนื่องจากโอกาสแห่งวาสนาชนิดต่างๆที่รวมอยู่ด้วยกันจึงมีโอกาสอย่างนี้สักครั้งหนึ่ง  ที่จริงไม่ว่าท่านจะบำเพ็ญอย่างไร พอถึงช่วงเวลาที่สำคัญแล้ว ท่านยังใช้ไม่ได้  พูดในทางกลับกันก็คือความหมายนี้   ไม่ใช่ข้าพเจ้าบอกว่าท่านใช้ไม่ได้  แต่เป็นตัวท่านเองที่ใช้ไม่ได้เอง บางคนพูดว่าท่านอาจารย์ครับ  ผมสามารถผ่านทุกข์ภัยอะไรได้ทั้งนั้น ท่านก็(ให้มัน)มาเถอะ ผมจะได้บำเพ็ญขึ้นไปเร็วสักหน่อย แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญท่านยังคงใช้ไม่ได้ไม่ใช่พูดแต่ปากต้องดูว่าในการบำเพ็ญที่แท้จริงนั้นท่านทำอย่างไรบ้าง

ศิษย์      ท่านอาจารย์จะกรุณาพูดถึง เจิน ซั่น เหริ่น ในระดับชั้นที่ต่างกัน ปรากฏออกมาเป็นหลักการอื่นๆได้หรือไม่

อาจารย์  ไม่ได้  เหตุใดจึงพูดไม่ได้  เพราะหลักการของสวรรค์นั้นไม่อาจบอกแก่คนได้  พวกท่านยังคงเป็นคนที่บำเพ็ญอยู่  ส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วนั้นของท่าน ไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจได้แล้ว  ดังนั้นคน ณ ที่ตรงนี้ของท่านมักจะเฝ้าคิดปัญหาด้วยจิตใจชนิดหนึ่งที่อยากรู้ ก็คือรับรู้(อู้)ได้ถึงสิ่งที่สูงยิ่งขึ้น  นั่นล้วนแต่ไม่สามารถบอกให้กับคนได้  หลักการระดับชั้นสูงที่ท่านรับรู้ได้  พอพูดให้กับผู้อื่นอีกที  ท่านจะพบว่าความหมายได้เปลี่ยนไปแล้ว  เปลี่ยนกลายเป็นหลักการธรรมดาๆมาก พื้นๆมาก  นั่นก็คือในระหว่างการบำเพ็ญ หลักการระดับชั้นสูงนั้นเพียงแต่สามารถรับรู้ความหมาย แต่ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด

ศิษย์     จะแยกแยะได้อย่างไรว่าเป็นทุกข์ภัยที่อาจารย์จัดวางให้หรือเป็นการรบกวนของมารร้าย

อาจารย์   เรื่องราวใดๆล้วนไม่ใช่เรื่องโดดๆ กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  นับตั้งแต่วันที่ท่านเริ่มต้นบำเพ็ญ เส้นทางชีวิตของท่านก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ไม่มีเรื่องบังเอิญใดๆแทรกเข้ามาได้  แต่ว่า เมื่อปรากฏทุกข์ภัยใดๆขึ้น  ล้วนแต่จะแสดงออกมาในสภาพการณ์ของความบังเอิญชนิดหนึ่ง จึงจะสามารถทดสอบท่านได้ จึงจะสามารถกระตุ้นให้ท่านยกระดับขึ้นได้  จึงจะสามารถทำให้ท่านรับรู้ได้ถึงความบกพร่องของตนเอง  ค้นพบความแตกต่าง  เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่า จะมีมารที่แท้จริงละ  มี  แต่ว่าไม่ใช่เรื่องโดดๆ และเนื่องจากมันไม่ดี  มันจะผุดขึ้นมา  เช่นนั้นผุดขึ้นมาก็ผุดขึ้นมา  พวกเราก็ใช้ด้านที่ไม่ดีนั้นของมันมาทดสอบผู้ฝึกของเรา  ทุกท่านทราบว่ามีผู้ฝึกบางคนเสียชีวิตไปแล้ว บ้างก็หยวนหมั่น บ้างก็เพื่อบ่อนทำลาย ดังนั้นในด้านนี้ข้าพเจ้าจะไม่แสดงท่าที ไม่ไปพูด  แต่การปรากฏของมัน  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสำหรับผู้ฝึกของเรานั้น คือการทดสอบความเป็นความตาย  แม้ไม่เข้าถึงตัวท่าน แต่ก็เกือบจะเหมือนเข้าถึงตัวท่าน รับรองว่าความรู้สึกของท่านจะเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นจึงเป็นด่านความเป็นความตายของการทดสอบ คนๆหนึ่งปล่อยวางความเป็นความตายไม่ได้  ก็หยวนหมั่นไม่ได้อย่างแน่นอน

            แต่ว่าไม่ใช่ว่าพวกเราแต่ละคนล้วนจะต้องผ่านด่านความเป็นความตายของการทดสอบครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เช่นนี้  เพราะท่านได้วางรากฐานไว้แล้วในการบำเพ็ญที่ยาวนาน  ก็ค่อยๆบรรลุถึงจุดนี้ได้แล้ว  จิตยึดติดน้อยลงเรื่อยๆ  สิ่งที่ปล่อยวางมากขึ้นเรื่อยๆ  ท่านจะพบว่าทุกสิ่งล้วนไม่มีความหมาย  ที่จริงท่านมีเงื่อนไขนี้เพียบพร้อมอยู่แล้ว  ดังนั้นในช่วงเวลาที่สำคัญเมื่อเกิดการทดสอบบางอย่างขึ้น  ก็เหมือนกับพวกเรา   เรื่องที่เกิดขึ้นที่ปักกิ่งในช่วงก่อนหน้านี้  พวกท่านสามารถก้าวออกมาจากช่วงนี้ได้หรือไม่ หรือมีผู้ฝึกเสียชีวิตที่นั่นแล้ว ดูซิว่าท่านยังจะสามารถบำเพ็ญหรือไม่ การทดสอบแต่ละชนิดในทุกๆ ด้าน ล้วนกำลังทดสอบท่านอยู่ ดูซิว่าท่านจะสามารถก้าวออกมาหรือไม่ ผู้ที่ตายไปไม่แน่ว่าจะเป็นมาร เช่นนั้นเขาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพระพุทธ  บางคนเขาอาจจะสมควรหยวนหมั่นแล้ว จึงใช้เขาทดสอบพวกท่านสักครั้ง หรือบางทีเขาอาจจะเป็นมาร  เช่นนั้นอาศัยเรื่องนี้  เราก็ใช้มันมาดูว่าท่านยังจะบำเพ็ญหรือไม่  ท่านสามารถปล่อยวางได้หรือไม่และก้าวออกมา  ล้วนแต่สำคัญมาก  ดังนั้นไม่มีเรื่องบังเอิญใดๆ           เรื่องใดๆที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นการทดสอบท่านโดยตรง

ศิษย์    จะอาศัยด้านที่ได้ฝ่าแล้วของคนเอาชนะด้านที่เป็นมารได้อย่างไร

อาจารย์  หนึ่งความถูกต้อง สยบร้อยสิ่งชั่วร้าย  การรบกวนของมารเกิดขึ้นเนื่องจากพวกเราตัวเองมีข้อบกพร่อง  หากตนเองทำได้ดีก็คือการเอาชนะมันได้  อาจารย์ก็จะดูแล  ท่านจะต่อสู้กับมารโดยตรงนั้น  ในขณะนี้ยังเป็นไปไม่ได้  ช่วงก่อนหน้าข้าพเจ้าได้เขียน “จิงจิ้นเย่าจื่อ” ให้กับทุกท่านนั้น มีอยู่บทหนึ่ง จุดประสงค์หาใช่การเขียนให้กับพวกท่าน ณ ฝั่งนี้  แต่เขียนให้กับด้านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วนั้นของพวกท่าน ในช่วงเวลาที่สำคัญก็จะให้ฝั่งนั้น(ของท่าน)ดูแลเรื่องบ้าง แน่ละพวกเขาไม่อาจเหมือนกับพวกท่าน  ไปทำเรื่องใดๆเหมือนกับพวกท่านนั้น ไม่ได้อย่างแน่นอน  เทพไม่อาจทำเรื่องเดียวกันเหมือนกับคน  ภายใต้สถานการณ์ที่มารบ่อนทำลายชนิดนั้น อนุญาตให้เขาทำเช่นนี้

ศิษย์    อาจารย์บอกว่า ข้าพเจ้าไม่อยู่ใน เจิน ซั่น เหริ่น  ควรจะอธิบายความหมายอย่างไร

อาจารย์   ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดสูงเกินไป  ข้าพเจ้าก็ไม่อยากจะพูดถึงตัวเอง  แต่ว่าคำพูดนี้ที่ข้าพเจ้าพูดออกมา เพราะผู้ฝึกส่วนหนึ่งนั้น  ไม่เข้าใจความตื้นลึกหนาบาง ข้าพเจ้าก็จะบอกให้ท่านเข้าใจ  จะเข้าใจอย่างไรหรือ  ก็ง่ายมาก  แต่ไม่อาจพูดให้กับท่านอย่างหมดเปลือก  จักรวาลนั้นสร้างสรรค์ขึ้นมาให้กับสรรพชีวิต  ฉะนั้นจักรวาลนี้จึงต้องมีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง  เขาก็คือ เจิน ซั่น เหริ่น  แต่ว่า ในระดับชั้นที่ต่างกัน เจิน ซั่น เหริ่น จะแตกออกเป็นฝ่าของระดับชั้นที่ต่างกัน  สามารถบุกเบิกสภาพแวดล้อมของชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกัน  กับข้อกำหนดต่างๆนานา  หรือก็คือฝ่ายิ่งต่ำลงมาก็จะยิ่งสลับซับซ้อน  ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้

ศิษย์  จุดฐานของวิทยาศาสตร์นั้นมีข้อผิดพลาดแล้ว  พวกเราเป็นครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์  ควรจะเลือกใช้ท่าทีที่เหมาะสมอย่างไรดี

อาจารย์   วิทยาศาสตร์ปัจจุบันคือวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ต่างดาวยัดเยียดให้กับมนุษย์  คนในประวัติศาสตร์ยุคใดๆ  คนในรอบอารยธรรมสมัยใดๆล้วนไม่เคยปรากฏวิทยาศาสตร์ชนิดนี้มาก่อน  ทั่วทั้งสังคมล้วนแต่ถูกชักนำอยู่  แต่ละคนต่างกำลังมุ่งเข้าไปทางนั้น ผู้ปกครองต่างเฝ้าหวังให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยอย่างนี้ ในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้มาก่อน  เทพวางการพัฒนาของสังคมมนุษย์  อย่างเช่นประเทศจีนสมัยโบราณ   จัดให้เทพองค์หนึ่งให้เขาลงมาประดิษฐ์กระดาษ  จัดให้เทพองค์หนึ่งลงมาทำเข็มทิศ เขาทำเรื่องนี้สำเร็จเพื่อให้ทุกท่านได้ใช้กัน  และก็ไม่จำเป็นต้องให้สังคมทั้งหมดทำกันและไม่จำเป็นต้องมีวิทยาศาสตร์อะไรอย่างนี้    ทุกท่านล้วนกำลังมุ่งเข้าไปทางนั้น    สร้างชีวิตที่ผิดแปลก(เบี่ยงเบน)ชนิดนี้  นี่คือเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์  แต่ขณะนี้มันได้กลายเป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นจริงของสังคมปัจจุบัน  หากท่านต้องการจะมีชีวิตอยู่รอด  ท่านก็ต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงนี้  เพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้  ขณะนี้ก็ได้แต่เป็นเช่นนี้  ในฐานะผู้ฝึกไม่ว่าจะมีอาชีพใดๆหรือ ทำงานอะไร  ให้พวกท่านยังคงทำเรื่องของพวกท่านไป  ท่านเป็นครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ท่านก็สอนวิทยาศาสตร์ไป  ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่พวกท่านทำอย่างไร  ที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักการข้อหนึ่ง  บอกความจริงทั้งหมดให้กับทุกท่าน

            ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าบอกว่ามนุษย์ต่างดาวนี้ ในขณะกำจัดพวกมันอยู่นั้นข้าพเจ้าพูดว่า  พวกท่านทำให้มนุษยชาติเบี่ยงเบนไป  สิ่งเหล่านี้ที่พวกท่านทำลงไป บ่อนทำลายสังคมมนุษย์อย่างร้ายแรง  ทำให้ความคิดมนุษย์เบี่ยงเบน  พวกมันไม่มีเหตุผลแล้ว พวกมันจึงหันกลับมาพูดประโยคหนึ่งกับข้าพเจ้าว่า  ท่านนั้นก็กำลังอาศัยพวกเราอยู่นะ  ข้าพเจ้าก็ใช้รถยนต์  ใช้อุปกรณ์เครื่องมือสมัยใหม่  ข้าพเจ้าว่า หากขณะนี้ข้าพเจ้าต้องขี่ม้าเดินทาง  ก็ไม่มีสภาพแวดล้อมอย่างนี้อยู่  ล้วนถูกพวกท่านทำลายไปหมดแล้ว  เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ละ  เราก็ได้แต่เออออไปกับมัน  ใช่ไหมละ  ทุกท่านเพียงแต่ทำไปเช่นนี้ก็พอ วิทยาศาสตร์ในอนาคตอาจจะไม่เป็นเช่นนี้  ข้าพเจ้าพบว่าที่ผ่านมาการให้คำจำกัดความต่อวิทยาศาสตร์นั้น ปัจจุบันกำลังค่อยๆถูกโค่นล้มไป  เรื่องราวหลายอย่างนั้นไม่อาจอธิบายได้โดยแก่นแท้แล้ว  มีการพบการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆของร่างนภา  ความลับเกี่ยวกับการคงอยู่ของชีวิตถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆข้าพเจ้าว่าวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมากำลังสั่นคลอน

ศิษย์  คนนั้นสลับซับซ้อนวุ่นวาย   มีแต่บำเพ็ญบรรดาสสารทั้งหมดที่แตกแขนงออกมาทิ้งไป จึงจะสามารถหวนคืนกลับเขตแดนดั้งเดิมของตนเอง

อาจารย์   คนเมื่อแรกเกิดนั้นบริสุทธิ์มาก  ไม่มีทัศนคติใดๆหลังกำเนิด  เพราะท่านยังไม่ได้สัมผัสกับสังคม  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงชอบมองดูเด็กๆมาก  ช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสามาก เขาซนไปหน่อยก็อย่าได้ถือสา อะไรก็ไม่มี  ไม่มีความคิดอะไร   คนเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ค่อยๆก่อเกิดทัศนคติต่างๆ เพื่อการคงอยู่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง จงใจทำเรื่องที่ไม่ดีมากมาย เป้าหมายคือทำเพื่อตนเอง เช่นนี้แล้ว ความคิดนานาชนิดที่ก่อเกิดหลังกำเนิด ล้วนตรงกันข้ามกับคุณสมบัติดั้งเดิมก่อนกำเนิด หรือพูดได้ว่า คนเปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อนแล้ว  จิตที่บริสุทธิ์ดวงนั้นของท่าน  ยิ่งนานไปความคิดยิ่งถูกสสารนานาชนิดแปดเปื้อน  หากจะกลับสู่เขตแดนดั้งเดิมก็ต้องขจัดบรรดาสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดซึ่งก่อเกิดหลังกำเนิด  ซึ่งหาใช่เพียงส่วนที่เป็นของคน  ส่วนที่เป็นของเขตแดนใดๆที่ไม่สอดคล้องกับเขตแดนที่ท่านจะกลับไป  ล้วนต้องขจัดมันทิ้งไปให้หมด  ท่านจึงจะบริสุทธิ์ถึงระดับนั้น  นับตั้งแต่ความคิด  ซินซิ่ง  จากสสารที่ประกอบเป็นร่างกายท่าน  รวมทั้งชีวิต  ล้วนแต่ต้องบรรลุถึงความบริสุทธิ์เช่นนั้น

ศิษย์  พระยูไลศากยมุนีพุทธ มีโลกสวรรค์ซัวผอ  องค์ศากยมุนีพุทธยังอยู่โลกสวรรค์ต้าฝานด้วย จะเข้าใจได้อย่างไร

อาจารย์  เป็นเช่นนี้ ในศาสนาพุทธพูดว่าองค์ศากยมุนีอยู่ในโลกสวรรค์ซัวผอ  นี่ก็เป็นสภาพการณ์หนึ่งที่เป็นจริง องค์ศากยมุนีลงมาจากจักรวาลชั้นที่หกมาสู่โลกโปรดคน โลกสวรรค์สุดท้ายแห่งหนึ่งของตนเองก็คือโลกสวรรค์ต้าฝาน   เมื่อลงมาจากโลกสวรรค์ต้าฝานมาโปรดคน  พระองค์ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย  ยังคงอยู่ในตรีภูมิเฝ้าดูศิษย์ของพระองค์อยู่    เฝ้าดูศิษย์ของพระองค์ตลอดสองพันกว่าปีมา  ศิษย์ของพระองค์ในระหว่างการกลับชาติมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกระดับชั้นและเขตแดนขึ้นไม่หยุดหย่อน  สะสมธรรมานุภาพของพวกเขา  รอถึงสุดท้ายกลืนกลายเข้ากับฝ่าเมื่อฝ่าปรับเที่ยงตรงแล้ว  ก็หยวนหมั่น โลกสวรรค์ซัวผอก็คือตรีภูมิ  ดังนั้นเหล่าศิษย์พุทธจึงพบว่าพระองค์อยู่ในโลกสวรรค์ซัวผอโดยตลอด  จึงพูดว่าองค์ศากยมุนีอยู่ในโลกสวรรค์ซัวผอ  พูดถึงโลกสวรรค์ต้าฝาน นั้นคือโลกสวรรค์สุดท้ายแห่งหนึ่งของพระพุทธที่พระองค์มา  ที่จริงหาใช่เพียงโลกสวรรค์แห่งนี้เท่านั้น  ในระดับชั้นต่างๆที่สูงยิ่งขึ้นยังมีโลกสวรรค์ของพระองค์อีก  พวกท่านอย่าใช้ความคิดของคนไปพิจารณาเรื่องบนสวรรค์  พิจารณาเรื่องของพระพุทธ  ย่อมไม่อาจจะกระจ่างแจ้งได้ตลอดกาล  ปัจจุบันพวกท่านมีแต่ความคิดของคน  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อยากให้ท่านไปศึกษาหาความรู้ ซึ่งไม่อาจจะศึกษาให้เข้าใจได้  เพราะความคิดส่วนนี้ของคนนั้น มีความสามารถต่ำมาก

ศิษย์     ในวัฏสงสารหกทางนั้น          เหตุใดจึงเป็นหกทาง  
อาจารย์  ที่ผ่านมาในศาสนาพุทธก็มีเรื่องการบำเพ็ญวิชาอสูรอะไรเอย  หนทางเดรัจฉานอะไรเอย  หนทางมนุษย์เอย  หนทางสวรรค์เอย  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ไม่ว่ามันจะเป็นวิชาอะไร  ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในตรีภูมิ  คน  สัตว์ วัตถุสสาร พืช  กับชีวิตในมิติอื่นของตรีภูมิจะมีการหมุนเวียนระหว่างกันและกัน  เป็นกรรมสนองที่เกิดจากผลกรรมนี้ที่สัมพันธ์กับความดีความชั่วของคนขณะอยู่ในโลก  อาจจะเป็นบุญสนอง หรือเป็นกรรมสนอง  ก็คือหากท่านทำความชั่วไว้มาก  ย่อมจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออาจจะตกนรก  ทำความดีไว้มากท่านก็ไปเกิดบนหนทางสวรรค์  สวรรค์ที่พูดนี้หมายถึงสวรรค์ในระดับชั้นต่างๆของตรีภูมิ หรือจัดอยู่ในขอบเขตของตรีภูมิ  ซึ่งเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน  หรือเสวยสุขอยู่ในหมู่มนุษย์  เป็นขุนนางร่ำรวย        นี่ล้วนแต่เป็นการทำความดีแล้วได้มา ซึ่งเรียกว่าบุญสนองหรือกรรมดีสนอง

ศิษย์      มีผู้รับผิดชอบบางคน ทำหน้าที่มาเป็นเวลานานมาก  แต่ไม่ปล่อยวางทัศนคติของคนธรรมดาสามัญ จึงส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกใหม่ที่ศูนย์ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา

อาจารย์             นี่เป็นเรื่องจริงทีเดียว  ศูนย์ของเราบางแห่งมีผู้ช่วยสอนบางคนทำได้ไม่ดี  ปัญหาเหล่านี้ควรจะนำมาเป็นข้อพึงระวังแล้ว  “จิงจิ้นเย่าจื่อ”ที่ข้าพเจ้าเขียน หลายบทก็เขียนให้กับพวกเขา  พวกเขากลับไม่อ่าน   แต่กล่าวสำหรับผู้ช่วยฝึกสอนนั้นก็นับว่าเหนื่อยยากมาก  ต้องไปช่วยทำงานให้ท่านทั้งหลาย  แต่มักจะบกพร่องที่ตรงไหนหรือ ก็คือการทำงานของเขาไม่สามารถผนวกเข้ากับการบำเพ็ญของเขาได้  พอเขาประสบกับความขัดแย้งอะไร  เขาประสบกับอุปสรรคอะไร เขาไม่สามารถใช้ฝ่าไปพิจารณา  ไม่สามารถมองเห็นว่าตนเองทำผิดที่ตรงไหน   ใช่หรือไม่ว่าฉันทำไม่ถูกที่ตรงไหน   จึงทำให้ผู้ฝึกไม่ให้ความร่วมมือ  หรือก่อให้เกิดอุปสรรคด้านต่างๆ  จุดนี้ผู้ช่วยฝึกสอนจำนวนมากล้วนไม่สามารถคิดพิจารณาตนเอง  นำความสูญเสียมาให้ฝ่าของเราอย่างมาก  ก่อเกิดอุปสรรคต่อการได้ฝ่าของผู้ฝึกใหม่จำนวนมาก  สมควรมีสติขึ้นมาได้แล้ว

ผู้ช่วยฝึกสอนของเราบางคนมีท่าทีหยาบคายมากกับผู้ฝึก    สิ่งนี้ไม่อนุญาตให้มีในต้าฝ่าได้อย่างเด็ดขาด  ทุกท่านคิดดู  เพียงแต่ศึกษาฝ่านี้  ก็เป็นศิษย์ของข้าพเจ้า  ท่านก็เป็นศิษย์ของข้าพเจ้า  เขาก็เป็นศิษย์ของข้าพเจ้า   ทำไมท่านจึงมีท่าทีหยาบคายกับเขาเช่นนั้นละ  พวกเราพูดถึงจิตเมตตา  ใช้จิตเมตตาไปปฏิบัติต่อผู้อื่น  ข้าพเจ้ามักพูดอย่างนี้  ข้าพเจ้าว่า คนๆหนึ่ง หากพูดกับคนอื่นโดยไม่มีทัศนคติใดๆของตน  เพียงแต่ชี้ถึงข้อบกพร่องของเขา  หรือบอกเขาว่าอะไร  เขาจะตื้นตันใจจนน้ำตาไหล  หากไม่มีองค์ประกอบใดๆของตนเอง  ท่านไม่คิดจะได้อะไร  กระทั่งท่านไม่คิดเพื่อจะปกป้องอะไรของตนเอง  ท่านทำเพื่อผู้อื่นด้วยเจตนาดีอย่างแท้จริง  เขาจะสามารถมองเห็นจิตดวงนี้ของท่าน  ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร  แต่พวกเราจำนวนมากเวลาทำงานมักจะไม่อาศัยตรงนี้   ไปอาศัยการออกคำสั่งอาศัยการบังคับ  นี่ใช้ไม่ได้  นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในฝ่าของเรา

ศิษย์     สำหรับผู้ที่บำเพ็ญต้าฝ่าที่ไม่กลืนกลายเข้ากับฝ่า พูดโกหก     ตรงนี้ไม่อาจเข้าใจได้

อาจารย์   การพูดโกหกนั้นไม่ถูกต้อง  ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งเขานั้นมีจิตของคนธรรมดาสามัญ   ตราบเท่าที่เขายังไม่หยวนหมั่น  เขาย่อมจะมีจิตของคนธรรมดาสามัญ  แต่มีจุดหนึ่งข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  พวกเราในฐานะผู้ฝึกก็ดี  ในฐานะผู้ปฏิบัติงานก็ดี  สิ่งที่แสดงออกมามากที่สุดคือจิตยึดติดนั้นที่เขายังไม่ได้ทิ้งไป จิตดวงนั้นในหมู่คนธรรมดาสามัญที่วางไม่ลงจึงสามารถแสดงออกมา  เพราะอะไรหรือ   เพราะส่วนที่เขาบำเพ็ญเสร็จแล้ว  จิตที่ขจัดทิ้งไปแล้วก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว จึงแสดงออกมาไม่ได้อีก  ฉะนั้นจิตที่เหลืออยู่จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ  พวกเราแต่ละคนจึงสามารถมองเห็นได้  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ไม่อาจพูดว่าคนๆนี้ไม่ดี   ที่จริงเขานั้นดีมาก  เพียงแต่จิตที่เขายังไม่ได้ทิ้งไปกำลังก่อให้เกิดผลกระทบต่องาน  กระทบต่อผู้ฝึก  เมื่อมันแสดงออกมา คนจำนวนมากจึงมองเห็นได้  ดังนั้นการมองปัญหาตัดสินคน อย่ามองเหมือนกับคนธรรมดาสามัญอย่างนี้    แต่ก็อย่าได้รู้สึกว่าเราเองบำเพ็ญได้ไม่เลวเลย  ยังมีจิต(ยึดติด)ที่ยังปล่อยวางไม่ได้แล้วย่อหย่อนต่อตนเอง  นี่ใช้ไม่ได้  พอพบกับความขัดแย้ง ก็ต้องค้นหาต้นเหตุที่ตนเอง

            ข้าพเจ้าคิดว่าศิษย์ทั้งหมดของข้าพเจ้า  จากวันนี้ไปเมื่อพวกท่านอยู่ในความขัดแย้ง ในความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกัน หรือในขณะศึกษาฝ่า  ในหมู่ศิษย์ของเรา  เกิดความขัดแย้งใดขึ้นนั้น พวกท่านควรไปค้นหาที่ตนเอง  ใช่หรือไม่ว่าฉันเองทำไม่ถูกที่ตรงไหน  ทุกคนควรจะไปทำเช่นนี้  บำเพ็ญจิตดวงนี้ของท่าน  หากตัวท่านไม่ทุ่มเทพยายามไปที่จิตใจของตนเอง ท่านทุ่มเทพยายามไปที่ภายนอก ไปค้นหาข้อบกพร่องของคนอื่น ท่านจะยกระดับขึ้นได้อย่างไรละ คนอื่นดีกันหมดแล้ว ท่านชี้ข้อบกพร่องของคนอื่นออกมาแล้ว เขาก็บำเพ็ญขึ้นไปแล้ว  แต่ท่านยังอยู่ที่นี่            ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เมื่อเกิดความขัดแย้งใดๆ  เมื่อจิตใจรู้สึกไม่สบาย  ท่านต้องค้นหาสาเหตุของตนเอง   รับรองว่าสาเหตุย่อมเกิดมาจากท่านที่นี่   ในอดีตศาสนาพุทธบอกว่าพระพุทธอยู่ในใจ  ผู้คนพูดถึงมันในลักษณะที่เป็นรูปแบบชนิดหนึ่งแล้ว  ดูเหมือนมีพระพุทธอยู่ในใจ  ผู้คนไม่เข้าใจกัน  ที่จริง ที่พูดกันนั้นเป็นความหมายเช่นนี้ คือ ต้องบำเพ็ญที่ใจของท่าน  ต้องทุ่มเทพยายามที่ใจท่าน  ค้นหาจุดอ่อน จุดด้อยของท่านเอง  ถอนมันออกมาจนถึงราก  ซินซิ่งของท่านไม่บรรลุถึงมาตรฐานก็หยวนหมั่นไม่ได้ตลอดไป  เช่นนั้นเหตุใดไม่ทุ่มเทพยายามตรงที่ใจละ  เหตุใดไม่ทุ่มเทพยายามที่ตนเองนี้ละ  ข้าพเจ้าให้วิธีการยกระดับที่เร็วที่สุดให้กับพวกท่าน ก็คือให้พวกท่านแสดงจุดอ่อนออกมาในความขัดแย้งในระหว่างพวกท่านด้วยกันเอง พอพวกท่านประสบกับความขัดแย้งก็ผลักมันออกไป  ชี้ข้อด้อยของคนอื่น  ไม่มองที่ตนเอง  นั่นจะบำเพ็ญอย่างไรละ  นี่จึงเป็นวิธียกระดับที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่ข้าพเจ้าให้กับพวกท่าน   ดังนั้นต้องปรับทัศนคติของพวกท่านกลับมา  พูดถึงว่าผู้ฝึกเราพูดโกหก   บางคนซินซิ่งแสดงออกมาแย่จริงๆ  คนเช่นนี้หากพวกเราสามารถช่วยเหลือเขาได้ก็ให้ชี้ออกมา  แต่ข้าพเจ้าคิดว่าการยกระดับที่แท้จริงนั้นต้องพึ่งตัวเขาเอง  ตัวเขาไม่ศึกษาฝ่า  ปัญหาอะไรก็แก้ไขไม่ได้  แต่พูดในทางกลับกัน  การยกระดับนั้นเป็นเรื่องของตัวเขาเอง  เขาตกลงไปแล้ว  เขาไม่คิดจะยกระดับ          ผู้ที่บำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้ก็คือตัวเขาเอง

ศิษย์ เรียนถามว่า ด้านที่เป็นเทพ ด้านที่เป็นคนกับจิตหลัก จิตรองมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไร

อาจารย์  คนธรรมดาสามัญไม่มีด้านที่เป็นเทพ  มีเพียงพวกเราผู้บำเพ็ญที่แท้จริงจึงจะมี  และยังต้องพูดจากในรูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้ของต้าฝ่าเรา เพราะเราเปลี่ยนแปลงท่านจากจุดดั้งเดิมที่สุดของชีวิตพวกเรากลับข้างมาบำเพ็ญ  วิธีการชนิดนี้ค่อนข้างเร็ว ทั้งยังสามารถบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  สอดคล้องอย่างที่สุดกับสภาพของคนธรรมดาสามัญ ในขณะเดียวกันก็สามารถยกระดับซินซิ่งของคนได้ในสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนนี้  นี่ก็จะเร็วที่สุด เช่นนั้นพวกเราอยู่ในต้าฝ่า ณ ระดับจุลทรรศน์ก็ได้รับฝ่าแล้ว อณูส่วนนั้นที่ได้มาตรฐานแล้ว กับร่างกายที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคสสารระดับจุลทรรศน์ ก็ถือเป็นด้านที่เป็นเทพแล้ว  ด้านที่เป็นพุทธ  ด้านที่เป็นเต๋า  พูดถึงด้านที่เป็นคนนั้น ก็คือที่ท่านมองเห็นตัวท่านเองในปัจจุบัน  หากร่างกายชั้นผิวของท่านด้านนี้  ในช่วงสุดท้ายของการหยวนหมั่น  ในช่วงสุดท้ายของการบำเพ็ญล้วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง  ด้านที่เป็นคนของท่านก็จะไม่คงอยู่แล้ว  ในเมื่อด้านที่เป็นคนของท่านไม่คงอยู่แล้ว กลืนกลายเข้ากับด้านที่เป็นเทพแล้ว ท่านก็หยวนหมั่นแล้ว   ตามการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของร่างกายท่าน จะนำมาซึ่งสภาพการณ์รับรู้(อู้)อย่างทะลุปรุโปร่งชนิดนี้ ท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงแก่น   นั่นเป็นสิ่งที่ท่านไม่มีทางจะจินตนาการได้เลย  ใช้ความคิดของท่าน ก็ล้วนไม่อาจคาดคิดได้เลย  เขาเป็นปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่มีความยิ่งใหญ่  เกริกก้อง  สง่างาม เพียงไร  พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตหลักกับจิตรองนี้  ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้วเมื่อตอนที่พูดถึงโครงสร้างของร่างกายคน  ข้าพเจ้าก็จะไม่ใช้เวลาตรงนี้แล้ว  ไปอ่านหนังสือให้มากๆเอาเถิด

ศิษย์ ใช่หรือไม่ว่าพอความคิดชั่วออกมาก็ได้ก่อกรรมชั่วแล้ว  เมื่อความคิดดีงามออกมาก็สะสมกรรมดี

อาจารย์  ไม่ใช่ เมื่อสักครู่ข้าพเจ้ายังพูดถึงเรื่องนี้  กรรมนั้นเพียงปรากฏออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญของเราหรือก็คือบนโลก สสารใดๆล้วนมีด้านบวกและลบสองด้านคงอยู่  มีพุทธมีมาร  มีคนมีผี  มีคนดีมีคนชั่ว  มีเชื่อมีไม่เชื่อ  มีผู้สนับสนุน มีผู้คัดค้าน  คนยังมีชายหญิง  ทั้งหมดล้วนคงอยู่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  ล้วนเป็นการคงอยู่ของ อิน-หยาง ความสัมพันธ์ชนิดนี้ หรือก็คือความสัมพันธ์แบบเสริมและต้านซึ่งกันและกัน  ฉะนั้นเวลาที่คนทำเรื่องไม่ดีเขาย่อมก่อกรรมอย่างแน่นอน ความคิดที่เขาคิดก็คือความคิดที่ชั่วร้ายอย่างหนึ่ง  ในศาสนาพุทธพูดว่า มีการแบ่งเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว  ข้าพเจ้าพบว่ากรรมดีที่คนพูดกันก็ยังมีด้านบวกกับลบสองด้านคงอยู่  ดังนั้นพูดอย่างเข้มงวด  ข้าพเจ้ารู้สึกว่ายังไม่ถูกต้อง

พุทธศาสนาในปัจจุบันพวกเราไม่ไปพูดแล้ว  เพราะนี่เป็นพุทธศาสนาในยุคธรรมะปลาย พวกเราไม่ไปพูด  จะพูดพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ในช่วงที่ค่อนข้างดี  นั่นก็คือผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่ง  ทุกคนล้วนแต่ใช้จิตที่ดีงามไปปกป้องผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้  ใครจะมาทำลายมัน  โจมตีมัน  มันก็จะเลือกวิธีการบางอย่างที่คล้ายกันมาปกป้องตนเอง  ดังนั้นมันก็มีด้านลบคงอยู่  และก็เป็นด้านที่ชั่วร้าย   คุณจะทำลายวัดของฉัน  ฉันจะต่อสู้กับคุณอย่างสุดฤทธิ์  คุณจะทำร้ายภิกษุ ลูกศิษย์ของฉัน  ฉะนั้นฉันก็จะร้ายต่อคุณ   ก็คือตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องที่ดีก็ยังมีด้านลบคงอยู่  ก็คือด้านหนึ่งที่ชั่วร้ายของมัน  ดังนั้นหากพูดอย่างเข้มงวด กรรมดีและกรรมชั่วที่กันพูดนั้นไม่ครบถ้วน หากพูดกว้างๆอย่างนี้ก็พอได้

พวกเรานั้น  เพื่อที่จะสามารถพูดให้แจ่มแจ้งถึงการแสดงออกที่แท้จริงของสสารด้านบวกกับด้านลบสองชนิดและการสะท้อนออกมาอย่างเป็นจริงของมัน  เราจึงนำส่วนที่ดีที่สุดนั้น  ซึ่งเห็นว่ามีความหมายต่อคนมากที่สุด  มีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญมากที่สุดและสามารถผันแปรเป็นพลังได้นั้น  พวกเราเรียกมันว่า กุศล  ในความเป็นจริง จริงๆมันก็คือกุศลนั้น  และก็คือกุศลที่พวกเรามักพูดถึงอยู่เสมอ    เมื่อพูดถึงกรรม    กรรมชั่วกับความชั่วร้ายที่อยู่ในกรรมดีที่เรียกกันนั้น  สิ่งที่เป็นด้านที่ชั่วร้าย สิ่งที่เป็นด้านลบ  พวกเราเรียกรวมๆว่า กรรม   เรียกกันเช่นนี้ค่อนข้างจะถูกต้อง  พูดถึงว่าความคิดอะไรที่เกิดขึ้นในความคิดของคน  ถ้าคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งในความคิดมีความคิดที่ไม่ดีออกมาสักเรื่อง  คิดจะทำเรื่องไม่ดี  แต่ไม่ได้กระทำ  หรือผลลัพธ์ที่ไม่ดีไม่เกิดขึ้นก็ก่อกรรมออกมาไม่ได้  ทำไม่สำเร็จก็ไม่ได้ก่อกรรม  หากทำสำเร็จแล้วจึงถือว่าก่อกรรม  และกรรมชนิดนี้จะสะท้อนอยู่ในร่างกายหรือสนามรอบร่างกาย  แต่ว่า เมื่อคนเกิดความคิดที่ไม่ดีกลับจะก่อเกิดกรรมทางความคิดอันหนึ่งขึ้นในความคิดของตน  นี่ก็คือเหตุใดในความคิดของผู้บำเพ็ญจึงปรากฏความคิดที่ด่าคนเอย  คิดต่อต้านเอย  ไม่เชื่อเอยหรือสั่นคลอนการบำเพ็ญของตนเองเป็นต้นรบกวนท่าน

เวลาที่นั่งสมาธิอยู่คิดเรื่อยเปื่อย  เลอะเทอะ  รบกวนความคิดของท่าน  นี่ก็คือสิ่งเหล่านี้บังเกิดผล มันก็คือเหตุผลนี้ที่ข้าพเจ้าพูดมันออกมาอย่างแจ่มแจ้งให้กับท่าน  พระสงฆ์ในอดีตนั้น  ข้าพเจ้ามองดูพระสงฆ์สมัยโบราณ  พบว่าโดยพื้นฐานพวกเขาอาศัยอยู่ในวัด  ไม่สัมผัสกับสังคมที่วุ่นวายซับซ้อน  ดังนั้นความคิดของเขาจึงค่อนข้างเรียบง่าย   เมื่อเสริมกับที่เขาเข้าฌานไม่ออกจากสมาธิเป็นประจำ  เช่นนั้นจึงทำให้ความคิดของเขาเรียบง่ายมาก สามารถทำให้ความคิดใดๆที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนนั้นไม่เคลื่อนไหวทั้งสิ้น   จึงลดทอนการเกิดกรรมทางความคิดและการรบกวน   ดังนั้นในอดีตพวกเขามักจะเข้าฌาน  ปิดประตูจำศีล  จุดประสงค์ที่แท้ของพวกเขาคือบำเพ็ญอยู่ในความสงบ   เพราะการบำเพ็ญอยู่ที่ตน  พลังอยู่ที่อาจารย์  จะมีอาจารย์ของนิกายนั้นหรือโลกสวรรค์นั้นมาดูแลเขา  ในระหว่างการบำเพ็ญอยู่ในความสงบสามารถจะขจัดกรรมทางความคิดของเขา          จุดนี้พวกท่านก็มีข้าพเจ้าช่วยทำให้ตัวท่านเองทำไม่ได้

ศิษย์  กรรมทางความคิดก็ได้ผลักทิ้งไปแล้ว   แต่บางครั้งต้องใช้เวลานานมาก  ทำอย่างไรจึงจะขจัดมันได้ดียิ่งขึ้น

อาจารย์  ทำอย่างไรจึงจะขจัดมันได้ดียิ่งขึ้น   วิธีพูดนี้ก็คือต้องการจะเดินทางลัด  ค้นหาวิธีที่ง่ายๆ  สภาพการณ์ใดๆล้วนไม่ได้เป็นเอกเทศ กรรมนั้นคือสิ่งที่ท่านเองก่อขึ้น  ฉะนั้นเวลาบำเพ็ญมันทิ้งไปจึงต้องทนทุกข์ พร้อมกับยกระดับขึ้นในระหว่างที่ทนทุกข์  และยังจะทดสอบท่านว่าสามารถจะยืนหยัดอยู่ได้หรือไม่ หากเอาทิ้งไปในทันที ท่านก็ไม่มีอะไรจะบำเพ็ญแล้ว หากท่านมิได้เปลี่ยนแปลงตนเองอย่างจริงจัง  นั่นย่อมไม่ได้อย่างเด็ดขาด  หากพวกท่านไม่สามารถบรรลุมาตรฐานนั้นได้  เวลาที่ท่านไปถึงสวรรค์  ท่านพบกับผู้รู้แจ้งใหญ่ที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามนั่งอยู่ตรงนั้น  ท่านเองก็จะเกิดความรู้สึกกล้าๆกลัวๆอยู่ในใจ  เฮ้อ  ฉันบำเพ็ญยังไม่ดีพอ  ฉันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้   ตัวท่านเองก็จะทราบว่าไม่อาจอยู่ที่นี่ ดังนั้นแต่ละก้าวของการบำเพ็ญของพวกเราจึงต้องทำอย่างจริงๆจังๆ   หากบรรลุไม่ถึงมาตรฐาน  ย่อมจะไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่อาจข้ามด่านไปได้

เช่นนั้นกรรมทางความคิดนั้นผลักทิ้งไปไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรละ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ทัศนคติทางความคิดของคนนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นในชาติเดียว  แต่เป็นการสะสมลงมาหลายๆชาติภพ มันอยู่ในส่วนที่ลึกลงไปมากๆของร่างกายท่าน จึงไม่ใช่แค่ชั้นผิว แล้วจะทำอย่างไรดีละ  ในระหว่างการบำเพ็ญของท่านก็คือการทำให้มันอ่อนแอลง  ขจัดมันทิ้งไป  ก็ได้ทำเช่นนี้กันแล้ว   ดังนั้นก่อนหน้าที่ท่านยังไม่หยวนหมั่น ความคิดของท่านยังจะเกิดกรรมขึ้นได้  ยังจะมีสิ่งนี้ดำรงอยู่   ฉะนั้นท่านจึงต้องคิดหาวิธียับยั้งมันควบคุมมันไว้ นี่จึงจะเป็นการบำเพ็ญ หากท่านย่อหย่อนต่อตนเองนั่นก็ไม่ใช่การบำเพ็ญแล้ว  แต่กรรมทางความคิดนี้ที่รบกวนคนมีความสำคัญอย่างยิ่ง   กรรมทางความคิดที่ใหญ่  จนกระทั่งรบกวนทำให้คนฝึกพลังไม่ได้   ขอให้อ่านหนังสือมากๆ  บนหนังสือมีฝ่า  ในฝ่ามีข้าพเจ้าซึ่งสามารถช่วยเหลือพวกท่านได้ทุกอย่าง  จึงสามารถขจัดกรรมไปได้

ศิษย์  เวลาที่ทุกข์ภัยมาถึง รักษาซินซิ่งไว้ไม่ได้ เช่นนั้นทุกข์ภัยครั้งต่อไปก็มาอีก ย่อมจะหนักกว่าครั้งก่อนใช่หรือไม่

อาจารย์  ปัญหานี้ ได้อธิบายไปแล้วใน “จ้วนฝ่าหลุน”ก็คือในระหว่างการบำเพ็ญ ตนเองไม่สามารถถือเอาตนเองเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งได้    อาจารย์ได้จัดวางด่านเหล่านั้นไว้ให้ท่านเพื่อให้ท่านยกระดับ แต่ท่านข้ามไปไม่ได้ หลงติดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน  แต่การบำเพ็ญนั้นไม่รอคอยคน  ทุกข์ภัยครั้งนี้ท่านข้ามไปไม่ได้  ทุกข์ภัยครั้งต่อไปมันย่อมจะตามมา  ถึงอย่างไรก็จะต้องให้ท่านยกระดับให้ได้  เช่นนั้นทุกข์ภัยครั้งนี้ท่านผ่านไปไม่ได้  ทุกข์ภัยครั้งต่อไปก็มาอีกแล้ว  สองครั้งรวมเข้าด้วยกันท่านจะข้ามไปได้อย่างไรละ  เขาก็ยิ่งไม่รับรู้  ก็ยิ่งข้ามไม่ได้  เช่นนั้นทุกข์ภัยครั้งถัดไปก็มาอีกแล้ว  จึงก่อเกิดเป็นด่านตายที่ไม่มีทางจะผ่านไปได้  หากไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงก็จะผ่านไปได้ยากจริงๆ  มันก็ยังจะสะสมได้อีก  สิ่งนี้ของท่านสะสมมากๆแล้วท่านจะข้ามไปได้อย่างไรละ ฉะนั้นเราขอบอกทุกท่าน  ท่านจะต้องปฏิบัติต่อมันในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง

บางคนตอนเริ่มต้นนั้น เพื่อจะรักษาโรคจึงเดินเข้ามาในต้าฝ่าเรา เราไม่คัดค้าน การรับรู้ต้าฝ่าย่อมจะต้องมีขั้นตอนหนึ่ง   ต่อมาเขารู้ว่า อ้อ ต้าฝ่าไม่รักษาโรค  แต่ว่าฉันจะเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่มีโรคติดตัวมาก็ไม่อาจจะบำเพ็ญได้ ไม่อาจเกิดพลังได้ จะทำอย่างไรดีละ  เขารู้แล้ว  เช่นนั้นฉันไม่คิดละ และไม่หาอาจารย์รักษาโรคให้  ฉันก็ไม่คิดจะรักษาโรคแล้ว แต่ฉันรู้ว่า เพียงฉันบำเพ็ญไป  อาจารย์ก็ต้องรักษาโรคให้ฉันแน่นอน  ในใจเขายังเฝ้าคิดอยู่อย่างนั้นอยู่นิดหนึ่ง เช่นนั้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงหรือไม่ละ  ไม่ใช่  ผิวชั้นนอกที่สวยงามนั้นเป็นของปลอม คนถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากแก่นแท้ นั่นก็ไม่อาจบรรลุถึงมาตรฐานได้ การเป็นผู้รู้แจ้ง ชีวิตชั้นสูงมองเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง ปิดบังอำพรางไม่ได้แม้แต่น้อย เขาไม่บรรลุมาตรฐาน ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยแท้จริง สุดท้ายยังคงมีจิตใจดวงนั้นติดอยู่ เพียงแต่มันเปลี่ยนเป็นลักษณะอำพรางยิ่งขึ้น แต่ผู้ที่รับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของเขานั้น สามารถเห็นได้อย่างชัดแจ้ง  เช่นนั้นเขากำลังหลอกใครละ  ยังคงเป็นการหลอกตัวเอง  ฉะนั้นจำเป็นต้องปล่อยวางจิตดวงนั้น  บรรลุถึงมาตรฐานของผู้บำเพ็ญที่แท้จริง  เขาปล่อยวางไม่ได้  ดังนั้นปัญหานี้จึงทอดออกไปอย่างยาวนาน มักจะตกอยู่ในทุกข์ภัยนี้เรื่อยไป  ปัญหานี้หนักหนามาก มีผู้ฝึกอย่างนี้เสมอตลอดมา

ศิษย์  ผู้บำเพ็ญไม่ยึดติดเรื่องโชคลาภ  เพียงรักษากุศล ไม่สะสมกุศล  จิงเหวินของอาจารย์ “มั่งมีและมีกุศล”เป็นมาตรฐานข้อกำหนดที่ต่ำที่สุดต่อศิษย์ที่ไม่ก้าวหน้าใช่หรือไม่

อาจารย์  ในฐานะผู้บำเพ็ญจะไม่ไปยึดติดกับมัน  การไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆไม่ใช่ว่าท่านจะไม่มีสิ่งของใดๆ ละทิ้งจิตใจที่อยากร่ำรวย อยากมีทรัพย์สินเงินทอง หรือยึดติดกับทรัพย์สินเงินทองได้แล้ว ไม่ใช่ว่าท่านก็จะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง การรักษากุศล ไม่สะสมกุศลนั้น  เนื่องจากพวกเราในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่งมีเวลาในชาติภพนี้จำกัดมากแล้ว  ท่านไปทำความดียังที่ต่างๆ  เรื่องนี้ที่มีความหมายมั่นนั้น ไหนเลยจะสามารถทำให้ซินซิ่งของท่านยกระดับได้อย่างแท้จริงละ  ไม่ได้หรอก  ดังนั้นท่านมีแต่ต้องรีบเร่งบำเพ็ญ ให้ตนเองเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยแก่นแท้  ท่านจึงจะสามารถหยวนหมั่นและเรื่องราวต่างๆในสังคมคนธรรมดาสามัญก็มีมูลเหตุสัมพันธ์กันอยู่  บุญคุณความแค้นเหล่านั้นล้วนสะสมต่อๆกันมาในประวัติศาสตร์  หากท่านไปยุ่งเกี่ยว  สิ่งที่ท่านมองเห็นนั้นย่อมจะเป็นเพียงเปลือกนอก ท่านมองไม่เห็นมูลเหตุสัมพันธ์ของมัน  ท่านก็จะทำผิดไปได้  คนธรรมดาสามัญไปจัดการผิดพลาดไป ไม่เป็นไร   เพราะคนธรรมดาสามัญเพียงแต่ทำให้สอดคล้องกับเหตุผลในระดับชั้นนี้ก็ใช้ได้แล้ว  แต่ท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ท่านต้องใช้มาตรฐานที่สูงกว่ามากำหนด  หากท่านจัดการผิดไปแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ   ท่านต้องรับผิดชอบ  ดังนั้นพลังของท่านจะลดลง  ระดับชั้นจะต่ำลง  หากท่านทำเช่นนี้อยู่เสมอๆ  ท่านจะหยวนหมั่นได้อย่างไรละ  ดังนั้นพวกเราจึงพูดว่า  อย่าเอาแต่คิดเรื่องสะสมกุศล ท่านเพียงบำเพ็ญไปก็พอ  สสารทั้งหลายที่ท่านจำเป็นต้องมีในระหว่างการบำเพ็ญ ล้วนจะได้รับการผันแปรในระหว่างที่ท่านทนทุกข์ทุ่มเทบำเพ็ญอยู่  สสารที่ไม่พอเพียงยังจะสามารถชดเชยให้ได้  ไม่จำเป็นต้องให้ท่านไปทำเช่นนี้เลย  ดูแต่เพียงใจคน

            การบำเพ็ญที่แท้จริงก็คือดูที่ใจคน  เพียงใจของท่านอยู่ที่พระพุทธตรงนี้  เพียงแต่ใจของท่านบรรลุมาตรฐานจิตใจของผู้บำเพ็ญ   เรื่องราวทั้งหลายล้วนจะสามารถทำให้ท่านได้  คนที่มีกรรมเต็มตัว  หากท่านให้ข้าพเจ้าดู  แม้แต่กระดูกก็ดำคล้ำ ท่านเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะสามารถทำให้ตนเองเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยแก่นแท้ได้อย่างไร บรรลุถึงเขตแดนของพระพุทธ ท่านสะสมกุศลมากเพียงไร ท่านทำเรื่องที่ดีมากเพียงไร ท่านจะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านั้นที่ทำในชาติภพต่างๆของท่านได้หรือ  ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เลย  การสะสมกุศลไม่ใช่การบำเพ็ญนะ ทำไม่ได้ ดังนั้นท่านเพียงแต่บำเพ็ญแข่งกับเวลา ดูเพียงใจดวงนี้ของท่าน  ท่านเพียงไปบำเพ็ญ ปัญหาทั้งหมดพวกเราล้วนสามารถผันแปรให้เป็นเรื่องดีให้กับท่าน  เรื่องร้ายกลายเป็นดี  บอกว่าท่านฆ่าชีวิตไปมากมายในชาติภพต่างๆ  ทำร้ายชีวิตไว้มากมาย ท่านต้องชดใช้  ท่านก็ชดใช้ด้วยชีวิตชาติแล้วชาติเล่า  ท่านกลับชาติมาเกิดแล้วชดใช้ด้วยชีวิตอยู่อย่างนี้ท่านก็ชดใช้ไม่หมด  จะไปพูดถึงการบำเพ็ญอะไรอีกละ  หากชีวิตที่ท่านทำร้ายไว้  หลังจากที่ท่านหยวนหมั่น  ในการหยวนหมั่นโลกของท่านนั้น  ก็ช่วยพวกเขาไปเป็นสรรพชีวิตอยู่ในโลกของท่าน นั่นเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งใช่หรือไม่ละ  ก็ชดใช้หนี้กรรมหมดแล้ว  แต่ใครที่ทำเรื่องนี้ให้ท่านได้ละ  มีแต่คนที่ช่วยท่านจึงจะสามารถทำเรื่องนี้ให้ท่านได้   คนที่ช่วยเหลือท่านยังต้องมีความสามารถนี้  กรรมที่ท่านติดค้างไว้ท่านต้องชดใช้  นี่ถือว่าชดใช้แล้ว  แต่หากท่านบำเพ็ญไม่สำเร็จเป็นพระพุทธ  ทุกสิ่งนี้ล้วนจะเป็นกรรมที่ท่านชดใช้ไม่มีวันหมด  นี่ก็คือความสัมพันธ์ชั้นหนึ่ง    จึงพูดว่ามีเรื่องมากมายที่ท่านไม่ต้องไปสนใจ  ให้ท่านสนใจแต่การบำเพ็ญ  อาจารย์ก็จะทำให้ท่านได้ทั้งหมด

ศิษย์     ผู้ฝึกบางคนได้ฟังเรื่องการบ่อนทำลายฝ่าแล้วก็เชื่อ แต่ตอนนี้สำนึกได้แล้วคนเหล่านี้ยังจะสามารถหยวนหมั่นได้ไหม

อาจารย์  บนเส้นทางการบำเพ็ญนี้ แต่ละคนก็ไม่แน่ว่าจะข้ามแต่ละด่านไปได้ดีมาก  ย่อมจะทำผิดกันได้ทั้งนั้น ถ้า แต่ละด่านท่านล้วนสามารถข้ามไปได้อย่างดี  ข้าพเจ้าว่าท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว สามารถหยวนหมั่นได้แล้ว  บางด่านท่านสามารถข้ามไปได้ดี  บางด่านท่านข้ามไปได้ไม่ดี แต่ท่านรู้ผิดสำนึกเสียใจในภายหลัง ครั้งต่อไปพยายามมุ่งมั่นทำมันให้ดี            ก็จะข้ามไปได้ดี  ข้ามไปได้ไม่ดี กันอยู่อย่างนี้  ล้มลุกคลุกคลาน นี่ก็คือการบำเพ็ญ (เสียงปรบมือ) แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ท่านอย่าเพิ่งดีใจ   ท่านคิดว่า  อ้อ  เช่นนั้นฉันข้ามไปได้ดี  ข้ามไปได้ไม่ดี  อย่างไรเสียฉันไปช้าๆก็เป็นการบำเพ็ญแล้ว   ไม่ได้ ท่านจะต้องก้าวหน้า  หากท่านหย่อนยานแล้ว  ท่านไม่ก้าวหน้า  จิตดวงนี้ข้าพเจ้าก็มองเห็นได้  เท่ากับท่านไม่รับผิดชอบต่อตนเอง   ดังนั้นท่านจะต้องถือว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง ปฏิบัติต่อปัญหานี้อย่างเข้มงวด  ท่านจึงจะสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ศิษย์     เรียนถามว่าศิษย์ที่บำเพ็ญเป็นหลักทำวัตรเช้าเย็น จะกระทบต่อการบำเพ็ญหรือไม่

อาจารย์ ข้าพเจ้าจะคิดหาวิธีที่ไม่ทำให้ท่านได้รับผลกระทบ  พวกเรามีพระสงฆ์  นักพรตเต๋า หรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นกำลังศึกษาต้าฝ่ากันหลายคน ข้าพเจ้าจะอธิบายหลักการอย่างหนึ่ง  พวกเราไม่มุ่งเจาะจงที่ศาสนาใดๆ ไม่มุ่งเจาะจงที่รูปแบบใดๆในสังคมคนธรรมดาสามัญ พวกเราเพียงแต่ถือว่ามันเป็นการงานของคนธรรมดาสามัญ   แม้แต่พระพุทธก็ไม่สนใจแล้ว  พระพุทธก็ไม่โปรดแล้ว  มันไม่เป็นรูปแบบหนึ่งของสังคมคนธรรมดาสามัญหรอกหรือ  ข้าพเจ้าก็ดูมันเป็นการงานอย่างหนึ่ง   ดังนั้นพวกเราไม่มุ่งเจาะจงที่มัน   หากพวกเราจะต้องไปที่วัดเพื่อเปลี่ยนแปลงพระสงฆ์  ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้  พวกเรามุ่งตรงที่ใจคนเท่านั้น  ไม่ว่าท่านจะเป็นคนในเขตแดนไหน  ระดับชั้นไหน ชนชั้นไหนในสังคม  มุ่งตรงที่ใจคนเท่านั้น  บางคนคิดว่า  พวกเราไปบอกให้เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่คนนั้นบำเพ็ญแล้ว เขาก็จะบอกให้คนมาเรียนกันมากมาย  ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงอย่างนี้ เขาสั่งให้คนมาเรียนไม่ใช่มาได้ฝ่าอย่างจริงใจ  ข้าพเจ้าไม่ต้องการ ดังนั้นข้าพเจ้าไม่สนใจว่าท่านอยู่ในชนชั้นใด   ข้าพเจ้าเพียงมุ่งตรงที่ใจคน   ไม่ว่าท่านจะเป็นศาสนาก็ดี  ข้าพเจ้าก็มุ่งตรงที่ใจคน  ต่างก็เป็นสรรพชีวิต  ใครสามารถบำเพ็ญ         ข้าพเจ้าก็รับผิดชอบต่อเขาหากไม่บำเพ็ญก็แล้วกันไป

ที่ผ่านมาในศาสนาก็เป็นเช่นนี้ พระพุทธนั้นไม่ยอมรับศาสนา ศาสนานั้นเป็นชื่อที่คนธรรมดาสามัญตั้งขึ้น  กลุ่มพระสงฆ์ที่องค์ศากยมุนีจัดตั้งขึ้นในยุคแรกนั้น  ก็ไม่ได้พูดว่าเขาเป็นศาสนา  ฉะนั้นพระพุทธจึงดูแต่ใจคน  ไม่ดูรูปแบบที่คนๆ นี้ปกป้อง  การปกป้องโดยตัวมันเองก็เป็นการยึดติด  ล้วนเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญวางไม่ลง  ไม่ใช่การบำเพ็ญพุทธอย่างแท้จริง   ดังนั้นการบำเพ็ญพุทธนั้น  เพียงแต่เขาบำเพ็ญอยู่  ไม่ว่าจะเป็นคนอะไร  ข้าพเจ้าล้วนจะรับผิดชอบเขา  ข้าพเจ้าจะถือว่าเขาเป็นสรรพชีวิตทั้งสิ้น  จิตดวงนั้นที่บริสุทธิ์ที่สุด  จิตที่อยากจะบำเพ็ญมุ่งสู่ความดีงามอย่างแท้จริง  เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นจุดนี้ ข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบต่อเขา   พูดถึงว่าจะทำวัตรเช้า  ทำวัตรเย็นเอย  ท่องคัมภีร์ในอดีตเอยหรือสวดคัมภีร์ออกเสียงเอย  อ่านคัมภีร์ไบเบิลเอย  ข้าพเจ้าคิดว่าในฐานะอุบาสกอุบาสิกาหรือคนทั่วไป  ท่านก็เลิกเสีย  มุ่งบำเพ็ญต้าฝ่า  นี่เป็นเรื่องที่เข้มงวด  แต่ในฐานะผู้ออกบวชคนหนึ่ง หรือผู้ทำงานด้านศาสนาคนหนึ่ง  เช่นนั้นเขาไปทำชั่วคราว  ข้าพเจ้าเพียงถือว่ามันเป็นงานของท่าน  เดิมทีก็ไม่มีเทพหรือพระพุทธดูแลอยู่แล้ว  พอถึงระดับชั้นที่แน่นอนหนึ่งพวกท่านเองก็เข้าใจได้ว่าควรไปทำอย่างไรแล้วข้าพเจ้าได้เปิดประตูที่สะดวกที่สุด ดูแต่ใจคน(ปรบมือ)

ศิษย์      หลังจากเหล่าศิษย์หยวนหมั่นขึ้นไปกันแล้ว  ยังจะได้ยินท่านอาจารย์ที่เคารพบรรยายฝ่าอีกหรือไม่

อาจารย์ ท่านยังคงใช้ความคิดของคนคิดเรื่องของเทพ  ในเวลานั้นข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ท่านจะมีศิษย์ของท่านฟังท่านบรรยายธรรมแล้ว  ประวัติการบำเพ็ญของท่านจะเป็นธรรมะบทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่สง่างามของการสถาปนาธรรมานุภาพของท่านในอนาคตโดยผิวเผินท่านบำเพ็ญอย่างธรรมดาๆมากอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ บรรดาเรื่องเหล่านั้นที่ท่านไม่ทราบ  ล้วนมีการบันทึกไว้  ท่านจะรู้สึกได้ก็ดี รู้สึกไม่ได้ก็ดี ล้วนแต่มีการบันทึกไว้ ฉะนั้นทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นธรรมานุภาพที่ท่านเองสถาปนาขึ้นที่จริงพระพุทธอยู่ในโลกของพระพุทธก็บรรยายฝ่า นอกเหนือจากหลักการที่สรรพชีวิตในโลกของเขาต้องยึดถือตามแล้ว ที่สำคัญเขาจะบรรยายเรื่องการบำเพ็ญของพระพุทธในโลกสวรรค์อื่นๆ   ซึ่งทำให้คนตื้นตันใจ  สรรพชีวิตในโลกสวรรค์ได้ฟังแล้วก็จะหลั่งน้ำตาได้  ดังนั้นจึงพูดว่าการบำเพ็ญของพวกเราแต่ละคนนั้นจะต้องบรรลุถึงมาตรฐานให้ได้

ศิษย์  คนธรรมดาสามัญในบ้าน  ซื้อหนังสือโจมตีต้าฝ่ามาเล่มหนึ่ง อยากจะทำลายมันทิ้งมากแต่ในนั้นพิมพ์ภาพถ่ายขนาดใหญ่ของท่านอาจารย์ไว้

อาจารย์  ทำลายทิ้งก็ทำลายทิ้งเสีย  หนังสือเล่มนี้ของพวกเราก็เป็นตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาวเล่มหนึ่ง หากฝ่าเซินของข้าพเจ้าไม่อยู่บนนั้น  นั่นก็เป็นหมึกพิมพ์ออกมา  ไม่มีความนัยที่แฝงอยู่เบื้องหลัง  เผาทิ้งก็เผาทิ้ง  ก็คือความหมายนี้  แน่ละ สิ่งที่อยู่ฝั่งนั้นย่อมเผาไม่ได้  ไฟของคนธรรมดาสามัญจะเผาถึงฝั่งนั้นได้หรือ ดังนั้นไม่มีปัญหา

ศิษย์     ท่านอาจารย์บรรยายหลักการของฝ่ามากมายเช่นนี้  ทำให้คนรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มบำเพ็ญจากอะไร
อาจารย์  คงจะเป็นผู้ฝึกใหม่กระมัง  มีความงงงันไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่หน่อย  ที่จริงนั้นง่ายมาก  ไม่มีศีลหรือข้อห้ามใดๆ   ท่านเพียงแต่ไปอ่านหนังสือ ท่านก็จะทราบว่าควรทำอย่างไร ท่านก็จะค่อยๆเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  จากการรับรู้ด้วยความรู้สึก จะค่อยๆยกระดับขึ้นเป็นการรับรู้เชิงเหตุผลอย่างแท้จริงต่อต้าฝ่า  ท่านก็จะยิ่งทราบว่าควรทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าท่านเอาแต่จะบำเพ็ญจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมนั้น ฉันบำเพ็ญความอดทนก่อนหรือว่าบำเพ็ญความเมตตาก่อน  ไม่ใช่เช่นนั้น  แต่ว่า ท่านไม่แน่ว่าจะทำทุกเรื่องได้ดีแต่การบำเพ็ญไม่อาจจะกินทีเดียวก็กลายเป็นคนอ้วนได้  เป็นพระพุทธได้ในวันเดียว นี่ก็ไม่อาจเป็นไปได้        เพียงแต่อ่านหนังสือ ท่านก็จะทราบว่าจะทำอย่างไร

ศิษย์  ตลอดมาผมเองไม่สามารถบำเพ็ญให้มีน้ำเสียง จิตเมตตา รวมทั้งเหตุผล ออกมาได้ ที่จะทำให้คนรู้สึกตื้นตันใจจนหลั่งน้ำตา        จึงรู้สึกว้าวุ่นใจ            ปวดร้าวใจ       ผมควรทำอย่างไรต่อไป

อาจารย์ อย่าฝืนทำในเรื่องต่างๆ  ท่านไม่อาจจะมุ่งเจาะจงที่จะบรรลุถึงสภาพการณ์อะไรให้ได้  ที่จริงทุกสิ่งล้วนแต่เป็นไปตามธรรมชาติ ในเวลาที่ข้าพเจ้าบอกให้ท่านชี้ข้อบกพร่องให้กับคนอื่นนั้น ท่านพยายามไปทำอย่างนี้ คือ เพียงแต่พูดในหลักการอย่างนี้ ท่านไปทำอย่างนี้ผลลัพธ์จะดี หากท่านสามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้  ความนึกคิดอะไรก็ไม่มี  บรรลุถึงความเมตตาที่บริสุทธิ์เช่นนั้น  ยังคงยากที่จะบรรลุได้  เพราะความคิดของท่านนั้นอยู่ในระหว่างการชำระให้บริสุทธิ์  ความคิดท่านยังไม่ได้ชำระให้บริสุทธิ์ทั้งหมด  ในระหว่างที่ท่านพูดก็จะมีติดออกมาด้วย  สัญญาณต่างๆนานาล้วนแต่จะติดออกมา  ไม่ขาดหายแม้แต่น้อย  ดังนั้นคำพูดที่พูดออกไป  คนที่ต่างกันย่อมจะมีความคิดที่ต่างกัน  รับรองว่าจะเป็นเช่นนี้  แต่พวกเราเมื่อบำเพ็ญตนเองต่อไป และกำหนดตนเองอยู่อย่างนี้  ข้าพเจ้าย่อมจะทำให้เรื่องที่ทำยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อจิตเมตตาของท่านมีมากแล้ว พูดอย่างเปรียบเทียบกันแล้วท่านก็เลยล้ำคนธรรมดาสามัญแล้ว หลังจากเลยล้ำคนธรรมดาสามัญแล้ว คำพูดที่พูดออกไปแม้ว่าจะไม่บริสุทธิ์เช่นนั้น  แต่จะบังเกิดผลและสามารถทำให้คนรู้สึกได้

ศิษย์  สาวกที่เลื่อมใสศรัทธาในคริสต์ศาสนาคนหนึ่ง  ได้ยินว่าสวรรค์ของชาวคริสต์มีเพียงคนผิวขาว   ถ้าเธอจากโลกนี้ไป  เช่นนั้นจิตหลักของเธอจะพักผ่อนอย่างสงบ อยู่ในระดับชั้นหรือโลกสวรรค์ใด

อาจารย์ ศาสนาที่เธอบำเพ็ญเท่ากับบำเพ็ญโดยเปล่าประโยชน์  เธอก็เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ  จิตใจที่ดีงามของเธอจะได้รับโชคลาภตอบสนองเท่านั้น           ยังคงเวียนว่ายตายเกิดในเขตแดนนี้ของคนธรรมดาสามัญ          ก็เป็นเช่นนี้

ศิษย์     ซวีเจี้ย (เขตแดนว่างเปล่า)ใน“เสวียนฝ่าจื้อซวี” (ฝ่าอันลึกซึ้งสู่ความว่างเปล่า)นั้นอยู่ใน เจิน ซั่น เหริ่นหรือไม่

อาจารย์ ทั้งหมดล้วนอยู่ในหลักการของฝ่าแห่งจักรวาล  ในอดีตสายเต๋าพูดถึงความว่างเปล่าค่อนข้างมาก ประการที่หนึ่งคือที่จริงมันเป็นปรากฏการณ์ของสภาพการณ์ของเขตแดนหนึ่ง ในยุคบุกเบิกฟ้าดินนั้นเรียกว่าไท่ซวี (ว่างเปล่าสูงสุด)  การบุกเบิกฟ้าดินนี้ในสายตาของเทพที่ต่างกันนั้นมันไม่ใช่ปรากฏการณ์ในระดับชั้นเดียวกัน  โลกที่ต่างกัน จักรวาลที่ต่างกัน ของร่างนภา  ที่อยู่ในขั้นตอนของการปรับเปลี่ยนใหม่  ล้วนเรียกว่า   บุกเบิกฟ้าดิน   ซึ่งสายเต๋าเข้าใจว่าเป็นเขตแดนที่สูงสุด  ประการที่สอง ในสภาพการณ์ของการบำเพ็ญ  ความว่างเปล่านี้คือด้านที่เป็นคนของท่านต้องปล่อยวาง  คนเห็นว่าคนนั้นเป็นสิ่งจริงแท้ที่สุด  จิตหลักละทิ้งทุกสิ่งได้  ก็คือท่านทำให้ตัวคนว่างเปล่าแล้ว บำเพ็ญจิตรอง เรียกว่าจิตสำนึกตาย  จิตหลักเกิด            ในอดีตเรียกจิตรองเป็นจิตหลัก

ศิษย์     ส่วนที่เราบำเพ็ญสำเร็จจะถูกแยกออกไป        เช่นนั้นจะเสียส่วนนี้ไปในสถานการณ์ใด

อาจารย์  ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว  ขอเพียงบรรลุถึงมาตรฐานเมื่อใดก็จะข้ามไปทันที  ความเร็วที่ข้ามไปนั้นเร็วมาก  ชีวิตส่วนนั้นของท่านที่ประกอบขึ้นจากระดับจุลทรรศน์ยังเร็วยิ่งกว่าจรวดเสียอีก  ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว  แต่พอมาถึงที่คนนี้  ส่วนนี้ของร่างกายที่ประกอบด้วยสสารในตรีภูมิ  ก็ชะลอความเร็วลงทันที  ช้าลงมาแล้ว จะมุ่งไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งได้ยากมาก เพราะคนนั้นปล่อยวางจิตยึดติดได้ยากเหลือเกินจริงๆ ดังนั้นในเวลาที่แยกออกไปจะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง  รู้สึกอะไรหรือ  อย่างเช่นบางคนท่องจำฝ่าได้ดีมาก ในทันใดทำไมลืมไปแล้วละ  และบางคนรู้สึกว่าบำเพ็ญได้ดีทีเดียว  สภาพการณ์ก็ดี  สิ่งที่มองเห็นก็ชัดดี  ทันใดนั้นก็ใช้ไม่ได้แล้ว  บางคนพูดว่า ฉันตกลงไปแล้วใช่หรือไม่   ไม่ใช่  นี่ก็คือได้ตัดแยกส่วนที่บรรลุมาตรฐานนั้นออกไปแล้ว  เช่นนั้นที่เหลืออยู่ส่วนนี้ก็บำเพ็ญยังไม่ดี ก็รู้สึกว่าใช้ไม่ได้อีก  การบำเพ็ญต้าฝ่าก็คือบำเพ็ญอย่างนี้

ศิษย์ อยากจะได้เทปบันทึกเสียงหรือวิดีทัศน์การบรรยายฝ่าที่ต่างประเทศของอาจารย์ทำไมจึงยากนัก

อาจารย์  ทำไมยึดติดอย่างนี้ ยึดติดมาก ใน“จ้วนฝ่าหลุน”อะไรก็มี     ที่จริงสิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบรรยายล้วนมีอยู่ใน “จ้วนฝ่าหลุน” เพียงแต่ข้าพเจ้าบรรยายไปตามรูปธรรมของสภาพการณ์ของผู้ฝึกในสถานที่ที่ต่างกันเท่านั้น อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้  ปล่อยวางจิตใจลงมา  บำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆ โดยหลักก็คือ “จ้วนฝ่าหลุน”  อย่างอื่นให้อ่านเป็นส่วนเสริม  พูดถึง “จิงจิ้นเย่าจื่อ”นั่นคือสิ่งที่ผู้ช่วยฝึกสอน ผู้รับผิดชอบของเราล้วนสมควรจดจำไว้ตลอดเวลา ต้องอ่านเป็นประจำ

ศิษย์  พลังของการบำเพ็ญของเราสะสมอยู่ในแต่ละเซลล์ของร่างกาย โดยตลอดจนถึงส่วนประกอบของอณูของสสารต้นกำเนิดในสภาพที่จุลทรรศน์ที่สุด เช่นนั้นสสารของพลังงานนี้ใช่หรือไม่ว่ายังเล็กกว่าอณูของสสารต้นกำเนิด

อาจารย์ พลังของพวกท่านจุลทรรศน์(เล็ก)ถึงระดับใดนั้น มันประกอบเสริมซึ่งกันและกันกับระดับชั้นของการบำเพ็ญของพวกท่าน  ท่านบำเพ็ญถึงเขตแดนไหน  นั่นก็คือมรรคผลของท่าน สิ่งที่ได้ในมรรคผลของท่านคืออะไร  ก็คืออย่างนั้น  แต่คนที่บำเพ็ญได้สูงกว่าท่าน  พลังของเขาและมรรคผลของเขาก็ย่อมจะสูงอย่างแน่นอน   พลังของเขานั้นจะจุลทรรศน์และแรงยิ่งกว่าของท่าน  นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน  ทั้งหมดล้วนมาจากมรรคผลของท่าน  ทั้งหมดล้วนคือธรรมานุภาพของท่าน  ทั้งหมดคือประจักษ์พยานของการบำเพ็ญชั่วชีวิตของท่าน

ศิษย์     มีจักรวาลก่อนหรือมีฝอฝ่าก่อน

อาจารย์  พุทธธรรมคือหลักธรรมที่พระพุทธประจักษ์แจ้งจากในต้าฝ่าของจักรวาลเรียกว่าพุทธธรรม หากไม่มีจักรวาลไหนเลยจะมีพระพุทธและพุทธธรรมองค์ประกอบของจักรวาลสุดท้ายพวกท่านไม่อาจทราบได้ชั่วนิรันดร  ไม่ว่าพวกท่านจะบำเพ็ญได้สูงเพียงใด  พวกท่านก็ไม่มีทางจะทราบได้  ดังนั้นจิตดวงนั้นที่กระหายใคร่รู้ของพวกท่านจึงปิดกั้นเอาไว้

ศิษย์  ก่อนที่คนจะบำเพ็ญหยวนหมั่น พลังจะลดลงและมาตรฐานซินซิ่งแปดในสิบส่วนก็จะตัดทอนลงด้วย  เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของจักรวาลเล็กของเขา ในเวลานี้จะวัดซินซิ่งของเขาได้อย่างไร  ใช่หรือไม่ว่าจะมีเพียงสองในสิบส่วนของแต่เดิม

อาจารย์  ทุกสิ่งที่หยวนหมั่นนั้นล้วนเป็นประจักษ์พยานของซินซิ่ง  เสาหลักพลังก่อนหน้าที่ยังไม่หยวนหมั่นนั้นไม่นับว่าเป็นมรรคผลที่แท้จริง  โดยหลักคือเป็นตัวแทนของมาตรฐานซินซิ่ง หลังจากหยวนหมั่นเขาจะมีมาตรฐานซินซิ่งสูงเพียงใด  ก็คือมาตรฐานของมรรคผลที่เขาอยู่  เป็นพระโพธิสัตว์ก็คือพระโพธิสัตว์   เป็นอรหันต์ก็คืออรหันต์  เป็นพระพุทธก็คือพระพุทธ  ก็คือมาตรฐานนี้    ทุกสิ่งที่ตนเองหยวนหมั่นจะวัดธรรมานุภาพของเขา  มรรคผลคือประจักษ์พยานต่อทุกสิ่งของเขา  วิธีการบำเพ็ญแทบทุกชนิดล้วนบำเพ็ญกันอย่างนี้  เพียงแต่เป็นชีวิตในจักรวาลนี้  ก็อย่าได้กังวลใจกับเรื่องนี้  ใครไม่บำเพ็ญอย่างนี้ล้วนไม่ได้ ขึ้นสวรรค์ไปก็จะไม่มีอะไรเลยนั่นจะนับเป็นอะไรได้ละ

ศิษย์     บางคนพูดว่า   ท่านบอกว่าอ่าน“จ้วนฝ่าหลุน”จบในวันครึ่งนั้นช้าเกินไปแล้ว

อาจารย์  ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเร็วเกินไปแล้ว (เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าบอกให้ทุกท่านอ่านหนังสือแข่งกับเวลา  เช่นนั้นเขาก็วิ่งไปสุดขั้วนั้นแล้วในทันที  อ่าน อ่าน อ่าน อ่าน เอาแต่อ่าน  แต่ละคำอ่านว่าอะไรเขาก็ไม่รู้แล้ว   เช่นนั้นท่านอ่านอะไรกันละ  ท่านมิได้กำลังศึกษาฝ่าหรือ     ศึกษาฝ่า  คำว่าศึกษานั้นท่านเอาไว้ที่ไหนแล้ว  สิ่งที่ท่านอ่านคืออะไรก็ไม่รู้  เช่นนั้นท่านจะบำเพ็ญได้อย่างไรละ    ท่านต้องทราบว่าสิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาท่านนั้นคืออะไร  ที่ท่านอ่านคือตัวอักษรอะไร   ความหมายชั้นผิวคืออะไรนั้นท่านต้องทราบ  เช่นนั้นอะไรที่เรียกว่าศึกษาฝ่าละ  เช่นนั้นยังจะอ่านไปทำไมกัน  หยิบหนังสือมาเปิดพลิกอย่างนี้   ก็จบแล้วหรืออย่างไร   คือเหตุผลนี้ใช่หรือไม่

ศิษย์     เวลาที่ฝึกหลักพลังสี่ชุดแรก เมื่อจบแต่ละชุดจะต้องคงท่าเจียอิ้นหรือผ่อนคลาย        จากนั้นค่อยเจียอิ้น
อาจารย์  ระหว่างหลักพลังกับหลักพลังที่คาบเกี่ยวกันให้เจียอิ้นครั้งหนึ่ง  อย่าผ่อนคลาย  แล้วฝึกหลักพลังชุดที่สองต่อไปก็ได้แล้ว

ศิษย์     “เต้าฝ่า”จิงเหวินบทนี้ไม่ค่อยเข้าใจ

อาจารย์  นั่นก็ถูกแล้ว   เพราะข้าพเจ้าให้ท่านค่อยๆรับรู้เขา และไม่ได้เขียนให้กับด้านนี้ของท่านที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จโดยตรง แต่ไม่ว่าท่านจะรับรู้ได้สูงเพียงใด ท่านล้วนรับรู้ได้ไม่ผิด เพียงแต่รับรู้ได้สูงต่ำไม่เหมือนกัน  รับรู้ได้มากแค่ไหนก็คือแค่นั้น  หากข้าพเจ้าสามารถบอกให้ท่านเข้าใจได้ถึงที่สุด ข้าพเจ้าก็ไม่เขียนอย่างนี้แล้ว  ดังนั้นท่านพยายามค่อยๆศึกษาไป  ค่อยๆรับรู้ไปไม่ใช่ว่าพวกท่านรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมดบรรดามี ทั่วทั้งโลกล้วนรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ

ศิษย์     ก่อนไคอู้(เปิดการรับรู้)กับหลังไคอู้     ความเข้าใจในหลักการของฝ่ามีความแตกต่างกันหรือไม่

อาจารย์  เจิน ซั่น เหริ่น  ไม่มีอะไรต่างกัน  แต่ส่วนที่รู้อย่างคร่าวๆ หลังจากไคอู้จะเข้าใจได้ในฉับพลันถึงรายละเอียดของหลักการของฝ่ามากมายและระดับชั้นที่ท่านอยู่  รวมทั้งหลักการในระดับชั้นต่างๆที่ต่ำกว่าท่าน   ฝ่าที่ข้าพเจ้าให้ท่านอ่านนี้  เขียนขึ้นอย่างคร่าวๆ  หลักการของฝ่าที่แท้จริงนั้น หากพวกท่านอยากจะมองเห็นต้องรอพวกท่านหยวนหมั่นแล้ว

ศิษย์     เทพที่ได้รับการปกป้องลงมาทราบไหมว่าจักรวาลนี้มีฝ่าอยู่   เหตุใดที่ผ่านมาพวกเขาไม่ทราบ

อาจารย์ ปรากฏการณ์ที่แท้จริงของฝ่านั้น ไม่อาจให้สรรพชีวิตของจักรวาลล่วงรู้ได้ จักรวาลในอดีตนั้นมีฝ่า  จักรวาลในอดีต ไม่ว่าสรรพชีวิตในระดับชั้นใดก็ล้วนไม่ทราบกัน  ฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับพวกท่านนี้ เป็นการใช้ภาษามนุษย์บรรยายออกมา ยังคงไม่เหมือนกับรูปธรรมด้านนั้นที่แสดงออกมาของ ปรากฏการณ์ที่แท้จริงของฝ่า  ในอนาคตหลังจากพวกท่านหยวนหมั่นแล้วก็ยังคงมองไม่เห็นรูปแบบการคงอยู่ของฝ่า จักรวาลนี้มีสิ่งเร้นลับหลายอย่างที่ไม่สามารถให้สรรพชีวิตของจักรวาลล่วงรู้ได้  แต่ทัศนียภาพทั้งปวงของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ท่านดำรงชีวิตอยู่อย่างมีรสชาดได้          ในเวลาที่ท่านลืมตามองดูภาพลักษณ์ของสังคมคนธรรมดาสามัญ ท่านก็จะตื่นตะลึงไม่หยุด  นับประสาอะไรกับสรรพชีวิต สรรพสิ่ง ทัศนียภาพอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่ของโครงสร้างจักรวาล ที่จะมองเห็น ณ ระดับชั้นสูงอย่างนั้น  นั่นก็ไม่มีทางที่จะพรรณาได้ แต่ว่ามีบางอย่าง  สิ่งที่เป็นแก่นแท้ของจักรวาลนั้น ไม่อาจให้สรรพชีวิตล่วงรู้ได้  ไม่มีธรรมานุภาพสูงเพียงนั้น นั้นจำกัดโดยระดับชั้นของการบำเพ็ญของพวกท่าน

ศิษย์  ไม่ควรตั้งใจที่จะสูญเสีย  และไม่ควรตั้งใจที่จะได้  ให้เป็นไปตามธรรมชาติทั้งหมดจึงจะเป็นมาตรฐานของหลักการชั้นสูงของฝ่า เข้าใจเช่นนี้ถูกหรือไม่

อาจารย์  โดยหลักการ ถูกต้อง  แต่พวกท่านสามารถทำได้เพราะเกิดจากการที่ซินซิ่งบรรลุถึงสภาวะชนิดนั้น แต่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญต้องการนั้น สูงกว่าวิธีการบังคับตัวเองชนิดนั้นของคนธรรมดาสามัญ  ในการบำเพ็ญ  พูดว่าฉันจะต้องเลือกวิธีการอะไร  วันนี้ข้าพเจ้าบอกให้ท่านบำเพ็ญอย่างนี้  บางคนความคิดบรรเจิด  เขาไม่กินไม่ดื่ม  เขาจะจำศีล หรือว่า เขาก็สกปรกมอมแมมทั้งวัน  ผู้ชายไม่เหมือนกับผู้ชาย ผู้หญิงก็ไม่เหมือนกับผู้หญิง และไม่แต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย  ทำตามอำเภอใจ  พอคิดถึงการบำเพ็ญ  เขาก็คิดถึงรูปแบบการบำเพ็ญในอดีต พอคิดถึงการบำเพ็ญ เขาก็นึกถึง จาง ซัน เฟิงขึ้นมา สกปรกมอมแมม  ไม่ใช่เช่นนี้ ที่ข้าพเจ้าบอกพวกท่านคือการบำเพ็ญให้สอดคล้องกับรูปแบบของสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  หากพวกท่านอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ แต่ละคนต่างสกปรกมอมแมมกัน  ก็เป็นการทำลายหลักการของฝ่าในระดับชั้นนั้นของสังคมคนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกท่าน แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเป็นเช่นนี้  แต่ละครั้งที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่า  ทุกท่านล้วนทราบ  ข้าพเจ้านั้นสวมใส่เรียบร้อยสักหน่อย  ข้าพเจ้าให้พวกท่านดู  ทุกท่านจึงควรระวังสิ่งเหล่านี้

ศิษย์  กฎ เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับสูญ ของจักรวาล  โดยปัญญาญาณอันไม่มีประมาณของท่านอาจารย์จะสามารถทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในจักรวาลได้หรือไม่

อาจารย์ ปัญหานี้พูดสูงมากแล้ว  ลักษณะเด่นของฝ่าหลุนของเรา  สามารถแก้ไขทุกสิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานได้โดยอัตโนมัติ  หรือพูดได้ว่า  เขาหยวนหรง(หล่อหลอมอย่างสมบูรณ์) ทุกสิ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง  เป้าหมายของการเจิ้งฝ่านี้ก็คือทำให้มันดีงามยิ่งขึ้น

ศิษย์     หลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้วจะนอนได้ในทันทีหรือไม่

อาจารย์  ไม่กระทบ  จะนอนก็นอน   กลางดึกตื่นขึ้นมานั่งสมาธิ  พอฝึกพลังกงเสร็จแล้ว นอนลงไปก็หลับ  จะหลับได้สนิทมาก

ศิษย์ หากดูผิวเผินผู้ที่บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าจริง เกิดเสียชีวิตกะทันหันจากอุบัติเหตุรถยนต์จะมองว่าคนๆนั้นเป็นมารได้หรือไม่

อาจารย์ ไม่เจาะจงต่อเรื่องนี้  ข้าพเจ้าจะไม่ตอบปัญหานี้ของท่านโดยตรง  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในสังคมมนุษย์ก็คงอยู่เช่นนี้  เป็นผู้บำเพ็ญหรือไม่  จะสามารถบรรลุถึงการหยวนหมั่นหรือไม่  เรื่องนี้ในยุคนี้ ดูจากเปลือกนอกไม่สามารถมองออก เช่นนั้นเมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปประโยคหนึ่ง คือต่อหน้าปัญหาที่สำคัญจะดูที่ใจคนโดยตลอด  บางคนเสียชีวิตไปในขณะฝึกพลัง  ดูว่าท่านจะทำอย่างไร เขาก็อาจหยวนหมั่น และอาจจะเป็นมาร  เช่นนั้นล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องโดดๆ  ล้วนแต่ใช้มันมาดูจิตใจของผู้ฝึก ดูว่าในช่วงเวลาที่สำคัญนั้นท่านยังจะไหวหรือไม่  มีคนอย่างนี้ที่เสียสละเพื่อเรื่องนี้ บรรลุถึงเขตแดนของการหยวนหมั่นแล้ว สร้างเงื่อนไขหนึ่งอย่างนี้ให้กับผู้ฝึก  เรื่องอย่างนี้อาจมีได้  แต่โดยหลักการข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย  เช่นนั้นก็มีที่มาทำลายกันแบบนี้ ก็คือการรบกวนกันอย่างนี้  พอถึงช่วงเวลาที่สำคัญจะเกิดขึ้นสักครั้ง  แต่เราจะใช้มันมาดูจิตใจคน  ดูว่าพวกท่านยังจะบำเพ็ญหรือไม่การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเข้มงวดจริงจังมาก

ศิษย์     แนวคิดเรื่องเทพของพระพุทธ เต๋า       เทพ  นั้นคืออะไร

อาจารย์  ทุกท่านทราบ ในหมู่แปดเทพมังกรฟ้าพิทักษ์ฝ่าของพระพุทธนั้นมีเทพหลายองค์  นี่คือเทพ  นี่คือสิ่งที่ในพุทธศาสนาสามารถรับรู้ได้  ฉะนั้นเทพในจักรวาลนี้ หาใช่มีเพียงเท่านี้ ในเขตแดนที่ต่างกันล้วนมีเทพสวรรค์ดำรงอยู่    พวกเขาจะดูแลสรรพชีวิตของจักรวาลโดยตรง  ในระดับชั้นที่ต่างกันล้วนมีอยู่ ส่วนพระพุทธเป็นเทพที่พิเศษชนิดหนึ่ง สิ่งที่เขาบำเพ็ญคือความเมตตา สิ่งที่บำเพ็ญคือซั่นและกลายเป็นเทพ นี่ก็คือพระพุทธ  ส่วนเต๋านั้น  สิ่งที่เขาบำเพ็ญคือ เจิน  เขาถือตัวเจิน ใน เจิน ซั่น เหริ่น เป็นจุดฐาน  ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญออกมาเขาจึงไม่เน้นการโปรดสรรพชีวิต แต่ว่าทุกสิ่งที่เขาพูดเน้นที่ตัวเจิน  นี่ก็คือเต๋า  เต๋าใหญ่แห่งสัจธรรม  ฉะนั้นที่จริงแล้วพูดไปพวกเขาก็ล้วนเป็นเทพ  เช่นนั้นในเทพที่ว่านี้ยังมีเทพชนิดนี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปว่าดูแลงานการ(ธุระ)ทั้งปวงของสรรพชีวิตของจักรวาลนี้  ยังมีเทพชนิดนี้ที่เหมือนกับพระพุทธกับเต๋า แล้วยังมีอย่างอื่น   มีชีวิตชั้นสูงมากมายนานาชนิดที่แตกต่างกัน ที่ข้าพเจ้ากล่าวอย่างคร่าวๆ โดยส่วนใหญ่คือพระพุทธ เต๋า เทพ

ศิษย์   หากเวลาของการบำเพ็ญจบลงแล้ว  แต่มีคนส่วนหนึ่งยังไม่ไคกง(เปิดพลัง)ไคอู้(เปิดการรับรู้)   เช่นนั้นส่วนนั้นของพวกเขาที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว พลังก็จะถูกตัดทอนลงมาแปดในสิบส่วนด้วยหรือไม่

อาจารย์  บำเพ็ญไม่หยวนหมั่นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้  ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญหยวนหมั่นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการหยวนหมั่นโลกสวรรค์อะไรของเขา  ไม่มีเรื่องนี้แล้ว  ผู้ที่ไม่หยวนหมั่นก็จะมีวิธีการบางอย่างเช่นนี้  ประการหนึ่งคือจิตยึดติดหลักๆของท่านได้ทิ้งไปแล้ว สามารถไปอยู่ระดับชั้นนั้นที่ต่ำกว่าเมื่อก่อนกำเนิดของท่าน  ยังมีอีก หากบอกว่ายังคิดจะบำเพ็ญต่อไปอีก   เช่นนั้นอาจจะมีสิ่งทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ก่อนกำเนิดของเขาติดตัวมา กลับชาติมาเกิดบนโลกและบำเพ็ญต่อไป   ยังมีอีก หากไม่คิดจะบำเพ็ญอีกแล้วไม่คิดจะบำเพ็ญอีกแล้วก็นำสิ่งที่เขาบำเพ็ญทั้งหมดผันแปรเป็นความสุขโชคลาภ  เปลี่ยนเป็นผลบุญทั้งหมดที่เขาจะได้เสวยสุขในชาติต่อไป ได้แก่ เงินทองทรัพย์สินเอย ชื่อเสียงเอย  ยศถาบรรดาศักดิ์เอย เป็นไปได้มากที่เป็นสิ่งเหล่านี้

ศิษย์  โมเลกุลประกอบขึ้นมาจากอะตอม  อะตอมอยู่ในโมเลกุล  เช่นนั้นจะเข้าใจได้อย่างไรว่าโครงสร้างทั้งหมดของอะตอมนั้นใหญ่กว่าโมเลกุล

อาจารย์  โมเลกุลนั้น มันไม่ใช่อนุภาคที่อยู่โดดเดี่ยว(ที่เป็นเอกเทศ)  มันเป็นกลุ่มก้อน  ใช้ภาษาของวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพูดก็คือการดำรงอยู่อย่างเป็นกลุ่ม  เช่นนั้นก็พูดได้ว่า มันอยู่ในเขตแดนของมันแผ่กระจายเต็มช่องว่างทั้งหมด ทั้งหมดนี้ที่จริงก็มีขอบเขต มันมีขอบเขตอันหนึ่ง  หรือพูดว่าขอบเขตที่อะตอมคงอยู่นั้น พื้นที่ของมันจะใหญ่กว่าพื้นที่ที่โมเลกุลกระจายอยู่มากมายนัก ที่ว่าอะตอมอยู่ในโมเลกุล นี่เป็นการรับรู้โดยวิธีการทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่แท้ไม่ใช่แนวคิดเช่นนี้

ศิษย์  ฝอฝ่า เจิน ซั่น เหยิ่น คือฝ่าของจักรวาลใหญ่นี้  เช่นนั้นก็เป็นฝ่าของจักรวาลใหญ่แห่งอื่นด้วยหรือไม่

อาจารย์  ใช่   ที่จริงจักรวาลนี้ใหญ่เพียงไร  แนวคิดของท่านกว้างใหญ่เพียงไร  ขอบเขตของจักรวาลที่ท่านพูดว่าใหญ่เพียงไรนั้น ความคิดของท่านจะไม่มีวันทราบได้ตลอดกาล  ท่านก็ไม่มีความสามารถบรรจุได้มากเพียงนั้น  ดังนั้นท่านจึงได้แต่เพียงพูดๆไปเท่านั้นเอง          ทั้งหมดล้วนประกอบขึ้นมาจาก  เจิน ซั่น เหยิ่น

ศิษย์     เจิน      ซั่น       เหยิ่น    แตกแขนงออกไปเป็นหลักการของจักรวาลอื่นได้อย่างไร

อาจารย์  จักรวาลอื่นก็เป็นหลักการนี้ ในเขตแดนเดียวกันไม่ว่ามันจะเป็นจักรวาลที่อยู่ห่างไกลเพียงไรรวมทั้งจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับหลักการ เจิน ซั่น เหริ่นในร่างนภาชั้นนี้  ล้วนแต่สอดคล้องกับหลักการของมาตรฐานระดับชั้นเดียวกัน  ไม่ว่าท่านคิดว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่เพียงไร  มันล้วนเป็นอนุภาคหนึ่งในเขตแดนนั้นของมัน   ดังนั้นอนุภาคนี้จะคงอยู่ในเขตแดนนี้ได้  ก็ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของเขตแดนนี้และมาตรฐานนั้นก็ยังจะปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมของฝ่าที่ดำรงอยู่ในระดับชั้นนี้

ศิษย์     ธรรมานุภาพที่ไร้ขอบเขตนั้นล้วนแลกมาด้วยการทนทุกข์     หรือว่ามีพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนกำเนิด

อาจารย์  มีที่ก่อนกำเนิดก็ก่อเกิดอยู่ในเขตแดนนี้แล้ว  เขาก็อยู่ในเขตแดนที่สูงอย่างนี้  เขาก็เป็นชีวิตที่สูงอย่างนี้  ก็เหมือนกับคน  ท่านก็เกิดอยู่ในหมู่คน  เด็กที่เกิดออกมาเมื่อโตขึ้นก็เป็นคน  ย่อมไม่ใช่สัตว์ชนิดอื่น  ในจักรวาลมีผู้รู้แจ้งใหญ่หลายคนที่บำเพ็ญได้ยอดเยี่ยมมากและก็มีที่บำเพ็ญขึ้นมา

ศิษย์  เคยให้หนังสือและเทปวิดีทัศน์แก่คนมากมายแบบให้เปล่า  แต่มีบางคนไม่ฝึกอีกแล้ว  หนังสือและเทปวิดีทัศน์เหล่านี้ควรจะเอาคืนมาหรือไม่

อาจารย์  หากเขาไม่ฝึกจริงๆแล้ว เอาคืนมาก็เอาคืนมาเถอะ  ถ้าเอาคืนมาไม่สะดวก บางทีต่อไปคนที่มีวาสนาไปที่บ้านเขาและเห็นเข้า ก็เอาไปแล้ว  ถ้าสะดวกที่จะเอาคืน ท่านก็เอาคืนมา  ท่านตัดสินใจเอง ตามสบายเถิด

ศิษย์     ในบท“สนทนากับกาลเวลา” พูดว่า “สสารที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าที่ทำร้ายมนุษยชาติ”จะเข้าใจอย่างไรดีครับ

อาจารย์  ท่านจะเข้าใจอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ท่านจะไม่เข้าใจผิดเพี้ยนไป ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านอย่างนี้คือร่างนภาอันมหึมานี้ พอถึงช่วงเวลาหนึ่งที่แน่นอนก็จะไม่มีชีวิตที่มีรูปดำรงอยู่แล้ว ล้วนแต่เป็นชีวิตที่ไร้รูปคงอยู่  เขามีอยู่เต็มไปทั่วร่างนภา ข้าพเจ้าจึงเรียกมันว่าสสาร  แต่เขากลับเป็นเทพ  เขาสามารถรวมตัวขึ้นเป็นรูปลักษณ์ใดๆ  แต่เขากลับไม่ชอบก่อเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมา เขาก็คงอยู่อย่างนี้  เช่นนั้นหากจักรวาลไม่ไหวแล้ว  สสารใดๆล้วนมีด้านบวกและลบสองด้านคงอยู่ ล้วนแต่ไม่ไหวแล้ว ด้านบวกก็ไม่ไหวแล้ว            ด้านลบก็ยิ่งไม่ไหวใหญ่

ศิษย์  “บำเพ็ญจิตตัดทิ้งตัณหา  ปัญญาใสกระจ่างไม่สับสนนั้นความรับผิดชอบของตน” ความรับผิดชอบของตนตรงนี้หมายถึงว่าตนเองรับผิดชอบใช่ไหม

อาจารย์  ถูกละ การบำเพ็ญมิต้องพึ่งตัวท่านเองหรือ ก็คือความหมายนี้  ท่านต้องไปบำเพ็ญเอง “บำเพ็ญจิตตัดทิ้งตัณหา” บำเพ็ญซินซิ่งของท่าน ตัดขาดจิตแสวงหาทั้งหลายของท่านในโลก  แสวงหาสิ่งนี้  แสวงหาสิ่งนั้น  ตัณหาที่อยากจะได้ทุกสิ่ง  เรื่องนี้ท่านไม่บำเพ็ญ แล้วใครจะบำเพ็ญให้ท่านได้ละ  ถ้าข้าพเจ้าบำเพ็ญก็ไม่นับว่าท่านบำเพ็ญ  ใช่ความหมายนี้หรือไม่ละ “ปัญญาใสกระจ่างไม่สับสน”ในเวลาที่ท่านบำเพ็ญสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป ท่านจะสามารถอยู่ในฝ่ามองเห็นหลักการที่สูงยิ่งขึ้น ท่านจะได้รับระดับชั้นที่สูงขึ้น  สุดท้ายบรรลุถึงสภาพการหยวนหมั่น  ไม่ถูกสิ่งต่ำๆชักนำอีก  ไม่ถูกจิตมนุษย์ชักนำอีกเช่นนั้นเรื่องเหล่านี้มิใช่ท่านทำเองหรือ ก็คือความหมายนี้

ศิษย์   เทพในตรีภูมิประกอบขึ้นจากสสารอะตอมใช่หรือไม่

อาจารย์  เขตแดนไหนก็ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของเขตแดนนั้น    แต่เทพในตรีภูมิบ้างก็เลยล้ำระดับชั้นของเขตแดนที่พวกเขาอยู่ ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าหมายถึงคือร่างกายที่ประกอบขึ้นจากอะตอม ไม่ใช่อะตอมที่เปลือกนอกของอะตอมที่พวกเรามองเห็นในปัจจุบันอย่างแน่นอน  จักรวาลนี้ลึกล้ำมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ศิษย์      ในการทำคดีระหว่างที่สอบปากคำพยาน  ฝ่ายตรงข้ามไม่พูดความจริง  ถ้าหากมีท่าทีขึงขังแล้ว  จะขัดแย้งกับ เจิน ซั่น            เหริ่นที่เราบำเพ็ญหรือไม่

อาจารย์ ฝ่ายตรงข้ามไม่พูดความจริงท่านต้องให้เขาพูดความจริง  นี่เป็นความรับผิดชอบต่องานของท่าน การพูดต้องขึงขังแต่ท่านไม่อาจโกรธ  และไม่อาจด่าคน ยิ่งไม่อาจตีคน พวกเราทำคดี แตกต่างจากของต่างประเทศ ในต่างประเทศเน้นหลักฐาน พวกเราบางทีไม่มีพยานหลักฐานก็ต้องบอกให้เขาพูดออกมา  อย่างไรเสียให้ยึดกุมให้ดี  ก็คือใช้มาตรฐานของผู้ฝึกพลังยึดกุมให้ดี

ศิษย์     เหตุใดคนที่ได้ฝ่าง่ายๆล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิต

อาจารย์ ท่านทราบได้อย่างไรกัน   ผู้ที่ได้ฝ่าในหมู่ศิษย์ มีหลายคนเป็นเถ้าแก่ใหญ่ มีหลายคนเป็นคนในวงการชั้นสูงมากของสังคม   ในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าของเราที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและมีความรู้  มีจำนวนมากทีเดียว    แกนนำระดับสูงของสังคมชั้นสูงเอย  ข้าราชการชั้นสูงเอย  มากมายนัก  พวกเราที่นั่งอยู่มีเถ้าแก่ใหญ่หลายคน  และบำเพ็ญได้ดีมาก  แพทย์ก็มีมาก  นักกฎหมายก็มี อยู่ในที่นี้ของเรา มีบุคคลในวงการธุรกิจการเงิน  เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง พ่อค้า   ที่ได้ฝ่ามีไม่ใช่น้อย  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  ข้าพเจ้าสามารถบอกทุกท่าน  ในการบำเพ็ญนั้นเรามองเหมือนกันหมด   ไม่ใช่ว่าเพราะมีชื่อเสียงอะไร  ต้าฝ่าเราก็จะรอคอยเขา  นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ศิษย์     ท่านอาจารย์สวมจีวรมีความหมาย      ประโยชน์และสัญลักษณ์อะไร

อาจารย์ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ในเวลาที่องค์ศากยมุนียังทรงอยู่ในโลก ลูกศิษย์ที่พระองค์นำพาล้วนแต่สวมเสื้อผ้าแบบนี้  พระสงฆ์แผ่นดินฮั่นสวมเสื้อผ้าเหมือนพลเมืองของจีนเพราะผลกระทบจากสภาพอากาศ เป็นเสื้อผ้าแบบชาวบ้าน  ที่จริงเสื้อผ้าที่พระสงฆ์ในปัจจุบันสวมใส่นั้นเป็นแบบชาวบ้านสมัยถังและซ่ง  เพียงแต่สีต่างกัน  ในอดีตคนนิยมใส่สีที่สดใส  ต่อมารู้สึกว่านั่นเป็นการยึดติดอย่างหนึ่ง  ดังนั้นพระสงฆ์จึงสวมเสื้อผ้าสีออกเทาๆ  สีดำคล้ำๆคล้ายดินอย่างนั้น  ทว่าศิษย์ในสายพุทธบนสวรรค์และพระพุทธก็สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่ข้าพเจ้าสวมใส่  เพียงแต่วัสดุของมันไม่เหมือนกับชุดนี้  และเท้าเปล่า  เปลือยไหล่ข้างหนึ่ง   ที่พวกเราบำเพ็ญนั้นคือพุทธะใช่ไหม ดังนั้นจึงนิยมใส่เสื้อผ้าแบบสายพุทธ ก็คือความหมายนี้           ผู้ที่บำเพ็ญเต๋า  ท่านให้เขาใส่เสื้อผ้าอย่างนี้เขาจะไม่เอาอย่างแน่นอน  ใช่หรือไม่

ศิษย์  คุณแม่ของผมอายุแปดสิบสี่ปีแล้ว  ใช้ชีวิตตามลำพัง โดยทั่วไปจะไม่ออกจากบ้าน  แต่ละวันนอกจากรับประทานอาหารแล้วมีเวลาว่างก็จะฝึกพลังศึกษาฝ่าไม่มีโอกาสยกระดับซินซิ่ง

อาจารย์  คนแก่มีสภาพการบำเพ็ญของคนแก่  เธอไม่มีทุกข์ภัย นั่งอยู่ตรงนั้นก็ให้เธอนึกถึงเรื่องน่าโมโหเหล่านั้นเมื่อแปดปีสิบปีก่อน  จะต้องให้เธอนึกขึ้นมาให้ได้ ดูว่าใจของเธอหวั่นไหวหรือไม่  โกรธหรือไม่ บางคนนั่งอยู่ตรงนั้นโกรธจนทนไม่ได้แล้ว  ก็คือไม่ว่าอะไรก็จะไม่ให้เธอตกหล่นไป  ข้าพเจ้าจะต้องให้เธอบำเพ็ญให้ได้   รวมทั้งพวกเราเดี๋ยวนี้มีผู้ฝึกหลายคน ทั้งหนุ่มสาว ทั้งสูงอายุ  ก็เคยประสบกับเรื่องอย่างนี้  ก็ให้เธอนึกถึงเรื่องที่น่าโมโหพวกนั้นขึ้นมา ดูว่าเธอจะโกรธหรือไม่  สิบปีข้าวเปลือกแปดปีรำข้าว(เรื่องเก่านานปี)ให้เธอนึกออกมาให้หมดอย่างไรเสียก็ต้องดูว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไร

ศิษย์  หกวันก่อน ฝันเห็นอาจารย์ศึกษาฝ่าพร้อมกับพวกเรา  ตอบปัญหาให้  อาจารย์สวมเสื้อผ้าเหมือนกับเมื่อวานตอนบ่ายในกลุ่มเล็ก

อาจารย์  ก็คือท่านเห็นล่วงหน้าแล้ว  เรื่องเหล่านี้ที่จริงข้าพเจ้าล้วนปิดกั้นให้พวกท่านไว้  ไม่ให้พวกท่านสาระวนกับด้านนี้  ไม่ให้พวกท่านใส่ใจกับสิ่งนี้  ให้พวกท่านรู้สึกได้แต่น้อย  ให้พวกท่านบำเพ็ญโดยเร็ว  มิฉะนั้นพวกท่านจะถามแต่ปัญหาประเภทนี้  พวกท่านถามไม่รู้ว่ามากแค่ไหน  นี่เป็นอย่างไร นั่นเป็นอย่างไร  สิ่งเร้นลับของจักรวาลนี้มีมากอย่างยิ่งมากเหลือเกิน

ศิษย์     เรียนถามปณิธานที่แรงกล้าของคนกับความอดทนนั้น           มีพร้อมมาแต่เกิดหรือไม่

อาจารย์  นี่ไม่ใช่มีพร้อมมาแต่เกิด  กล่าวในฐานะที่เป็นคน กล่าวสำหรับร่างกาย ชั้นผิวของคนของพวกเรา หากอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ เรื่องกระทบกระทั่งกันมีมากมาย  บางทีเขาก็ไม่ใส่ใจแล้ว หรือเคยผ่านเรื่องต่างๆมากแล้ว  ก็เข้มแข็งขึ้นมา  เขาก็ไม่ใส่ใจแล้ว  ในการบำเพ็ญก็สามารถทำให้คนเข้มแข็งขึ้นมาได้ เมื่อเขตแดนยกระดับขึ้นแล้วความอดทนก็จะเข้มแข็งขึ้น

ศิษย์     ในขั้นตอนการบำเพ็ญของเรา  สามารถบำเพ็ญสิ่งที่ไม่ดีนานาชนิดให้หมดสิ้นไปได้หรือไม่

อาจารย์  จะต้องเป็นเช่นนี้  ผู้ฝึกบางคนของเรากำลังคิดว่า  ท่านอาจารย์ พวกเราอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญที่ไม่ดีอย่างนี้    เมื่อพวกเราบำเพ็ญถึงเขตแดนพระพุทธนั้นแล้ว พวกเราก็จะลืมทุกสิ่งเมื่อตอนที่เป็นคนอยู่ใช่หรือไม่  เป็นเพราะท่านอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญกำลังคิดว่าสภาพของพระพุทธเป็นอย่างไร ความคิดของคน รวมทั้งโครงสร้างความคิดของท่าน  วิธีคิดของท่าน ล้วนแต่ต้องเปลี่ยนแปลง หากไม่มีฉิงของคนธรรมดาสามัญในระดับชั้นนี้ที่ควบคุม และสสารอย่างอื่นนานาชนิดในเขตแดนนี้ของคนธรรมดาสามัญที่ควบคุมคน ท่านก็หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมนี้แล้ว ท่านก็จะไม่มีสภาวะนี้แล้ว  เช่นนั้นหลังจากบำเพ็ญขึ้นไปแล้ว สิ่งเล็กน้อยของรูปแบบชั้นผิวของคนของท่าน ก็จะเป็นได้แค่ความทรงจำชนิดหนึ่ง และความคิดของท่านในเวลานั้นได้เลื่อนระดับถึงความคิดในเขตแดนของความคิดพระพุทธ  ความคิดเทพ  ความคิดเต๋า แล้ว คือส่วนที่ดีที่สุดส่วนนั้นของท่านสิ่งชั้นผิวที่สุดของคน กระทั่งความทรงจำนี้ ท่านก็จะไม่อยากไปแตะต้อง  อีกทั้งไม่อยากไปรำลึกถึงมัน

ศิษย์     หลังจากจักรวาลใหม่ก่อเกิด   มารในระดับชั้นที่ต่างกันยังจะมีอยู่หรือไม่

อาจารย์  มีอยู่จุดหนึ่ง ข้าพเจ้าสามารถบอกพวกท่านได้  ถ้าหากมีเพียงด้านบวก ไม่มีด้านลบ  ชีวิตใดๆล้วนแต่จะมีชีวิตอยู่โดยไร้ความหมาย  พอท่านทำเรื่องอะไรก็สำเร็จได้ทันที  อยากได้อะไรก็ได้อะไร  ทำเรื่องอะไรก็ไม่มีความยากลำบาก  เช่นนั้นท่านก็จะไม่เห็นคุณค่าของทุกสิ่ง ท่านจะไม่มีความรู้สึกชนิดนั้นที่ได้รับความสุขจากการผ่านความยากลำบาก  ไม่มีความยินดีหลังจากได้รับชัยชนะ  ฉะนั้นเรื่องอะไรก็รู้สึกว่าไม่สำคัญ  ไม่เห็นคุณค่า  คนมีชีวิตอยู่ก็จะไม่มีความหมายเลย  คนต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ เขารู้สึกว่าเป็นชีวิตที่มีความหมาย  เขาเข้าใจว่าร้อยปีให้หลังหวนคิดขึ้นมาช่างมีความหมายยิ่งนัก นี่ก็คือคน  แต่ว่าระดับชั้นที่ต่างกันก็มีองค์ประกอบด้านลบคงอยู่  จุดนี้แน่นอน แต่ไม่ใช่บำเพ็ญออกมา แต่เป็นการจัดวางโดยฝ่า

ศิษย์  ในเวลาที่เข้าสู่สมาธิปรากฏเรื่องต่างๆที่ไม่อยากเห็น ควรจะทำอย่างไร

อาจารย์  มองเห็นก็มองเห็นแล้ว  ท่านไม่อยากเห็นมันก็เห็นได้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจมัน มันก็ทำอันตรายท่านไม่ได้  แตะต้องท่านไม่ได้  ให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ  อย่าไปสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นจากคนธรรมดาสามัญก้าวนี้ ตาทิพย์ของท่านจะสามารถมองเห็นสิ่งของสิ่งที่เห็นนั้นรับรองว่าล้วนจะเป็นของระดับชั้นต่ำ ของที่ไม่ดีมาก รู้สึกหวาดกลัว แต่พวกเราเพียงแต่อ่านหนังสือศึกษาฝ่าให้มาก บำเพ็ญโดยเร็ว  ก็จะทะลวงผ่านระดับชั้นนี้ได้  พอเห็นอีกก็จะไม่ใช่สิ่งเหล่านี้แล้ว พอเห็นอีกก็เป็นสิ่งที่ดี

ศิษย์  เวลาที่คนในบ้านฝึกพลังอย่างอื่น  ตัวเองรู้สึกไม่สบายในขณะฝึกพลังรวมหมู่อยู่ที่สนาม บางครั้งทัศนียภาพที่มองเห็นนั้นเป็นผลสะท้อนของการพยากรณ์หรือไม่

อาจารย์  มองเห็นก็มองเห็น  อย่าถือเป็นเรื่องเป็นราว  แม้ว่าจะสามารถมองเห็นบางเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ข้าพเจ้าว่าท่านก็อย่าไปสนใจมัน รักษาซินซิ่งของท่านบำเพ็ญไป พูดถึงว่าคนอื่นรบกวนการบำเพ็ญของท่าน หรือคนในครอบครัวฝึกพลังอย่างอื่น เรื่องนี้โดยทั่วไปไม่อาจรบกวนเราได้ เช่นนั้นที่ท่านรู้สึกว่ารบกวน  ก็อาจเป็นการทดสอบท่าน  ดูว่าใจของท่านจะหวั่นไหวอย่างไร  เนื่องจากพวกเราบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง ต้าฝ่า อะไรก็รบกวนท่านไม่ได้  หากจิตใจของพวกเราเองไม่มั่นคง  นั่นคือปัญหาซินซิ่ง    เช่นนั้นก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่ผิดปกติออกมา

ศิษย์  ผมฝึกฝ่าหลุนกงได้หลายเดือนแล้ว รู้สึกว่าดีมาก  ผมบวชอยู่ในศาสนาหนึ่ง  ปัจจุบันผมจัดว่ากำลัง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก(ตัดสินใจไม่ถูก)  เรียนเชิญท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะ 

อาจารย์ การบำเพ็ญเป็นเรื่องของตนเอง  ท่านคิดจะบำเพ็ญอย่างไร ก็บำเพ็ญอย่างไร  ท่านบอกว่าฉันอยากบำเพ็ญอยู่ในศาสนา   ท่านก็บำเพ็ญอยู่ในนั้น  ท่านบอกว่าฉันอยากบำเพ็ญต้าฝ่า  เช่นนั้นท่านก็บำเพ็ญต้าฝ่า  ก้าวนี้จะต้องเดินออกมาด้วยตัวเอง เพราะข้าพเจ้าก็มองเห็นท่านกลืนไม่เข้าคายไม่ออก(ตัดสินใจไม่ถูก)แล้ว  ฉะนั้นข้าพเจ้าต้องดูว่าก้าวนี้ท่านจะเดินอย่างไร  ท่านอยากจะบำเพ็ญอะไร ก็ตัดสินใจเอง  แต่ข้าพเจ้าก็ได้บอกเหตุผลมากมายอย่างแจ่มแจ้งแล้ว  ปัจจุบันภายในตรีภูมิไม่มีเทพที่ถูกต้องดูแล  ไม่มีเทพที่ถูกต้องช่วยเหลือคนอยู่  จุดนี้ข้าพเจ้าสามารถบอกพวกท่านได้

ศิษย์     ผมรู้สึกว่าเวลาไม่พอใช้มักจะเจียดเวลาจากการนอนนี่นับเป็นการยึดติดหรือไม่

อาจารย์  ไม่นับว่ายึดติด  เวลากระชั้นอย่างมาก  กลางวันยุ่งมาก กลางคืนคิดจะเจียดเวลาสักหน่อยมาฝึกพลัง  ข้าพเจ้าว่าดีมาก  แน่นอนว่าจะไม่เป็นเพราะท่านฝึกพลัง ร่างกายท่านก็จะสึกหรอ หรือนอนไม่พอ   ไม่ใช่เช่นนี้แน่  ตรงกันข้าม  หลังจากท่านฝึกพลัง      ท่านจะนอนได้หลับสนิทยิ่งกว่าจะรู้สึกว่ากระฉับกระเฉงดีกว่ารับรองว่าจะเป็นอย่างนี้

ศิษย์  คนที่นับถือศาสนาคริสต์  ศาสนาโรมันคาทอลิก เข้าใจว่าเบื้องบนมีเทพเพียงองค์เดียวก็คือพระเยซู จะทำอย่างไรให้พวกเขาเชื่อว่าเทพไม่ใช่มีแค่องค์เดียว

อาจารย์  นั่นได้แต่ดูตัวเขาเองแล้ว  เหตุผลพวกเราก็ได้พูดแล้ว  ที่จริงในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่ากับพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับใหม่ก็พูดกันแล้วว่า เทพนั้นหาได้มีเพียงพระเยซูองค์เดียว  อย่างน้อยที่สุดก่อนพระเยซูยังมีพระยะโฮวาห์นะ ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับใหม่และเก่าล้วนพูดถึงเทพสวรรค์องค์อื่นๆ  ในสมัยกรีกโบราณก็มีเทพหลายองค์ถ่ายทอดธรรมอยู่ในหมู่มนุษย์  นี่คือพวกเขาเองจะไปรับรู้อย่างไร  ที่จริงในศาสนาพุทธก็พูดกัน  ว่าพระพุทธไม่ใช่มีเพียงองค์ศากยมุนี       แน่ละองค์ศากยมุนียังเคยตรัสว่ามีพระอาหนีถอฝอ  ยังมีพระพุทธบุพกาลหกองค์  ยังมีพระยูไลมากเหมือนทรายในแม่น้ำคงคาเป็นต้น  ยังมีพระโพธิสัตว์นับไม่ถ้วน  แต่มีพระสงฆ์บางรูปพูดว่าพระพุทธมีเพียงองค์ศากยมุนีองค์เดียว  ความคิดของพวกเขาในปัจจุบัน ทำไมคับแคบถึงระดับนี้หนา  คิดว่ามีเพียงองค์ศากยมุนีที่เป็นพระพุทธ   ฝ่านั้น สามารถให้พวกเขาอ่าน ให้พวกเขารู้จัก  คิดจะบำเพ็ญหรือไม่ ทั้งหมดต้องดูที่พวกเขาเอง  หากพวกเขาเอาแต่ดื้อดึงในความเข้าใจของพวกเขาเอง  นั่นก็แล้วแต่พวกเขาแล้ว  เราได้แต่แนะนำในทางที่ดี    แต่จะไม่ลากคนมาอย่างเด็ดขาด            จุดนี้ทุกท่านต้องจำไว้

ศิษย์  พลังของคนล้วนมีรูปร่างของตนเอง  ทำไมพระพุทธปลอมที่คนกราบไหว้ออกมา จึงสามารถเอาพลังของคนได้

อาจารย์  เขาเอาพลังของคนไม่ได้  มันสามารถเอาชี่ของคนธรรมดาสามัญ  คือความหมายนี้  มันเอาพลังงานอะไรไปไม่ได้  เช่นนั้นทำไมมันสามารถเอาได้ละ  มันคือสิ่งที่คนธรรมดาสามัญกราบไหว้ออกมา  เขตแดนความคิดจึงเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ   ทำไมคนต้องขโมยของละก็คือเขามีความคิดนี้

ศิษย์     หลังจากบำเพ็ญหยวนหมั่น     แล้วศิษย์ที่ไปสู่โลกสวรรค์อื่น            ฝ่าหลุนในท้องยังจะนำไปด้วยได้หรือไม่

อาจารย์  ให้ท่านสนใจแต่การบำเพ็ญ   ท่านจะเป็นอย่างไรในที่สุด  ท่านก็ไม่อาจทราบได้  ให้ท่านสนใจให้ก้าวหน้าไปเท่านั้น  ที่ท่านคิดคือท่านจะหยวนหมั่นได้อย่างไร  นี่เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง  เร่งรีบบำเพ็ญกลับไป นี่คือสิ่งสำคัญอันดับแรกของท่าน  อย่างอื่นทั้งหมดท่านอย่าไปคิด  ข้าพเจ้า อาจารย์คนนี้จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับท่านอย่างแน่นอน (เสียงปรบมือ) จักรวาลใหม่ก็ดี  ทุกสิ่งของอนาคตก็ดี บุกเบิกให้กับใครกันละ  ไม่ใช่ให้กับสรรพชีวิตหรือ  ใช่หรือไม่  พ่อแม่นั้นคิดแต่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกโดยเฉพาะคือในอนาคตจะให้เขาดียิ่งขึ้น ล้วนแต่เป็นจิตใจอย่างนี้(เสียงปรบมือ)

ศิษย์ ถึงเวลาหยวนหมั่นเพียงเสี้ยวเวลาก็เสร็จสิ้น  เช่นนั้นจะทราบได้อย่างไรว่าท่านอาจารย์มีการสั่งการละ
อาจารย์  ในเวลาที่ท่านใกล้จะหยวนหมั่น  ก็จะเริ่มติดต่อกับท่านแล้ว  มีเรื่องมากมายต้องบอกท่านโดยตรง นั่นไม่เหมือนกับบางคนคิดว่าตัวเองหยวนหมั่นแล้วคนทั้งหมดที่คิดว่าตนเองหยวนหมั่นนั้นล้วนแต่ไม่หยวนหมั่น

ศิษย์     เวลาที่หงฝ่ากับคนตะวันตก    หากมีการถามเรื่องศาสนาควรจะทำอย่างไร

อาจารย์  ให้เขาอ่านหนังสือ  ก็คือให้เขาอ่านหนังสือ  เรื่องศาสนาข้าพเจ้าเขียนอย่างชัดเจนในหนังสือ เวลาที่พวกเขาถามขึ้นมาเช่นนั้นพวกเราก็ต้องพูดไปตามหนังสือก็จะไม่มีปัญหา

ศิษย์  ผมนั่งสมาธิรู้สึกปวดมาก  เรียนถามว่าเป็นเรื่องดีมากหรือว่าผมกรรมหนัก  จึงสมควรรับกรรมสนอง  รับผลกรรมหรือ

อาจารย์ ไม่ใช่ ไม่มีใครที่นั่งสมาธิแล้วไม่ปวด  ที่ผ่านมาพวกเราหลายคนเคยหัดกายกรรม ฝึกเต้นรำหรือแต่เดิมเขาก็สามารถนั่งขัดสมาธิ  พอนั่งก็ขัดขาขึ้นมาได้แล้ว  แต่ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ในเวลานั้นพวกท่านยังไม่ได้บำเพ็ญ  นับแต่เริ่มการบำเพ็ญ  ใช้เวลาไม่มาก ท่านก็เริ่มปวด แน่นอนไม่อาจจะเป็นเพราะว่าท่านสามารถนั่งขัดสมาธิแต่ไม่สามารถฝึกพลังสลายกรรม ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญ ก็ต้องช่วยพวกท่านยกระดับ

ศิษย์  ผมนอนอยู่บนเตียง  พอวางมือบนท้องน้อย  ก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับคลื่นที่ขยายออกข้างนอกผมเป็นห่วงว่าอย่างนี้เป็นการฝึกวิชามารหรือไม่

อาจารย์ คือท่านรู้สึกถึงร่างกายท่านกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงจากระดับจุลทรรศน์สู่ชั้นผิว ก็คือที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ พวกเราเปลี่ยนแปลงท่านจากระดับจุลทรรศน์  ตลอดจนถึงชั้นผิว ดังนั้นบางคนที่ความรู้สึกไวจะรู้สึกได้   ส่วนที่ท่านรู้สึกได้ก็เป็นส่วนน้อยนิด มีอีกมากมายที่(ท่าน)ยังไม่อาจรู้สึกได้และความรู้สึกบางอย่างนั้นจะทุกข์ทรมานมาก

ศิษย์     ในช่วงวัยเด็กมีทุกข์ภัยมากมาย           หลังจากได้ฝ่าแล้วทุกข์ภัยเหล่านี้จะมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญไหม

อาจารย์  บ้างอาจมีส่วนช่วย  เพราะแต่ละคนได้ฝ่าก็ไม่ง่าย หากกำหนดไว้แล้วว่าคนๆนี้จะได้ฝ่า  เช่นนั้นชีวิตของเขา กระทั่งชาติภพต่างๆล้วนจะทนทุกข์เพื่อเรื่องนี้  ดังนั้นท่านอย่าคิดว่าวันนี้ท่านได้ฝ่าอย่างง่ายดาย  แต่มีบางคนล้วนทนทุกข์มาหลายชาติภพก็เพื่อจะได้ฝ่านี้ พอถึงเวลาได้ฝ่าจริงๆเขากลับไม่ได้แล้ว นั่นจึงจะน่าเสียดาย  เพราะเขานั้นมาเพื่อเรื่องนี้......... เช่นนั้นท่านว่าไม่น่าเสียดายหรือ

ศิษย์  ในเวลาที่เพิ่งจะได้ฝ่า ในความฝันได้พบกับเรื่องอันตราย มักจำได้ว่าจะเรียกชื่อท่านอาจารย์เสมอ  แต่ในระยะหลังนี้มักจะลืมตัวเอง  ไปต่อสู้กับพวกเขา      นี่เป็นเรื่องอย่างไรกัน

อาจารย์  ปรากฏการณ์นี้มีค่อนข้างน้อย  พบน้อยมาก  แต่มีได้เป็นเฉพาะราย  ผ่านไประยะหนึ่งก็จะดี  หากท่านไม่สนใจมัน ไม่ยี่หระแล้ว  อย่างไรเสียพอผ่านไประยะหนึ่งจะดีได้  พอมีเรื่องก็เรียกอาจารย์  นั่นมิใช่จิตยึดติดอย่างหนึ่งหรือ และเรื่องในความฝันนั้นก็ต้องค้นหาสาเหตุจากตัวเองนะ  นี่เป็นการแสดงออกของสภาพการณ์หนึ่ง   ในอดีตวิธีการบำเพ็ญสายเต๋าจะพบบ่อย  โดยเฉพาะคือมีการบำเพ็ญภายนอกและภายในพร้อมกัน  ทั้งบำเพ็ญภายในและฝึกวิทยายุทธ์  ก็คือหลักพลังชนิดนั้นจะมี(เรื่องนี้)ค่อนข้างมาก

ศิษย์     เคยเป็นโรควิตกกังวล(กลัดกลุ้ม)และปัญหาทางด้านจิต  ถ้าบำเพ็ญจริงจะหยวนหมั่นได้ไหม

อาจารย์  ถ้าบำเพ็ญจริงสามารถหยวนหมั่นได้  แต่คนที่มีสภาพการณ์อย่างนี้อย่าไปฝึกพลังในที่สาธารณะ เพื่อตัวท่านและเพื่อฝ่า  ถ้าท่านยึดกุมได้ไม่ดี  สร้างความสูญเสียให้กับฝ่า  ตัวท่านเองก็จะมีความผิด  ดังนั้นดีที่สุดคือฝึกอยู่ที่บ้าน ท่านเพียงบำเพ็ญไป  ท่านฝึกอยู่ที่ไหนข้าพเจ้าก็สามารถดูแลท่าน แต่จะต้องเป็นผู้ที่สามารถจะบำเพ็ญได้  หรือพูดว่าจะต้องมีสติแจ่มแจ้ง สามารถผ่านด่านไปได้

ศิษย์      หวนคิดถึงครึ่งแรกของชีวิตรู้สึกเสียใจที่ได้ทำผิดไปและตำหนิตัวเองในฐานะศิษย์ฝ่าหลุนต้าฝ่าควรจะทำอย่างไรกับปัญหานี้

อาจารย์  ไม่ต้องคิดอะไร  ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป  ข้าพเจ้าดูเพียงจิตที่จะบำเพ็ญนี้ของท่าน  ปัญหาอย่างอื่นปล่อยให้อาจารย์ช่วยทำให้ท่าน ผ่านไปแล้ว  ท่านมัวคิดถึงมันอยู่  ก็จะเกิดเป็นอุปสรรคอันหนึ่งและจิตยึดติด ก็อย่าไปสนใจอีก  ท่านก็เริ่มเปลี่ยนหน้าตาใหม่   กลับเนื้อกลับตัวใหม่   ท่านก็จะเป็นคนใหม่แล้ว        ก็ทำอย่างนี้(เสียงปรบมือ)

ศิษย์     เวลาที่ผมกำลังอ่านหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน” อยู่ บางครั้ง จะรู้สึกว่าใบหน้าเป็นเหมือนเปลือก  ด้านในใบหน้ากำลังอ่านหนังสือ        นี่เป็นเรื่องอะไรกัน

อาจารย์ ก็คือจิตหลักของท่านกับร่างกายส่วนนั้นในระดับจุลทรรศน์ของท่าน ฝั่งนั้นค่อนข้างแรง นี่ก็เป็นเรื่องดี

ศิษย์     จะเข้าใจซินซิ่งกับเขตแดนได้อย่างไร สองสิ่งนี้สัมพันธ์กันอย่างไร

อาจารย์  ท่านบำเพ็ญสูงเพียงไหนแล้ว นั่นก็คือมาตรฐานที่ซินซิ่งของท่านอยู่  นั่นก็คือเขตแดนของท่าน  อยู่ในเขตแดนนี้ความนึกคิดใดๆที่ส่งออกมา ล้วนสอดคล้องกับมาตรฐานซินซิ่งระดับชั้นนี้ แต่การบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  พวกเราก็จะไม่เป็นอย่างนี้ทั้งหมด  พวกเรานั้นเปลี่ยนแปลงจากระดับจุลทรรศน์สู่ชั้นผิวกันอย่างนี้  เช่นนั้นชั้นผิวของคนส่วนนี้ในเวลาที่ยังเป็นรูปลักษณ์ของคนนั้น  เช่นนั้นจิตใจจะยังคงมีจิตใจของคนธรรมดาสามัญ  เรื่อยไปจนกระทั่งถึงเวลาหยวนหมั่น  ทั้งหมดนี้ล้วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง  แต่ในการบำเพ็ญของพวกเราต้องเข้มงวดต่อตัวเอง ซินซิ่งต้องเลยล้ำคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์      ถ้าเช้าตรู่ของแต่ละวันฝึกท่าเป้าหลุน(ท่ายืนสมาธิ)สองชั่วโมงครึ่ง  ตอนกลางคืนนั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่ง แต่ละวันเวลาในการฝึกพลัง นับว่ามากเกินไปหรือไม่

อาจารย์  หากท่านมีเวลามากในการฝึก ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน การฝึกพลังเป็นเรื่องดีใช่ไหม  แต่ถ้าท่านไปเบียดบังเวลาของการอ่านหนังสือ ข้าพเจ้าว่านั่นก็ไม่ถูกต้องแล้ว เพราะการอ่านหนังสือ ศึกษาฝ่าเป็นเรื่องอันดับแรก  นี่คือหลักประกันที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงท่านจากธาตุแท้ได้อย่างแท้จริง  เป็นมูลเหตุที่จะสามารถเลื่อนชั้นขึ้นได้โดยแก่นแท้  การฝึกพลังเป็นวิธีการเสริมการหยวนหมั่น  ท่านอย่าได้เปลี่ยนการฝึกพลังเป็นลำดับแรก เปลี่ยนการอ่านหนังสือเป็นลำดับที่สอง  นี่ใช้ไม่ได้  ใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  หากท่านบรรลุไม่ถึงเขตแดนนั้น  ท่านจะฝึกพลังอย่างไร  แม้ว่าจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ  แต่มันทะลวงขึ้นไปเองเช่นนี้ก็ขึ้นไปไม่ได้   แต่หากมาตรฐานซินซิ่งของท่านบรรลุถึงที่นั่นแล้ว   ท่านผ่านการศึกษาฝ่า อ่านหนังสือ เข้าใจหลักการของฝ่าได้แล้ว  เช่นนั้นพลังก็จะสูงขึ้นในทันที  ดังนั้นเราจึงไม่เน้นการเพิ่มเวลาฝึกพลังมากเกินไป  ก็คือความหมายเช่นนี้แต่การฝึกพลังก็จำเป็น

ศิษย์  อาจารย์พูดถึงหลักพลังบางอย่าง จิตรองออกไปฝึกพลัง  แต่หลังจากจิตรองถูกฆ่าแล้วก็กลับชาติไปเกิด  ร่างกายนั้นคือจิตหลักหรือจิตรองที่บำเพ็ญ

อาจารย์ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ข้าพเจ้ามักพูดประโยคหนึ่ง   ข้าพเจ้าว่ามนุษย์ระดับชั้นนี้ ท่านสามารถจะมองทีเดียวเห็นทะลุปรุโปร่ง  แต่ท่านยากที่จะตรวจสอบมันออกมาได้ว่ามีกี่มิติมันอยู่ในอีกมิติสนามเวลาหนึ่งทำทุกสิ่งให้สำเร็จลุล่วงได้ทั้งหมด   ในมิติสนามเวลาอื่น ยังมีมิติสนามเวลาอื่นอยู่อีก  มันอยู่ในนั้นทำทุกสิ่งให้เสร็จได้   ซึ่งแน่ละล้วนแต่เป็นจิตรองนะ

ศิษย์     ทีมงานแปลของเราแปลจิงเหวินของท่านเป็นภาษาอังกฤษ  เตรียมไว้ให้ผู้ฝึกชาวตะวันตกอ่าน

อาจารย์  สิ่งใดๆที่แปลหากจะนำมันออกมา  ประกาศต่อโลกหรือพิมพ์เป็นหนังสือให้ผู้ฝึกอ่านต่อๆกัน  ล้วนต้องให้ผ่านสมาคมวิจัยดูก่อนค่อยดำเนินการ  เพราะมีปัญหาหลายอย่างจะกระทบต่อเรื่องโดยรวมของต้าฝ่าของพวกเรา เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นต้องให้พวกเขาดู  โดยเฉพาะคือเทปบันทึกเสียงการบรรยายฝ่า เรื่องมากมายที่ข้าพเจ้าบรรยายไปแล้ว  ก็จะไม่มีผลในลักษณะทั่วไปอีก จะตีพิมพ์ก็ต้องให้ข้าพเจ้าปรับแก้ใหม่  แก้ไขเขาให้เหมือนหนังสือที่ทุกท่านอ่านกัน สามารถทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญได้  เป็นสิ่งที่สามารถยกระดับขึ้นได้         ดังนั้นคนอื่นๆทำอย่างนี้ไม่ได้ทั้งนั้น  จุดนี้ชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว ไม่ว่าทำอะไรสิ่งที่พวกเราคิดถึงคือการทำเรื่องดีเพื่อต้าฝ่า แต่ต้องพิจารณาว่ามันเกี่ยวข้องกับต้าฝ่าทั้งหมด  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องปฏิบัติต่อปัญหานี้อย่างเข้มงวด

ศิษย์  ในบทที่ว่า “ละลายในฝ่า”ท่านอาจารย์พูดว่า อย่าใช้เวลามากในการอภิปรายอีก มีบางคนเข้าใจว่าไม่ไปร่วมประชุมอ่านหนังสือ

อาจารย์ อ่านหนังสือ ศึกษาฝ่าร่วมกันต้องประสานเข้ากับการอ่านหนังสือศึกษาฝ่าด้วยตนเอง  ล้วนแต่จำเป็น อย่าวิ่งจากสุดขั้วหนึ่งยังอีกสุดขั้วหนึ่ง

ศิษย์     ท่องจำจิงเหวินบทต่างๆ จะมีความรู้สึกยากง่ายไม่เหมือนกัน นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกใช่ไหม
อาจารย์  สิ่งเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าเขียน บ้างก็ไม่อาจเข้าใจได้ง่าย  จุดนี้แน่นอน  เหตุใดจึงเขียนเช่นนี้ ก็มีจุดประสงค์อยู่  สามารถจะเข้าใจได้ถึงระดับไหนก็เข้าใจได้ถึงระดับนั้น  แต่ท่านจะเข้าใจอย่างไรก็เข้าใจไม่ผิดเพี้ยน  เพียงแต่ระดับการรับรู้ต่างกัน

ศิษย์  เพื่อท่องจำจิงเหวิน  ผมมีความเคยชินที่จะเขียนจากความจำ  สำหรับจิงเหวินที่เขียนจากความจำจะจัดการอย่างไรดี

อาจารย์  ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีสภาพจิตใจของผู้บำเพ็ญ  ต้องมีจิตใจเคารพต่ออาจารย์ เคารพต่อฝ่า สภาพการณ์แบบนี้ เผาทิ้งเถอะ  ไฟของคนธรรมดาสามัญนี้เผาไม่ถึงเทพ  ดังนั้นไม่มีประโยชน์แล้วก็เผาทิ้งก็จบกัน  เพราะว่าประวัติศาสตร์ยุคนี้เป็นยุคพิเศษจึงทำอย่างนี้ แต่หนังสือต้าฝ่าอย่าได้เผาเป็นอันขาด

ศิษย์  ศิษย์เก่ามักคิดจะพบท่านอาจารย์  ยึดติดหรือเปล่า  พอได้พบท่านอาจารย์ก็หลั่งน้ำตา ควบคุมไม่อยู่และพูดอะไรไม่ออก  เป็นการยึดติดอีกหรือเปล่า

อาจารย์  ในใจที่คิดจะพบข้าพเจ้าอย่าได้มีการยึดติด  แต่ว่า ข้าพเจ้าคิดว่าส่วนมากเนื่องจากท่านบำเพ็ญต้าฝ่าแล้ว  คือฝ่าที่อาจารย์ถ่ายทอดได้ช่วยเหลือท่านไว้ คิดจากมุมมองนี้ อยากจะพบข้าพเจ้า  พูดถึงว่าหลังจากได้พบข้าพเจ้าแล้วพูดอะไรไม่ออก  เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของตัวท่านเอง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายท่านเอง  ชั้นผิวของท่านนั้นมองไม่เห็น   แต่ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว หรือจิตหลักของท่าน  ส่วนที่ไม่อยู่ในวังวนนั้นล้วนสามารถมองเห็น   พอได้พบกับข้าพเจ้าพวกเขาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เพียงเขาตื่นขึ้นมาเล็กน้อย  คนทางฝั่งนี้ของท่านก็อ่อนแอลง  เช่นนั้นการร้องไห้ของฝั่งนี้ของท่าน ณ ชั้นผิวไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฝั่งนั้นของท่านมองเห็นทุกอย่างที่ข้าพเจ้าทำให้กับท่าน จะใช้ภาษาอะไร ใช้วิธีการอะไร           ท่านก็ไม่อาจจะตอบแทนข้าพเจ้าได้   เป็นสภาพชนิดหนึ่งที่ในใจไม่มีทางที่ซาบซึ้งใจยิ่งไปกว่านี้

ศิษย์      ขัดสมาธิสองขาจะเจ็บปวดมาก  ยังพอทนไหว  แต่ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใด จะกระตุกอย่างแรงได้ตลอดเวลา  สมาธิไม่สามารถเข้าสู่ความนิ่งได้

อาจารย์ การขัดสมาธิสองขามักจะต้องมีขั้นตอนหนึ่งของความเจ็บปวด พวกเราโดยเฉพาะบางคนไม่เคยขัดสมาธิสองขามาก่อน บวกกับที่โครงสร้างสสารของร่างกายชั้นผิวที่ปรับเข้ากันไม่ได้แล้ว ยิ่งบวกกับกรรมกำลังสลายลงข้างล่างอีก  จึงทำให้ท่านเจ็บปวดมาก  ท่านว่าฉันสามารถขัดสมาธิได้ครึ่งชั่วโมง  เช่นนั้นหลังจากครึ่งชั่วโมง  ท่านยังจะปวดมาก  นี่แน่นอน  ปวดควบคู่ไปกับความว้าวุ่นใจ  ดังนั้นพระสงฆ์ที่บำเพ็ญในอดีตนั้น ท่านอย่าได้เห็นว่าเขานั่งสมาธิ เขาก็กำลังยกระดับซินซิ่งขึ้นไปด้วย เพียงแต่ว่าการยกระดับซินซิ่งของเขาไม่เป็นไปโดยตรงเหมือนกับของเราอย่างนั้น  ดังนั้นเขาจึงเป็นไปอย่างช้าๆ  บำเพ็ญได้ช้า  เวลาที่ว้าวุ่นใจนั้นกรรมจะให้ท่านเอาขาลงมา  ผู้ที่ปณิธานแข็งแกร่งก็จะไม่เอาลงมา  จิตใจของท่านก็กำลังยกระดับอยู่  ท่านก็ยกระดับอยู่ในความทุกข์ยากชนิดหนึ่ง   บางครั้งจะปวดรุนแรง ยังจะคลื่นเหียน  อาเจียน เวลาที่รุนแรงนั้นสาหัสมาก

ศิษย์     ผู้ฝึกบางคนเข้าใจว่าได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการพุ่งสุดตัว     ต้องเร่งรีบศึกษาฝ่า

อาจารย์  ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงช่วงสุดท้ายของการพุ่งสุดตัว  ต้องเร่งรีบศึกษาฝ่า  ลาออกจากงานไปอยู่บ้าน  ข้าพเจ้าว่านั่นคือการบ่อนทำลายฝ่า  ใครที่บอกต่อๆกันเช่นนี้  ใครที่ทำเช่นนี้แล้ว ก็คือการไม่รับผิดชอบต่อฝ่า ต่อตัวเขาเอง  ลาออกจากงานอะไรเอย งานอะไรก็ไม่ทำกันแล้ว ใครสอนท่านให้ทำอย่างนี้หรือ ท่านไม่ใช่กำลังบ่อนทำลายฝ่าหรือ  ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า คนก็กำลังหล่อหลอมเข้ากับฝ่า  แน่ละบางคนคิดว่า คนจะหล่อหลอมเข้ากับฝ่าได้อย่างไรละ ทุกท่านคิดดู ฝ่าสามารถช่วยท่าน นี่แน่นอนทีเดียว  เช่นนั้นคนจะหล่อหลอมเข้ากับฝ่าได้อย่างไรละคนอยู่ในระดับชั้นของสังคมคนธรรมดาสามัญนี้  แต่ละคนต่างทำไม่ดีไว้มาก  อยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญทำเหมือนคนธรรมดาสามัญ  ผู้คนล้วนจะพูดว่า  คุณดูคนที่ฝึกฝ่าหลุนกงยังเป็นอย่างนี้  ถ้าหากพวกเราต่างทำไว้ดีมาก  สามารถใช้มาตรฐานของผู้ฝึกพลังกำหนดตนเอง เป็นศิษย์ที่บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย  เช่นนั้นทุกท่านคิดดู  ผู้คนเห็นเข้า  อ้อ คนเหล่านี้ล้วนฝึกฝ่าหลุนกง  ช่างดีจริง  อยู่ตรงไหนล้วนทำให้คนวางใจ อยู่ที่ไหนล้วนเป็นคนดีคนหนึ่ง  เช่นนั้นผู้คนก็จะพูดว่าฝ่าหลุนกงช่างดีจริง ต้าฝ่านี้ช่างดีจริง เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่าท่านอยู่ในรูปแบบของคนธรรมดาสามัญนี้ กำลังหล่อหลอมเข้ากับต้าฝ่าละ คือเหตุผลนี้ใช่หรือไม่ละ  ดังนั้นโดยเปลือกนอกของพวกเรานั้นหากไม่สอดคล้องกับต้าฝ่า นั่นไม่เพียงไม่สามารถหล่อหลอมเข้ากับฝ่า  ท่านยังจะทำให้ฝ่าด่างพร้อย  บ่อนทำลายฝ่า  ฝ่าสามารถช่วยเหลือท่าน  ท่านยังจะบ่อนทำลายฝ่า จะจัดความสัมพันธ์นี้ให้ถูกต้องได้อย่างไรละ  จะประเมินท่านได้อย่างไรละ การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  คนๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยกรรม คิดจะบำเพ็ญให้สำเร็จหยวนหมั่น  ท่านไม่เข้มงวดจะได้หรือ  เรื่องราวใดๆบนโลกยังมีเรื่องที่ยิ่งใหญ่            เข้มงวดกว่าเรื่องนี้ไหม

ศิษย์      ปัญญาชนอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” รู้สึกว่ารับไม่ได้  รู้สึกอยู่เสมอว่าท่วงทำนองของบทความไม่เหมือนกับ ตำราที่ใช้สอนในมหาวิทยาลัยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวาสนาและกรรมของแต่ละคนไหม

อาจารย์ นี่คืออุปสรรคในการได้ฝ่าของปัญญาชนประเภทนี้  ดังนั้นเขาต้องทะลวงมัน  เพราะว่าทัศนคติที่เขาสร้างขึ้นมากำลังขวางกั้นเขาอยู่   วรรณคดีของยุคนี้ ทัศนคติที่เขาสร้างขึ้น ข้าพเจ้าว่ามันคือวิทยานิพนธ์แปดตอนแบบใหม่(อุปมาบทความที่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง)  อาจจะมีคนไม่ยอมรับ แต่มันได้จำกัดความหมายของคำศัพท์ไว้อย่างตายตัวอยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง ไม่มีความนัยที่ลึกซึ้ง   นี่ก็คือร้อยกรองของวันนี้  ภาษาที่ตื้นเขินของคน เมื่อเสริมกับการจำกัดความเข้าไปอีก มันจึงแสดงความหมายได้แต่สิ่งที่สั้นๆง่ายๆที่สุด  แต่หากจะแสดงความหมายของฝ่าออกมา  ก็ห่างไกลมากจนใช้ไม่ได้  บางคนพูดว่าหนังสือของอาจารย์ไม่สอดคล้องกับหลักภาษาปัจจุบัน  ข้าพเจ้ายอมรับทั้งหมด  คือไม่สอดคล้องกับหลักภาษาปัจจุบัน  แต่พวกท่านเคยคิดถึงปัญหาหนึ่งหรือไม่  ฝ่านั้นสร้างสรรค์เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมในการดำรงอยู่ให้กับชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกัน  รวมทั้งภาษากับตัวหนังสือของคน  เช่นนั้นจึงพูดได้ว่า วัฒนธรรมของมนุษยชาติในทุกวันนี้ ก็เป็นฝ่าที่สร้างสรรค์ให้กับคนด้วย   ในเมื่อเป็นเช่นนี้  ต้าฝ่าของจักรวาลจะจำกัดอยู่ในมาตรฐานของหลักภาษาของคนกระนั้นหรือ   ข้าพเจ้าเพียงแต่อาศัยตัวอักษรภาษาและหลักภาษาของคนมาแสดงฝ่า  พูดถึงว่าจะใช้อย่างไร  นั่นก็แล้วแต่ความสะดวกของพวกเราแล้ว  ข้าพเจ้าจะแสดงความนัยที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าได้ชัดแจ้งอย่างไร  ข้าพเจ้าก็ไปใช้มันอย่างนั้น  ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเปิดหลักภาษาในยุคปัจจุบันออกทั้งหมด  ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของมันทั้งหมด  รวมทั้งการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้า ก็ไม่ได้ทำไปตามกฎเกณฑ์ภาษาของมัน  จึงสามารถแสดงฝ่านี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ก็คืออย่างนี้  ฝ่า   ฝ่าของจักรวาลที่ใหญ่อย่างนี้  ไม่อาจจะจำกัดอยู่ในหลักภาษาของคน  ข้าพเจ้าเพียงแต่อาศัยภาษาของคน  พูดถึงว่าจะใช้อย่างไร  จะเรียงลำดับอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น  ขอเพียงสามารถแสดงฝ่าออกมาได้เท่านั้น  ข้าพเจ้าแสดงออกมาได้ชัดแจ้งอย่างไรก็เรียงลำดับไปอย่างนั้น ฝ่ายังจะบุกเบิกสร้างสรรค์ภาษาใหม่และวัฒนธรรมใหม่ให้กับมนุษยชาติในอนาคต  ทั้งหมดจะหวนคืนกลับไปสู่สภาพที่ดีที่สุด  ดังนั้นปัจจุบันนี้ย่อมจะไม่เคยชินอย่างแน่นอน

ศิษย์      เดิมทีขาเคยได้รับบาดเจ็บ  แต่ก็ขัดสมาธิสองขาได้แล้ว แต่เมื่อเร็วๆนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดทำอย่างไรก็ขัดสมาธิสองขาไม่ได้เลย

อาจารย์ ที่จริงท่านควรถามตัวเองว่าเพราะอะไร  หนึ่งคือศึกษาฝ่าไม่ก้าวหน้าใช่หรือไม่  หรือว่ามีเรื่องที่ทำผิดไปแล้วไม่คิดจะแก้ไขหรืออู้ไม่ได้  ถ้าหากเรื่องในวันนี้ท่านทำได้ดีมาก  สอดคล้องกับฝ่า เดิมทีท่านสามารถขัดขาได้สิบนาที   รับรองว่าจะนั่งได้ยี่สิบนาที  ผู้ฝึกเราหลายคนต่างมีความซาบซึ้งกันอย่างนี้   เรื่องราวก็ไม่ใช่ตายตัว  แต่ในช่วงใกล้ๆนี้  ถ้าท่านจะสลายกรรมมากสักหน่อย ก็อาจเกิดปัญหานี้ได้

ศิษย์ ได้รับสัญญาณบางอย่าง จะแยกแยะได้ชัดเจนอย่างไรว่ามันมาจากผู้รู้แจ้งโดยไม่ใช่เป็นจินตนาการของตัวเอง

อาจารย์  ท่านได้รับสัญญาณอะไรท่านไม่ต้องสนใจมัน  หากท่านเห็นความสำคัญขึ้นมา ก็คือท่านยึดติดกับมัน  เช่นนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงฝ่า ก่อกวนท่าน  เปลี่ยนแปลงฝ่าส่งสัญญาณแก่ท่าน รบกวนท่าน  ท่านมีความสามารถอันนี้ไม่ได้ถูกปิดเอาไว้  เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี  แต่ท่านต้องยึดกุมให้ดี  ไม่ต้องสนใจว่าสัญญาณอะไร  ได้ยินก็ ได้ยินไป  เห็นแล้วก็เห็นไป  ไม่ต้องสนใจมัน   ท่านก็ต้องยึดมั่นต้าฝ่าอย่างเหนียวแน่นไปบำเพ็ญ หลักการได้เขียนอยู่บนตัวหนังสือแล้ว ท่านยังจะสนใจว่ามันเป็นสัญญาณอะไรอีก   สัญญาณหลอกอันหนึ่ง  ลวงท่านสักหน่อย  ท่านก็ตกลงมาแล้ว ก็ง่ายๆอย่างนี้  ดังนั้นต้องระวังปัญหานี้ให้ดี

ศิษย์     ชีวิตที่เกิดอยู่ในมิติชั้นสูงตกลงมาแล้วบำเพ็ญกลับขึ้นไป      จะมีอะไรแตกต่างจากเดิมหรือไม่

อาจารย์  ชีวิตระดับชั้นสูงไม่ใช่เหมือนกับที่คนคิดกันอย่างนั้น  พูดว่าตกลงก็ตกลงมาละไหนเลยจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงนั้น เพียงแต่มีปรากฏการณ์ชนิดนี้คงอยู่  พูดถึงการบำเพ็ญกลับไป นั่นยิ่งไม่ง่ายเลย  ยิ่งไม่ง่ายดายเหมือนไม่กี่ตัวอักษรที่ท่านเขียนนี้  ท่านทราบไหมว่า ที่พวกท่านได้ฝ่านั้นได้มาอย่างไรกัน พวกท่านต้องกลับชาติมาเกิดบนโลก  ท่านยังต้องเกิดอยู่ในช่วงเวลานั้น  ยังต้องตามทัน เมื่อมีผู้ที่ช่วยเหลือท่านมาเกิด  ท่านยังจะต้องสามารถได้พบกับผู้รู้แจ้งใหญ่ที่ช่วยเหลือคน  สามารถได้ฟังฝ่านี้  ไม่ง่ายเลย หากได้ฝ่าจริงแล้ว ยังจะต้องสามารถบำเพ็ญต่อไป ในปีนั้นในหมู่ศิษย์ขององค์ศากยมุนี ก็มีคนที่มีท่าทีสงสัยต่อธรรมะที่องค์ศากยมุนีตรัส ตอนกลางวันอยู่ที่นี่ฟังธรรมแล้วออกบวช  พอรู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว ตอนกลางคืนก็ถอดจีวรออกแล้ว  โยนทิ้งแล้วหนีไป ก็มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น พระพุทธไม่อยู่ในโลกแล้ว  หลังจากผ่านไปหลายปี  ผู้คนยิ่งพบว่านี่คือสัจธรรม           จึงค่อยเห็นคุณค่า หากสามารถบำเพ็ญขึ้นไปก็ไม่มีอะไรต่างกัน

ศิษย์     เรียนเชิญอธิบายความนัยที่เป็นรูปธรรม ของ “คนระดับสูงอาศัยการอู้และหยวนหมั่น” “เมื่อความจริงปรากฏ”

อาจารย์  “คนระดับสูงอาศัยการอู้และหยวนหมั่น”  ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  พวกเราที่นั่งอยู่โดยพื้นฐานล้วนอาศัยการอู้   ข้าพเจ้าจะไม่แสดงภาพจริงให้กับพวกท่าน  เพราะเกรงว่าพวกท่านจะเกิดจิตอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา จึงทำเช่นนี้  คนที่สามารถยืนหยัดต่อไป  บำเพ็ญต่อไป  ก้าวหน้าไม่หยุดหย่อน  ข้าพเจ้าว่าท่านนั้นยอดเยี่ยมจริง  ในอนาคตบำเพ็ญขึ้นไปได้ใครก็จะเคารพยกย่องท่าน  นี่เรียกว่าอาศัยการอู้และหยวนหมั่น อิทธิฤทธิ์ปรากฏอะไรก็มองเห็น อย่างนั้นบำเพ็ญขึ้นมาไม่เพียงแต่จะช้า หากเปิดทั้งหมดแล้ว อย่างนั้นที่ท่านบำเพ็ญก็ไม่นับแล้ว ถ้าข้าพเจ้าเผยปริศนาเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นคนที่มาจากระดับชั้นที่สูงมากๆ เผยปริศนาให้แก่เขาเพียงเล็กน้อยเขาก็จะกลับไปไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราไม่สนใจว่าท่านจะมาจากระดับชั้นไหน พวกเราก็ต้องทำเช่นนี้ เมื่อความจริงปรากฏ(เขา)ก็บำเพ็ญได้ยาก ข้อกำหนดต่อคนจะสูงมากๆ ยิ่งกว่านั้นรูปแบบการบำเพ็ญก็เข้มงวด     การยกระดับก็จะไม่รวดเร็วเช่นนี้

ศิษย์     ตอกไข่ไก่แตกถือเป็นการฆ่าชีวิตหรือไม่

อาจารย์ บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย  ที่จริงเมื่อครู่ข้าพเจ้าได้อธิบายหลักเหตุผลนี้อย่างชัดเจนมากแล้ว  ท่านใช้ชีวิตเป็นคน  ท่านไม่กินเนื้อสัตว์  คนในบ้านจะกินเนื้อสัตว์  ท่านบำเพ็ญแล้ว  คนในบ้านอาจไม่ได้บำเพ็ญ  พวกเราสามารถบำเพ็ญให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญที่สุด  มองไปที่ภาพใหญ่  บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่จัดการได้  ไม่ใช่ว่าท่านกินเจแล้วก็สามารถจะเป็นพระพุทธ นั่นเป็นเรื่องน่าขัน  นั่นเพียงละทิ้งจิตอย่างหนึ่งไปได้  ก็คือไม่ยึดติดกับเนื้อสัตว์  ไม่ยึดติดกับของคาว  ก็คือจิตดวงนี้  แต่คนมีจิตมากเท่าไรล้วนต้องทิ้งไป  เพียงทิ้งจิตอย่างหนึ่งไปแล้วก็จะสามารถเป็นพระพุทธได้หรือ  ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  เพื่อที่จะสามารถบำเพ็ญตามปกติอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นในเรื่องนี้  พวกเราจึงเปิดประตูที่สะดวกที่สุดไว้ประตูหนึ่ง   อยากจะกินไข่ไก่ ในเวลาที่ท่านสามารถกินได้ก็กินไป  แต่ผู้ออกบวชไม่อยู่ในกรณีนี้

ศิษย์     พวกเราควรทำอย่างไรจึงจะสามารถละทิ้งจิตยึดติดที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกมากได้โดยเร็ว

อาจารย์  ข้าพเจ้าจะสะกิดเตือนท่าน  ก็กลัวแต่ว่าพอถึงเวลาตัวท่านเองจะไม่ทิ้งไป  ข้าพเจ้าต้องสะกิดเตือนท่านอย่างแน่นอน  จิตใจทั้งหมดล้วนจะเปิดเผยออกมาให้ท่าน  ถ้าข้าพเจ้าไม่สะกิดเตือนท่าน ก็จะให้คนอื่นเตือนท่าน  และอาจจะเป็นเวลาที่เกิดความขัดแย้ง  โจมตีส่วนนี้ของท่าน  ก็เกรงว่าพอถึงเวลาท่านก็จะไปค้นหาจากภายนอกอีกแล้ว  ก็ไม่ไปคิดถึงจิตเหล่านั้นอีกแล้ว  จะสะกิดเตือนท่านอย่างแน่นอน  จุดนี้วางใจได้

ศิษย์ ศิษย์คิดจะตามท่านไปอยู่ทุกเวลา  สามารถจะรู้ถึงช่วงเวลาของการหยวนหมั่นที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไหม

อาจารย์  ผู้ที่สมควรหยวนหมั่นจะไม่ตกหล่น  ให้สนใจแต่การบำเพ็ญ  ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น  ข้าพเจ้าเคยเล่าเรื่องพระอรหันต์องค์นั้น ใช่ไหม เพราะจิตหวาดกลัว หรือจิตลิงโลดล้วนแต่หยวนหมั่นไม่ได้  เช่นนั้นท่านจะบำเพ็ญหยวนหมั่นในเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น  ข้อกำหนดนั้นก็จะยิ่งสูง  ปล่อยวางจิตทั้งหมดลง          หากในระหว่างช่วงเวลานั้นท่านคิดฟุ้งซ่านออกมา  ท่านก็จะหยวนหมั่นไม่ได้เลย(มัน)ก็จะดึงรั้งท่านเอาไว้

ศิษย์     ท่านอาจารย์บรรยายฝ่ายิ่งบรรยายยิ่งชัดเจน    ไม่ต้องอู้แล้ว    จะนับว่าบำเพ็ญได้หรือ

อาจารย์  คำพูดที่ข้าพเจ้าพูดนั้น  ท่านอย่าคิดว่าทุกท่านต่างนั่งฟังอยู่ที่นี่แต่ว่าแต่ละคนต่างเข้าใจไปตามระดับชั้นที่ต่างกัน  ย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน (เสียงปรบมือ) ที่ข้าพเจ้าพูดให้กับพวกท่านยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น แม้ว่าจะพูดหลักการที่สูงเช่นนั้นออกมา   ก็เพียงแต่พูดชั้นผิวของเขาอย่างคร่าวๆเท่านั้น  แก่นแท้นั้นไม่สามารถให้พวกท่านทราบได้  ก็คือหากทราบแล้วก็ยากจะบำเพ็ญ  ที่ข้าพเจ้าพูดยังเป็นเพียงหลักการหนึ่ง ไม่ใช่แสดงความจริงให้กับพวกท่าน  ดังนั้นยังคงเป็นปริศนา  เชื่อกับไม่เชื่อก็ยังคงอยู่พร้อมกัน

ศิษย์ แต่ละสัปดาห์จัดให้มีการอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” แบบต่อเนื่องสามครั้ง  ไม่มีเวลาแลกเปลี่ยนความเห็นเช่นนี้จะดีหรือไม่

อาจารย์  ได้ จะใช้เวลามากมายอย่างนั้นแลกเปลี่ยนความเห็นอะไรละ  อ่านแบบต่อเนื่อง  เวลาทั้งหมดก็ใช้ในการศึกษาฝ่า (เสียงปรบมือ) แน่ละพวกท่านหาเวลาพูดคุยถึงความเข้าใจกันเอง นี่ก็สำคัญ  แต่ละวันหลังจากฝึกพลังเสร็จแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันก็ได้

ศิษย์     ความสูงต่ำของระดับความรู้กับความสามารถในการเข้าใจมีความแตกต่างกันหรือไม่

อาจารย์  มีความต่างกันอยู่บ้าง  ท่านไม่รู้หนังสือย่อมอ่านหนังสือไม่ได้   ท่านรู้หนังสือไม่ครบถ้วนพอให้ท่านอ่านหนังสือย่อมจะลำบาก  คนยุคปัจจุบันล้วนสร้างออกมาจากวิทยาศาตร์ยุคปัจจุบันนี้  ข้าพเจ้าจึงได้แต่บรรยายไปโดยประสานเข้ากับวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมในปัจจุบัน  เช่นนั้นหากท่านไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์  นี่ก็คือมีความแตกต่าง    ดังนั้นพอมาศึกษาก็กินแรงสักหน่อย              แต่ว่าเพียงแต่ตั้งใจอะไรก็จะไม่ตกหล่น

ศิษย์      ความรักรบกวนดิฉันมาโดยตลอด  เวลาที่เกิดผิดใจกับแฟน  ดิฉันก็จะเกิดอารมณ์ที่จะแยกทางกับเขา  แต่กลับรู้สึกว่าตนเองกำลังหลบหนีหากดีกับเขา        นี่คือการยึดติดกับความรักใช่หรือไม่

อาจารย์  นี่เป็นสองเรื่อง  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  เมื่อท่านยังไม่ได้หลุดพ้นสังคมคนธรรมดาสามัญ ก่อนที่ท่านจะหยวนหมั่น   ฉิงของท่านย่อมจะมีอยู่โดยตลอด  นี่เป็นวิธีการหนึ่งที่รับประกันให้ท่านสามารถบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ในเมื่อท่านมีฉิง ก็ย่อมมีจิตนี้ที่จะถูกฉิงชักนำ ทั้งหมดที่ท่านสามารถจะทำได้คือพยายามควบคุมมันไว้  พยายามรักษาสภาพการณ์ที่เหมือนผู้ฝึกพลัง  ไม่เหมือนคนธรรมดาสามัญที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำอะไร อย่างน้อยที่สุดท่านต้องเป็นคนดี  นี่จึงจะไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ  แน่ละหากท่านคิดจะหาแฟน แต่งงาน ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้  พวกเราบอกแล้วว่า  ให้บำเพ็ญไปโดยสอดคล้องกับสภาพสังคมของคนธรรมดาสามัญ  เช่นนั้นหากพูดว่าฉันก็ไม่คิดจะหาแฟน  ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่คิดจะแต่งงานแล้ว  นั่นก็เป็นปัญหาส่วนตัว  ท่านไม่คิดจะแต่งงาน ก็ไม่ต้องแต่งงาน  พวกเราก็ไม่บังคับท่าน ทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้ แต่ในฐานะศิษย์ต้องรู้จักรักษาตัวรอด

ศิษย์     เมื่อเพื่อนถามผมเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ผมสามารถพูดโกหกได้หรือไม่

อาจารย์  ไม่อยากจะพูดก็ปิดปากไม่ต้องพูด  พยายามไม่พูด  สิ่งที่คนคุยกันมักจะเป็นเรื่องเหล่านี้  ท่านจะทำอย่างไรจึงจะสามารถบำเพ็ญให้สอดคล้องกับหมู่คนธรรมดาสามัญมากที่สุด  และสอดคล้องกับมาตรฐานของผู้ฝึกพลังด้วย  ท่านก็ไปทำอย่างนี้

ศิษย์     อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการทำร้ายผู้อื่น เพื่อลดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นจะพูดโกหกได้หรือไม่

อาจารย์   เรื่องราวในโลกสลับซับซ้อนมาก สภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนนานาชนิดก่อให้เกิดปัญหานั้น และสลับซับซ้อนมากๆ แต่พวกเราสามารถบอกทุกท่านได้ ผู้บำเพ็ญไม่พูดโกหก หากท่านสามารถจะป้องกันการเกิดเรื่องฆ่าคนวางเพลิงได้จริงๆ  แล้วท่านโกหก  นั่นก็ไม่อาจพูดว่าท่านผิด ท่านจะจัดความสัมพันธ์นี้ให้ดีได้อย่างไร  ข้าพเจ้าคิดว่าในฐานะผู้ฝึกพลังก็ไม่ยาก ที่จริงมีเรื่องมากมาย ที่พวกเราไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด

ศิษย์     บำเพ็ญได้หนึ่งปีแล้วยังขัดสมาธิสองขาไม่ได้            ยิ่งขัดไม่ได้ยิ่งร้อนใจ

อาจารย์  ไม่ต้องร้อนใจ  หากขัดสามาธิไม่ได้จริงๆ  ก็ไม่อาจเป็นเพราะขาขัดสมาธิไม่ได้ก็จะไม่ให้ท่านหยวนหมั่น แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญท่านต้องขัดสมาธิให้ได้  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ไม่ใช่พูดเล่นนะ  ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งบำเพ็ญได้ไม่เลวแต่ขาขัดสมาธิไม่ได้ เบื้องบนพระโพธิสัตว์องค์นั้นล้วนจะป้องปากหัวเราะท่าน  จริงๆนะ  แต่ไม่ต้องร้อนใจ  นานไปก็จะขัดสมาธิได้เอง  แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่เคยบอกว่ามีเวลาไม่พอ

ศิษย์     ทำไมเวลาฝึกพลังหรือศึกษาฝ่ารู้สึกร้อนที่ส่วนเอว

อาจารย์ ในการบำเพ็ญของคน สภาพการณ์นานาชนิดมีเป็นพันเป็นหมื่นชนิดก็หยุดไม่อยู่จริงๆ สภาพการณ์ต่างๆนานาล้วนจะเกิดขึ้นได้  ถ้าแต่ละสภาพการณ์ล้วนแต่จะถามข้าพเจ้า ท่านยังจะบำเพ็ญหรือไม่ ท่านยังจะเป็นผู้บำเพ็ญอยู่หรือ   ดังนั้นอย่าสนใจเรื่องเหล่านี้  ให้เป็นไปตามธรรมชาติ  ผู้บำเพ็ญไม่กลัวหนาวและไม่กลัวร้อน ลมพัดลมโชยท่านก็ไม่เจ็บป่วย

ศิษย์   ระหว่างสามีภรรยา (ความสัมพันธ์)ดีกับไม่ดีคือฟ้าลิขิตหรือไม่

อาจารย์   นี่ไม่ใช่ฟ้าลิขิตอะไร แต่เป็นกรรมตามสนอง   เกิดขึ้นจากกรรม  ระหว่างสามีภรรยา  มีเป็นจำนวนมากล้วนเป็นเพราะวาสนาแต่ชาติก่อนก่อเกิดเป็นสามีภรรยาในชาติถัดมา       มีจำนวนมากล้วนแต่เป็นเหตุนี้แต่ไม่ตายตัว

ศิษย์     บำเพ็ญต้าฝ่าสามารถบูชากวนอินได้หรือไม่

อาจารย์    ท่านไปอ่านหนังสือเถอะ  ปัญหานี้ไม่ตอบให้ท่านแล้ว มีผู้ฝึกหลายคนถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์คะ  ทำไมท่านไม่มาประเทศของเราละ  อาจารย์คะ ท่านทำไมไม่มาพื้นที่ของเราละ ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจะไม่ไป แต่ข้าพเจ้ารอให้พวกท่านมีการรับรู้ฝ่าในระดับที่แน่นอนหนึ่ง สุกงอมขึ้นมาข้าพเจ้าค่อยไป เช่นนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกท่าน (เสียงปรบมือ) หากข้าพเจ้าไปแล้ว ท่านถามข้าพเจ้าว่าอะไรคือฝ่าหลุนกง  ข้าพเจ้าก็ไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว  ใช่หรือไม่  ก็เหมือนปัญหานี้เมื่อสักครู่   เวลาของพวกเรานั้นกระชั้นมาก  ท่านไม่อ่านหนังสือ  ท่านคิดจะถามข้าพเจ้าที่นี่ว่าจะบูชากวนอินได้หรือไม่ ฝ่านี้ของข้าพเจ้าก็บรรยายให้ท่านโดยเปล่าประโยชน์แล้ว      คือเหตุผลนี้ใช่หรือไม่

ศิษย์     ท่านอาจารย์เคยพูดประโยคหนึ่งว่า“ข้าพเจ้าไม่อยู่ในฝ่านี้”จะเข้าใจได้อย่างไร

อาจารย์ นั่นมีอะไรเข้าใจไม่ได้ละข้าพเจ้าไม่สามารถจะอยู่นอกจักรวาลหรือ (เสียงปรบมือกึกก้อง)

ศิษย์   มีอยู่เช้าวันหนึ่งประมาณสามนาฬิกากว่าๆมองเห็นดาวบนท้องฟ้า  มุ่งมาที่ผมจากอวกาศข้างบนที่ไกลมาก  ห่างจากผมหลายสิบเมตร  แต่พอตื่นเต้นก็หายไปแล้ว

อาจารย์ จักรวาลนี้ในอีกมิติ มองดูวัตถุทั้งหลายล้วนไม่ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่คงอยู่ก็ไม่เหมือนอย่างพวกเรานี้องค์ประกอบสนามเวลาของมันกับเวลาของมิติของเราก็ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงดังนั้น หากใช้แนวคิดทั้งหมดของมิตินี้ท่านก็อธิบายไม่กระจ่าง ท่านมองเห็นได้ก็เป็นเรื่องที่ดี

ศิษย์     ผู้ฝึกบางคนทำสำเนาและพิมพ์“จ้วนฝ่าหลุน   เล่มสอง”เองเผยแพร่อยู่ในสนามฝึก

อาจารย์ “เล่มสอง”ต่อมาภายหลังเราไม่ได้ออกอีกเลย เพราะใน “เล่มสอง”ทิ่มแทงถูกจุดที่เจ็บปวดของพุทธศาสนาเข้า ดังนั้นเราจึงพยายามไม่ไปยุ่งกับมัน  ถึงอย่างไรก็ไม่ออกอีก  พูดว่าพวกเราเองทำขึ้นมาหนึ่งเล่มอ่านเองก็ใช้ได้  หากท่านพิมพ์หลายเล่มแล้วไปเที่ยวเผยแพร่ส่งให้คนนี่ใช้ไม่ได้

ศิษย์     เมื่อก่อนเวลาเล่นกู่เจิงจะจุดธูป           เดี๋ยวนี้ยังจะทำอย่างนี้ได้หรือไม่

อาจารย์  อย่างนั้นก็ทำเถอะ  นี่ก็ไม่ใช่การบำเพ็ญ  จุดธูปดอกหนึ่ง ดีดกู่เจิง  นั่นเป็นอารมณ์อันสุนทรีย์ของการเล่นพิณ หมากรุก เขียนอักษร วาดภาพของชาวจีนโบราณ เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน  แต่เมื่อระดับชั้นของการบำเพ็ญของท่านค่อยๆ ยกระดับขึ้น   ท่านจะรู้สึกว่าจิตใจแบบคนธรรมดาสามัญก็ค่อนข้างบางเบาบางเบาลงเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันอย่าฝืนทำเรื่องอะไร

ศิษย์     บางคนคิดว่าถกกันแต่น้อยศึกษาฝ่าให้มาก ก็คืออ่านออกเสียง“จ้วนฝ่าหลุน”อย่างต่อเนื่องผมคิดว่านี่เป็นความเข้าใจด้านเดียว

อาจารย์  ที่จริงก็ควรอ่านให้มาก  ศึกษาฝ่าให้มาก  ดังนั้นหากอ่านเหนื่อยแล้ว  ทุกท่านหยุดพักและพูดถึงสิ่งที่ตนเก็บเกี่ยวได้  นี่ไม่เป็นไร  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ท่านไม่อาจถกกันว่าฝ่าดีหรือไม่ดี  ฉะนั้นอย่าสิ้นเปลืองเวลาไปกับการพูดถึงตัวเองมากนัก ต้องอ่านฝ่า  อ่านหนังสือให้มาก  เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ละ  คนๆหนึ่งก็เหมือนกับภาชนะ  ใส่อะไรเข้าไปก็เป็นอะไร  ท่านบรรจุฝ่าเข้าไปก็กลืนกลายเข้ากับฝ่าแล้ว           ท่านใส่ดินเข้าไปนั่นก็เป็นดิน

ศิษย์ หลักพลังชุดที่ห้าใช้เวลานานมากจึงจะฝึกเสร็จจะยึดกุมเวลาอย่างไรดี

อาจารย์   ไม่มีข้อบังคับตายตัว  ทำไปตามกำลังของตน  ไม่มีข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรม หลักพลังทั้งห้าชุดนี้ถ้าฝึกเรียงกันลงมา  เวลาก็จะมากสักหน่อย  แต่หากท่านยังบรรลุไม่ถึงจุดนี้  ระหว่างกลางจะพักแล้วค่อยฝึกต่อก็ได้  แต่ตัวท่านต้องกำหนดตัวเองให้สูงไว้พยายามยืนหยัด

 

 

ศิษย์     เวลาในการบำเพ็ญกระชั้นมาก            จะจัดสัดส่วนของเวลาฝึกพลังและศึกษาฝ่าให้ดีได้อย่างไร

อาจารย์  ไม่มีสัดส่วนอะไร  เวลาของการศึกษาฝ่ากระชั้นมากนั้น ข้าพเจ้าเพียงบอกให้ท่านก้าวหน้า พูดถึงว่า ต่อไปจะเป็นอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่เคยบอกกับท่าน ให้สนใจศึกษาไป  บำเพ็ญไป  สัดส่วนของเวลาฝึกพลังกับศึกษาฝ่านั้น ก็คือท่านต้องศึกษาฝ่าให้มาก          ฝึกพลังเช้าเย็นก็พอแล้ว มีบางคนกลางดึกตื่นขึ้นมาฝึกสมาธิก็ใช้ได้

ศิษย์ อยู่บ้านฝึกพลังกับรวมกลุ่มฝึกพลังมีผลลัพธ์เหมือนกัน  เช่นนั้นพวกเรายังจะต้องขับรถไปกลับชั่วโมงครึ่ง ไปรวมกลุ่มฝึกพลังในแต่ละสัปดาห์หรือไม่

อาจารย์  ฝึกอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านนั้นเหมือนกัน  แต่ว่าฝึกอยู่ที่บ้านเทียบไม่ได้กับฝึกอยู่ข้างนอก ที่มีปัจจัยภาย นอกอันหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ท่านฝึกพลัง  ตัวอย่างเช่น ทุกคนต่างขัดสมาธิขา  ปวดมากเหลือเกิน  แต่พอเห็นว่าทุกท่านไม่ได้เอาขาลงมา ท่านก็จะละอายที่จะเอาขาลงมา  เช่นนั้นก็กระตุ้นให้ท่านยืดเวลาออกไป วาจาและอากัปกิริยาของแต่ละคนล้วนจะอยู่ในต้าฝ่า เหมือนกับศิษย์คนหนึ่ง  สภาพแวดล้อมของพวกเรานี้มีค่าอย่างยิ่ง  สภาพแวดล้อมใดๆในโลกนี้ ล้วนไม่เหมือนกับที่นี่ของพวกเราซึ่งบริสุทธิ์อย่างนั้น นี่คือสิ่งที่ไม่อาจได้รับ  เมื่ออยู่ในบ้าน อยู่ในบ้านบางครั้งค่อนข้างจะทำตามสบาย  ฝึกมากไปบ้างน้อยไปบ้าง  ก้าวหน้าบ้างไม่ก้าวหน้าบ้าง  อาจจะทำตามสบายหน่อย  หากท่านสามารถยึดกุมการบำเพ็ญของตนเองได้จริงๆ นั่นก็ไม่ต่างกัน  ก็เพราะว่าท่านยังมีจิตของคนธรรมดาสามัญ  ท่านอาจยึดกุมตนเองได้ไม่ดีอย่างนั้น  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเรียกให้ทุกท่านออกมาฝึกพลัง

นอกจากนี้  พวกเรามักจะพูดถึงการหงฝ่า หงฝ่า  บอกให้คนได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น พวกท่านเคยคิดหรือไม่ สนามฝึกพลังของคนจำนวนมากของพวกเราก็คือการหงฝ่าที่ดีที่สุด ทำไมท่านไม่ไปร่วมสนับสนุนสักหน่อยละ  ประสานกลมกลืน(หยวนหรง)กับมันสักหน่อยละ  แน่ละสำหรับพวกเราที่บ้านอยู่ไกล  มาที่นี่ไม่สะดวก  เช่นนั้นท่านก็ฝึกอยู่ที่บ้าน   ในอนาคตเมื่อคนมากก็สามารถตั้งศูนย์ฝึกใกล้บ้านได้    นั่นก็จะยิ่งสะดวก

คำถามทั้งหมดได้ตอบให้กับทุกท่านหมดแล้ว  มีคนจะให้ข้าพเจ้ารำมือชุดใหญ่(เสียงปรบมือ) ดูไปแล้วเสียงปรบมืออย่างกึกก้องนี้ล้วนอยากให้ข้าพเจ้ารำ ใช่ไหม เอาละ ข้าพเจ้าก็จะรำมือชุดใหญ่ให้กับทุกท่าน