การบรรยายฝ่าในที่ประชุมผู้ช่วยฝึกสอนเมืองฉางชุน

 

หลี่ หง จื้อ

26  กรกฎาคม ค.ศ. 1998

 

นานแล้วที่ไม่ได้พบทุกท่าน  พวกเราที่กำลังนั่งอยู่ มีหลายคนที่ไม่เคยพบตัวข้าพเจ้ามาก่อน มีสัดส่วนนี้ค่อนข้างมาก แต่การบำเพ็ญของทุกท่านล้วนแต่ดีมาก   สามารถพูดได้ว่าพวกเราผู้ที่บำเพ็ญอย่างแท้จริงล้วนไม่ได้ตกหล่นอยู่ข้างหลัง     ไม่ว่าท่านได้พบกับข้าพเจ้าก็ดีหรือไม่ได้พบกับข้าพเจ้าก็ดี   ล้วนเหมือนกัน  บนเส้นทางการบำเพ็ญนี้ เพียงแต่ท่านไปบำเพ็ญ    ผลลัพธ์จะไม่ต่างกัน (เสียงปรบมือ)

           พวกเราที่นั่งอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ช่วยฝึกสอน  ล้วนได้อุทิศคุณูปการมากมายให้ต้าฝ่า    พวกท่านรู้สึกว่าเรื่องที่พวกท่านทำ คล้ายกับเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดา  และไม่เหมือนกับการทำงานของผู้นำแบบคนธรรมดาสามัญที่ได้รับผลตอบแทน  พวกท่านล้วนแต่ทำโดยอาศัยความกระตือรือร้นของตนเองกับการรับรู้ต่อต้าฝ่า  ดูไปช่างธรรมดาๆ  ไม่มีเรื่องที่สะเทือนเลือนลั่น  แต่ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  สิ่งที่ปรากฏออกมาที่ฝั่งนี้ยิ่งปกติเท่าไร  บางทีส่วนที่พวกท่านมองไม่เห็น   ซึ่งที่ปรากฏออกมาในเขตแดนการบำเพ็ญของพวกท่านกลับสะเทือนเลือนลั่นอย่างแท้จริง (เสียงปรบมือ) และพูดได้ว่า  พวกท่านอย่าเห็นว่าการทำงานของพวกท่านนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาเหลือเกิน    ในเมื่อพวกท่านได้ทำงานนี้แล้ว ก็ควรทำมันให้ดี   เพราะชีวิตในระดับสูงมักพูดกับข้าพเจ้าว่า  พวกเขารู้สึกว่าพวกท่านสามารถอยู่ที่นี่อุทิศคุณูปการให้ต้าฝ่า เรื่องนี้เป็นการวางรากฐานที่ดีมากให้กับชีวิตของพวกท่านในอนาคต ในยุคประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่างยิ่งในภายภาคหน้า คือว่าพวกเขาก็กำลังอิจฉาพวกท่าน   พวกเขาก็ไม่มีโอกาสอย่างนี้ที่จะทำเรื่องแบบนี้    ถ้าจะมาที่โลกนี้กันหมด ก็จุได้ไม่หมด  ดังนั้นงานนี้จึงไม่ธรรมดาอย่างนั้น    ปัจจุบันในสังคมคนธรรมดาสามัญ จะไม่อาจปรากฏเรื่องที่โดดเด่นหรือเหนือคนธรรมาดาสามัญออกมามากมาย   จึงเป็นเพียงเรื่องพื้นๆธรรมดาๆอย่างนี้   ในระหว่างการบำเพ็ญเรามักจะไม่มีอะไรที่สะเทือนเลือนลั่น    ล้วนแต่เป็นการขัดเกลาซินซิ่งของเราในท่ามกลางความขัดแย้งนานาชนิดที่ปรากฏออกมาในหมู่คนธรรมดาสามัญ

      อันที่จริง   ในปีนั้นผู้ฝึกเก่าของเมืองฉางชุนเราล้วนทราบว่า   เมื่อเริ่มต้นถ่ายทอดฝ่า  ถ่ายทอดพลัง   การทำเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย   ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างโชกโชน   ต่อมาจึงนำฝ่านี้ถ่ายทอดออกมาได้  สามารถทำให้คนมากขึ้นได้รู้จัก  ดังนั้นในระยะแรกทำขึ้นมาจึงไม่ง่ายเลย แต่พวกเราก็เดินผ่านมาแล้ว  โดยเฉพาะฝ่านี้ ก้าวแรกเมื่อเริ่มถ่ายทอดนั้นก็อยู่ที่ฉางชุนของเรานี้   ในตอนนั้นไม่ได้บรรยายสูงและลึกล้ำอย่างในวันนี้   สิ่งที่บรรยายเป็นเพียงช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากเรื่องชี่กงจนถึงการถ่ายทอดฝ่าที่แท้จริง   ต่อมาจึงค่อยๆนำฝ่านี้เปิดเผยออกมาจริงๆ  ให้คนมากขึ้นได้รู้จัก  เรื่องนี้ทำอย่างเป็นระบบมาก แต่ก็ไม่เหมือนกับรูปแบบที่คนธรรมดาสามัญทำและจัดการให้เขาปรากฏออกมาอย่างไรในสังคมคนธรรมดาสามัญ   เราไม่ได้เดินตามวิธีการบริหารจัดการชนิดนั้นของสังคมคนธรรมดาสามัญหรือรูปแบบอื่นๆชนิดนั้น  ดูไปแล้วก็เป็นธรรมชาติมาก    แต่กลับทำจากตื้นไปหาลึก  เพราะการถ่ายทอดฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้เป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก

           พวกเราที่นั่งอยู่ มีหลายคนล้วนเป็นผู้ฝึกเก่า  ตั้งแต่ฝ่านี้ถ่ายทอดออกมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ทุกท่านคิดดู  พวกท่านได้ผ่านการบำเพ็ญมานานอย่างนี้แล้ว  มีการรับรู้อย่างลึกซึ้งต่อฝ่า     และมีคนมากมายกำลังบำเพ็ญกันอยู่   ในนั้นรวมถึงคนในระดับชั้นที่ต่างกันในสังคม   คนที่มีระดับการศึกษายิ่งสูงก็ยิ่งเข้าใจได้เร็ว   เรื่องนี้ในหมู่ชี่กงทั่วไปจะไม่มีปรากฏการณ์อย่างนี้     เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ   เพราะฝ่าของเราเป็นฝ่าที่ถูกต้องอย่างแท้จริง    พวกเราผ่านการบำเพ็ญเป็นเวลานานอย่างนี้ ทุกท่านก็ทราบแล้ว  ฝ่านี้  เขาไม่ใช่ทฤษฏีชนิดหนึ่งชนิดใดในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ท่านพลิกดูบรรดาความรู้ของมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งในและนอกประเทศก็หาไม่พบ   แต่เราก็ผนึกกับความคิดคนในปัจจุบัน  ผนึกกับทัศนคติของคนปัจจุบัน   พยายามอย่างที่สุดที่จะสามารถทำให้ทุกท่านเข้าใจ เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีทัศนคติหนึ่งที่ดื้อรั้น ซึ่งก่อเกิดขึ้นมาจากการอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน   และมีความเกี่ยวข้องกับการงานของเขาเองหรือวิชาชีพของตัวเขา  อาทิเช่น  บ้างก็ทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์  บ้างก็ทำงานด้านการทหาร  บ้างก็ทำเรื่องการเมือง  บ้างก็ทำการค้า  เป็นต้น แต่ละคนนั้น จากความสำเร็จของเขาเองก็ดี  จากการรับรู้ต่อโลกที่ก่อเกิดขึ้นจากตัวเขาเองก็ดี  จึงก่อเกิดเป็นทัศนคติหนึ่งที่ดื้อรั้น   ท่านคิดว่าสัจธรรมควรเป็นเช่นนี้   เช่นนั้นเขาก็คิดว่าสัจธรรมก็ควรเป็นเช่นนั้น  แต่ละคนล้วนมีทัศนคติที่ดื้อรั้นอันหนึ่ง

            พวกเราหลายคน  เมื่อเพิ่งจะได้ฝ่า ล้วนถูกทัศนคติที่ดื้อรั้นนี้ขัดขวางไว้  ดังนั้นจึงล้วนแต่มีขั้นตอนหนึ่งในการรับรู้  แน่ละ ผู้ที่ศึกษาในช่วงหลังนั้นค่อนข้างเร็ว  การรับรู้นั้นดูเหมือนไม่มีอุปสรรคอะไร    ที่ผ่านมาในช่วงแรก เรื่อยมาจนถึงหนึ่งถึงสองปีก่อนกระมัง  เมื่อตอนที่พวกท่านได้ฝ่า  หลายคนล้วนแต่ถูกทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิดของตนเองขัดขวางไว้ บางคนใช้วิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันมาประเมินฝ่านี้ว่าเป็นอย่างไร  บางคนก็ใช้วัตถุนิยมมาประเมินฝ่านี้ว่าสอดคล้องกับวัตถุนิยมหรือไม่  เช่นนั้นบางคนจึงใช้ทัศนคติทางโลกทัศน์ที่ก่อเกิดขึ้นในวงการค้าของเขามาประเมินฝ่า  ก็คือคนในระดับชั้นที่ต่างกันล้วนแต่มีอุปสรรคอย่างหนึ่ง เพื่อทำลายอุปสรรคนี้ ข้าพเจ้าจึงบรรยายฝ่านี้โดยพยายามสอดคล้องกับทัศนคติความคิดของคนในปัจจุบันกับวิธีคิดของคนในปัจจุบัน      ขณะเดียวกันในขณะที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าอยู่ก็กำลังทำลายองค์ประกอบทั้งปวงที่เป็นอุปสรรคต่อการได้ฝ่าของท่าน    ทุกท่านทราบ  มีคนจำนวนมาก พออ่านหนังสือของข้าพเจ้า  ในรอบที่หนึ่ง รู้สึกว่าข้าพเจ้ากำลังพูดเรื่องวิทยาศาสตร์  ที่จริงไม่ใช่ เรานั้นใช้วิธีคิดของคนปัจจุบันในการทำลายทัศนคตินั้นของท่าน ให้ท่านไปรับรู้    และข้าพเจ้าได้ทำเรื่องอย่างนี้ไว้มากมายแล้ว   เพราะมองเห็นสภาพการณ์ของมนุษย์ทุกวันนี้จึงได้จัดวางอย่างนี้    ก็เพื่อในระหว่างการถ่ายทอดฝ่า จะสามารถทำให้ท่านได้ประโยชน์และได้ฝ่า   ไม่ได้รับผลกระทบจากทัศนคตินานาชนิด จึงได้ทำเช่นนี้   ดังนั้น ในระหว่างหลายปีนี้ของการถ่ายทอดฝ่า จึงจะสามารถทำให้คนมากยิ่งขึ้นได้ฝ่า

            ผู้ช่วยฝึกสอน และผู้ฝึกเก่าที่นั่งอยู่   พวกท่านได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่หลายอย่างที่พวกท่านยังรับรู้ไม่ได้  เป็นงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ   แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญก็เป็นอย่างธรรมดามาก   เมื่อฝ่านี้ถ่ายทอดออกมา เขาสามารถทำให้คนมากยิ่งขึ้น  ทำให้คนในระดับชั้นต่างๆในสังคมรู้จัก  ถ้าไม่มีคนศึกษา  ไม่มีคนบำเพ็ญ  นั่นก็เท่ากับศูนย์ แต่ฝ่านี้ของเราได้พูดสัจธรรมของจักรวาลออกมา  เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครเคยพูดมาก่อนอย่างเป็นประวัติการณ์ พวกเราล้วนแต่ใช้วิธีพูดถึงเหตุผล   ใช้ทัศนคติชนิดนี้ที่คนสามารถเข้าใจได้ทำลายอุปสรรคของท่าน  ใช้วิธีอย่างนี้มาบรรยาย ให้ท่านรับรู้หลักการของจักรวาลอย่างแท้จริง  ดังนั้นในเวลานั้นที่ถ่ายทอดฝ่านี้ออกมา ข้าพเจ้าจึงทราบว่า  ผู้คนจะศึกษาได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว  แต่ผู้คนจะสามารถบำเพ็ญจริงต่อไปได้อย่างแท้จริงหรือไม่  ยังคงเกี่ยวข้องกับปัญหาหนึ่ง  ก็คือเราสามารถจะมีสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญจริงได้อย่างแท้จริงหรือไม่  ทำให้ผู้ฝึกที่ได้ฝ่า สามารถยกระดับได้อย่างมั่นคงในการบำเพ็ญ  นี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

            เมื่อวานนี้  ข้าพเจ้ายังพูดกับผู้รับผิดชอบ ของศูนย์ช่วยฝึกสอนของเมืองฉางชุนว่า  เรื่องที่ใหญ่ที่สุดของพวกท่านก็คือ สามารถจะสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งของการบำเพ็ญที่มั่นคง ไม่ถูกรบกวน นี่คือความรับผิดชอบที่ใหญ่ที่สุดของพวกท่าน   พวกท่านที่นั่งอยู่ก็เช่นเดียวกัน   ต้องทำให้ศูนย์ฝึก และสนามฝึกของพวกท่านไม่ถูกรบกวน นำพาทุกคนไปบำเพ็ญ นั่นคือความรับผิดชอบที่ใหญ่ที่สุดของพวกท่าน แน่ละเรื่องเหล่านี้  เมื่อเริ่มต้นข้าพเจ้าเป็นคนทำ  ขณะนี้คือพวกท่านทำ  เพราะพวกท่านเป็นหน่วยหนึ่งของต้าฝ่า  ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่อาจไปทำอย่างนี้ให้กับคนมากมายอย่างนี้   ทั่วประเทศมีสองพันกว่าอำเภอ  แต่ละอำเภอ  แต่ละเมืองมีสนามฝึกพลังเท่าไร เป็นไปไม่ได้ที่ข้าพเจ้ากายเนื้อนี้คนเดียวจะวิ่งไปทำได้ เพราะฝ่าได้ถ่ายทอดออกมาแล้ว  พวกเรามีฝ่า  ทุกท่านล้วนรู้ว่าจะไปทำอย่างไร  และทำได้ดีมาก  พวกเราไม่มีกรอบใดๆ

      ทุกท่านทราบเวลาที่องค์ศากยมุนีถ่ายทอดฝ่าอยู่นั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหล่าศิษย์เกิดปัญหาในระหว่างการบำเพ็ญ จึงกำหนดข้อห้าม(ศีล)ไว้ร้อยกว่าข้อ   จุดประสงค์คือให้พวกเขาไปบำเพ็ญตามข้อห้าม(ศีล)เหล่านี้  ไม่เกิดปัญหา  สามารถรับประกันให้พวกเขาสำเร็จสมบูรณ์   แต่วันนี้พวกเราไม่มีข้อบังคับหรือกติกาอะไร  ทำไมไม่มีละ  เพราะข้าพเจ้าไม่คิดจะอาศัยรูปแบบภายนอกใดๆมาควบคุมคน เพราะรูปแบบภายนอก  คำสั่งใดๆหรือเลือกใช้วิธีการอะไรล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงใจคนได้  ใจคนต้องอาศัยตัวเองไปเปลี่ยนแปลง   ถ้าตัวเขาเองไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง ใครก็เปลี่ยนให้ไม่ได้   กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับใดๆล้วนแก้ได้เพียงเปลือกนอก  ไม่อาจแก้ต้นเหตุได้ เพราะใจของคนไม่ขยับก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เวลาที่ท่านไม่เห็นเขายังคงทำไปตามทัศนคติของตัวเขาเอง นี่เป็นเรื่องแน่นอน ดังนั้นมีแต่การเปลี่ยนแปลงของใจคน  การหวนคืนกลับของ  ใจคน นั่นจึงจะสำคัญที่สุด มีแต่เป็นเช่นนี้จึงจะทำให้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากพื้นฐานที่สุด  ทำให้มนุษย์หวนคืนกลับ  ทำให้ผู้บำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์    นอกจากนี้แล้ว  ก็ไม่มีวิธีการใดๆอีก

            เราทั้งหลายได้ทำงานมากมายอย่างยากลำบากเพื่อเรื่องนี้  ข้าพเจ้าก็ไม่อาจไปขอบคุณทุกท่านเหมือนกับคนธรรมดาสามัญอย่างนั้น   เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  ทุกท่านล้วนนำการงานของตนเอง ผนึกเข้ากับการยกระดับของตนเอง  การทำงานของท่านกับการบำเพ็ญของท่าน ไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ความยุ่งยากที่ท่านประสบในการทำงาน  ความเห็นที่ต่างกัน กับความขัดแย้งที่รุนแรง   ล้วนแต่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการยกระดับซินซิ่งของท่าน  หากไม่สร้างสรรค์โอกาสอย่างนี้ให้ท่าน   ผู้ช่วยฝึกสอนของเราก็ยกระดับขึ้นไม่ได้   ทุกท่านล้วนแต่คล้อยตามท่าน   บอกว่าจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น   ข้าพเจ้าคิดว่าท่านก็นำพาคนสู่ทางนอกรีต ซึ่งอาจจะยังไม่รู้  เป็นอย่างนี้ใช่ไหม  แน่ละพวกเราล้วนจะไม่ไปทำเช่นนี้ แต่ว่า  จะได้รับการยกระดับขึ้นในระหว่างการบำเพ็ญ  และในการทำงานของท่าน   หรือก็คือการทำงานของท่านกับการบำเพ็ญของท่าน ต้องเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน     ข้าพเจ้าก็จะไม่พูดอะไร   เพราะพวกท่านต่างเป็นศิษย์ของข้าพเจ้า  ไม่มีอาจารย์ ที่พูดแสดงความขอบคุณ ซาบซึ้งใจต่อลูกศิษย์  ดังนั้นข้าพเจ้าก็จะไม่พูด(เสียงปรบมือ)

            เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นทุกท่าน ก็รู้สึกดีใจมาก  ข้าพเจ้าทยอยติดต่อกับผู้ฝึกส่วนหนึ่ง  ข้าพเจ้าได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายของทุกท่าน   แม้แต่คนที่ฝึกมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็เปลี่ยนแปลงมาก   บางคนเปลี่ยนแปลงมากทีเดียว    ชั่วแวบเดียวนี้  ก็คือหนึ่งปีกว่ากระมัง  หลังจากที่บรรยายฝ่าในเมืองฉางชุนครั้งก่อน   ได้พบหน้ากับทุกท่านจำนวนมากมายเช่นนี้ ดูเหมือนหลายปีนี้ก็ไม่เคยมี   ครั้งนี้ได้กลับมาบ้านเกิด  ก็อยากจะพบหน้าทุกท่านสักครั้ง เมื่อก่อนเรากังวลกับปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด   หากพอข้าพเจ้าปรากฏตัวอยู่ที่ไหน  เช่นนั้นก็จะมีผู้ฝึกมากมายมุ่งมาที่ตรงนี้    ดังนั้นก็จะก่อให้เกิดแรงกดดันหลายๆด้านให้กับสังคมนี้   โดยเฉพาะคนที่ศึกษาต้าฝ่าของเรานี้ มีมากมายเหลือเกินแล้ว  นับรวมกันทั้งในและนอกประเทศมีถึงร้อยล้านคน   และล้วนแต่ศึกษาอย่างจริงจังทันทีที่ได้สัมผัส   ไม่เหมือนกับอย่างอื่นที่ฝึกของอะไรนิดๆหน่อยๆ  วันนี้ฝึก  พรุ่งนี้ก็ไม่ฝึกแล้ว

            แต่ของพวกเรานี้ไม่เหมือนกัน   เมื่อทุกท่านเดินเข้ามา   เราก็รับผิดชอบต่อทุกท่าน  ทำให้ทุกท่านบำเพ็ญ  ยกระดับ  หวนคืนกลับ  สำเร็จสมบูรณ์  ทุกท่านก็สามารถมองเห็นจุดนี้    และเรานั้นรับผิดชอบต่อสังคม  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ที่พวกเราแสดงออกมานั้นล้วนแต่ถูกต้องเที่ยงธรรม ต่อสังคมก็ดี   ต่อคนก็ดี  จนกระทั่งต่อครอบครัวของท่านหรือสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ต่างกันของท่าน ก็ล้วนมีประโยชน์     จุดนี้ไม่ต้องให้ข้าพเจ้าพูดมาก   ทุกท่านก็ทราบกัน   ดังนั้นจึงสามารถทำให้ฝ่านี้มีผลกระทบใหญ่อย่างนี้ในสังคม   จึงสามารถเกิดประโยชน์มากอย่างนี้  จึงมีคนมาศึกษากันมากมายอย่างนั้น พอข้าพเจ้าปรากฏออกมาในสถานที่ใด  คนมากมายล้วนแต่จะมากัน  แรงกดดันด้านต่างๆจึงใหญ่มาก   ผู้ฝึกบางคนจึงถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์ ท่านสามารถไปที่เมืองของเราได้ไหม  ข้าพเจ้าจึงไม่อาจตอบเขาได้  ถ้าข้าพเจ้าตอบรับเขาแล้ว  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็ต้องไป   ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อาจพูด  พอข้าพเจ้าตอบรับแล้ว  เอาละ  ในทันใดเหล่าผู้ฝึกที่นี่ก็จะไปพูด  เช่นนั้นไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะไป   ก็มีคนไปที่เมืองนั้นมากมายแล้ว  มักจะเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อจำนวนคนมากขึ้น   ในสังคมมีหน่วยงานรัฐหลายแห่งยังไม่รู้จักเราหรือยังไม่เข้าใจเรา  ก็จะทำให้เราสูญเสียได้บ้าง   ทำให้สภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญของผู้ฝึกประสบกับการถูกทำลาย   ดังนั้นเรื่องอย่างนี้ข้าพเจ้าจึงไม่อยากทำ

            แต่วันนี้ข้าพเจ้าคิดว่า ด้วยสาเหตุสองประการนี้คือ  หนึ่งปีกว่าที่ไม่ได้พบกันแล้ว   และยังเป็นบ้านเกิด  ก็ถือเป็นกรณีพิเศษอันหนึ่งกระมัง   และผู้ที่เราพบปะคือผู้ช่วยฝึกสอน  พูดได้แต่เพียงว่าเป็นการพบปะผู้ช่วยฝึกสอน   เพราะจะพบกับผู้ฝึก ก็ไม่มีสถานที่ ที่ใหญ่อย่างนั้น  ฉางชุนยังไม่มีสถานที่อย่างนั้นสำหรับคนหลายหมื่นคน  จึงได้แต่เป็นเช่นนี้  ยังมีอีกข้อหนึ่ง  เพราะโดยพื้นฐานข้าพเจ้าพำนักอยู่ต่างประเทศ  ดังนั้นในจุดนี้คงจะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากได้  ก็ด้วยสาเหตุสองประการนี้   แต่ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่ไหน   สภาพการณ์บำเพ็ญของท่าน ข้าพเจ้าล้วนทราบ  แต่ละคนข้าพเจ้าล้วนทราบ   เพียงท่านไปศึกษา  ท่านไปบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็จะดูแลท่าน

            พวกท่านซื้อหนังสือฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ ก็ไม่มีปัญหา จุดนี้ยืนยันได้   หนังสือนั้น คือตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาว  ตัวมันเองไม่บังเกิดผล รวมทั้ง “จ้วนฝ่าหลุน”ของเราก็ดี  รวมทั้งหนังสืออื่นๆของเรา   ที่เขาบังเกิดผลได้อย่างแท้จริงคือ  ความนัยที่อยู่ข้างหลังเขา  กับมูลเหตุที่เป็นแก่นแท้อย่างแท้จริงที่อยู่ข้างหลังของเขา  อันนี้ในหนังสืออื่นนั้นไม่มี ยังมีอีก  ไม่ว่าจะเป็นฉบับคัดด้วยลายมือก็ดี  หรือว่าฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ก็ดี   เพียงท่านไปศึกษา ไปบำเพ็ญ  ความนัยของเขาก็จะมีได้โดยปริยาย  พุทธธรรมไร้ฝากฝั่ง=ฟากฝั่งใช่ไหม  พลานุภาพของเขาที่ปรากฏออกมานั้นใหญ่มาก   และก็ไม่เหมือนกับแนวคิดด้านเวลา หรือมิติ ของคนธรรมดาสามัญเรา  ล้วนไม่เหมือนกันทั้งหมด   แต่หนังสือละเมิดลิขสิทธิ์ที่จัดเรียงพิมพ์ใหม่เหมือนกันอย่าซื้อ   และเมื่อพบเห็นแล้วต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สืบสวนเรื่องราว  ถ้าจัดพิมพ์โดยถ่ายสำเนาจากหนังสือฉบับเดิมก็ใช้ได้   เช่นนี้เนื้อหาจะไม่ผิดเพี้ยน

            วันนี้ที่สำคัญคือ ข้าพเจ้าอยากจะพบกับทุกท่านสักครั้ง  คนจำนวนมากก็อยากจะพบข้าพเจ้า  ดังนั้นวันนี้ข้าพเจ้าก็จะนั่งให้สูงสักหน่อย (เสียงปรบมือ)  ในเมื่อได้มาแล้ว  ข้าพเจ้าขอถือโอกาสพูดบางปัญหากับทุกท่าน    พวกเราได้พบกันสักครั้งก็ไม่ง่าย  หากพวกเราที่นั่งอยู่หากต้องการจะถามปัญหา  ท่านสามารถเขียนคำถามขึ้นมา  ข้าพเจ้าจะตอบให้กับทุกท่าน แต่ให้สั้นๆ ได้ใจความ  ท่านไม่ต้องพูดว่า   อาจารย์ฉันคิดถึงท่านอย่างไรเอย หรือฝ่าดียังอย่างไรเอย  จากนั้นค่อยถาม  ไม่เอาสิ่งเหล่านี้  ท่านก็ถามคำถามอะไร อะไร  เข้าเรื่องได้เลย    ทำอย่างนี้ เมื่อข้าพเจ้าอ่านก็จะเร็ว  ไม่เสียเวลาในการตอบปัญหา

            ข้าพเจ้าขอพูดถึงสองเรื่องก่อน   มีบางเรื่อง ข้าพเจ้าเคยพูดในที่ต่างๆกัน  แต่บางครั้งอยู่ในสถานที่เฉพาะแห่ง หรือในสภาพแวดล้อมที่เฉพาะ ปรากฏออกมาค่อนข้างโดดเด่น  ดังนั้นก็เท่ากับเป็นการพูดซ้อน   แต่ข้าพเจ้าสามารถพูดกับทุกท่านอย่างละเอียดยิ่งขึ้น

            เรื่องแรกก็คือ  ทำไมไวยากรณ์ต้าฝ่าของเราไม่ตรงตามหลักไวยากรณ์   เรื่องนี้ในหมู่นักวิชาการ ในระดับชั้นของผู้ที่มีการศึกษาค่อนข้างสูง   โดยเฉพาะคือนักอักษรศาสตร์  หรือผู้ที่ศึกษาภาษาจีน เป็นต้น   ก็คือผู้ที่อยู่ในด้านนี้  เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อพวกเขา   ทำไมเราไม่อาจใช้ภาษาของคนธรรมดาสามัญมาบรรยายฝ่าตามหลักไวยากรณ์ละ  ทุกท่านทราบ คำศัพท์ที่ถูกจัดเป็นมาตรฐานนั้น ความหมายได้ถูกกำหนดไว้แล้ว “ศัพท์คำนี้ก็คือความหมายนี้”  ยังมีอีก  ภาษาตามหลักไวยากรณ์นั้นมีความจำกัด  ไม่สามารถบรรยายฝ่าที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นออกมาได้  จักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้  โลกของมนุษย์เป็นเพียงธุลีหนึ่งในกลุ่มผงธุลีของผงธุลี ก็ยังนับไม่ได้  ก็เล็กถึงอย่างนั้น   มันจะสามารถบรรจุฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ได้อย่างไร  ฝ่าของจักรวาลจะถูกภาษาของมนุษย์จำกัดได้อย่างไร จะไปสอดคล้องกับระเบียบแบบแผนตามภาษาของมนุษย์ได้อย่างไร  เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

            ฝ่าของเรานี้เพียงแต่อาศัยใช้ภาษาของคน   พูดถึงว่าจะใช้ภาษานี้มาบรรยายอย่างไร  นั่นเพียงแต่ให้ท่านเข้าใจก็ใช้ได้  ก็คือจุดประสงค์นี้  ดังนั้นภาษานี้จึงไม่เป็นตามหลักไวยากรณ์  เพื่อการถ่ายทอดฝ่าในวันนี้  ในสมองของข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดที่ก่อเกิดจากทัศนคติที่ดื้อรั้นใดๆ

            จะพูดอีกเรื่องหนึ่ง  ก็คือในต้าฝ่าเราเหตุใดจึงมีคำศัพท์ของสายเต๋าอยู่   มีนักการศาสนาบางคนโจมตีเราว่า  เขาพูดถึงสายพุทธ และยังพูดถึงสายเต๋าปะปนกัน และยังพูดถึงวิทยาศาสตร์  ที่จริงพวกเขาจะทราบได้อย่างไรละ ไม่ว่าท่านจะเป็นวิทยาศาสตร์ก็ดี  สายเต๋าก็ดี  สายพุทธก็ดี  ก็ล้วนเป็นสิ่งเล็กน้อยของสิ่งเล็กๆแค่นั้นของระดับชั้นที่ต่ำที่สุดในต้าฝ่านี้     แน่ละข้าพเจ้าบรรยายฝ่าให้กับคนปัจจุบัน  จึงต้องเชื่อมโยงเข้ากับทัศนคติของคนปัจจุบันในการบรรยาย   ถ้าข้าพเจ้าใช้คำศัพท์ภาษาบนสวรรค์มาบรรยาย ท่านก็ฟังไม่เข้าใจ หรือเราสร้างคำศัพท์ยุคใหม่ออกมามากมาย ท่านก็ยังคงฟังไม่เข้าใจ  ดังนั้นจึงต้องไปบรรยายอย่างนี้

            เช่นนั้นเหตุใดจึงมีคำศัพท์ของสายเต๋าละ  ที่จริงข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องนี้ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันแล้ว   ต้าฝ่าของเรานี้ ห่างไกลลิบลับจากขอบเขตของสายพุทธเรา   ข้าพเจ้าอาศัยสายพุทธเป็นจุดฐาน ในการบรรยายฝ่าของจักรวาล   ต้าฝ่านี้ไม่ว่าเขาจะใหญ่เพียงไร  แต่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในนั้น    แต่พวกท่าน ชีวิตใดๆล้วนอยู่ในนั้น เช่นนั้นจึงพูดได้ว่า  ชีวิตใดๆก็ล้วนสร้างสรรค์ขึ้นโดยฝ่าทั้งสิ้น  สภาพแวดล้อมกับรูปแบบที่ท่านดำรงอยู่ล้วนแต่สร้างสรรค์โดยฝ่า   ดังนั้นภายใต้ขอบข่ายของต้าฝ่านี้  และก็คือในทั่วทั้งจักรวาล  เขาก็ไม่ใช่เป็นเพียงสายพุทธสายเดียวอย่างแน่นอน   แน่นอน เขามีพุทธะ  มีเต๋า   ยังมีอย่างอื่น เทพต่างๆนานา ที่พวกท่านยังไม่อาจรับรู้ได้ เทพต่างชนิดกัน

            จักรวาลที่ใหญ่อย่างนี้  ข้าพเจ้ากำลังบรรยายฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้   แน่นอนในนั้นจึงมีของ ของสายเต๋าอยู่  มีของ ของเทพอยู่   ที่จริงพวกท่านยังดูไม่ออก  ในนี้ยังมีของ ของศาสนาตะวันตก   เพราะในวันนี้ผู้ที่ข้าพเจ้าพบปะ ไม่ใช่เพียงแค่ชาวจีน  ไม่ใช่เพียงชนชาติเดียว  หากเป็นหลายๆชนชาติ  และยังต้องทำให้สสารกับชีวิตทั้งปวงที่เบี่ยงเบนไป บรรลุถึงมาตรฐานในช่วงที่ดั้งเดิมที่สุด  แรกเริ่มที่สุด  ดีที่สุด   ดังนั้นจึงทำเช่นนี้   ฉะนั้นจึงพูดได้อีกว่าแม้ว่าข้าพเจ้าจะบอกว่ากำลังบรรยายพุทธธรรม(ฝอฝ่า)  เช่นนั้นโดยแท้จริงแล้ว คือข้าพเจ้ายืนอยู่บนจุดฐานของพระพุทธ ในการบรรยายฝ่าของจักรวาล    ที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญสำเร็จคือรูปลักษณ์ของพระพุทธ   ดังนั้นข้าพเจ้าบรรยายฝอฝ่าก็ไม่ผิด

            ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อพวกท่าน   ข้าพเจ้าไม่อาจรับพวกท่านทั้งหมดไปที่โลกฝ่าหลุนของสายพุทธได้  หรือโลกอื่นของพระพุทธ  เนื่องจากพวกท่านล้วนคิดถึงปัญหาหนึ่งอยู่  ว่าอาจารย์ ฉันอยากจะไปโลกของท่าน   ที่พวกท่านคิดนั้นไม่ผิด  แต่ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ข้าพเจ้าดูเพียงใจของพวกท่าน  หากใช้ทัศนคติของคนธรรมดาสามัญ คิดเรื่องของเทพ  รับรู้เทพด้วยความคิดของคนธรรมดาสามัญ  นั่นก็จะคิดได้ไม่กระจ่างตลอดไป หากวันนี้ท่านมีความคิดของเทพ  ทัศนคติทั้งหมดล้วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง    หากในอดีตท่านมีโลกของตนเอง  หากท่านมารับฝ่าจากระดับชั้นที่ต่างกัน   หากท่านเป็นเต๋า  หากท่านเป็นเทพ  เช่นนั้นก็ต้องกลับไปยังสถานที่เดิมของท่าน  ข้าพเจ้าบอกพวกท่านเสมอว่า ท่านต่างก็ไม่รู้ว่าในอดีตพวกท่านเป็นอะไร  เรื่องราวเป็นอย่างไร ท่านเพียงสนใจไปบำเพ็ญ  เพียงสนใจกลืนกลายเข้ากับต้าฝ่านี้   และพูดได้ว่า ไม่ว่าท่านเป็นพระพุทธ  เป็นเต๋า  เป็นเทพ ท่านต้องกลืนกลายเข้ากับต้าฝ่าของจักรวาลนี้ จึงจะสามารถทำให้ท่านกลับไปได้   เรื่องในอนาคตนั้น รับรองได้ว่าจะทำให้ท่านพอใจอย่างแน่นอน  ไม่เพียงทำให้ท่านพอใจอย่างแน่นอน   ที่ท่านจะได้รับล้วนแต่คิดไม่ถึง   ข้าพเจ้าให้สิ่งที่ดีกว่าและสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งกว่าของเดิม(เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าจึงพูดว่า  ทำไมเราจึงมีศัพท์แสงของศาสนาอื่น  ก็คือความหมายนี้

            พูดถึงศาสนา  ข้าพเจ้าคิดว่านั่นคือการรับรู้ของคน  เป็นชื่อเรียกที่คนตั้งขึ้น   แนวคิดของศาสนาก็คลุมเครือมาก มันไม่มีนิยามอย่างหนึ่งที่แน่นอน    ในเวลาที่องค์ศากยมุนีถ่ายทอดฝ่า ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์คือศาสนา  พระเยซูก็ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์คือศาสนาคริสต์  พระแม่มารีก็ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์คือศาสนาโรมันคาทอลิก   ที่จริงพวกเขามีวิธีเรียกของตนเอง  เขามีวิธีเรียกของตนเองต่อเหล่าศิษย์   แต่ไม่ใช่แนวคิดนั้นตามที่คนพูดกันอย่างแน่นอน เทพนั้น ไม่ยอมรับศาสนา  ดังนั้นในศาสนาทุกวันนี้จึงมีคนมากมายในนั้นที่บำเพ็ญออกมาไม่ได้   ที่จริงเขาไม่แน่ว่าจะคิดที่จะบำเพ็ญอย่างจริงจัง  เพียงแต่มีใจหนึ่งอย่างนั้นที่รู้สึกว่าดี  ที่เขาปกป้องกันนั้นคือศาสนาโดยตัวมันเอง ไม่ใช่พระพุทธ  พระพุทธดูแต่ใจคน ดูแต่ใจคน  ท่านอยู่ในศาสนา ตัวเองไม่สามารถบำเพ็ญอย่างแท้จริง  เช่นนั้นอะไรก็ไม่ใช่  พูดได้แต่เพียงว่าท่านถวายตัวกับศาสนาแล้ว หรือออกบวชแล้ว  แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธ  พระพุทธดูแต่ใจคน  การออกบวชเป็นรูปแบบ  แสดงออกซึ่งใจหนึ่งที่มีต่อพระพุทธ   มีแต่การเปลี่ยนแปลงธาตุแท้จึงเป็นการถวายตัวกับพระพุทธอย่างแท้จริง  ใจท่านไม่ได้บวช  ใจท่านไม่ถวายตัว ไม่เกิดประโยชน์อะไร   แน่ละท่านพูดว่า  ใจฉันศรัทธามากนะ  ที่ท่านศรัทธาคือต่อศาสนาและรูปแบบที่ท่านแสดงออกอย่างหมายมั่นแบบนั้น   ไม่ใช่การบำเพ็ญ  นั่นเท่ากับไม่มีอะไรต่างกัน

            เรื่องนี้ที่สำคัญก็คือ จะบอกว่า ฝ่านี้ใหญ่เหลือเกิน  ครอบคลุมวิธีการบำเพ็ญทั้งหมดที่มีอยู่ของจักรวาล  และชีวิตทั้งหมด  ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าคำศัพท์ของสายเต๋ายังนับว่าน้อยนะ   เนื่องจากบนโลกไม่มีศาสนาที่ถูกต้องสักเท่าไรที่สืบทอดลงมา  ดังนั้นจึงพูดได้แต่เพียงไม่กี่ชนิด  ที่จริงวิธีการบำเพ็ญในจักรวาลนั้นมากมายยิ่งแล้ว แต่ในสังคมมนุษย์มีเพียงไม่กี่ชนิด

            เนื่องจากข้าพเจ้าเพียงอยากจะพบหน้าทุกท่าน  ไม่ได้คิดจะพูดมากไปกว่านี้   พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ  ท่านจะได้พบกับข้าพเจ้าก็ดี ไม่ได้พบกับข้าพเจ้าก็ดี  ก็สามารถบำเพ็ญเช่นกัน  นี้ไม่มีปัญหา แต่ทุกท่านมักอยากจะพบกับข้าพเจ้า  ดังนั้นจึงถือโอกาสนี้ พบกับทุกท่าน  เนื่องจากไม่ได้เตรียมที่จะพูดคุยกับทุกท่านมากนัก  ข้าพเจ้าอยากจะพบสักครั้งก็ไม่ง่าย  เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าบอกทุกท่านว่าสามารถตั้งคำถามได้    ฉะนั้นพวกท่านก็สามารถส่งใบคำถามขึ้นมา  คำถามที่มีความจำเป็นต้องตอบ ข้าพเจ้าก็จะตอบให้พวกท่าน

ศิษย์           “ขุดราก” กับ “คงอยู่เพื่อใคร” จิงเหวินสองบทนี้ ในสนามฝึกของเรามีความเข้าใจสองแบบ  หนึ่งคือ ไปทำเพื่อปกป้องต้าฝ่านั้นถูกต้อง  อีกหนึ่งคือเพื่อการบำเพ็ญ   หลังจากบำเพ็ญขึ้นไปได้แล้ว นี้คือการปกป้องฝ่าที่ดีที่สุด

อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  หลังจากที่ข้าพเจ้าเขียนสองบทนี้ออกมา  บางคนสามารถอ่านโดยใช้ใจของผู้บำเพ็ญ  บางคนก็อ่านโดยใช้ใจของคนธรรมดาสามัญ   บางคนทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับ  ได้อ่านสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนแล้ว เขายังไม่คิดจะยอมรับ  เขายังใช้ใจคนธรรมดาสามัญไปแก้ต่างเพื่อตนเอง พวกเรายังมีบางคน ในสถานการณ์ที่คนสองคนโต้แย้งกัน  ก็ค้นหาคำพูดของข้าพเจ้ามาโต้แย้งซึ่งกันและกัน   พวกท่านล้วนกำลังใช้ใจแบบคนธรรมดาสามัญจับใจความบางตอนจากต้าฝ่า   พวกท่านต่างไม่ยืนอยู่ในมุมของฝ่าไปรับรู้    หากพวกท่านเปลี่ยนไปอยู่อีกมุมหนึ่ง พวกท่านก็จะไม่เป็นอย่างนี้   เมื่อประสบกับความขัดแย้งใดๆ ย่อมเกี่ยวข้องกับตัวเองทั้งสิ้น   บท “ขุดราก” นั้น  เพราะในเป่ยจิงมีเรื่องอย่างนั้น   พวกเราหลายๆคนคงจะทราบกัน  ข้าพเจ้าไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ ว่าเป็นอย่างไร

ศิษย์     องค์ศากยมุนีมาจากจักรวาลชั้นที่หก  ทำไมมองไม่เห็นขอบของจักรวาลน้อย

อาจารย์      ไม่ใช่ว่าพวกท่านจะไปรับรู้ได้ด้วยแนวคิดและตรรกะของคนธรรมดาสามัญได้  ที่จริงองค์ศากยมุนีไม่ได้มาจากจักรวาลแค่ชั้นที่หก   หากมาจากเขตแดนที่สูงมาก  เป็นไปไม่ได้ ที่พระองค์จะนำสิ่งที่สูงมากอย่างนั้นมายังโลก และคนในเวลานั้น เพียงสามารถรับหลักการของฝ่าที่จำกัดได้เท่านั้น  ดังนั้นองค์ศากยมุนีจึงถ่ายทอดฝ่าของอรหันต์   ที่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันก็เป็นเพียงสิ่งเหล่านี้ แต่ในเวลานั้นพระองค์ก็ได้บรรยายหลักการของฝ่าที่สูงยิ่งกว่าไว้มากมาย   แต่ล้วนไม่ได้ตกทอดลงมา   สี่สิบกว่าปีที่ทรงบรรยายธรรม ก็ได้พูดถึงหลักธรรมใน “สี่ธาตุใหญ่”  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของพวกท่านเลย  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ไม่ว่าใครจะมาจากไหน  พวกเราที่นั่งอยู่ก็มีที่มาจากระดับชั้นสูงมาก  แต่ท่านกลับมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น  แม้แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากมนุษยชาติท่านก็มองไม่เห็นทั้งนั้น คนที่กำลังบำเพ็ญหรือในระหว่างการถ่ายทอดฝ่า เพื่อที่จะให้เขาสามารถอยู่ในโลกได้   ก็ต้องทำอย่างนี้  ก็ต้องมีขีดจำกัด  ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน   หากข้าพเจ้าไม่มีความคิดหนึ่งของคนธรรมดาสามัญ ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นี่ไม่ได้    ก็เพราะก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำเรื่องนี้  ได้ผสมความคิดหนึ่งของคนเข้าไว้  รักษาเอาไว้ในหมู่คน เพื่อจะสามารถไปบรรยายฝ่าให้กับพวกท่าน  มีหลายๆเรื่องไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะสามารถเข้าใจได้

ศิษย์           อุปสรรคด้านภาษาจะกระทบต่องานของผู้ช่วยฝึกสอนหรือไม่

อาจารย์      อุปสรรคด้านภาษานี้ มีทั้งใหญ่และเล็ก หากการพูดของเรามีติดอ่างบ้าง หรือลิ้นมีปัญหาหน่อยหรือความสามารถในการถ่ายทอดบกพร่องไปบ้าง  ล้วนไม่กระทบ แต่ตามที่จำนวนคนที่ศึกษาต้าฝ่าของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ระดับชั้นทางสังคมที่ติดต่อด้วยสูงขึ้นเรื่อยๆ    เช่นนั้นหากพวกเราล้วนแต่อืดอาดชักช้ากัน  ข้าพเจ้าว่าก็ไม่เหมาะสม มีคนที่มีระดับการศึกษาสูงหลายคน  เวลาที่เขาเริ่มศึกษาฝ่า จะได้รับผลกระทบจริงๆ  ดังนั้นข้าพเจ้าขอเสนอว่า  หากผู้ช่วยฝึกสอนของเราที่มีอุปสรรค สามารถจัดสรรผู้ที่รับรู้ฝ่าได้สูง มีระดับการศึกษาสูง(ระดับการศึกษาสูงไม่ถือว่ารับรู้ฝ่าได้สูง)ต้องมีการรับรู้ต่อฝ่าได้สูง   อย่างน้อยต้องศึกษาฝ่าได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว  เคยผ่านด่านหลายด่านแล้ว สามารถหนักแน่นไม่โอนเอนแล้ว  จัดสรรคนอย่างนี้ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของท่าน  หรือสลับตำแหน่งกัน   เนื่องจากทุกท่านเป็นผู้ช่วยฝึกสอน ล้วนไม่ใช่เพื่อทำเรื่องนี้จึงทำหน้าที่นี้  หากเพื่อการบำเพ็ญทั้งสิ้น  ถ้าใครบอกว่าฉันจะเป็นผู้ช่วยฝึกสอน  ไม่อาจถอดถอนลงไปได้  ข้าพเจ้าเห็นว่าใจนี้จะต้องทิ้งไปไม่เร็วก็ช้า  ไม่เร็วก็ช้าจะต้องปรากฏออกมาสักครั้ง ท่านไม่ใช่มาเป็นผู้ช่วยฝึกสอน ท่านนั้นมาเพื่อบำเพ็ญ  ท่านต้องจำไว้  ข้าพเจ้าคิดว่ามีอุปสรรคด้านภาษาบ้าง ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ศิษย์           พวกเราบำเพ็ญหวนคืนกลับไป  จะสามารถทะลวงผ่านระดับชั้นเดิมได้ไหม

อาจารย์      ท่านยังคงใช้ความคิดของคน คิดเรื่องของเทพ  ในอนาคตเมื่อท่านเข้าใจได้  ท่านจะรู้สึกอายจนหน้าแดงต่อคำถามที่ท่านถาม  เรื่องเหล่านั้นท่านไม่ต้องไปสนใจเลย  ต้าฝ่าสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดให้กับพวกท่าน  พวกท่านสนใจแต่ไปบำเพ็ญ   ที่จริงพวกเรามีจำนวนที่มากกว่า คิดถึงการกลับบ้านอยู่ตลอดเวลา   หาใช่จะจากบ้านไปไกล  สิ่งเหล่านี้กล่าวสำหรับเทพนั้น จะไม่เหมือนกับแนวคิดของพวกท่านโดยสิ้นเชิง  ไม่ใช่วิธีคิดแบบพวกท่าน

ศิษย์           นอกจากโลกฝ่าหลุนแล้ว  ระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่ายังมีโลกมากเท่าไร

อาจารย์      สมองของท่านต้องใช้ในการบำเพ็ญนะ ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่ามีมากเหลือคณานับ   ท่านสามารถนับได้ไหมว่าร่างกายท่านมีโมเลกุลอยู่จำนวนเท่าไร  ร่างกายในสามภพล้วนเรียกว่าร่างคน  ร่างกายของคนๆหนึ่ง ประกอบขึ้นจากอณูระดับจุลทรรศน์ จากนั้นอณูชั้นที่ใหญ่กว่าประกอบขึ้นเป็นอณูที่ใหญ่กว่าหนึ่งชั้น  ที่เรียกกันว่าร่างคนนั้น เป็นการเรียกแบบรวมๆภายในสามภพ  เฉพาะแต่ในสามภพ มีอณูจำนวนเท่าไร ท่านล้วนไม่ทราบ  มีนับไม่ถ้วน   ไม่ว่าท่านบำเพ็ญไปถึงขั้นไหน  พวกเราที่นั่งอยู่ ท่านล้วนไม่รู้ว่าในจักรวาลมีโลกอยู่เท่าไร  และจะไม่รู้โดยเด็ดขาด 

ศิษย์           ผมฝึกพลังได้หลายปีแล้ว  ผมนั่งสมาธิ มักจะหลับไป  เรื่องนี้ทำให้ผมกังวลตลอดมา

อาจารย์      ทุกท่านล้วนทราบเรื่องการทนทุกข์  เช่นนั้นท่านไม่ได้คิดถึงการหลับไม่ได้สติของท่าน มันก็เป็นมารมาก่อกวนท่าน ไม่ให้ท่านบำเพ็ญ นี่ไม่ใช่เวลาที่ปณิธานของท่านควรจะก่อผลหรือ  ข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อว่า เมื่อท่านลืมตาอยู่จะหลับได้หรือ  ถ้าไม่ไหวท่านก็ลืมตาฝึก  ยังคงต้องข้ามด่านนี้ให้ได้

ศิษย์           สอนลูกก็ไม่ฟัง  ถ้ายังไม่ฟังอีกก็ปล่อยเขาไป  ถูกหรือไม่

อาจารย์      ไม่ใช่เช่นนี้ทั้งหมด  การปล่อยปละลูกคือการทำบาปของพ่อแม่  วันนี้สังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงจนถึงระดับนี้แล้ว  ไม่อาจพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน จากรุ่นสู่รุ่น    ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ลูกนั้นต้องดูแล  ข้าพเจ้าพบว่าสังคมของอเมริกานั้น  ถูกกฎหมายทำเสียจนไม่อาจสั่งสอนดูแลลูก การสั่งสอนดูแลลูกก็ราวกับทำผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงปล่อยปละเช่นนั้น  เด็กนั้นอย่าว่าแต่เรื่องมารยาท  อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เป็นของคน เขาก็ไม่รู้จัก จะสร้างเป็นกลุ่มมนุษย์อย่างไรขึ้นมาในอนาคตหนา แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   ประเทศจีนเรามีประเพณีเช่นนี้  ท่านต้องสั่งสอนดูแลลูกของท่าน  สั่งสอนอบรมลูกของท่าน  ไม่อาจปล่อยปละละเลย  จะตีก็ได้  จะด่าก็ได้  ที่เราพูดกันตรงนี้คือผู้บำเพ็ญนั้นไม่อาจจะโกรธ ลูกนั้น สามารถจะสั่งสอนดูแล  เวลาท่านดีใจ ตีเขา  หัวเราะร่วนตีเขา เขาก็เจ็บ  จุดประสงค์คือให้บทเรียนหนึ่งกับลูก  ให้เขาอย่าได้ทำเรื่องไม่ดี  การอบรมสั่งสอนลูกนั้นไม่ผิด  ท่านคิดดูซิ นี่ไม่ใช่ยึดติดกับตัวฉัน  จะเพื่อสังคมก็ดี หรือเพื่อมนุษยชาติในอนาคตก็นับว่าเป็นการทำเรื่องดี  แต่หากท่านยึดติดมากเกินไป แล้วยังจะเดินไปสู่อีกสุดขั้วหนึ่ง  จึงพูดว่าการสั่งสอนดูแลลูกนั้นไม่ใช่ปัญหา  แต่ต้องทำโดยมีสติสัมปชัญญะ

ศิษย์     ใช่ไหมว่า คงอยู่เพื่อสัจธรรมของพุทธธรรม

อาจารย์      คำถามนี้ถามสูงมาก  ในการบำเพ็ญมีความคิดบางอย่างนั้นถูกต้อง   พูดอย่างตรงประเด็น พุทธธรรมได้สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมของการคงอยู่ให้กับชีวิต  ให้ชีวิตกับคน  ก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้  ชีวิตเพียงแต่คงอยู่เพื่อรูปแบบการดำรงชีวิตของเขตแดนนั้นของเขา  ถ้าหากพูดว่าท่านเป็นผู้รู้แจ้งใหญ่องค์หนึ่งที่สามารถดูแลเรื่องมากมายข้างล่าง  เช่นนั้นท่านน่าจะคงอยู่เพื่อชีวิตจำนวนมาก ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้

ศิษย์           พออ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” ก็ง่วง

อาจารย์      ผู้ช่วยฝึกสอนของเราถ้าถามคำถามอย่างนี้   ข้าพเจ้าว่าท่านควรหยุดไว้ก่อน  ให้คนอื่นทำแทน  ท่านศึกษาๆสักหน่อยก่อน  ยกระดับขึ้นให้มากๆค่อยไปทำจะค่อนข้างดี  เพราะ พอท่านอ่าน     “จ้วนฝ่าหลุน”ก็ง่วง   บางทีท่านยังอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” ไม่จบแม้แต่รอบเดียว  แล้วจะไปทำงานผู้ช่วยฝึกสอนได้อย่างไร  ช่วยฝึกสอน  ช่วยฝึกสอน หนา  เราจะช่วยฝึกสอนได้อย่างไรกันละ  ที่นี่สิ่งที่ถ่ายทอดนั้น คือฝ่านะ  ท่าเคลื่อนไหวเป็นวิธีการเสริมการสำเร็จสมบูรณ์  ท่าฝึกของท่านนั้น ต่อให้ทำได้มาตรฐานเพียงไร  แต่ไม่มีฝ่าก็บำเพ็ญไม่สำเร็จ  ฝ่านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด  พออ่านหนังสือก็ง่วง เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงการนั่งสมาธิก็ง่วงนั้น คือเหตุผลเดียวกัน

ศิษย์     เหตุใดบางคนมีกรรมทางความคิดหนักมาก และมักจะปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง

อาจารย์            นี่เป็นปรากฏการณ์โดยทั่วไป  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   ข้าพเจ้ามองเห็นการบำเพ็ญของทุกท่านนั้นดีมากจริงๆ โดยเฉพาะผู้ฝึกเก่า  ข้าพเจ้าได้เห็นพวกท่านก็ดีใจมาก  แต่พวกท่านก็มีปัญหาอย่างเดียวกัน  ในความคิดยังสะท้อนสิ่งที่ไม่ดีออกมาเป็นระยะๆ   กระทั่งบางครั้งจะสะท้อนสิ่งที่ไม่ดีมากออกมา   และสิ่งที่ไม่ดีที่สะท้อนออกมานั้นไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจะพูดสาเหตุของเรื่องนี้ให้กับทุกท่าน  เวลาที่พวกเราบำเพ็ญนั้น ทุกท่านทราบว่าเริ่มจากระดับจุลทรรศน์  กำลังเปลี่ยนแปลงพวกท่านจากองค์ประกอบของชีวิตท่าน   ฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนแปลงส่วนนั้นของท่านแล้ว ก็ได้มาตรฐานแล้ว  จึงไม่อาจพูดว่าส่วนนั้นเป็นคนอีกแล้ว   เช่นนั้นส่วนที่เป็นคนนี้จะทำอะไร ส่วนนั้นไม่อาจจะร่วมทำด้วย  มิฉะนั้นเท่ากับเทพกำลังทำเรื่องไม่ดี   นั่นก็เท่ากับตกลงมาแล้ว  ซึ่งไม่อนุญาตโดยเด็ดขาด ดังนั้นในขณะที่พวกท่านบำเพ็ญไม่หยุดหย่อน   ส่วนนั้นที่สอดคล้องกับฝ่าอย่างต่อเนื่อง ก็จะกันเขาออกไป   ก็เหมือนกับวงปีของต้นไม้   ในการบำเพ็ญ แผ่ขยายออกสู่ภายนอก  เปลือกต้นไม้นั้นคือชั้นผิวของท่าน    ฉะนั้นส่วนนั้นของเขาที่บำเพ็ญได้ดี จึงกำลังบำเพ็ญจากในสู่นอก  สุดท้ายบำเพ็ญถึงชั้นผิว  ส่วนที่ท่านบำเพ็ญสำเร็จนั้นคือเทพ  ส่วนที่ยังบำเพ็ญไม่เสร็จคือคน

            ที่ข้าพเจ้าทำคือ เริ่มจากระดับจุลทรรศน์ของชีวิตของท่าน  หรือก็คือ   เริ่มเปลี่ยนแปลงท่านจากข้างในของชีวิตท่าน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงอย่างสัมพันธ์กันที่ภายนอก จึงมีน้อย  แต่การบำเพ็ญก็ต้องเป็นการควบคุมตัวเองด้วยตัวเอง  เป็นเช่นนั้นเรื่อยไปจนกระทั่งจุดสุดท้าย    แต่ตลอดจนถึงชั้นผิวนี้ ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง  ความคิดของท่านล้วนจะสะท้อนความคิดของคนธรรมดาสามัญออกมาได้  บางครั้งจะไม่ดีอย่างมาก  แต่ท่านกลับจะสามารถควบคุมมันไว้ได้  นี่ก็คือ ส่วนนั้นที่ตัวท่านควบคุมตัวเองกำลังบังเกิดผล แต่ในอดีตท่านควบคุมไม่ได้  เพราะในระดับชั้นที่ลึกมากมันก็มีอยู่   ดังนั้นท่านจึงควบคุมมันไว้ไม่ได้   เดี๋ยวนี้แม้จะบอกว่า ในความคิดได้สะท้อนความนึกคิดที่ไม่ดีออกมา  แต่ท่านกลับสามารถที่จะควบคุมมันได้  ในระหว่างที่บำเพ็ญ จึงสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตนเอง  นี่เป็นสภาพการณ์ในระหว่างการบำเพ็ญต้าฝ่าเท่านั้น

            เพื่อให้มั่นใจว่าทุกท่านจะสามารถบำเพ็ญ  ไม่ถูกสิ่งนี้รบกวน  จึงต้องกันส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วออกไป แต่ ก็เพื่อให้มั่นใจว่า ท่านสามารถจะบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  สิ่งที่อยู่ในชั้นผิว มีแต่จะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ  อ่อนลงเรื่อยๆ สมมติว่าที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วได้บรรลุถึงหนึ่งร้อยชั้นแล้ว  ชั้นผิวของท่านเปลี่ยนแปลงได้เพียงชั้นเดียว  ก็คือความหมายนี้   สัดส่วนของมันน้อยมาก  ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้ท่านสามารถบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  หากขจัดทิ้งไปทั้งหมดแล้ว   หากท่านไม่มีทัศนคติใดๆของคนธรรมดาสามัญ กับความคิดของคนธรรมดาสามัญแล้ว   ชั้นผิวของท่านก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแล้ว  เช่นนั้นท่านก็ไม่อาจจะบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้แล้ว

            ขอบอกทุกท่าน  เวลาที่ท่านไม่มีใจของคนธรรมดาสามัญ  ท่านก็จะรู้ว่าในใจคนคิดอะไรอยู่   ด้านต่างๆล้วนจะรบกวนท่านได้  คนคิดเรื่องอะไร  การเคลื่อนไหวหนึ่ง  สีหน้าหนึ่งของเขา  การแสดงออกที่บางเบามากๆอย่างหนึ่ง ล้วนแต่มีเป้าหมาย  และบางคนยังมีความคิดที่ไม่ดีอย่างรุนแรง   กำลังคิดที่จะจัดการกับคนอย่างไรอยู่   บางคนอะไรก็คิดเหมือนชายโฉดหญิงเลว บนโลกนี้ท่านก็จะอยู่ไม่ได้เลย  มันก็ยุ่งเหยิงจนถึงระดับนี้แล้ว เพื่อให้ทุกท่านสามารถบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้  เราจึงเลือกใช้รูปแบบการบำเพ็ญนี้ ซึ่งเร็วที่สุด ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ไม่ให้เขาเคลื่อนไหว  ถูกกันออกไป   บำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน ท่านอ่านหนังสือไม่หยุดหย่อน  ไม่หยุดที่จะรับรู้  ไม่หยุดที่จะเข้าใจ  ก็จะขยายขอบเขตของท่านให้กว้างใหญ่อย่างไม่หยุดหย่อน  หรือพูดว่าขึ้นมาสู่ชั้นผิวของท่านเรื่อยๆ เมื่อชั้นผิวล้วนเปลี่ยนแปลงหมดแล้วก็สำเร็จสมบูรณ์  ดังนั้นทุกท่านอย่าได้ถูกความคิดของท่านซึ่งในนั้นยังมีความคิดที่ไม่ดีอยู่ข่มขวัญเอาได้   แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  คือที่อาจารย์พูด ฉันเข้าใจได้แล้ว นี่คือเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถจะบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้  เอาละ ฉันไม่สนใจมันแล้ว   การปล่อยปละของท่านจึงเท่ากับท่านไม่ได้บำเพ็ญ  ก็คือความสัมพันธ์นี้

ศิษย์           เชิญท่านอาจารย์อธิบายสักหน่อยว่าอะไรคือ “ศาสตร์ความสามารถ”

อาจารย์      สิ่งที่เป็นศาสตร์ความสามารถนั้น  ศาสนาที่ต่างกันจะมีสิ่งที่เป็นศาสตร์ความสามารถที่ต่างกัน  รูปแบบการบำเพ็ญที่ต่างกัน จะมีสิ่งที่เป็นศาสตร์ความสามารถที่ต่างกัน  ระดับชั้นที่ต่างกัน ยังมีสิ่งที่เป็นศาสตร์ความสามารถที่ต่างกัน   จะพูดโดยสรุปก็แล้วกัน  ก็คือมันเลือกใช้วิธีการที่ต่างกันในการบำเพ็ญหรือในการแสดงออก  ก็คือสิ่งเหล่านี้   รวมทั้งการรักษาโรคอะไรเอย  ขับมารเอย เป็นต้น  ท่านศึกษาสิ่งนี้ไปทำไม  สิ่งที่ท่านได้ศึกษา ในนั้นอะไรก็มีทั้งนั้น  เพียงแต่ไม่อาจบอกกับท่าน   ปัจจุบันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือรีบหวนคืนกลับไป 

ศิษย์           สามภพนั้น สามารถเข้าใจว่าคือ เทพ คน ผี สามภพนี้ได้หรือไม่

อาจารย์      สามภพนั้น  ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน  ในหนังสือของเราล้วนมีอยู่  สามภพคือโลกแห่งตัณหา  โลกที่มีรูป และโลกที่ไร้รูป สามส่วนใหญ่นี้ประกอบขึ้นเป็นขอบเขตหนึ่ง ชีวิตในสามภพจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ตามชอบใจ   ชีวิตนอกสามภพต่อให้มีความสามารถเท่าใดก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาตามชอบใจ    ในนี้คือสถานที่อยู่ของสสารทั้งปวงของคน  ข้างในนั้น แน่นอนละก็มีชาวโลกเอย  เทพเอย ผีเอย    ถึงจะมี  แต่ก็ไม่ใช่แนวคิดของท่าน สามภพเป็นขอบเขตที่สวรรค์กำหนด  ชีวิตที่ตกลงสู่สามภพจะไม่อาจกลับไปสู่สวรรค์ได้อีก  ไม่อาจหวนคืนออกไปจากสามภพอีก   แน่ละ ยกเว้นจะบำเพ็ญ   แต่การบำเพ็ญนั้นก็ไม่อาจจะออกไปได้ทั้งหมด   มีการบำเพ็ญมากมายที่ออกไปไม่ได้  ได้แต่อยู่บนโลก หรือระดับชั้นที่ต่างกันในสามภพ  ชีวิตนอกสามภพก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาตามชอบใจ  ก็คือสถานที่หนึ่งอย่างนี้  สถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง   หากใช้แนวคิดของเทพมาพิจารณา   ที่นี่เป็นสถานที่ที่สกปรกที่สุด

ศิษย์           ขณะศึกษาฝ่าบางคนมักจะอยากหลับเสมอ

อาจารย์      ศึกษาฝ่า จะหลับ  อ่านหนังสือ จะหลับ ฝึกพลัง ท่านก็จะหลับ  ไม่ว่าอย่างไร  สิ่งแรกที่สุดนี้ก็ฝ่าออกไปไม่ได้ นั่นเป็นปณิธานนะ ทุกท่านทราบ ไม่เพียงท่านอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญ  องค์ประกอบใดๆที่ประกอบขึ้นเป็นคน ก็จะไม่ยอมให้ท่านหลุดพ้นไปจากความเป็นคน  สิ่งใดๆที่ประกอบเป็นสภาพแวดล้อมของคน ล้วนจะไม่ยอมให้ท่านจากไป  อะไรๆท่านก็ต้องทะลวงไป  ทุกข์ภัยอะไรก็ต้องข้ามไปให้ได้ ปรากฏการณ์ที่หนักที่สุดคือความทุกข์ทรมาน ที่พวกเขาสร้างให้กับท่าน แต่ความทุกข์ทรมานมีรูปแบบต่างๆกัน  การหลับก็เป็นอย่างหนึ่ง   ผู้ที่บำเพ็ญไม่ได้ ผู้ที่ไม่ก้าวหน้ากลับไม่รู้ว่านี้คือความทุกข์   ท่านไม่ได้ฝ่า ไม่ให้ท่านศึกษาฝ่า  ท่านยังรู้สึกไม่ได้ว่ามันคือทุกข์ภัย  นอกจากว่าใจของท่านไม่อยู่ในฝ่า ไม่คิดจะบำเพ็ญ   เช่นนั้นทำไมไม่ควบคุมมันไว้ละ  เสริมปณิธานท่านให้เข้มแข็ง  ถ้าคนสามารถควบคุมความง่วงนอนของตนเองได้ ก็สามารถเป็นพระพุทธ  ข้าพเจ้าว่าง่ายเกินไปแล้ว  ด่านเล็กๆนี้ท่านก็ผ่านไม่ได้ เช่นนั้นจะบำเพ็ญได้อย่างไรละ

ศิษย์           เวลาของการบำเพ็ญมีจำกัดมาก   หากเริ่มต้นเดี๋ยวนี้อย่างองอาจ จะยังสามารถกลับบ้านพร้อมท่านได้ไหม

อาจารย์      เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง  และไม่ต้องคิด ขอเพียงท่านยังมีเวลาบำเพ็ญ  ท่านก็บำเพ็ญ  ก้าวหน้าอย่างอาจหาญ  พูดถึงว่าจะสามารถกลับบ้านได้หรือไม่   โอกาสแห่งวาสนาก็มีแล้ว  วันนี้ท่านนั่งอยู่ตรงนี้  อย่างน้อยที่สุดได้พบข้าพเจ้าแล้ว  ใช่ไหม  ยังคงมีโอกาส (เสียงปรบกึกก้อง)  เรื่องนี้โดยรวมยังไม่จบสิ้น ท่านก็มีโอกาส  ต้องรีบเร่ง จะรีบเร่งได้อย่างไรจึงเป็นสิ่งที่ท่านสมควรคิด

ศิษย์           ศิษย์ที่ไม่นำร่างแท้ไปด้วยจะสำเร็จสมบูรณ์หรือไม่

อาจารย์      ไม่นำร่างแท้ไปด้วย สำเร็จสมบูรณ์ได้แน่นอน  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดว่าไม่อาจไปโลกฝ่าหลุนกันทั้งหมด     ผู้ที่ไปโลกฝ่าหลุนนั้นนำพาร่างไปด้วย  ในจักรวาลนี้    ในอดีตมีรูปแบบการบำเพ็ญมากมายกับโลกสวรรค์ในร่างนภาที่ต่างกัน  ร้อยละ๙๙.  พวกเขาล้วนไม่ต้องการร่างกาย  ไม่ใช่เห็นว่า กายเนื้อดีกันทั้งหมด   สวรรค์มากมายไม่อนุญาตให้ท่านนำร่างกายกลับไปได้เลย หากพวกท่านนำกลับไป ก็เท่ากับทำลายฝ่าของที่นั่น   ทำลายฝ่าของที่นั่นที่เข้าใจได้จากในต้าฝ่าของจักรวาล ฝ่าระดับชั้นนั้นที่พวกท่านประจักษ์แจ้ง   ก็เหมือนกับ “ศีล สมาธิ ปัญญา ที่องค์ศากยมุนีตรัส  เขาก็ปรากฏออกมาจากต้าฝ่าของจักรวาล  และคือสิ่งที่พระองค์ประจักษ์แจ้งถึงระบบหนึ่งของตนเอง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา   ไม่ใช่ล้วนแต่จะต้องนำกายเนื้อไป  มีแต่ไปโลกฝ่าหลุนจึงจะนำไป

  ยังมีอีกอย่างหนึ่ง  บางคนบอกว่าอยากจะนำกายเนื้อไป  ที่จริงก็เป็นเพียงความคิดของคนธรรมดาสามัญ  มีทัศนคติอย่างหนึ่งของคนธรรมดาสามัญที่กลัวตาย   บอกว่าคราวนี้ล้วนนำไปได้ก็ไม่ตายแล้ว ช่างดีจัง ไม่ว่าท่านจะนำร่างไปก็ดี  ไม่นำร่างไปก็ดี  สุดท้ายเราจะให้ทุกท่านมองเห็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตาแบบหนึ่งว่าท่านสำเร็จสมบูรณ์แล้ว  (เสียงปรบกึกก้อง) เมื่อต้าฝ่าของเราทำเรื่องนี้เสร็จสิ้นลง ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์เต็มที่ของศาสนาใดๆ ล้วนไม่อาจจะทัดเทียมได้ แต่ว่านะอย่าได้เพียงแต่ดีใจ ท่านต้องบำเพ็ญให้บรรลุความสำเร็จสมบูรณ์

ศิษย์           นั่งสมาธิไม่สามารถขัดสองขาได้  ใช่ไหมว่าเกี่ยวข้องกับระดับซินซิ่ง  จะสำเร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่

อาจารย์      ข้าพเจ้าทราบว่ามีหลายคนแม้แต่ขัดขาข้างเดียวก็ขัดขึ้นมาไม่ได้  แต่สุดท้ายก็ขัดสองขาขึ้นได้แล้ว  แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านกลับไป ก็จะขัดให้ได้ในทันที  ตั้งใจไปฝึกก็พอแล้ว  แต่เป็นไปได้ว่า กรรมด้านนี้จะหนักสักหน่อย  แต่ล้วนสามารถสลายไปได้  ในโลกนี้ไม่มีเรื่องที่เข้มงวดไปกว่าการบำเพ็ญแล้ว   ท่านสามารถทนทุกข์มากมายอย่างนั้นเพื่อหาเงิน   ท่านสามารถทนทุกข์มากอย่างนั้นเพื่อเรื่องอื่น   แล้วท่านจะทนทุกข์สักนิดเพื่อการบำเพ็ญของท่านไม่ได้หรือ คนที่มีกรรมเต็มไปทั้งตัว   ท่านคิดจะเป็นพระพุทธ  บำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์  ยังจะมีเรื่องที่เข้มงวดกว่านี้ไหม  ท่านใช้ใจอะไรมาปฏิบัติต่อมัน  ไม่ใช่ปัญหานี้หรือ  พูดถึงว่าในการบำเพ็ญจะบรรลุให้ถึงได้อย่างไร  เราใช่ว่าจะให้ท่านบรรลุถึงในทันทีที่เริ่มต้นก็หาไม่   ท่านค่อยๆฝึกไปก็ได้  นี่ไม่เป็นปัญหา

ศิษย์           ในจิงเหวิน เรื่อง “ขุดราก” ผู้ฝึกพูดกันว่าคือขุดทัศนคติ    ในบทความ “คงอยู่เพื่อใคร” พูดกันว่าคือ คงอยู่เพื่อฝ่า ถูกหรือไม่

อาจารย์      พวกท่านอย่าได้คุ้ยแคะตัวอักษร  ที่ข้าพเจ้าให้ท่านเข้าใจคือ ความนัยข้างใน กับสิ่งที่พวกท่านสามารถรับรู้ได้ในการบำเพ็ญ   ท่านอย่าไปคุ้ยความหมายชั้นผิวของตัวอักษรนี้   เมื่อครู่ข้าพเจ้ายังพูดว่า  หนังสือเล่มนี้ของเรา หากข้างหลังไม่มีความนัยของเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับหนังสืออื่นๆ  คือตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาว   เพราะว่าเขามีฝ่าอยู่  ท่านปล่อยวางใจลงมา ไม่พกพาทัศนคติใดๆไปอ่าน ไม่ว่าท่านสามารถจะรับรู้ได้เท่าไร รับรองว่าล้วนถูกต้อง หากท่านพกพาทัศนคติใดๆที่วางไม่ลง หรือค้นหาข้ออ้างและเหตุผลให้กับตนเองเพื่อจะสามารถปกปิดความผิดของตน   ท่านไปอ่านภายใต้สภาพจิตที่กล่าวมาข้างต้น   ท่านก็อ่านไม่พบอะไร เมื่อท่านไปอ่านโดยปล่อยวางใจที่มีความหมายมั่น  อะไรท่านก็จะสามารถเข้าใจได้   ท่านจะเข้าใจมากหรือน้อยล้วนจะไม่ผิดเพี้ยนไป    ถ้าท่านไปอ่านโดยมีใจอะไรที่วางไม่ลง  ท่านก็จะอ่านไม่พบสักนิดของเขา   ได้แต่คุ้ยแคะชั้นผิวของตัวอักษรนั้น   ถกเถียงกันไปมา   ท่านจงปล่อยวางใจไปอ่าน รับรองว่าสิ่งที่ท่านควรจะรู้ ท่านก็จะรู้ได้

              เร็วๆนี้มีอยู่ช่วงหนึ่ง สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนจึงไม่เขียนให้กระจ่าง เจตนาไม่เขียนให้กระจ่าง  เพราะไม่อยากให้การบำเพ็ญของพวกท่านเกิดอุปสรรคยิ่งขึ้น   หากข้าพเจ้าพูดยิ่งกระจ่าง  ความยุ่งยาก  อุปสรรคที่พวกท่านพบ ก็จะยิ่งมาก   ดังนั้นมีบางเรื่องที่ให้พวกท่านรับรู้  แต่จะไม่เป็นเพราะข้าพเจ้าพูดให้กระจ่าง   เส้นทางการบำเพ็ญของพวกท่านก็จะราบรื่น เมื่อสิ่งที่ท่านรับรู้ได้ ทุกข์ภัยด้านนี้ของท่านน้อยลงแล้ว  แต่สิ่งที่ท่านประสบ ด่านนั้นที่ข้ามไปไม่ได้กลับจะหนักขึ้น  พวกท่านอย่าได้คิดว่า พวกท่านได้ฟังมากแล้วก็จะเป็นเรื่องดี  ที่จริงได้เหลือฝ่าไว้ให้ท่านอย่างสมบูรณ์แล้ว   ก็ดูว่าพวกท่านไปบำเพ็ญด้วยสภาพจิตใจอะไร

ศิษย์           ผมควรไปทำอย่างไรจึงสามารถทำให้ศูนย์ฝึกสอนกลายเป็นสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญที่แท้จริง

อาจารย์      เรื่องนี้ไม่มีข้อกำหนดพิเศษอะไร  ข้าพเจ้าไม่มีกรอบกติกาอะไร แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบศูนย์ฝึกคนหนึ่ง ในบทความสั้นๆเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าเขียนไว้(พวกท่านเรียกว่าจิงเหวิน) ในนั้นได้เสนอวิธีพิจารณาคุณสมบัติของผู้ช่วยฝึกสอนไว้บ้างแล้ว  ดังนั้นพวกท่านสามารถนำไปใช้อ้างอิง   หากจะทำให้สภาพแวดล้อมของศูนย์ฝึกของพวกท่านให้ดียิ่งขึ้น  คิดจะบรรลุถึงระดับไหน  ผู้ฝึกตามไม่ทันก็ใช้ไม่ได้และไม่อาจจะควบคุมเขาให้ทำอย่างไรด้วยกรอบกติกาใดๆ  การควบคุมที่ภายนอกไม่สามารถเปลี่ยนใจคนได้  นั่นล้วนเป็นเรื่องปลอมๆ เนื่องจากทุกวันเราก็มีผู้ฝึกใหม่เข้ามา  ดังนั้นเขตแดนโดยรวมจึงไม่อาจบรรลุถึงสภาพของเทพได้ตลอดไป ศูนย์ฝึกสอนของท่านนั้นจะเป็นสถานที่ที่คนกำลังบำเพ็ญอยู่ตลอดไป แต่ก็จะไม่เหมือนกับคน   เพราะส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว  ส่วนนั้นที่สามารถเป็นเทพ ถูกกันออกไปแล้ว  ดังนั้นการทำงานของพวกท่านจึงยากลำบากมาก  ใจคนที่เผชิญอยู่นั้นซับซ้อน  รับรองว่าเป็นเช่นนี้  ดังนั้นพวกท่านจึงสามารถบำเพ็ญ  ปฏิบัติไปตามฝ่า  เมื่อเกิดปัญหาก่อนอื่นให้ค้นหาที่ตนเอง  จากนั้นค่อยพิจารณาสาเหตุของปัญหานี้  ข้าพเจ้าคิดว่าก็จะทำได้ดี

ศิษย์           จะทำอย่างไร จึงจะยกระดับจากด้านความรู้สึกเป็นด้านของเหตุผล 

อาจารย์      เรื่องนี้ ไม่มีรูปแบบใดๆที่จะปรากฏออกมาในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ไม่เหมือนทฤษฏีใดๆที่ท่านศึกษา  เมื่อเลื่อนขึ้นเป็นการรับรู้ด้วยเหตุผล  ท่านก็จะพบว่าเป็นความเข้าใจโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว  แต่ประเดี๋ยวเดียวท่านก็ไม่เข้าใจอีกแล้ว   เพราะส่วนนั้นของท่านที่เข้าใจได้มาตรฐานแล้ว  เมื่อท่านเข้าใจได้แล้วเขาก็ถูกกันออกไปแล้ว  ต่อมาท่านก็ไม่เข้าใจอีกแล้ว ดังนั้นฝ่านี้ ท่านต้องศึกษาอยู่เสมอ  ต้องไปศึกษาเสมอๆ  พวกเรามีบางคนที่สามารถท่องฝ่าได้  พอผ่านไประยะหนึ่ง  ที่เคยท่องได้อย่างแม่นยำทำไมลืมแล้วละ  เพราะส่วนนั้นที่ท่องได้แม่นยำมากบำเพ็ญผ่านไปแล้ว  ส่วนที่เหลือที่ยังคงไม่เข้าใจ ส่วนนี้ ยังคงต้องอ่านต่อไป

ศิษย์           คนที่ภาษาจีนไม่ค่อยดี  ใช่หรือไม่ว่าจำเป็นต้องอ่าน”จ้วนฝ่าหลุน”ฉบับภาษาจีน  จึงจะสามารถยกระดับได้หรือ

อาจารย์      นี้ไม่ใช่ปัญหาแล้ว  ขณะนี้เรามีฉบับภาษาต่างๆหลายภาษาแล้ว   หากจำกัดอยู่แต่ภาษาจีนจึงจะยกระดับได้  เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปแปล ภาษาอังกฤษ  อิตาเลี่ยน  รัสเซีย  เกาหลีอะไรแล้ว  จึงพูดได้ว่า ใช้ภาษาอื่นก็สามารถได้รับการยกระดับเช่นกัน สามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้เช่นกัน   โดยเฉพาะหากท่านตั้งใจ ก็จะไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ไม่มีความแตกต่าง    สิ่งที่แปลเป็นเพียงคำศัพท์นั้นบนตัวหนังสือ  แต่ที่บังเกิดผลคือความนัยที่อยู่ข้างหลัง

ศิษย์           ใจฉันคิดจะบำเพ็ญจนสำเร็จ  ถือเป็นการยึดติดหรือไม่

อาจารย์      หากบอกว่าฉันต้องการจะบำเพ็ญให้สำเร็จ  นี่ไม่นับว่ายึดติด  นี่เป็นธาตุแท้ที่ดีที่สุดของท่านได้ออกมาแล้ว     หากทุกวันฉันเฝ้าคิดอยู่ว่า ฉันอยากจะสำเร็จสมบูรณ์นะ  ทำเรื่องอะไรก็คิดว่าฉันอยากจะสำเร็จสมบูรณ์  ข้าพเจ้าว่านั่นคือยึดติด  ท่านมีความมุ่งหวังนี้ก็พอแล้ว  ที่เหลือคือการไปบำเพ็ญ   หากในสมองท่านคิดแต่การสำเร็จสมบูรณ์นี้  ก็จะยึดครองสิ่งที่ท่านจะบำเพ็ญไปมากเท่าไรแล้ว  นั่นยังไม่ใช่ยึดติดหรือ

ศิษย์           จิงเหวิน “สนทนากับกาลเวลา”ของท่าน  มีผู้ฝึกหลายคนยึดติดกับเวลามาก จะมองแนวโน้มนี้อย่างไรดี

อาจารย์      พวกเรามีผู้ฝึกบางคน ก็คือ มองจากปัญหาเหล่านี้ที่เพิ่งถาม   ถ้ามองเห็นจริงๆว่ามีคนที่เหมือนกับเทพเซียนองค์หนึ่งนำเขาเดินไป  ไปบำเพ็ญ  เขาก็จะเดินตามไปแล้วจริงๆ   ยังจะไม่อันตรายหรือ  นั่นเป็นปัญหาเล็กๆหรือ  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ในร่างนภาสสารใดๆที่ใหญ่มหึมา  ล้วนเป็นเทพ คนเข้าใจว่าเขาเป็นแนวคิดอย่างหนึ่ง   ดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว ฟ้ามืดแล้ว  ฟ้าสว่างแล้ว  นาฬิกากำลังเดินเอย  สสารกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง   ผลไม้ในวันที่อากาศร้อนเน่าเสียเร็ว  ข้าวไม่กินจะบูด  พืชไร่จะสุกงอมเอย ปีหนึ่งมีสี่ฤดูเอย  ทั้งหมดคล้ายกับการแสดงออกของกาลเวลา เข้าใจว่ามันเป็นแนวคิดอย่างหนึ่ง  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ทั้งหมดที่เกิดขึ้น คือการยึดกุมของเวลาโดยตัวมันเอง  เขาเป็นเทพ แม้แต่การขึ้น ตกลงของตะวัน  ความเร็วของโลกที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ล้วนเกิดจากกาลเวลา   แต่กาลเวลานั้นมันซับซ้อนมาก  มิติที่ต่างกันมีกาลเวลาที่ต่างกัน  ยังมีสภาพแวดล้อมที่ใหญ่ยิ่งกว่า ที่มีกาลเวลาของสภาพแวดล้อมที่ใหญ่กว่า  ภายในสภาพแวดล้อมที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ยังมีกาลเวลาเล็กๆนานาชนิดที่ต่างกัน และเป็นเอกเทศ  ก็เป็นปัจจัยที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง  เรามักเรียกมันว่ากาลมิติ  ในมิติที่ต่างกันมีแนวคิดของกาลเวลาที่ต่างกัน 

มนุษย์ในปัจจุบัน   นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพูดกันว่าดาวดวงนั้นห่างจากเราที่นี่ หนึ่งแสนห้าหมื่นปีแสง  ข้าพเจ้าเพียงแต่ยืมใช้มัน  คือความคิดทัศนคติของคนนี้มาพูดเรื่องหนึ่งกับพวกท่านให้กระจ่าง  ที่จริงวิธีพูดนี้ล้วนแต่ผิด  รอบๆดวงดาวที่ต่างกันมีสนามของมันเอง มันมีกาลเวลาของตัวเองอยู่ ดวงดาวที่ต่างกัน ห่างจากโลกของเรากับระยะห่างของมิติของโลกเราก็มีสภาพแวดล้อมที่ต่างกันคงอยู่   กาลเวลาของสภาพแวดล้อมที่ต่างกันก็มีความแตกต่างคงอยู่   ในโลกและดวงดาวอื่นที่สามารถมองเห็นได้ที่คงอยู่ในมิตินี้  หากคำนวณตามความเร็วในปัจจุบัน ก็ไม่แม่นยำแม้แต่น้อย จากดวงดาวหนึ่งถึงอีกดวงดาวหนึ่ง ความเร็วของมันไม่ใช่อันเดียวกัน(ไม่สม่ำเสมอ)  หากแต่ขอบเขตที่ต่างกันล้วนมีสนามของเวลาหนึ่งที่ต่างกัน  และสามารถเรียกเป็นกาลมิติ   ความเร็วที่มันเริ่มพุ่งส่งไปนั้นรวดเร็วมาก ซวา---พอถึงโลกก็ช้าลงเรื่อยๆ  มันเป็นอย่างนี้  มันเข้าไปในสนามเวลาที่ต่างกัน  มันยังจะเกิดลักษณะประเดี๋ยวเร็ว ประเดี๋ยวช้า       ประเดี๋ยวช้า   ประเดี๋ยวเร็ว    วิทยาศาสตร์ปัจจุบันนั้น มีสิ่งต่างๆมากมายที่มันรับรู้ไม่ได้   เวลา  ยึดกุมสิ่งต่างๆไว้มากมาย  มันไม่ใช่เทพหรือ

ศิษย์           ขณะศึกษาฝ่าเป็นกลุ่ม ผู้ช่วยฝึกสอนหรือผู้ฝึกบางกลุ่ม  บางครั้งพูดคุยเรื่องที่คล้ายกับออกนอกประเด็น

อาจารย์      พวกเราศึกษาฝ่า ก็คือศึกษาฝ่า  ท่านอย่าให้ความเห็นเกี่ยวกับฝ่าต่อฝ่านี้  เช่นนั้นก็เท่ากับท่านเรียกให้ผู้ฝึกให้คำจำกัดความกับฝ่า    เราสามารถพูดคุยเรื่องความบกพร่องของตนเองจากมุมมองของฝ่านี้ หรือว่า อ้อ ฉันรับรู้ได้แล้ว ส่วนไหน เรื่องไหนของฉันเป็นอย่างไร   เช่นนี้ทำได้ แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  เรื่องประเภทนี้ข้าพเจ้าก็ไม่สนับสนุนให้ทุกท่านทำมากหรือบ่อยจนเกินไป   ที่ข้าพเจ้าหวังมากที่สุดคือ ให้ทุกท่านอ่านต่อเนื่องเป็นประจำไม่ว่าจะเป็น “จ้วนฝ่าหลุน”หรือหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดของต้าฝ่า    ท่านไปอ่านเขาอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีคำที่ไม่รู้จัก  ก็สามารถอธิบายความหมายบนตัวหนังสือนี้ได้   หากพูดถึงความนัยข้างหลังของเขา  ท่านก็อธิบายไม่ได้  แต่ละคนล้วนแต่มีการรับรู้  ท่านรับรู้อย่างนี้  ฉันรับรู้อย่างนั้น  ต่างฝ่ายต่างก็โต้แย้งกันขึ้นมาแล้ว   ไม่ว่าอย่างไรทุกท่านอย่าได้ทำเรื่องอย่างนี้

            สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียน มักจะครอบคลุมระดับชั้นที่ใหญ่ไว้มากมาย หรือความนัยที่มีขอบเขตใหญ่มาก  ดังนั้นโดยมูลฐานท่านก็พูดได้ไม่ชัดเจน    หากท่านสามารถพูดในสิ่งที่ท่านรับรู้ได้ชัดเจน  แต่คนอื่นไม่แน่ว่าจะเห็นด้วย   สิ่งที่เขาสามารถพูดได้ชัดเจนในระดับชั้นนี้ที่เขารับรู้ได้  แต่ท่านก็ไม่แน่ว่าจะเห็นพ้องด้วย แต่ละคนต่างมีการรับรู้ของตนเองที่แตกต่างกัน   สาเหตุคือระดับชั้นต่างกัน   เพียงท่านสงบใจลงมา ไม่พกพาทัศนคติใดๆไปอ่านไปศึกษา   ท่านรู้สึกคล้ายกับว่าไม่เข้าใจ  ก็รับรองว่าสิ่งที่เข้าใจ จะไม่ผิดเพี้ยน  เข้าใจได้มากเท่าไร  กระจ่างแจ้งได้มากเท่าไร  ที่จริงดูเหมือนว่า ก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น   จะให้ผู้ฝึกใหม่คนหนึ่งพอเข้ามาก็กระจ่างแจ้งทุกสิ่งที่มีในต้าฝ่า ก็ไม่เป็นจริง

ศิษย์           จิงเหวิน “คงอยู่เพื่อใคร”ของท่าน คือการคงอยู่เพื่อสัจธรรมของจักรวาล หรือว่าคงอยู่เพื่อความจริงที่บริสุทธิ์ก่อนกำเนิด

อาจารย์      ท่านคุ้ยแคะคำสำนวนกับข้าพเจ้าขึ้นมาแล้ว  ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ท่านต้องคงอยู่เพื่อตัวท่านเอง (ปรบมือ) ถ้าท่านไม่คิดจะบำเพ็ญ  ไม่คิดจะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว  ท่านคงอยู่เพื่อใครจะมีประโยชน์อะไร  การบำเพ็ญของท่าน  การสำเร็จสมบูรณ์ของท่าน  ยังมิใช่เป็นการปลดปล่อยตัวท่านคนนี้ให้หลุดพ้นหรือ  ที่จริงข้าพเจ้าพูดคำนี้ ก็คือจะบอกท่าน  ในขั้นตอนการบำเพ็ญท่านยืนหยัดตนเอง  ไม่ให้สิ่งใดกระทบได้  นี่มิใช่การรับผิดชอบต่อตัวเองหรอกหรือ   ท่านต้องรับผิดชอบตัวท่านเอง   อย่าให้คนที่รบกวนพวกท่านชักนำได้  หรือคงอยู่เพื่อเขา ก็คือความหมายนี้

ศิษย์           เมื่อฝึกท่าเคลื่อนไหวอยู่ในสนามฝึก  เปิดเทปบันทึกเสียงท่าเคลื่อนไหวของอาจารย์ แต่มีบางคนจะนั่งสมาธิจะทำได้หรือไม่

อาจารย์      ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราฝึกพลังอย่างเป็นเอกภาพจะดีที่สุด  ในเมื่อฝึกพลังร่วมกัน  ดังนั้นทุกท่านก็ฝึกพร้อมกันย่อมดีที่สุด   หากบอกว่าฉันคิดจะฝึกเอง  ฉันฝึกท่าเคลื่อนไหวไปแล้ว   ตอนนี้ฉันคิดจะฝึกสมาธิ  ก็ไม่ใช่จะทำไม่ได้   เราก็ไม่เข้มงวดที่จะต้องทำอย่างนี้ให้ได้  แต่ในเมื่อทุกท่านฝึกอยู่ด้วยกัน  ข้าพเจ้าคิดว่าก็ฝึกพร้อมกันจะดีที่สุด  ท่านดูซิ แต่ละการเคลื่อนไหว หากพร้อมเพรียงไปด้วยกัน   สนามนั้นจะยิ่งใหญ่โต พลังงานจะยิ่งแรงกล้า  มือของท่านจะโบยบินได้ 

ศิษย์           เวลาศึกษาฝ่า การอ่านออกเสียงกับอ่านในใจผลลัพธ์จะเหมือนกันหรือไม่

อาจารย์      ไม่ต่างอะไรกันมาก  เพียงแต่พวกเราต่างคนต่างมีความเคยชินต่างๆกัน  บางคนรู้สึกว่าฉันอ่านออกมาดูเหมือนจะจำไม่ได้  บางคนว่าฉันอ่านออกเสียงจึงจะจำได้จริง  นี่เป็นความแตกต่างของความเคยชิน  แล้วแต่สภาพการณ์ที่ต่างกันของพวกท่าน  จะทำอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

ศิษย์           บางคนคิดว่า การอ่านอย่างต่อเนื่องคือ ทุกคนอ่านออกเสียงดังๆพร้อมกัน  ใช่ไหมว่าจะเข้าใจไม่ทั่วทุกด้าน

อาจารย์      อ่านอย่างต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่อง ไม่เท่ากับว่าเป็นการอ่านออกเสียงดังๆ   การอ่านอย่างต่อเนื่องก็ไม่เท่ากับอ่านออกเสียงเบาๆ  การอ่านอย่างต่อเนื่องก็ไม่เท่ากับอ่านในใจ  ท่านเคยชินจะเลือกวิธีการอะไรก็ได้ทั้งนั้น  ไปอ่านตามความเคยชินของพวกท่าน

ศิษย์           ร่างกายของพระพุทธ  อณูชั้นผิวที่หยาบที่สุดก็คืออะตอมหรือ

อาจารย์      ข้าพเจ้ายืมใช้คำศัพท์ของมนุษย์ในการบรรยายฝ่า  บอกว่าเขาก็คืออะตอมของเราอย่างแน่นอนใช่หรือไม่นะ  ไม่ใช่  ที่เขาต้องการไม่ใช่สสารใดๆของมิติของเรานี้ที่เป็นสสารชั้นผิวที่จับต้องได้  ทว่าเป็นสสารระดับชั้นเดียวกันของมิตินั้น  ซึ่งมีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่า

ศิษย์           คนตายแล้ว  ส่วนประกอบของโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุดชั้นนี้ถอดทิ้งไปแล้ว  เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่าร่างกายในอีกมิติยังคงเป็นโมเลกุล  แต่ไม่ใช่ที่ใหญ่ที่สุด

อาจารย์      เนื่องจากคนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสามภพ  บรรดาร่างกายทั้งหมดในสามภพล้วนเรียกว่าร่างคน  โมเลกุลทั้งหมดที่อยู่ในสามภพล้วนเรียกว่าโมเลกุล   เพียงแต่ขนาดอณูใหญ่เล็กต่างกัน  ประกอบเป็นมิติที่ต่างกัน  แต่ยังไม่ใช่เช่นนี้ทั้งหมด

ศิษย์           มีพระพุทธก็มีมาร  ที่ระดับชั้นที่สูงมากยังมีหรือไม่

อาจารย์      ที่ระดับชั้นที่สูงมากก็ไม่มีมารแล้ว  แต่ชีวิตที่ต่างกันมีสิ่งที่ตรงกันข้ามกันคงอยู่  จักรวาลนี้ใหญ่จนไม่เหมือนกับที่พวกท่านคิดกัน  ไม่ใช่พวกท่านใช้ความคิดของคนจะสามารถคาดคิดได้

ศิษย์           ขจัดทิ้งจิตอิจฉา  ใช่ไหมว่าต้องเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เก็บความรู้สึกในทันที

อาจารย์      อุปนิสัยที่เก็บความรู้สึก เป็นปัญหาของอุปนิสัยคน  พูดถึงว่าจิตอิจฉามันไม่สัมพันธ์โดยตรงกับอุปนิสัย   ฉันนั้นเป็นคนเก็บความรู้สึก  ฉันไม่ชอบพูด  ฉันก็ไม่อิจฉาใคร  คนอย่างนี้มิใช่มีมากมายหรือ

ศิษย์           ในสภาพการณ์ที่ไม่กระทบต่อการบำเพ็ญ  เผยแพร่ฝ่า ศึกษาฝ่า ของผู้ฝึก  การไม่ทำกิจกรรมอะไร ใช่หรือไม่ว่าเป็นความกลัว

อาจารย์      หากผู้ฝึกเราล้วนสามารถบำเพ็ญอย่างแน่วแน่มั่นคง(steadfast,sureness) นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด   แต่บางครั้งพวกเราร่วมกันทำกิจกรรมบางอย่างหรือพวกเราฝึกพลังร่วมกัน  เปิดฝ่าฮุ่ย(การประชุมธรรม)  นี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่พวกท่านจัดวางไว้ในการบำเพ็ญ   โดยพื้นฐานหากไม่เสียหายต่อสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญของพวกท่านก็ไม่ผิด   หากสิ่งที่คิดในใจคือความกลัวจริงๆ  นั่นก็คือเรื่องทางด้านจิตใจ(ซินซิ่ง)

ศิษย์           คนแขนด้วนฝึกพลังอยู่ในสนามฝึกจะกระทบต่อต้าฝ่าใช่หรือไม่

อาจารย์      ไม่กระทบ  ไม่เป็นไร

ศิษย์           เพื่อนร่วมงานล้วนแข่งกันเรียนปริญญา  สิ้นเปลืองเวลามากเหลือเกิน  ผมไม่คิดจะเรียนปริญญาโท

Rounded Rectangular Callout: ตกคำค่ะอาจารย์      ข้าพเจ้าคิดว่า  ความคิดนี้ของท่านสุดขั้วไปสักหน่อย  เพราะข้าพเจ้าบอกให้ทุกท่านไปบำเพ็ญอย่างสอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด จะเป็นปริญญาของท่านก็ดี  ความพยายามที่ท่านทุ่มเทก็ดี   เป็นไปได้มากว่าจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการรับรู้ฝ่าของท่าน    ล้วนมีประโยชน์ต่อการเผยแพร่ฝ่า การรับรู้ฝ่าของท่านในอนาคต   และเกี่ยวพันถึงการดำรงชีพของท่านในอนาคต เพียงการบำเพ็ญของเรายังไม่สิ้นสุด  ท่านก็ต้องไปบำเพ็ญอย่างสอดคล้องให้มากที่สุดกับคนธรรมดาสามัญ  ก็ไม่ใช่ความผิดของท่าน ที่จริงการเรียนปริญญาโทของท่าน  การมุ่งเรียนปริญญาของท่าน จะไม่กระทบเนื่องจากการศึกษาฝ่าอย่างแน่นอน   และการศึกษาฝ่าการก็จะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากการเรียนปริญญาโทของท่านอย่างแน่นอน  เรื่องนี้ก็ดูว่าท่านจะไปจัดวางความสัมพันธ์นี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร   ไม่มีปัญหา  พวกเรามากมายก็ทำกันอย่างนี้   นักเรียนมากมายก็ทำอย่างนี้ ที่จริงพวกเรา มีคนที่มีความรู้สูง ที่เข้าใจฝ่าได้เร็ว  ความคิดค่อนข้างเปิดกว้าง  เพราะข้าพเจ้าบรรยายโดยเชื่อมโยงกับความคิดของคนปัจจุบัน   สำหรับคนที่มีระดับการศึกษาต่ำหน่อย ที่จริงข้าพเจ้ามองเห็นแล้ว ว่ามีความแตกต่าง  ถ้าพวกเราไม่ศึกษาปริญญาโทกันทั้งหมด  ผู้คนจะพูดว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าของท่านนี้กำลังกลบฝังทรัพยากรบุคคลของสังคมคนธรรมดาสามัญ   ท่านก็ไม่คิดจะทำให้ฝ่าของเราได้รับความเสียหาย  ใช่หรือไม่   ทุกท่านอย่าทำเช่นนี้    มีสาเหตุต่างๆนานา  ข้าพเจ้าบอกให้ท่านทำอย่างไรท่านก็ไปทำอย่างไร   หากเพียงยังไม่สำเร็จสมบูรณ์  ท่านก็ทำไปตามสิ่งที่ท่านสมควรทำ

ศิษย์           ในบท “สนทนากับกาลเวลา” สสารที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าที่ท่านกล่าวไว้ หมายถึงอะไร

อาจารย์      ที่ข้าพเจ้าหมายถึง ขณะนี้ท่านยังไม่สามารถทราบได้ ล้วนเป็นเทพต่างๆที่ใหญ่ยิ่งกว่า   จักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกินแล้ว สสารที่ใหญ่มหึมานั้น ไม่มีทางที่จะใช้แนวคิดของคนบรรยายมันได้ ภาษาของคนใช้จนหมดแล้วก็ไม่สามารถบรรยายได้ แล้วท่านจะทำอย่างไร  ถึงแม้ท่านจะบำเพ็ญจนถึงเวลาที่สำเร็จสมบูรณ์  ท่านก็ไม่อาจทราบเรื่องใดๆที่เลยล้ำระดับชั้นของท่าน   ท่านประจักษ์แจ้งในมรรคผลที่ใหญ่เพียงไร  ท่านก็จะมีปัญญามากเท่านั้น   นี่คือบรรดาสิ่งที่ท่านได้รับจากการบำเพ็ญ  ซึ่งกำหนดโดยระดับชั้นนี้

ศิษย์           คนที่ไม่ได้บำเพ็ญฝ่าหลุนฝอฝ่า  แต่ปกติซินซิ่งดีมาก  ในอนาคตจะเป็นอย่างไร

อาจารย์      อนาคตก็เวียนว่ายตายเกิดต่อไปในวัฏสงสารหกทางของเขา  ท่านว่าจะทำอย่างไรได้ละ  ต่อให้   ซินซิ่งของเขาดีขึ้นไปอีก  ยังคงเปรียบเทียบกับมาตรฐานของคนธรรมดาสามัญนี่นะ   ลองเปรียบกับมาตรฐานของฝ่าดู  ก็ไม่แน่ว่าจะดีแล้ว

ศิษย์           บางทีตาทิพย์มองเห็นสิ่งที่ดีกับไม่ดี  ไม่สามารถร่วมกลุ่มศึกษาฝ่าและร่วมฝึกพลัง  ด่านนี้ข้ามไปไม่ได้  ช่างทุกข์ทรมานมาก

อาจารย์      มองเห็นสิ่งของแล้วไม่เคลื่อนไหวความคิด ท่านสนใจว่ามันดีหรือเลว ยังคงเป็นตัวท่านที่เคลื่อนไหวความคิดแล้ว   ท่านมองเห็นแล้วก็มองเห็นไป  อะไรท่านก็ไม่ต้องคิด  ท่านก็ไม่ไปกับมัน  ก็เหมือนดูภาพยนตร์  จะสามารถกระทบต่อการฝึกพลังของท่านได้หรือ  ข้าพเจ้าไม่เชื่อนะ   ที่สามารถกระทบการฝึกพลังของท่านได้  เพราะใจท่านหวั่นไหวแล้ว  วินิจฉัยว่าสิ่งไหนดีท่านก็ไปกับมัน  สิ่งไหนไม่ดีท่านก็ไม่ไปกับมัน ท่านจะไปกับใครก็ไม่ดีทั้งนั้น  ต่อให้ดีเพียงไรพอท่านไปกับมันก็ไม่ดี  ใครก็ไม่อาจนำพาท่านสำเร็จสมบูรณ์ได้   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  โลกนี้ไม่มีเทพสักองค์อยู่ที่นี่ช่วยคน   ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ถ่ายทอดอยู่ที่นี่  ใครมารบกวน ใครก็ต้องตกลงไป  เท่ากับมันรบกวนต้าฝ่าของจักรวาล  เทพ  พระพุทธ เต๋า จะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ต้องตกลงไป

  มนุษย์เกิดการเบี่ยงเบนไปตั้งนานแล้ว  พฤติกรรมของมนุษย์ในปัจจุบัน  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์  ทุกสิ่งบรรดามีของมนุษย์นั้น  ล้วนไม่ควรที่มนุษย์จะมีไว้    ถ้าไม่ถ่ายทอดฝ่านี้  คนในวันนี้ไม่แน่ว่าจะไม่มีอยู่ตั้งนานแล้ว   จักรวาลนั้นก็มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่  เสื่อมถอย   ท่านไม่ยอมรับว่ามันมีภัยพิบัติ  แต่ดาวเคราะห์ในจักรวาล  ใครก็มองเห็นแล้ว   ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์มองเห็นมีดาวเคราะห์ระเบิดมากมายเหลือเกินแล้ว  โลกจะไม่ระเบิดได้หรือ   จะมีแต่ดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ระเบิดเท่านั้นหรือ    แน่ละเรื่องชนิดนี้ไม่เกิดขึ้นกับโลกของเราอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าเพียงแต่อธิบายหลักการนี้

ศิษย์           “การบรรยายฝ่าที่อเมริกา”กับ”การบรรยายฝ่าที่ซิดนีย์” ในนั้น พูดถึงการเรียงตัวจากอะตอมถึงโมเลกุล คือสองแสนหรือสองล้านอณู  อันไหนที่ถูกต้อง

อาจารย์      อันไหนก็ถูก สองแสนก็ไม่ผิด  ความคิดคนชอบมองปัญหาอย่างตายตัว   โมเลกุลนั้นมีชั้นเป็นจำนวนมากมาย  เนื่องจากการรับรู้ของวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันนั้นคลุมเครือใช่ไหม  ข้าพเจ้าเพียงใช้คำพูดของมันมาบรรยาย  หากท่านจะต้องขุดคุ้ยไปถึงรากให้ได้  เช่นนั้นท่านก็นับตามจำนวนสองแสนก็แล้วกัน  แต่ก็ไม่ถูกต้องแม่นยำ  เฉพาะแค่โมเลกุลก็มีชั้นเป็นจำนวนมากมาย  อณูใหญ่เล็กไม่เท่ากัน

ศิษย์           เรื่องการเซ่นไหว้พระพุทธรูป  บางคนบอกว่าเป็นฝ่าเซิน(ธรรมกาย)ของอาจารย์  บางคนบอกว่าเป็นฝ่าเซินของพระพุทธรูปเอง

อาจารย์      เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดแล้ว  ไม่มีพระพุทธองค์ใดอยู่ที่นี่ช่วยคน  แล้วมีอะไรหรือ  บนพระพุทธรูปบางองค์อาจเห็นเป็นพระพุทธองค์เดิม   แต่น้อยมากๆ  ซึ่งยังต้องเป็นชนิดที่เป็นวัดเก่าแก่  บนพระพุทธรูปองค์นั้นจะมี    เพราะข้าพเจ้าทำเรื่องนี้ ได้ทำที่ข้างบนก่อนแล้ว  ค่อยกลับมาทำมิตินี้ของมนุษย์  แล้วกลับมาทำสามภพ  ดังนั้น เวลาที่ทำเรื่องนี้  ใครที่ถูกปิดล้อมเอาไว้ในนี้ก็ออกไปไม่ได้  ใครที่ไม่ถูกปิดล้อมเอาไว้นั้นไม่มีเลย   แต่ที่ถูกปิดล้อมเอาไว้แล้วเขาก็ไม่สนใจอะไร  และอะไรก็ไม่ทำ  เขาเห็นท่านบำเพ็ญได้ดี   บางทีอาจจะพูดกับท่านสักหน่อย  แต่เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆของท่านอย่างเด็ดขาด

ศิษย์           บางคนพูดว่าบนพระพุทธใหญ่ที่เทียนถานคือฝ่าเซินของอาจารย์  ก็คืออาจารย์

อาจารย์      ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปฮ่องกง  ข้าพเจ้าพบว่าบนพระพุทธรูปไม่มีพระพุทธ  หาได้บรรลุถึงเป้าหมายของการเบิกเนตร  แต่กลับมีสิ่งยุ่งเหยิงเลอะเทอะ สิงอยู่บนนั้น  ข้าพเจ้าจึงชำระมันไป   เมื่อข้าพเจ้าชำระแล้วก็ให้ฝ่าเซินของข้าพเจ้าดูแล  ก็เป็นเรื่องอย่างนี้   คนกราบไหว้กันมากอย่างนั้น  ไหว้สิ่งเลอะเทอะเหล่านั้นได้อย่างไรหนา  และนั่นเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงดูแล

ศิษย์           ร่างกายที่ออกนอกสามภพจะมีกรรมแห่งโรคปรากฏไหม

อาจารย์      ไม่มี  แต่ผู้บำเพ็ญเราทุกวันนี้ ภายในร่างกายยุ่งเหยิงมาก  แต่กำลังปรับแก้ให้ทั้งหมด  วิธีการบำเพ็ญฝ่าถูกต้องใดๆ  หลังจากออกจากสามภพแล้ว  ร่างกายก็จะไม่ปรากฏสภาพของกรรมแห่งโรคนี้แล้ว  ไม่มีแล้วอย่างแน่นอน    แต่หากเขายังไม่ได้บรรลุมรรคผลของเขา  เขายังจะเกิดความขัดแย้งระหว่างคนด้วยกันในสังคมคนธรรมดาสามัญ  หรือการเสียดสีด้านซินซิ่ง  ก็จะมีตลอดเรื่อยไปจนถึงก่อนจะสำเร็จสมบูรณ์

ศิษย์           เรื่องทำนองเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เป่ยจิง  ผู้ฝึกที่ยืนหยัดบำเพ็ญจริงจะเป็นอย่างไร 

อาจารย์      ผู้ฝึกที่ยืนหยัดบำเพ็ญจริงเป็นอย่างไร  คำพูดนี้ของท่านหมายความว่าอะไร   ดูเหมือนทุกท่านล้วนฟังไม่เข้าใจกันกระมัง  หมายความว่าท่านไม่ได้เข้าร่วม  ตัวท่านเอง “ยืนหยัดบำเพ็ญจริง”  ความหมายคืออย่างนี้ใช่ไหม  ในคำพูดมีการหาข้ออ้างและเหตุผลที่ตนเองพลาดโอกาสของการสำเร็จสมบูรณ์   ยังมีใจเล่นเล่ห์มาที่ข้าพเจ้าตรงนี้ หลักการนั้น ข้าพเจ้าได้พูดไว้ชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว   เรื่องราวในแต่ละครั้ง  เมื่อเกิดเรื่องใหญ่อย่างนี้ขึ้น  ล้วนเป็นการทดสอบผู้ฝึกที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ต่อการเดินสู่ความสำเร็จสมบูรณ์ก้าวที่ดีที่สุดก้าวนั้น และโอกาสที่ดีที่สุด   พวกเราบางคนก็สามารถก้าวออกมาได้  บางคนเขายังรู้สึกว่าเพื่อการบำเพ็ญจริงของตนเองจึงไม่ทำอะไร จะสำเร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ท่านไม่ทำอะไรเลย  ข้าพเจ้าว่าท่านจะทำอย่างไรได้บ้าง  ท่านก็ไม่คิดจะสำเร็จสมบูรณ์    เอาแต่บำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่ออะไรกัน  ไม่ใช่เพื่อสำเร็จสมบูรณ์หรือ ที่แท้คือเพื่อหาข้ออ้างให้กับตัวท่านเอง   หาข้ออ้างให้กับจิตยึดติดอีกอย่างหนึ่ง  ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญจริงแล้วไม่หวั่นไหว   ตามปกติท่านแสดงออกมาอย่างผู้บำเพ็ญจริงกระนั้นหรือ  ไม่หวั่นอย่างนั้นหรือ

ศิษย์           เคยพบกับท่านในสวนสาธารณะ  ในเวลานั้นท่านเคร่งขรึมมาก  แต่จนเดี๋ยวนี้ยังวางใจไม่ลง  กลัวพบกับท่าน แต่ก็อยากจะพบท่าน 

อาจารย์      ดูเหมือนเวลาที่เคร่งขรึมนั้นมีน้อย  โดยเฉพาะในขณะข้าพเจ้าอยู่ในฝ่าฮุ่ย(ที่ประชุมธรรม)ประเทศเยอรมนี  ฝรั่งเศส  ยุโรป  ข้าพเจ้าเคยพูดอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าว่า เพียงท่านสามารถศึกษา  เพียงท่านสามารถบำเพ็ญ  ไม่ว่าท่านจะทำผิดอะไรมาก่อน  ข้าพเจ้าก็จะช่วยเหลือท่าน  ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าได้เปิดประตูหนึ่งที่ใหญ่มากไว้  ที่จริงข้าพเจ้าเปิดจนไม่มีประตูแล้ว  ก็ดูแต่ใจคน  ทุกท่านอย่าคิดมากอย่างนั้น  ข้าพเจ้าไม่มีบุญคุณและความแค้นอะไรกับคนอย่างแน่นอน   ท่านพูดว่าข้าพเจ้าดี  ท่านพูดว่าข้าพเจ้าเลว ล้วนแต่ไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจข้าพเจ้าเลย  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสามารถทราบจิตใจของพวกท่าน  ท่านคิดจะบำเพ็ญ  และท่านสามารถบำเพ็ญได้จริง  ข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบต่อท่าน      

ศิษย์     ผู้ฝึกใหม่ จะนับได้อย่างไรว่าเคยมีประวัติเป็นโรคจิต  บรรพบุรุษมีประวัติเป็นโรคจิตใช่ไหม

อาจารย์      เรื่องนี้ โรงพยาบาลมิใช่มีข้อสรุปแล้วหรือ  แสดงออกมาไม่ปกติ  มีสติไม่แจ่มชัด  หาตนเองไม่เจอ  ฝ่านี้ของเราก็คือให้กับคน  จะช่วยจิตหลักของคน  ถึงเวลาตัวคนเองหาตนเองไม่เจอแล้ว  เช่นนั้นข้าพเจ้าให้ฝ่ากับใครละ  ก็ด้วยเหตุนี้ ดังนั้นจึงไม่มีทางจะช่วยได้

ศิษย์           ขณะศึกษาฝ่า ฝึกพลัง  ในความคิดมีสิ่งที่ขัดแย้งกับฝ่า  เป็นทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิด ต่อไปจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

อาจารย์      ต่อไปจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง  ขณะนี้มิใช่กระทบต่อท่านอยู่หรือ  ท่านทราบแล้วว่ามันเป็นทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิด  มันไม่ใช่ท่าน  ท่านเองรู้สึกว่าฝ่าดี เหตุใดในความคิดท่านไม่ขัดแย้งกับมันละ ท่านเองต้องการฝึกพลัง  ต้องการนั่งสมาธิ  มันก็จะให้ท่านไม่สงบ  ก็ไม่ยอมให้ท่านฝึกพลัง  ท่านยังจะยอมรับมันได้อย่างไรละ  ร่างกายของคนแต่ละส่วน ล้วนเป็นตัวเอง  เพราะมันคือท่าน  ปากของท่านคิดจะอ้าอย่างไรก็อ้าอย่างไร  คิดจะส่งเสียงอะไรออกมาก็ส่งเสียงอะไรออกมา   ปากนี้เป็นของท่าน  มือของท่านจะขยับอย่างไร  ท่านให้มันขยับอย่างไรมันก็จะขยับอย่างไร  มันคือท่าน   แขนขาทั้งสี่ของท่านล้วนเป็นเช่นนี้  ฉะนั้นเหตุใดเวลาท่านนั่งสมาธิ  ความคิดของท่าน  ท่านให้มันสงบมันจึงไม่สงบละ  เพราะมันไม่ใช่ท่าน  สิ่งเหล่านี้  หากท่านแยกแยะไม่ชัดเจน  ถือว่ามันเป็นตัวเอง  เราก็ไม่ช่วยท่าน ใช่หรือไม่  ท่านยอมรับสิ่งที่ไม่ดีนี้ว่าเป็นท่าน  เราก็ไม่อาจช่วยได้แล้ว ผู้ที่เราช่วยคือคนไม่ใช่มาร  ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้  แม้แต่มารก็ยังไม่ใช่  มันก็คือสิ่งเลอะเทอะยุ่งเหยิง   ไม่ได้ประกอบเป็นชีวิตเอกเทศใดๆ  มันสิงอยู่ในความคิดของท่านสำแดงผล  เราจะถือว่ามันเป็นของอะไรแล้วช่วยให้เป็นพระพุทธได้ไหม  นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง   ในขั้นตอนการบำเพ็ญ ให้บำเพ็ญมันทิ้งไป  ต่อไปจะไม่ส่งผลกระทบ  

ศิษย์           ท่านอาจารย์ บทความจิงเหวิน “”(ท้องนภา) ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน ความนัยที่อยู่ข้างในคืออะไร

อาจารย์      เวลาที่ข้าพเจ้าใช้ภาษาเหวินเอี๋ยน(ภาษาฮั่นโบราณ)เขียนบทความ ดูเหมือนทั้งหมดจะไม่มีเครื่องหมายเลย  (ท้องนภา) “苍穹” (ท้องนภาของสวรรค์)ก็คือความหมายของจักรวาล   จักรวาลนี้พูดให้เป็นแนวคิดของพวกท่าน เมื่อก่อเกิดเป็นขอบเขตหนึ่งแล้ว  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะเปลี่ยนเป็นศัพท์เป็นอีกคำหนึ่ง  ขยายขอบเขตแนวคิดของพวกท่านให้กว้างออกไป   ข้าพเจ้ายังเคยใช้คำว่า “ร่างนภา”(天体) คำศัพท์อย่างนี้   ภาษาของมนุษย์ก็มีเพียงเท่านี้  ไม่มีอีกแล้ว   ที่ใหญ่ขึ้นไปอีกมันก็ไม่มีคำศัพท์แล้ว  ไม่อาจบรรยายได้แล้ว

ศิษย์           ความหวาดกลัวที่มีอยู่ในระหว่างบำเพ็ญ  อยู่ในระดับชั้นไหนจึงจะสงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน

อาจารย์   ข้าพเจ้าว่าความกลัวของท่านนี้เป็นปัญหามาก  หากท่านบำเพ็ญได้สูงอย่างนั้นจริงๆก็จะไม่กลัวแล้ว  บำเพ็ญยิ่งดีจะยิ่งกลัวได้อย่างไรละ   พวกเราที่เพิ่งศึกษาพลัง เดิมทีกลัวที่จะเดินในที่มืด  ขี้กลัว  ท่านก็ค้นหาปัญหาของท่านดูเถอะ   นี่ไม่ใช่ปัญหาระดับชั้นอย่างแน่นอน   ที่กลัวนั้นไม่ใช่ท่าน   แม้แต่ท่านเองก็ไม่ทราบว่ากลัวได้อย่างไร  บางคนบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าเป็นเวลานาน  แต่ใจไม่ได้อยู่ในฝ่า จะได้อย่างไร  เขาไม่บำเพ็ญจริง  สิ่งที่เป็นพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง  อะไรๆก็จะไม่ได้รับ  ปัญหาอะไรก็อาจจะเกิดได้  การบำเพ็ญนั้นอาศัยการยกระดับของซินซิ่งแสดงออกมา  หาใช่อาศัยเวลาสั้นหรือยาวแสดงออกมา

ศิษย์           ในหนังสือ “วิธีสู่ความสำเร็จสมบูรณ์” มีหลายจุดที่ไม่เหมือนกับในวิดีทัศน์สอนพลังของอาจารย์ จะถืออันไหนเป็นบรรทัดฐาน

อาจารย์      ในหนังสือ“วิธีสู่ความสำเร็จสมบูรณ์” ไม่เหมือนกับในวิดีทัศน์สอนพลัง  ท่าฝึกล้วนเป็นข้าพเจ้าที่แสดงออกมา  ล้วนแต่เหมือนกัน  ตัวอักษรมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง  ท่านเฝ้าสนใจแต่ข้อปลีกย่อยใช่หรือไม่  การฝึกพลังต้องมองภาพรวมอย่าคุ้ยแคะเรื่องหยุมหยิมนั่น

ศิษย์           ผู้ฝึกเก่ากับผู้ฝึกใหม่มีความคิดเห็นต่างกัน  มีวิธีปฏิบัติต่างกัน แต่ต่างก็สามารถจะก้าวหน้า ผู้ฝึกใหม่กับผู้ฝึกเก่าจะแยกสนามฝึกกันได้ไหม

อาจารย์      ไม่ได้  สิ่งที่ผู้ฝึกเก่าพูดจะมีแรงกระตุ้นต่อผู้ฝึกใหม่  จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป   ผู้ฝึกเก่าคนนั้นฝึกได้ไม่เลวจริงๆแล้ว  เขาจึงฟังคำพูดของผู้ฝึกใหม่ไม่เข้าหู  เพราะผู้ฝึกใหม่พอเริ่มต้น สิ่งที่พูดจะเป็นคำพูดของคนธรรมดาสามัญมากมาย  ใช้การรับรู้ของคนธรรมดาสามัญในการเข้าใจฝ่า  เขาจึงทนฟังไม่ได้  เรื่องนี้ก็ตำหนิเขาไม่ได้  ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกเก่าบางคนกลับไปฝึกที่บ้านหรือฝึกตามลำพัง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดคัดค้านออกมา  แต่ว่านะ  หากท่านยังไม่ได้รับรู้สูงถึงอย่างนั้นละก็  นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะฝืนทำ  บางคนนั้นไม่ใช่สภาพการณ์อย่างนี้   เห็นชัดว่าสามารถฟังได้   แต่เอาแต่พูดว่าฟังไม่ได้  ก็คือไม่อยู่ร่วมกับทุกคนแล้ว   ข้าพเจ้าว่านั่นเป็นจิตโอ้อวด  เพราะกรณีแรกนั้นเป็นไปตามธรรมชาติ

ศิษย์           สสารที่ฝั่งนั้น ล้วนแต่ข้ามไปจากฝั่งนี้  ผมไม่เข้าใจ

อาจารย์      ท่านเข้าใจไม่ดีพอ  และไม่ใช่แนวคิดนี้ที่ท่านเข้าใจ   ทุกท่านทราบ  ท่านคิดจะไปโลกสวรรค์ ท่านต้องผ่านการบำเพ็ญ   ขจัดทิ้งสิ่งที่ไม่ดีในตัวท่าน  หากท่านจะนำร่างกายนี้ไป ยังต้องกลืนกลายเป็นวัตถุของฝั่งนั้น  กลืนกลายเป็นร่างพระพุทธท่านจึงจะสามารถนำไปได้  มันเป็นความสัมพันธ์ของการเลื่อนระดับขึ้นชนิดหนึ่ง   หากพูดว่าจะนำสสารที่สกปรกอย่างนี้ไปวางบนโลกของพระพุทธ  นั่นจะไหวหรือ  ไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด  มันเป็นสสารที่เลื่อนระดับขึ้น วัตถุใดๆล้วนต้องมีขั้นตอนของการเลื่อนระดับขึ้นจึงจะข้ามไปฝั่งนั้นได้

ศิษย์           เจ้าหน้าที่ศาสนกิจ (พระคริสต์) ความหมายคืออะไร

อาจารย์      เจ้าหน้าที่ศาสนกิจหมายถึงบาทหลวงเจ้าคณะสงฆ์    นักบวช ของศาสนาทางตะวันตก  พวกเขาล้วนเรียกว่าเจ้าหน้าที่ศาสนกิจ  คนตะวันออกไม่มีแนวคิดนี้  และไม่มีชื่อเรียกนี้ 

ศิษย์           ขณะศึกษาฝ่าอยู่  ผู้ฝึกบางคนก็นั่งสมาธิ การทำอย่างนี้กระทบต่อการศึกษาฝ่าหรือไม่

อาจารย์      เวลานั่งสมาธิท่านก็ฝึกนั่งสมาธิ  ท่านทราบ เวลาท่านนั่งขัดขาได้ไม่นาน  ท่านก็จะปวดจนแยกเขี้ยวยิงฟัน(หน้าตาบิดเบี้ยว)  ท่านก็ศึกษาฝ่าได้ไม่ดี  การศึกษาฝ่าสำคัญมาก  พฤติกรรมใดๆที่กระทบต่อเรื่องการศึกษา ล้วนอย่าได้ทำ  ท่านว่า ท่านสามารถนั่งได้  นั่นย่อมดีแน่  ก็นั่งฟังก็แล้วกัน นั่นก็ยิ่งดี นั่งศึกษาฝ่า   บางคนนั่งไม่ได้  หากนั่งไม่ได้จริงๆท่านก็คลายขา  ท่านอย่ารอจนชาแล้วค่อยคลายออก  ท่านก็ฟังไม่เข้าหัวแล้ว  มัวแต่คิดคนอื่นอย่าได้แตะถูกตัวเอง  ศึกษาฝ่าต้องศึกษาฝ่าอย่างจริงจัง

ศิษย์           ทัศนคติหลอมละลายอยู่ในฉิง(อารมณ์ความรู้สึก)แล้วหรือ

อาจารย์      ไม่ใช่แนวคิดอย่างของท่าน  ชีวิตใดๆ เพียงเมื่อเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมของสามภพ  เขาจึงซึมซับอยู่ในฉิง(อารมณ์ความรู้สึก)   การซึมซับชนิดนี้ไม่เหมือนกับคนแช่อยู่ในน้ำ  นั่นเป็นเพียงผิวหนังสัมผัสกับน้ำ  ทุกสิ่งในเซลล์ทั่วทั้งร่างกายท่าน   หากเพียงเป็นสิ่งที่เป็นโมเลกุลของระดับชั้นนี้ ล้วนซึมซับอยู่ข้างใน

ศิษย์           ในหมู่คนธรรมดาสามัญมีฉิง(อารมณ์ความรู้สึก)อยู่ก่อน หรือมีทัศนคติก่อน

อาจารย์      พอท่านเกิด ท่านก็อยู่ในฉิง   กระทั่งยังไม่คลอดออกมาก็อยู่ในฉิงแล้ว   เนื่องจากเมื่อท่านอยู่ในครรภ์มารดา  ก็อยู่ในฉิง  เพียงแต่ท่านไม่ทราบ  แต่ท่านทราบความสัมพันธ์กับแม่   ส่วนทัศนคติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังกำเนิด คือค่อยๆก่อเกิดตามอายุที่เพิ่มขึ้น  เด็กอายุ สี่ ห้า ขวบนั้นไม่มีทัศนคติ  เขาไม่ก่อเกิดทัศนคติใดๆ

ศิษย์           งานที่ศูนย์ฝึกจัดวางควรจะทำไปตามข้อกำหนด  แต่บางคนพูดว่า  พวกเขาก็เป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญ  ต้องถือฝ่าเป็นอาจารย์  ทำตามที่ตนเองรับรู้ได้อย่างไร

อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร ต้องร่วมมือกับศูนย์ฝึก  ไม่อาจทำอย่างไรๆเอง นี่เป็นข้อหนึ่ง   ข้อสอง  ข้าพเจ้าก็ขอบอกพวกท่าน เรื่องที่ศูนย์ฝึกทำ ก็ล้วนเป็นเรื่อง ในสภาพการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  เป็นการทำตามข้อแนะนำของสมาคมวิจัยที่เป่ยจิง   ผู้รับผิดชอบของเราหลายคนเคยทำเรื่องมากมาย  ซึ่งล้วนแต่ทำได้ค่อนข้างดี ความผิดพลาดนั้นยากจะหลีกเลี่ยง  พวกเขาก็เป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญ  จุดนี้พวกท่านไม่ผิด  กิจกรรมที่พวกเขาจัดขึ้น  ก็แยกไม่ออกจากการบำเพ็ญของพวกเขาเอง  เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะต้องเอาใจใส่  อย่าต่างคนต่างทำ  ดังนั้นทุกท่านอย่าใส่ใจกับเรื่องนี้  ถ้าพวกเขามีความผิดพลาดจริงๆ  เช่นนั้นก็สามารถพูดกับพวกเขาด้วยเจตนาดี  ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าพูดได้ถูกต้องจริง  พวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับ ทุกท่านต่างเป็นผู้บำเพ็ญ  ข้าพเจ้าเคยพูดประโยคหนึ่งเสมอๆ ข้าพเจ้าว่าหากท่านใช้จิตใจที่เมตตา  ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย ไม่คิดถึงตัวเองสักนิด  เพื่อผู้อื่นได้ดีทั้งหมด  สิ่งที่ท่านพูดกับเขา  จะทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาร่วง  ถ้าสิ่งที่ท่านพูด  เป้าหมายโดยพื้นฐานคือเพื่อตัวเอง  แต่ละคำพูดยังต้องวกไปวนมา  โอ้ เขาอย่าเข้าใจผิดฉันในเรื่องนี้ อย่าเข้าใจผิดฉันในเรื่องนั้น  คำพูดนี้ที่ฉันพูดอย่าให้คนอื่นจับจุดมาโจมตีได้ในภายหลัง  อะไรท่านก็มีทั้งนั้น  คำพูดนั้นที่ออกมาจากการเคลื่อนไหวในสมอง  มีสื่อสัญญาณที่ไม่ดีอย่างมาก   หากท่านเจตนาดีจริงๆ  ไม่มีของอะไรของตนเอง  คำพูดที่พูดออกมา ก็จะบริสุทธิ์ดีงาม

            ในอดีตคนโบราณทำอะไรรวดเร็วมาก  เดินได้วันละร้อยลี้  ส่วนม้านั้นเดินทางได้วันละพันลี้  ไม่พูดโกหก  ความคิดคนค่อนข้างเรียบง่าย  ค่อนข้างมุ่งมั่นใจจดใจจ่อ   ทำเรื่องอะไรก็จะมุ่งไปเส้นทางเดียว  เขาจะต้องทำให้ดี  คำพูดเชื่อถือได้  เขาบอกว่าจะทำ  เขาก็ต้องทำให้ท่านอย่างแน่นอน  นี่คือคน  คนปัจจุบันคำพูดเชื่อถือไม่ได้  ทำอะไรวกไปวนมา คนในอดีต  ความคิดนั้นที่ออกมาจากสมองของเขาเหมือนกับถนนเส้นหนึ่ง  ในอดีตจะเป็นเส้นหนึ่งที่ตรงๆ  เขาจะเดินอย่างรวดเร็วมาก  แต่ปัจจุบัน  เขาจะวกวนไปมา  กังวลอย่างนี้  เป็นห่วงอย่างนั้น   ความคิดนั้นพอออกมามันก็เดินขวางกลับไปกลับมา  ดังนั้นความคิดจะสะท้อนออกมาเร็วมาก  แต่การกระทำกลับช้ามาก บางคนเอ้ออ้าๆอยู่ที่ปากครึ่งวันค่อยพูดออกมา  ดังนั้นการทำงานของคนปัจจุบันจึงเชื่องช้า  วันหนึ่งสามารถเดินได้ยี่สิบลี้ฟ้าก็มืดแล้ว   หากคนพัฒนาไปเช่นนี้อีก ก็ไม่ไหวแล้ว  ยิ่งซับซ้อนยิ่งไม่ดี  ใครๆก็รู้

  แต่บางคนพูดว่า  ฉันไม่พูดยุ่งยากสักหน่อยคนอื่นจะเอาเปรียบฉันได้   แต่ข้าพเจ้าก็ขอบอกท่าน  คนๆนี้ ใครที่ทำไม่ดี ตนเองต้องแบกรับสิ่งที่เขาทำไว้เองทั้งหมด  เพราะคนเป็นเช่นนี้  พวกท่านล้วนคิดจะปกป้องตนเองอย่างนี้   สังคมมนุษย์จึงถูกผลักมาถึงก้าวนี้ได้  จึงไถลลงไป   ดังนั้นแต่ละคนต่างต้องรับผิดชอบ  ชาตินี้ภพนี้ ท่านไม่ได้ทำชั่ว แต่ชาติก่อนภพก่อนท่านได้ทำไว้แล้ว  ที่จริงในคำพูดและการกระทำของท่าน  ล้วนสอดคล้องกับกระแสของยุคปัจจุบัน   จึงเท่ากับลื่นไหลไปตามกระแส

ศิษย์             ตัวเองรู้สึกว่าเวลากระชั้นมาก  แต่กลับบำเพ็ญไม่ดี  กลัวว่าจะไม่ทันกาล

อาจารย์      จิตยึดติดอะไรก็มี  แม้กระทั่งจิตยึดติดอย่างนี้   ถึงวันนั้นที่จะออกจากสามภพ  ถ้าท่านกลัวก็ต้องตกลงมา  ดังนั้นท่านอย่าได้กลัว  กลัวจะบำเพ็ญได้ไม่ดีอะไร  ก็ความกลัวเรื่องเดียวนี้  ก็สามารถทำให้ท่านบำเพ็ญไม่สำเร็จ สนใจแต่ปล่อยวางจิตใจ ไปบำเพ็ญ  อะไรอื่นก็ไม่ต้องสนใจ  ก็ได้ฝ่าแล้วยังจะกลัวอะไร  ในอดีตพูดกันว่า เช้าได้ฟังธรรม  เย็นจะตายก็ไม่เป็นไร  ใครก็ไม่เข้าใจความนัยที่แท้จริงของมันว่าคืออะไร อะไรที่เรียกว่า -เช้าได้ฟังธรรม  เย็นจะตายก็ไม่เป็นไร   ใช่ไหมว่า ตอนเช้าฉันได้ฟังธรรม  ตกค่ำก็ตายไปแล้ว    ไม่ใช่ความหมายนี้   มันหมายถึง  เช้าฉันได้ธรรมะแล้ว  ค่ำลงหากฉันต้องตายฉันก็ไม่กลัวเลย  นี่คือความนัยที่แท้จริงของมัน  ทุกท่านลองคิดดู  ได้ฟังธรรมแล้ว  ใครได้ฟังธรรมแล้ว คือตนเองได้ธรรมะแล้ว  สิ่งที่บรรจุเข้าไปในสมองท่านคือฝ่าใช่หรือไม่  ที่บรรจุเข้าไปในสมองท่านคือฝ่า   สิ่งที่บรรจุเข้าไปในสมองท่านคือฝ่านี้  เขาหลอมเข้าไปในความคิดของท่านแล้ว นี้แน่นอนทีเดียว   หาไม่ท่านก็จำเขาไม่ได้  ส่วนที่ได้ฝ่าแล้วนี้  ถ้าตายไปจริงๆแล้ว ท่านจะลงนรกได้หรือ  ท่านจะเข้าสู่วัฏสงสารหกทางได้หรือ   ส่วนนี้ที่ได้ฝ่าแล้ว  กลืนกลายเข้ากับฝ่า  วันนี้ท่านได้ศึกษาฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้แล้ว  อ่านหนังสือซ้ำๆไปมา  ท่านยังจะคิดถึงเรื่องพวกนั้นไปทำไม  สนใจแต่ไปบำเพ็ญเถิด  ความกลัวใดๆล้วนเป็นจิตยึดติด  จิตยึดติดใดๆล้วนเป็นอุปสรรค

ศิษย์           หลังจากศึกษาจิงเหวิน “สนทนากับกาลเวลา”  ผู้ฝึกมีความเข้าใจต่อเวลาไม่เหมือนกัน

อาจารย์      ไม่เหมือนกันก็ไม่เหมือนกัน  พวกท่านได้ฟังเรื่องแปลกใหม่ก็เกิดยึดติด  ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน   สิ่งต่างๆมากมายที่ท่านคิดไม่ถึงล้วนเป็นเทพ  กระทั่งบางอย่างที่ท่านพูดถึงบ่อยๆ โดยที่คาดคิดไม่ถึง  จักรวาลนี้ช่างใหญ่โตเหลือเกิน  เรื่องมากมายนั้นไม่อาจให้คนได้รู้   ไม่ใช่มีการง่วงสัปหงกหรือ  พอท่านอ่านหนังสือ  ท่านก็อยากนอน  พอศึกษาฝ่าท่านก็สลึมสลือใช่ไหม ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  เขาก็คือเทพที่อยู่ในมิติระดับชั้นนี้ของมนุษย์ ท่านทะลวงผ่านเขาไปไม่ได้ ท่านก็คือคน  เขาก็ไม่มีเจตนาที่จะทำอย่างไรกับท่าน  เขาปฏิบัติต่อทุกๆคนอย่างนี้ทั้งนั้น  ดังนั้นคนจะอ่อนล้า  จะง่วงนอน  หากท่านอยากจะหลุดพ้นจากความเป็นคน  อะไรๆท่านก็ต้องทะลวงให้ผ่าน  ท่านจึงจะสำเร็จได้   หากท่านคล้อยตามเขา  เช่นนั้นเขาก็ถือว่าท่านเป็นคน 

ศิษย์           ท่านอาจารย์ ใน“กาบรรยายฝ่าที่ซิดนีย์” กับ “การบรรยายฝ่าที่อเมริกา” พูดถึงการประกอบขึ้นเป็นมิติจักรวาลกับจุดกำเนิดของชีวิต  เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการบำเพ็ญของพวกเรา

อาจารย์      การประกอบขึ้นเป็นจักรวาลกับจุดกำเนิดของชีวิต  มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการบำเพ็ญของพวกท่าน   และข้าพเจ้าก็มีจุดประสงค์ในการบรรยาย  ท่านศึกษาไม่ถึงตรงนั้น    เขตแดนของท่านบรรลุไม่ถึงระดับชั้นนั้นท่านจะรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับท่าน  แต่ “การบรรยายฝ่าที่อเมริกา” ของข้าพเจ้านั้น มุ่งบรรยายต่อปัญญาชนระดับสูงสามพันกว่าคน    ในหมู่ผู้ฝึกเหล่านี้มีคนอยู่ครึ่งหนึ่งที่มีปริญญา  มีปริญญาเอก ปริญญาโท    บางคนได้ปริญญาสามใบห้าใบแล้ว นี่ล้วนเป็นหัวกะทิของคนจีนที่ไปอยู่ที่นั่น  ข้าพเจ้าบรรยายให้กับพวกเขา  ผู้ฝึกเหล่านี้ ศึกษาสาขาวิชาอะไรก็มี  ความคิดเปิดกว้างอย่างมาก   แต่ละคนที่ศึกษาฝ่าล้วนแต่มีปมอยู่ปมหนึ่ง  ปมที่คลายไม่ออกก็คืออุปสรรค  ข้าพเจ้าจึงต้องบรรยายตามสภาพการณ์นั้นของพวกเขา  ทำลายปมของพวกเขา  นี่คือจุดประสงค์หนึ่ง  แน่ละ ยังมีความนัยที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

ศิษย์           “ฝ่าหลุนจวงฝ่า”(ท่ายืนสมาธิ) สามารถโอบหลุน(โอบแขน) เพียงท่าใดท่าหนึ่งได้ไหม       “ก้วนทงเหลี่ยงจี๋ฝ่า”(ทะลวงสุดสองขั้ว) คือแขนท่อนบนนำพาแขนท่อนล่างหรือว่าแขนท่อนล่างนำพาแขนท่อนบน 

อาจารย์      หลักพลังของเรานั้นสะดวกสบายมาก ท่านจะฝึกท่าใดท่าหนึ่งต่างหากก็ได้ทั้งนั้น   พวกเรา เพื่อให้สอดคล้องกับคนที่มีการงานทำ  สามารถทำให้ท่านบำเพ็ญได้ในท่ามกลางกิจกรรมสังคมที่รัดตัว  ดังนั้น จึงสะดวกเช่นนี้  เปิดแนวทางบำเพ็ญที่สะดวกเช่นนี้ให้  ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพการณ์ใดท่านก็สามารถบำเพ็ญได้  มีเวลามากก็ฝึกมาก มีเวลาน้อยก็ฝึกน้อย  (พอมีเวลาก็ฝึกชดเชย)  แต่ดีที่สุดคือฝึกทั้งหมด  ก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้

  “ก้วนทงเหลี่ยงจี๋ฝ่า”(ทะลวงสุดสองขั้ว)  ไม่ใช่แขนท่อนล่างนำพาแขนท่อนบน  และไม่ใช่แขนท่อนบนนำพาแขนท่อนล่าง  ข้าพเจ้าว่าดูเหมือนเคลื่อนทั้งลำแขน  แต่หลักพลังชุดที่ห้าคือแขนท่อนล่างนำพาแขนท่อนบน ก้วนทงเหลี่ยงจี๋ฝ่านั้น หากกำลังอยู่ที่แขนท่อนล่าง  เวลาทำดูเหมือนจะค่อนข้างน่าดูสักหน่อย   ข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ที่นี่ ก็คือพวกท่านอย่าเจาะเข้าไปในเรื่องรายละเอียดนี้  ต้องมองไปที่ภาพรวม ไปศึกษาฝ่า

ศิษย์           เนื่องจากผมห้ามเขาขายหนังสือลอกเลียนแบบ  ดังนั้นเขาจึงขุ่นเคืองผม  แล้วดึงผู้ฝึกกลุ่มหนึ่งแยกออกไปฝึกพลัง  ผมควรปฏิบัติต่อเขาอย่างไรดี

อาจารย์      หากเขาขายหนังสือลอกเลียนแบบเพื่อหาเงิน  ข้าพเจ้าขอบอกท่านอย่างชัดเจนตรงนี้ว่า เขาไม่ใช่ศิษย์ของข้าพเจ้า   ถ้าเขาซื้อหนังสือลอกเลียนแบบ  แล้วขายต่อในราคาทุนให้กับผู้ฝึก  ก็เท่ากับเขาช่วยซื้อแทนทุกท่าน  จึงไม่อาจพูดว่าเขาทำลายฝ่า  ถ้าในหนังสือมีการแก้ไขดัดแปลง  และเขาก็ไม่ทราบ   เช่นนั้นต้องบอกเขา  อย่าทำอย่างนี้อีก  ปัญหานี้ก็จัดการอย่างนี้   อย่าทำจนขัดแย้งรุนแรง  หากต่อมาเขาแตกกลุ่มย่อยออกไป  นั่นก็ไม่ใช่พฤติกรรมของศิษย์ต้าฝ่าเราอย่างแน่นอน

ศิษย์           ผมมักจะฝันเห็นสิ่งที่เหมือนผี ควบคุมร่างกายผม   ผมคิดถึงว่าผมเป็นศิษย์ที่บำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องในทันที

อาจารย์      เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ต้องกลัว  คนที่เพิ่งเริ่มบำเพ็ญ หรือบำเพ็ญได้ชั่วระยะหนึ่งแล้ว  แต่ไม่ก้าวหน้า  บำเพ็ญเชื่องช้ามาก  อยู่ในสภาพนี้เป็นเวลานาน  ก็มักจะเห็นทัศนียภาพที่น่ากลัวเหล่านี้   เพราะอะไรหรือ  เพราะอีกมิติหนึ่ง  คนธรรมดาสามัญเรียกว่ายมโลก  ชีวิตที่นั่นมีมากเหมือนกับของเราฝั่งนี้ ตอนกลางคืนเรานอนหลับแล้ว  ฝั่งนั้นของมันก็คือกลางวัน  ฝั่งนี้ของเราเป็นกลางคืน ของมันจะเป็นกลางวัน   ของเราเป็นกลางวัน ของมันฝั่งนั้นคือกลางคืน   ตอนกลางคืนท่านนอนหลับแล้ว  เช่นนั้นตอนกลางคืนมันออกมาเคลื่อนไหวพอดี  ในอดีตคนชราพูดกันว่า  ตอนกลางคืนอย่าออกไปข้างนอกนะ  ก็มีเหตุผลของเขา  ก็คือตอนกลางคืนจะค่อนข้างมาก  ตอนกลางวันพวกมันจะพักผ่อน

            เมื่อพวกท่านเริ่มบำเพ็ญใหม่ๆ  (คนเริ่มต้นจากคนธรรมดาสามัญ)หากอยู่ในเขตแดนนี้  หากตาทิพย์ของท่านเปิดแล้ว  ท่านก็จะมองเห็นพวกมัน   เป็นเพราะท่านเริ่มต้นจากระดับชั้นที่ต่ำมากในหมู่คนธรรมดาสามัญ   มันรู้ว่าท่านสามารถมองเห็นได้  จึงมาติดต่อหรือเกิดปรากฏการณ์บางอย่างที่รบกวนการบำเพ็ญของท่าน  ล้วนเป็นไปได้  แต่ท่านต้องควบคุมตัวเองให้ดี  ไม่ไปสนใจมัน สนใจแต่ไปบำเพ็ญ ไปศึกษา  ก็จะทะลวงระดับชั้นได้อย่างรวดเร็ว  เมื่อยกระดับขึ้นแล้วก็จะไม่เห็นอีก  เป็นเพราะระดับชั้นของท่านยกระดับขึ้นแล้ว  มันก็ตามท่านไม่ทันแล้ว ท่านยังคงบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  แต่สนามที่อยู่นอกร่างกายท่าน มีความแตกต่างของมิติและเวลาแล้ว  มันเปลี่ยนจนเล็กมากแล้ว  ดังนั้นท่านจึงมองไม่เห็นมันแล้ว  มันก็รบกวนท่านไม่ได้  เรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้าเคยพูดหมดแล้วใน “ฝาเจี่ย”ก็ดี  “อี้เจี่ย”ก็ดี

ศิษย์           “คงอยู่เพื่อใคร”ใช่หรือไม่ว่าจะบอกให้พวกเราทิ้งด้านของคนให้ถึงที่สุด  ลอกเปลือกชั้นนี้ของคนทิ้งไป

อาจารย์      เป็นเช่นนี้   มีพวกเราหลายคน พอเริ่มต้นเขารู้สึกว่าฝ่าดี  เพราะเขารู้สึกว่าฝ่านี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์  สำหรับผู้บำเพ็ญ จะไม่รบกวนสังคมคนธรรมดาสามัญ  และเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก  ฉันสมควรศึกษา  จุดฐานของเขาตกอยู่ในระดับของคน  บางคนตลอดมาเป็นเวลานาน เขาล้วนแต่ใช้มาตรฐานของคนมาประเมินทุกสิ่งของต้าฝ่าเรา พอมีอะไรเพียงเล็กน้อยที่เขาเข้าใจว่า ไม่สอดคล้องกับทัศนคติของคนปัจจุบัน  หรือรูปแบบของสังคมของคน  เขาก็ไม่เอาแล้ว  ไม่ยอมรับแล้ว  ที่จริงสิ่งที่เขาปกป้องคือคน  เขาไม่คิดจะออกห่างจากคน  ก็คือเหตุผลนี้   พวกท่าน คนที่บำเพ็ญสุดท้ายคือเพื่อการสำเร็จสมบูรณ์  คือละจากคนไป  จะไม่อนุญาต ให้ท่านยึดทัศนคติของคน ไม่ปล่อยวางอย่างเด็ดขาด

ศิษย์           ผมสามารถอดทนได้กับฉิงโดยทั่วไป  แต่ได้ยินว่าบางคนพูดว่าผมไม่ดี  ผมก็ทนไม่ค่อยได้แล้ว

อาจารย์      ที่จริงแม้แต่การอดทนธรรมดาง่ายๆท่านก็ทำไม่ได้   ท่านเองนั่งอยู่ตรงนั้นคิดว่าอดทนได้  นั่นไม่ใช่อะไรเลย นั่นเป็นการคิดเพ้อเจ้อ   เวลาที่พบกับความขัดแย้ง  ถ้าท่านสามารถจะอดทน  นั่นจึงจะเป็นการสามารถอดทนได้อย่างแท้จริง   ปัญหานี้ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่ออ่านฝ่าเข้าใจแล้วจึงจะสามารถทำได้  เวลาที่ท่านพบกับความขัดแย้งหรือในทันใดที่เกิดความขัดแย้ง ในชั่วขณะนั้นหากท่านสามารถทำได้แค่ไหน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พูดว่าบางคนนั้นอดทนไม่ได้เลย  เข้าใจได้แล้วก็อดทนไม่ได้  นั่นก็ไม่นับว่าอดทน  บางคนพูดว่าสามารถจะอดทน  แต่ในทันใดเมื่อเกิดความขัดแย้ง ตัวเองยังควบคุมได้ไม่ดี  เช่นนั้นนี่ก็คือค่อนข้างบกพร่องไปหน่อย  หากทันใดเกิดความขัดแย้งท่านก็สามารถจะอดทน  กระทั่งในความฝันท่านก็ควบคุมไว้ได้  นั่นจึงจะหนักแน่น   ความฝันโดยตัวมันเองไม่ใช่การบำเพ็ญ แต่กลับสามารถทดสอบซินซิ่งของท่านว่าหนักแน่นหรือไม่  คนที่พูดว่าท่านไม่ดีคือคนธรรมดาสามัญ  หาใช่เทพ หรือพระพุทธ ไม่  ผู้บำเพ็ญเหตุใดใจจึงหวั่นไหวได้ละ

ศิษย์           บางครั้งในการรับรู้หลักการของฝ่า  หรือข้ามด่านซินซิ่ง ในใจพูดกับอาจารย์  นี่เป็นจิตยึดติดหรือไม่

อาจารย์      นี่ไม่ใช่จิตยึดติด  ไม่อาจพูดว่ามันคือจิตยึดติด แต่ว่าพูดก็พูด   ท่านก็อย่าคิดจะได้คำตอบอะไร  ท่านก็อย่าคิดจะได้อะไรตอบแทน หรือเมื่อพูดไปแล้ว ข้าพเจ้าจะให้ประโยชน์อะไรกับท่านหรือจะได้รับการอภัย  นี่ล้วนใช้ไม่ได้  ท่านพูดก็พูดไป  ถึงอย่างไรก็อนุญาตให้ท่านพูดได้  คนพูดอย่างมีใจ(เจตนา) ข้าพเจ้าคนฟังไร้เจตนา  ไม่แสวงหาและจะได้เอง  ความหมายมั่นใดๆล้วนไม่ได้ผล ท่านไม่อาจมีจุดประสงค์ใดๆในการพูดกับข้าพเจ้า  บางคนพูดว่า  ฉันก็อยากจะดูอาจารย์  อาจารย์พูดแล้วว่า  ดูสีหน้าของอาจารย์ก็สามารถจะรู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเลว   ทุกวันตื่นขึ้นมาฉันก็ดูว่าวันนี้ฉันจะผ่านไปอย่างราบรื่นหรือไม่  ฉันต้องดูรูปอาจารย์   แต่ละวันจะทำเรื่องอะไรก็จะดูหมด  จิตยึดติดของท่านนั้น ยึดติดอย่างร้ายแรงมากแล้ว   ผู้บำเพ็ญบางคนหลังจากเขาทำเรื่องอะไรผ่านไป  เขายึดกุมได้ไม่ดีเลย  เวลาที่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก   ดูสักหน่อย  เช่นนั้นจะได้รับการชี้ทางสว่าง   การบำเพ็ญคือการบำเพ็ญใจคน  พวกท่านไม่ทิ้งใจนั้นไป  ยังแสดงจิตใจนั้นต่อข้าพเจ้า

            ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   เหตุใดวันนี้ ศาสนาพุทธจึงบำเพ็ญไม่ได้แล้ว  สาเหตุที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่งคือพวกเขาไม่ใช่กำลังบำเพ็ญอยู่ หากกำลังแสวงหา   แต่การแสวงหานี้พวกเขาก็ไม่รู้สึก  เวลาที่พวกเขากราบไหว้พระพุทธ เขาคิดอะไรหรือ  พูดว่าในบ้านฉัน ใครไม่สบาย  ขอให้หลวงปู่คุ้มครองให้ฉัน  เพราะฉันศรัทธาในพระพุทธ   ความหมายของเขานั้นคือฉันศรัทธาในพระพุทธ ฉันกำลังจุดธูปนะ  เขากำลังต่อรองกับพระพุทธ ยังมีบางคนเวลาที่กราบไหว้พระพุทธ เขาก็คิด  ในความคิดจิตใจของเขาเองไม่มีจุดประสงค์ที่แจ้งชัดในการจุดธูปไหว้พระ  แต่ ในแต่ละวันที่เขากำลังทำอย่างนี้ เขารู้ว่า  ฉันนี้บูชาพระพุทธแล้ว   ฉันก็บำเพ็ญพุทธแล้ว  โอ้พระพุทธ  ท่านดูซิว่าฉันเคารพเลื่อมใสพระพุทธมากแค่ไหน  เขาเองกำลังคิด  ฉันอยู่ต่อหน้าพระพุทธมีความเคารพมากเพียงไรละ  พระพุทธต้องมองเห็นแน่   ความคิดอย่างนี้ ที่อยู่ต่อหน้าพระพุทธ  พระพุทธก็รับไม่ไหวแล้ว  เขาคิดว่าคนๆนี้แย่เหลือเกิน

            ข้าพเจ้ามักพูดว่า คนในศาสนาพุทธไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรกันแล้ว  ก็คือความหมายนี้   เขาไม่รู้สึกเลยจริงๆ  ความคิดนั้นของเขาซ่อนไว้ลึกมาก   คนปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเจ้าเล่ห์มาก   จิตใจนี้ของคนปัจจุบัน  เขาจะปกปิดไว้  และเขายังใช้การปกปิด มาปกปิดใจดวงนั้น   ข้าพเจ้าเห็นว่าคนชนิดนี้ยากจะช่วยเหลือจริงๆ   เมื่อท่านสะกิดเตือนเขา  ตัวเขาเอง ถึงกับรู้สึกไม่ได้ถึงการปกปิดที่เขาซ่อนไว้นี้  สิ่งนั้นที่ปกปิดไว้ โดยเฉพาะเมื่อท่านสะกิดเตือนปมปัญหาของเขา   ในเวลาที่ฝ่าเซินของข้าพเจ้าสะกิดเตือนปมปัญหาเขา  เขาจะทำเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อคนธรรมดาสามัญ  คือหลอกฝ่าเซินของข้าพเจ้า  เขาโกหกว่า  โอ้ ผมผิดแล้ว  จากนั้นเขายังใช้การปกปิดอีกอันมาปกปิดการปกปิดของเขาเอง   ใช้การปกปิดอีกอย่างหนึ่ง  จึงพูดว่าคนไปถึงระดับนี้แล้ว จะช่วยได้อย่างไรละ  ขณะนี้อาจารย์ยังสอนอยู่ที่นี่  นำพาลูกศิษย์  ท่านว่าในวัดนั้นไม่มีคนดูแล  เขาจะบำเพ็ญกันอย่างไร  คนไปถึงขั้นนี้แล้ว  พวกท่านว่าจะทำอย่างไรได้ละ

ศิษย์           ผมเห็นผู้ฝึกหลายคนกำลังจดบันทึกอยู่ข้างล่าง เชิญท่านอาจารย์พูดสักหน่อย

อาจารย์      ผู้ที่จดบันทึกทั้งหมด  ดีที่สุดท่านอย่าได้ทำ  เพราะอะไรหรือ  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  เพราะท่านไม่สามารถฟังที่ข้าพเจ้าบรรยายได้ครบถ้วน  สมองของท่านใช้ไปกับการพยายามจดให้มาก  ดังนั้นท่านจะจดอย่างไรก็จะจดไม่ครบถ้วน  ท่านจดไม่ครบ เมื่อท่านนำออกไปก็เป็นการจับใจความบางตอนไปโมเม ท่านเองก็ไม่ได้ฟังให้ดี  ก็เป็นการรบกวนมากอย่างนี้ ท่านอย่าเห็นว่าท่านจำได้ไม่หมด  ที่ข้าพเจ้าบรรยาย จุดนั้นที่ท่านฟังเข้าใจแล้ว  ท่านก็กำลังยกระดับขึ้น  ก็กำลังกลืนกลายเข้าไป  นั่นคือการยกระดับที่แท้จริง  เมื่อเดินออกจากที่นี่ไป  แต่ละคนต่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลง  ผู้ที่จดบันทึก  เป็นไปได้ว่า  ท่านจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย  ก็เป็นการรบกวนมากอย่างนี้  ที่ผ่านมาเราเคยพูดเรื่องนี้  อย่าจดบันทึก

ศิษย์           ขอเชิญพูดอีกสักหน่อยเกี่ยวกับความนัยของ บทความ “พูดถึงฝ่า”

อาจารย์      หากข้าพเจ้าบรรยายให้พวกท่านเข้าใจ  ข้าพเจ้าก็จะเขียนให้เข้าใจอยู่ตรงนั้นโดยตรงแล้ว  นี่คือให้ท่านรับรู้(อู้)เอง  สามารถจะรับรู้ได้เท่าไร ก็รับรู้มากเท่านั้น  ไปรับรู้โดยไม่มีทัศนคติใดๆ   ท่านรับรู้ได้น้อยแค่ไหนก็จะไม่ผิดเพี้ยนไป  เพียงแต่รับรู้ได้น้อย  รู้น้อย  แต่จะไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน  หากข้าพเจ้าสามารถบอกท่านอย่างกระจ่างแจ้งมาก  ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปเขียนอย่างนี้

ศิษย์           ทัศนคติกับจิตยึดติดมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

อาจารย์      สิ่งที่ท่านเข้าใจว่าดี   ท่านยึดไว้ไม่ยอมปล่อย  นี่ก็คือจิตยึดติด   จะพูดกับท่านให้ชัดเจนว่า  สิ่งใดที่ท่านปล่อยวางไม่ลง ล้วนเป็นจิตยึดติด  เรื่องนี้เรียบง่ายมาก  พวกท่านหลายคนศึกษาฝ่าไม่มากพอ  สาเหตุที่ท่านศึกษาฝ่าไม่พอ  ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ศึกษาฝ่า  ไม่ใช่ว่าพวกท่านศึกษาน้อย แต่เป็นเพราะพวกท่านศึกษาโดยมีทัศนคติของคนธรรมดาสามัญอยู่   เลือกเอาแต่สิ่งนั้นที่สอดคล้องกับความต้องการในใจท่าน  ท่านก็รู้สึกว่าดี    ท่านจึงเลือกอ่านบทนั้น  หากท่านรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับความต้องการของท่าน  ท่านก็ไม่ไปอ่าน  เลือกอ่าน  เช่นนั้นท่านก็บำเพ็ญขึ้นมาไม่ได้ตลอดไป  ท่านอย่าเห็นว่าเรื่องที่ข้าพเจ้าพูดใน”จ้วนฝ่าหลุน” ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน  ไม่เกี่ยวกับซินซิ่ง ข้างในนั้นครอบคลุมระดับชั้นที่ต่างกันอยู่  สิ่งที่มีรูปแบบต่างกัน  ท่านอย่าเห็นว่าข้าพเจ้ากำลังพูดถึงพลัง  ขอบอกท่าน   ในนั้นล้วนมีสิ่งที่เกี่ยวกับซินซิ่งทั้งนั้น  เขามีความเป็นระบบ  ท่านจะข้ามบทหนึ่งไปไม่ได้เลย  หากพวกท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้  ก็จะกระทบกับการยกระดับของพวกท่าน  กระทบต่อการสำเร็จสมบูรณ์ 

ศิษย์           แต่ละครั้งเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง  บนกระหม่อมของผมก็จะคล้ายกับมีของกดทับอยู่  แต่รับรู้ไม่ได้ในด้านใดได้เลย

อาจารย์      ท่านอย่าสนใจมันเลย  อะไรก็ไม่ต้องสนใจทั้งนั้น  หากท่านเพียงเป็นศิษย์ที่บำเพ็ญอยู่  อาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับท่าน  ท่านต้องเข้าใจว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ดีทั้งสิ้น   ข้าพเจ้าเคยพูดถึง “ซานฮวาจวี้ติ่ง”(ดอกไม้สามดอกรวมอยู่บนกระหม่อม)   “ซานฮวาจวี้ติ่ง”นั้นยังเป็นแค่ระดับชั้นเล็กๆระดับหนึ่ง  เป็นการแสดงออกของฝ่าในภพ  หลังจากยกระดับชั้นแล้ว  จะมีการแสดงออกที่สูงยิ่งกว่า มีรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงมากมายบนศีรษะ แรงกดดันบนกระหม่อมที่รู้สึกได้จะยิ่งหนักมาก  หากข้าพเจ้าพูดปรากฏการณ์รูปธรรมออกมา  ท่านก็จะเกิดจิตยึดติด จิตยินดีได้ง่าย พวกท่านเห็นพระพุทธรูปองค์นั้นที่มีร่างกายที่แปรเปลี่ยนเป็นรูปต่างๆใช่ไหม มีสี่ศีรษะ  ยังมีศีรษะซ้อนบนศีรษะ   ศีรษะซ้อนบนศีรษะ  ศีรษะซ้อนบนศีรษะ   ในการบำเพ็ญของพวกท่านล้วนจะต้องปรากฏออกมา   นั่นคือลักษณะที่น่าเกรงขามของพุทธธรรม  นั่นเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ที่น่าเกรงขามของพุทธธรรม  และนั่นเป็นเพียงปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งเท่านั้น เป็นสภาพการณ์ของพลังนั้นนับพันนับหมื่น นับร้อยล้าน  สภาพการณ์ของฝ่า  ล้วนจะปรากฏออกมา  ท่านสามารถจะรู้สึกว่าบนศีรษะไม่มีอะไรได้หรือ   หลักพลังโตสูงขึ้นแล้วก็จะกดทับได้  รู้สึกกดทับศีรษะ  อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น   เรื่องที่ดีอย่างนี้ท่านกลับเข้าใจว่ามันไม่ดีทั้งหมด  ท่านว่าซินซิ่งของท่านวางไว้ตรงไหนนะ  จะคู่ควรกับระดับชั้นที่ท่านอยู่ได้ไหม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมักบอกกับท่านว่า  ท่านมองไม่เห็นไม่เป็นไร ท่านต้องถือว่ามันเป็นเรื่องดี  ข้าพเจ้าไม่อาจนำปรากฏการณ์ในระดับชั้นต่างๆทั้งหมดบอกกับท่านทีละคนๆได้  ท่านจะยินดีปรีดาเสียจนไม่ไหวแล้ว หากท่านมัวแต่เฝ้าจับจ้องการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทุกวัน   ท่านก็ไม่อาจบำเพ็ญได้แล้ว  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกท่าน   เพียงแต่ทุ่มเทไปที่จิตใจ  การยกระดับที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับใจนี้ทั้งหมด  หากใจคนไม่เลื่อนระดับขึ้น อะไรก็ไม่มีประโยชน์    

ศิษย์           ตนเองมีด่านอะไรที่ข้ามไปไม่ได้  หากอยู่ต่อหน้ารูปอาจารย์พูดสำนึกผิด จะเป็นอย่างไร

อาจารย์      พูดก็พูดเถอะ  นี่ก็ไม่ใช่ความผิดอะไร  แต่พอพูดจบแล้ว ท่านต้องแก้ไข    ถ้าวันนี้พูดจบแล้ว พอออกไปยังเป็นอย่างนั้นอีก  กลับมาก็พูดต่ออีกจะมีประโยชน์อะไร  พูดกับอาจารย์ว่าจะสำนึกผิด  ก็ควรมีการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะแก้ไขมัน

ศิษย์           กรุณาอธิบายความหมายของคำว่า “นี้คือ อานุภาพใหญ่หลวง” ใน“จิงเหวินบท “บำเพ็ญภายในสงบข้างนอก”  

อาจารย์      จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าเขียนบทนี้  เพราะมีผู้ฝึกเคยถามปัญหาอย่างนี้   ว่าบำเพ็ญฝ่าหลุนกงแล้ว เขา(ฝ่าหลุนกง)ดี  สามารถทำให้ศีลธรรมของคนในสังคมหวนคืนกลับ  แต่ ถ้าดีงามอย่างนี้กันหมด  เช่นนั้นคนต่างชาติมาโจมตีเราจะทำอย่างไร  เกิดสงครามขึ้นจะทำอย่างไร  ข้าพเจ้าจึงเขียนเพื่อปัญหานี้โดยเฉพาะ

            สงคราม ไม่ใช่สิ่งที่คนคิดจะก่อก็ก่อขึ้นมาได้ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากสวรรค์กำหนด   ปรากฏการณ์สวรรค์นำพา   คนอยู่ข้างในไม่ว่าจะวางแผนอย่างไร  จะพยายามอย่างไร  จะทำอย่างไร  บางครั้งก็ทำไม่สำเร็จ  บางครั้งก็สามารถทำสำเร็จ   เขาจึงเข้าใจว่า  นี่เป็นผลจากความพยายามของตนเอง ที่จริงความพยายามของเขา  กิจกรรมในชีวิตของเขา  ก็กลายเป็นความจำเป็นที่เขาต้องทำ  ก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้น  คนไม่ทำ  ขนมปังก็ไม่อาจจะหล่นลงมาจากฟ้าได้  เพราะคนก็ต้องดำเนินชีวิตกันอย่างนี้   จะไม่อาจเหมือนกับเทพ   ท่านบอกกับเขา  เขาก็ไม่เชื่อ  เขายังคงต้องไปต่อสู้แย่งชิง นี่ก็คือคน  ดังนั้นการต่อสู้แย่งชิงจึงกลายเป็นความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติ    และก็กลายเป็นพฤติกรรมของคน  ซึ่งก็คือคน  ดังนั้นสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ ก็คือสภาพการณ์ของคนนั่นเอง

ศิษย์           เวลาที่พวกเรากำลังยกระดับซินซิ่ง  กรรมของตนเองสลายไปแล้ว  ใช่ไหมว่า ผันแปรให้กับร่างกายของตนเองที่ยกระดับแล้ว

อาจารย์    ไม่ใช่เช่นนี้   ดูไปท่านยึดติดมากจริงๆ กลัวว่าสิ่งนั้นของท่านจะสูญหายไป(หัวเราะ)  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ไม่ใช่อย่างที่พวกท่านคิดคะเนกัน   สิ่งต่างๆมากมายของพวกท่าน ข้าพเจ้าสลายทิ้งให้กับพวกท่านแล้ว  ที่จริงคือ ข้าพเจ้าแบกรับแทนพวกท่าน  ใครก็ไม่อาจพูดว่าทำบาป ทำผิดแล้วไม่ต้องชดใช้  นี่ไม่อนุญาตให้อย่างเด็ดขาด  นี้เป็นหลักการของสวรรค์ เช่นนั้นสิ่งที่พวกท่านสลายทิ้งไป ก็เพื่อให้ท่านสามารถบำเพ็ญได้   สอดคล้องกับซินซิ่งนั้นของท่าน  ท่านทนแบกรับไว้ได้  ที่เหลือไว้ให้ท่าน หากมากไปหน่อยท่านก็จะตกลงไป  บำเพ็ญไม่ไหว   ข้าพเจ้าไม่ใช่ว่า เพราะแบกรับแทนพวกท่านแล้ว ก็จะเอาของของพวกท่านไป อะไรก็เป็นของข้าพเจ้าหมด  แต่ อะไรข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการ  มีบางสิ่งนั้นถูกดับสลายไปโดยตรงแล้ว  นี่เป็นสิ่งที่ใครก็ทำไม่ได้  แต่ข้าพเจ้าสามารถทำได้

            พวกท่านทราบไหม ทำไมพระเยซูจึงถูกตรึงบนไม้กางเขน   พวกท่านทราบไหมทำไมองค์ศากยมุนีจึงต้องนิพพาน   กระดูกนิ้วมือนั้นขององค์ศากยมุนี  มีหลายคนไปดูที่วัดฝ่าเหมิน  เป็นกระดูกนิ้วมือขององค์ศากยมุนีจริงๆ   พูดกันว่ากระดูกนิ้วมือก็เป็นอย่างนี้แล้ว  แต่เหตุใดร่างกายของพระองค์จึงเน่าเปื่อยได้นะ  ร่างกายของพระองค์นั้นไม่อาจนำพาไปด้วยหรือ  ทั้งหมดล้วนถูกสสารพลังงานสูงแปรผันแล้ว  เขาก็ไม่ใช่เนื้อหนังแล้ว  เหตุใดพระองค์ยังต้องนิพพานละ  พวกท่านไม่ทราบนะ  ในขั้นตอนการบำเพ็ญของพวกท่าน  สิ่งที่พวกท่านติดค้าง ไม่ใช่เพียงบาปของคน  ร่างนภาที่ต่างกัน ระดับชั้นต่างๆกัน  สภาพแวดล้อมชนิดต่างๆ   พวกท่านติดค้างไว้มากมายเหลือเกินแล้ว  สิ่งเหล่านี้คนไม่มีทางที่จะแก้ไขได้   เทพระดับชั้นต่ำก็แก้ไขไม่ได้  ดังนั้นถ้าใครที่คิดจะช่วยคนๆนี้ แต่เขามีใจมาบำเพ็ญ  ท่านสามารถที่จะไม่เมตตาเขาหรือ พระพุทธนั้นเมตตา  ย่อมช่วยเขา  แต่สิ่งเหล่านี้ที่เขาติดค้างจะทำอย่างไร  ท่านสลายมันให้กับเขาแล้ว ที่แท้ก็เท่ากับนำปมนี้ผูกบนร่างพระพุทธแล้ว  เพราะในเวลาที่พระพุทธมาช่วยคนนั้น  จะต้องมีกายเนื้อ  ผูกไว้ที่ไหนละ  ล้วนผูกไว้บนกายเนื้อของพระองค์ สุดท้ายพระพุทธก็ดี  พระเยซูก็ดี  พวกเขาสลัดกายเนื้อไม่หลุดแล้ว  หนี้กรรมที่ติดค้างของศิษย์ที่ได้รับการช่วยเหลือ  มีหนี้กรรมของระดับชั้นที่ต่างกัน  ในยุคสมัยที่ต่างกัน และชนิดที่ต่างกัน  และยังเกี่ยวพันกับเรื่องราวด้านต่างๆมากมายในจักรวาล    พวกเขาจึงสลัดไม่หลุดแล้ว  ดังนั้นจึงเลือกเส้นทางอย่างนี้ คือ ละทิ้งร่างกาย  เผาทิ้ง  ให้จบสิ้นกันไปทั้งหมด จึงสลัดหลุดออกได้  และนับว่าได้ชดใช้หนี้ของพวกเขาแล้ว

            เพื่อชดใช้หนี้ได้มากที่สุด พระเยซูจึงขจัดความแค้นเคืองต่อพระองค์ในเขตแดนที่ต่างกัน  ยอมให้ตนเองถูกตรึงบนไม้กางเขน   ได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้   คนเอย ยังถามปัญหาอย่างนี้กับข้าพเจ้า   พูดว่าอาจารย์  ท่านควรช่วยฉันอย่างนี้  ท่านควรช่วยฉันอย่างนั้น  ข้าพเจ้าว่า ท่านเข้าใจว่าพระพุทธจะต้องช่วยท่านให้ได้หรือ  ไม่มีงาน ว่างอยู่หรือ  ไม่ช่วยท่านไม่ได้กระนั้นหรือ  ไม่ช่วยท่านแล้วจะกระวนกระวายใจหรือ  องค์ศากยมุนีตรัสว่า พระพุทธ  พระยูไลมีมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เม็ดทรายริมฝั่งแม่น้ำคงคานั้นมีมากเท่าไรละ  พระองค์ตรัสว่าพระยูไลมีมากเท่าจำนวนเม็ดทรายของแม่น้ำคงคา  มีพระยูไลมากมายอย่างนั้น   เช่นนั้นพระพุทธมากมายอย่างนี้ทำไมไม่มาใส่ใจเรื่องของคนละ  ที่จริงพระพุทธองค์หนึ่งอยู่ข้างบนไม่ต้องลงมา   พอโบกมือทีเดียว โรคของคนทั่วทั้งโลกก็ไม่มีเหลือแล้ว  ช่วยคนชำระกรรม  แค่โบกมือครั้งเดียวกรรมทั้งหมดของคนทั้งโลกก็หมดไปแล้ว  แต่ใครก็ไม่อาจทำอย่างนี้

            คน ตัวเองติดค้างไว้ ล้วนต้องชดใช้  และสิ่งที่ติดค้างไว้ ไม่เพียงเป็นของมนุษย์ระดับชั้นนี้   หากคิดจะช่วยเขา  ก็ต้องเปลี่ยนแปลงใจเขาจากธาตุแท้  นั่นจึงจะเรียกว่าช่วยเหลือ  ท่านชดใช้หนี้แทนเขา  ล้างเขาให้สะอาดหมดจด  แต่เขตแดนความคิดของเขาไม่เลื่อนระดับขึ้น  เปลือกนอกของเขาสะอาดสดใสแล้ว  นั่นเป็นของปลอม  ทำไมข้าพเจ้าจึงพูดว่าความคิดลึกๆของท่านต้องเปลี่ยนแปลงนะ บางคนว่า  ฉันมีโรคจึงมาศึกษาฝ่า  เริ่มต้นไม่รู้จัก ต่อมาเข้าใจแล้ว  อาจารย์บอกแล้วว่าไม่รักษาโรคให้  เขาก็ไม่รักษาโรค  เอาละ เช่นนั้นฉันก็ไม่รักษาโรคแล้ว   เขาเองคิดอยู่เงียบๆ  ฉันไม่เรียกร้องให้รักษาโรคแล้ว  ฉันก็อ่านหนังสือฝึกพลัง  สุดท้ายอาจารย์ย่อมจะขจัดโรคให้ฉัน  เขายังคงคิดอยู่อย่างนั้น  เปลือกนอกเขาสะอาดสดใสแล้ว  แต่ธาตุแท้ของเขาไม่เปลี่ยนแปลง  นี่เป็นการหลอกคน  ยังคิดจะหลอกอาจารย์  นั่นจะใช้ได้หรือ  ที่จริง ที่หลอกคือตัวเอง

            จึงบอกว่าหากพวกท่านคิดจะเปลี่ยนแปลง  ก็ต้องเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ลึกๆของท่านเอง  จึงเป็นการเลื่อนระดับอย่างแท้จริง  เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง   ถ้าธาตุแท้ของจิตใจไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพบกับความขัดแย้งมันก็จะโผล่ออกมา ก็จะพองโตขึ้น  ก็จะแสดงออกมา  พระพุทธนั้นถ้าเป็นอย่างนั้นจะไหวหรือ นั่นต้องเปลี่ยนแปลงจากธาตุแท้  ดังนั้นข้าพเจ้าว่าการบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  หากท่านไม่เปลี่ยนแปลงตนเองจริงๆจากธาตุแท้  อะไรก็ไม่มีประโยชน์  การเป็นคนดีคนหนึ่งหรือบุคคลตัวอย่าง หรือวีรบุรุษในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ไม่ว่าจิตอะไรที่กระตุ้นให้เขาเป็นเช่นนี้  บางทีเป็นความคิดที่ดีงาม  แต่เขามักจะมีความคิดหนึ่ง  เขามักจะมีเป้าหมายหนึ่ง ดังนั้นเขาจะไม่เป็นได้อย่างยั่งยืน   ต่อไปจะยังทำผิดอีก  ที่ผ่านมามิใช่พูดแล้วหรือ  อนุสาวรีย์นั้นสร้างให้คนตาย ไม่สร้างให้คนเป็น  เพราะว่าคนเองก็มองเห็นจุดนี้  ไม่แน่ว่าวันใดจะทำผิด แล้วจะทำอย่างไร  กฎหมายใดๆ หรือกระทั่งการรณรงค์อะไร ล้วนเปลี่ยนแปลงธาตุแท้และใจคนไม่ได้ตลอดไป   ใจคนจะต้องขยับอย่างแท้จริงจึงจะเปลี่ยนแปลงคนได้

            เมื่อครู่พูดว่าองค์ศากยมุนีนิพพานก็ดี  พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนก็ดี   พวกเขาทนทุกข์ทรมานแทนคนอย่างมากเช่นนี้  รับบาปที่ใหญ่อย่างนี้แทนคน  คนปฏิบัติต่อตัวเองอย่างไร  รับผิดชอบต่อใคร  มีชีวิตอยู่เพื่อใคร   การรับผิดชอบต่อตัวท่านเอง มิใช่คือเพื่อตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งหรือ   ทุกๆคนล้วนสามารถค้นหาความผิดจากในใจตน ที่จริงก็จะสามารถทำให้วัฒนธรรมของสังคมมนุษย์ยกระดับขึ้นได้ ต้าฝ่าเราสามารถทำได้ถึงจุดนี้  แต่ไม่ใช่ถ่ายทอดต้าฝ่าเพื่อสิ่งเหล่านี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน    พวกเราทำเพื่อให้ผู้บำเพ็ญสามารถยกระดับขึ้นได้  แต่คนที่ศึกษายิ่งมีมาก  ก็จะก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง  คือจะกระตุ้นให้สังคมมนุษย์ยกระดับขึ้นได้  ก็คือความสัมพันธ์กันอย่างนี้   แต่ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจะทำเพื่อสังคม  หรือเพื่อใคร หรือจะสร้างความสำเร็จอะไรในสังคมมนุษย์  หากเพื่อให้พวกท่านสำเร็จสมบูรณ์ 

ศิษย์           เมื่อตัวเองทำผิดที่ไหนแล้ว  ณ เวลานี้ร่างกายชำระกรรม  ใช่หรือไม่ที่อาจารย์เคยพูดว่ากรรมตามสนองทันที

อาจารย์      เรื่องกรรมตามสนองทันที ในอดีตก็มี  ในอนาคตก็จะมี  สำหรับปัญหาเล็กๆ  จะเกิดกรรมสนองทันที บางคนทำเรื่องเลวเรื่องหนึ่ง  พอออกจากบ้าน เขาหกคะเมนดัง “ป๊าบ” หรือพอออกจากบ้านถูกของอะไรชนเข้าสักที  แม้ว่าจะหนักเบาไม่เหมือนกัน  แต่เป็นการลงโทษเขาแล้ว   คนมักจะไม่เชื่อว่าในอีกมิติมีชีวิตชั้นสูงคงอยู่    เช่นนั้นเขาจึงคิดว่าเรื่องนี้เป็นความบังเอิญ เขายอมรับแต่ว่า คนคือชีวิตหนึ่งเดียวที่มีสติปัญญา   คนน่าขันถึงระดับไหนแล้ว  มีสิ่งมีชีวิตอยู่ทั่วทุกหนแห่งในจักรวาลนี้ เขาที่ทำเรื่องชั่ว ก็ยังจะทำเรื่องชั่ว ทำตามอำเภอใจ  ฉะนั้นเมื่อคนๆนี้มาถึงระดับนี้  เรื่องกรรมสนองในทันทีก็จะน้อย  แล้วจะเป็นอย่างไรละ  เขาก็จะสะสมกรรม  สะสมไว้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมากเกินไปแล้วก็บั่นทอนชีวิตของเขา  ยิ่งมากก็ยิ่งบั่นทอนชีวิต   ยิ่งมากก็ยิ่งบั่นทอนชีวิต  ก็เหมือนคนๆนั้นที่ทำเรื่องชั่วมากเกินไป  เมื่อชั่วช้าจนให้อภัยไม่ได้แล้ว  ทางฝั่งนี้แม้ว่าจะตายไปแล้ว  แต่ทางฝั่งนั้นยังคงดับสลายเขาอยู่   ดับสลายเรื่อยไปจนเขาชดใช้กรรมทั้งหมด   วิธีการดับสลายนั้นมีมากเหลือเกิน  ก็คือว่าเขาต้องชดใช้ทั้งหมดที่เขามีอยู่   นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง   พวกเราผู้บำเพ็ญจะไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ   ส่วนมากจะสลายกรรมในขณะที่ยกระดับอยู่กับมีการสะกิดเตือนท่าน   

ศิษย์           การบำเพ็ญอยู่ในบ้าน  การผันแปรพลังไม่เท่ากับที่สนามฝึก

อาจารย์      ถ้าท่านบำเพ็ญอยู่ในบ้าน และสามารถปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลังได้จริงๆ  บำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆอยู่  ก็จะไม่ด้อยไปกว่าบำเพ็ญอยู่ข้างนอก  แต่ว่า  คนมักมีความขี้เกียจ  ท่านไม่ยอมรับก็ไม่ได้  เป็นเพราะความคิดของท่านไม่ได้เลื่อนระดับไปถึงขั้นนั้น   เมื่อห่างจากสภาพแวดล้อมของการฝึกพลังร่วมกัน ดูเหมือนท่านก็จะไม่มีการควบคุมเร่งรัดแล้ว   ไม่มีเงื่อนไขภายนอกที่กระตุ้นให้ท่านบำเพ็ญแล้ว อาทิเช่นพวกเรานั่งสมาธิ  ทุกคนปวดจนเหลือทนแล้ว แต่ก็ไม่เอาขาลงมา  ท่านก็เกรงใจไม่กล้าเอาลงมา  นี่จึงกระตุ้นท่านให้เพิ่มเวลาฝึกพลัง   ก็คือในด้านต่างๆล้วนมีสภาพแวดล้อมอย่างนี้กระตุ้นท่านอยู่   เมื่อท่านห่างจากสภาพแวดล้อมนี้  ตัวท่านเองควบคุมได้ไม่ดี   ท่านก็ไม่มีปัจจัยภายนอกควบคุมเร่งรัด เป็นไปได้ว่าท่านเองจะย่อหย่อน  ตนเองไม่สามารถก้าวหน้าได้   แม้ว่ากำลังบำเพ็ญอยู่  แต่ระดับความก้าวหน้าจะช้ามาก ก็เป็นความสัมพันธ์นี้ หากท่านสามารถยึดกุมได้ดีจริงๆ  จะบำเพ็ญที่ไหนล้วนเหมือนกัน  เกรงแต่ว่าท่านจะยึดกุมไม่ได้   บางคนพูดว่าฉันสามารถยึดกุมได้  แต่ว่า บางคนนั้นข้าพเจ้าเชื่อ  บางคนข้าพเจ้าไม่เชื่อ  เพราะข้าพเจ้าเห็นได้ชัดเจน  ว่าท่านยังทะลวงระดับชั้นนั้นไม่ได้

ศิษย์           มีคนที่ทำลายฝ่า ได้เขียนคำพูดที่ลบหลู่ไว้มากมาย ใน “จ้วนสอง”  หนังสือนี้จะจัดการอย่างไรดี

อาจารย์      สามารถเผาหนังสือได้  คนๆนี้ก็เลวจนถึงอย่างนั้นแล้ว  ดังนั้นคนชนิดไหนก็มีทั้งนั้น  กล้าด่าพระพุทธ  เมื่อเขาด่าออกมา  จิตหลักของเขาก็ตกลงไปแล้ว  เหลือแต่ร่างกายของเขาคนนี้ ที่กึ่งตายกึ่งเป็นที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในหมู่มนุษย์  เช่นนั้นคนชนิดนี้ จึงง่ายที่จะถูกสิงร่างแล้ว  อย่างรวดเร็วตัวสิงร่าง(ฟู่ถี่)ก็จะเข้าไป  จิตหลักนี้ไม่มีแล้ว  ก็เหลือแต่เปลือก  มันก็เข้าไปสิงแล้ว   เรื่องอย่างนี้มีมากเป็นพิเศษ  อาจารย์ชี่กงปลอมประเภทนี้ก็มีมาก  ที่จริงเขาเป็นคนที่เลวที่สุด 

ศิษย์           คนรัสเซียที่จิตใจดีงามส่วนใหญ่กำลังศึกษาศาสนาคริสต์  จะให้คนเหล่านี้ได้ฝ่าอย่างไรดี

อาจารย์      หากท่านมีเงื่อนไขอำนวย  ท่านรู้จักพวกเขา ก็ไปคุยกับพวกเขา  ถ้าคิดจะเรียนก็เรียน  ถ้าไม่คิดจะเรียนก็แล้วไป  ต้าฝ่าก็เข้มงวด  จะไม่บังคับใครให้ไปเรียน ไม่ว่าท่านจะเป็นคนประเทศไหน ก็เหมือนกัน  การเผยแพร่ของเรา เพียงแต่บอกให้คนที่ไม่รู้จักฝ่าได้รู้จักฝ่า   อย่าให้พวกเขาตกหล่นไป  เขาคิดจะเรียนหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องของพวกเขาเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นชาวต่างประเทศ  ชาวจีนล้วนแต่เหมือนกัน จิตใจดีงามหรือไม่ดีงามนั้น ล้วนแต่ใช้มาตรฐานของคนปัจจุบันประเมิน  คนต่างมีด้านที่ดีและชั่ว    และสังคมมนุษย์โดยรวมกำลังลื่นไถลลงไป   พูดในทางตรงข้าม  มีคนดีส่วนหนึ่ง  เขายังมีความคิดที่ดีงาม ที่อยากจะหวนคืนกลับไป  ก็มีจุดนี้ที่ล้ำค่าที่สุด  พูดถึงว่าเขาเป็นคนดีอะไรในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้ากลับไม่รู้สึกอย่างไร  มีแต่ความคิดที่จะหวนคืนกลับจึงจะล้ำค่าที่สุด  หากเขาไม่มีความคิดนี้ก็ยากจะกอบกู้ช่วยเหลือ 

ศิษย์           คนธรรมดาสามัญบางคนจะทำลายหนังสือของต้าฝ่า  เพื่อการปกป้องหนังสือของต้าฝ่า ผู้ฝึกจึงชกต่อยกับเขาขึ้นมา  ใช่ไหมว่าความอดทนไม่พอ  เป็นการก่อกรรมหรือไม่

อาจารย์      ไม่อาจพูดว่าผู้ฝึกคนนี้ของเราทำผิด  แต่เมื่อพวกเราพบกับปัญหาต้องคิดสักหน่อย   เหตุใดเขาจึงทำลายหนังสือเล่มนี้ต่อหน้าท่าน  ใช่หรือไม่ว่าพวกเรามีจิตอะไรอยู่  หรือว่าพวกเรามีตรงไหนที่ทำไม่ถูก  หากในเวลานั้นความคิดของเราหมุนเปลี่ยนในทันที เป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ทำลายหนังสือเล่มนั้นแล้ว  คงจะเป็นเช่นนี้   ข้าพเจ้ามักพูดว่าเมื่อพบกับปัญหาอะไร ล้วนต้องพิจารณาตัวเอง  ไหนเลยจะเกรงว่าปัญหานี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน   แต่เมื่อท่านมองเห็นแล้วก็ต้องพิจารณาตนเอง   ข้าพเจ้าว่าทางข้างหน้าไม่มีสิ่งใดจะสามารถวางกั้นท่านได้เลย

ศิษย์           ดิฉันศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่า  คนรักของดิฉันกำลังวิจัยโจวอี้(ตำราการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน)  ดิฉันจึงแอบเผาตำราของเขา  นี่เป็นการทำเรื่องไม่ดีหรือไม่

อาจารย์      นี่ไม่ใช่ทำเรื่องไม่ดี  ฝ่าของเราเนื่องจากข้างหลังมีความนัย  แต่หนังสือของอาจารย์ชี่กงปลอมเหล่านั้นข้างหลังของมันก็มีของอยู่   มันไม่มีความนัยที่ใหญ่อย่างนั้น  มันมีของเล็กน้อยนั้นที่ตื้นเขิน  ไม่พ้นไปจากสามภพ แต่กลับชั่วร้าย  รูปลักษณ์เป็นสัตว์เอย  จิ้งจอกเอย  ภูตผีปีศาจเอยของเหล่านี้ที่เลอะเทอะ  ล้วนเป็นของสีดำ  เป็นของที่มีโทษต่อคน  ของที่เป็นอิน   เช่นนั้นหากวางมันไว้ในห้อง ย่อมไม่ดีแน่ สามีของท่านอยู่ในสภาพที่ไม่รู้  จึงยอมรับสิ่งเหล่านี้  และทำร้ายเขาอยู่  เช่นนั้นท่านช่วยเขาเผาแล้วก็แล้วไป  ถ้าเขาไม่ยอม  เอาแต่จะต่อสู้  ตบตี  โวยวายกับท่าน  ท่านก็อย่าสนใจอีกเลย หากเขาไม่เอาเรื่อง  ท่านเผาก็เผาไปแล้ว  ท่านหันกลับมาดูตัวเองว่ามีจิตอะไรอยู่ใช่หรือไม่  ข้าพเจ้าว่าเรื่องมากมายล้วนมีสาเหตุนะ  แต่เขาไม่อาจรบกวนท่านได้  เพราะท่านกำลังบำเพ็ญอยู่  ภายนอกร่างกายก็มีครอบ  ล้วนแต่ใส่ครอบเอาไว้แล้ว    หาไม่  ไม่เพียงผู้อื่นจะรบกวนพวกท่าน  พวกท่านก็จะรบกวนผู้อื่น

ศิษย์           อะไรคือวิวัฒนาการของจักรวาล

อาจารย์      ทุกท่านทราบ จักรวาลคือคำจำกัดความที่คนเองกำหนดขึ้น  ที่แท้มันใหญ่เพียงไรละ  คนก็พูดได้ไม่ชัดเจน  จักรวาลนี้ที่เรามักจะหมายถึง  ก็คือขอบเขตของร่างนภานี้ที่เรามองเห็น  ปัจจุบันขอบเขตที่ใหญ่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักโดยใช้กล้องส่องทางไกล ก็ไม่พ้นไปจากจักรวาลน้อยนี้ของเรา   ดังนั้นพูดให้ชัดแล้วก็คือหมายถึงตรงนี้(จักรวาลที่คนเรียก)  แต่จักรวาลน้อยของเรานี้  ยังไม่อาจเป็นแม้หนึ่งในล้านล้านส่วนของจักรวาลใหญ่   เป็นเขตแดนเล็กๆของหนึ่งในล้านล้าน ล้านล้าน เพียงแค่นั้น  มันยังเป็นแค่ละอองธุลีหนึ่งของละอองธุลี ในละอองธุลีของละอองธุลี  ก็เล็กถึงอย่างนั้น   ทั่วทั้งจักรวาลใหญ่กำลังเคลื่อนไหวอยู่  ขอบเขตที่ใหญ่ของร่างนภากำลังเคลื่อนไหวอยู่   เช่นนั้นท่านว่ามันใช่หรือไม่ว่าจักรวาลกำลังเคลื่อนไหวอยู่ละ  การเคลื่อนไหวชนิดนี้จะนำมาซึ่งพลังชีวิต  จะก่อเกิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต  ผู้บำเพ็ญเรียกการเคลื่อนไหวชนิดนี้ว่าการผันแปร สมองของคนก็ไม่อาจรับรู้ได้สูงอย่างนั้น  จักรวาลนี้ช่างใหญ่เหลือเกินแล้ว  ใหญ่จนกระทั่งว่าเมื่อพวกท่านบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ถึงระดับที่สูงที่สุด  ท่านต่างจะรู้สึกว่ามันช่างใหญ่มหึมาเสียเหลือเกิน  ทำให้ท่านตื่นตะลึงอย่างคาดไม่ถึง

ศิษย์           อาจารย์พูดว่า “ชื่อเสียงเป็นอุปสรรคใหญ่ยิ่งที่ทำให้ไม่อาจสำเร็จสมบูรณ์ได้”  แต่หากไม่ยึดติดกับชื่อเสียงในสังคมคนธรรมดาสามัญแล้ว  แต่ในการทำงานของต้าฝ่ายังแสวงหาการเพิ่มพลังหรือมีชื่อเสียง

อาจารย์      นั่นก็คือจิตยึดติดปรากฏออกมาแล้ว  ฉะนั้นก็ต้องทิ้งไป  บางครั้งผู้ฝึกเราบางคนรวมทั้งผู้ฝึกเก่า จิตดวงนั้นที่แสดงออกมาไม่ดีอย่างมาก  ไม่ใช่การแสดงออกของผู้บำเพ็ญเลย  แต่ไม่อาจพูดว่าคนๆนี้ไม่ดี  เพราะบรรดาจิตที่เขาทิ้งไป  ท่านก็จะมองไม่เห็นอีกแล้ว มีเพียงจิตที่เขายังไม่ได้ทิ้งไปจึงแสดงออกมาได้   หรือพูดว่าจิตมากมายของเขาไม่แสดงออกมาแล้ว เพราะเขาบำเพ็ญได้ดีมากแล้ว    มีแต่จิตที่เขายังไม่ได้ทิ้งไปที่แสดงออกมาได้  บางทีจิตที่ยังไม่ได้ทิ้งไปนั้นก็จะแสดงออกมา  พวกท่านไม่อาจพูดว่าคนๆนี้ไม่ดี   พูดได้แต่เพียงว่าจิตดวงนี้ไม่ดี

            ไม่ว่าเขาจะบำเพ็ญอย่างไร   เขาก็ปกปิดจิตที่ไม่ได้ทิ้งไปไม่ได้    ไม่ว่าเขาจะบำเพ็ญอย่างไร  ข้าพเจ้าล้วนสามารถเลือกวิธีการต่างๆนานา  ไหนเลยจะเกรงว่าเขารู้สึกว่ากำลังทำงานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอยู่    นำจิตดวงนั้นที่เขาปล่อยวางไม่ได้ที่สุดแสดงออกมา   ไหนเลยจะเกรงว่าพวกท่านทำงานเพื่อต้าฝ่า   ข้าพเจ้าก็จะให้มันแสดงออกมา   หากการทำงานโดยตัวมันเองไม่ทำให้เขายกระดับก็ใช้ไม่ได้   การยกระดับซินซิ่งของเขาจึงจะเป็นเรื่องอันดับแรก   การเลื่อนชั้นของเขาจึงจะเป็นเรื่องอันดับแรก   ถ้าใจของเขาบริสุทธิ์  สามารถรับรู้ถึงปัญหาได้   เมื่อไปทำงานนั้นอีก   งานนั้นจึงจะศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น   ดังนั้นพวกเราบางคนทำงานไม่สำเร็จ ก็เป็นเพราะเขามีจิตใจมากมายขณะทำงาน   ปล่อยวางจิตใจนี้  จิตใจนั้นไม่ลง   จะยึดติดในเรื่องของเขาก็ดี   หรือเกิดจิตยึดติดเพื่อเรื่องของฝ่าก็ดี  ไม่ว่าอย่างไรหากเพียงแต่เขามีจิตใจดวงนี้   เช่นนั้นก็จะให้มันแสดงออกมาในขณะที่ทำงานอยู่ โดยเฉพาะในขณะที่จิตใจไม่ดี  ก็ยิ่งไม่ให้เขาทำสำเร็จ  ดังนั้นแรงต้านนี้จึงใหญ่  เพราะไม่อาจให้เขาใช้จิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ทำเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์    ถ้าสามารถใช้จิตใจที่บริสุทธิ์ไปทำเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์  นั่นจึงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง

ศิษย์           บางคนนั่งสมาธิอยู่ ขาจะสั่น  อาเจียน  เขาเองไม่สามารถควบคุมไว้ได้   เรียนเชิญท่านอาจารย์อธิบาย

อาจารย์      สภาพการณ์ของแต่ละคน ล้วนไม่เหมือนกัน   แม้ว่าข้าพเจ้าบรรยายอยู่ในสถานที่อย่างนี้  ข้าพเจ้าก็ต้องบรรยายให้เป็นลักษณะทั่วไป    หากฝึกพลังและไม่สามารถบริสุทธิ์และสะอาด  ยังฝึกอย่างอื่นไปด้วย  หรือตนเองไม่อาจบรรลุการยึดมั่นแนวทางเดียวได้  หรือในความนึกคิดมีหลักพลังอื่นอยู่  ล้วนจะเกิดสภาพการณ์นานาชนิด  เหมือนอย่างกรณีนี้ออกมา   ยังมีอีก ก็คือกรรมหนัก   เมื่อกำลังจะสลายไปจึงสะท้อนออกมารุนแรง  ก็จะก่อเกิดสภาพการณ์นี้

ศิษย์           อู้ได้ก็ต้องทำได้ใช่ไหม

อาจารย์      ควรเป็นเช่นนี้  แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะยึดกุมได้   ที่จะสามารถยึดกุมได้ ทำได้ทั้งหมดนั้นย่อมมีความยากลำบากอยู่  แต่ผู้บำเพ็ญก็ควรกำหนดตัวเองอย่างนี้

ศิษย์           ใช่หรือไม่ว่า แยกออกไปยิ่งมากก็บำเพ็ญได้ยิ่งสูง

อาจารย์      ไม่ใช่แยกออกไปยิ่งมากก็บำเพ็ญได้ยิ่งสูง  เมื่อได้มาตรฐานแล้วจึงสามารถจะแยกออกไปได้

ศิษย์           อาจารย์บอกว่าแยกออกไป ใช่ไหมว่าพวกเราจะสามารถไปพร้อมกับท่านได้ทั้งหมด  ก็คือนำไปยิ่งมากยิ่งดี

อาจารย์      ที่จริงพวกท่านไม่ทราบนะ  เมื่อได้ฝ่าแล้ว  เพียงแต่จิตใจนี้ของพวกท่านแน่วแน่แล้ว   พวกท่านก็จะสามารถเดินสู่ความสำเร็จสมบูรณ์  นี้เป็นเรื่องแน่นอน

ศิษย์           ใช่ไหมว่าจิตเมตตายิ่งมาก  ความสามารถในการแบกรับจะยิ่งมากด้วย

อาจารย์      ไม่ใช่เช่นนั้น  จิตเมตตานั้นเกิดขึ้นหลังจากทิ้งฉิงส่วนนั้นไปแล้ว   ความสามารถในการแบกรับนั้นเป็นความสามารถที่ประกอบขึ้นจากสาเหตุหลายๆด้านรวมกัน

ศิษย์           ขอให้ท่านอาจารย์เพิ่มทุกข์ภัยให้มากขึ้นหน่อย  จากนั้นชดใช้กรรมได้เร็วขึ้น  หวนคืนกลับสู่ความจริงแท้เร็วขึ้น  อย่างนั้นจะได้หรือไม่

อาจารย์      ไม่ได้  พวกท่านจงใจคิดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น  ยิ่งไม่อาจจงใจหาทางทนทุกข์เอง  นี่ล้วนผิดหมด  ที่จริงการจัดวางทั้งหมดล้วนมีลำดับ  ในด้านนี้ไม่ต้องไปใส่ใจ

ศิษย์           ผมคิดว่าก็ทำไปตาม เจิน ซั่น เหริ่น  อักษรสามตัวนี้  คิดอย่างนี้ถูกหรือไม่

อาจารย์      ถูก  ขอเพียงใจแน่วแน่  ท่านก็ทำไปตามนี้   ทำไปตามข้อกำหนด แต่ต้องศึกษาฝ่าให้มาก  หาไม่ ความนัยของ เจิน ซั่น เหริ่น ในระดับชั้นที่ต่างกันท่านจะไม่ทราบ จึงยากที่จะทำตาม  เจิน ซั่น เหริ่น ได้อย่างแท้จริง           

ศิษย์             บางเรื่องอู้ไม่ได้  คล้ายกับว่าเข้าใจไม่ครบถ้วนหรืออย่างไร

อาจารย์      ไม่เข้าใจ ก็อย่าร้อนใจ  และไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียน  พวกท่านจะต้องอ่านให้เข้าใจในระยะเวลาสั้นๆ   เมื่อศึกษาฝ่าลึกซึ้งขึ้นท่านก็จะเข้าใจได้

ศิษย์           บางครั้งพอผมมองดูรูปท่านก็จะกลัว  ผมไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

อาจารย์      นี่ไม่ใช่ท่านที่กลัว  คือกรรมทางความคิดที่กลัว

ศิษย์           เราจะเช่าสถานที่แห่งหนึ่งศึกษาฝ่า ทุกคนล้วนไปที่นั่นศึกษาฝ่า  จะได้ไหม

อาจารย์      ถ้ามีเงื่อนไขที่ดี และสะดวกสบายเกินไป  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าก็บำเพ็ญกันสบายเกินไปแล้ว   ไม่ค่อยดี  ถ้ามีเงื่อนไขนี้ คือว่าพวกเราไม่เสียเงิน  มีสถานที่อย่างนั้น  เสนอให้สักแห่ง  ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน  อย่างน้อยที่สุดฝนตกสามารถไปได้  ฤดูหนาวหิมะตกแล้วพวกเราก็สามารถไปได้  ถ้าต้องเสียเงินสร้างสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างดี   นี้ไม่ดี  ไม่ได้อยู่ที่เงินมากหรือน้อย  

ศิษย์           ศิษย์ในชนบท พวกเขาไม่เข้าใจคำศัพท์วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันเหล่านี้ที่ท่านเขียนในหนังสือ

อาจารย์      นี่สามารถอธิบายให้พวกเขาได้     ก็คืออธิบายไปตามความหมายดั้งเดิมของคำศัพท์นี้  ก็คืออธิบายคำศัพท์เดิมของมัน   อธิบายชั้นผิวของคำศัพท์นี้   แต่ท่านต้องอ่านฝ่า  ต้องอ่านให้ต่อเนื่องโดยตลอด

ศิษย์           บางตัวอักษร ไม่เข้าใจจากชั้นผิว  จะเปิดพจนานุกรมได้ไหม

อาจารย์      ได้  ไม่มีปัญหา   ตามพจนานุกรมสามารถอธิบายความหมายชั้นผิวของตัวอักษรได้เท่านั้น   แต่โดยมากคำศัพท์ที่ข้าพเจ้าใช้นั้น  พจนานุกรมก็ไม่มี

ศิษย์           ข้างบ้านเรามีคริสตชน  เขามักจะเรียกให้ผมเขียนหนังสือ  ถ้าไม่เขียนให้ ก็กระไรอยู่  ถ้าเขียนให้ก็กลัวว่าจะถูกรบกวน

อาจารย์      เขียนก็เขียนไปเถอะ    พวกเรามีแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  อย่างไรเสียเขาก็รบกวนเราไม่ได้  ที่จริงข้าพเจ้าถือว่า ศาสนาคริสต์ก็ดี  ศาสนาโรมันคาทอลิกก็ดี  ข้าพเจ้าล้วนถือมันเป็นการทำงาน  ข้าพเจ้าไม่ถือว่ามันเป็นการบำเพ็ญ   มันก็คือการทำงานจริงๆ

ศิษย์           ผมมีเรื่องที่คิดจะวางทิ้งไป  แต่ทำไมวางไม่ลง

อาจารย์      นั่นก็คือได้กลายเป็นทัศนคติแล้ว  สิ่งนี้ท่านลืมมันไม่ลง  ท่านก็ต้องคิดหาวิธีผลักไสมัน  ดังนั้นมันจะค่อยๆอ่อนแรงลง  สุดท้ายสลายทิ้งไป

ศิษย์           ท่าเคลื่อนไหว “เดินไปตามกลไก”นั้น ใช่ไหมว่าหากคนทั้งกลุ่มสามารถทำพร้อมกันได้ จะค่อนข้างดี  เพราะบางครั้งแตกต่างกันมาก

อาจารย์      ใช่  ท่าเคลื่อนไหวยิ่งพร้อมเพรียง  ยิ่งจะรู้สึกดี  เพราะในเวลาที่พวกเราฝึกพลัง  ท่านกำลังเสริมกลไกนอกร่างกายนี้ให้แข็งแกร่ง   การฝึกพลังของท่านนั้นอาศัยการหมุนอย่างสม่ำเสมอของกลไกนี้   ฝึกพลังโดยอัตโนมัติ   ฝึกอยู่ตลอดเวลา  เวลาที่ท่านฝึกเป็นการเสริมกลไกนี้ให้แข็งแกร่ง  ดังนั้นเมื่อทุกท่านทำได้พร้อมเพรียงกัน  พลังงานจะแรง   เสริมกลไกบังคับได้ค่อนข้างดี

ศิษย์           ในฤดูหนาวอุณหภูมิติดลบประมาณสามสิบองศาเซลเซียส  จะฝึกอยู่ในบ้านได้หรือไม่

อาจารย์      ถึงอย่างไรให้พยายามฝึกพลังอยู่ข้างนอก  เนื่องจากเราฝึกพลังกันได้หลายปีแล้วใช่ไหม ผู้ฝึกเมืองฉางชุน   เมืองฮาร์บิ้น  ต่างก็ฝึกอยู่ข้างนอก  ใส่เสื้อผ้ามากหน่อยไม่เป็นไร  แต่หากหนาวเกินไปไม่ไหวจริงๆ  เช่นนั้นก็ฝึกในบ้าน  เมื่อไม่หนาวเกินไปนักค่อยออกไปฝึกอีก

ศิษย์           ผู้ฝึกคนหนึ่งนำเงินไปเช่าห้องฝึกสอน  นี่นับว่าจับต้องเงินหรือไม่

อาจารย์      นี่ไม่นับว่าผู้รับผิดชอบของพวกท่านทำ  ไม่นับว่าศูนย์ฝึกของพวกท่านทำ  คือผู้ฝึกต้องการทำ  เป็นการกระทำของบุคคล   พูดได้ว่าโดยส่วนตัวฉันทำเรื่องดีหน่อยสนับสนุนพวกท่าน  มันเป็นความสัมพันธ์อันนี้  นั่นล้วนเป็นเขาเองกำลังทำเรื่องดี   แต่เราก็ต้องพิจารณาปัญหาหนึ่งคือ ความสามารถแบกรับของผู้ฝึกคนนี้  เขามีกำลังทางเศรษฐกิจมากอย่างนั้นหรือไม่  นี้คือข้อหนึ่ง   ข้อสอง ผู้ฝึกเราคนนี้ได้ผ่านการบำเพ็ญมานานมากหรือยัง   หากความคิดเขาพลิกกลับละก็  เขาจะรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า  หันกลับมาจะเกิดความยุ่งยาก  ล้วนต้องตรึกตรอง  แต่ข้าพเจ้าคิดว่า  เราพยายามฝึกพลังอยู่ข้างนอกจะดีที่สุด 

ศิษย์           รอบๆสนามฝึกพลังของเรามีหลักพลังอย่างอื่นหลายชนิดฝึกพลังอยู่  ผู้ฝึกบางคนกลัวการรบกวน มีผลกระทบ

อาจารย์      ไม่กระทบ  มันรบกวนพวกเราไม่ได้อย่างแน่นอน  แต่ท่านอย่ามีความคิดนี้   ว่ามันสามารถรบกวนฉันได้หรือเปล่านะ   ตัวท่านเองอย่าหวั่นไหว  ใจไม่อาจยึดติด

ศิษย์           ระยะใกล้ๆนี้กรรมทางความคิดของผมหนักเป็นพิเศษ  ผมกลัวว่าผมเป็นมารที่ถูกจัดวางมา  ใช่หรือไม่ว่ากรรมทางความคิดไม่ใช่ตัวผมเอง

อาจารย์      ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่ตัวท่าน  เป็นกรรม แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  เนื่องจากของๆแต่ละคนมีมากน้อยไม่เท่ากัน    อาจจะมีมากสักหน่อย  มันจึงรุนแรงไปบ้าง  ในเมื่อมีมากไปหน่อย  บางทีเราเองต้องแบกรับมากสักหน่อย   เมื่อก่อนอาจจะเคยทำเรื่องผิดทางด้านนี้มากสักหน่อย  ดังนั้นเราต้องทุ่มเทให้เต็มที่  ควบคุมมัน  ต่อต้านมัน   เพียงท่านสามารถแยกมันออกได้ชัดเจน  ไม่ใช่ตนเอง  เช่นนั้นก็จะจัดการได้ดี

ศิษย์           ผมรู้สึกว่าตนเองบำเพ็ญไม่ดี  มีของสกปรกมากเกินไป  อยู่บ้านไม่กล้าจะมองดูอาจารย์

อาจารย์      ไม่เป็นไร  อาจารย์รู้ว่าเป็นสภาพการณ์อะไร   ข้าพเจ้าทราบ  เมื่อก่อนเคยทำผิด  เดี๋ยวนี้เริ่มต้นใหม่  ดังนั้นท่านปล่อยวางจิตใจไปบำเพ็ญเถิด

ศิษย์           ลูกสาวดิฉันด้อยปัญญา   แต่เธอยืนหยัดศึกษาฝ่าฝึกพลังได้สามปีแล้ว  แต่เธอรับรู้ต้าฝ่าได้ไม่ดี  จะสำเร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่

อาจารย์      ด้อยปัญญา  ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีปัญหาในการศึกษาฝ่า  ศึกษาได้สามปีแล้ว  ย่อมจะไม่ศึกษาไปโดยสูญเปล่า  ใช่ไหมว่าท่านคิดมากเกินไปแล้ว  ไม่แน่ว่าจะด้อยอย่างนั้น   พวกเรามักจะมีเด็กหลายคนล้วนแต่มีที่มา   เนื่องจากคนๆหนึ่ง ชั่วชีวิตของเธอ เมื่อไรสามารถจะได้ฝ่า  เวลาไหนจะทำอะไร   เธออยู่ข้างบน(ข้างบนนั้นคือชีวิตชั้นสูง) มองเห็นได้ชัดเจนมาก เธอเห็นว่าคนครอบครัวนี้สามารถจะได้ฝ่าในอนาคต   เธอก็มาจุติในครอบครัวนี้   คนประเภทนี้มีมากเป็นพิเศษ  ดังนั้นเด็กหลายคนของเราเป็นเด็กมหัศจรรย์(เด็กเทพ)จริงๆ  บางคนอาจจะด้อยไปหน่อย  ท่านอย่าคิดมากจนเกินไป

ศิษย์           จะพิจารณาความแตกต่างของระดับชั้นของการศึกษาฝ่า บำเพ็ญของแต่ละพื้นที่ได้อย่างไร

อาจารย์      เรื่องนี้ไม่แตกต่างกัน แต่ละพื้นที่ล้วนมีคนที่ก้าวหน้ามาก  แต่ละพื้นที่ล้วนมีคนที่ไม่ก้าวหน้า  คนระดับ บน  กลาง ล่าง ล้วนมีหมด   บางพื้นที่ได้ฝ่าช้า ระดับความก้าวหน้าอาจจะช้าสักหน่อย  นี่แน่นอน  แต่ก็มีบางแห่งต่อมาตามขึ้นมาทัน   พวกเราจำนวนมากที่ได้ฝ่าทีหลังล้วนไม่เคยพบกับข้าพเจ้า  ความเข้าใจ การรับรู้ต่อฝ่ากลับสูงมาก  และเร็วมาก  ไม่มีอุปสรรค   ที่ผ่านมาผู้ฝึกใหม่ล้วนมีขั้นตอนหนึ่งของการรับรู้ ในปีนั้นข้าพเจ้าไปถ่ายทอดฝ่าที่กว่างโจว  การบรรยายฝ่าสองครั้งแรก  ดูเหมือนเหล่าผู้ฝึกไม่ทราบว่าข้าพเจ้ากำลังบรรยายอะไรอยู่ ผู้ฝึกเหล่านั้นก็รู้ว่าดี แต่ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าบรรยายอะไรอยู่  ก็คือทัศนคติของคน  โดยเฉพาะหลังการปฏิรูป  ความคิดของคนกว่างโจวล้วนเป็นเรื่องหาเงิน    รอจนถึงการบรรยายครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ จึงค่อยระเบิดออก  ในทันใดเข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้ากำลังบรรยายอะไรอยู่  ในเวลานี้จึงมีผู้ฝึกกลุ่มใหญ่เข้ามากัน  เดี๋ยวนี้คนที่ได้ฝ่าทีหลังมักจะยกระดับเร็วมาก  บางทีเพราะว่าสิ่งแวดล้อมนี้ได้ประกอบขึ้นมาแล้ว  เงื่อนไขด้านต่างๆก็สุกงอมแล้ว  ก็คือมีเงื่อนไขภายนอก

ศิษย์           ขณะศึกษาฝ่าเป็นกลุ่ม  บางคนคิดว่าการอ่านอย่างต่อเนื่องก็คืออ่านทวนซ้ำเป็นรอบๆ ไม่ต้องถกกัน  รับรู้เอาเอง  แต่ละวันอ่านหนึ่งบท  เช่นนี้จะมีประโยชน์ต่อการศึกษาฝ่าหรือไม่

อาจารย์      การอ่านต่อเนื่องก็คืออ่านต่อเนื่อง  นั่นไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว  ก็คืออ่านไปทีละรอบๆ  อ่านต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามพวกเราทุกคนกำลังศึกษาฝ่าอยู่ด้วยกันใช่ไหม  เมื่ออ่านจบแล้ว แลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง  พูดคุยกันบ้าง ในทันใดฉันรับรู้ได้ว่า ในนี้อาจารย์หมายถึงอย่างนี้  ด้านนี้ฉันยังทำได้ไม่ดีพอ หากพวกเราอ่านอยู่ที่บ้าน บางทีทางด้านนี้จะขาดตกบกพร่องไป   ส่วนที่บกพร่องนี้ จากนี้ไปก็แก้ไขมันเสีย  ก็คือการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน  นี่เป็นสิ่งจำเป็น  แต่การอ่านต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ   เราอย่าศึกษาท่อนหนึ่ง  แล้วหยุดพัก  ทุกคนเริ่มต้นถกกัน  ค่อยอ่านอีกท่อน  ถกกันอีก  นี่ไม่ดี   ต้องอ่านต่อเนื่องให้มากๆ   ในขณะที่พูดถึงตนเอง หรือพูดเรื่องการรับรู้ อย่าให้มากไปกว่าการอ่านฝ่า  การศึกษาฝ่าสำคัญที่สุด

ศิษย์           จะสามารถบรรยายเรื่องจุดตั้งต้นของต้าฝ่าของจักรวาล และก็คือ เจิน ซั่น เหริ่นให้กับพวกเราได้หรือไม่

อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกทุกคน  พวกท่านจะไม่อาจรู้ว่าจักรวาลใหญ่แค่ไหนชั่วนิรันดร์    และยิ่งไม่มีทางพูดถึงจุดตั้งต้นนั้น  และไม่มีภาษาอย่างนั้น  ในจักรวาลนี้ หากใช้ภาษาของเทพระดับชั้นสูงมาก ล้วนไม่อาจบรรยายจุดสุดท้ายของจักรวาล  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาษาของมนุษย์   จักรวาลสำหรับคนแล้วก็จะเป็นความลี้ลับตลอดไป  คนจะไม่อาจรู้ได้ตลอดไป  เอาจิตยึดติดของพวกท่านไปศึกษาฝ่าเถอะ

ศิษย์           ทัศนคติเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดของคนใช่หรือไม่  ถ้าคนไม่มีทัศนคติใดๆจะเป็นอย่างไร

อาจารย์      ถ้าคนไม่มีทัศนคติใดเลย  จะเหมือนคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ดีงาม  แต่ไม่ใช่เด็ก  ท่านเป็นผู้ใหญ่ มีสติสัมปชัญญะ   เด็กจะไม่มีทัศนคติ  ไร้เดียงสา  ดีงาม ทำอะไรไม่มีจุดประสงค์  แต่ผู้ใหญ่ไม่อาจเป็นเช่นนี้   หลังจากคนไม่มีทัศนคติเหล่านี้แล้ว   พวกท่านก็ไม่อาจเป็นเช่นนี้  เนื่องจากเมื่อท่านไม่มีทัศนคติเหล่านั้นเลย  ท่านก็กำลังเลื่อนขึ้นไปแล้ว  ยกระดับขึ้นไปนานแล้ว   ดังนั้นในการบำเพ็ญทัศนคตินี้จะค่อยๆลดน้อย อ่อนกำลังลง   คือสภาพการณ์นี้   เรื่อยไปจนสุดท้าย ไม่มีอยู่เลย

ศิษย์           ในการศึกษาฝ่าเป็นกลุ่ม  บางครั้งดี  บางครั้งไม่ดี  จะเข้าใจการเกิดสภาพจิตขึ้นๆลงๆอย่างนี้ได้อย่างไร

อาจารย์      นั่นล้วนเป็นสภาพการณ์บำเพ็ญของท่าน  การบำเพ็ญของแต่ละคนล้วนจะสามารถยืนหยัดได้ดีอย่างนั้นในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน   บอกว่าไม่มีความคิดต่างๆนานารบกวน  พอศึกษาก็ซึมซับเข้าไปแล้ว  ใครก็ทำไม่ได้  แต่ข้าพเจ้ายังขอบอกพวกท่าน   หากแต่ละด่านพวกท่านข้ามไปได้ดี  ข้ามไปได้ไม่ดี  สามารถข้ามไปได้  หรือข้ามไปไม่ได้  นี่ก็คือการบำเพ็ญ   หากแต่ละด่านท่านสามารถข้ามไปได้หมด เช่นนั้นท่านก็คือเทพ  ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว  ใช่ไหม  แต่ว่า ท่านไม่อาจย่อหย่อนต่อตัวเอง  การบำเพ็ญต้องก้าวหน้า 

ศิษย์           หลังจากผู้รับผิดชอบศูนย์คนนั้นถูกถอดลงมา ก็แยกตัวเป็นใหญ่  ดึงผู้ฝึกกลุ่มหนึ่งออกไปตั้งกลุ่มศึกษาฝ่า

อาจารย์      ถ้าผู้รับผิดชอบคนนี้มีปัญหาจริงๆ  เมื่อถูกถอดถอนไปแล้ว  ข้าพเจ้าว่านั่นก็สมควร  คนที่ทำอะไรเพื่อจะหาเงิน นำผู้ฝึกก่อกวน  ยึดกุมไม่ดี  เกิดปัญหา...  ข้าพเจ้าคิดว่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบไม่ดีต่อฝ่าของเรา   ยังก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคม   อย่างนี้ก็สมควรเปลี่ยน  สมควรถอดออกไป 

       ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกหรือผู้รับผิดชอบคนนั้น ตัวเองจะค่อยๆรับรู้ได้ว่าตนเองผิด   แต่ในช่วงเวลานี้อย่าได้มองผู้รับผิดชอบคนนี้เป็นคนธรรมดาสามัญ  อย่างนี้ไม่ได้   เขามีเรื่องที่ข้ามไปไม่ได้  แต่เขาอาจยังคงเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่จากรูปการ  ถ้าปรากฏว่าเขาทำลายฝ่าจริงๆ  นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าเขาโจมตีฝ่า  ทำลายฝ่า หรือการกระทำเป็นคนละอย่างกับฝ่า  นั่นก็คือใจของเขาเองเกิดมาร  เขาหันหลังให้กับฝ่านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว  ก่อความวุ่นวายแล้ว  เราก็จะไม่ยอมรับเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว  หากเกิดปัญหานี้ขึ้น ก็จะเป็นอย่างนี้  ข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมรับเขา   

  เช่นนั้นคนที่ไปกับเขานะ   ทุกท่านคิดดู ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  การบำเพ็ญเป็นการร่อนทรายในกระแสคลื่นใหญ่  บางคนเขาไม่จริงใจศึกษาฝ่า  ซึ่งอาจอาศัยวิธีการนี้ เขาก็ออกไปแล้ว  เราที่นี่ไม่ต้องการพวกที่ปะปนเหล่านั้น  มาทำเรื่องวุ่น  และอาจเป็นสาเหตุนี้   ผู้ฝึกรับรู้ได้ถึงความผิดพลาดชั่วขณะ  เลอะเลือนไปชั่วขณะ  เมื่อเข้าใจแล้วก็กลับมา  แต่มีบางคนก็คือเลอะเทอะ  ทำไมไม่คิดดูว่าท่านมาศึกษาฝ่าหรือว่ามาเดินตามใคร

ศิษย์           อาจารย์พูดว่า  ควรบอกให้พวกเขามีสติแจ่มชัดได้แล้ว  ทำให้พวกเขาเป็นเทพที่แท้จริงองค์หนึ่ง  ผู้ฝึกมากมายรู้สึกว่าไม่อาจเข้าใจได้

อาจารย์      ขณะนี้ก็ค่อยๆทำเรื่องนี้อยู่  รวมทั้งสิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายในวันนี้ล้วนใช่หมด   มีมากมายที่บรรยายล้อมรอบเรื่องนี้อยู่  ทำให้พวกท่านสามารถค่อยๆมีสติแจ่มชัดได้ทั้งหมด

ศิษย์           มีการทดสอบการตัดขาดจากคนบ่อยๆ หรือว่ามีเพียงครั้งเดียว

อาจารย์      โอกาสอย่างนี้จะไม่มีมากอย่างแน่นอน  บางทีต่อไปยังจะมีรูปแบบอื่น  บางทียังจะมี  บางทีจะไม่มี  ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ยังไม่รู้  แต่ถ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงโดยแก่นแท้  ต่อให้มีสักกี่ครั้งก็จะข้ามไปไม่ได้  การบำเพ็ญก็คืออย่างนี้   จะไม่มีสิ่งอะไรบอกท่านว่า การทดสอบกำลังวางอยู่ตรงนั้นอย่างเด็ดขาด  หรืออาจจะมี  หรืออาจจะไม่มี  หากบอกท่านหมดแล้ว ก็ข้ามได้หมด  นั่นล้วนแต่เป็นของปลอม  ก็คือท่านจะไม่รู้  ในเวลาที่สำคัญ  ดูว่าท่านหนักแน่นหรือไม่  สามารถจะก้าวผ่านก้าวนั้นมาได้หรือไม่  หรือขณะที่ท่านกำลังตัดสินว่ามันว่าผิดหรือถูก  ท่านจะทำอย่างไร ก็เป็นเช่นนี้

ศิษย์           เวลาที่ศึกษา “จ้วนฝ่าหลุน” บทใดบทหนึ่ง นำ “จ้วนสอง” หรือหนังสืออื่นของต้าฝ่าที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันมาศึกษาพร้อมกัน   วิธีการนี้ดีหรือไม่

อาจารย์      ไม่ดี  ท่านสนใจแต่ไปศึกษา  อ่านเล่มไหนก็อ่านเล่มนั้น  ให้ท่านอ่านอย่างนี้  อ่านไปเรื่อยๆ  ท่านอย่าจงใจค้นหาอะไร   จงใจคิดจะทำอะไร  นั่นล้วนทำไม่ได้  ข้าพเจ้ายังจะขอบอกพวกท่าน พอถึงระดับไหน   ถึงเวลาที่ท่านควรยกระดับ  ก็จะให้ท่านยกระดับขึ้นมา   ควรให้ท่านเข้าใจหลักการของฝ่าในระดับชั้นไหน ก็จะให้ท่านเข้าใจหลักการของฝ่าในระดับชั้นนั้น   อย่างเช่นวันนี้ท่านทำเรื่องหนึ่ง  ท่านไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ท่านหยิบ “จ้วนฝาหลุน”มา   เปิดเขาออกตามสบาย  ไม่มีความนึกคิดใดที่จะเปิดหน้าไหน  เปิดไปตามสบาย  รับรองว่าจะตรงกับเรื่องที่ท่านทำในวันนี้อย่างจำเพาะเจาะจง  (ปรบมือ)  แน่ละ  หากท่านคิดจะกลับไปลองทำดู   มีใจอย่างนี้อยู่  อะไรก็จะไม่มี   การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  จะไม่ยอมให้ท่านลองเหมือนการละเล่น   อย่างนี้ไม่ได้  ก็คือว่าท่านอย่าจงใจไปทำอะไร

  “จ้วนฝ่าหลน” หนังสือต้าฝ่าเล่มนี้   คือสิ่งที่เป็นการบำเพ็ญอย่างเป็นระบบ  ท่านก็ไปอ่าน  พูดถึงเล่มอื่นเช่น “อี้เจี่ย”เอย  หรือ“จ้วนสอง”  เล่มอื่นๆ  นั่นเป็นเพียงส่วนเสริม  ให้ท่านอ่านเสริม  จุดประสงค์ของ “จิงจิ้งเย่าจื่อ”  เป็นการปรับแก้ปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญโดยรวมของเรา   หรือสภาพการณ์ที่ไม่ถูกต้อง

ศิษย์           บางคนพูดว่าพลานุภาพของต้าฝ่าไร้ขอบเขต  ศิษย์ต้าฝ่าไม่จำเป็นต้องปกป้องฝ่า คำพูดนี้ถูกหรือไม่

อาจารย์      ไม่ถูกต้อง  ใช่ ต้าฝ่ามีพลานุภาพไร้ขอบเขต  วันนี้ เราล้วนบำเพ็ญอยู่ในสภาพแวดล้อมของสังคมคนธรรมดาสามัญ  หากมีชีวิตระดับชั้นสูงที่เสื่อมทรามมาทำเรื่องชั่ว   เช่นนั้นฝ่าเองก็จะใช้เทพพิทักษ์ฝ่าของเราหรือชีวิตชั้นสูงอื่นๆดับสลายมันทิ้งไป    ถ้าเป็นศิษย์ของเรากำลังทำเรื่องชั่ว  เทพนี้มาแล้ว  ฆ่าคนทิ้งไป   แต่ละคนก็จะยอมรับว่าพลานุภาพของฝ่านี้ใหญ่จริงๆ   ก็จะไม่กล้าก่อความยุ่งยากให้ฝ่าอีกแล้ว  จากนี้ไปพวกท่านก็ไม่อาจบำเพ็ญได้อีกแล้ว เทพก็ไม่อาจมาฆ่าคนธรรมดาสามัญอย่างง่ายๆเช่นนี้ได้   และไม่อาจทำลายสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญนี้ของพวกท่าน  เราอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญ  หากในสังคมกับคนต่างๆก่อความยุ่งยากด้านต่างๆให้เรา  เราก็สามารถปกป้องต้าฝ่าโดยมุ่งจำเพาะต่อสถานการณ์ที่ต่างกัน   นี้ไม่ใช่การปกป้องฝ่าหรือ

  พูดถึงว่าคนชั่วเหล่านี้  คนที่ทำเรื่องชั่ว    ถ้ายังพอจะกอบกู้เขาได้  พวกเราก็ตักเตือนเขา  ไม่แน่ว่าเขายังอาจจะได้รับการช่วยเหลือ  ถ้าเขายังดึงดันที่จะทำ   ทำอย่างนี้ต่อไปอีก  ทำอย่างนี้อย่างไร้สติ(เหมือนเป็นโรคฮีสทีเรีย)  เช่นนั้นพอถึงเวลาที่แน่นอนหนึ่ง  เราก็จะจัดการเขา   และอาจเป็นการทดสอบผู้ฝึก จึงอาศัยใช้เขาเป็นการชั่วคราว  รอถึงวันสิ้นสุดการบำเพ็ญของเรา  ทุกสิ่งที่เขาทำเอง จะต้องไปชดใช้ทั้งหมด  นี้แน่นอนทีเดียว

ศิษย์           คนที่ไม่สามารถเป็นเทพ   สุดท้ายทำไมแม้แต่คนยังเป็นไม่ได้

อาจารย์      ทั่วทั้งจักรวาลล้วนกำลังปรับเปลี่ยนใหม่  ดังนั้นกล่าวสำหรับคน เมื่อการบำเพ็ญสิ้นสุดแล้ว  สภาพแวดล้อมนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีแล้ว   ฉะนั้นคนที่เหลือก็คือกากคนที่เน่าเสียยิ่งกว่า  คนที่ยิ่งไม่ดี  เมื่อคนใช้ไม่ได้แล้วก็จะถูกกวาดทิ้ง  ทุกท่านคิดดู   สามารถจะคงอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ไหม    คนนั้นเทพเป็นผู้สร้างจริงๆ  ครั้งก่อนข้าพเจ้าได้อธิบายปัญหานี้ไปแล้ว  ข้าพเจ้าจะพูดมันเพิ่มเติมให้กระจ่างอีกขั้น ทุกท่านทราบ  คนเราอาศัยอยู่ในมิตินี้ที่ประกอบขึ้นด้วยโมเลกุล  แต่ท่านทราบไหม  วัตถุสสารทั้งปวงข้างกายเราล้วนเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาด้วยโมเลกุล   แม้แต่อากาศก็ใช่  สิ่งที่ท่านกิน  สิ่งที่ท่านดื่ม   ทุกสิ่งที่ท่านสัมผัส  ทุกสิ่งข้างกายท่าน  ทุกสิ่งที่ท่านมองไม่เห็น ล้วนประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล ดังนั้นเมื่อมองจากข้างนอก   จากข้างนอกสภาพแวดล้อมของจักรวาลเรา มองสามภพ  ใช่หรือไม่ว่าคนอยู่ในกองโมเลกุลนี้  ท่านก็อาศัยอยู่ในกองโมเลกุลนี้   อากาศที่ท่านสูดเข้าไปล้วนเป็นโมเลกุลนี้  ดังนั้นเมื่อชีวิตชั้นสูงนอกสามภพมองมิติมนุษย์  โมเลกุลนี้คืออะไรละ   เทพเรียกโมเลกุลนี้โดยทั่วไปว่า “ดิน” หรือ เรียกว่า“โคลน”    ท่านจึงอยู่ในโคลน   คนจึงมุดไปมาอยู่ในโคลน  นี่คือสิ่งที่เทพมองกัน เทพก็มองกันอย่างนี้  ทั้งหมดล้วนใช่  และระดับชั้นที่ต่างกันยังมีสสารชั้นสูงยิ่งกว่า   พอข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ว่า พระเยซูเคยตรัสว่า พระยะโฮวา ใช้ดินโคลนสร้างคน   ข้าพเจ้าว่าก็ไม่ยากที่จะเข้าใจได้แล้วกระมัง   ไม่ใช่ “โคลน”นั้น  “ดิน” นั้นที่ท่านมองเห็น   ทั้งหมดนี้ล้วนใช่  เนื้อของท่าน เขาก็ถือว่าเป็นดิน  เป็นโคลนทั้งหมด   เพราะเทพมองโมเลกุลชั้นนี้   โดยเฉพาะโมเลกุลที่หยาบที่สุดนี้ ชั้นนี้   นั่นก็คือสกปรกที่สุด  เป็นดินโคลนที่ไม่ดีที่สุด  ก็มองกันอย่างนี้

ศิษย์           มีหลายคนเวลาฝึกพลัง ร่างกายสองข้างซ้ายขวาไม่สมดุล  คนอื่นมองว่าบิดเบี้ยว

อาจารย์      แต่ละคนต่างมีสภาพการณ์ของตน  ร่างกายบางคนด้านนี้มีสสารมาก  ร่างกายด้านนั้นมีสสารน้อย  มีสภาพการณ์นี้อยู่   มันเกิดขึ้นโดยตัวท่านเอง ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน และสภาพการณ์ที่ต่างกันในประวัติศาสตร์     แต่ท่านเพียงสนใจไปฝึก  สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าจะจัดการให้พวกท่านทั้งหมด   ตัวท่านเองจัดการไม่ได้หรอก  ดังนั้นท่านเพียงสนใจฝึก  ท่านมีจิตยึดติดเพิ่มขึ้นอีกอย่างก็ไม่มีประโยชน์ ท่านเอาแต่คิดถึงมัน ก็จะเป็นภาระ  ยังเป็นอุปสรรค  ยังคงเป็นจิตยึดติด  ข้าพเจ้าไม่ใช่เพิ่งพูดแล้วหรือ  ข้าพเจ้าได้เปิดจนไม่มีประตูแล้ว  ข้าพเจ้าดูแต่ใจคน   หากท่านไม่บำเพ็ญอีก  แม้แต่ใจข้าพเจ้าก็ไม่ดูแล้ว  ข้าพเจ้ายังจะช่วยท่านได้อย่างไรละ  ใช่ไหม

ศิษย์           เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถทิ้งทัศนคติทั้งหมดที่ก่อเกิดหลังกำเนิดไปได้เร็วที่สุด

อาจารย์      ท่านเพียงแต่ยืนหยัดศึกษาต้าฝ่า  เมื่อเกิดความคิดที่ไม่ดี  ท่านต้องคิดถึงว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญ  ใช้ความคิดที่ถูกต้อง(เจิ้งเนี่ยน)ควบคุมมัน   ธรรมกาย(ฝ่าเซิน)ของข้าพเจ้าเห็นกิจกรรมด้านความคิดของท่านได้อย่างชัดเจน  หากท่านสามารถแยกมันออกได้ชัดเจน   ไม่ถือมันเป็นตนเอง เช่นนั้นแน่นอนมันก็จะไม่ใช่ท่าน   ก็จะขจัดมันทิ้งไปได้   แต่ไม่ใช่จะขจัดทิ้งให้ท่านทั้งหมดในครั้งเดียว  จะแบ่งเป็นระดับชั้น  ค่อยๆย่อมันให้เล็กลง  เพราะยังต้องเหลือไว้ให้ตัวท่านเองไปรับรู้ฝ่า   ไปบำเพ็ญ  แต่มีเฉพาะบางอย่างที่ไม่ดีอย่างมากจะขจัดทิ้งไปให้ในทันที  ก็เป็นอย่างนี้

ศิษย์           ผู้ฝึกบางคนนอนหลับขณะศึกษาฝ่าอยู่  เมื่อชี้ออกมาให้กับเขา  เขาไม่พอใจ  ไม่มาร่วมศึกษาแล้ว

อาจารย์      เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องเรียกเขามาศึกษาแล้ว  เขาไม่ใช่มาเพื่อจะศึกษาฝ่าจึงได้มา  แต่มานอน   เช่นนั้นยังจะเรียกเขามาทำอะไร  ใช่ไหม  มาเพื่อมานอน  พวกเราที่นี้ก็ไม่ได้ขาดการนอนหลับ

            อย่ากลัวว่ามีคนน้อย   หากในสนามฝึกของเราแม้มีผู้บำเพ็ญจริงแค่คนเดียว  ข้าพเจ้าว่าก็ไม่เลว  ท่านอย่ากลัวว่าคนน้อย   ท่านมากันกลุ่มใหญ่  หนึ่งพันคน  แต่ในนั้นไม่มีผู้บำเพ็ญจริงสักคน  นั่นจะมีประโยชน์อะไร  ยังจะทำลายฝ่า

ศิษย์           บางครั้งพวกเราช่วยสอนได้ไม่ดีพอ  เพราะกลัวอธิบายฝ่าผิดไป

อาจารย์      เรื่องการช่วยฝึกสอนนี้ข้าพเจ้าเคยพูดหลายครั้ง อาทิเช่น  ในเวลาที่เรากำลังอธิบาย สามารถพูดอย่างนี้ว่า ฉันอยู่ในระดับชั้นนี้ของฉัน  ฉันรับรู้ได้ว่าฝ่ามีความนัยอย่างนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันรับรู้ได้ในระดับชั้นนี้ของฉัน    แน่ละฝ่ายังมีความนัยที่สูงยิ่งกว่าใช่ไหม   หากพูดว่าจุดไหนของฉันมีความแตกต่างจากฝ่า  หรือฉันเข้าใจว่าฝ่านี้พูดถึงเรื่องอะไรในเขตแดนไหน   นี้ล้วนไม่เป็นไร  แต่ฝ่ายังมีความนัยอย่างอื่นอีก  เรื่องนี้พูดไว้ชัดเจนมาก  ก็คือท่านอย่าจำกัดตัวเองเอาไว้

ศิษย์           ผู้ฝึกพลังยังรับภาระการงานของสังคม  ใช่ไหมว่าจำเป็นต้องใช้หลักการของสังคมคนธรรมดาสามัญไปจัดการปัญหา

อาจารย์      การงานก็คือการงาน  การบำเพ็ญก็คือการบำเพ็ญ  แต่ซินซิ่งที่ยกระดับในระหว่างที่บำเพ็ญจะแสดงออกมาในปัญหารูปธรรมของการทำงาน   นอกจากนี้หัวหน้ายืนกรานให้ท่านทำเรื่องอะไร  ท่านสามารถจะคล้อยตามหน่อย  เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการทำ ถ้าท่านไม่ทำเขาจะไม่เข้าใจ แต่ก็จะไม่ทำผิดใหญ่โต   หากมีความผิดพลาด  เวลาที่ท่านกำลังทำ ก็สามารถทำตามวิธีการของท่านเอง พยายามทำมันให้ดี  ก็ดูว่าท่านไปจัดการอย่างไร  ข้าพเจ้าคิดว่าล้วนจะสามารถทำได้ดี ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีปัญหา    ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง  พวกเราบางคนรักหน้าตา  ไม่ให้คนรู้ว่าเขากำลังฝึกต้าฝ่า  ไม่ให้คนรู้ว่าเขาดีอย่างนั้น   ข้าพเจ้าคิดว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้นจากสาเหตุของบุคคล   ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ขณะนี้มีคนร้อยล้านคนกำลังศึกษาต้าฝ่า  ไม่ใช่คนน้อยแล้ว  ท่านไม่ใช่ปรากฏการณ์เฉพาะ    ท่านจะไม่ถูกคนหัวเราะเอา  โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมนี้ในเมืองฉางชุน   พอพูดถึงการฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า  ผู้คนต่างก็รู้ว่าเป็นคนดี

  หลายพื้นที่ของเรา คนงานที่ถูกออกจากงาน เวลาไปหางาน  ผู้คนพูดว่า  คนที่ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่านั้นฉันต้องการ  ท่านอย่าคิดว่าของท่านเป็นกรณีเฉพาะ  ของท่านโดดเด่น   หาใช่เช่นนั้นไม่  เรามีสภาพแวดล้อมนี้แล้ว  และสภาพแวดล้อมนี้ล้วนเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ

ศิษย์           มีหลักพลังกลุ่มอื่นฝึกอยู่ข้างๆพวกเรา  และเปิดเทปเพลงเสียงดัง   พวกเรา........

อาจารย์      เรื่องนี้ไม่เป็นไร     นี่มิใช่การทดสอบจิตใจเราว่าจะหวั่นไหวหรือไม่หรอกหรือ  เมื่อเขาเปิดเพลงนั้น พอดีกระทบถึงใจพวกท่านใช่ไหม  ในเวลานั้นจะดูว่าท่านถูกมันรบกวนหรือไม่  ท่านโกรธหรือไม่  ดังนั้นพวกเราเองต้องค้นหาสาเหตุของพวกเราเองที่นี่  ฟ้าผ่าไม่หวั่นไหว  ท่านเปิดเถอะ  เมื่อท่านไม่หวั่นไหวจริงๆ   เสียงก็จะหายเข้ากลีบเมฆโดยอัตโนมัติ   รับรองว่าจะเป็นเช่นนี้   ถ้าบอกว่าเขามีเจตนา  หรือท่านยึดกุมได้ไม่ดีจริงๆ    ผู้ฝึกใหม่ค่อนข้างมาก  เช่นนั้นเราก็เปลี่ยนสถานที่   เขารู้สึกว่าที่นี่ดี ก็ให้เขาไป   ไม่ว่าที่ไหนที่ฝ่าหลุนกงเราไปฝึกก็จะเปลี่ยนเป็นที่ที่ดี พวกเรานั้นปรับแก้สภาพแวดล้อม  ไม่ใช่เลือกสภาพแวดล้อม

ศิษย์           ผู้บำเพ็ญจะทำงานของผู้นำให้ดีได้อย่างไร

อาจารย์      ปัจจุบันงานของผู้นำมีเรื่องยุ่งยากมากเหลือเกิน ถ้าในสังคม คนล้วนฝึกฝ่าหลุนกง  ข้าพเจ้าว่าท่านไม่ต้องกังวลอะไร เขาก็จะทำกันได้ดีมาก  ทุกคนต่างก็ทำ  เห็นแก่ส่วนรวม  ไม่เห็นแก่ตัว ไม่แสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง   ล้วนปรารถนาดีต่อคนอื่น   ท่านว่าสังคมนี้จะเป็นอย่างไร   แน่ละเราหาได้บอกทุกคนว่า หลังจากศึกษาฝ่าแล้วก็ให้ท่านไปเป็นคนธรรมดาสามัญ   ข้าพเจ้าก็พูดในความหมายนี้  พูดถึงว่าจะทำอย่างไรดี    นั่นล้วนเป็นปัญหารูปธรรมของท่านเอง   ท่านเองไปยึดกุมว่า จะทำให้สอดคล้องกับการเป็นผู้ฝึกพลังได้อย่างไร   มีบางเรื่องให้โอนอ่อนผ่อนตามสักหน่อย  ใจกว้างสักหน่อย  กับตัวเองให้เข้มงวดสักหน่อย

ศิษย์             จะปฏิบัติอย่างไรกับบรรยากาศที่ไม่ดีในสังคมที่เผชิญในการทำงาน

อาจารย์      เรื่องที่ท่านแก้ไขไม่ได้ก็อย่าไปคิดให้มากมายอย่างนั้น ถ้าท่านเป็นผู้นำหน่วยงาน  บรรยากาศในหน่วยงานของท่านไม่ดี  ท่านมีความรับผิดชอบ  แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานท่าน  หรือท่านไม่มีตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม  เช่นนั้นท่านก็อย่าไปสนใจ  สนใจดูแลตัวเองให้ดีก็พอ  ที่เราพูดกันคือ ให้ทำดีโดยเริ่มจากตัวเอง  แต่ละคนต่างดูแลตัวเองให้ดี  สังคมก็จะดี     ถ้าแต่ละคนต่างก็ไปจัดการคนอื่น  ยิ่งทำก็จะยิ่งไม่ดี   ความขัดแย้งจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ   ตัวเองไม่ทำให้ดี  เอาแต่จะจัดการคนอื่น  ระหว่างกันและกัน เธอไม่ดี  ฉันไม่ดี  เขาไม่ดี   ความขัดแย้งระหว่างกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าจะเป็นเช่นนี้

ศิษย์           เหตุใดบางคนมักจะอู้(รับรู้)ผิดเพี้ยนไปหรืออู้(รับรู้)แบบสุดขั้ว

อาจารย์      ที่จริงก็ง่ายมาก  ไม่ใช่ปัญหาอะไรอื่น ก็คือจุดเริ่มต้นของความคิดวางอยู่ที่ไหน  ก็คือในเวลาที่ท่านคิดจะอู้นั้น  จุดเริ่มต้นความคิดของท่านอยู่ที่ไหน   ท่านยืนอยู่ที่จุดฐานไหน   ถ้าท่านมีจิตยึดติดของตนเองที่ไม่ปล่อยวาง  คิดจะค้นหาคำตอบ   คิดจะค้นหาเพื่อการปกป้องสิ่งนั้นของตนที่วางไม่ลง    ท่านก็จะอู้ผิดเพี้ยนไปอย่างแน่นอน  ถ้าท่านไม่คิดอะไรเลย  เมื่อท่านอ่านฝ่าอยู่   ที่ฝ่าพูดนั้นถูกต้อง  ท่านอย่าได้ค้นหาสิ่งที่ท่านเองคิดว่าถูกจากในฝ่า   ท่านอย่าได้ค้นหาทางออกให้กับตัวเองจากในฝ่า   จับใจความบางตอน(ของฝ่า)เพื่อการปกป้องสิ่งนั้นของท่านเอง  นั่นใช้ไม่ได้  ยิ่งอ่านก็จะยิ่งเลอะเลือน   ก็คือดูว่าจุดเริ่มต้นของท่านคืออะไร  

ศิษย์           ปัจจุบันทางลัดที่จะสำเร็จสมบูรณ์เร็วที่สุดคืออะไร

อาจารย์      ข้าพเจ้าได้เปิดรูปแบบการบำเพ็ญที่เร็วที่สุด  ดีที่สุดให้กับผู้คน  เราอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ซับซ้อนที่สุด และสภาพแวดล้อมนี้ได้กระตุ้นให้คนยกระดับได้เร็ว  ในขณะเดียวกันเราได้ถ่ายทอดฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  ฝ่านี้ก็ทำให้คนยกระดับได้เร็ว   ยังต้องการจะให้เร็วอย่างไรอีกละ  จะไม่มีอะไรที่จะช่วยเหลือคนได้เร็วยิ่งกว่าต้าฝ่านี้อีกแล้ว  คนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกรรม  ก่อนอื่นควรคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะชดใช้กรรม  ท่านไม่อาจเลือกอะไรได้

ศิษย์           ดิฉันมักเข้าใจว่าการคัดหนังสือสิ้นเปลืองเวลา

อาจารย์      เช่นนั้นท่านก็สุดขั้วไปหน่อยแล้ว

ศิษย์           การเอาชนะกรรมทางความคิด  นอกเหนือจากการผลักไสด้วยจิตสำนึกที่เข้มแข็งแล้ว ยังมีวิธีอื่นที่ดีไหม

อาจารย์      ไม่มี  ท่านเองเอามือไปจับก็จับลงมาไม่ได้  ไม่มีวิธีอื่น   การยกระดับของท่าน  การขจัดทิ้งกรรมทางความคิดของท่าน  จะลดน้อยลงตามการยกระดับชั้นของท่าน  การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  ไม่ใช่เรื่องที่ท่านคิดว่าจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น    แต่ละด้านได้จัดวางให้กับท่านอย่างละเอียดรอบคอบมาก  การคิดเพ้อเจ้อนั้น ใช้ไม่ได้

ศิษย์           ชั้นที่ใหญ่ที่สุดของเซลล์ร่างกายร่วงไป  ร่างกายในมิติอื่นจะมีรูปแบบการคงอยู่อย่างไร

อาจารย์      ข้าพเจ้าเคยพูดว่า  ชีวิตคนไม่อาจตายไปตามการตายของท่าน    ข้าพเจ้าเคยพูดปัญหานี้ในฝ่าแล้ว พูดไว้อย่างชัดเจนมากแล้ว   เมื่อคนตายแล้ว  ชั้นที่ใหญ่ที่สุดของโมเลกุลก็คือเนื้อหนังมังสาของคน   โมเลกุลชั้นผิวนี้ที่อยู่ในมิตินี้ได้ตายไป  สลัดทิ้งไปแล้ว  แต่ร่างกายท่านที่ประกอบขึ้นจากสสารระดับจุลทรรศน์จะตายไปได้อย่างไรกันละ ไฟในเตาเผาศพนั้น  ก็ไม่อาจเผาสสารที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าของท่านให้มอดไหม้ไปได้   ไฟเผาไม่ถึงมัน   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ไม่ใช่ว่าไฟของคนเผาไม่ไหม้   ไม่ใช่ไฟของคนเผานิวเคลียสอะตอมไม่ได้  หรือระดับความร้อนไม่พอ  แต่เป็นเพราะ ระหว่างไฟที่ฝั่งนี้กับมัน  มีความแตกต่างทางมิติ  จึงเผาไม่โดนมัน   

ศิษย์           ในหัวข้อ “ฝึกวิชามาร” มีวรรคหนึ่งพูดว่า ผู้รู้แจ้งใหญ่ก่อตั้งจักรวาลใหม่ตามคุณสมบัติพิเศษของตนเอง  เช่นนั้นคุณสมบัติเดิมกับจักรวาลใหม่.........

อาจารย์      จักรวาลนี้ใหญ่มหึมาเหลือเกิน  จักรวาลของระดับชั้นที่ต่างกันล้วนเคยเกิดเรื่องนี้   แต่ที่กล่าวในหนังสือไม่ใช่เรื่องของร่างนภาที่ใหญ่อย่างนี้  ไม่ใช่เรื่องนี้

            ในร่างนภามีจักรวาลมากมาย   หากมองในร่างนภาที่ใหญ่มหึมา  พวกมันล้วนเหมือนกับฝุ่นละออง  ข้างในนั้นท่ามกลางฝ่าของระดับชั้นที่ต่างกัน  จักรวาลที่ต่างกัน จะมีการรับรู้ต่อฝ่าของระดับชั้นที่ต่างกัน   อย่างเช่น ฝ่าที่แท้จริงของระดับชั้นหนึ่งของฝ่า  ไม่อาจให้ชีวิตรู้จักได้  แต่คุณสมบัติพิเศษของฝ่านี้ที่ปรากฏออกมา  กลับจะเป็นที่รู้จักของชีวิต  รวมทั้งที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับพวกท่านในวันนี้  และเป็นการบรรยายอย่างคร่าวๆ ถึงการรับรู้ของท่านเมื่อเลื่อนขึ้นไปถึงขั้นนั้น  แต่จะไม่อาจทราบการเผยออกมาอย่างแท้จริงของฝ่าที่ระดับชั้นนั้น ดังนั้นชีวิตของระดับชั้นนี้  ถ้าเป็นชีวิตที่บำเพ็ญขึ้นไปจากข้างล่าง(ยกเว้นผู้ที่บำเพ็ญต้าฝ่า)   เขาสอดคล้องกับฝ่าของระดับชั้นนี้ ในขั้นตอนการบำเพ็ญที่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งสูงขึ้น   มีสิ่งที่เขาบำเพ็ญเอง  อย่างเช่นว่า องค์ศากยมุนีมี “ศีล สมาธิ ปัญญา”     “ศีล สมาธิ ปัญญา” ของพระองค์ก็สอดคล้องกับหลักการของฝ่าในระดับชั้นนั้นของพระองค์  สอดคล้องกับฝ่าของจักรวาลระดับชั้นนั้น   ฉะนั้นจึงเลื่อนขึ้นไปถึงขั้นนั้นแล้ว ทั่วทั้งจักรวาลที่ก่อตั้งขึ้น คือหลักการของฝ่าของพระองค์  คือการก่อตั้งขึ้นด้วย “ศีล สมาธิ ปัญญา”  ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการผันแปรหลักการมูลฐานของมรรคผลถูกต้องทั้งหมดของพระองค์  สสารและรูปแบบทั้งหมดนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งนี้ของพระองค์  หรือพูดอีกอย่างว่า พระองค์ไม่ทรงทราบฝ่ามูลฐานที่เผยออกมาอย่างแท้จริงที่ฝั่งนั้น แต่พระองค์ทรงทราบปรากฏการณ์ของฝ่า  ประจักษ์แจ้งสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นนี้  พระองค์จึงสามารถอยู่ในระดับชั้นนี้  เช่นนั้นพระองค์จึงมีสิ่งที่เป็นของพระองค์เอง คือ มรรคผลแห่งการประจักษ์แจ้งที่ถูกต้อง   

            เช่นนั้นในระดับชั้นนี้ย่อมมีพระพุทธองค์อื่น  มีเทพองค์อื่น  พวกเขาก็ประจักษ์แจ้งถึงความเข้าใจอย่างอื่นในหลักการของฝ่าในระดับชั้นนี้  และสอดคล้องกับหลักการของฝ่าในระดับชั้นนี้  ฉะนั้นก็ประจักษ์แจ้งอย่างถูกต้องในมรรคผลของตน    พระพุทธองค์อื่นก็เป็นเช่นนี้   และก่อตั้งโลกอยู่ในนี้เช่นกัน และประจักษ์แจ้งในมรรคผลที่ตัวเองประจักษ์แจ้งอย่างถูกต้องในต้าฝ่าของจักรวาลในระดับชั้นนี้   แต่ล้วนไม่เหมือนกัน  แต่ก็ได้มาตรฐานของระดับชั้นนี้ด้วย ที่ข้าพเจ้าบรรยายนี้ เข้าใจแล้วกระมัง เช่นนั้น ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล ปรากฏการณ์อย่างนี้ในระดับชั้นที่ต่างกัน มีปรากฏการณ์อย่างนี้มากเหลือเกิน  ฉะนั้นในจักรวาลอย่างนี้  วัฏจักรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมถอยนั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ  แต่ฝ่านี้ของร่างนภาทั้งหมดของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป  จะเป็นฝ่านี้ตลอดไป  ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป  และไม่เคยเปลี่ยนเลย

ศิษย์           ผู้ฝึกที่เคยร่วมฟังการบรรยายของอาจารย์กับผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วม  นอกจากมีวาสนาที่ต่างกันกับอาจารย์  ยังมีอะไรต่างกันหรือไม่

อาจารย์      ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ในการบำเพ็ญพวกท่านล้วนไม่มีอะไรต่างกันเลย   มีหลายคนก็มีวาสนามากกับข้าพเจ้า ในปีนั้นก็ไม่ได้ร่วมฟังการบรรยาย  เป็นเพราะสถานการณ์ของตัวเขาเอง  ซึ่งเกิดจากสภาพการณ์และปัจจัยต่างๆมากมาย

            ได้ตอบปัญหาให้หมดแล้ว   ที่เลือกออกไปบางส่วนคือคำถามที่ซ้ำกัน  ยังมีบางคำถามเป็นปัญหาที่คนธรรมดาสามัญถาม ไม่จำเป็นต้องตอบ  และได้คัดออกไปแล้ว   ข้าพเจ้าได้บรรยายไปห้าชั่วโมงแล้ว  เนื่องจากเป็นการฟังฝ่าใช่ไหม  ทุกคนต่างก็จะอยากฟัง   ต่ออีกห้าชั่วโมงท่านอาจจะรู้สึกว่าเวลาก็ไม่ยาวเลย   ข้าพเจ้าบรรยายมากขึ้นอีกก็เป็นเพียงเพื่อจุดประสงค์หนึ่งคือ  ให้ท่านสามารถยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น  บำเพ็ญขึ้นไปได้เร็วยิ่งขึ้น    พวกเราที่นั่งอยู่ส่วนมากเป็นผู้ช่วยฝึกสอน  ทำงานของพวกท่านให้ดี  ก็คือจุดประสงค์นี้ พูดถึงว่ามีปัญหามากมาย  และสถานการณ์การบำเพ็ญของพวกท่าน ถ้าข้าพเจ้าตอบให้ทั้งหมด  พวกท่านก็บำเพ็ญไม่ได้แล้ว  เกรงว่าแม้จะบำเพ็ญแล้วก็ไม่นับ  ดังนั้นมีปัญหามากมาย ต้องอาศัยพวกท่านไปรับรู้เอง  ไปบำเพ็ญเอง  นั่นจึงจะเป็นการบำเพ็ญ  ข้าพเจ้ามักยกตัวอย่างนี้ว่า เวลาที่ท่านสำเร็จสมบูรณ์ ท่านขึ้นไปพอเห็นพระพุทธใหญ่ที่น่าเกรงขามนั่งอยู่ตรงนั้น   การสถาปนาธรรมานุภาพของพระพุทธแต่ละองค์ล้วนยิ่งใหญ่   แล้วตัวท่านเองขึ้นมาได้อย่างไรหรือ  ท่านจะพบว่าท่านจะรู้สึกกล้าๆกลัวๆ  ท่านเองก็จะทราบว่าท่านไม่ควรอยู่ที่นี่  ท่านก็จะลงมาเองแล้ว  ท่านจะรู้สึกว่าไม่คู่ควร  ดังนั้นพวกท่านแต่ละคนที่บำเพ็ญล้วนต้องสามารถบรรลุเขตแดนของตน   แต่ละระดับชั้นของตัวเองล้วนต้องบรรลุอย่างแน่นแฟ้น   การบำเพ็ญนั้นเข้มงวดใช่ไหม  จากวันนี้ไป  อย่าได้นำคำพูดของข้าพเจ้าพุ่งเป้าไปที่คนอื่น  เพราะข้าพเจ้าพูดต่อสถานการณ์ของพวกท่านโดยเฉพาะ  และอย่าได้จับใจความบางตอนในคำพูดของข้าพเจ้าไปใช้   และอย่าไปพูดกับคนอื่นด้วยจิตยินดีว่า ฉันได้ฟังอาจารย์หลี่ พูดอะไรอะไรแล้ว   พอท่านเกิดจิตยึดติด ท่านก็เป็นคนธรรมดาสามัญแล้ว   เพื่อให้ทุกท่านสามารถจะบำเพ็ญได้อย่างราบเลื่อนและมั่นคง   ดังนั้นที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก 

            สภาพแวดล้อมในวันนี้   ซึ่งผ่านมาอย่างลำบากโชกโชน  ข้าพเจ้าสามารถแก้ไขสภาพแวดล้อมทั้งหมดของการบำเพ็ญได้แล้ว ไม่เกิดปัญหา  เดินได้อย่างเที่ยงตรงเช่นนี้  นี้ไม่ง่ายเลย  ที่จริงข้าพเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้นั้น  พวกเราก็ไม่มีการจัดตั้งที่เป็นรูปแบบใดๆ  ไม่เก็บสะสมเงิน  หรือวัตถุสิ่งของ   สิ่งที่ดีที่ทุกท่านมองเห็นคือ ไม่มีการสร้างแวดวงอิทธิพลอะไรในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ไม่รบกวนสังคม  ไม่รบกวนรัฐบาล ที่พวกท่านเห็นคืออย่างนี้   ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน เป็นเพราะพวกเรามีฝ่า   มีฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  ข้าพเจ้าจึงสามารถปล่อยมือได้    ท่านจะศึกษาหรือไม่ล้วนเป็นเรื่องของตัวคนเอง......พวกเราไม่มีบัญชีรายชื่อใดๆ  ไม่จัดเก็บข้อมูลของนาย ก  นาย ข   ขอเพียงท่านบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบต่อท่าน  และการรับผิดชอบชนิดนี้จะไม่ปรากฏออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญ  ท่านก็จะสามารถยกระดับ  เมื่อบำเพ็ญเรื่อยไปท่านก็จะสามารถหยวนหมั่น  แต่ล้วนจะไม่ปรากฏออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญ

            เหตุผลที่เราทำเช่นนี้คือเพื่อจะประกอบฝ่านี้ให้สมบูรณ์  ฝ่านี้ใหญ่ออกอย่างนี้   สำหรับรูปแบบการถ่ายทอดในสังคมคนธรรมดาสามัญก็กำหนดไว้สูง  และพูดได้ว่า  รูปแบบในหมู่คนธรรมดาสามัญก็จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของต้าฝ่านี้ เช่นนั้นรูปแบบอะไรที่จะสามารถสอดคล้องกับข้อกำหนดของฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ ซึ่งจะถ่ายทอดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญโดยไม่ทำให้เขา(ฝ่า)ด่างพร้อย   นั่นก็มีเพียงอย่างเดียว  ก็คือ “เต๋าใหญ่ไร้รูป”  ดังนั้นพวกเราได้ทำถึงจุดนี้อย่างแท้จริงแล้ว   ไร้รูป  ไม่มีรูปแบบใดๆของสังคมคนธรรมดาสามัญ  แต่เรากลับสามารถทำให้คนบำเพ็ญได้อย่างแท้จริง   ยกระดับได้อย่างแท้จริง  พวกเราก็เดินกันอย่างนี้   ก็ทำกันอย่างนี้  และก็ดีที่สุด   ใครก็ไม่อาจจับผิดเราได้   บางคนคิดจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ(หาเรื่องจับผิดเล็กๆน้อยๆ)ก็หาไม่พบ   เพราะเรามีฝ่า  ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตั้งกฎกติกาอะไร  จะทำกันอย่างไร  ตัวพวกท่านล้วนทราบเอง

            กระทั่งผู้ช่วยฝึกสอนของพวกท่าน  ผู้ช่วยฝึกสอนตามที่เรียกกันของทุกท่าน ก็ล้วนเป็นเพียงความกระตือรือร้นของตัวเอง  ตนเองไม่หวังชื่อเสียง ผลประโยชน์  อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น    ทว่าอาศัยความกระตือรือร้นของตนเอง นำเครื่องเล่นเทปบันทึกเสียงไปที่นั่นช่วยฝึกสอนให้ทุกคน   และเป็นอย่างนี้ทั้งสิ้น   เป็นความกระตือรือร้น เป็นการกระทำส่วนตัว   ในทางปฏิบัติได้พิสูจน์แล้วว่าสภาพแวดล้อมนี้ดีที่สุดต่อการบำเพ็ญของพวกเรา   ไม่มีผู้ที่ช่วยเหลือคนผู้ใดในอดีต ที่กล้าทำอย่างนี้   เพราะเขาไม่มีฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ เขาล้วนนำศิษย์รวมกลุ่มเข้าด้วยกันไปบำเพ็ญโดยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์  ปฏิบัติตามข้อห้าม   พวกเราวันนี้ เนื่องจากมีฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  เราจึงเปิดอิสระ  ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์เหล่านั้น   สิ่งใดที่มีรูปแบบล้วนไม่คู่ควรกับต้าฝ่านี้   กฎกติกาใดๆล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงใจคนได้เลย  มีแต่ฝ่า  ดังนั้นเราจึงใช้วิธีนี้

รูปแบบนี้ของผู้รับผิดชอบเราก็เป็นสิ่งจำเป็น ผู้รับผิดชอบชนิดนี้ ไม่เหมือนรูปแบบของวิสาหกิจหรือหน่วยงานรัฐใดๆ     ฉันก็ใช้บ้านฉัน  พบกับทุกคน  ดูว่าผู้ฝึกมีปัญหาอะไร   แล้วเราก็ปรึกษาหารือกัน  เป็นรูปแบบมวลชนรากหญ้าอย่างหนึ่ง   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าดีมาก ทุกคนคิดจะทำอะไร ปรึกษาหารือกัน การเผยแพร่ฝ่าให้กว้างไกลเอย ทุกคนช่วยทำอะไรเล็กๆน้อย นี้ล้วนแต่ดีมาก

ฝ่าฮุ่ย(การประชุมธรรม) ก็เป็นสิ่งที่มีเฉพาะในต้าฝ่าเรา  พอถึงเวลาที่แน่นอนหนึ่งแล้ว   พวกเราก็มารวมกัน  มีคนที่ศึกษาได้ดี   เปิดฝ่าฮุ่ยอีกครั้ง ทุกท่านไปเล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนความเห็นกัน  เป็นการกระตุ้นผู้อื่น  มีประโยชน์ต่อการยกระดับ  นี่ดีมาก  นี่ก็เป็นสิ่งที่มีเฉพาะในพวกเรา

โดยสรุป   ทุกท่านล้วนอุทิศคุณูปการอย่างมากมายเพื่อฝ่านี้   แน่ละ   ข้าพเจ้าไม่อาจพูดเยินยอพวกท่านตามการพูดแบบพิธีการ  ที่พวกท่านแสวงหาก็ไม่ใช่สิ่งนี้   ที่พวกท่านแสวงหาคือบุญกุศล   แสวงหาการยกระดับเขตแดน ยกระดับชั้น  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งเหล่านี้   ท่านทำเพื่อต้าฝ่าก็เท่ากับทำเพื่อตัวท่าน  เพราะท่านนั้นเป็นหน่วยหนึ่งในต้าฝ่า  ท่านจะรับผิดชอบต่อต้าฝ่าหรือไม่  ก็เป็นเรื่องการรับผิดชอบต่อตัวท่านเองหรือไม่   ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องพูดมากมายอย่างนั้น   ข้าพเจ้าเพียงมาดูแลทุกท่าน ในการบำเพ็ญ  ในระดับชั้นต่างๆ  ในการยกระดับของทุกท่าน

  พูดถึงว่าในหมู่คนธรรมดาสามัญ จะทำกันอย่างไร   ข้าพเจ้าคิดว่าทุกท่านก็ทราบกันหมด  และหวังว่าจากวันนี้ไป  จะสามารถมีการเริ่มต้นที่ดียิ่งขึ้น   ทำงานของพวกท่านให้ดียิ่งขึ้น  ในเวลาเดียวกัน พวกท่านเอง ผ่านวันนี้นับเป็นฝ่าฮุ่ยครั้งหนึ่ง   จะสามารถช่วยท่านมีการยกระดับอย่างมาก  เป็นแรงกระตุ้นอย่างมาก   ที่นี่ ข้าพเจ้าอาจช่วยผลักดันท่านไปข้างหน้า   แต่ตัวท่านเองต้องเร่งศึกษาฝ่า  ศึกษาฝ่าแข่งกับเวลา  และต้องตามให้ทัน จึงจะแน่นแฟ้น   หวังว่าทุกท่านจะก้าวหน้าอย่างอาจหาญขึ้นอีก  อย่าเพียงแต่ดูคนเขาหยวนหมั่น   ตนเองก็ต้องมุ่งมั่นให้บรรลุหยวนหมั่นในเร็ววัน