การบรรยายฝ่า ณ ที่ประชุมครั้งแรกในอเมริกาเหนือ

 

หลี่ หงจื้อ

29 – 30 มีนาคม ค.ศ. 1998 ณ นครนิวยอร์ค

 

ข้าพเจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประชุมนี้ เหมือนทุกๆคน ข้าพเจ้าอยากจะฟังประสบการณ์ของพวกท่าน ข้าพเจ้าเป็นผู้ริเริ่มในการแนะนำให้จัดการประชุมครั้งนี้ เพราะว่าเราไม่เคยจัดการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกศิษย์ต้าฝ่าในระดับประเทศในอเมริกา ข้าพเจ้าจึงคิดว่าเป็นการเหมาะสม เป็นโอกาสที่ค่อนข้างเหมาะสม ที่ลูกศิษย์จะมีการประชุมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน หนึ่งปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ข้าพเจ้ามาอเมริกาครั้งสุดท้ายเพื่อสอนฝ่า ในช่วงหนึ่งปีของการบำเพ็ญปฏิบัติพวกท่านทุกคนต่างก็มีความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ท่านได้ฟังฝ่าครั้งที่แล้ว ทุกท่านต่างรู้สึกว่ามีผลต่อการยกระดับของตนในระดับหนึ่งที่แน่นอน แต่โดยแท้จริงแล้วก้าวหน้าขึ้นมากเท่าใด ข้าพเจ้าคิดว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จะมีประโยชน์ต่อท่าน นอกจากนี้ การประชุมนี้ยังสามารถส่งเสริมการเผยแพร่ต้าฝ่าของเราให้กว้างไกลต่อไปด้วย

เมื่อพูดถึงการเผยแพร่ มีความเข้าใจผิดอยู่ในขณะนี้ บางคนพูดว่า “อาจารย์สอนให้พวกเราเร่งบำเพ็ญปฏิบัติอย่างแท้จริง” เขาเข้าใจเป็นว่าอะไรก็ไม่ทำแล้ว เขาก็เร่งบำเพ็ญปฏิบัติอย่างแท้จริง แน่นอน ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ทำงานของคนธรรมดาสามัญอีกต่อไป  ท่านสามารถจัดความสัมพันธ์ระหว่างงานของคนธรรมดาสามัญและการบำเพ็ญปฏิบัติได้เหมาะสม ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ฝ่าของเรา ท่านได้รับฝ่าแต่ก็มีคนอื่นที่ยังไม่ได้รับ ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครในสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ควรจะเป็นมนุษย์ นี้หมายถึงอะไร เพื่อที่จะถ่ายทอดฝ่านี้ ข้าพเจ้าได้ทำการจัดเตรียมตั้งแต่ในช่วงเวลาที่ยาวไกลมากในประวัติศาสตร์ และได้ถ่ายทอดฝ่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ฝ่าของจักรวาลทั้งมวล ครั้งที่แล้วในซานฟรานซิสโกข้าพเจ้าอธิบายให้ท่านฟังเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล พวกท่านจำนวนมากมีความเข้าใจในระดับหนึ่งที่แน่นอนและคิดว่า “ที่แท้โครงสร้างของจักรวาลเป็นเช่นนี้เอง” ที่จริงแล้วข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า แนวความคิดที่ข้าพเจ้าอธิบายครั้งที่แล้วเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล ที่ท่านคิดว่ามีความใหญ่โตมโหฬารอย่างเหลือเชื่อนั้น แนวความคิดนั้น ในเทียนถี่(ร่างจักรวาล)ทั้งมวล มันก็เป็นเพียงผงธุลี ดังนั้นทุกท่านลองคิดดู จักรวาลมีความยิ่งใหญ่เพียงใด  การถ่ายทอดฝ่าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ในสังคมมนุษย์ ท่านลองคิดดู การจะรองรับ(หลอมเหลา)คนคนหนึ่งนั้นช่างง่ายดายเหลือเกิน ข้าพเจ้าจะเปรียบเทียบอย่างง่ายที่สุด ถ้าขี้เลื่อยชิ้นหนึ่งตกลงไปในเตาหลอมเหล็กกล้า มันก็จะหายไปในพริบตา  การใช้ฝ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรามารองรับ(หลอมเหลา)คนคนหนึ่งอย่างท่าน ขจัดกรรมของท่าน หรือกำจัดความคิดที่ไม่ถูกต้องของท่าน และอื่นๆ   นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดาย ด้วยอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของฝ่า ทำไมเราไม่ทำโดยวิธีนี้ เราไม่สามารถทำเช่นนั้นในสังคมคนธรรมดาสามัญ เพราะว่าการบำเพ็ญด้วยวิธีนี้ไม่จัดว่าเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติ แต่เรียกว่าเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งหมายถึงการกำจัดท่านทิ้งอย่างสิ้นเชิงแล้วสร้างอีกคนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นต้องตัวเองไปบำเพ็ญอย่างแท้จริงจึงจะเป็นตัวท่าน แต่การทดสอบซินซิ่งหลายๆ ครั้งจะเกิดขึ้นในช่วงของการบำเพ็ญปฏิบัติ ในหมู่ลูกศิษย์ด้วยกันเพื่อจะทำงานให้ต้าฝ่าให้ดี จะมีความขัดแย้งและปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือไม่ดีระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  เพียงแต่ท่านไม่ตระหนักถึง

เมื่อมีการเผยแพร่ฝ่าสู่สาธารณชน ถ้าไม่มีทุกข์ภัยและไม่เหลือเวยเต๋อ(ธรรมานุภาพ)แก่ชนรุ่นหลัง ข้าพเจ้าจะเรียกว่าเป็นวิธีที่ชั่วร้าย ก็ไม่มีอะไรที่คู่ควรกับความยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรน่ายินดี และไม่เหลือเวยเต๋อ(ธรรมานุภาพ)ให้แก่ชนรุ่นหลัง มันจะเป็นเช่นนั้น  เมื่อท่านได้รับฝ่าที่ข้าพเจ้าสอนและสามารถบำเพ็ญ ท่านยังต้องคำนึงถึงคนอื่นๆ ว่าเขาจะสามารถบำเพ็ญปฏิบัติได้อย่างไรและเขาจะได้รับฝ่าได้อย่างไร  อย่างที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป ไม่มีใครในสังคมมนุษย์มาเพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นมนุษย์  ท่านก็ไม่ควรรู้สึกพึงพอใจ  ถ้าท่านไม่ได้รับฝ่าหรือถ้าท่านไม่สามารถบำเพ็ญกลับไป ท่านก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง  ท่านอาจจะตกลงไปอีกและอาจจะต่ำกว่ามนุษย์จริงๆ  ดังนั้นท่านจึงต้องตระหนักถึงความสำคัญของการเผยแพร่ฝ่า  เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าพเจ้าก็จะจะพูดเพียงเท่านี้

 ลูกศิษย์หลายคนอยากให้ข้าพเจ้าพูดบางสิ่งบางอย่างในระดับสูงสักหน่อย สิ่งที่แปลกใหม่ ถ้าไม่ละทิ้งจิตยึดติดนี้ ท่านก็จะไม่สามารถบำเพ็ญสำเร็จ ใช่หรือไม่  จิตยึดติดใดๆคืออุปสรรค  ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่าการพัฒนาของสังคมในทุกวันนี้ และขบวนการพัฒนาของสังคมทั้งมวล ถูกมนุษย์นอกพิภพควบคุมและผลักดันให้เกิดขึ้นและดำเนินการพัฒนา ข้าพเจ้าเพิ่งพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้วันนี้ ถ้าข้าพเจ้าสามารถใช้ภาษาของวัฒนธรรมจีนโบราณ ข้าพเจ้าจะพูดได้ละเอียดกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ท่านจะฟังไม่เข้าใจ ความคิดทั้งมวลของท่านเป็นแบบคนในปัจจุบัน ดังนั้นในการสอนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงต้องผสมผสานความรู้ของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ซึ่งที่จริงแล้วตื้นเขินมาก ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ผิวเผินมากๆ  ที่เรียกว่า “วิทยาศาสตร์จากข้อเท็จจริง” นั้นถูกจำกัดอยู่ที่มิติทางกายภาพที่เห็นได้ด้วยตามนุษย์ มิติหนึ่งในไตรภูมิเท่านั้น  แล้วในไตรภูมิมีสสารกี่ระดับชั้นกันล่ะ? มีเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขได้ และมนุษย์เพียงอาศัยอยู่ในระดับชั้นหนึ่งเท่านั้น ตาของท่านสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในระดับชั้นนี้เพียงระดับชั้นเดียวเท่านั้น ตาของท่านถูกจำกัดไว้ภายในขอบเขตนี้เท่านั้น และจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ ไม่อาจประเมินด้วยความนึกคิดของมนุษย์ตลอดไป เพราะความคิดของท่านไม่สามารถบรรจุ  เมื่อบรรลุถึงเขตแดนที่สูงมากๆ ภาษาของมนุษย์ไม่สามารถอธิบายสภาวะของจักรวาลในระดับสูงมากๆ ไม่มีคำศัพท์หรือแนวความคิดที่จะใช้อธิบาย ไม่มีอะไรที่จะสามารถอธิบายมันได้อย่างชัดเจน ดังนั้นการอธิบายบางสิ่งบางอย่างในระดับที่สูง ก็ไม่สามารถพูดได้โดยใช้ภาษาของมนุษย์  มีเพียงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของท่านในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญปฏิบัติที่จะสามารถทำให้ตัวท่านเอง ค่อยๆเข้าใจทีละน้อยหรือรับรู้ต่อสิ่งนี้  เมื่อท่านอ่านฝ่า ฝ่าก็จะชี้ให้ท่านกระจ่าง

ทำไมฝ่านี้จึงสามารถบังเกิดผลที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น สามารถทำให้ท่านรับรู้หลักการในระดับสูงเช่นนั้น ที่จริงแล้วข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าหนังสือเล่มหนึ่ง นั่นคือหนังสือธรรมดาๆ ทั่วไปเล่มหนึ่งในหมู่คนธรรมดาสามัญ กระดาษไม่กี่แผ่นที่เย็บเข้าด้วยกัน กระดาษขาวและตัวอักษรหมึกดำ มันไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันสามารถอธิบายหลักการของมนุษย์ที่ปรากฏ ณ ชั้นนอกที่สุดที่รู้กันในหมู่มนุษย์ ก็เพียงเท่านั้น หากข้างหลังของหนังสือจ้วนฝ่าหลุนไม่มีความนัยที่อยู่เบื้องลึกนั้น ก็เป็นเพียงเท่านั้น ทำไมการอ่านจ้วนฝ่าหลุนซ้ำๆหลายๆครั้งทำให้ท่านเห็นหรือรับรู้หลักการในเขตแดนที่แตกต่างกันในระดับชั้นสูงมากๆ ทั้งนี้เพราะว่าข้างหลังคำแต่ละคำมีพระพุทธ เต๋า และเทพ ระดับชั้นต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน จำนวนเหล่านั้นไม่สามารถคำนวณได้ พวกเราที่นั่งกันอยู่ไม่ว่าจะบำเพ็ญบรรลุระดับชั้นสูงเพียงใด ต่อให้ท่านบำเพ็ญได้สูงเพียงใด ในอนาคตเมื่อท่านเปิดการรับรู้แล้ว ท่านก็ไม่สามารถมองเห็นขอบ ท่านบอกว่าท่านบำเพ็ญไปตามหนังสือเล่มนี้ ท่านสามารถบำเพ็ญได้สูงมากละ เมื่อถึงเวลาที่ท่านสมควรจะยกระดับ พระพุทธ เต๋า และเทพทั้งมวลข้างหลังคำหนึ่งๆต่างก็มองเห็นแล้ว เมื่อท่านสมควรได้รับรู้หลักการของระดับชั้นใด บรรลุถึงระดับชั้นใดแล้ว เขาก็จะเผยความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังคำคำนั้นหรือบรรทัดนั้นแก่ท่าน ท่านก็จะตระหนักขึ้นมาอย่างทันทีทันใด  ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านเกิดฉลาดขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าเขาตั้งใจชี้ให้ท่านกระจ่าง ให้ท่านตระหนักถึง  ฉะนั้นในที่นี้มีข้อกำหนดที่เข้มงวดอยู่ข้อหนึ่ง ถ้าท่านไม่บำเพ็ญปฏิบัติถึงเขตแดนนั้น ท่านไม่บรรลุเขตแดนนั้น ไม่สามารถให้ท่านได้รับรู้หลักการในระดับชั้นนั้นอย่างแน่นอน เมื่อท่านตระหนักถึงหลักการในระดับชั้นนั้น ท่านก็อยู่ในเขตแดนนั้นแล้ว

ลูกศิษย์ของเราหลายคนมักรู้สึกว่า ระหว่างการบำเพ็ญปฏิบัติ ชั้นผิวของตนความก้าวหน้าดูเหมือนจะช้า และมีความคิดและสภาวะจิตใจที่ไม่เหมาะสมสะท้อนออกมาบ่อยๆ จึงรู้สึกกังวลมาก ที่จริงแล้ว ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่าท่านไม่จำเป็นต้องกังวล รูปแบบของการบำเพ็ญของเราทุกวันนี้แตกต่างจากรูปแบบการบำเพ็ญโบราณเหล่านั้นในอดีต แต่ก็มีความคล้ายกัน ความแตกต่างคือเราไม่เดินทางหนทางของฝ่าเล็กหรือเต๋าเล็ก ที่คล้ายกันก็เพราะว่าฝ่าโบราณทั้งหมดเป็นรูปแบบการบำเพ็ญปฏิบัติที่ต่ำที่สุด สิ่งเล็กน้อยที่จำกัดอยู่ภายในต้าฝ่าของจักรวาลนี้ที่เราถ่ายทอดอยู่ในวันนี้  แน่นอน พวกเรากำลังถ่ายทอดต้าฝ่า จะเป็นเวยเต๋อ(ธรรมานุภาพ)ของต้าฝ่าก็ดี หนทางที่เราเดินก็ดี วิธีที่เราช่วยเหลือคนก็ดี เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แล้วฝ่านี้จะไม่บังเกิดผลที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าข้างหลังของหนังสือ เขามีความนัยที่ลึกล้ำเช่นนั้น

พระพุทธ เต๋า และเทพที่ข้าพเจ้าบอกท่านไม่ใช่ของปลอม  พวกเขาเป็นพระพุทธ เต๋า และเทพจริงๆ เขาปรากฏอยู่ในฝ่าชุดนี้ เขามีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ เขาอยู่เบื้องหลังคำแต่ละคำ แต่เขาสามารถขยายใหญ่อย่างไม่มีขีดจำกัด นี่คือสิ่งที่เขารับผิดชอบ เขาเป็นปรากฏการณ์แบบหนึ่งของฝ่า ดังนั้นจึงง่ายมากที่ฝ่านี้จะรองรับ(หลอมเหลา)คนคนหนึ่ง  ฝ่าและรูปแบบการบำเพ็ญทั้งมวลในอดีตเหล่านั้นเป็นเพียงรูปแบบในระดับชั้นต่ำมากไม่กี่รูปแบบของฝ่าที่ยิ่งใหญ่ของจักรวาล และอยู่ในระดับชั้นที่ค่อนข้างต่ำ ต่อไปถ้าเรามีเวลา ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่านเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล ณ ระดับชั้นหนึ่งที่แน่นอน

ก่อนอื่น มาพูดเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาฝ่า พูดอีกอย่างหนึ่งคือการศึกษาฝ่าสามารถทำให้ท่านก้าวหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้เพราะว่ามีความนัยอยู่เบื้องหลังฝ่า  ทำไมหนังสืออื่นๆไม่สามารถบรรลุเขตแดนนี้ล่ะ ไม่สามารถบรรลุสภาวะนี้ล่ะ เป็นเพราะว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเสียเลย เนื่องจากสถานการณ์ของทุกๆคนแตกต่างกัน  ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า หนังสือของศาสนาที่ไม่ดี แน่นอน ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงหนังสือเหล่านั้นของศาสนาที่ชั่วร้าย ศาสนาที่ไม่ดี และหนังสือของชี่กงที่ไม่ดีนั้น ไม่สามารถจะเก็บเอาไว้  เป็นเพราะว่าเบื้องหลังตัวอักษรของมันก็มีสิ่งของบางอย่างเช่นกัน ก็มีสิ่งของของมันฝังอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่พระพุทธ เต๋า หรือเทพ ล้วนเป็นสิ่งเหล่านั้น เช่น ฟู่ถี่ ผี วิญญาณ และอื่นๆ ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกับเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ความคิดของคนก็เหมือนหมวกใบหนึ่ง ใครก็ตามที่สวมใส่มันก็จะกลายเป็นใครคนนั้น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ มนุษย์อ่อนแอถึงระดับที่ใครก็สามารถควบคุม ใครก็สามารถรบกวนมนุษย์ มนุษย์ไม่น่าสมเพชหรือ น่าสมเพชแล้วจะทำอย่างไรได้ มนุษย์ตกลงมาถึงขั้นนี้เพราะตัวเอง พวกเราแต่ละคน พวกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ ผู้ที่ศึกษาฝ่า ที่จริงไม่ใช่เรื่องง่าย  ท่านมีการรบกวนและความทุกข์ยากทุกชนิด เมื่อไรที่ท่านต้องการศึกษาฝ่า ท่านก็จะยุ่งเรื่องงานหรือไม่มีเวลาและอื่นๆ ท่านรู้สึกว่ามันเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบหนึ่ง ที่จริงแล้วล้วนเป็นมูลเหตุนานาชนิดที่รบกวนท่าน ไม่ให้ท่านได้รับฝ่า มีบางคนที่อ้างว่าฝ่านี้ไม่ดี แต่เราจะไม่พูดว่าคนคนนี้เป็นอย่างไร เพราะความคิดของเขาอาจจะไม่ใช่ของตัวเองแต่เป็นของคนอื่น นอกจากนี้สิ่งไม่ดีเหล่านั้นกำลังควบคุมสิ่งที่เขาพูด เราไม่สามารถช่วยคนแบบนี้ ฉะนั้นในเมื่อคนคนนี้ไม่เป็นตัวของตัวเอง คนคนนี้ยังจะได้รับการช่วยเหลือได้หรือ เป็นเพราะว่าคนมีความคิดที่ไม่ดีเช่นนั้น เขาจึงถูกใช้  ดังนั้นจึงไม่สามารถช่วยผู้ซึ่งทำลายต้าฝ่าโดยตรง มีบางคนที่เลวทรามจนถึงแก่นและสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าสิ่งเลวร้ายกำหนดให้เขาพูดหรือทำ เพราะเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป  ฝ่าของเราสอนให้คนบำเพ็ญปฏิบัติด้วยจิตใจที่แจ่มชัด ถ้าท่านไม่รู้สึกตัวหรือสมองไม่แจ่มชัด ท่านยอมที่จะถูกควบคุมด้วยข้อมูลจากภายนอก จะยอมให้สิ่งที่ไม่ดีควบคุมฝ่าของเราได้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่อาจให้ฝ่าแก่เขาได้

เราจะพบกับความยากลำบากมากมายในระหว่างการบำเพ็ญปฏิบัติ  บางเวลาข้าพเจ้าเห็นท่านทุกข์ยากอย่างมากในการบำเพ็ญปฏิบัติ ก็ทำให้ข้าพเจ้าไม่สบายใจเช่นกัน บางทีข้าพเจ้าจึงคิด เมื่อลูกศิษย์ไม่สามารถผ่านบททดสอบ เขามองรูปของข้าพเจ้า อย่างน่าสงสารด้วยน้ำตานองหน้า ในใจขออาจารย์ให้ช่วยเขากำจัดความทุกข์ยากอีก ช่วยปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แต่ท่านรู้ไหมข้าพเจ้าคิดอะไร ถ้าข้าพเจ้าขจัดความทุกข์ยากให้แก่ท่าน ท่านก็จะสูญเสียโอกาสที่จะก้าวหน้า ไม่มีความทุกข์ยากอะไรเลย ราบๆ เรียบๆ ท่านก็สามารถจะยกระดับตัวเองไปสู่ระดับสูงเช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตอย่างแน่นอน เราทุกคนต่างรู้ว่ามนุษย์สะสมกรรมมากมายในทุกภพทุกชาติ เหมือนอย่างที่พระเยซูกล่าวว่ามนุษย์นั้นมีบาป  กรรมเหล่านี้ บาปเหล่านี้ที่ติดค้าง ท่านไม่ชดใช้ ท่านบอกว่าฉันอยากไปสวรรค์ ท่านปัดๆ ก้น ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างหลัง แล้วก็จะไปสวรรค์ ลองคิดดู เป็นไปได้หรือ ไม่ได้แน่นอน ดังนั้นจึงต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองติดค้างด้วยตัวเอง กำจัดกรรมเหล่านี้ทิ้งไป ในขณะกำจัดกรรม ท่านจะต้องเลื่อนซินซิ่งให้สูงขึ้นด้วย บรรลุถึงเขตแดนที่สูงแล้ว ท่านจึงสามารถขึ้นไประดับชั้นนั้น สิ่งที่จะทำให้เราเลื่อนไปสู่ระดับชั้นนั้นก็คือฝ่า

ท่านจะพบกับความทุกข์ยากมากมายในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญปฏิบัติ ตราบเท่าที่ท่านศึกษาฝ่าอย่างจริงจัง ท่านจะสามารถเอาชนะความทุกข์ยากต่างๆได้ ตราบเท่าที่ท่านศึกษาฝ่าอย่างจริงจัง ปมในใจที่แก้ไม่ออก หรือที่ค้างอยู่ในใจ  ท่านสามารถพบคำตอบภายในฝ่า ล้วนสามารถแก้มันออกได้ ฝ่านี้ครอบคลุมวิธีการเป็นมนุษย์ วิธีการเป็นชีวิตบนสวรรค์ ข้าพเจ้ายังบอกท่านถึงวิธีการเป็นพระพุทธ เต๋า เทพ ตลอดจนเทพในระดับชั้นสูงกว่านั้น  เขา(ฝ่า)จะไม่สามารถแก้ปมในใจท่านได้หรือ เขา(ฝ่า)จะไม่สามารถเปิดใจของท่านได้หรือ เขา(ฝ่า)จะไม่สามารถแก้ปัญหาของท่านได้หรือ สามารถทำได้ทั้งหมด  โดยมากเป็นเพราะทรรศนคติต่างๆที่บ่มเพาะขึ้นจากการที่เราใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์เป็นเวลานาน ท่านไม่ยอมที่จะละทิ้งมัน พวกเราประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ เข้าใจว่าเป็นผลสำเร็จ ยึดติดกับผลสำเร็จ ยึดติดกับสิ่งที่ท่านเข้าใจว่าคือทรรศนคติที่ถูกต้องเหล่านั้น ที่ท่านได้เรียนรู้มาในหมู่คนธรรมดาสามัญไม่ปล่อยวาง  มันมักเป็นสิ่งเหล่านี้ที่ขวางกั้นคนส่วนหนึ่งเอาไว้  นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลของความเคยชินต่างๆที่พวกท่านหลายคนที่บ่มเพาะขึ้นจากในสังคมคนธรรมดาสามัญ หรือวิถีชีวิตที่ก่อตัวขึ้นของคนคนหนึ่ง และสิ่งต่างๆที่คนธรรมดาสามัญควรจะแสวงหา  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อ่อนไหวที่สุด เป็นสิ่งที่กลัวถูกแตะต้องมากที่สุด พอท่านแตะถูกมัน มันจะไม่ยอมทันที ยอมที่ไม่ศึกษาฝ่า เช่นนั้นก็หมดปัญญา  จะศึกษาหรือไม่เป็นสิ่งที่ทุกท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครบังคับให้ใครศึกษาฝ่า

พูดโดยทั่วไป ทุกคนศึกษาฝ่าล้วนมีอุปสรรคประการหนึ่ง สำหรับผู้มีความรู้ศึกษาฝ่า อุปสรรคคือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ สิ่งที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์นี้ ฉันสามารถยอมรับได้ ถ้ามันไม่สอดคล้อง ฉันไม่สามารถยอมรับ เขาถูกขัดขวางอย่างรุนแรง ไม่มีใครรู้ว่าทำไมข้าพเจ้ารวมวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในการถ่ายทอดฝ่า ทำไมต้องทำเช่นนี้ เหตุผลก็คือข้าพเจ้าต้องการกะเทาะเปลือกของท่าน กะเทาะเปลือกชั้นนั้นที่ขัดขวางท่านจากการได้รับฝ่า บางคนได้รับอิทธิพลจากศาสนาต่างๆ  ถ้าสอดคล้องกับทรรศนคติของศาสนาเขา เขาก็จะพูดว่าท่านดี เขาก็มาศึกษา ถ้าไม่สอดคล้อง เขาก็จะไม่ศึกษา  เพื่อที่จะช่วยท่าน เพื่อที่จะให้ท่านได้รับฝ่า ข้าพเจ้าได้พูดเกี่ยวกับสิ่งของในศาสนา รวมทั้งขบวนการและรูปแบบการเสื่อมถอยของมัน แม้กระทั่งคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ท่านอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ท่านมีการงานของท่าน ท่านไม่สามารถละทิ้งงานของท่าน ฝ่าของข้าพเจ้าได้คำนึงถึงการบำเพ็ญปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่จริงไม่ใช่ว่าข้าพเจ้ากำลังตามใจท่าน ฝ่านี้สามารถทำให้ท่านทำงานควบคู่ไปกับการบำเพ็ญปฏิบัติ มีสถานการณ์อื่นๆมากมายเช่นกัน ทุกๆคนล้วนมีอุปสรรคและทรรศนะคติหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งที่เขาไม่สามารถละทิ้งได้ ทรรศนคติใดๆของคนล้วนคืออุปสรรค  ข้าพเจ้าไม่ต่อต้านเกียรติภูมิอันเป็นผลมาจากการพัฒนาของสังคมมนุษย์จนถึงทุกวันนี้  ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ต่อต้านประสบการณ์ที่สะสมมาจากการพัฒนาของสังคมมนุษย์จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่า ในฐานะผู้บำเพ็ญปฏิบัติ ท่านจะต้องปล่อยวางมันในความคิดของท่าน คนธรรมดาสามัญสามารถเพลิดเพลินอยู่กับเกียรติภูมิ  เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทรรศนคติของมนุษย์  แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญปฏิบัติ พวกท่านจะต้องละทิ้งทรรศนคติหลังกำเนิดเหล่านี้  ก็คือหลักการนี้ที่ข้าพเจ้าอธิบาย บำเพ็ญปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  ท่านดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางคนธรรมดาสามัญ ท่านสามารถทำงาน ไปโรงเรียนเหมือนคนธรรมดาสามัญ แต่ท่านต้องละทิ้งทรรศนคติของมนุษย์

ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าให้ท่านละทิ้งทรรศนคติมนุษย์ ให้ท่านไร้ซึ่งวัตถุสิ่งของอะไรเลย เหมือนพระสงฆ์ เหมือนผู้บำเพ็ญเต๋า ไม่ใช่เช่นนั้น  ข้าพเจ้าบอกให้ท่านบำเพ็ญปฏิบัติท่ามกลางคนธรรมดาสามัญ ท่านต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมคนธรรมดาสามัญ พูดอีกแง่หนึ่ง สิ่งที่ท่านละทิ้งจริงๆคือจิตยึดติด มนุษย์นั้นไม่อาจละทิ้งจิตยึดติด เมื่อท่านละทิ้งจิตยึดติดได้อย่างแท้จริง ท่านจะพบว่าท่านไม่ได้สูญเสียอะไรเลย การศึกษาต้าฝ่าโดยตัวเองก็คือมีโชคลาภ ท่านจะสูญเสียอะไรได้อย่างไร  ที่จริงแล้ว สิ่งที่ท่านสูญเสียจริงๆ มันเกิดขึ้นจากจิตยึดติดท่านที่ไม่อาจปล่อยวาง  มันขัดสีจิตยึดติดของท่านอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ท่านละทิ้งมัน  ถ้าวิกฤตการณ์เกิดขึ้นจริงๆแก่ท่าน วิกฤตการณ์แบบนี้ก็เพื่อให้ท่านละทิ้งจิตยึดติดนั้น  ถ้าท่านยังยืนกรานไม่ยอมละทิ้งมัน ยังยึดติดอยู่กับมัน มันจะเป็นอย่างไรนะหรือ มันก็ยึดแน่นยิ่งขึ้น ยึดแน่นยิ่งขึ้น สถานการณ์และสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตของท่านอาจจะเลวร้ายมากขึ้น  เมื่อท่านปล่อยวางจิตยึดติดนั้นจริงๆ ท่านอาจจะพบว่าสิ่งต่างๆเปลี่ยนกลับอย่างทันทีทันใด ความคิดจิตใจของท่านจะผ่อนคลายอย่างฉับพลัน และร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เบาสบายทั้งตัว  เมื่อมองย้อนกลับไป ท่านจะพบว่าท่านไม่ได้สูญเสียอะไรเลย  มันจะคล้ายๆคำกล่าวของคนจีนที่ว่า “หลังจากผ่านร่มเงาของต้นหลิว ก็จะมีดอกไม้สวยสะพรั่งและอีกหมู่บ้านหนึ่งอยู่ข้างหน้า”  ในทันทีทันใดสิ่งดีๆ ก็มาตามทางของท่านอีกแล้ว

เมื่อสิ่งดีๆ มาตามทางของท่านอีกครั้ง ท่านจะพบว่าต่อให้ท่านมีเงินทองมากยิ่งขึ้น มีโชคลาภมากยิ่งขึ้น เมื่อมีความทุกข์ยากเกิดขึ้นอีก ท่านจะไม่ยึดติดต่อสิ่งเหล่านั้นเหมือนคนธรรมดาสามัญ ท่านจะมองดูมันอย่างจืดจาง แต่ท่านยังคงมีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ดีหรือ ทำไมท่านจะต้องใจจดใจจ่ออย่างทุกข์ทรมาน ยึดติดกับเงินทอง การงาน ความอยากโดยไม่ปล่อยวาง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และกลัวที่จะสูญเสียมันไป ท่านคิดว่าดีหรือที่มีชีวิตอยู่แบบนี้  ที่จริง สิ่งที่คนไม่สามารถละทิ้งคือจิตยึดติด  สภาพของสังคมมนุษย์ไม่สูญหายไปเพราะคนบำเพ็ญปฏิบัติ  สภาพการคงอยู่ของมนุษย์จะยังคงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าท่านจะต้องการมันหรือไม่ มันจะยังคงอยู่ที่นี่ตลอด  เพียงแต่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถละทิ้งจิตยึดติดของเขา จึงทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างเหนื่อยยาก

แน่นอน มนุษย์มีความซับซ้อนมาก โชคลาภของแต่ละคนมากหรือน้อยสัมพันธ์กับชาติที่แล้ว ก่อนชาติที่แล้วของเขา แม้กระทั่งช่วงเวลาของการดำรงชีวิตในอดีตชาติต่างๆ อย่าเห็นว่าคนเขาเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต ก็คิดว่าถ้าฉันบำเพ็ญปฏิบัติแล้ว ฉันจะเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตเหมือนเขาได้หรือไม่ ฉันละทิ้งจิตยึดติดแล้ว ฉันจะเป็นเหมือนเขาได้หรือไม่ มันไม่เหมือนกัน เหมือนอย่างเช่นสังคมมนุษย์ มันสัมพันธ์กับสิ่งที่ท่านมีติดตัวท่านมา วันนี้ท่านบำเพ็ญปฏิบัติ ท่านมีโชคลาภมากเท่านั้น ท่านไม่บำเพ็ญปฏิบัติ ท่านอาจจะยังคงมีโชคลาภมากเท่านั้น มันแตกต่างกันตรงไหนหรือ ความแตกต่างก็คือจิตใจของท่านผ่อนคลาย ในทางกลับกัน จิตใจของท่านตึงเครียด ท่านดำเนินชีวิตด้วยความเหนื่อยยากอย่างยิ่งอยู่แล้ว จิตใจของท่านก็ยิ่งเหนื่อยกว่านั้น จึงทำให้ท่านกินไม่ได้ นอนไม่หลับ  แน่นอนร่างกายของท่านจะเหน็ดเหนื่อย แก่เฒ่าและทรุดโทรม และเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ มีโรคมากมาย  ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านละทิ้งจิตยึดติด แม้จะยากจนสักหน่อยก็รู้สึกสบายใจ ที่จริงท่านจะไม่ยากจนลงเพราะศึกษาต้าฝ่า  ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอย่างมีความสุขดีกว่าการมีจิตยึดติดเช่นนั้น  แต่ท่านยังคงต้องทำงานของมนุษย์ ยิ่งมีคนเริ่มบำเพ็ญปฏิบัติมากขึ้น ถ้าทุกคนหยุดทำงานกันทั้งหมด ข้าพเจ้าว่าให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน อยู่ที่จิตใจของเราจะจัดวางความสัมพันธ์นี้ให้ถูกต้องอย่างไร  แต่การได้ศึกษาต้าฝ่าก็คือมีโชคลาภ หลังจากที่ท่านละทิ้งจิตยึดติดของคนธรรมดาสามัญแล้ว ต้าฝ่าจะนำโชคลาภมาสู่ลูกศิษย์  แต่ไม่ใช่จะได้มาเพราะยึดติดที่จะได้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เมื่อเราศึกษาฝ่าแล้วเกิดคำถาม หรือเมื่อท่านเผชิญกับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ไม่ควรแสวงหา หรือค้นหาคำตอบจากภายนอกอยู่ร่ำไป ยกตัวอย่าง เมื่อปัญหาเกิดขึ้นในหมู่ลูกศิษย์หรือผู้รับผิดชอบ อย่าได้โทษซึ่งกันและกันว่า ท่านถูก เขาผิด ก่อให้เกิดความขัดแย้งและความตึงเครียด  อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับลูกศิษย์ต้าฝ่า ในใจท่านโกรธไม่พอใจกับเรื่องเหล่านี้ จิตใจของท่านก็จะเหมือนกับของคนธรรมดาสามัญ เมื่อเราเผชิญกับปัญหาอะไร ต้องค้นหาคำตอบจากในฝ่า เราต้องดูที่ตัวเอง ค้นหาในใจตัวเอง ฉันทำอะไรผิด เกิดปัญหาอย่างปัจจุบันทันด่วนในวันนี้เป็นเพราะฉันทำอะไรผิดหรือไม่  คิดดูให้ละเอียด

เมื่อประสบกับความยุ่งยาก พวกเรามีสักกี่คนที่สามารถมองที่ตัวท่านเองอย่างแท้จริง แน่นอน พวกเราหลายคนสามารถทำเช่นนี้ในบางโอกาส แต่มีอีกหลายๆครั้งที่ท่านทำไม่ได้  เมื่อท่านค้นพบสาเหตุที่แท้จริงภายในตัวท่าน ถ้าท่านกล้าที่จะเผชิญหน้าและยอมรับมัน ท่านจะพบว่าเรื่องราวได้เปลี่ยนไปและความขัดแย้งก็หายไปในทันทีทันใด  ทันใดนั้น อย่างไม่ทราบสาเหตุ ก็ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามกับท่านไม่มีเรื่องราวหรือมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเลย  เพราะว่าสำหรับผู้บำเพ็ญ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ และจะไม่อนุญาตให้มีเรื่องบังเอิญใดๆ มาก่อกวนหนทางในการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านเป็นบททดสอบเพื่อจะดูว่าท่านสามารถปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญได้หรือไม่ ค้นหาว่าตัวเองทำอะไรผิด ทำอะไรไม่ถูกต้อง ท่านสามารถจะปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญได้หรือไม่  ให้ทุกท่านจดจำคำพูดนี้ของข้าพเจ้า: เมื่อท่านปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง ไม่ว่าท่านจะประสบกับเรื่องอะไร เรื่องยุ่งยากอะไร เรื่องที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ไม่ว่าท่านจะถูกหรือผิดตามที่ปรากฏ ท่านควรค้นหาสาเหตุที่ตัวเองเสมอ ว่าฉันมีเหตุจูงใจที่ผิดและยากแก่การตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่  ในฐานะผู้บำเพ็ญ ถ้าท่านละทิ้งแต่เพียงภายนอก ขณะที่หัวใจของท่านยังคงยึดติด ยึดมั่นกับสิ่งนี้ หรือยึดติดกับผลประโยชน์อันธาตุแท้ที่สุดนั้นของตัวท่านเอง ไม่ยอมให้ใครทำลาย ข้าพเจ้าขอบอกกับท่านว่า นั่นเป็นการบำเพ็ญปลอม  ถ้าจิตใจของท่านไม่เปลี่ยน ท่านก็ไม่สามารถยกระดับสูงขึ้นแม้แต่ขั้นเดียว นั่นเป็นการหลอกตัวเอง เมื่อท่านเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจากภายใน ท่านจึงจะสามารถยกระดับสูงขึ้นอย่างแท้จริง ดังนั้นทุกท่านจงจดจำจุดนี้ไว้ให้มั่น เมื่อประสบกับเรื่องอะไร เรื่องยุ่งยากอะไรและไม่พอใจ หรือมีความขัดแย้งกับใคร ท่านต้องสำรวจและค้นหาภายในตัวท่าน  ท่านจะพบสาเหตุของปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้นั้น  ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ชี่กงมีความนิยม หลายคนเข้าใจว่าสนามพลังของตัวเองสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของตน  ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น  เป็นเพราะว่าตัวท่านเองมีความไม่ประสาน ไม่ประสานเข้ากับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาลนี้ จึงพบว่าทุกสิ่งรอบตัวท่านไม่ประสานกับท่าน  มันสัมพันธ์กันอย่างนี้  ถ้าท่านปรับตัวเอง ทุกสิ่งจะตามมาอย่างราบเรียบ มันก็จะเป็นเช่นนั้น

มีอีกประเด็นหนึ่งในการศึกษาฝ่า ลูกศิษย์ของเราบางคนศึกษาฝ่า  ถ้าจะบอกว่าพวกเขาไม่เพียรพยายามหรือ แต่พวกเขาก็อ่านหนังสือ ถ้าบอกว่าเขาเพียรพยายาม แต่เขาอ่านหนังสือไม่จบแม้แต่เล่มเดียว ยังอ่านจ้วนฝ่าหลุนไม่จบ  ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าอย่าถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย  โดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกใหม่ ถ้าท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบทั้งเล่มในรอบแรก ท่านจะพบว่าจากนี้ไปท่านจะไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส แม้เมื่อท่านมีเวลา ท่านก็จะลืมอ่านหนังสืออีก  ทำไมหรือ ทุกๆ คนมีกรรมทางความคิดซึ่งเห็นแก่ตัวและเลว เมื่อมันเห็นว่าต้าฝ่าที่ท่านศึกษาเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดี มันจะถูกกำจัดแล้ว กรรมก็จะกลัวและไม่อยากให้ท่านศึกษาและอ่านหนังสือ ถ้าท่านหยุดอ่านหนังสือกลางคัน กรรมทางความคิดก็จะไม่ให้ท่านมีโอกาสอ่านหรือแตะหนังสือต้าฝ่าอีก นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางคนหลังจากอ่านหนังสือไปเพียงเล็กน้อยแล้วก็หาโอกาสศึกษาต้าฝ่าได้ยากอีก  ดังนั้นเมื่อท่านตัดสินใจที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ครั้งแรกท่านจะต้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อตัดสินแน่วแน่ก็จะสำเร็จ  เมื่อท่านอ่านหนังสือครั้งที่หนึ่งจบ ท่านจะพบว่าทรรศนคติที่ไม่ดีของท่านทั้งหมดที่กระทบต่อความคิดของท่านโดยพื้นฐานจะถูกกำจัดออกไป  เมื่อท่านศึกษาฝ่าในครั้งต่อไปก็จะไม่มีอุปสรรคในลักษณะนี้อีก  ดังนั้นลูกศิษย์ของเราโดยเฉพาะผู้บำเพ็ญที่มีประสบการณ์มานานจะต้องให้ความสนใจกับจุดนี้ เมื่อท่านบอกให้ใครศึกษาฝ่า (ถ้าเขาต้องการจะศึกษาฝ่า) บอกให้เขาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ  ถ้าเขาอ่านไม่จบในครั้งแรกและไม่อ่านอีก เมื่อท่านบอกให้เขาอ่านหนังสืออีกครั้ง เขาจะตอบทันทีว่าเขาไม่มีเวลา หรืออ่านไปแค่นิดเดียว แท้ที่จริงคนคนนี้โง่มาก  ข้าพเจ้าพูดไปแล้วว่าร่างกายของคนเปรียบเหมือนเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ใครที่สวมใส่มันก็จะกลายเป็นคนคนนั้น  ความคิดจิตใจของคนเปรียบเหมือนหมวกใบหนึ่ง ใครที่ใส่มันก็จะกลายเป็นคนคนนั้น  เขาอ้างว่าเขาไม่มีเวลา ประโยคนั้นที่จริงแล้วเป็นกรรมที่พูด เพื่อไม่ให้เขาอ่าน ทำให้เขามีงานยุ่ง ขัดขวางไม่ให้เขานึกถึงการอ่านหนังสือ  นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่ายในการศึกษาฝ่า ทุกท่านพึงระวัง

นอกจากหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน” ฉบับภาษาจีนแล้ว ฉบับภาษาต่างประเทศกับฉบับภาษาจีนนั้นมีผลเหมือนกันทุกประการ แต่มีประเด็นหนึ่งที่จำเป็นต้องเน้นที่นี่ ลูกศิษย์ของเราหลายคนที่แปลหนังสือเป็นภาษาอื่นๆมีแนวโน้มที่จะโต้เถียงกันอยู่เสมอๆ “มีความหมายนี้ที่คุณยังไม่ได้ใส่เข้าไป มีความหมายนั้นที่คุกหล่นไป คำนี้แลไม่ถูก คำนั้นแปลผิ” โดยมากมักจะโต้เถียงกันอย่างนั้น และไม่สามารถกำหนดคำแปลให้แน่นอนได้  ที่จริงแล้วข้าพเจ้าขอบอกท่าน ท่านทำผิดไหมที่ทำเช่นนั้น ไม่ ท่านไม่ผิด แต่ท่านก็ผิดด้วย ทำไมไม่สามารถพูดได้ว่าท่านทำผิด ความหมายที่ท่านหยิบยกขึ้นมานั้นที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ท่านเข้าใจ แต่มันอยู่เหนือระดับของคนธรรมดาสามัญ  แต่สิ่งที่เหลือในตัวอักษรหมึกดำบนกระดาษขาวไม่สามารถอยู่เหนือระดับของคนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นเมื่อท่านทำการแปล ตราบเท่าที่มันสอดคล้องกับความหมายดั่งเดิมของคำในเขตแดนของคนธรรมดาสามัญมากที่สุดก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ความหมายที่อยู่เบื้องหลัง และหลักการที่ท่านจะมองเห็นนั้นเป็นเพราะองค์ประกอบที่อยู่เบื้องหลังที่ส่งผล นี่คือประเด็นที่พบบ่อยในการทำงานแปล

เมื่อลูกศิษย์ยกระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดปัญหาหนึ่ง ณ ที่นี้ข้าพเจ้าจะบอกท่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะกับลูกศิษย์คนผิวขาว รวมทั้งลูกศิษย์เชื้อชาติอื่นๆด้วย ข้าพเจ้าอยากจะพูดกับท่านเกี่ยวกับปัญหาหนึ่ง  เมื่อพวกเขาบำเพ็ญปฏิบัติต้าฝ่า หลายๆคนสามารถเห็นภาพอย่างหนึ่ง ก็คือในหมู่ลูกศิษย์ของเรา เขาพบว่ามีร่างชีวิตที่เขาบำเพ็ญออกมานั้น มีมากมายที่ไม่ได้เป็นของสายพุทธ บางส่วนเป็นของสายเต๋า และมีที่เป็นเทพ และบ้างก็เหมือนรูปลักษณ์ของเทพในสวรรค์ของคนขาว ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านว่าความเข้าใจของท่านที่ว่าสายไหนดีและสายไหนไม่ดี นั่นเป็นความเข้าใจของท่านจากทรรศนคติของคนธรรมดาสามัญ เมื่อถึงระดับชั้นสูงความเข้าใจจะไม่เป็นเช่นนั้น แล้วทำไมลูกศิษย์ของเราบางคนจึงมีร่างกายในรูปลักษณ์ของสวรรค์ที่แตกต่างกันล่ะ นี่ก็เพราะว่าพวกท่านมาจากที่ที่แตกต่างกัน และบางทีท่านมาเกิดบนโลก เป็นมนุษย์ที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน  แต่ถ้าท่านเป็นชีวิตที่มาจากระดับชั้นสูง โดยแก่นแท้แล้วท่านก็ต้องการกลับไปยังโลกดั้งเดิมของท่านอย่างแน่นอน  ตอนนี้ท่านกำลังคิด ฉันอยากจะไปสวรรค์ของอาจารย์ นั่นท่านกำลังคิดด้วยความคิดแบบมนุษย์  ดังนั้นเพื่อจะให้แน่ใจว่าท่านสามารถบรรลุถึงความปรารถนาของท่านในครั้งแรก โดยไม่ใช่เป็นความปรารถนาแบบมนุษย์ของท่านในปัจจุบัน  พูดอีกอย่างหนึ่งคือสามารถประสานกลมกลืนให้เข้ากับฝ่านี้ และกลับไปยังโลกดั้งเดิมของท่าน  ดังนั้นฝ่านี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอด แม้จะมีพื้นฐานจากสายพุทธ แต่เขาเป็นฝ่าของจักรวาลทั้งมวล เขาครอบคลุมหลักการของฝ่าสำหรับสรรพชีวิตในระดับชั้นต่างๆ ของโลกเอกเทศต่างๆ เขตแดนต่างๆ ระดับชั้นต่างๆ ทั้งหมดของจักรวาล

พูดถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะขอถือโอกาสนี้อธิบายเรื่องมิติในอีกมุมมองหนึ่ง ข้าพเจ้าเพิ่งพูดว่ามนุษย์มาจากมิติและระดับชั้นแตกต่างกัน ข้าพเจ้าจะพูดเกี่ยวกับโครงสร้างของจักรวาล ข้าพเจ้าเพิ่งพูดว่าโลกของเราอยู่ตำแหน่งศูนย์กลางของจักรวาล ยังมีดาวเคราะห์คล้ายโลกปรากฏอยู่ที่อื่นเป็นจำนวนน้อยมาก แต่เฉพาะโลกของเราที่อยู่ตำแหน่งศูนย์กลาง การอยู่ตำแหน่งศูนย์กลางมันก็มีความพิเศษ แต่นี่ไม่ได้พูดถึงแนวความคิดของจักรวาล ตัวอย่างเช่น โดยทั่วไปในสังคมมนุษย์ เมื่อคนธรรมดาสามัญศึกษาความรู้ ต่างรู้สึกว่าตำแหน่งศูนย์กลางนั้นสูงที่สุด ดีที่สุด  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ากำลังบอกพวกท่านว่า ในแนวความคิดของจักรวาล โลก ณ ตำแหน่งศูนย์กลางเป็นที่ที่เลวร้ายที่สุด ทำไม ก็เพราะว่าจักรวาลกลมและชีวิตหลากหลายชนิดในจักรวาลตะตกลงมาข้างล่าง ตกลงไปที่ไหนล่ะ  เพราะว่าจักรวาลกลม ข้างซ้ายนี่เป็นข้างบน ข้างล่างนี่ไม่ใช่ข้างบนหรือ ข้างขวานี่เป็นข้างบน (ทำท่าด้วยมือ) ข้างหลังนี่คือข้างบน ข้างหน้านี่ก็เป็นข้างบนเช่นกัน สิ่งที่ไม่ดีในจักรวาลก็จะตกลงมา ตกลงไปที่ไหน มิใช่ตกลงมาสู่จุดศูนย์กลางหรือ ใช่ จักรวาลมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และยังมีแนวความคิดอื่นเกี่ยวกับตำแหน่งศูนย์กลาง

จักรวาลนี้มีระดับชั้นมากมาย ตัวอย่างเช่น โดยประมาณมีไม่ถึงสามพันล้าน เทียนถี่(ร่างจักรวาล)ที่เหมือนระบบทางช้างเผือกอย่างนี้ ประกอบขึ้นเป็นขอบเขตของหนึ่งจักรวาล เรามักจะเรียกว่าจักรวาลเล็ก ที่อยู่นอกไปจากนี้ ยังมีอีกประมาณสามพันจักรวาลเล็กอย่างนี้ ระยะห่างระหว่างกันและกันล้วนแต่กว้างใหญ่ไพศาลมาก คนทั่วไปไม่มีแนวความคิดนี้ แม้กระทั่งแนวความคิดของเทพโดยทั่วไป ระยะทางนั้นก็ยังยาวไกลอย่างมาก มองไม่เห็นซึ่งกันและกัน  แต่สามพันจักรวาลเหล่านี้รอบนอกของมันมีเปลือกหนึ่งชั้นและประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สอง  ดำเนินต่อไปในแนวทางเช่นนี้ ข้างนอกจักรวาลชั้นที่สอง ก็มีสามพันจักรวาลที่ใหญ่ขนาดนี้ประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สาม แนวความคิดของจำนวนนั้นมากมายมหาศาล ถ้าใช้เมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ดมาแทนเป็นจักรวาล แล้วทวีคูณให้ใหญ่มากๆ ปริมาตรของเมล็ดข้าวสามพันเมล็ดก็มีขนาดใหญ่เท่าโต๊ะแล้ว หรือใหญ่กว่าอีก โต๊ะสามพันตัวที่ใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่สามารถบรรจุในหอประชุมนี้ได้หมด  ดังนั้นจำนวนเท่าของมันใหญ่โตมากมาก นั่นคือปริมาตรและขอบเขตของมันนั้นใหญ่โตอย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่านเกี่ยวกับจักรวาลก็เป็นเพียงแนวความคิดแบบง่ายๆ  จักรวาลแบบนี้ก็ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุภาค โดยแก่นแท้มันก็เป็นอนุภาคจริงๆ และมันเป็นรูปแบบของอนุภาคที่เล็กมากในจักรวาล(ระบบใหญ่) นอกจากนี้ในส่วนประกอบของเทียนถี่(ร่างจักรวาล)ทั้งมวล ข้างในแต่ละอนุภาคนั้นก็มีเทียนถี่(ร่างจักรวาล)ของมันที่มีรูปแบบการคงอยู่ที่แตกต่างกัน ยังมีสวรรค์ระดับต่างๆภายในเทียนถี่(ร่างจักรวาล)  ภายในแต่ละอนุภาคหนึ่งๆก็มีระดับชั้นที่แตกต่างกัน สำหรับชีวิตภายในนั้น คือสวรรค์ต่างๆ หรือสวรรค์ชั้นต่างๆ   และภายในสวรรค์ชั้นต่างๆ ก็มีโลก(สวรรค์)ของเทพต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน  ครั้งที่แล้วที่ข้าพเจ้ามาที่อเมริกาและบรรยายฝ่าในซานฟรานซิสโก วันนั้นแนวความคิดนั้นที่ข้าพเจ้าบรรยายให้แก่ท่านก็ใหญ่มหาศาลแล้ว ข้าพเจ้าพูดถึงกี่ชั้น ครั้งแรกข้าพเจ้าพูดถึง 81 ชั้น ต่อมาข้าพเจ้าพูดถึงนับพันชั้น  ขอบเขตนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก  ที่จริงแล้วข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่าขอบเขตที่ข้าพเจ้าบอกท่านและท่านรู้สึกว่ากว้างใหญ่มหาศาลนั้นที่จริงแล้วก็ยังเล็กอย่างที่สุด  ถ้าออกห่างจากมันให้ไกลๆ อยู่สูงเหนือมัน และมองกลับมาที่มัน มันก็ดูเหมือนฝุ่นผงในจักรวาล เทียนถี่(ร่างจักรวาล)กว้างใหญ่มหาศาลถึงระดับนี้

แต่ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่า โลกซึ่งพัฒนาขึ้นมา (ไม่ใช่พัฒนาขึ้นมา ข้าพเจ้าได้แต่พูดโดยใช้ภาษามนุษย์ เพราะไม่มีภาษาอื่นใดให้ใช้) ก็คือโลกที่มีดาวเคราะห์โลกเป็นพื้นฐาน  ความเชื่อมโยงแบบนั้นสามารถอธิบายเป็นว่าพัฒนาล่ะ  เป็นว่าขยายให้ใหญ่อย่างนี้ล่ะ พัฒนาขยายขึ้นเป็นเทียนถี่(ร่างจักรวาล)ที่ใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น มันก็เป็นเพียงหนึ่งระบบ  ระบบเช่นนี้มีจำนวนนับไม่ถ้วนและไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขที่มนุษย์รู้ได้ ในเทียนถี่(ร่างจักรวาล)เหล่านั้นล้วนมีชีวิตที่แตกต่างกัน อยู่ห่างไกลกันมาก  ลองคิดดู จักรวาลนี้ใหญ่โตจนท่านไม่สามารถอธิบายความใหญ่โตของมันด้วยภาษามนุษย์  ดังนั้นชีวิตจึงมีความแตกต่างกันอย่างมาก  มนุษย์รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเสมอมากับอารยธรรมที่พัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ เช่นตึกระฟ้าในเมืองแมนฮัตตันนั้นสูงที่สุด และมีจำนวนมากที่สุดในโลก  ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน มนุษย์รู้สึกกระหยิ่มใจ รู้สึกทึ่งในตัวเอง  มองย้อนกลับไปรู้สึกว่าคนโบราณสู้คนสมัยใหม่ไม่ได้ คนโบราณต้องไปไหนมาไหนด้วยรถเทียมม้า นั่งรถม้า ขณะที่คนปัจจุบันขับขี่รถยนต์ นั่งรถไฟ และเครื่องบิน  คนรู้สึกว่าการพัฒนาของตัวเองนั้นยอดเยี่ยม  ที่จริงแล้ว ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ท่านมาจากเทียนถี่(ร่างจักรวาล)และสวรรค์ที่แตกต่างกัน  สิ่งของทุกชนิดที่พัฒนาขึ้นมาในสังคมมนุษย์ล้วนเป็นร่องรอยของสิ่งของจากเทียนถี่(ร่างจักรวาล) ต่างๆ สังคมต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ในความคิดจิตใจของคน หรือเรียกว่าซิ่นซี(สัญญาณ)ที่ทำให้ท่านสร้างมันขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางคนธรรมดาสามัญโดยใช้วัสดุที่หยาบที่สุดเหล่านี้ในมิติของมนุษย์ พูดอีกแง่หนึ่งก็คือ สิ่งเหล่านี้มีอยู่นานมาแล้วในมิติที่แตกต่างกันในจักรวาล

ข้าพเจ้าเพิ่งกล่าวว่า หลายคนมาจากที่ที่ไกลออกไป  แล้วคิดดู ความแตกต่าง คุณสมบัติพิเศษระหว่างกันจึงมากมายอย่างยิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปนานๆและชีวิตก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นไม่ดีอย่างต่อเนื่อง (คำพูดที่ใช้บนสวรรค์ ไม่มีอะไรที่ “ดี” หรือ “เลว” คำพูดหรือแนวความคิดที่พวกเขามักใช้กันคือมัน “จม” (หนัก) แล้ว) พวกเขาก็เริ่มตกตะกอนและจม ตกตะกอนและจมลงมา  เมื่อพวกเขาไม่บริสุทธิ์ ไม่เบา และไม่ลอยอีกต่อไป เขาก็จะตกตะกอนและจมลงมา  ที่จริง สสารเกิดการเปลี่ยนสภาพแล้ว นั่นคือมันไม่บริสุทธิ์แล้ว  เมื่อตกตะตอนและจมลงมา ตกตะกอนและจมลงมาอย่างต่อเนื่อง ในอดีตขั้นตอนการพัฒนาก็เป็นขบวนการเช่นนี้  อย่างไรก็ตามมันเป็นขบวนการที่ช้ามากๆและคนก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เทพก็ไม่รู้สึกว่าพวกเขามีการเปลี่ยนแปลง  นี่ก็เพราะว่ากาลเวลาของมันยาวนานเหลือเกิน ไม่สามารถคำนวณได้ด้วยเวลาของมนุษย์

พูดถึงเวลา มิติที่ต่างกันมีเวลาแตกต่างกัน  เวลามีความซับซ้อนมาก มันเกือบจะเหมือนฟันเฟืองขนาดต่างๆข้างในนาฬิกา  ความซับซ้อนนั้นที่แท้จริงมากกว่าเป็นพันๆ ล้านหรือล้านล้านเท่า  มันไม่สามารถอธิบายด้วยแนวความคิดของมนุษย์  มันมีจำนวนการหมุนรอบของตัวเองและมีเวลาของตัวเอง  สสารเหล่านั้นตกตะกอนและจมกลงมาพร้อมๆกับความแตกต่างที่ต่างกันเช่นนี้  เมื่อตกลงมาถึงระดับของมนุษย์ คนก็รู้สึกว่าจิตมนุษย์มีความซับซ้อนมาก  ที่จริง ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่าจิตมนุษย์ซับซ้อนมากจริงๆ เพราะว่ามันผ่านกาลเวลาอันยาวนานก่อนจะมาถึงที่นี่  ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานนั้น สิ่งต่างๆ จากทุกระดับชั้น ล้วนถูกเก็บรักษาเอาไว้ในชีวิตของพวกท่าน  ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าร้อยละ 70 ของสมองมนุษย์ไม่ได้ถูกใช้งาน  นั่นคือ ความฉลาดของมนุษย์ถูกลดทอนลงไป  ถ้าเปิดความฉลาดของมนุษย์ออกทั้งหมด ให้มีความฉลาดเท่ากับเทพ ความคิดที่ซับซ้อนของท่านเหล่านั้นก็จะน่ากลัวมากสำหรับในสังคมมนุษย์ เป็นการยากที่จะบอกว่าสังคมมนุษย์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร พูดถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าถือโอกาสบอกท่านว่า การพัฒนาในปัจจุบันของสังคมมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ดี  ความโลภของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด  เมื่อคนบรรลุระดับชั้นสูงแล้วยังมีความโลภ หวังว่าจะไปได้สูงกว่านี้ ความจริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่ดี ทำไมนะหรือ ถ้าคนอยู่สูงเหนือสภาพของมนุษย์ อยู่เหนือสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้ได้ มันก็จะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์  เหตุผลที่ความฉลาดของมนุษย์ถูกจำกัดก็คือไม่อาจให้มนุษย์รู้มากขนาดนั้น ไม่อาจให้มนุษย์มีความฉลาดขนาดนั้น

พูดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวต่ออีกเล็กน้อย พวกท่านลองพิจารณาดู  ถ้าพวกเราทุกคนสังเกตความคิดของตัวท่านเองจริงๆ ท่านก็จะพบว่ามันเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน  ความคิดหลายอย่างเกิดขึ้นมาภายใน 1 วินาที และท่านไม่ทราบว่ามันมาจากไหน ความคิดบางอย่างแปลกทีเดียว มันคือทรรศนคติต่างๆ ที่ติดมาจากชีวิตชาติก่อนๆ ของท่าน  เมื่อท่านประสบกับปัญหา มันก็จะผุดขึ้นมา ทุกๆคนมีทรรศนคติที่เห็นแก่ตัวและปกป้องผลประโยชน์ของตนเองซึ่งก่อเกิดขึ้นหลังกำเนิด ดังนั้นมนุษย์จึงเปลี่ยนแปลงเลวลงเรื่อยๆ  มันก็ด้วยเหตุผลนี้ที่มนุษย์มีแต่ตกลงไปแทนที่จะเลื่อนระดับชั้นสูงขึ้น  เพราะผู้สำเร็จธรรม พระพุทธ และเทพเห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงมาช่วยคน  แน่นอน มีองค์ประกอบที่ซับซ้อนอื่นๆ มากมายเกี่ยวข้องด้วย  เทพไม่ช่วยทุกๆคน ต่างกำลังมองหาคนที่ตัวเองจะช่วย  แน่นอน ข้าพเจ้าได้เปิดเผยความลับอีกข้อหนึ่ง  ข้าพเจ้าเป็นผู้เดียวที่เปิดข้อจำกัดเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อที่จะช่วยทุกๆคน  พวกเราในที่นี้บางคนพูดว่าอาจารย์เต็มไปด้วยความเมตตาที่ช่วยพวกเรา  ที่จริงมีหลายสิ่งที่พวกท่านไม่รู้ ไม่สามารถให้พวกท่านได้รู้ว่าการช่วยพวกท่านนั้นมันยากเพียงไร คิดดู ทรรศนคติที่ซับซ้อนเหล่านั้นของพวกท่านเกี่ยวโยงถึงเรื่องราวต่างๆในสวรรค์ระดับต่างๆ และโลก(สวรรค์)ต่างๆ เขตแดนต่างๆ ปัจจุบันนี้ในประเทศจีนมีคำพูดหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่าเมื่อแก้ไขบางสิ่งได้ก็จะเรียกว่า ”ป่ายผิง” (ปรับให้ราบเรียบ) ท่านจะปรับเรื่องอย่างนี้ให้ราบเรียบได้อย่างไร

ต่างก็พูดว่าช่วยคน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะช่วยให้คนคนนี้ขึ้นไปได้อย่างไร มันยากมาก  เหมือนที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูด ผู้สำเร็จธรรมต่างกำลังมองหาคนที่ตัวเองจะช่วย เขาจะไม่ยุ่ง พยายามไม่ยุ่งกับคนอื่น  เมื่อไปยุ่งเกี่ยวคนอื่น เขาช่วยคนอื่นไม่ได้ ตัวเองยังได้รับความยุ่งยาก เพราะว่าโลกนี้มีความซับซ้อนเหลือเกิน แม้กระทั่งแนวความคิดของความดีและความเลว ณ ระดับชั้นหนึ่งที่แน่นอนก็จะเปลี่ยนสภาพไป เขาไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับความดีและความเลวของมนุษย์  เมื่อท่านแตะต้องกับสิ่งของของเขา ท่านอาจกระทบไปถึงสิ่งของมากมายของเขา โลกของเขาอาจแปรเปลี่ยนไป และอื่นๆ  ท่านรับผิดชอบไหวหรือ ท่านไม่อาจจะรับผิดชอบ ท่านดึงดันที่จะทำ ท่านก็เท่ากับทำเรื่องไม่ดี ถึงแม้ท่านจะช่วยคนก็เป็นการทำเรื่องไม่ดี  มันไม่เหมือนอย่างที่พวกท่านคิด  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก  มีลูกศิษย์เพิ่มเข้าหนึ่งคน มีผู้ฝึกเพิ่มเข้ามาหนึ่งคน ก็จะเพิ่มความยุ่งยากให้แก่ข้าพเจ้าอีกหนึ่งส่วน แต่ข้าพเจ้าก็ยังจะช่วย และจะช่วยคนให้มากเท่าที่จะทำได้ พยายามที่จะช่วยให้มากที่สุด  ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ  เมื่อข้าพเจ้าจะช่วยท่าน ท่านนับถือศาสนาอะไร ศาสนานั้นเคยเป็นศาสนาที่ถูกต้องในอดีต แต่เดี๋ยวนี้มันไม่สามารถช่วยคนได้แล้ว กลายเป็นรูปแบบของการเมืองแบบหนึ่ง  ดังนั้นเพื่อช่วยท่าน ข้าพเจ้าต้องบอกท่านว่าศาสนานี้ไม่สามารถช่วยคนได้แล้ว  อย่างนี้เป็นการแตะต้องศาสนานั้นใช่หรือไม่ ดังนั้นมันก็จะขัดขวางและยับยั้ง หรือแม้กระทั่งทำสิ่งเลวร้ายในลักษณะต่างๆ นี้คือตัวอย่างง่ายๆ

แน่นอน เมื่อบรรยายมาถึงจุดนี้ เพราะว่าพวกท่านทุกคนในหอประชุมล้วนเป็นลูกศิษย์ต้าฝ่าของข้าพเจ้า  เราไม่สามารถพูดว่าศาสนามากมายในอดีตชั่วร้าย  ศาสนาพุทธ คริสเตียน คาทอริก รวมทั้งศาสนาชาวยิว และศาสนาอื่นๆบางศาสนา ข้าพเจ้ายอมรับว่า ศาสนาเหล่านี้เป็นศาสนาที่ถูกตรงในประวัติศาสตร์  แต่ในช่วงประวัติศาสตร์ของวันนี้ ในสังคมที่ทรรศนคติมนุษย์แปรเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่ในทุกวันนี้ คนไม่สามารถใช้ธาตุแท้ของมนุษย์และทรรศนคติแบบโบราณไปเข้าใจศาสนาเหล่านั้นแล้ว หรือพูดได้ว่า ทรรศนคติของท่านกับความหมาย(คำสอน)ดั้งเดิมของมันได้หลุดออกจากกันแล้ว ท่านไม่สามารถเข้าใจมันได้อีกต่อไป มันจึงไม่สามารถช่วยท่านและไม่มาดูแล  ในทางตรงกันข้าม คนในศาสนาคุยโม้เกี่ยวกับตัวเองและโอ้อวดตัวเอง ให้คนอื่นเชื่อถือเขา เซ่นไหว้เขา เขาแสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ แม้กระทั่งเป็นนักการเมือง พวกท่านลองคิดดู มองกลับไปดู ศาสนาเหล่านี้ยังเที่ยงตรงอยู่อีกหรือ  ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าพระพุทธ เต๋า และเทพไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึงศาสนา มนุษย์เป็นผู้สร้างและยอมรับศาสนา เทพไม่ยอมรับศาสนา ยอมรับแต่เพียงจิตใจมนุษย์  แม้ว่าจุดมุ่งหมายของท่านคือการไปโลกของพระพุทธ ไปสวรรค์ของพระเยซู แต่การปฏิบัติตนของท่านไม่สอดคล้อง เมื่อศาสนาทั้งหมดเป็นเช่นนี้ ท่านสามารถพูดได้หรือว่ามันเป็นศาสนาที่ถูกต้อง มันยากมากที่จะพูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบพวกท่าน ข้าพเจ้าบอกสิ่งนี้แก่ท่านเพราะข้าพเจ้ากลัวว่าท่านจะถูกหน่วงเหนี่ยวจนเสียการ ถูกศาสนาเหล่านั้นซึ่งไม่สามารถช่วยท่าน หน่วงเหนี่ยวจนเสียการ

ครั้งนี้ เหมือนคนอื่นๆ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประชุม เมื่อมองเห็นปัญหาอะไรก็จะพูดถึงปัญหานั้นให้แก่พวกท่าน

เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าฟังลูกศิษย์พูดอยู่นั้น พวกเราบางคนนั่งไม่ติด เขาอยากจะให้ลูกศิษย์พูดให้สั้นลงเพื่อให้ข้าพเจ้าพูด นี่เป็นการประชุมฝ่าฮุ่ยของเรา เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขออย่าได้รบกวนเรื่องนี้  การบรรยายฝ่า ต้องมีประเด็นที่เฉพาะเจาะจง มีวัตถุประสงค์ ข้าพเจ้าจึงจะพูด เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นปัญหาบางอย่าง ข้าพเจ้าก็จะอธิบายให้พวกท่านกระจ่าง จะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับ  แน่นอน มีคำถามมากมายเช่นกันที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม  ข้าพเจ้าจะพูดอีกครั้ง การบำเพ็ญปฏิบัติในแต่ละส่วนของโลกควรปฏิบัติตามหนทางและรูปแบบที่ปฏิบัติกันในประเทศจีน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อย่างที่ท่านทราบ สังคมจีนเป็นสังคมที่เข้มงวดในแง่ของการควบคุมประชาชน  ถ้าเราสามารถเผยแพร่ฝ่าอย่างราบรื่นในสังคมที่เข้มงวดขนาดนั้น เช่นนั้นในสังคมใดๆ ในอนาคตฝ่านี้ก็อาจสามารถเผยแพร่ฝ่าต่อไปได้โดยไม่ประสบกับความเสียหาย  พูดอีกแง่หนึ่ง ในระหว่างขั้นตอนของการเผยแพร่ฝ่าตลอดหลายปีมานี้ ข้าพเจ้าบอกผู้คนในประเทศจีนว่าเขาควรทำอย่างไร เมื่อเกิดปัญหา ข้าพเจ้าแก้ปัญหาให้ถูกต้องเพื่อให้เขา(ฝ่า)พัฒนาต่อไปได้อย่างราบรื่นและเข้มแข็ง เมื่ออยู่ประเทศอื่น พื้นที่อื่น พวกท่านก็ทำเช่นนี้ เพื่อให้ฝ่านี้เดินทางอ้อมน้อยลง ผู้ฝึกก็จะได้รับความเสียหายน้อยลง นี่คือจุดประสงค์

การบำเพ็ญปฏิบัติเป็นเรื่องที่จริงจังมาก  สังคมมนุษย์พัฒนามาถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ทุกๆ เรื่องราวล้วนไม่ใช่เกิดขึ้นด้วยเหตุบังเอิญ  การพัฒนาของสังคมในมุมมองของข้าพเจ้าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากของพวกท่าน มนุษย์เราล้วนแต่คำนึงถึงชนชาติของตนเอง พื้นที่ของตนเอง แม้กระทั่งผลประโยชน์ส่วนตน ในความคิดการไตร่ตรองปัญหา ความคิดที่เกิดขึ้นจากพื้นฐานนี้เป็นความคิดมนุษย์ทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่มองสิ่งต่างๆในลักษณะนี้ ข้าพเจ้าจะวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ มองการพัฒนาของมนุษย์ทั้งมวล ไม่เหมือนอย่างที่พวกท่านเข้าใจ มนุษย์อาจมองปัญหาในลักษณะตรงกันข้าม เพราะจุดเริ่มของมองปัญหาของมนุษย์ คือการแสวงหาความสุขท่ามกลางมนุษย์  เทพบอกให้คนชดใช้กรรมให้หมดโดยเร็วท่ามกลางมนุษย์ เพื่อกลับไปเสวยสุขในที่ดั้งเดิมของท่าน นี่คือแก่นแท้ของความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม มนุษย์เพียงต้องการมีชีวิตอย่างสบายที่นี่ แน่นอน นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดเมื่อไม่ได้รับฝ่า ถ้าพวกเขาได้รับฝ่า ทรรศนคติก็จะเปลี่ยนไปและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นข้าพเจ้ามักพูดว่ามนุษย์ประสบกับความทุกข์สักหน่อย ประสบกับความยากแค้นบ้างนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี  เป็นเรื่องดี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ในเวลาที่มนุษย์ต้องการปกป้องตัวเอง ล้วนเกิดจาก “ความเห็นแก่ตัว” ประการเดียว ความปรารถนาเพื่อตัวเองเพียงประการเดียว ไม่ต้องการจะลำบาก นึกถึงแต่ความสุขโชคลาภ แต่ลองคิดดู พวกเราล้วนแต่อยากมีความสุขโชคลาภ รวมทั้งหลายๆคนในสังคมตะวันตก เปรียบเทียบกับประเทศจีนและประเทศในทวีปเอเชียหลายๆประเทศ สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาจริงๆแล้วดีกว่ามาก พวกเขานึกว่ามีความสุขโชคลาภอย่างมากแล้ว แต่ที่จริงแล้วพวกเขาประสบกับความทุกข์ยากแบบอื่น คนธรรมดาสามัญไม่สามารถหลีกหนีความทุกข์ของการเกิดแก่เจ็บตาย  นอกจากนี้ในเวลาที่ไม่สมปรารถนาในสิ่งต่างๆ  ความทุกข์ที่ก่อเกิดจากอารมณ์นั้นยิ่งทุกข์ทรมาน พวกเขาอาจรู้สึกด้วยว่าชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร พวกเขารู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่อาจจะทนได้นี้เป็นอันตรายที่สุดต่อมนุษย์ และเป็นความทุกข์ยากมากที่สุดในการบำเพ็ญปฏิบัติ ดังนั้น ท่ามกลางความทุกข์ยาก ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันทุกๆแบบ  มนุษย์ล้วนสามารถบำเพ็ญปฏิบัติและยกระดับ การมีความทุกข์ การประสบกับความทรมานบ้างไม่ใช่สิ่งไม่ดี เพราะพูดในทรรศนคติของเทพ กรรมของท่านจะสลายไปหลังจากที่ท่านทนทุกข์  ไม่ว่าความลำบากของท่านจะรุนแรงแค่ไหน ท่านจะต้องปฏิบัติตนอย่างถูกต้องด้วยสภาพจิตใจที่สงบมากๆ เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูด เมื่อเกิดความขัดแย้งกับคนอื่น ท่านต้องตรวจสอบตัวเองจากภายใน ค้นหามูลเหตุที่ตัวเอง  อย่ามองหาที่ข้างนอก เช่นนั้นโดยแท้จริงซินซิ่งของท่านก็กำลังเลื่อนระดับสูงขึ้น

ข้าพเจ้ากล่าวก่อนหน้านี้ แน่นอนเป็นคำพูดในสังคมการบำเพ็ญปฏิบัติว่า “คนคนนี้ไม่ปฏิบัติเต๋าแต่อยู่ในเต๋า” นี่หมายถึงอะไร คนคนนี้มีชีวิตค่อนข้างแร้นแค้นในสังคมคนธรรมดาสามัญและยังประสบความทุกข์ยากอยู่เสมอ  อย่างไรก็ตามเมื่อมีความลำบาก เขาสามารถปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความดีและค้นหาความไม่ถูกต้องที่ตัวเอง คนเช่นนี้จึงเป็นคนที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง  ถ้าเขาปฏิบัติตนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ และสามารถเพียรทำต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็จะพบว่าเขาบรรลุเต๋า ทำไมเขาจึงสามารถบรรลุเต๋า ตัวอย่างเช่น ทุกท่านทราบว่า ศาสนาทางตะวันตกแตกต่างจากที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้แก่ท่านในวันนี้ และไม่เหมือนกับรูปแบบการบำเพ็ญปฏิบัติทางตะวันออกด้วย เขาเชื่อใน”ความศรัทธา”  เพียงแต่มีความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ในพระเยซู(คริสต์) และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้าก็จะสามารถไปสวรรค์ มันเป็นหลักการหนึ่ง

แน่นอน ศาสนาตะวันตกที่จริงก็คือการบำเพ็ญปฏิบัติ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เวลาที่เขาสวดภาวนา เขาสารภาพสิ่งที่เขาทำผิดไปแล้ว ครั้งต่อไปเขาทำสิ่งที่ถูกต้องและจะไม่ทำความผิดแบบเดิมอีก เขาก็จะค่อยๆปฏิบัติตนดีขึ้นดีขึ้น ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ไม่ทำความผิดที่เคยทำเมื่อก่อนอีก เขาไม่ได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นหรือ นี่ไม่ใช่การยกระดับระหว่างการบำเพ็ญซินซิ่งหรือ การบำเพ็ญคือการบำเพ็ญจิตใจของคน ดังนั้นเขาไม่ได้ยกระดับจิตใจของเขาหรือ และการยกระดับแบบนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญปฏิบัติหรือ อย่างไรก็ตาม เขาขาดไปหนึ่งสิ่ง การบำเพ็ญปฏิบัติของเราเป็นการยกระดับทั้งจิตใจและร่างกายไปพร้อมๆกัน ของเขาบำเพ็ญจิตใจเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ณ จุดจบของชีวิตเขาจะได้รับการตัดสินโดยพระเยซูคริสต์หรือพระผู้เป็นเจ้าทางตะวันตก เยโฮวา ว่าเขาจะเข้าเกณฑ์ไปสวรรค์หรือไม่ ถ้าเข้าเกณฑ์ เขาก็จะสร้างร่างกายของเทพให้แก่เขาและพาเขาไปสวรรค์  ในขณะที่การบำเพ็ญของเราในวันนี้คล้ายๆกับเอกลักษณ์ของการบำเพ็ญปฏิบัติแบบโบราณบางวิธีของทางตะวันออก ขณะที่ซินซิ่งของท่านเลื่อนระดับสูงขึ้น ร่างกายของท่านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยและถูกทดแทนด้วยสสารพลังงานสูง นี่คือเอกลักษณ์ของวิธีการบำเพ็ญของเรา

การบำเพ็ญร่างพระพุทธ มีการพูดกันในอดีตว่า ในระหว่างการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน เมื่อเขตแดนของท่านเลื่อนระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หยวนอิงจะเกิดขึ้นที่ตานเถียน  หยวนอิงค่อยๆโตขึ้น เมื่อมองเห็นได้มันจะมีรูปลักษณ์ของพระพุทธองค์เล็กๆหรือทารกเต๋าน้อยๆ  มันจะโตขึ้นๆ จนสุดท้ายเมื่อโตจนมีขนาดเท่ากับร่างของท่าน เขาก็จะทดแทนกายเนื้อดั้งเดิมของท่าน  ศาสนาพุทธเชื่อเรื่องนิพพาน ไม่นำกายเนื้อไป  คนที่มีความสามารถมองเห็นพบว่า เมื่อกายเนื้อหลุดออกไป จากข้างในร่างกายพระพุทธองค์หนึ่งจะปรากฏขึ้นมาและจากไป  คนทางตะวันออกและตะวันตกมีแนวความคิดแตกต่างกัน เกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมทางตะวันออกและตะวันตกในปัจจุบันนี้แตกต่างกันในทุกวันนี้  ในสมัยโบราณคนทางตะวันตกก็มีคนบำเพ็ญเต๋าและมีคนบำเพ็ญร่างกายด้วยเช่นกัน เพียงเพราะว่าคนทางตะวันตกในสมัยปัจจุบัน การสืบทอดได้สูญหายไปแล้ว

ข้าพเจ้าได้ไปพื้นที่หลายแห่งในช่วงหลายปีมานี้ ในภูเขาในออสเตรเลีย ข้าพเจ้าเห็นเทพในลักษณะของคนผิวขาว พวกเขาจัดเป็นเทพที่บำเพ็ญปฏิบัติบนโลก ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาที่ภูเขาแอลป์ในยุโรปและภูเขาร็อคกี้ในอเมริกาด้วยเช่นกัน พวกท่านได้ยินข้าพเจ้าพูดแล้วก็ อย่าได้เกิดจิตยินดี ท่านไปที่นั่นก็จะไม่พบพวกเขา พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาไม่กล้ามาพบท่าน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าท่านกำลังบำเพ็ญต้าฝ่าซึ่งถูกต้อง ถูกต้องอย่างที่สุด ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เหตุผลที่ตัวท่านไม่รู้สึกว่าต้าฝ่านี้ถูกต้องที่สุดก็เพราะการบำเพ็ญร่างกายที่ชั้นผิวของท่านเป็นไปอย่างค่อนข้างช้า แต่สสารระดับจุลภาคของชีวิตท่าน ในการบำเพ็ญปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก ทำไมจึงรวดเร็วอย่างนี้หรือ มันเป็นเพราะว่าจุดเริ่มต้นก่อนกำเนิดของท่าน ร่างกายนั้นเดิมทีก็อยู่บนสวรรค์ อย่างไรก็ตามแนวความคิดของสวรรค์ ไม่เหมือนกับแนวความคิดของมนุษย์ด้านระยะทางอย่างที่ท่านจินตนาการ คิดดู ถ้าท่านมองดูโลกจากดาวอังคาร โลกไม่ใช่อยู่บนสวรรค์หรือ มันก็อยู่บนสวรรค์ พื้นที่อวกาศไม่ถึงหนึ่งนิ้วระหว่างนิ้วมือของท่านไม่ใช่สวรรค์หรือ มันก็เป็นสวรรค์เช่นกัน มันไม่เหมือนกับสวรรค์ที่ท่านจินตนาการด้วยแนวความคิดของมนุษย์ทางด้านระยะทาง ตัวอย่างเช่น จากสสารระดับมหภาคถึงสสารระดับจุลภาค อย่างเซลล์ในร่างกายมนุษย์ เซลล์ประกอบด้วยโมเลกุล ลงไปคือโมเลกุล อะตอม นิวเคลียส และนิวตรอน จนกระทั่งในที่สุดจะเป็นควอร์กก็ดี นิวทริโนก็ดี นี่ก็ยังระดับผิวเผิน(พื้นฐาน)มาก ลงไปเรื่อยๆจนถึงระดับจุลภาค มองดูด้วยแนวความคิดมนุษย์ทางด้านระยะทาง มันจะอยู่ในร่างกายของท่านหรือในวัตถุใดๆ ข้างนอกร่างกายของท่าน ระยะห่างไม่ไกลกันมากนัก เกือบจะอยู่ด้วยกัน แต่ขอบเขตของเทียนถี่(ร่างจักรวาล)นั้นกว้างใหญ่มาก ยิ่งสสารอยู่ในระดับจุลภาคมากเท่าใด หรืออนุภาคของสสารอยู่ในระดับยิ่งจุลภาคมากขึ้นเท่าใด พื้นที่โดยรวมของมันจะใหญ่ยิ่งขึ้น อนุภาคหนึ่งมีขนาดเล็กมาก แต่มันเป็นร่างโดยรวมที่ประกอบขึ้นด้วยอนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วน มันจึงใหญ่อย่างมาก กระทั่งเกินขอบเขตของมิติมนุษย์ มิติของมนุษย์ดูแล้วกว้างใหญ่มาก ที่จริงแล้วมันไม่กว้างใหญ่แม้แต่น้อย

พวกเราผู้ฝึกในระหว่างการบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่ว่าท่านจะประสบกับความยากลำบากอะไร หากท่านสำรวจจากตัวท่านเอง ค้นหาสาเหตุที่ตัวเอง ปัญหาอะไรก็ตามท่านก็สามารถแก้ไขได้ เมื่อประสบกับปัญหา ท่านต้องค้นหาจากภายใน เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูดก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่เพราะว่าคนอื่นปฏิบัติต่อท่านอย่างไร แต่เป็นเพราะว่ามีความไม่ประสานที่ตัวท่าน ตัวอย่างเช่น เที่ยนถี่(ร่างจักรวาล)ทั้งหมดมีความสอดประสานกัน แต่ที่ตัวของท่านตรงนี้เกิดความไม่ประสานกัน ปัญหาอยู่ที่มันเกิดเป็นปมที่ของท่านตรงนี้ เป็นท่านที่ไม่สอดประสานกับคนอื่นๆ เมื่อท่านค้นหาสาเหตุภายในตัวท่าน แก้ปมปัญหากลับมาให้ถูกต้อง มันก็จะสอดประสานกัน มันจะสงบราบเรียบ ทุกๆคนจะปฏิบัติกับท่านด้วยดีอีกครั้งหนึ่ง ก็ยกอย่างง่ายๆเพื่ออธิบายหลักการเช่นนี้

เนื่องจากนี่คือการประชุมฝ่าฮุ่ย มีคนจะต้องขึ้นมากล่าวบทความประสบการณ์ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการประชุมควรดำเนินต่อไป พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะพูดอีกครั้งหนึ่งแล้วจะตอบคำถามพวกท่าน

ข้าพเจ้าได้บอกพวกท่านแล้วว่าการบำเพ็ญปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านได้ทนความยากลำบากมากมาย มีแต่ศาสนาที่ถูกต้องหรือการบำเพ็ญปฏิบัติเจิ้งฝ่า(ฝ่าที่ถูกต้อง)เท่านั้นจึงจะมีการทนทุกข์ ถ้าการบำเพ็ญปฏิบัติดำเนินไปอย่างราบๆเรียบๆ ไม่มีความทุกข์อุปสรรคแต่อย่างใด ก็ไม่สามารถเรียกว่าเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติ และไม่สามารถทำให้คนหยวนหมั่น นี่คือสัจธรรมอย่างแท้จริง

พูดถึงการบำเพ็ญปฏิบัติ ข้าพเจ้าถือโอกาสนี้กล่าวถึงศาสนาต่างๆที่มีอยู่มากมายในสังคมทุกวันนี้ แต่ข้าพเจ้าจะพูดให้ชัดเจนว่า ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราไม่ใช่ศาสนา ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ทำเรื่องศาสนาอย่างแน่นอน ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเราก็ไม่ใช่ศาสนาอย่างแน่นอน  ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เนื่องจากการเผยแพร่ฝ่าในสังคม พูดถึงความเป็นคู่สอดคล้องกัน ในจักรวาลนี้ ณ ระดับชั้นหนึ่งที่แน่นอนมีหลักการของการเสริมและต่อต้านซึ่งกันและกัน นั่นคือ ในขณะที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าที่ถูกต้อง วิชาชั่วร้ายที่เป็นคู่สอดคล้องกันก็จะโผล่ออกมาด้วย นี่เป็นผลจากหลักการของการเสริมและต่อต้านซึ่งกันและกัน ดูว่าคนจะเลือกวิชาใด ดูว่าคนจะรับรู้(อู้)อย่างไร เพราะมนุษย์ตกลงมาถึงตรงนี้ด้วยการกระทำของตัวเอง จึงสร้างอุปสรรคของการตกอยู่ในวังวนให้แก่ตัวเอง ตกอยู่ท่ามกลางวังวนนี้ ดูว่าท่านยังสามารถรับรู้เข้าใจฝ่าที่ถูกต้องหรือไม่ ดูว่าท่านแสวงหาอะไร ฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จริง พวกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ การได้รับฝ่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย ท่านไม่รู้เป็นสำนึกอะไร โดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจในทุกๆ ด้านที่ชี้นำให้ท่านกำจัดความยากลำบากมากเท่าใด ท่านจึงสามารถได้รับฝ่านี้

ก็มีบางศาสนาที่ชั่วร้ายที่เผยแพร่อยู่ ศาสนาที่ชั่วร้ายเหล่านี้ล้วนแต่พูดเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ล้วนแต่พูดถึงสิ่งเหล่านี้  แน่นอน ข้าพเจ้าเคยพูดว่ามีภัยพิบัติคงอยู่ พุทธศาสนาก็พูดเช่นนี้ ศาสนาคริสเตียน คาทอลิก เต๋าก็มีมุมมองเดียวกัน นี่คือกฎเกณฑ์การวิวัฒนาการของจักรวาล แต่ไม่เหมือนที่ศาสนาที่ชั่วร้ายกล่าวอ้างอย่างแน่นอน  นอกจากนี้ ข้าพเจ้าก็สังเกตว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่แน่นอน เหตุการณ์เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ ณ ที่นี้ข้าพเจ้าสามารถพูดกับทุกท่านอย่างจริงจัง ความหายนะบนโลกที่กล่าวอ้างกันทั้งหมดที่จะเกิดในปี ค.ศ. 1999 หรือความหายนะของจักรวาล เรื่องทำนองนี้ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทำไมจึงมีความหายนะ ข้าพเจ้าขอบอกหลักการแก่ท่าน ตัวอย่างเช่น ศีลธรรมของมนุษย์กำลังเสื่อมถอย สสารทุกชนิดกำลังเน่าเปื่อย พูดอีกแง่หนึ่งเปลี่ยนแปลงจนไม่บริสุทธิ์แล้ว  ในปัจจุบัน วัฒนธรรมของมนุษย์นั้นยุ่งเหยิงสับสน วัฒนธรรมต่างๆ ผสมปนกันจนยุ่งเหยิง และเชื้อชาติมนุษย์ผสมกันจนยุ่งเหยิงมากขึ้นมากขึ้น มันส่งผลให้มนุษย์เลื่อนไถลลงไปถึงขั้นที่อันตรายมากแล้วจริงๆ อันนี้แน่นอน เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูด เพราะว่ามนุษย์ไม่ไหวแล้ว ความหายนะจึงเกิดขึ้น

แล้วทำไมความหายนะจะไม่เกิดขึ้นล่ะ ข้าพเจ้าว่าในประเทศจีนปัจจุบันนี้มีคน 100 ล้านคนกำลังศึกษาต้าฝ่า เรามีลูกศิษย์ทุกแห่งทั่วโลกกำลังศึกษาต้าฝ่า มีจำนวนมากทีเดียว ถ้าคนเหล่านี้กำลังใฝ่ดี กำลังบำเพ็ญ และปฏิบัติตนเป็นคนดี มีคนดีมากมายเช่นนี้ ถ้าจักรวาลหรือโลกถูกทำลายไป คนดีเหล่านี้จะทำอย่างไร หลักการเป็นอย่างนี้ ทำลาย เพราะว่ามันไม่ดีแล้วจึงต้องทำลาย มีคนดีมากมายเช่นนี้จะทำลายได้อย่างไร พูดอีกแง่หนึ่งคือ อันตรายเช่นนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป (เสียงปรบมือ) แต่ข้าพเจ้าก็ยังบอกพวกท่าน เพราะทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนแต่มาเพื่อศึกษาฝ่า ในเมื่อข้าพเจ้าได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะอธิบายต่อท่านให้ละเอียด เพื่อขจัดสิ่งที่ชั่วร้ายและความคิดที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นอีกขั้นหนึ่ง

พวกท่านต่างก็รู้ว่าข้าพเจ้ากำลังถ่ายทอดฝ่า กำลังช่วยคน ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็เชื่อเรื่องนี้ เพราะว่าพวกท่านทุกคนได้รับประโยชน์ต่อตนเอง ท่านจึงกระจ่างแจ้งในจุดนี้จากในฝ่าและหลักการแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มาเพียงเพื่อจะช่วยเหลือคนเท่านั้น แต่เรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังทำนั้นรวมการช่วยเหลือคนอยู่ในนั้นด้วย  เพราะพูดในสิ่งที่อยู่สูงเกินไป พวกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ บางคนเป็นผู้ฝึกใหม่อาจจะรับไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าเคยพูดเช่นนี้ ข้าพเจ้าพูดว่า เมื่อจักรวาลทั้งมวลเบี่ยงเบนไปจากคุณสมบัติของจักรวาล (เกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล ข้าพเจ้าอธิบายไว้แล้วอย่างชัดเจนในจ้วนฝ่าหลุนว่า ความจริง ความเมตตา ความอดทน คือคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล) และไม่บริสุทธิ์แล้ว เมื่อสรรพชีวิตในจักรวาล สสารทั้งมวลและชีวิตเปลี่ยนแปลงจนไม่บริสุทธิ์แล้ว มันก็เบี่ยงเบนจากคุณสมบัติพิเศษนั้นของจักรวาล และก็เบี่ยงเบนจากฝ่า ฝ่าของจักรวาลสร้างสิ่งแวดล้อมสำหรับการดำรงชีวิตให้แก่ชีวิตนั้นๆ ในระดับชั้นต่างๆ  เมื่อชีวิตและสสารข้างในนั้นเปลี่ยนแปลงจนไม่บริสุทธิ์ผ่านกาลเวลาอันยาวนานแล้ว มันก็จะไม่เข้ากับมาตรฐานของฝ่าในแต่ละระดับชั้น นี่คือสาเหตุที่ชีวิตตกลงมา  เพราะเมื่อพวกมันไม่สอดคล้อง มันก็จะตกลงมา ยิ่งมันเลวมากเท่าใด มันก็ตกลงมามากเท่านั้น จนกระทั่งถึงระดับของมนุษย์ตรงนี้ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่จุดสุดท้าย

เช่นนั้น ถ้าปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นกับสสารทั้งมวลและในวงกว้าง จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งและยากแก่การตรวจพบ ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ถ่ายทอดฝ่านี้ พวกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้มาศึกษาฝ่านี้ ก็จะไม่มีใครตระหนักถึง สังคมมนุษย์ในทุกวันนี้ได้เสื่อมถอยมาถึงระดับนี้แล้ว เพราะท่านได้ศึกษาฝ่านี้และเข้าใจแล้ว เมื่อท่านมองกลับไปที่สังคมมนุษย์ ท่านก็สามารถเห็นว่ามนุษย์เปลี่ยนแปลงจนเลวร้ายขนาดนี้แล้ว ดังนั้น ฝ่าแห่งจักรวาล แม้วันนี้ข้าพเจ้าบรรยายให้พวกท่านฟังแล้ว ในอดีตแม้กระทั่งเทพก็ยังไม่รู้  ชีวิตไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ว่าในจักรวาลนั้นมีฝ่า(กฎ) พวกเขารู้เพียงแค่ว่าจักรวาลมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันสำหรับชีวิตในแต่ละระดับชั้น แต่รูปธรรมเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้เลย ดังนั้น ในขั้นตอนอันยาวนานมากในจักรวาล ต่างก็เบี่ยงเบนจากฝ่าของจักรวาลอย่างช้าๆ พวกมันก็ไม่สามารถรู้สึกถึงขั้นตอนนี้ ข้าพเจ้าได้ทำงานที่ใหญ่เช่นนี้ ทำไมข้าพเจ้าจึงทำ มันมีเหตุผล แน่นอน สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้

ข้าพเจ้ากำลังพูดว่า งานที่ข้าพเจ้ากำลังทำอยู่นี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือมนุษย์ ข้าพเจ้ายังจะต้องปรับชีวิตและสสารต่างๆที่เบี่ยงเบนทั้งหมดให้ถูกต้องด้วย (เสียงปรบมือ) มิฉะนั้นข้างบนนั้นก็จะเป็นอันตรายด้วย และท่านก็จะไม่มีที่ที่ปลอดภัยที่จะอยู่ ไม่ว่าข้าพเจ้าจะสามารถทำให้ท่านบำเพ็ญได้ดีเพียงไร ดังนั้นจึงต้องทำทั้งหมด ท่านไม่ทราบว่าการทำสิ่งนี้มันยากเพียงใด แม้ว่าข้าพเจ้าจะอธิบายเช่นนี้ ท่านก็ยังไม่สามารถเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำในอีกด้านหนึ่ง รูปลักษณ์ของข้าพเจ้าคือมนุษย์คนหนึ่ง  เป็นหลี่ หงจื้อ ที่มีร่างของมนุษย์อย่างสมบูรณ์นั่งอยู่ที่นี่และพูดอยู่กับพวกท่าน ฉะนั้นท่านก็ถือข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับพวกท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไม่ใช่แสร้งปล่อยข่าวลือเขย่าขวัญ ข้าพเจ้าเพียงแต่กำลังบรรยายฝ่าและบอกท่านเกี่ยวกับหลักการของจักรวาล ท่านจะเชื่อหรือไม่ ท่านจะสามารถบำเพ็ญหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของตัวท่านเอง

พูดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าก็ถือโอกาสนี้บอกพวกท่านว่า โดยพื้นฐานจักรวาลนี้ได้รับการปรับให้ถูกต้องแล้ว ขาดก็แต่มนุษย์ ขาดก็แต่สสารในระดับผิวนอกสุดที่ยังไม่เสร็จ แต่ก็จวนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว พลังของข้าพเจ้าสามารถยับยั้งสสารในชั้นนี้ไม่ให้แตกตัว ระเบิด หรืออื่นๆ ได้โดยสิ้นเชิง สามารถยับยั้งได้โดยสิ้นเชิง (เสียงปรบมือ)  ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่มีการทำนายมาในอดีตไม่คงอยู่อีกต่อไป แน่นอน ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงประเด็นนี้ ถ้าข้าพเจ้าทำงานนี้ ข้าพเจ้าจะต้องแก้ไขให้ดีในสิ่งที่จะเก็บรักษาเอาไว้ ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดเช่นนี้ เหมือนแอ๊ปเปิ้ลเน่าผลหนึ่ง มันเน่าแล้ว เก็บเอาไว้ก็จะเป็นการทำเรื่องที่ไม่ดี ชีวิตในเขตแดนที่สูงมากๆ เห็นมนุษย์เหมือนกับขยะ พวกเขาไม่ถือว่ามนุษย์เป็นชีวิตประเภทเดียวกับพวกเขา “ท่านต้องการจะเก็บเขาเอาไว้ ทำไมต้องเก็บเขาเอาไว้ จะเก็บเอาไว้ท่านก็ต้องเปลี่ยนแปลงเขาให้เป็นดี” ไม่ใช่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น ในนี้รวมทั้งสสาร พืช สัตว์ทุกชนิด และสิ่งต่างๆมากมายบนโลกล้วนรวมอยู่ด้วย

เรื่องที่ข้าพเจ้าทำในวันนี้ก็เพื่อจะปรับแก้มนุษย์และสสารบนโลกทั้งมวลให้ถูกต้อง ข้าพเจ้าสามารถทำทั้งหมดนี้   เนื่องจากจุลชีพ พืช และสัตว์อื่นๆ มันไม่จำเป็นต้องเข้าใจฝ่า ข้าพเจ้าจึงสามารถเปลี่ยนมันได้โดยตรง  สร้างขึ้นมาใหม่หรือหลอมเหลามันได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะพูดถึงมนุษย์เท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปรับแก้ทุกๆคนบนโลกนี้ให้ดีได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีบางคนชั่วร้ายเกินกว่าที่จะได้รับอนุญาตให้รู้ฝ่า แม้ว่าพวกเขาจะรู้ฝ่า เขาก็ไม่สามารถให้ศึกษา เพราะว่าเขาไม่คู่ควรจะศึกษาฝ่าอีกต่อไป คนประเภทนี้ก็มีจำนวนมากทีเดียว มากทีเดียว แล้วจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์หรือกับโลก อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านว่า เวลานี้ในสังคมมีโรคหลายชนิดที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ภัยธรรมชาติต่างๆ ล้วนไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่สามารถตระหนักว่าวัตถุทุกชนิดล้วนมีชีวิต ล้วนมีด้านที่มีชีวิต เพียงแต่ใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไปอธิบายปรากฏการณ์กายภาพชั้นพื้นผิวของมัน มองไม่เห็นด้านที่มีชีวิตของมัน ดังนั้นมนุษย์จะถูกกำจัดในวงกว้าง อันนี้แน่นอน คนที่ไม่ดีก็ต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน เหมือนกับร่างกายมนุษย์ต้องมีการขับถ่ายของเก่า เสริมสร้างของใหม่ขึ้นมาแทน ส่วนที่ไม่ดีจะต้องถูกกำจัดไป เรื่องลักษณะนี้จะเกิดขึ้น

ที่จริง เรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้วในทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ มันเป็นเช่นนี้เป็นหลายๆพันปีแล้ว มนุษย์ขับถ่ายของเก่าออกไป รับเข้าของใหม่ ร่างกายขับถ่ายของเก่า เสริมสร้างของใหม่ขึ้นมาแทน โลกนี้ก็เช่นเดียวกัน สังคมมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน มีเกิดและมีตาย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังพูดคือจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและแผ่ขยายเป็นวงกว้าง คนที่มีกรรมมากอย่างแท้จริงจะไม่สามารถคงอยู่เช่นนี้อีกต่อไป แล้วจะรักษาโลกไว้ได้อย่างไร เหมือนกับการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน เมื่อร่างกายของท่านเกิดการเปลี่ยนแปลง โลกใหม่ก็กำลังถูกสร้างขึ้นเช่นกัน บางคนสงสัยว่าเมื่อโลกใหม่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วเราจะนั่งพาหนะบางอย่างส่งพวกเราข้ามไป นั่นเป็นความคิดแบบมนุษย์ แนวคิดของมนุษย์

เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า สสารทุกอย่างในจักรวาลล้วนแต่ประกอบขึ้นจากสสารในระดับจุลภาค และอนุภาคเป็นลำดับขั้นจนเป็นอนุภาคที่ใหญ่ยิ่งขึ้นอีกชั้นหนึ่ง จนกระทั่งประกอบขึ้นเป็นเซลล์ – อนุภาคในขนาดของโมเลกุลที่มนุษย์เราทุกวันนี้สามารถสังเกตเห็นได้ นั่นคือ สสารทุกชนิดที่ต่ำกว่าชั้นของโมเลกุลได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่แล้ว ยังเหลือแต่ระดับผิวของชั้นโมเลกุลนี้ จนถึงระดับผิวบนยิ่งขึ้น พูดอีกอย่างหนึ่งคือ โลกเป็นโลกใหม่แล้ว ณ ส่วนที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคที่อยู่ต่ำกว่าชั้นพื้นผิวที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุล สสารของมิติระดับพื้นผิวชั้นนี้สามารถทำให้คนดีคงเหลือไว้ เวลาเข้าสู่โลกใหม่จะเป็นไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว โดยอยู่ๆวันหนึ่งก็รู้สึกว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน หรืออยู่ๆเช้าวันหนึ่งเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ค้นพบว่าทุกสิ่งบนโลกล้วนกลายเป็นใหม่ไปแล้ว นอกจากนี้มนุษย์ก็จะไม่รู้สึกอย่างอื่น ในความรู้สึกพบว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีความสั่นสะเทือนแต่ประการใด

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าสสารชั้นใดๆ ที่ต่ำกว่าระดับพื้นผิวล้วนประกอบด้วยสสารในระดับจุลภาค และเมื่อสสารในระดับจุลภาคเกิดการแตกกระจาย สสารที่ระดับพื้นผิวก็จะแตกกระจายและหายไปเลย การแตกกระจายของมันจะเป็นไปโดยไม่อาจสังเกตเห็นและรับรู้ได้ ก็เหมือนหมอกและควันกระจายหายไป   ณ เวลานั้นมนุษย์ยังคงอยู่ที่จุดเดิมแต่อยู่บนโลกใหม่แล้ว จุดประสงค์ของข้าพเจ้าก็เพื่อจะบอกทุกคนว่า ประการแรกคือภัยพิบัติที่กล่าวถึงนั้นไม่คงอยู่ อีกประการหนึ่งคือมันอันตรายที่จะเป็นคนไม่ดี ประเด็นนี้เกี่ยวโยงโดยตรงกับมนุษย์เราทุกวันนี้ และเกี่ยวโยงถึงการบำเพ็ญปฏิบัติของเราด้วย

ต่อไป ข้าพเจ้าขอโอกาสนี้บอกกับพวกท่านด้วยว่า อย่าได้มีใครใช้คำพูดของข้าพเจ้าไปแสวงหาเงินทองจากสิ่งแปลกใหม่ หรือจับใจความบางตอนแล้วเอาไปใช้ นำไปถ่ายทอดต่อๆ กันตามอำเภอใจด้วยจิตยินดีหรือด้วยจิตยึดติดต่างๆ ในฐานะลูกศิษย์ พวกท่านควรรู้ว่าควรจะทำอะไร ข้าพเจ้ายังรู้สึกว่าบางคนไม่สามารถเก็บสิ่งต่างๆไว้กับตัวเอง ข้าพเจ้าจะพูดกับพวกท่านต่อ ทำไมมนุษย์จึงเป็นมนุษย์(เป็นอย่างที่เป็นอยู่) ทำไมมนุษย์จึงถูกว่ามีสติปัญญาโง่ทื่อ ประการหนึ่งก็คือพวกเขามีปัญญาน้อย อีกประการหนึ่งคือ เวลาจะทำอะไรเขาต้องอาศัยมือและเท้า อาศัยกำลังทางกายไปทำ เขาต้องทำงานหนัก แต่เทพบางครั้งทำอะไร เขาไม่จำเป็นต้องใช้มือหรือเท้า เขาใช้ความคิด(จิต)ก็ทำได้ เขาเพียงใช้ความคิดก็สามารถทำสำเร็จ เพราะว่าพลังของเทพมีอยู่ในอนุภาคตั้งแต่ในระดับจุลภาคที่สุดจนถึงระดับมหภาคมากๆ และทุกอนุภาคก็เป็นรูปลักษณ์ของเทพนั้นๆ เมื่อไรที่เทพองค์นั้นต้องการจะเสกวัตถุหนึ่งๆ พลังของเทพมีบรรจุอยู่ในอนุภาคทุกขนาด เขาก็จะสร้างมันขึ้นมา จากระดับจุลภาคที่สุดจนถึงทุกๆระดับรวมทั้งระดับผิวของวัตถุนั้นพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เมื่อเทพองค์นั้นคิด พลังของเขาก็ทำให้วัตถุก่อเกิดจากที่ไม่มีเป็นมี และยังใช้สนามเวลาที่รวดเร็วมากสร้างมันขึ้นมา นี่คือสาเหตุที่พระพุทธมีความสามารถที่ยิ่งใหญ่ และเทพมีความสามารถที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

ในขณะที่มนุษย์นั้นโง่ทื่ออย่างที่สุด ดังนั้นมนุษย์จะทำอะไรนั้นต้องอาศัยแรงกายของตัวเองออกแรงไปทำ ในการสร้างตึก ต้องใช้คนจำนวนมากมายขึ้นไปลงมา เหมือนโมเลกุลจำนวนเป็นร้อยๆยุ่งอยู่กับการทำงานอยู่ตรงนี้ ยุ่งอยู่ตรงนี้ตรงนั้น นี่เป็นวิธีที่งุ่มง่ามที่สุด แต่ เมื่อพระพุทธต้องการสิ่งใด ไม่เหมือนมนุษย์ที่ทำสิ่งต่างๆด้วยเวลาของมนุษย์ เขาจะใช้เวลาของมิติที่เร็วที่สุดทำ ดังนั้นภายในมิตินี้มันสั้นมาก พริบตาเดียวก็สำเร็จ แต่ในสนามเวลาของมนุษย์ มันก็ดูเหมือนว่าเพียงแค่คิดก็สำเร็จ ระดับชั้นการบำเพ็ญของเขายิ่งสูง พลังความสามารถจะยิ่งมาก สามารถยึดกุมมิติเวลาได้ยิ่งมาก

ต่อไปนี้จะเป็นการตอบคำถาม

ศิษย์  ลูกชายของฉันอายุ 4 ขวบ ชอบอ่านและท่องหนังสือจ้วนฝ่าหลุนและบทความธรรมะของอาจารย์อย่างมาก แต่ไม่ชอบฝึก นับว่าเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติหรือไม่

อาจารย์  เด็กเล็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ เด็กเล็กๆชอบเล่น เป็นธรรมชาติของเขาและไม่จัดว่าเป็นจิตยึดติดเนื่องจากเขามีชีวิตอย่างนี้ ถ้าเด็กสามารถศึกษาฝ่า เขาสามารถศึกษาฝ่า ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ข้าพเจ้าชอบดูเด็กๆมากเพราะความคิด จิตใจ และร่างกายของเขาบริสุทธิ์มาก ถ้าพวกเขาบำเพ็ญปฏิบัติ พวกเขาก็จะก้าวหน้าเร็วมาก พวกเขาไม่มีจิตยึดติดของคนที่เพิ่มขึ้นภายหลังกำเนิด เมื่อพวกเขาฟังการบรรยายฝ่า เด็กบางคนฟังขณะเล่นเหมือนไม่ได้ยินอะไร ที่จริงเขาได้ยินทั้งหมด ถ้าท่านถามเขา ท่านจะพบว่าเขารู้ทุกอย่าง ถ้าเด็กสามารถฝึกท่าได้ก็จะดีมาก แต่ยังเด็กมากก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเขายังเป็นเด็กเล็ก ยังต้องการาจะเล่น เด็กเล็กๆต้องปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษ

ศิษย์  เมื่อเผยแพร่ฝ่าแก่คนผิวขาว พวกเราสังเกตว่าบางคนไม่ยอมละทิ้งความศรัทธาต่อพระเยซู มันจะมีผลอย่างไรต่อการบำเพ็ญต้าฝ่า

อาจารย์  ข้าพเจ้าอธิบายไว้ว่า “ไม่บำเพ็ญสองวิชา” ถ้าคนไม่สามารถมุ่งบำเพ็ญต้าฝ่าเพียงอย่างเดียว เขาจะไม่สามารถบำเพ็ญหยวนหมั่นในต้าฝ่าของเรา  ข้าพเจ้าได้พูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจักรวาลทั้งมวลหรือที่กว้างใหญ่กว่านั้นได้เบี่ยงเบนไปจากฝ่า นั่นรวมมนุษย์ด้วยหรือไม่ ศาสนาไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาโดยมนุษย์หรือ ถ้าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาลเบี่ยงเบนออกจากฝ่า แล้วสิ่งมีชีวิตที่เบี่ยงเบนออกจากฝ่าไม่รวมถึงสวรรค์ที่มนุษย์เชื่อถือศรัทธาอยู่มาโดยตลอดหรือ  ถ้าสวรรค์ของพระพุทธ เต๋า และเทพก็อยู่ในนั้นด้วย คิดดูว่ามันจะเป็นปัญหาเช่นไร  การถ่ายทอดฝ่าในเวลานั้นจะเป็นพระเยซูก็ดี องค์ศากยมุนีก็ดี เล่าจื้อก็ดี หรือเยโฮวา ในสมัยที่พวกเขากำลังสอนอยู่ สิ่งมีชีวิตและชีวิตในจักรวาลได้เบี่ยงเบนจากคุณสมบัติพิเศษของจักรวาลเป็นเวลานานแล้ว

            ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างหนึ่งโดยใช้ภาษาที่หยาบที่สุด สมมติว่าสวรรค์ของพระพุทธและเทพทำขึ้นมาจากทองคำ แต่ในช่วงเวลาอันยาวนาน เมื่อสวรรค์เหล่านั้นไม่บริสุทธิ์แล้ว จึงไม่เป็นทองคำเต็มร้อย ทองคำแท้ หรือประกอบขึ้นมาจากทองคำ แต่เป็นทอง 18 กะรัต หรือ 16 กะรัต  วันนี้ฝ่าแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว ก็เป็นทองคำบริสุทธิ์ ทองคำเต็มร้อย ทองแท้ ทอง 24 กะรัต  แต่ศาสนาหรือวิธีบำเพ็ญปฏิบัติที่สืบทอดมาจากพวกเขา ล้วนเป็นทอง 18 กะรัต หรือ 16 กะรัต ที่ตกทอดมาจากช่วงเวลานั้นซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ของสวรรค์ใหม่ของเทพและพระพุทธ เขาจะยังสามารถกลับไปที่สวรรค์ของทองคำบริสุทธิ์ 24 กะรัตหรือ แม้แค่หนึ่งโมเลกุลกลับไป มันก็จะทำให้ที่ตรงนั้นไม่บริสุทธิ์แล้ว และไม่สามารถปล่อยให้ท่านทำให้แปดเปื้อน เป็นเช่นนั้นใช่ไหม  ข้าพเจ้าจึงใช้โอกาสนี้บอกท่านว่าไม่มีศาสนาใดๆในโลกทุกวันนี้ รวมทุกศาสนาที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าไม่อาจเรียกว่าลัทธินอกรีต เพราะถ่ายทอดโดยพระพุทธ แต่ทั้งหมดไม่สามารถทำให้มนุษย์หยวนหมั่นแล้ว

            ไม่ว่าท่านจะบำเพ็ญปฏิบัติได้ดีสักเท่าไรในศาสนาหนึ่งศาสนาใด ท่านย่อมบำเพ็ญตามที่พระพุทธหรือพระเยซูสอนในสมัยนั้นอย่างแน่นอน บำเพ็ญได้สูงเพียงไรก็สามารถบรรลุเพียงหลักการที่สูงที่สุดที่องค์ศากยมุนีหรือพระเยซูสอน มันก็เป็นเพียงทอง 16 หรือ 18 กะรัต  เขาจะยังกลับไปที่สวรรค์ของทองคำเต็มร้อยได้หรือ นี่ไม่ได้บอกว่าองค์ศากยมุนีและพระเยซูไม่ดีพอ  สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังพูดคือสรรพชีวิตในจักรวาลทั้งมวลเบี่ยงเบนออกจากฝ่า และทั้งสองสิ่งนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในนั้น หลักการเป็นเช่นนี้  ข้าพเจ้าจะไม่พูดในรายละเอียดมากกว่านี้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่  แต่มนุษย์นั้นติดอยู่ในวังวนไม่รับรู้(อู้) เชื่อในสิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้เท่านั้น มนุษย์มีนิสัยที่ติดเป็นกมลสันดานที่รุนแรงมาก เขาไม่มองปัญหาด้วยเหตุผล เขาชอบใช้อารมณ์ดูปัญหา เขาไม่สามารถละวาง สลัดทิ้งสิ่งต่างๆที่ตกทอดมาจากสมัยโบราณ เพราะเขาไม่อาจปล่อยวางอารมณ์ และไม่ใช้สติสัมปชัญญะของพวกเขาวิเคราะห์ว่าอะไรถูกหรือผิดอย่างแท้จริง

ศิษย์  ในการเผยแพร่ฝ่าให้แก่คนผิวขาวพึงระวังสิ่งใดบ้าง

อาจารย์  คนผิวขาวมีวิธีคิดที่แตกต่างจากคนผิวเหลืองอย่างเรา ต้องคำนึงถึงลักษณะพิเศษของพวกเขา พวกท่านอย่าได้ใช้วิธีคิดแบบคนจีนและภาษาจีนที่ซับซ้อนมากๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่ายาก พอเขาดู รู้สึกว่า “มันยากเกินไป” ก็อาจจะไม่ได้ผลที่ดี  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเสนอว่า จะให้คนผิวขาวได้รับฝ่า  ต้องให้พวกเขาอ่าน “จงกั๋วฝ่าหลุนกง(ฉบับปรับปรุง)ก่อน หลังจากศึกษาแล้วค่อยให้อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”  เขาจะศึกษาได้ค่อนข้างง่าย การให้อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” ทันที คนส่วนมากเมื่ออ่านไม่เข้าใจก็จะเลิกอ่านเลย แน่นอน มีบางคนที่ดีมากๆที่พออ่านครั้งแรกก็สามารถรับได้เลย อีกประเด็นหนึ่งคือเมื่ออ่านครั้งแรก ท่านจะต้องค้นหาวิธีให้เขาอ่านหนังสือให้จบในครั้งเดียว ถ้าหยุดกลางคัน มันก็จะยากที่เขาจะหาเวลาไปอ่านอีก ท่านบอกให้เขาไปศึกษา ไปอ่าน รับรองว่าเขาจะพูดว่าไม่มีเวลา มันจะเป็นเช่นนี้เสมอ ที่จริง มันเป็นกรรมทางความคิดที่กีดขวางไม่ให้เขาอ่านต่อ เพราะว่ากรรมทางความคิดของเขากลัว  หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ กรรมทางความคิดของเขาจะถูกกำจัดไป

ศิษย์  พวกเราเผยแพร่ต้าฝ่าทางสถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ที่อเมริกา แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ พวกเราควรพยายามต่อไปหรือไม่

อาจารย์ ข้าพเจ้าจะบอกหลักการต่อทุกท่าน ท่านทุกคนอาจจะรู้เกี่ยวกับวิธีที่ข้าพเจ้ายึดถือในการทำสิ่งต่างๆ ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าจะไม่ใช้รูปแบบของศาสนา ข้าพเจ้าไม่ใช้วิธีการขึ้นทะเบียนสมาชิกเหมือนที่ทำกันในหมู่คนธรรมดาสามัญ  จดชื่อพวกท่านแต่ละคน นาย ก. นาย ข. พวกเราไม่มีรูปแบบ ไม่มีสถานที่ทำงาน และไม่มีอะไรจับต้องได้  สิ่งที่จับต้องได้ล้วนทำให้คนเกิดจิตยึดติด ล้วนไม่ใช่การบำเพ็ญปฏิบัติ  ไม่เพียงแต่การปล่อยวางเงินทอง ทรัพย์สิน ชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ฝ่าของเราจะเผยแพร่อยู่ในสังคมมนุษย์ ฝ่านี้มีความยิ่งใหญ่มาก พูดโดยเปรียบเทียบแล้ว การเผยแพร่ฝ่าที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นออกมา ข้อกำหนดต่อเขาจึงต้องสูงที่สุด ท่านไม่รู้ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงเดินหนทางที่ไร้รูปแบบเช่นนี้  เนื่องจากฝ่าของเรานี้ยิ่งใหญ่มาก เราจึงต้องเดินบนหนทางของหลักธรรมใหญ่(ต้าเต้า)ที่ไร้รูปแบบ จึงจะคู่ควรกับรูปแบบการสืบทอดฝ่านี้ในโลก ในอดีตมีหลายท่านมาสอนฝ่า พระพุทธก็ดี เทพทางตะวันตก พระเยซูคริสต์ และแม้กระทั่งเยโฮวาก็ดี  พวกเขาล้วนแต่รวบรวมคนเข้าด้วยกันเพระกลัวว่าคนเหล่านี้จะศึกษาฝ่าได้ไม่ดีหรือตกลงมา ดังนั้นจึงรวบรวมคนเพื่อบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ด้วยกัน  องค์ศากยมุนีกำหนดให้ลูกศิษย์ของท่านโกนศีรษะ ห่มจีวร  ลูกศิษย์ของพระเยซูเข้าโบสถ์บำเพ็ญ ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่า เพราะว่าฝ่าที่พวกเขาเผยแพร่นั้นเล็ก ถ้าเขาไม่กำหนดเช่นนั้น  ก็ไม่อาจจะช่วยเขาได้ แต่ทุกวันนี้เรามีฝ่าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แน่นอนเราย่อมกล้าที่จะเปิดสิ่งต่างๆและให้ความสะดวกแก่ท่านทุกอย่าง ดูแต่เพียงจิตใจคน  ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าเปิดประตูที่ใหญ่มาก  ท่านไม่ทราบว่าที่จริงแล้วไม่มีประตูเลย มันเปิดทั้งหมด ดูแต่เพียงจิตใจคน

            สมมติว่าท่านมาจากมิติและสวรรค์ที่ต่างกันเพื่อมารับฝ่า จิตมนุษย์ของพวกท่านฝั่งนี้ไม่ทราบ  ถ้าท่านต้องการกลับไปสวรรค์ของท่าน คิดดู ใช้วิธีหรือศาสนาในอดีตท่านจะสามารถกลับไปได้หรือ ไม่ได้อย่างแน่นอน ฝ่าของเราในวันนี้สามารถช่วยสรรพชีวิตทั้งมวลกลับไปตำแหน่งดั้งเดิมของเขา เพราะนี่คือต้าฝ่าของจักรวาล ฉะนั้นที่ตรงนี้จึงมีข้อกำหนดข้อหนึ่ง กำหนดให้การเผยแพรฝ่านี้ในโลกต้องกระทำให้ถูกต้องเที่ยงตรงอย่างยิ่ง  ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่า เรากระทำอย่างถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด เราบอกให้คนละทิ้งชื่อเสียง ผลประโยชน์ ความรักความผูกพัน(ฉิง) เราเริ่มจากตัวข้าพเจ้าเอง พวกเราละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ไม่แต่เพียงสิ่งเหล่านี้ เรายังให้ท่านเผยแพร่ฝ่าในสังคมคนธรรมดาสามัญ ยังต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับรูปแบบของสังคมคนธรรมดาสามัญ ไม่สามารถทำลายมัน

            ขณะที่เผยแพร่ฝ่า เราแทบจะไม่เคยโฆษนาผ่านสื่อต่างๆ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ หรือป่าวประกาศไปทั่วยกยอตัวเอง ไม่ เราไม่ทำเช่นนั้น  ที่ผ่านมาเวลาลงข่าวเกี่ยวกับการบรรยายฝ่า ดูๆก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากสาระสำคัญว่า หลี่ หงจื้อ มาแล้ว  มีลูกศิษย์จำนวนน้อยมากๆที่โฆษณาต้าฝ่า กิจกรรมเหล่านั้นเป็นการกระทำส่วนตัวของพวกเขา ทำความดีให้ฝ่าแบบรายบุคคล  ถ้าต้าฝ่าของเราประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อชนิดต่างๆด้วยการโฆษนาฝ่า ก็จะทำให้ตัวเองมัวหมอง  ดังนั้นเราจึงไม่ใช้วิธีนี้  สมมติว่าท่านเป็นผู้ฝึกและเป็นผู้สื่อข่าวหรือบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ถ้าท่านต้องการส่งเสริมฝ่า นั่ยเป็นการกระทำของบุคคล ฝ่าของเราไม่กำหนดให้ทำเช่นนั้น  การกระทำของบุคคล ตัวเองอยากจะทำ นั่นเกิดจากใจของตน  ตัวเองอยากจะทำดี ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่าโดยรวม

            ทำไมมีคนจำนวนมากศึกษาฝ่า พวกท่านทุกคนรู้ว่าฝ่าของเราดี  เป็นฝ่าของจักรวาล ใครจะสามารถพูดว่าเขาไม่ดี  ต่อให้เป็นคนที่เลวทรามอย่างไรในใจของเขาก็ยกย่องนับถือ แม้ปากจะบอกว่าคัดค้าน ทำไมปากเขาบอกว่าคัดค้าน เขารู้ ถ้าเป็นเช่นนี้กันทั้งหมด เขาก็จะถูกกำจัดทิ้งจริงๆ ดังนั้น พูดถึงว่าพวกท่านจะปฏิบัติอย่างไร การเผยแพร่ฝ่านี้เป็นการกระทำส่วนตัวของพวกท่าน ต้าฝ่าโดยตัวเองไม่มีรูปแบบใดๆ  เราเดินบนหนทางของหลักธรรมใหญ่(ต้าเต้า)ที่ไร้รูปแบบอย่างแท้จริง

            เมื่อกลับไปบ้านพวกท่านทุกคนก็จะเป็นสมาชิกธรรมดาๆคนหนึ่งของสังคม เราที่นี้ดูแต่จิตใจของท่านเท่านั้น  ไม่มีข้อบัญญัติ ไม่มีกฎเกณฑ์ในรูปแบบของคำสั่งใดๆ  ที่จริงแล้วในอดีตไม่มีใครกล้าที่จะใช้หนทางนี้  ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ถ้าท่านบอกคนให้กลับไปบ้านและบำเพ็ญปฏิบัติโดยไม่มีพิธีทางศาสนาหรือกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์ ศาสนานั้นก็จะสลายไป ไม่กล้าทำด้วยวิธีนี้อย่างแน่นอน เพราะว่าฝ่าของเขาไม่ยิ่งใหญ่พอ  พวกเราที่นี่กล้าทำ ทุกท่านกลับไปพวกท่านไปทำงาน ชีวิตของท่านไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทุกท่านจะบรรจุฝ่าอยู่ในใจ บำเพ็ญตัวเอง และยกระดับตัวท่านเองอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าพระพุทธและเทพ พวกเขาไม่สนใจศาสนาของคนธรรมดาสามัญ พวกเขาไม่ยอมรับศาสนาของคนธรรมดาสามัญ พวกเขายอมรับแต่ใจของคนเท่านั้น  เมื่อศาสนาถูกทำลาย ทำไมพระพุทธไม่สนใจดูแล เมื่อโบสถ์ถูกทำลาย ทำไม(พระเยซู)คริสต์ไม่สนใจดูแล นั่นเป็นการกระทำของมนุษย์ มนุษย์ต้องการทำดี อยากให้คนมานับถือ(พระเยซู)คริสต์ นับถือพระพุทธ จึงสร้างวัด สร้างโบสถ์ นั่นเป็นรูปแบบวิธีการของมนุษย์ เทพและพระพุทธดูแต่ใจคนเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่ใช้รูปแบบใดๆ

            ข้าพเจ้าพูดก่อนหน้านี้แล้วว่า แน่นอนเรายิ่งไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่สามารถจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเด็ดขาด  การพัฒนาของสังคมมนุษย์ สภาวะของแต่ละประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างคนและคน นั่นล้วนถูกกำหนดจากพัฒนาการของสังคม คนธรรมดาสามัญไม่สามารถขัดขวางด้วยความหมายมั่น มนุษย์ได้แต่สิ้นเปลืองความคิดจิตใจตัวเองในความพยายามที่จะต่อสู้ ศึกษาค้นคว้า หรือมุ่งหวังจะทำอย่างไร แต่ถ้าปรากฏการณ์สวรรค์ไปไม่ถึงตรงนั้น คนธรรมดาสามัญใครก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เลย  การวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นวิถีที่กำหนดขึ้นสำหรับมนุษย์ จะพัฒนาไปอย่างไร ดำเนินไปอย่างไร ไม่มีผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ดังนั้นผู้บำเพ็ญปฏิบัติอยู่เหนือคนธรรมดาสามัญ ทำไมเขาต้องไปยุ่งกับเรื่องของมนุษย์ล่ะ  นักการเมืองในศาสนาหนึ่งเล่นการเมืองเพื่อจะแยกตัวเป็นอิสรภาพ เพื่ออาณาเขต หรือเพื่อสถานภาพบางอย่าง บางคนถึงกับฆ่าคนหรือดำเนินกิจกรรมก่อการร้าย นี่คือสิ่งชั่วร้าย ข้าพเจ้าพูดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญปฏิบัติ ผู้บำเพ็ญปฏิบัติไม่แทรกแซงการเมืองของคนธรรมดาสามัญ คนเหล่านั้นเป็นเพียงนักการเมือง สิ่งที่พระพุทธหรือเทพต้องการคือสวรรค์ จะแย่งชิงโลกของมนุษย์เพื่ออะไร ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติหรือ พวกเขาเข้าเกณฑ์หรือ  คนยังนับถือศรัทธาราวกับพวกเขาเป็นเทพ ที่จริงพวกเขาบางคนไม่เป็นแม้กระทั่งคนดี พวกเขาจะต้องไปนรก

ศิษย์  สิ่งแวดล้อมทางด้านวัตถุของสังคมมนุษย์นับพันนับหมื่นปีมานี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดกรรมทางความคิดหรือไม่

อาจารย์  ใช่ แน่นอน ถ้าปราศจากสิ่งแวดล้อมทางด้านวัตถุนี้ ท่านจะไม่ก่อกรรมใดๆ  ถ้าไม่มีสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ในปัจจุบัน ก็จะไม่สามารถทำทั้งความดีและความชั่ว  ปราศจากสิ่งแวดล้อมนี้ท่านไม่สามารถเป็นมนุษย์ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน  แต่สังคมมนุษย์มีคุณลักษณะที่พิเศษ ดังนั้นมันต้องคงอยู่

ศิษย์        จิตมาร(ธรรมชาติที่ชั่วร้าย)ของสังคมอเมริกันเป็นอุปสรรคสำคัญไม่ให้คนอเมริกันได้รับฝ่าใช่หรือไม่

อาจารย์   ไม่สามารถพูดอย่างนี้ เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมชนบทและเมืองเล็กๆบางแห่งในอเมริกา ข้าพเจ้าเห็นคนใจดีมากมาย ชาวผิวขาวที่ใจดี เมืองใหญ่ทุกแห่งในโลกนี้ค่อนข้างยุ่งเหยิง คนดีและคนเลวปะปนกันแบ่งแยกไม่ออก  โดยปกติมีคนที่ดีอย่างยิ่งและคนที่เลวอย่างยิ่ง เนื่องจากมันมีหลักการของการเสริมและการยับยั้งซึ่งกันและกันอยู่ ดังนั้นท่านไม่ควรพูดแบบเหมารวม แต่อเมริกามีเอกลักษณ์ของตัวเอง มันมีบทบาทอย่างมากกับทั่วโลก ก่อให้เกิดความคิดของมนุษย์ที่เบี่ยงเบน ของพวกสำนักสมัยปัจจุบัน(modernism) ซึ่งรวมทุกๆด้าน เช่นศิลปะเอย วัฒนธรรมเอย ทรรศนคติเอย ในทุกๆ ปริมณฑล  สิ่งเหล่นนี้ของพวกสำนักสมัยปัจจุบันเป็นวัฒนธรรมที่เบี่ยงเบนแบบหนึ่ง มันไม่ใช่วัฒนธรรมมนุษย์ จุดนี้แน่นอน ข้าพเจ้าคิดว่าวัฒนธรรมของอเมริกาก่อนทศวรรษ 1950 เป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ ผู้คนค่อนข้างใจดี ผู้ชายชาวตะวันตกเน้นการมีกิริยามรรยาทแบบสุภาพบุรุษ ความเป็นอารยชนมาก ขณะที่ผู้หญิงก็ประพฤติตนอย่างที่ผู้หญิงควรปฏิบัติ ข้าพเจ้าคิดว่านั่นดีมาก ทุกวันนี้ผู้ชายและผู้หญิงดูจะมีบุคลิกเหมือนกัน แน่นอน ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าอเมริกาไม่ดี

            ข้าพเจ้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ข้าพเจ้าเพียงพูดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ ทุกวันนี้คนตะวันออกก็น่ากลัวมากเช่นกัน ความคิดที่ไม่ดีต่างๆ การทำร้ายซึ่งกันและกัน คนต่างก็ไม่รู้ ต่างก็คิดไม่ถึง เมื่อคนสองคนพบกัน พวกเขาก็เริ่มทำร้ายซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องพูดอะไร ทั้งนี้เป็นเพราะว่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมยาวนานเหลือเกิน ชาติแล้วชาติเล่า ไม่อาจพูดได้แน่นอนว่าใครเคยเป็นหนี้กับใคร  นั่นเพราะเวลาแห่งบุญคุณความแค้นนั้นช่างยาวนานนัก เมื่อพบกันเป็นไปได้ที่อยากจะแก้แค้น ดังนั้นจึงทำร้ายซึ่งกันและกันอย่างดุร้าย ท่านไม่ได้พูดหรือว่าชาวจีนในอเมริกาไม่สามัคคีกัน พวกท่านทุกคนล้วนมองแต่ภายนอก อันที่จริงที่ข้าพเจ้ามองคือสาเหตุที่แท้จริง มันเกิดจากสาเหตุนี้

ศิษย์  ถูกสิ่งชั่วร้ายรบกวน มันวิ่งไปมารอบๆตัวและข้างในตัวฉัน คนรอบตัวฉันก็ถูกมันทำจนหน้าดำ หน้าเหลือง หน้าเขียว หน้าซีดเซียว เหมือนปีศาจ.....

อาจารย์  ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่า บางคนอ้างว่าเขาบำเพ็ญปฏิบัติต้าฝ่า หรือท่านอ้างว่าท่านเป็นศิษย์ของต้าฝ่า ข้าพเจ้าต้องดูว่าท่านเป็นศิษย์ต้าฝ่าที่แท้จริงหรือไม่  ไม่ใช่ท่านพูดแต่ปากเท่านั้น  ศิษย์ของข้าพเจ้าต้องบำเพ็ญปฏิบัติอย่างแท้จริง และเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ให้ค้นหาที่ใจตัวเองว่ามันมีสาเหตุจากปัญหาภายในใจของฉันใช่หรือไม่ บางคนหลังจากอ่านหนังสือได้เพียงหนึ่งรอบก็อ้างว่าพวกเขาบำเพ็ญต้าฝ่าแล้ว ฉันเผชิญกับปัญหานี้และปัญหานั้น จิตใจของท่านเต็มไปด้วยเรื่องของมนุษย์ เมื่อเผชิญกับปัญหาท่านก็ต่อสู้กับคนเขา เมื่อพบกับความขัดแย้งท่านก็หาสาเหตุ(ความผิด)จากคนอื่น แทนที่จะค้นหาจากตัวเอง ท่านอ้างว่าเป็นศิษย์ของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมรับเช่นนั้น เป็นคนละเรื่องอย่างแน่นอน แน่นอน ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงคำถามนี้ หรือคนคนนี้

            สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังพูดก็คือ ถ้าท่านสามารถค้นหาปัญหาจากภายในตัวท่านเอง ปัญหาต่างๆสามารถแก้ไขได้ ท่านอาจพบว่าในอดีต มีคนส่วนหนึ่งได้เรียนสิ่งที่เลอะเทอะยุ่งเหยิงต่างๆ ทำจนร่างกายโดยรอบยุ่งเหยิงไปหมด สัญญาณ(ซิ่นซี)ยุ่งเหยิงไปหมด เขามักเห็นภาพที่น่ากลัวหรือร่างกายของเขามีปฏิกิริยาที่น่ากลัว เขามาเรียนต้าฝ่าของเราด้วยเหตุผลนี้ เพราะเขารู้ว่าต้าฝ่าของเรามีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่านว่า นี่เรียกว่าเข้ามารับฝ่าด้วยความหมายมั่น มีจิตแสวงหา ดังนั้นจึงใช้ไม่ได้ และจะไม่ได้รับ  แต่เราไม่คัดค้านในตอนแรกเมื่อท่านยังไม่รับรู้เกี่ยวกับฝ่าจึงมีจิตยึดติดอย่างนี้ เมื่อท่านศึกษาฝ่าแล้ว ท่านจะต้องละทิ้งจิตยึดติดเหล่านั้น เช่นนี้นปรากฏการณ์อะไรก็จะสามารถแก้ไขได้ ข้าพเจ้าคิดว่าหลักการข้าพเจ้าได้อธิบายกับทุกคนชัดเจนแล้ว ประเด็นนี้มีการอธิบายอย่างดีใน “จ้วนฝ่าหลุน” ท่านต้องอ่านหนังสือและศึกษาฝ่าให้มากขึ้น อ่านหนังสือจะสามารถแก้ปัญหานี้ของท่าน

ศิษย์  ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันใจดี แต่ทำไมฉันไม่สามารถบำเพ็ญจนบรรลุความเมตตาอย่างที่อาจารย์อธิบาย

อาจารย์  คำถามนี้ดีมาก ที่จริงตัวคำถามที่ท่านเขียนก็คือจิตที่ยึดติด แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านเขียนคำถามนี้เป็นจิตที่ยึดติด ท่านกำลังยึดติดกับความมีเมตตาของท่าน สิ่งนี้ไม่สามารถอยากให้ออกมามันก็ออกมา เมื่อระดับชั้นของท่านสูงขึ้น ส่วนของฉิง (ความรักความผูกพัน) ที่ถูกกำจัดออกไปไม่กลายเป็นวางเปล่า มันจะถูกแทนที่ด้วยความเมตตาซึ่งค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย  อย่างไรก็ตาม พูดถึงพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์ทั้งหลายของข้าพเจ้า พวกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ มีหลายคนบำเพ็ญได้สูงจริงๆ แล้วทำไมท่านไม่มีความเมตตาของระดับสูงเช่นนั้น  ที่จริง ความเมตตาของเทพ เป็นคนละเรื่องกับความเมตตาที่พวกท่านคนในปัจจุบันจินตนาการอย่างสิ้นเชิง ข้าพเจ้าบอกท่านเกี่ยวกับประเด็นนี้หลายครั้งแล้วในอดีต เพื่อให้ท่านอยู่ได้ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ไม่อาจให้ท่านแสดงออกมาเป็นพิเศษจนเกินไปที่ผิว ถ้าท่านแสดงความเมตตาที่มากอย่างนั้น ท่านจะไม่สามารถอยู่ท่ามกลางคนธรรมดาสามัญได้อีกต่อไปจริงๆ ดังนั้นความเมตตาของท่านและทุกสิ่งที่ท่านบำเพ็ญปฏิบัติออกมาล้วนแต่จะพัฒนาเติบโตด้วยความเร็วสูงในระดับจุลภาคที่สุดของชีวิตของท่าน และถูกแยกออกไปจากระดับผิวของท่าน

            ชีวิตของมนุษย์ประกอบขึ้นจากอนุภาคในระดับจุลภาคจนถึงโมเลกุลซึ่งอยู่ที่พื้นผิวของอนุภาคขนาดใหญ่ที่สุด และโมเลกุลประกอบขึ้นเป็นเซลล์ เมื่อท่านบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป โมเลกุลภายในร่างกายของท่าน (ข้าพเจ้าอธิบายได้แบบนี้เท่านั้นเพราะภาษามนุษย์มีข้อจำกัด) และอนุภาคในระดับจุลภาคของชีวิตของท่านทั้งหมดกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของฝ่า  แล้วเมื่อท่านบำเพ็ญสำเร็จ(ส่วนหนึ่ง) มันก็เท่ากับข้ามไปส่วนหนึ่ง บำเพ็ญสำเร็จ(ส่วนหนึ่ง)ก็ข้ามไปส่วนหนึ่ง แม้แต่ความเมตตาก็ข้ามไปด้วย มันก็เหมือนคลังสินค้าเก็บสะสมเอาไว้ให้ท่าน เก็บสะสมทุกสิ่งที่ท่านบรรลุจากการบำเพ็ญปฏิบัติ  ถ้าร่างกายของท่านที่ชั้นผิวเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป กลับจะทำให้ท่านไม่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติ ท่านอยากร้องไห้กับทุกสิ่งที่เห็น ท่านทำอะไรสักเล็กน้อย ก็เท่ากับว่าด้านที่ท่านบำเพ็ญสำเร็จกำลังทำพร้อมๆกับท่าน ก็จะเท่ากับเทพกำลังสิ่งต่างๆของมนุษย์  ท่านทำเรื่องเลวทรามก็เท่ากับเทพทำ ดังนั้นท่านจึงตกลงมา เพื่อไม่ให้ท่านตกลงมา และท่านสามารถคงการบำเพ็ญปฏิบัติ(ของท่าน)ท่ามกลางคนธรรมดาสามัญ ส่วนของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จก็ถูกแยกออกไปในทันที แยกจากส่วนนั้น อนุภาคหยาบนั้นที่ท่านยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ มันจะคงไว้ตลอดกาลเหมือนเทพ นั่งสมาธิไม่ขยับอยู่ที่นั่น โดยส่วนที่ท่านยังบำเพ็ญไม่สำเร็จจะยังคงใช้ชีวิตท่ามกลางคนธรรมดาสามัญเหมือนมนุษย์ตลอดไป จนถึงเมื่อท่านบำเพ็ญต่อไปจากข้างในสู่ข้างนอก ก็คือจะค่อยๆหยวนหมั่นตัวท่านเอง จนถึงเมื่อโมเลกุลที่ผิวนอกสุดหยวนหมั่นทั้งหมดแล้ว ถูกกลืนกลายทั้งหมดแล้ว บำเพ็ญสำเร็จทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือหยวนหมั่น พวกเราเดินบนเส้นทางเช่นนี้

            ศิษย์บางคนพูดว่า “อาจารย์ ฉันบำเพ็ญปฏิบัติเช่นนี้ แต่ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าก้าวหน้าสักเท่าใด และบางครั้งความคิดที่ไม่ดียังคงผุดขึ้นมาในใจของฉัน ทำไมเป็นเช่นนี้” ข้าพเจ้าจะบอกว่าท่านไม่ต้องกระวนกระวายใจ ถ้าสสารของมนุษย์ถูกกำจัดออกจากผิวทั้งหมดแล้ว ท่านจะไม่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติได้จริงๆ ถ้าท่านไม่มีความคิดมนุษย์ ท่านจะสามารถรับรู้ความคิดทั้งหมดที่สะท้อนมาจากมนุษย์  ทุกคำพูด ทุกการกระทำ และความคิดของคนสมัยใหม่ล้วนแต่เห็นแก่ตัว แม้กระทั่งความคิดที่ไม่ดีที่มีอยู่ลึกมากท่านก็ไม่สามารถจะทนได้ ท่านจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเขาได้อย่างไร ท่านจะสมาคมกับเขาได้อย่างไร  ดังนั้นจึงไม่สามารถให้เป็นเช่นนั้นได้ ชั้นผิวของท่าน ตัวอย่างเช่น ในร่างกายบำเพ็ญสำเร็จหนึ่งร้อยส่วน ณ ชั้นผิวของท่านเอาออกไปให้ท่านเพียงหนึ่งส่วน ดังนั้นท่านจะรู้สึกตลอดเวลาว่าความก้าวหน้าที่ชั้นผิวไม่เร็วนัก นี่เป็นปกติ เมื่อได้ยินที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูด ท่านไม่ควรคิดว่า “อ้อ เรื่องเป็นเช่นนี้เอง แล้วฉันจะไม่กังวล ฉันก็จะทำสิ่งที่ฉันอยากทำ” ข้าพเจ้ากำลังพูดเกี่ยวกับหลักการของฝ่า  ถ้าท่านไม่กำหนดตัวท่านเองอย่างเข้มงวด ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ก็ไม่ถือว่าท่านกำลังบำเพ็ญปฏิบัติ ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้

ศิษย์  พอไม่ระวังตัว โฉมที่แท้จริงก็เผยออกมา

อาจารย์  อย่าว่าตัวเองไม่ดีจนเกินไป ที่จริง ท่านเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติ ท่านสามารถเห็นความบกพร่องของท่าน ท่านก็ได้ยกระดับสูงขึ้นกว่าความคิดของตัวท่านเองในขณะนั้นแล้ว และท่านได้อยู่เหนือตัวท่านคนเดิมแล้ว คนธรรมดาสามัญไม่สามารถมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง คิดว่าตัวเองดีหมดทุกอย่าง เหมือนดอกไม้ดอกหนึ่ง ใช่หรือไม่  ท่านสามารถบำเพ็ญตัวเอง ตรวจสอบตัวเอง และมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง ท่านไม่ใช่ผู้บำเพ็ญหรือ

ศิษย์  ฉันทำความผิดใหญ่สองครั้ง รู้สึกเสียใจมากหลังจากนั้น เป็นผลที่เกิดจากจิตรองของฉัน หรือสัญญาณ(ซิ่นซี)ฉัน

อาจารย์  ถ้าท่านทำอะไรในหมู่คนธรรมดาสามัญ ทำอะไรที่ไม่ดี ท่านไม่อาจพูดว่าไม่ใช่ท่านที่เป็นผู้ทำ ท่านไม่สามารถแยกว่าเป็นจิตสำนึกหลักหรือจิตสำนึกรองที่เป็นผู้ทำเพราะว่าท่านเป็นร่างเดียวกัน ท่านไม่สามารถพูดว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทำโดยกรรมทางความคิดของท่าน เพราะมันเกิดขึ้นจากจิตสำนึกหลักของตัวเองไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ท่านยังไม่กำจัดมันออกไป กรรมก็จะรบกวนท่าน เมื่อกรรมยังไม่ถูกกำจัดออกไป พฤติกรรมภายนอกของมันทั้งหมดก็ต้องถือว่าเป็นของท่าน ถ้าท่านขจัดมันออกไปอย่างเข้มแข็ง สามารถแยกแยะมันได้และจิตสำนักหลักแข็งแกร่งมากๆ มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ถ้าท่านไม่ขจัดสิ่งที่กรรมทำออกไป ก็ต้องถือว่าห่านเป็นผู้ทำ  การบำเพ็ญก็คือบำเพ็ญเอาสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ทิ้งไป ขณะเดียวกันก็เสริมจิตสำนึกหลักให้แข็งแกร่งด้วย  ในการบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะเป็นการดีที่สุด ไม่ว่าจะเลวร้ายอย่างไรมันก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปให้ทำดี เพื่อที่จะไม่เกิดจิตยึดติด

ศิษย์  เราอัดวีดีโอของการประชุมต้าฝ่าหลายครั้งในอเมริกา ไม่ได้ให้ญาติในต่างประเทศ ทำอย่างนี้ขัดกับความตั้งใจของอาจารย์หรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า วิธีการบำเพ็ญต้าฝ่าของเรานั้นดีที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าท่านสามารถบำเพ็ญสำเร็จอย่างแท้จริง ข้าพเจ้ารับผิดชอบต่อท่านอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าต้องขจัดทุกสิ่งที่ไม่เป็นของการบำเพ็ญในต้าฝ่าของเราออกไปจากต้าฝ่าของเรา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด พูดเฉพาะกับพื้นที่หนึ่ง หรือกับศิษย์ประเทศหนึ่งๆ หรือสิ่งที่ไม่เหมาะกับพื้นที่อื่น มันก็ต้องขจัดออกไป  สิ่งที่พูด ณ พื้นที่หนึ่งที่ไม่มีลักษณะใช้ได้โดยทั่วไปก็ต้องขจัดออกไป จุดประสงค์คือให้ท่านสามารถบำเพ็ญปฏิบัติอย่างแท้จริงโดยไม่ถูกรบกวน นั่นคือจุดประสงค์

            บางคนถามว่าในช่วงเวลานี้ ถ้าเรานำสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ อัดเทปกลับไปเปิดให้ผู้ฝึกดู จะช่วยเหล่าผู้ฝึกยกระดับสูงขึ้น มีประโยชน์ใช่หรือไม่ ถ้าท่านอัดแล้วก็อัดไปเถิด แต่อย่านำไปเผยแพร่ในสังคมด้วยจิตยินดีใดๆและด้วยตื่นเต้นดีใจ ท่านบอกว่าฉันนำกลับไปเปิดที่ศูนย์ฝึกของเราหรือเปิดให้ผู้ฝึกประเทศของฉันดู ก็สามารถทำได้ แต่จะควบคุมเรื่องนี้อย่างไรนั้น ข้าพเจ้าว่าในฐานะศิษย์ ท่านไม่ต้องให้ข้าพเจ้าบอกในรายละเอียดว่าจะปฏิบัติกับสิ่งนี้อย่างไร เมื่อทุกคนดูแล้วหรือเมื่อหนังสือการบรรยายฝ่าพิมพ์ออกมา ก็ลบมันทิ้งให้หมดก็แค่นั้น  ใครที่อัดต่อให้คนอื่น เปิดและเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ตามอำเภอใจ หรือสั่งให้โรงพิมพ์จัดพิมพ์มันออกมาเป็นจำนวนมากตามอำเภอใจ ก็ทำการทำเรื่องที่ชั่วร้ายที่สุด และข้าพเจ้าว่าคนผู้นี้ไม่เข้ามาตรฐานของศิษย์ต้าฝ่า

ศิษย์  ก่อนนี้ฉันไม่ขยันในการบำเพ็ญปฏิบัติ และไม่สามารถการผ่านการทดสอบเกี่ยวกับความต้องการทางเพศหลายครั้ง  ถ้าฉันแก้ไขทางของฉันตอนนี้ ท่านยังจะรับฉันหรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน อย่าคิดว่าท่านไม่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติอีกต่อไปเพราะว่าท่านไม่สามารถผ่านการทดสอบหนึ่งหรือสองครั้ง  ที่จริงแล้วการบำเพ็ญปฏิบัติของท่านก็จะเป็นเช่นนี้ บางคนที่ทำได้ดี ด่านนี้ผ่านได้แล้ว บางคนที่ทำได้ไม่ดีนัก ก็ผ่านด่านได้ไม่ดีนัก กระทั่งไม่ผ่านด่านเลย แต่เขาสามารถผ่านด่านในด้านอื่น ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านด่านได้ดีบ้างและไม่ดีบ้าง นี่ก็คือวิธีการบำเพ็ญปฏิบัติ  ถ้าทุกคนผ่านการทดสอบได้ทุกครั้ง ท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญปฏิบัติอีกแล้ว สำเร็จเป็นพระพุทธในทันที ใช่หลักการนี้หรือไม่  แต่ถ้าไม่สามารถผ่านด่านครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านก็ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังเป็นการบำเพ็ญปฏิบัติอยู่หรือ

ศิษย์  ก่อนจะศึกษา “จ้วนฝ่าหลุน” ฉันมีอาชีพรักษาโรคด้วยชี่กง  หลังจากศึกษาฝ่าหลุนกงแล้ว ฉันก็เลิกอาชีพนี้  ตอนนี้ฉันไปเรียนแพทย์แผนจีนและการฝังเข็ม สามารถจะยึดเป็นอาชีพได้หรือไม่

อาจารย์  ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน แพทย์แผนจีนเป็นวิธีรักษาทางการแพทย์ในสังคมมนุษย์ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ และไม่ขัดต่อการบำเพ็ญปฏิบัติ  สำหรับการรักษาโรคด้วยชี่กง ข้าพเจ้าว่าอย่าได้ทำเป็นอันขาด ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าท่านสามารถเรียนแพทย์แผนจีนและฝังเข็ม นั่นไม่เป็นปัญหา เรียนได้และทำได้

ศิษย์  ผู้ฝึกของเราที่นี่มีจำนวนน้อย และอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย เราไม่มีสภาพแวดล้อมที่ใหญ่ของการศึกษาฝ่าเหมือนในประเทศจีน เราควรจะสร้างสภาพแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร

อาจารย์  ท่านรู้ไหมว่าในสมัยที่ข้าพเจ้าไปถ่ายทอดฝ่าที่ปักกิ่ง ในการสัมมนาครั้งแรกมีคนเพียงสองร้อยกว่าคนเท่านั้น ตอนนี้มีคน 100 ล้านคนแล้ว ท่านทุกคนมีหน้าที่ไปบอกคนอื่นให้รู้เกี่ยวกับฝ่า ในอนาคตจะไม่มีคนมากขึ้นหรือ  สภาพแวดล้อมนั้นสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง การมีคนฝึกพลังกงด้วยกันมากๆนั้นเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ประการแรกคนสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน ช่วยยกระดับและก้าวหน้าให้แกกันและกัน การพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในการบำเพ็ญปฏิบัติ จะช่วยเสริมให้มีความเชื่อมั่นในการบำเพ็ญปฏิบัติมากขึ้น  ในเวลาเดียวกันการฝึกพลังกงร่วมกันเป็นกลุ่มจะมีสนามพลังงานที่ใหญ่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอน นี่เป็นจุดที่แน่นอน  การบำเพ็ญปฏิบัติคนเดียวพอมีงานยุ่งสักหน่อยก็จะลืม หรือฝึกเช้าสักหน่อย ฝึกค่ำสักหน่อย ก็คือค่อนข้างย่อหย่อน เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน

ศิษย์  ทำไมคนในมิติอื่นที่ฉันเห็นล้วนเป็นรูปลักษณ์ของชาวตะวันตก มีกระทั่งเป็นทูตสวรรค์ที่มีปีก ไม่เคยเห็นคนทางตะวันออกเลย

อาจารย์  เห็นแล้วก็เห็นไปแล้ว ถ้าข้าพเจ้าบอกท่านให้ชัดเจน ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะเกิดจิตยึดติดหรือความเข้าใจผิดอีกอันหนึ่งขึ้นมา ศิษย์ของเราอย่าเห็นว่าท่านดูเป็นชาวจีนในวันนี้ หรือท่านอาจเหมือนชาวสวีเดนหรือคนผิวขาวอื่นๆ แต่ท่านอาจเป็นคนเผ่าพันธุ์อื่น จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลนัก บางทีหลังจากที่ท่านบำเพ็ญปฏิบัติสำเร็จ ท่านอาจไปสวรรค์ของเทพที่เหมือนชาวตะวันตก อาจจะเป็นเช่นนี้  ข้าพเจ้าไม่ได้ยืนยัน อย่าเกิดจิตยึดติด และอย่าได้เกิดจิตยินดีหรือความเข้าใจผิดใดๆ และหยุดบำเพ็ญสิ่งต่างๆในสายพุทธต่อแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าท่านไม่ฝึกสิ่งของชุดนี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้แก่ท่านในวันนี้ ท่านจะไม่สามารถไปยังที่ตรงนั้น ท่านบอกว่า สิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดเป็นของสายพุทธ พรุ่งนี้ฉันจะไปสวดภาวนาในโบสถ์คาทอลิก ท่านก็จะไม่สามารถกลับไปที่นั่น ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า ข้าพเจ้ายืนอยู่บนจุดฐานของสายพุทธ สิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดคือฝ่าของจักรวาล วิชาไหนบ้างที่ไม่รวมอยู่ในขอบเขตของฝ่าของจักรวาล นี่ก็คือเหตุผล ฝ่านี้ ข้าพเจ้าอธิบายยิ่งชัดเจนขึ้นเท่าใด อย่างนี้อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญปฏิบัติของท่านมากนัก นี้เป็นสิ่งที่พวกท่านต้องบำเพ็ญด้วยตัวเอง รับรู้(อู้)ด้วยตัวเอง

ศิษย์  ฉันเตือนญาติให้หยุดฝึกชี่กงนั้นๆ กลางคืนในความฝัน ฉันควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ถูกเขาก้วนติ่งจากศีรษะ สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่างเทเข้ามา ตื่นขึ้นมารู้สึกปวดศีรษะมาก หลังจากนั้นปวดศีรษะบ่อยๆ ฉันควรทำอย่างไร

อาจารย์  ท่านควบคุมตัวเองได้ไม่ดี นั่นคือ ท่านไม่คัดค้านเมื่อเขาก้วนติ่งให้ท่าน การไม่คัดค้านหมายถึงท่านต้องการมัน ในหนึ่งความคิดที่แตกต่าง ท่านยินยอมให้เขาก้วนติ่ง ท่านต้องจำบทเรียนนี้และควบคุมตัวเองให้ดีในครั้งต่อไป อย่ากังวล ครั้งนี้เป็นบททดสอบ อาการปวดศีรษะของท่านเป็นของปลอม สอนให้ท่านยกระดับจิตรับรู้(อู้ซิ่ง) การทดสอบในความฝันไม่ใช่การบำเพ็ญปฏิบัติ เป็นการทดสอบท่านภายใต้สภาวะนั้นเพื่อดูว่าท่านบำเพ็ญได้แน่นแฟ้นหรือไม่ มันเป็นเช่นนี้ ถ้าท่านสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่วแน่มากๆ แม้แต่ในความฝัน หมายความว่า ณ ระดับนั้น ในเรื่องนั้นท่านบำเพ็ญได้แน่นแฟ้นมาก แต่ที่พูดถึงคือเหตุการณ์ของท่านครั้งนี้ ความฝันหลายๆอันอาจไม่ใช่ความฝัน ถ้ามารมาจริงๆอาจไม่เป็นเช่นนี้

ศิษย์  อาจารย์พูดว่า โลกของเรานี้สกปรก และพูดด้วยว่าสิ่งต่างๆข้างในนี้มีค่าที่ฝั่งโน้น นี่จะอธิบายได้อย่างไร

อาจารย์  ถ้าท่านนำสิ่งต่างๆในสภาพที่เป็นอยู่จากโลกนี้ไปโลกโน้น จะไม่มีใครต้องการมัน จะถือว่ามันเป็นสิ่งสกปรกที่สุด สกปรกยิ่งกว่าอุจจาระ  นั่นเป็นความจริง แต่วัตถุในโลกนี้เมื่อผ่านขั้นตอนการผันแปร เลื่อนขึ้นไปเป็นสสารในในเขตแดนนั้น นั่นคือความสัมพันธ์ พูดอีกแง่หนึ่งคือ สสารบางอย่างมาจากที่นี่ และวัตถุที่อยู่ที่นี่ก็ตกลงมาจากข้างบน มีความสัมพันธ์เช่นนี้ ความลับของสวรรค์เปิดเผยหมดแล้ว

ศิษย์  เมื่อบำเพ็ญปฏิบัติจนถึงจุดที่หยวนอิงออกสู่โลก ตาทิพย์ก็เห็นหยวนอิง เข้าสู่มาตรฐานของระดับกลางคืออะไร

อาจารย์  ในอดีต วิธีบำเพ็ญปฏิบัติบางวิธีในโลกฆราวาสสามารถเห็น ตัวอย่างเช่น การบำเพ็ญปฏิบัติในสายเต๋า เมื่อหยวนอิงโตจนประมาณเด็กอายุ 7- 8 ขวบ หยวนเสินของเขาก็จะเข้าไปควบคุมเขา และหยวนอิงจะกระโดดออกมาจากร่างกาย นี่เรียกว่าหยวนอิงออกสู่โลก เขาระงับอารมณ์ไม่อยู่ เขาตื่นเต้นยิ่งนัก เป็นร่างพุทธนี่นะ เขาจึงอยากออกมายืดเส้นยืดสายและเล่น ท่านเห็นหยวนอิงในร่างกายของท่านไม่ออกมา ยังไม่เรียกว่าหยวนอิงออกสู่โลก แต่วิธีการบำเพ็ญของเราไม่อนุญาตให้เขาออกมา อย่างน้อยที่สุด ณ ขั้นตอนปัจจุบันไม่อนุญาต ข้าพเจ้าเพิ่งพูดว่า นี่เป็นมิติเดียวที่ยังไม่ได้จัดการ และมันสกปรกและอันตรายมากที่นี่ มิติชั้นสูงกำลังจัดการอยู่ สิ่งมีชีวิตหลายชนิดก็วิ่งเข้ามามากมาย แม้แต่สิ่งไม่ดีจากระดับสูงมากๆก็มี บางคนที่ท่านเห็นเดินอยู่บนถนน ที่จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ ถ้าท่านมองเห็นได้ มองดูโลกนี้มีมนุษย์ต่างดาวมากมาย พวกเขาดูเหมือนมนุษย์ ดูไม่แตกต่าง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต้องจัดการ

            การเข้ามาตรฐานของระดับกลางคืออะไร ท่านสามารถรู้หรือไม่ว่าท่านบำเพ็ญปฏิบัติได้สูงเพียงไร ระดับกลางของท่านอยู่ที่ไหน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านสามารถบำเพ็ญปฏิบัติ ตอนนี้ก็ให้ท่านบำเพ็ญเช่นนี้ ดังนั้นท่านไม่มีทางที่จะรู้และไม่อาจให้ท่านรู้ได้ เมื่อท่านรู้ท่านจะเกิดจิตยึดติด จิตยินดี ท่านไม่รู้ว่าท่านอาจจะทำเรื่องอะไร  ในอดีตการบำเพ็ญปฏิบัติเช่นนี้ได้ทำลายคนส่วนหนึ่งไป ทันใดนั้นวันหนึ่งคนนั้นก็เห็นตัวเองเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ เขาจึงออกมาเป็นอาจารย์ชี่กง เขาพูดกับตัวเอง “ฉันเป็นพระพุทธ” เขาจึงออกมาทำสิ่งเหล่านั้น ใครเขาไม่เลื่อมใสศรัทธา แม้กระทั่งอาจารย์เขาก็ไม่เลื่อมใสศรัทธา ท่านอาจพูดว่าใจท่านไม่หวั่นไหว แต่นั่นคือสภาพปัจจุบันของท่าน เมื่อท่านออกไปจากสภาพแวดล้อมนี้และท่านมองเห็นบางสิ่ง ใจจะไม่หวั่นไหวหรือ ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าทุกๆคนสามารถยกระดับเร็วยิ่งขึ้น บางคนจะไม่ให้เห็น แต่หลายๆคน ก็ให้เห็น สถานการณ์ของทุกคนมีความแตกต่างกัน เรามีศิษย์จำนวนมากที่อยู่ริมขอบของหยวนหมั่น ที่จริงแล้วพวกเขาหยวนหมั่นแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ให้เขาขยับเขยื้อน แต่ดูเหมือนเขาจะรู้หลายสิ่งหลายอย่าง บางคนกำลังพูดกับข้าพเจ้า เห็นข้าพเจ้าและต้องการติดต่อกับข้าพเจ้า ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต และเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ แสดงว่าศิษย์ของเราบางคนบำเพ็ญได้เร็วมาก

ศิษย์  เห็นศิษย์บางคนมักจะยกตัวว่าสูงกว่าคนอื่น ในใจคิดแต่จะอยู่ห่างจากพวกเขา นี่เป็นปรากฏการณ์ปกติ หรือบำเพ็ญปฏิบัติได้ไม่ดี

อาจารย์  สิ่งเหล่านี้อาจพูดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติ บางคนมีจิตยึดติดแบบนี้ ศิษย์ของเรารู้สึกว่าพอบางคนเกิดความคิดเขาก็นำจิตยึดติดออกมา ทำให้คนอื่นทนไม่ได้ โดยเฉพาะความคิดของผู้ฝึกใหม่จะสะท้อนออกมามากสักหน่อย นี่ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ที่เป็นอย่างนี้บำเพ็ญได้ไม่ดี เป็นเพราะจิตยึดติดที่เขายังไม่ได้ขจัดทิ้งได้เผยออกมา การบำเพ็ญปฏิบัติก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจเห็นว่าคนอื่นมีจิตยึดติดก็บอกว่าคนอื่นไม่ดี และไม่อาจเห็นว่าเขาทำบางสิ่งได้ดีก็บอกว่าเขาบำเพ็ญได้สูงเพียงไร ต้องประเมินคนคนนี้ให้ทั่วด้าน

ศิษย์  ในบทความจิงเหวินของอาจารย์ “พูดถึงฝ่า” เขียนว่า “หล่อเลี้ยงมารที่ชั่วร้ายโดยตั้งใจ (เหรินเหวย)” “มารที่ชั่วร้าย” ที่ว่านี้คืออะไร

อาจารย์  มารคืออะไร ก็เป็นเพียงมาร ในจักรวาลนี้มีมารอยู่แล้ว ถ้าท่านหมายถึงมันก็คือมัน ส่วนใหญ่คือ สิ่งเป็นจิตมาร(ธรรมชาติที่ชั่วร้าย)ที่สะท้อนออกมาจากซินซิ่งหรือความคิด ซึ่งหมายถึงคนยังมีจิตมาร(ธรรมชาติที่ชั่วร้าย)อยู่ พูดได้ว่าบางครั้งศิษย์ของเราก็อาจทำตัวเป็นมารให้แก่กันและกัน เป็นมารก่อกวนคนอื่นสักครั้งก็เกิดขึ้นได้ แต่ไม่สามารถพูดว่าเขาคือมาร พูดได้เพียงแค่ว่าเขาก่อผลในลักษณะนี้ บางทีคนคนนี้ดีทีเดียว ยังคงบำเพ็ญอยู่ เพียงแต่เรื่องนี้เขาทำได้ไม่ดี จึงทำตัวเหมือนมารต่อคนอื่น มีบางคนที่มีกรรมทางความคิดค่อนข้างมาก มารที่กล่าวถึงในบทความจิงเหวิน “พูดถึงฝ่า” นั้นเป็นมารที่บ่อนทำลายฝ่า บ่อนทำลายการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน คนประเภทนี้ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าไม่สามารถจะปกป้องท่าน ข้าพเจ้ากำลังบอกท่านว่าทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการบำเพ็ญปฏิบัตินั้นล้วนมีความสัมพันธ์กับท่าน ดังนั้นท่านต้องบำเพ็ญ

ศิษย์  ด้านที่ได้รับฝ่าจะปรับฝ่าให้ถูกต้องได้อย่างไร

อาจารย์  ท่านกำลังถามเกี่ยวกับบทความจิงเหวินฉบับนี้ “พูดถึงฝ่า”  ข้าพเจ้าจะไม่อธิบายในรายละเอียดแก่ท่านที่นี่ ไม่ว่าท่านจะเข้าใจบทความจิงเหวิน “พูดถึงฝ่า” ฉบับนี้อย่างไร ท่านก็เข้าใจไม่ผิด เพียงแต่ระดับความเข้าใจของท่านมีจำกัด ที่จริงข้าพเจ้าไม่ได้เขียนทั้งหมดเพื่อให้กับท่านด้านนี้ที่เป็นมนุษย์ แต่ข้าพเจ้าเขียนให้ด้านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วของท่าน ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเข้าใจได้ในระดับใดก็ถูกต้อง

ศิษย์  ศิษย์ในมณฑลซินเจียงอยากพบอาจารย์

อาจารย์            อยากให้ข้าพเจ้าไปที่นั่น ข้าพเจ้ารู้ความรู้สึกของพวกท่าน ขอบคุณทุกๆคน คนในหลายๆพื้นที่ก็อยากให้ข้าพเจ้าไป ต้องดูเมื่อโอกาสเหมาะสม

ศิษย์  ฉันต้องการช่วยเผยแพร่ฝ่าจริงๆ แต่บางครั้งฉันเกรงว่าฉันอาจทำไม่ถูกต้องและอาจทำความเสียหายให้ต้าฝ่าโดยไม่ตั้งใจ จะยึดกุมอย่างไร

อาจารย์            ให้พูดถึงประสบการณ์ในการศึกษาฝ่าของท่าน อย่าพูดถึงฝ่าราวกับเป็นคำพูดของท่าน อย่าพูดถึงฝ่าอย่างบิดเบือน พูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของท่าน ถ้าท่านเกรงว่าจะทำความเสียหายให้ฝ่า ท่านสามารถพูดว่าฉันเข้าใจรับรู้อะไรจากฝ่านี้ เป็นอย่างไรๆ แล้วเติมประโยคหนึ่งว่า “ฝ่านี้ครอบคลุมความหมายลึกซึ้งและกว้างใหญ่มาก นี่เป็นเพียงความเข้าใจรับรู้ของฉัน ณ เขตแดนนี้” ทำเช่นนี้จะไม่ทำลายฝ่า หรือท่านสามารถบอกว่า อาจารย์พูดไว้อย่างนี้ แล้วท่านบอกให้เขาเข้าใจด้วยตัวเอง อย่างนี้ล้วนไม่บ่อนทำลายฝ่า ถ้าท่านเอาคำพูดที่ข้าพเจ้าพูดไปพูดกับคนอื่นเหมือนเป็นคำพูดของท่าน โดยไม่ตั้งใจก็จะส่งผลที่ไม่ดี บางครั้งคนอาจเติมทรรศนคติของตนเองเข้าไปในฝ่า พูดว่าความหมายของประโยคนี้เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนั้น เขาอธิบายความหมายอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายแล้ว เขามิอธิบายฝ่าอย่างผิดหรอกหรือ ที่จริง ฝ่ามีความหมายที่ลึกซึ้งมาก เขาไม่สามารถอธิบายความหมายได้เลย ท่านพูดได้แต่ว่า “ฉันเข้าใจว่าฝ่ายังครอบคลุมความหมายอย่างนี้อยู่ข้างใน และยังมีความหมายที่สูงยิ่งขึ้น” อย่างนี้ทำได้

ศิษย์  ต้องอู๋เหวย(ไร้ความหมายมั่น) ไม่สนใจเรื่องของชาวบ้าน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องคำนึงถึงคนอื่นในทุกสถานการณ์ จะจัดความสัมพันธ์นี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร

อาจารย์  หลักการหนึ่งในฝ่าที่ข้าพเจ้าสอนคือทุกคนต้องบำเพ็ญใจของตนเอง เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดี คนที่ดียิ่งขึ้น และบรรลุเกณฑ์ของเขตแดนที่สูง เมื่อปัญหาเกิดขึ้นให้มองเข้าไปข้างในตัวเอง เรื่องราวในสังคมถ้าท่านเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ท่านเห็น ท่านอาจจัดการได้ไม่ถูกต้อง อาจจัดการผิด ฉะนั้นให้พยายามเข้าไปยุ่งให้น้อย หรือไม่เข้าไปยุ่ง ตัวอย่างเช่น ทำไมพระสงฆ์ในอดีตจึงออกบวช กระทั่งเอาสำลีอุดรูหู ไม่ฟังทั้งวัน อะไรก็ไม่ต้องการฟัง เขาปิดปากกลัวตัวเองจะพูด เขาพบว่าการฟังสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป ดูราวกับว่าทุกที่ล้วนกำลังก่อกรรม

            ท่านรู้ไหมว่าคนชั่วเป็นอย่างไร ทำไมคนชั่วจึงชั่ว เป็นเพราะว่าสมองของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ดีมากเกินไป เขาเรียนรู้สิ่งเลวร้ายมากเกินไป สมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่เลวร้าย ไม่ว่าจะแสดงออกมาหรือไม่เขาก็เป็นคนชั่ว  แล้วสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้มาจากไหน ไม่ใช่มาจากสิ่งที่เขาได้ยินหรือ อะไรฉันก็ไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นฉันไม่ฟัง มองแต่ไม่เห็น ได้ยินแต่ไม่ฟัง คนดีเป็นอย่างไร ในสมองเต็มไปด้วยสิ่งที่ดี ท่านก็คือคนดี ถ้าความคิดของท่านมีแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ท่านทำก็จะเข้าเกณฑ์ พฤติกรรมทั้งหมดถูกสั่งการโดยสมองของท่าน สิ่งที่ทำก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน ในฐานะผู้บำเพ็ญ ถ้าท่านชอบยุ่งเรื่องของคนธรรมดาสามัญเสมอๆ มองไม่เห็นความสัมพันธ์แต่ชาติปางก่อนก็จะทำผิดได้ ถ้ามันเป็นงานของท่าน แน่นอนท่านไม่ทำย่อมไม่ได้ ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ถ้าท่านเห็นคนเตะหรือด่าคนอื่น หรือท่านเห็นคนเกิดความขัดแย้งต่อสู้กัน และท่านก้าวเข้าไปปกป้องความไม่ยุติธรรม ท่านไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องเหล่านี้ ทำไมหรือ มีตำรวจและมีหัวหน้า ถ้าท่านเข้าไปยุ่งก็เท่ากับท่านเข้าแทรกแซง นอกจากนี้สิ่งที่ท่านทำอาจไม่ถูกต้อง ถ้าชีวิตในชาติที่แล้วเขาติดค้างอีกคนการเตะหนึ่งที เขาก็เพียงชดใช้คืนในชีวิตนี้ ถ้าท่านเข้าไปยุ่ง เขาก็ไม่สามารถใช้คืน  พูดจากหลักการของคนท่านได้ทำสิ่งที่ดี แต่สำหรับเทพผู้จัดวางเรื่องนี้เพื่อชดใช้หนี้กรรม ท่านก็ทำเรื่องที่เลวร้าย เพราะว่าผู้บำเพ็ญไม่สามารถวัดด้วยมาตรฐานของคนธรรมดาสามัญอีกต่อไป ก็อธิบายในความหมายนี้ ไม่ไปทำเรื่องที่มีความหมายมั่น

            เช่นนั้นจะคำนึงถึงของคนอื่นในทุกๆด้านได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าบอกแล้วว่า ให้ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุดในการบำเพ็ญปฏิบัติ ท่านจะต้องติดต่อกับผู้คน ดังนั้นจึงมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยว ถ้าท่านยังคงเห็นแก่ตัว คิดถึงตัวเองก่อนในทุกสถานการณ์และไม่คิดถึงคนอื่น ข้าพเจ้าว่านั่นใช้ไม่ได้ อย่างไรก็ดีท่านยังต้องติดต่อกับกลุ่มคนในสังคม ถ้าในที่ทำงานท่านนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชาและไม่สนใจอะไรเลย ข้าพเจ้าคิดว่าเจ้านายของท่านก็จะไล่ท่านออก ท่านยังต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องก็กับสภาพในสังคมมนุษย์ ท่านต้องติดต่อกับผู้คน ปฏิบัติดีต่อผู้คน คำนึงถึงคนอื่นก่อนที่จะทำอะไร ในสังคมทุกวันนี้นักธุรกิจบางคนก็คิดจะเอาเงินในกระเป๋าของคนอื่นมาให้หมด เขาจะได้ร่ำรวยอย่างทันทีทันใด ในแง่นี้ข้าพเจ้าคิดว่านักธุรกิจผิวขาวชาวยุโรปมีสภาพจิตใจที่ดีมาก เขาถือว่าธุรกิจเป็นอาชีพ เป็นการงาน ทำอย่างทุ่มเททั้งจิตใจและกำลัง แม้จะมีลูกค้าเพียงหนึ่งคนในหนึ่งวัน เขาก็ไม่บ่นว่าน้อย เขาคิดว่านั่นคืองานของเขา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา การทำงานอะไรชิ้นหนึ่งตราบเท่าที่เขาสามารถประคองชีวิต มีเงินเก็บสะสมได้สักเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว นี่คือสภาพของมนุษย์ ผู้คนในทุกวันนี้ ความคิดที่ต้องการจะร่ำรวยรุนแรงมาก เพราะจิตชี้นำนี้ ผู้คนต่างทำร้ายกันและกัน ราวกับต้องการจะเอาเงินทั้งหมดในกระเป๋าคนอื่นๆ มาไว้ในกระเป๋าตัวเอง คนอื่นจะทำอย่างไร เขาไม่คิดเลยว่าคนอื่นก็ยากลำบาก ทำอะไรโดยไม่คิดถึงคนอื่นเลย นี่คือความคิดของมนุษย์ที่เบี่ยงเบนไปในสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ เมื่อทำอะไรต้องคิดดูว่าคนอื่นจะสามารถรับได้หรือไม่ มนุษย์ควรเป็นเช่นนี้

ศิษย์  ขอท่านอาจารย์อธิบายอีกครั้ง เกี่ยวกับความหมายของบทความ “เลือกตรงกลาง”

อาจารย์  ศิษย์ทุกคนควรจะเข้าใจแจ่มแจ้ง พวกท่านรับรู้เข้าใจฝ่าต้องไม่ใช้อารมณ์ของมนุษย์ ไม่ใช้ความคิดของมนุษย์ไปเข้าใจรับรู้เข้าใจฝ่า อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือหลักการเช่นนี้  ตัวอย่างเช่น มีคนมาสัมภาษณ์ข้าพเจ้าวันนี้ เขายกตัวอย่างและถามข้าพเจ้าว่า “ข้างในและข้างนอกจักรวาลลักษณะเป็นอย่างไร” ข้าพเจ้าบอกเขาว่า “แนวความคิดที่ท่านกล่าวมาเป็นวิธีคิดแบบมนุษย์ ในจักรวาลนี้ไม่มีข้างในและข้างนอกอย่างที่ท่านพูด ไม่มีแนวความคิดเช่นนั้น สิ่งที่คุณพูดเป็นความคิดและวิธีคิดของมนุษย์” ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดก็คือเราต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดแบบมนุษย์ด้วย นั่นคือ ในชีวิตประจำวันของท่านหรือความเข้าใจเกี่ยวกับฝ่า ท่านไม่สามารถปฏิบัติโดยใช้ความคิดแบบมนุษย์อีกต่อไปได้จริงๆ ไม่อาจยึดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นที่ตัวท่านด้านมนุษย์ไม่ยอมละทิ้งมาเข้าใจฝ่าความหมายชั้นพื้นผิวของ “เลือกตรงกลาง” คือไม่เดินไปทางสุดขั้ว

ศิษย์  อาจารย์ ท่านพูดว่าธรรมานุภาพของพระพุทธระดับสูงๆในสวรรค์นั้นบำเพ็ญออกมาโดยตัวเขาเอง แต่มันยากมากที่จะบำเพ็ญปฏิบัติในสวรรค์ของพระพุทธ เช่นนั้นหมายความว่าพวกเขาทุกคนต้องกลับลงมาที่โลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญปฏิบัติหรือ

อาจารย์  ชีวิตในจักรวาลมาจาก 2 แหล่งกำเนิด  หนึ่งกำเนิดมาจากพ่อแม่ และอีกหนึ่งคือเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของสสารในจักรวาล ชีวิตที่ถือกำเนิดในเขตแดนใดก็จะมีเขตแดนสูงเพียงนั้น เขาจะไม่ถูกแปดเปื้อนจากสิ่งต่างๆจากระดับชั้นต่ำและไม่ถูกกำหนดโดยมาตรฐานของระดับชั้นต่ำ เขาสอดคล้องกับเกณฑ์ของระดับชั้นนั้นที่เขาถือกำเนิดมา เขามิต้องอาศัยอยู่ในระดับชั้นนั้นหรือ  เช่นนั้นอีกทางหนึ่งก็คือการบำเพ็ญ  ที่ข้าพเจ้าเน้นการบำเพ็ญปฏิบัติเพราะว่าท่านเป็นผู้บำเพ็ญ ผู้ที่บำเพ็ญขึ้นไปส่วนนั้น ที่จริงมีจำนวนน้อยนิดอย่างสงสารในจักรวาล ส่วนใหญ่เป็นชีวิตที่ถือกำเนิดในเขตแดนนั้น

ศิษย์    ความกระตือรือร้นของผู้ฝึกในการเผยแพร่ฝ่าทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่ตัวฉันรู้สึกเฉยเมยอยู่เสมอ ทำอย่างไรจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะจิตแบบนี้ได้

อาจารย์  ข้าพเจ้าไม่มีข้อกำหนดในเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าผู้ฝึกของเราต้องไปเผยแพร่ฝ่า นำฝ่าไปถ่ายทอดให้คนอื่น คนที่ไม่มีความกระตือรือร้น ถ้าได้รับฝ่าแล้วไม่คิดอยากจะไปถ่ายทอดฝ่า เรื่องนี้ก็ไม่ต้องทำ ไม่ได้กำหนดว่าท่านต้องไปทำ และไม่นับว่าท่านผิด แต่เราพูดว่าในฐานะศิษย์ เพราะท่านมีความเมตตา เมื่อท่านเห็นผู้อื่นมีทุกข์ ท่านก็ต้องบอกคนเขา ท่านจะให้เงินเขามากเท่าใด จะช่วยเหลือแบบใดก็ไม่ดีเท่ากับถ่ายทอดฝ่าให้เขา นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำ

ศิษย์  ฝึกพลังกงโดยไม่เปิดดนตรี การเคลื่อนไหว เร็วหรือช้าจะมีผลกระทบหรือไม่

อาจารย์  จะทำเร็วอย่างไรก็ไม่เร็วเกินไป จะทำช้าอย่างไรก็ไม่ช้าเกินไป เร็วหรือช้าไม่ได้กำหนดไว้แน่นอน หรือไม่ใช่ว่าจะต้องให้ถูกต้องเที่ยงตรงให้เหมือนกับข้าพเจ้าทุกประการ ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะพวกเรากำลังเสริมกลไกให้แข็งแกร่ง แต่ส่วนใหญ่เมื่อท่านฝึก ความเร็วควรพอๆกับเทป เมื่อฝึกเป็นกลุ่ม การเคลื่อนไหวต้องให้เหมือนกัน ต้องทำให้พร้อมกัน

ศิษย์ หยวนอิงของคนหยุดโตเมื่อมันมีขนาดเท่ากับตัวเขา แล้วเด็กบำเพ็ญปฏิบัติ ต้องรอจนตัวเขาโตหรือไม่

อาจารย์  มนุษย์จะเปรียบเทียบกับหยวนอิงได้อย่างไร หยวนอิงโดยตัวเองก็ก่อกำเนิดมาจากการบำเพ็ญปฏิบัติ พวกเราไม่ใช่มีเด็กบำเพ็ญปฏิบัติอยู่เป็นจำนวนมากหรอกหรือ

ศิษย์  ความคิดของคนอื่นสามารถเข้ามาในใจของฉันได้บ่อยๆ เขาง่วงนอนฉันก็อยากนอน เมื่อเขาโกรธฉันก็รู้สึกไม่มีความสุข

อาจารย์  นี่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในระหว่างการบำเพ็ญปฏิบัติ  นั่นคือ รูขุมขนของท่านเปิดออกทั้งหมดแล้ว ท่านสามารถสัมผัสถึงสัญญาณ(ซิ่นซี)จากภายนอก มันไม่ใช่ความสามารถเหนือธรรมชาติ(กงเหนิง) มันเป็นเพียงสภาวะในขั้นตอนการบำเพ็ญ เมื่อร่างกายคนเขาเจ็บปวดตรงไหน ท่านก็เจ็บปวดด้วย เมื่อคนเขารู้สึกไม่สบายที่ตรงไหน ท่านก็รู้สึกไม่สบายด้วย เมื่อบางคนรู้สึกมีความสุข ท่านก็จะมีความสุขด้วย  ที่จริง มันเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของท่านเปิดทะลวง แต่มันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ยิ่งท่านบำเพ็ญปฏิบัติได้เร็วเท่าไร สภาวะนี้ก็จะผ่านไปเร็วเท่านั้น

ศิษย์  ได้ยินว่าในประเทศจีนมีผู้ฝึกคนหนึ่งตายไปหลังจากที่เขาได้รับฝ่าไม่นาน ก่อนตายเขายืนกรานที่จะไม่กินยา เหมือนอย่างนี้ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย ทำไมจึงตายได้

อาจารย์ ในจิตใจของคนที่ป่วยเพื่อจะให้ข้าพเจ้ารักษาโรคให้เขา ไม่กินยา หรือตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะเป็นผู้ฝึกพลังกงนั้น สามารถดูออกจากภายนอก ถ้าคนธรรมดาสามัญป่วยเป็นโรคร้ายแรง และเขายืนกรานจะไม่กินยาไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะตายไหม เขาก็ต้องตายนะซิ  ถึงเวลาที่เขาต้องตายก็ต้องตาย เพราะว่าเขาเป็นคนธรรมดาสามัญ  ชีวิตของคนธรรมดาสามัญจะสามารถยืดยาวให้เขาตามอำเภอใจได้อย่างไร เขาอ้างว่าเขาฝึกพลังกงแล้ว ทุกท่านลองคิดดู วันนี้ท่านฝึกฝ่าหลุนกงแล้ว และอ่านหนังสือแล้ว ก็เป็นศิษย์ต้าฝ่าแล้วหรือ ท่านไม่บำเพ็ญปฏิบัติอย่างขยันขันแข็ง ท่านไม่ทำตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ข้าพเจ้าสอนท่านอย่างแท้จริง จะสามารถเป็นศิษย์ของข้าพเจ้าได้อย่างไร ท่านเป็นศิษย์ของข้าพเจ้าหรือไม่ขึ้นกับว่าข้าพเจ้ายอมรับท่านเป็นศิษย์หรือไม่ พูดอีกแง่หนึ่ง ท่านเข้ามาตรฐานของการเป็นศิษย์หรือไม่ ท่านฝึกพลังกงทุกวันก็เหมือนฝึกกายบริหาร แม้ท่านจะอ่านหนังสือก็ไม่ซึมซับเข้าไปในจิตใจ ไม่บำเพ็ญปฏิบัติอย่างขยันขันแข็ง ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในหนังสือ ท่านสามารถเป็นศิษย์ของข้าพเจ้าหรือ ท่านยังคงเป็นคนธรรมดาสามัญหรือไม่ เช่นนั้นคนธรรมดาสามัญป่วย เหมือนคนกำลังจะจมน้ำที่หวังจะคว้าฟางสักเส้นเพื่อช่วยวีชิต เขารู้ว่าข้าพเจ้าสามารถขจัดกรรมแห่งโรคของมนุษย์   แต่เวลาที่พลังนี้ทำการสลายกรรมนั้นไม่กินยา เขาฝึกพลังกงแล้ว เข้าใจผิดคิดว่าฝึกพลังกงและไม่กินยาก็สามารถจะหาย เขาก็จะไม่ตาย ไม่เพียงแต่เขาเป็นคนธรรมดาสามัญ และยังมีจิตยึดติดที่แรงมาก เขาจะไม่ตายได้อย่างไร

ต้าฝ่านั้นเข้มงวด การบำเพ็ญปฏิบัติเป็นเรื่องเข้มงวด จะยืดชีวิตให้กับชีวิตของคนที่สมควรต้องจบลงให้ยาวออกไปอย่างง่ายๆได้อย่างไร ให้คนธรรมดาสามัญสำเร็จเป็นพระพุทธ หยวนหมั่นอย่างง่ายๆ จะทำได้อย่างไร ท่านบำเพ็ญปฏิบัติจิตใจของท่าน โดยมูลฐาน ถ้าใจของท่านไม่หวั่นไหวยังไม่นับได้ บอกว่าดูภายนอกท่านทำได้ดี ในใจท่านยังคงมีความยึดติดเล็กน้อยที่ตัวท่านเองสังเกตไม่เห็นก็ไม่ถือว่าผ่านการทดสอบ เพราะว่ามันเป็นเรื่องเข้มงวดอย่างที่สุด ธาตุแท้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ท่านรู้ว่ามีคนมากที่ฝึกฝ่าหลุนกง ผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือโรคที่หมดทางรักษาหลายๆ คนก็หายได้ เป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว เรื่องนี้ไม่ต้องให้ข้าพเจ้าพูด ผู้ฝึกของเราก็รู้

            มีบางคนที่ป่วยในขั้นวิกฤตจากโรคมะเร็ง หรือโรคที่หมดทางรักษาให้หายได้ และเข้ามาฝึกฝ่าหลุนกง แต่ก็ตายเหมือนกัน ทำไม ปากเขาก็เขาบอกว่าฝึกฝ่าหลุนกง แต่ใจของเขาไม่ได้ละทิ้งความเจ็บป่วยของเขาเลย บางคนอาจคิด: เขากระตือรือร้นในการฝึกปฏิบัติที่เดียว เขาบอกพวกเราไม่ให้กินยา เขาแนะนำพวกเราไม่ให้ยึดติดต่อความเจ็บป่วยด้วย ยังช่วยคนอื่นศึกษาฝ่า  แต่ตัวเขาเองอาจจะไม่ได้ละทิ้ง ท่านไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไร มันซับซ้อนเช่นนี้ เขาบอกให้คนอื่นละทิ้งจิตยึดติด รู้ว่าอาจารย์สามารถได้ยิน เขาต้องการให้อาจารย์ได้ยิน พูดง่ายๆคือเขากำลังหลอกอาจารย์ ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาคือ “ฉันทำสิ่งเหล่านี้ อาจารย์จะดูแลฉันอย่างแน่นอน ฉันอ่านหนังสือ ฝึกพลัง และบอกคนอื่นให้บำเพ็ญ อาจารย์จะกำจัดโรคให้ฉันอย่างแน่นอน” ท่านดู ภายนอกเขาไม่กินยา ปากก็พูดเช่นนี้ และปฏิบัติตนตามข้อกำหนดของข้าพเจ้าในการฝึกพลัง  แต่โดยแก่นแท้เขาไม่เข้ามาตรฐานของผู้ฝึกพลังอย่างแท้จริง  ในใจเขายังคงคิดว่า “ตราบเท่าที่ฉันทำเช่นนี้นี้ อาจารย์ก็จะกำจัดโรคให้ฉันอย่างแน่นอน” ในใจเขายังคงคิดเช่นนั้น แต่เขาได้กำจัดความคิดที่จะให้อาจารย์ขจัดโรคของเขาออกไปหรือเปล่า  ความคิดนั้นยังคงฝังอยู่ ช่อนอยู่ในหัวใจของเขาไม่ใช่หรือ เปลือกนอกเขาไม่ใช่กำลังหลอกคน หลอกข้าพเจ้าหรือ ที่จริงเขากำลังหลอกตัวเอง เช่นนั้น เขาจะหายจากโรคได้อย่างไร

            แต่บ่อยครั้งที่เราให้โอกาสแก่คนที่ป่วยหนัก ยืดเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาตายของเขาที่กำหนดโดยโรงพยาบาลผ่านไปนานแล้ว เวลาผ่านไปนานแล้ว ครึ่งปี หนึ่งปีก็แล้ว หลายปีก็แล้ว ยังคงให้โอกาสแก่เขา คอยให้เขาละทิ้งจิตยึดติดนั้น เขาไม่ละทิ้ง แม้ปากเขาจะไม่พูด แต่ในใจของเขามักจะไม่สงบด้วยความคิดที่ว่า “ฉันฝึกปฏิบัติฝ่าหลุนกงแล้ว โรคของฉันอาจจะหายไปแล้ว ฉันฝึกฝ่าหลุนกงแล้ว อาจจะหายนะ” เขาไม่สามารถปฏิบัติตนเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญปฏิบัติอย่างแท้จริงที่ไม่คิดถึงโรคเลย ข้าพเจ้าพูดไปแล้วว่าข้าพเจ้าแทบไม่มีข้อกำหนดใดๆต่อท่านเลย เปิดออกทั้งหมด  ดูเฉพาะใจคนเท่านั้น ถ้าข้าพเจ้าไม่มองแม้ที่ใจคน ข้าพเจ้ายังจะช่วยท่านได้หรือ  ที่จริง ไม่ว่าจะบำเพ็ญปฏิบัติในวิชาใด ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงที่ใจของคน เพียงแต่ของเราเน้นที่ใจคนโดยตรง

ศิษย์  ฉันยิ่งศึกษาฝ่า ก็ยิ่งตระหนักว่าพลังฝ่าไร้ขอบเขต ตระหนักว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ข้างในของความไร้ขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด  อาจารย์กรุณาบอกฉันหน่อยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้

อาจารย์  “ทุกสิ่งล้วนอยู่ข้างในของความไร้ขอบเขต”  นี่ก็เป็นบททดสอบด้วย เมื่อรู้สึกว่าใกล้จะหยวนหมั่น ท่านจะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้  ท่านจะมีความรู้สึกดีมาก  ไม่ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร อย่าสนใจมันมากนัก  บางครั้งเวลาจะยกระดับขึ้นมานั้นจะเลื่อนขึ้นไปอย่างรวดเร็วมาก  แต่เมื่อเข้าสู่ไตรภูมิร่างกายส่วนนี้ก็จะยากมาก การคืบไปข้างหน้าสักหนึ่งก้าวก็เป็นเรื่องที่ยากมาก มันยากเสียจนท่านไม่เต็มใจที่จะละทิ้งทรรศนคติของมนุษย์ นี่คือสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็น

ศิษย์  อาจารย์ ท่านมักจะพูดว่าเวลาเร่งรัดมาก ขณะเดียวกันท่านก็พูดว่าต้าฝ่าจะเผยแพร่ออกไปไกลและกว้างท่ามกลางคนธรรมดาสามัญ ไม่ขัดแย้งกันหรือ

อาจารย์  ข้าพเจ้าพูดว่าเวลาเร่งรัดมาก  ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยมนุษย์เท่านั้น หลังจากพวกท่านบำเพ็ญหยวนหมั่นแล้ว ข้าพเจ้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ ซึ่งไม่สามารถจะบอกพวกท่านได้ ข้าพเจ้าไม่สามารถถ่ายทอดฝ่าอยู่บนโลกมนุษย์เป็นเวลานานมากนัก ข้าพเจ้าบอกว่าเวลาเร่งรัดมาก ท่านก็ควรเร่งบำเพ็ญปฏิบัติ อย่าตีความคำพูดของข้าพเจ้าผิดๆและนำไปผสมกับการพูดเกี่ยวกับภัยพิบัติอะไรที่ศาสนาที่ชั่วร้ายพูดกันทุกวันนี้ เวลาของการบำเพ็ญเร่งรัดมากจริงๆ  ไม่มีภัยพิบัติใดๆ แต่การบำเพ็ญมีวันที่จะสิ้นสุด เมื่อความจริงทั้งมวลถูกเปิดเผย ทุกสิ่งก็จะจบสิ้น ท่านจะไม่ได้รับอนุญาตให้บำเพ็ญปฏิบัติอีกต่อไป แต่มนุษยชาติยังคงดำเนินต่อไป การบำเพ็ญปฏิบัติจะคงอยู่ตลอดไป นั่นจะเป็นรูปแบบการบำเพ็ญในอนาคต

ศิษย์  การดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ ทำสิ่งต่างๆอย่างความตั้งใจ มีความรับผิดชอบต่อการงานและครอบครัว ละเอียดรอบคอบ ถือว่ามีจิตยึดติดหรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นผิด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ปฏิเสธว่า ในคำพูดของท่าน ความเป็นมนุษย์ยังรุนแรงมาก เพราะว่าเมื่อท่านพยายามทำสิ่งเหล่านี้อย่างดีในสังคมคนธรรมดาสามัญ มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะปฏิบัติด้วยความคิดของพระพุทธ เป็นแบบนั้นท่านไม่สามารถทำได้ ดังนั้นท่านยังคงคิดแบบมนุษย์ นี่เป็นเพียงการปรากฏของสภาพการณ์ที่ต่างกันในระดับชั้นหนึ่ง

ศิษย์  เพื่อนชาวอเมริกันของฉันบ่นว่า “จ้วนฝ่าหลุน” ฉบับภาษาอังกฤษอ่านเข้าใจยาก กรุณาบอกพวกเราถึงอนาคตของต้าฝ่าต่อชาวอเมริกัน

อาจารย์  ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน ไม่ใช่ฉบับแปลภาษาอังกฤษอ่านเข้าใจยาก ข้าพเจ้าว่าฉบับแปลภาษาอังกฤษแปลได้ดีมาก  โดยเฉพาะฉบับที่ออกในอเมริกาอ่านเข้าใจง่ายมาก ต้าฝ่านี้ความหมายข้างในกว้างมากเหลือเกิน ชาวอเมริกันที่มีจิตใจไม่สลับซับซ้อนอ่านแล้วจะรู้สึกว่าเข้าใจยาก  สำหรับคนหนุ่มสาวที่ไม่คุ้นเคยในการใช้ความคิด  ยากที่จะเข้าใจบางสิ่ง ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่มีใครบ้างที่สามารถพูดได้ว่าท่านสามารถเข้าใจทุกสิ่งใน “จ้วนฝ่าหลุน” ได้อย่างง่ายๆ ต่างรู้สึกว่ายิ่งศึกษา ยิ่งรู้สึกว่ายาก  ท่านรู้ว่าพระถังเดินทางไป สวรรค์ตะวันตกเพื่อรับคัมภีร์  เดินทาง 11 ปี ประสบความยากลำบากและอันตรายต่างๆนานา กลับมาแล้วยังต้องแปลด้วยตัวเอง  วันนี้ต้าฝ่าวางอยู่ตรงนี้แล้ว พวกท่านก็ยังรู้สึกว่ายาก ถ้าท่านคิดว่าเล่มนี้แปลได้ไม่ดี ท่านก็สามารถแปล แปลให้ดียิ่งขึ้น

            ในประเทศจีน เราจัดให้ศิษย์กลุ่มหนึ่งแปลหนังสือเล่มนี้ อยากจะเป็นภาษาอังกฤษ ใช้เวลาแปล 2 ปี พวกเขาโต้เถียงกัน ต้องการจะแปลให้คงความหมายเดิมไม่ให้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ให้แก่คนที่อ่านภาษาอังกฤษ พวกเขาเอาชนะความยากอย่างใหญ่หลวง ท่านได้รับสิ่งสำเร็จรูปและยังรู้สึกว่ามันยาก  ถ้ามีความสงสัยจริงๆ ท่านอาจเปรียบเทียบกับฉบับที่แปลในประเทศจีน มีศิษย์ชาวรัสเซียในบอสตัน ข้าพเจ้าฟังเขาพูดเมื่อวานนี้ ทุกคนรู้สึกว่าขั้นตอนการเรียนภาษาจีนของเขาน่ามหัศจรรย์อย่างมาก ตัวอย่างเช่นนี้ มีมากมาย ถ้าท่านตั้งใจ ข้าพเจ้าคิดว่าก็สามารถเป็นเช่นเขาได้

            พูดถึงว่าอนาคตของต้าฝ่าต่อชาวอเมริกันจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เรื่องใดๆ ชีวิตใดๆ เรื่องใดๆที่ทำในจักรวาลนี้ ล้วนสามารถมองเห็นอนาคตของมันจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด เฉพาะเรื่องที่ข้าพเจ้าทำนี้ไม่มีใครสามารถมองเห็นอนาคต ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำ มันไม่มีอนาคตเลย พูดถึงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ในอนาคตคนก็จะเหมือนกับมาร จะชั่วร้ายอย่างที่สุด แน่นอนเมื่อคนเลวทรามแล้ว ความขัดแย้งที่รุนแรง และภัยธรรมชาติและภัยพิบัติอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ เข่นฆ่ากัน ต่อสู้กัน กรรมม้วนตัวเหมือนคลื่น  แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร มันน่ากลัวมาก สำหรับการบำเพ็ญปฏิบัติ อนาคตของต้าฝ่าในอเมริกาจะเป็นอย่างไร นั่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าชาวอเมริกันจะรับฝ่าอย่างไร

ศิษย์  ชาวอเมริกันบางคนคิดว่า ต้าฝ่ามีเนื้อความบางส่วนคัดค้านการฝึกวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องกับชี่กง เช่นนี้มักก่อให้เกิดปัญหาบางอย่าง

อาจารย์  ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน ฝ่าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เมื่อถ่ายทอดออกมา ในหนังสือเล่มนี้มีบททดสอบมากมายที่พุ่งเป้าไปที่คนต่างๆ เพื่อดูว่าใจของพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร  ต้าฝ่าไม่ใช่จะให้ใครได้รับอย่างง่ายๆ ตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ศาสนาที่ชั่วร้ายเอย ชี่กงปลอมเอย ร้อยแปดพันเก้ามากมายเหลือเกิน มันทำให้ลูกหลานคนเขาหลงทาง หลายคนที่สามารถบำเพ็ญถูกมันลากเข้าไปพัวพัน ไปทำเหมือนเป็นศาสนา บางคนก่อเรื่องการฆ่าตัวตาย ยุ่งเหยิงเลอะเทอะ  ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยคนเท่านั้น ถ้าข้าพเจ้าไม่ชี้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ออกมาให้เห็น ถ้าข้าพเจ้าไม่บอกท่านว่ามันชั่วร้าย ท่านจะสามารถบำเพ็ญปฏิบัติแน่วแน่วิชาเดียวโดยไม่ถูกรบกวนได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะสามารถอธิบายจุดสำคัญของการ “ไม่บำเพ็ญสองวิชา” ได้อย่างไร ต้าฝ่าก็ไม่ใช่สามารถให้ใครได้รับอย่างง่ายๆ บางที่ถ้าเขายึดติดกับสิ่งเหล่านั้นก็จะถูกขวางกั้น และไม่ต้องการได้รับฝ่า ถ้าเขาไม่ต้องการได้รับฝ่าก็แล้วกันไป เพราะถ้าเขาไม่ละความยึดติด ไม่สามารถบำเพ็ญวิชาเดียว เขาก็จะไม่สามารถหยวนหมั่น ยังจะทำลายต้าฝ่า ด้วยอารมณ์ของเขาทำให้ไม่ได้รับฝ่า ต้าฝ่านั้นเข้มงวด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้รับฝ่า เราสามารถเผยแพร่ฝ่าอย่างกว้างขวางและให้ทุกคนที่มีวาสนา คนที่ยังสามารถรับฝ่ามาได้ฝ่า แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งจริงๆที่ไม่สามารถได้รับฝ่า  ไม่อาจให้เขาอ่านได้ เขาอาจถูกกีดขวาง คนที่ไม่ถูกกีดขวางเป็นไปได้ว่าเขายังคงมีวาสนาที่จะได้รับฝ่า

ศิษย์  ภาพของอาจารย์ที่พิมพ์ออกมาเป็นทางการหลายๆภาพมีท่ารำมือต่างกัน  กรุณาบอกความหมายข้างในแก่พวกเราได้หรือไม่

อาจารย์  นอกจากภาพที่ใช้ในการประชุมนี้ ก็ไม่ได้พิมพ์ภาพท่ารำมืออื่นใดออกมา ท่ารำมือนั้นซับซ้อนมาก มากมายเหมือนกับคำพูดที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าแก่ท่านในวันนี้ ท่ารำมือขณะเคลื่อนไหวก็คือภาษา การรำมือติดต่อกันหนึ่งช่วงคือบรรยายฝ่าหนึ่งท่อน ถ้าข้าพเจ้าสามารถบรรยายด้วยคำพูด วันนี้ข้าพเจ้าก็จะไม่ใช้การรำมือต่อพวกท่าน เหตุผลก็คือเนื้อความนั้นไม่สามารถพูดได้ พวกท่านจึงรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดในวันนี้สูงส่ง ท่านต้องคิดเช่นนั้น ท่านไม่รู้ว่าท่ารำมือนั้นสูงส่งกว่ามากเพียงใด มันแสดงความจริง ถ้าท่านสามารถเข้าใจมันก็ดี ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร

ศิษย์  ฉันคิดว่าพวกเราต้องเผยแพร่ฝ่าจึงถูกจัดให้มาที่สังคมตะวันตก ในอนาคตเราควรจะกลับไปทางตะวันออกเมื่อเวลาเหมาะสม ใช่หรือไม่

อาจารย์  ถ้าท่านถามข้าพเจ้าว่าทำไมท่านจึงอพยพมาที่ตะวันตก ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกท่าน  ปัจจุบันพวกท่านสามารถไปที่ไหนก็ได้ ถ้าพูดว่าในอนาคตท่านหยวนหมั่นแล้วจะกลับไปทางตะวันออก ท่านหยวนหมั่นแล้วยังจะมาทำอะไรบนโลกมนุษย์ล่ะ

ศิษย์  มีคนคนหนึ่งเคยผ่าตัดเปลี่ยนไต เอาไตออกหลังจากไตล้มเหลว เขามีโอกาสเรียนฝ่าหลุนกง เขาขยันขันแข็งบำเพ็ญปฏิบัติซินซิ่งอยู่เป็นประจำ โดยหวังว่าจะสามารถบำเพ็ญหยวนหมั่นในชาตินี้ จะมีโอกาสไหม

อาจารย์  ข้าพเจ้าจะบอกท่าน พวกท่านหลายคนพูดถึงการผ่าตัด บอกว่าร่างกายฉันขาดอวัยวะบางส่วนแล้วยังจะสามารถบำเพ็ญได้หรือไม่ ที่จริงแล้วการผ่าตัดเป็นการทำในมิติมนุษย์ มันไม่สามารถแตะต้องร่างกายของท่านในมิติอื่นได้แม้แต่น้อย ดังนั้นสิ่งที่ถูกตัดออกไปจึงเป็นเพียงบางสิ่งในมิติที่ผิวเผินนี้ ร่างกายที่เป็นแก่นแท้ไม่สามารถแตะต้องได้ นั่นก็คือพูดว่าร่างกายฝั่งนั้นยังสมบูรณ์อยู่ แต่ท่านยังต้องอาศัยร่างกายนี้ในการบำเพ็ญปฏิบัติ ถ้าท่านสามารถเข้ามาตรฐานของการบำเพ็ญปฏิบัติจริงๆ ความมหัศจรรย์ต่างๆก็สามารถทำให้แก่ท่านได้ ถ้าท่านไม่สามารถเข้ามาตรฐานก็ไม่สามารถให้อะไรแก่ท่านได้ นั่นคือทำไมการบำเพ็ญปฏิบัติจึงเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง

ศิษย์  รับรู้(อู้)ได้แต่ไม่ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติให้ดี ถือว่ารับรู้(อู้)ไม่ได้ ใช่หรือไม่

อาจารย์  ถ้ารับรู้(อู้)ได้แต่ไม่ปฏิบัติให้ดี คือทำผิดทั้งๆที่รู้ ไม่ใช่ว่ารับรู้(อู้)ไม่ได้ ที่จริงข้าพเจ้ากำลังพูดหยอกเล่น ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่า พวกท่านหลายคนรู้หลักการดี เมื่อเผชิญกับการทดสอบแต่ในใจไม่อาจปล่อยวาง เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่  ใช่หรือไม่ (ทุกคนตอบ “ใช่”) เพราะเหตุใด บางคนเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขา บางคนไม่สามารถละทิ้งความรักความผูกพัน(ฉิง) ใช่ไหม ดังนั้นจึงทำผิดทั้งๆที่รู้ เดี๋ยวนี้ท่านบำเพ็ญปฏิบัติแล้ว  ไม่สามารถทำผิดทั้งๆที่รู้อยู่ร่ำไป จะต้องผ่านการทดสอบให้ได้

ศิษย์  น้ำนิ่งจะมี “ความจริง ความเมตตา ความอดทน” ไหม

อาจารย์  จักรวาลประกอบไปด้วยคุณสมบัติพิเศษ - ความจริง ความเมตตา ความอดทน ไม่ต้องสนใจว่ามันเป็นแนวคิดอะไร ในแนวความคิดหนึ่งที่แน่นอนมันเป็นเช่นนี้ ในอีกแนวความคิดมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ในการบำเพ็ญปฏิบัติไม่สามารถมีจุดเริ่มจากความสนใจหรือความรู้  อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปบำเพ็ญปฏิบัติ

ศิษย์  อยากจะบำเพ็ญปฏิบัติจนบรรลุระดับชั้นเหนือพระอรหันต์ จะต้องตั้งปณิธานโปรดสรรพชีวิตทั้งมวลหรือไม่ หากเขาไม่ตั้งปณิธานดังนี้ สามารถบรรลุระดับชั้นที่ต่ำเท่านั้นใช่หรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าไม่ได้ชี้นำให้ท่านคิดแบบนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ ท่านได้ยินมาจากศาสนาใด ตั้งปณิธานอะไร ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าล้วนคือความรักความรู้สึกผูกพัน(ฉิง)ของมนุษย์ ในเมื่อท่านยกประเด็นขึ้นมา ข้าพเจ้าจะพูดว่าเหตุใดศิษย์ในศาสนาพุทธพูดเช่นนั้น การตั้งปณิธานที่กล่าวกันในศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากมนุษย์กระทำหรอกหรือ นั่นไม่ใช่จิตที่มีความหมายมั่น จิตที่แสวงหาหรือ ในศาสนาพุทธกล่าวถึงการตั้งปณิธานเพื่อโปรดสรรพชีวิตทั้งมวล เขาคิดว่าถ้าเขาตั้งปณิธานเพื่อโปรดสรรพชีวิตทั้งมวลแล้ว ก็สามารถให้เขาเป็นพระพุทธ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรือ ตัวเองต้องบำเพ็ญให้บรรลุเขตแดนนั้นอย่างแท้จริง อดทนต่อความทุกข์ยากนานาชนิด จนบรรลุถึงเขตแดนที่สูงส่งเช่นนั้นจึงจะสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธ เวลานี้ก็จะโปรดสรรพชีวิตทั้งมวล ยังบำเพ็ญไม่บรรลุระดับสูงสักเท่าใด จะโปรดสรรพชีวิตอะไร ที่จริงแล้ว สำหรับศิษย์ในศาสนาพุทธจำนวนมาก “การโปรดสรรพชีวิตทั้งมวล” ความหมายที่ครอบคลุมอยู่ในคำพูดประโยคนี้ มีจิตยึดติดต่อความรักความผูกพัน(ฉิง)ของมนุษย์และจิตโอ้อวดมากมายรวมอยู่ข้างใน คำพูดของข้าพเจ้าสามารถทิ่มแทงใจดำของคนในทันที มนุษย์จะสามารถมีเขตแดนนั้นของพระพุทธ เข้าใจความในของ “การโปรดสรรพชีวิตทั้งมวล” ได้อย่างไร   เมื่อคนพูดถึงการโปรดสรรพชีวิตทั้งมวลในเวลานี้ มิใช่จิตโอ้อวดและจิตยึดติดของการหลงไหลคิดเพ้อเจ้อที่ซับซ้อนของหรอกหรือ นี่คือยึดติดต่อมนุษย์ ยึดติดต่อความรักความรู้สึกผูกพัน(ฉิง) ยึดติดต่ออนาคตที่แสดงออกมาจากการกระตุ้นโดยจิตเหล่านี้ ศิษย์ในศาสนาพุทธคนหนึ่งในยุคธรรมะปลาย ท่านจะมีเขตแดนที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นได้หรือ มันเป็นไปไม่ได้

            นอกจากนี้ การโปรดสรรพชีวิตทั้งมวลไม่สามารถพูดหรือทำได้ตามอำเภอใจ มนุษย์สามารถทราบได้อย่างไรว่าก่อนที่องค์ศากยมุนีลงมาที่โลกมนุษย์ พระองค์ต้องได้รับอนุญาตจากพระพุทธ เต๋าและเทพมากมายเท่าใด และจากพระพุทธ เต๋าและเทพในระดับชั้นสูงขึ้นไปอีกมากมายเท่าใดจึงจะลงมาได้  นอกจากเป็นกรณีพิเศษ ใครจะกล้าลงมา การลงมาก็เปรียบเหมือนกับการตกลงมา ท่านคิดจะกลับไปท่านต้องบำเพ็ญ ใครจะกล้าลงมา  ไตรภูมิก็ไม่ให้ใครเข้ามาได้ตามอำเภอใจ ท่านบอกว่าท่านจะไม่ถูกแปดเปื้อนโดยมนุษย์ พวกท่านคนหนึ่งกระโดดลงไปในบ่ออาจม ท่านจะไม่แปดเปื้อนได้อย่างไร เขาจะถูกแปดเปื้อนอย่างแน่นอน ใช่ไหม ไม่ใช่ทำได้ตามอำเภอใจ เดิมทีเป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์มากในศาสนา ของสายพุทธ ของเทพ เป็นคำพูดที่ใช้กันในการบำเพ็ญปฏิบัติ  ก็นำมาพูดในหมู่คนธรรมดาสามัญอย่างง่ายๆตามอำเภอใจ ใช้พูดกันเหมือนกับว่ามันไม่มีค่างวดอะไรเลย ไม่มีความหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ของมันแล้ว

            นอกจากนั้น พระอรหันต์ก็ไม่มีปณิธานที่จะโปรดสรรพชีวิตทั้งมวล ทำไม เพราะว่าพระอรหันต์เป็นผู้สำเร็จธรรมที่รับรู้ด้วยตนเอง เรียกว่าพระอรหันต์ อะไรคือผู้สำเร็จธรรมที่รับรู้ด้วยตนเองล่ะ ผู้สำเร็จธรรมที่รับรู้ด้วยตนเองเพียงแต่บำเพ็ญตนเองจนบรรลุออกนอกไตรภูมิ ก็หยวนหมั่นแล้ว เขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ถือว่าหลุดพ้น ดังนั้นโดยแท้จริงเขาจึงไม่มีปณิธานหรือเป้าหมายที่จะช่วยคนอื่น พระโพธิสัตว์เพียงแต่ช่วยพระพุทธในเรื่องของการช่วยสรรพชีวิต กล่าวกันว่าพระโพธิสัตว์ช่วยคนไปสวรรค์ของท่านเอง แต่ท่านยังไม่มีสวรรค์ ท่านอยู่ในสวรรค์ของพระพุทธ ท่านจะช่วยคนยังต้องดูว่าพระพุทธจะต้องการหรือไม่ หลักการเป็นเช่นนี้หรือไม่ กล่าวคือพระพุทธต้องการช่วยคน พระโพธิสัตว์ก็จะทำการช่วยให้เป็นรูปธรรม ความสัมพันธ์เป็นเช่นนี้

ศิษย์  จริงหรือไม่ที่ฉันเพียงแต่ต้องพยายามละจิตยึดติดอย่างเต็มที่ แต่จะละทิ้งได้หรือไม่ล้วนคืออาจารย์ทำให้

อาจารย์  แล้วมิกลายเป็นข้าพเจ้าที่บำเพ็ญหรือ ขั้นตอนเป็นเช่นนั้น แต่ไม่สามารถเข้าใจด้วยวิธีนี้

            ที่จริงแล้ว ในขณะที่ท่านค้นพบว่าท่านสามารถเข้าใจปัญหา และสามารถรับรู้ถึงจิตยึดติดเหล่านั้นที่ท่านไม่ควรมีได้จริงๆ ในพริบตานั้น ท่านก็เข้าเกณฑ์แล้ว อาจารย์จะกำจัดสสารที่ชั้นพื้นผิวให้ท่านโดยอัตโนมัติ นี่ไม่ถือว่าอาจารย์ทำให้ เพราะท่านบำเพ็ญด้วยตัวเอง

ศิษย์  เราควรจะปฏิบัติต่อความสัมพันธ์ระหว่างความเมตตากรุณาและอู๋เหวย(ไร้การกระทำ ไร้ความหมายมั่น) อย่างไร

อาจารย์  เมื่อบรรลุเขตแดนของพระอรหันต์ เขตแดนของพระโพธิสัตว์ เขาจะไม่มีความรักความผูกพัน(ฉิง)ของมนุษย์ ก็คือความเมตตากรุณา มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อฉิง กล่าวคือมนุษย์จมอยู่ในฉิง ยากที่จะสลัดให้หลุด ออกห่างจากฉิงไม่ได้ก็ไม่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่สามารถยกระดับ  สำหรับอู๋เหวย(ไร้การกระทำ ไร้ความหมายมั่น) มันเป็นข้อกำหนดประเภทหนึ่งในการบำเพ็ญปฏิบัติ หากบรรลุเขตแดนที่สูงมากในจักรวาล ก็จะเกิดสภาวะแบบนี้ อะไรก็รู้ อะไรก็ไม่อยากทำ อะไรก็สามารถทำได้ เหมือนมันง่ายยิ่งกว่าการจัดเรียงของเล่นเสียอีก สมมติว่าท่านฉลาดและเก่งมาก เป็นนักศึกษาในวิทยาลัย และมีชิ้นไม้ธรรมดาๆวางอยู่ตรงนี้ไม่กี่ชิ้น แล้วบอกให้ท่านไปจับมันเรียงไปเรียงมา บอกให้ท่านเล่นกับมัน ท่านอยากจะเล่นไหม ท่านไม่อยากเล่น  มองปราดเดียวก็เข้าใจ เป็นเพียงชิ้นไม้ไม่ชิ้น มีอะไรน่าสนุกล่ะ ท่านก็ไม่อยากเล่น ในการบำเพ็ญปฏิบัติเน้น อู๋เหวย(ไร้การกระทำ ไร้ความหมายมั่น) คือไม่ให้ท่านก่อกรรมอีก ไม่เข้าสู่ฉิง สามารถบรรลุมาตรฐานของอู๋เหวย(ไร้การกระทำ ไร้ความหมายมั่น) ก็อยู่ในเขตแดนความเมตตากรุณาแล้ว

ศิษย์  ฉันเป็นบรรณาธิการนอกเวลางานของนิตยสารฉบับหนึ่งที่รวมเนื้อหาทั่วๆไป เพื่อเผยแพร่ฝ่า เราตั้งใจที่จะตีพิมพ์ “จ้วนฝ่าหลุน” และงานอื่นๆของท่านลงในนิตยสาร แต่เนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด พวกเราได้แต่คัดเลือกบางบทและบางตอนตามใจชอบเท่านั้น

อาจารย์ นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี ประการหนึ่งคือ นิตยสารของพวกท่านตีพิมพ์เนื้อหาหลากหลายประเภท การนำฝ่าไปลงไม่ค่อยจะเหมาะสม  นอกจากนี้ การคัดเลือกโดยวิธีนั้นที่จริงเป็นการตัดเอาบทความบางตอนออกมา ทำให้คนไม่สามารถเข้าใจ ง่ายต่อการถูกพวกที่เรียกว่านักเขียนคัดลอกเอาไปทำเป็นสิ่งที่เป็นของมนุษย์ ดังนั้นอย่าทำเช่นนี้เป็นอันขาด อย่าได้ตัดเอาบทความบางตอนออกมา

ศิษย์  ศิษย์ที่ฝึกมานานจะไม่ไปฝึกพลังที่ศูนย์ฝึก อาจารย์ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ อาจารย์ไม่ส่งเสริมให้พวกเขาไปบำเพ็ญในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น จะดีหรือ

อาจารย์  ไม่ใช่ธรรมดาพื้นๆเหมือนอย่างที่ท่านคิด พวกท่านรู้ไหม ข้าพเจ้าจะช่วยพวกท่าน ข้าพเจ้ายังต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ของพวกท่าน คนในเขตแดนที่ต่างกัน คนในสภาวะที่ต่างกัน ท่านบอกให้เขาไป แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาจะรู้สึกอึดอัดมาก สิ่งที่พวกท่านพูด พวกท่านทำ กล่าวสำหรับเขาแล้วน่าเบื่อหน่ายอย่างมาก เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับคนที่ไม่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ เพียงแต่ไม่อยากออกมา ข้าพเจ้าว่าเขาต้องแก้ไขตัวเองสักหน่อย ถ้าท่านออกมาฝึกพลังจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน ถ้าท่านไม่มีเวลาจริงๆเพราะต้องไปทำงาน นั่นก็สามารถเข้าใจได้ เช่นนั้นก็ตามแต่ใจท่าน

            แน่นอน ในประเทศจีนมีเรื่องเช่นนี้ พวกเขาออกไปฝึกพลังทั้งตอนเช้าและตอนเย็น ตอนเช้าออกไปตอนตีสี่ และตอนเย็นหกโมงหลังอาหารค่ำ ออกไปฝึกพลังร่วมกับทุกคน วันละ 2 ครั้ง พวกเขาพบว่าการฝึกพลังเช่นนี้ดีมาก แต่หลายๆพื้นที่ในประเทศอื่นไม่ฝึกกันเช่นนี้โดยมีข้ออ้างต่างๆนานา ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ข้าพเจ้าถ่ายทอดพลังนี้อย่างไร พวกท่านก็ปฏิบัติตามเช่นนั้น รับรองว่าจะไม่มีอันตราย มีแต่จะเป็นประโยชน์ ท่านอ้างว่าท่านยุ่งเกินไปและไม่มีเวลา ที่จริงแล้ว ท่านกลัวว่าท่านจะพักผ่อนไม่เพียงพอ ท่านเคยคิดไหมว่า การบำเพ็ญปฏิบัติเป็นรูปแบบการพักผ่อนที่ดีที่สุด สามารถบรรลุถึงการพักผ่อนที่การนอนไม่อาจบรรลุได้ถึง ไม่มีใครพูดว่า ”ฉันฝึกพลังฝึกจนเหนื่อยเหลือเกิน จะไม่ทำอะไรแล้ววันนี้”  มีแต่คนพูดว่า “ฉันฝึกพลังฝึกจนรู้สึกผ่อนคลายและสบายไปทั้งตัว ไม่ได้นอนทั้งคืนฉันก็ไม่รู้สึกง่วง ร่างกายมีกำลังวังชา ทำงานทั้งวันก็ไม่เป็นไร” ไม่ใช่เป็นเช่นนี้หรือ ดังนั้นบอกว่าไม่มีเวลาหรือมีข้ออ้างอื่นๆ โดยไม่ออกไปฝึกพลัง ข้าพเจ้าจะพูดว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่เข้าใจฝ่าอย่างลึกซึ้ง และขาดความตั้งใจและความเพียรพยายาม แน่นอน พูดถึงสภาวะแบบนั้นของผู้ฝึกเก่านั้นมีการจัดแบ่งที่เข้มงวด แต่ถ้ายังไม่บรรลุสภาวะนั้น ตัวเองใช้ข้ออ้างนั้นไม่ออกไปก็ไม่ถูกต้อง การบำเพ็ญปฏิบัติเป็นการบำเพ็ญตนเอง การหลอกคนอื่นก็คือการหลอกตัวเอง

ศิษย์           ในมิติชั้นสูงมีเครื่องบินมานานแล้ว คนในมิติชั้นสูงไม่ใช่บินได้หรือ แล้วทำไมยังต้องใช้เครื่องบิน

อาจารย์  ข้าพเจ้าเคยบอกพวกท่านว่า ในมิติที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าบนสวรรค์ทุกที่ทุกแห่งหนล้วนเป็นเหมือนพระพุทธ เหมือนเทพอย่างนั้น ชีวิตที่นั่นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ก็มีสถานที่ที่คล้ายกับสถานที่ของมนุษย์เช่นกัน แต่น้อยมาก  แต่สถานที่ที่คล้ายสถานที่ของมนุษย์ต่างดาวก็มีมากเป็นพิเศษ ถ้าเขาต้องบิน เขาจะต้องนั่งยานอวกาศ ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกท่าน จะชี้นำความคิดของท่านไปสู่สถานที่เหล่านั้น ชักนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็น ชีวิตตรงนั้นซับซ้อนมาก เป็นโลกในลักษณะใดก็มี จักรวาลมีความสลับซับซ้อนอย่างมาก โลกของเราในปัจจุบันมีเพียงมนุษย์ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ ฝั่งนั้นมีกระทั่งเขียวและน้ำเงิน มีแม้กระทั่งเป็นลาย มีมากมายหลากหลายชนิด ไม่เหมือนอย่างที่ท่านจินตนาการ กล่าวคือท่านอย่าได้ใช้ความคิดของมนุษย์ไปขบคิดประเด็นเหล่านี้

ศิษย์           ฝ่าหลุนกงมีการบริหารอย่างหลวมๆ กับโครงสร้างองค์กรที่มีตัวตนนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร

อาจารย์  การบริหารอย่างหลวมๆ ไม่มีโครงสร้างองค์กรที่มีตัวตน ท่านอยากมาท่านก็มา ท่านไม่อยากมาท่านก็ไป เราไม่มีการขึ้นทะเบียนรายชื่อ คน ณ ชั้นภายนอกไม่มีใครรู้ว่าท่านคือใคร เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ต่างคนต่างมาด้วยความสมัครใจของตน ตัวอย่างเช่น คนจะคอยถามว่าอาจารย์ไปที่ไหนแล้วทุกคนก็มาฟังการบรรยายฝ่า เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าสั่งระดมคนให้ทุกคนมาที่อเมริกาเพื่อฟังการบรรยายฝ่า ไม่มีเรื่องเช่นนั้นทั้งสิ้น จะบำเพ็ญหรือไม่เป็นเรื่องของความสมัครใจ เมื่อมีรูปแบบการบริหารอย่างคนธรรมดาสามัญ จิตมนุษย์ต่างๆนานาก็จะเกิดขึ้นและยึดติดจนไม่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติ ก็จะบ่อนทำลายฝ่า

ศิษย์  “อู๋โล่ว” (ไม่รั่ว ตกหล่น) ใน “จิตพุทธไม่รั่ว ตกหล่น” หมายถึงอะไร

อาจารย์  “อู๋โล่ว” (ไม่รั่ว ตกหล่น) ในอดีตเป็นคำศัพท์ในพุทธศาสนา เป็นภาษาของการบำเพ็ญปฏิบัติในพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่น มนุษย์มีอารมณ์ทั้งเจ็ดกามคุณทั้งหก จิตยึดติดนานาชนิด ทั้งหมดนี้มีสาเหตุจากฉิง(ความรักความผูกพัน) จิตอิจฉา จิตโอ้อวด ความเกลียด เป็นต้น  จิตยึดติดเหล่านี้ล้วนต้องกำจัดทิ้งไป จิตยึดติดอันใดที่เหลืออยู่ ไม่ได้กำจัดทิ้งไป นี่ก็ยังถือว่ามีจุดรั่วตกหล่น เมื่อมีจุดรั่วก็ไม่สามารถหยวนหมั่น ต้องบำเพ็ญจนอู๋โล่ว (ไม่มีจุดรั่ว ตกหล่น)  จิตยึดติดไม่ให้มีหลงเหลือแม้แต่อย่างเดียว บำเพ็ญจนอู๋โล่ว (ไม่มีจุดรั่ว ตกหล่น) จริงๆ เมื่อนั้นจึงจะสามารถหยวนหมั่นได้อย่างแท้จริง

ศิษย์  ในแต่ละครั้งที่จักรวาลใหม่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้สำเร็จธรรมระดับที่สูงอย่างยิ่ง สูงอย่างที่สุด ความจริง ความเมตตา ความอดทน คุณสมบัติพิเศษนี้เปลี่ยนแปลงหรือไม่

อาจารย์  พวกท่านไม่ควรถามคำถามแบบนี้อีกแล้ว ไม่ควรแม้แต่จะคิด คุณสมบัติพิเศษ “ความจริง ความเมตตา ความอดทน” จะไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร ฝ่าไม่เปลี่ยนแปลงจึงจะสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสสารที่อยู่ภายใน

ศิษย์  ดนตรีของฝ่าหลุนกงนอกจากช่วยให้ผู้บำเพ็ญบรรลุจิตที่สงบแล้ว ยังมีอะไรเป็นพิเศษ......

อาจารย์  จุดประสงค์หลักคือช่วยให้คนเข้าถึงจิตที่สงบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าเมื่อคนฟังดนตรี ในความคิดจะไม่คิดถึงเรื่องการแก่งแย่งชิงดีกัน  เรื่องจิปาถะ การค้าดีหรือไม่ดี ทำเงินได้มากเท่าใด เรื่องเหล่านี้ในหมู่คนธรรมดาสามัญ จึงได้นำวิธีนี้มาใช้ ใช้วิธีของดนตรี ให้หนึ่งความคิดมาแทนหมื่นความคิด เบื้องหลังของดนตรียังบรรจุด้วยความหมายของต้าฝ่าอีกด้วย ดังนั้น พวกท่านฟังดนตรี ท่านจะรู้สึกยิ่งฟังยิ่งรื่นหู ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกสบาย

ศิษย์  เวลาฝึกพลังชุดนั่งสมาธิ สามารถฟังการบรรยายฝ่าของอาจารย์พร้อมกันไปได้หรือไม่

อาจารย์  ท่านฟังข้าพเจ้าบรรยายฝ่าแล้วจะเข้าสู่จิตที่สงบได้อย่างไร เซลล์ในสมองของท่านกำลังคึกคักโลดแล่นอย่างมาก กำลังฟังฝ่าไม่ใช่หรือ จึงไม่สามารถเข้าสู่จิตที่สงบได้ จะฟังการบรรยายฝ่าก็ฟังการบรรยายฝ่า

ศิษย์  อาจารย์ ท่านพูดเมื่อวานว่า มีคนบำเพ็ญปฏิบัติเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ท่านจะต้องรับความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะฉันแนะนำหลายคนเข้ามาสู่หนทางการบำเพ็ญปฏิบัติ

อาจารย์  ข้าพเจ้ารู้ว่าพวกท่านจะคิดถึงประเด็นนี้ ข้าพเจ้าจะบอกพวกท่านว่า อย่าคิดอย่างนี้ ข้าพเจ้ามีวิธีของข้าพเจ้า พวกท่านไม่ต้องสนใจกับเรื่องเหล่านี้ ให้ท่านมุ่งสนใจไปบำเพ็ญ ยิ่งท่านแนะนำคนเข้ามาศึกษาฝ่าได้มาก ก็ยิ่งสามารถพูดได้ว่าท่านมีคุณูปการไร้ขอบเขต เท่ากับกำลังช่วยอาจารย์เผยแพร่ฝ่า ความคิดของพวกท่านช่างโลดแล่นเหลือเกิน สามารถคิดไปถึงประเด็นนั้น ที่พูดข้าพเจ้าหมายถึงพวกท่านเข้ามาบำเพ็ญเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ข้าพเจ้าจะต้องห่วงใยคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ความห่วงใยของข้าพเจ้าไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ข้าพเจ้ามีฝ่าเซิน(ธรรมกาย)นับจำนวนไม่ถ้วนที่กำลังทำสิ่งเหล่านี้

ศิษย์  ในขณะที่ฉันนั่งทำสมาธิและในความฝัน รู้สึกว่าตัวเองบินอยู่กลางอากาศ แต่ฉันไม่เห็นรูปลักษณ์ที่สวมใส่เสื้อผ้าสีเหลืองของสายพุทธ ไม่ทราบว่าฉันเห็นจริงหรือไม่

อาจารย์  ที่จริง ท่านเห็นแล้ว ทำไมไม่มีรูปลักษณ์ของสายพุทธ เพราะว่าท่านไปสถานที่ต่างห่าง ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเห็นแล้วก็เห็นไป อย่าไปสนใจมันมากนัก ให้เอาใจใส่ต่อการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน จะต้องทำเช่นนั้น

ศิษย์  เทพเบื้องบนไม่ได้คิดว่าคนยุคปัจจุบันเป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่เมื่อวาน อาจารย์พูดว่าคนในทุกวันนี้ล้วนไม่ควรเพื่อเป็นมนุษย์

อาจารย์  คนในทุกวันนี้เสื่อมทรามมากจริงๆ เทพต่างก็ไม่ดูแลกันแล้ว ศาสนาทั้งหมดก็ไม่มีเทพดูแล เพราะเทพเห็นว่ามนุษย์เสื่อมทรามอย่างเหลือเกินแล้ว จึงไม่มองมนุษย์เป็นมนุษย์อีกต่อไป  แต่ไม่ว่าท่านมาจากไหนกับการจะช่วยท่านหรือไม่เป็นคนละเรื่องกัน แต่ข้าพเจ้ามีเรื่องที่จะให้ชีวิตใดๆรู้ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่ามีวิธีทำเหมือนกับของพวกเขาหรอกนะ เรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังทำมีความหมายที่กว้างกว่า สังคมมนุษย์จะมีวิวัฒนาการต่อไป  คนที่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติได้ดี คนที่หยวนหมั่นจะไปโลกของสวรรค์ที่ระดับชั้นต่างๆ คนที่ไม่สามารถหยวนหมั่น และสามารถบรรลุเกณฑ์ของมนุษย์ในระยะแรก จะเป็นมนุษย์ในรอบอารยธรรมต่อไป

ศิษย์  อาจารย์กล่าวไว้ในบทความจิงเหวิน “ยืนยันความเป็นจริง” ว่า เราควร “ยืนยันความเป็นจริงว่าต้าฝ่าถูกต้องและเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง….” เราจะยืนยันความเป็นจริงอย่างไร

อาจารย์  พวกท่านเป็นคนที่มีการศึกษา เมื่อท่านพบคนที่ไม่เข้าใจหรือคนที่ไม่ดี ท่านสามารถยืนยันความเป็นจริงโดยใช้ประสบการณ์ ความรู้หรือผลที่ได้จากงานของท่าน และอื่นๆ

ศิษย์  ฉันเป็นคนโปแลนด์ ฉันอยากจะเผยแพร่ฝ่าในโปแลนด์ เมื่อไรจะมีเอกสารที่เป็นภาษาโปแลนด์และฉันสามารถช่วยอะไรได้บ้าง

อาจารย์  มีคนจีนส่วนหนึ่งในโปแลนด์ก็กำลังศึกษาและฝึกอยู่ แต่ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาโปแลนด์ ต้องดูโอกาส เพราะต้องเป็นศิษย์ของเราแปล จึงจะสามารถแปลออกมาได้ มันยากที่คนอื่นจะแปลออกมาได้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกเหมือนท่าน คาดหวังที่จะมี “จ้วนฝ่าหลุน” ฉบับภาษาโปแลนด์โดยเร็ว ถ้าท่านสามารถแปล ก็จะเป็นการดีมากอย่างแน่นอน

ศิษย์  เวลาแนะนำ “จ้วนฝ่าหลุน” แนะนำต้าฝ่าให้คนอื่น ไม่อาจยึดกุมได้อย่างเหมาะสม บางครั้งจะพูดสิ่งที่ค่อนข้างสูงออกมาโดยไม่ตั้งใจ กลับจะทำให้คนเขาคิดว่าไม่น่าเชื่อ

อาจารย์  ถูกต้อง ทุกคนพึงต้องระวังจุดนี้ให้มากๆ อย่าได้แนะนำจากมุมมองความเข้าใจของท่านให้กับคนที่ยังไม่ได้ศึกษาฝ่า จะทำให้เขาตกใจ โดยไม่ตั้งใจท่านก็พูดในสิ่งที่สูง นั่นเป็นเขตแดนของท่าน ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สูงกว่านั้นที่ท่านไม่ได้พูดออกมา แต่ความหมายมีอยู่ในคำพูดของท่านแล้ว ความคิดของเขา ณ ชั้นภายนอกไม่ได้รับสิ่งเหล่านั้น แต่ความคิดที่อยู่ข้างในของเขาได้รับ เขาทนไม่ได้ ดังนั้นเวลาที่เราแนะนำ “จ้วนฝ่าหลุน” แก่คนอื่น จะต้องพูดถึงหลักการในระดับชั้นต่ำที่สุด ระดับพื้นผิวที่สุด เช่นจะเป็นคนดีอย่างไร จะบรรลุการยกระดับชั้นสูงได้อย่างไร ให้พูดหลักการง่ายๆเช่นนี้ มันก็เหมือนกับท่านบอกให้คนไปศึกษาเล่าเรียน แต่พูดหลักการในระดับของมหาวิทยาลัยขณะที่เขายังไม่ได้เข้าโรงเรียนประถม เขาจะพูดว่า “ฉันไม่เรียนแล้ว ฉันฟังไม่เข้าใจ” หลักการเป็นเช่นนี้ ใช่หรือไม่

ศิษย์           ไม่มีขา (มีขาข้างเดียว) และไม่มีมือ (มือขาด) คือขาไม่สามารถขัดสมาธิ ฝึกท่าก็ไม่ได้ จะบำเพ็ญอย่างไร

อาจารย์              ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า บำเพ็ญต้าฝ่าเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง ณ ที่นี้ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าเพื่อให้คนบำเพ็ญปฏิบัติ กล่าวคือเขาสามารถจะบำเพ็ญปฏิบัติ แต่ยังต้องเน้นที่ใจคนเป็นสำคัญ บอกว่าไม่มีขา ไม่มีมือ หากมีใจจะบำเพ็ญ ท่านใช้ขาข้างเดียว มือข้างเดียวไปปฏิบัติ ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งมหัศจรรย์ก็อาจจะปรากฏ ที่สำคัญต้องดูที่ใจคน

ศิษย์           ขณะที่นั่งสมาธิและเข้าสู่ติ้ง(สมาธิ) ในความรู้สึกไม่มีร่างกายของคนแล้ว แต่สัมผัสถึงการคงอยู่ของแสงและเสียง จะบำเพ็ญต่อไปอย่างไร

อาจารย์  ไม่ได้บอกท่านว่าขณะนั่งสมาธิจะเป็นอย่างไรอย่างไร จะเข้าสู่สภาวะอะไร ไม่ได้พูด เราให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญปฏิบัติที่ใจคนจึงจะเป็นมูลฐาน ยึดติดกับสภาวะใดๆก็ไม่สามารถทำให้ท่านบรรลุถึงเขตแดนที่สูงมากๆได้ มีแต่จะทำให้เกิดขีดจำกัดที่ใหญ่มาก  ต้าฝ่าคืออู๋เหวย(ไร้การกระทำ ไร้ความหมายมั่น) ที่บอกว่าท่านเห็นอะไรนั้น นี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ปกติ ได้ยินเสียงอะไร นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องไปสนใจ และก็อย่ายึดติด

ศิษย์           เมื่อหยวนเสิน(จิตหลัก)ออกจากร่าง ควรจะไม่มีความนึกคิด(อี้เนี่ยน)ใช่หรือไม่ ปล่อยให้เขาบิน สามารถจะคิดให้บินสูงขึ้นอีกหน่อย สวยงามอีกหน่อยได้หรือไม่ หรือเปลี่ยนอิริยาบถ เช่นเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง ก้มหน้า.....

อาจารย์  บินได้ก็บิน บอกว่าท่านนอนบิน นั่งบิน จะบินในท่าไหนก็ได้ แต่อย่านำมาเล่นเป็นเรื่องสนุก บางคนบอกให้ข้าพเจ้าแสดงอะไรสักหน่อย ข้าพเจ้าแสดงอะไรท่านก็จะดูด้วยความคิดของมนุษย์ หัวเราะฮ่าๆ ท่านมองไม่เห็นความหมายอันยิ่งใหญ่ของอิทธิฤทธิ์แห่งฝอฝ่า(พุทธธรรม) ดังนั้นจึงไม่นำมาใช้กันเช่นนี้ ท่านทำเช่นนี้ได้ แต่อย่านำสิ่งนี้มาเล่นเป็นเรื่องสนุกทั่วไป

ศิษย์           เมื่อหยวนเสิน(จิตหลัก)ออกจากร่าง เดิมทีสามารถบินได้สูงมาก ไกลมาก ระยะหลังนี้อยู่ๆก็บินได้ไม่สูง

อาจารย์  เป็นไปได้ว่าเพราะท่านเกิดจิตยึดติดแล้ว ไม่ใช่ว่าในระหว่างบำเพ็ญปฏิบัติจะให้ท่านเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยไป ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อยๆ จะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน ให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ การบำเพ็ญปฏิบัติของท่าน การยกระดับชั้นต้องมาก่อน

ศิษย์           ฉันเลื่อมใสศรัทธาฝ่าหลุนต้าฝ่าของท่านอย่างหมอบราบคาบแก้ว แต่บางคนบอกว่าทุกวันต้องเซ่นผลไม้ถวายต่อภาพธรรมะ(ฝ่าเซี่ยง)ของท่าน

อาจารย์  เทพช่วยเหลือคนอยู่บนโลกมนุษย์ ที่จริงเขาก็รับประทานสิ่งของ แต่ไม่ใช่สิ่งของของคน แล้วรับประทานอะไรนะหรือ ทุกท่านก็ทราบ ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าวัตถุใดๆ ล้วนมีอีกร่างหนึ่งคงอยู่ เขารับประทานอีกร่างหนึ่งของอาหารนั้น พวกท่านเป็นศิษย์ ข้าพเจ้าคืออาจารย์ แน่นอนข้าพเจ้าไม่เกรงใจท่านหรอกนะ เวลาท่านรับประทานอาหาร พอวางข้าวลงตรงนี้ ฝั่งนั้นก็ตักไปแล้ว สำหรับเรื่องที่เป็นรูปแบบเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ท่านทำเช่นนี้ แต่บอกว่าท่านมีใจจะทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้าน นั่นเป็นเรื่องของใจท่าน สำหรับเรื่องที่ว่าบางคนกราบไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าว่าท่านไม่กราบไหว้ข้าพเจ้า ท่านบำเพ็ญได้ดีมาก ข้าพเจ้ามองดูท่านก็ดีใจแล้ว ท่านกราบไหว้ข้าพเจ้าทุกวัน ท่านไม่บำเพ็ญให้ดี ข้าพเจ้ามองดูท่านก็รู้สึกไม่สบายใจ หลักการเป็นเช่นนี้ ใช่หรือไม่ มันเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้น แต่ก็แสดงใจดวงหนึ่งออกมาให้เห็น

ศิษย์           เวลาที่ฉันรู้สึกสับสนกับปัญหาบางประการ ฉันจะเฝ้าครุ่นคิดกลับไปกลับมา ณ เวลานั้นฉันก็จะจินตนาการออกมาหนึ่งคำตอบ บางครั้งยังมีภาพปรากฏออกมาในสมอง นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี 

อาจารย์  ท่านอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ นี่เป็นสิ่งปรากฏอยู่เสมอ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเสมอเวลาไตร่ตรองปัญหาของคนธรรมดาสามัญ ขณะบำเพ็ญปฏิบัติและศึกษาฝ่า ถ้าท่านยังเป็นเช่นนี้ พูดตามฝ่าข้าพเจ้าว่าอย่างน้อยที่สุดนั่นก็คือจิตยึดติด ไตร่ตรองเรื่องการงานหรือปัญหาการดำรงชีวิต นั่นคือการงาน แต่ก็ต้องแยกออกจากการบำเพ็ญปฏิบัติ เวลาบำเพ็ญปฏิบัติท่านก็วางมันลงให้หมด อะไรก็ไม่คิด เวลาทำงานท่านก็ทุ่มเททำงาน ไม่เป็นไร  บอกว่าปรากฏเป็นภาพและคำตอบ นั่นเป็นปรากฏการณ์ของกงเหนิง(ความสามารถ)แบบหนึ่ง

ศิษย์           ในสมองว่างเปล่าอยู่เสมอ ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น กับความว่างเปล่าของฉันจง(เซน)นั้นแตกต่างกันอย่างไร

อาจารย์  แตกต่างกันอย่างมาก ต่อให้ท่านว่างเปล่าอย่างไรก็ไม่อนุญาตให้ท่านสูญซึ่งสำนึกของตนเอง นี่คือความว่างเปล่าที่เรากล่าวถึง แต่ความว่างเปล่าของฉันจง(เซน)นั้นอะไรก็ไม่มี ไม่รู้อะไรแล้ว คนที่ฝึกไม่ใช่เขา เขาไม่ได้ฝึกพลัง เพียงแต่หยุดอยู่ในความสงบเท่านั้นเอง ดังนั้นคนที่ฝึกคือคนอื่น เป็นฟู่หยวนเสิน(จิตรอง)

ศิษย์           เมื่อวานอาจารย์พูดว่า “คนบนโลกในปัจจุบัน ล้วนไม่สมควรเพื่อจะเป็นคน” ประโยคนี้ไม่ค่อยเข้าใจ

อาจารย์  พูดจากเปลือกชั้นผิวนอกที่สุดนี้ของคน มนุษย์ในปัจจุบัน (แน่นอนไม่ใช่พวกท่าน เพราะพวกท่านอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญปฏิบัติแล้ว) มีความชั่วร้ายครบครัน แต่พวกเขาล้วนมีที่มา เป็นความสัมพันธ์เช่นนี้ แต่ทว่ามนุษย์ที่แท้จริง มนุษย์ในอดีต ข้าพเจ้าพบว่าล้วนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง กล่าวคือมิติโยมโลก ตายตามกันไปพร้อมกับสงครามและทยอยข้ามไป ล้วนไม่กลับขึ้นมาเกิดใหม่ มนุษย์ล้วนถูกทดแทนโดยชีวิตที่มีที่มาเหล่านี้ในปัจจุบัน แต่ใครก็ตามที่มาล้วนต้องรับการปฏิบัติเหมือนกับคน คือให้เขาหลงอยู่ในวังวน และเช่นเดียวกันต้องเสื่อมทรามไปพร้อมๆกับความเสื่อมทรามของสังคมมนุษย์ เป็นความสัมพันธ์เช่นนี้ เมื่ออาจหาญกล้าลงมา ก็สามารถจะได้ฟังฝ่าที่สูงส่งเช่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่มาเพื่อรับฝ่ากันทั้งหมด ก็มีพวกที่มาเพื่อบ่อนทำลายด้วยเช่นกัน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่าล้วนไม่สมควรมาเพื่อเป็นคน แต่ก็ไม่ใช่มาบำเพ็ญปฏิบัติกันทั้งหมด ก็มีพวกที่เจาะจงมาเพื่อบ่อนทำลายต้าฝ่าด้วย พวกนี้ต้องตีลงนรกไป ยังมีพวกที่ไม่ไหวแล้ว พวกที่ไม่สามารถได้รับฝ่าเป็นต้น และมีพวกที่ไม่คู่ควรจะได้รับฝ่าอีกแล้ว

ศิษย์           ผมเป็นคนเดนมาร์ค อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย โชคดีได้รับฝ่า ผมควรจะกลับไปเดนมาร์คเพื่อเผยแพร่ฝ่าหรือไม่ ผมเกรงว่าจะรับผิดชอบไม่ไหว

อาจารย์  ท่านอย่ากังวลเรื่องเหล่านี้ พวกเราหลายๆคนเวลาแนะนำให้คนได้ฝ่า โดยมากจะบอกกับเพื่อนฝูงว่า “หนังสือเล่มนี้ดีมาก” เพื่อนของเขาก็จะพูดว่า “เช่นนั้นหรือ เราจะลองอ่านดู” โดยไม่ตั้งใจเขาก็เริ่มศึกษา มันง่ายๆเช่นนี้ ง่ายๆแต่ไม่ใช่ความบังเอิญ แน่นอนมีอยู่จุดหนึ่ง ท่านไม่อาจพูดว่า “ผมรู้สึกว่า(หนังสือที่)ดีขนาดนี้ ทำไมท่านไม่ศึกษา” คนเขาก็อาจจะบอกว่า “ฉันไม่ศึกษา ไม่มีเวลา หรือฉันอ่านแล้วไม่เห็นดีเลย” จะต้องให้คนศึกษาให้ได้ นี้เป็นสิ่งที่ผิดแล้ว ทำไมจึงผิดนะหรือ ท่านบังคับคนเขาให้รับ ท่านบีบบังคับให้คนเขารับ ไม่มีการบีบบังคับ ถ้าใจของคนไม่ต้องการ ไม่อาจจะให้ฝ่าแก่เขาอย่างเด็ดขาด ใจเขาต้องอยากได้เอง พูดอีกนัยหนึ่งคือ เขาต้องไม่ทำผิดต่อฝ่านี้ จึงจะสามารถให้เขาอ่านได้ นี่เป็นหลักการ ใช่หรือไม่

ศิษย์           “ในชั่วพริบตานั้น ช่วงเย็นก่อนวันที่พลังและการรับรู้(อู้)ของเขาจะเปิด เขาต้องตัดทอน พลังของตัวเองลงแปดในสิบส่วน แม้กระทั่งมาตรฐานซินซิ่งของเขาก็ต้องตัดลงมาด้วย” ควรจะเข้าใจข้อความนี้อย่างไร

อาจารย์  ข้าพเจ้าเคยพูดถึงหลักการนี้แล้ว จุดประสงค์ที่ตัดทอนพลังของท่านคือเพื่อให้ท่านหยวนหมั่น อะไรที่เรียกว่าหยวนหมั่นนะหรือ ตัวท่านเองบำเพ็ญถึงมาตรฐานแล้ว พลังของท่าน โชคลาภ กุศลของท่านทั้งหมดก็ต้องถูกหยวนหมั่นด้วย พระพุทธนั้นต้องการอะไรก็มีอย่างนั้น ต้องการความสามรถอะไรก็มีความสามารถอย่างนั้น มันมาจากที่นะหรือ ทั้งหมดคือจิตใจและเลือดเนื้อที่ตัวท่านได้ทุ่มเท ก็คือธรรมานุภาพ(เวยเต๋อ)ที่อยู่คู่กับซินซิ่ง ซึ่งประกอบขึ้นและหยวนหมั่นโดย “พลัง” ท่านไม่มีสิ่งเหล่านี้ ท่านก็ไม่สามรถขึ้นสวรรค์ ทุกท่านทราบ รอบๆร่างกายของพระพุทธมีวงกลมวงหนึ่ง ในวัดโบราณ ภาพของพระพุทธเหมือนกับนั่งอยู่ในวงพระจันทร์ แท้จริงแล้วมันไม่ใช่อื่นใด มันก็คือโลกใบนั้นขององค์พระพุทธ ต้องทำให้โลกใบนี้หยวนหมั่น ไม่ทำให้มันหยวนหมั่นท่านก็จะไม่มีอะไรทั้งสิ้น ท่านจะมีแต่พลัง อะไรก็ไม่มี นั่นจะเรียกว่าพระพุทธอะไรได้ละ ท่านอยากจะช่วยคน ทำความดี ท่านก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ต้องมีทั้งหมด ท่านต้องมีโลกใบหนึ่งของตนเอง จึงจะสามารถต้องการอะไรก็จะมีอย่างนั้น

ศิษย์      การยกระดับชินชิ่ง ถ้าไม่มีการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของต้าฝ่าเหมือนอย่างวันนี้ ฉันคิดว่าฉันอาจจะไม่ได้รับ นี่เป็นเรื่องปกติหรือ

อาจารย์  การประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการยกระดับและส่งผลในการกระตุ้นต่อผู้ฝึกของเรา ในเวลาเดียวกันก็สามารถเผยแพร่ฝ่า รูปแบบอย่างนี้ดีมาก ข้าพเจ้าคิดว่าสมควรทำเช่นนี้ มันสามารถทำให้คนที่ไม่ก้าวหน้าค้นพบจุดบกพร่องได้จริงๆ กระตุ้นให้พวกเขาเร่งตามให้ทันได้ หากจะบอกว่าไม่จัดการประชุมก็ไม่สามารถจะได้ฝ่า นั่นไม่ถูกต้อง มีฝ่าอยู่ สามารถที่จะศึกษา ฝ่าฮุ่ยสามารถส่งผลในการเผยแพร่ฝ่าและในการกระตุ้น และยังมีบางคนได้รับฝ่าผ่านการประชุมฝ่าฮุ่ย

ศิษย์           ท่านอาจารย์บอกว่า ในช่วงปัจจุบันนี้เทพในมิติระดับชั้นต่างๆ ล้วนกำลังศึกษาฝ่านี้ ใคร่ขอถามว่า จิงเหวินที่ศึกษาโดยชีวิตชั้นสูงในระดับชั้นนี้นั้นเหมือนกับจิงเหวินที่พวกเราอ่านหรือไม่

อาจารย์  ไม่เหมือนอย่างแน่นอน ระดับชั้นที่ต่างกันมีฝ่าของระดับชั้นที่ต่างกัน กระดาษขาว ตัวอักษรดำที่ให้คนอ่าน ฝ่าเล่มเดียวกันนี้ เมื่อไปถึงระดับชั้นที่ต่างกัน ตัวอักษร ความหมายของเขาทั้งหมดจะไม่เหมือนกันเลย

ศิษย์           ปีศาจ ผี กลับมาเกิดเพื่อก่อความวุ่นวายบนโลกมนุษย์ เหตุใดชีวิตชั้นสูงอนุญาตให้ผีนรกมาเกิด

อาจารย์  ผีก็ไม่ใช่อยู่ในนรกกันทั้งหมด ระดับชั้นที่ต่างกันมีปีศาจที่ต่างกัน บ้างคงอยู่ตามหลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกัน บ้างเพราะมีกรรมมนุษย์หนักและมาตามหลักการของการสอดคล้องกัน และก็มีอิทธิพลเก่าที่เสื่อมทรามที่มาเพื่อทำลายฝ่า

ศิษย์           เมื่อปีที่แล้วฉันได้รับศีลล้างบาปของศาสนาคริสต์ แต่เวลานี้ฉันค้นพบว่าฝ่าหลุนต้าฝ่าจึงจะเป็นต้าฝ่าที่แท้จริง ฉันตัดสินใจจะบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า สองสิ่งนี้ขัดแย้งกันหรือไม่

อาจารย์  ไม่ขัดแย้งกัน การรับศีลล้างบาปนั้นกระทำโดยมนุษย์ เป็นชั้นพื้นผิว ไม่ใช่กระทำโดยเทพ ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่าที่เทพยอมรับคือใจของคน ไม่ยอมรับรูปแบบพิธีกรรมใดๆของคน

ศิษย์            ท่านบอกว่าในจักรวาลมีเกิด อยู่ เสื่อม ทำไมต้องเสื่อม

อาจารย์  ทุกท่านทราบ อาหารทำไมต้องบูดเน่าล่ะ ท่านทำไมต้องแก่เฒ่าล่ะ เหล็กทำไมต้องขึ้นสนิมล่ะ แม้แต่ก้อนหินยังสึกกร่อน ก็คือความหมายเช่นนี้ เพียงแต่ว่ามันใช้เวลายาวนานมากขึ้น ต่างกันที่เวลา เวลาที่ยาวนานมาก กล่าวสำหรับคน นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิด ดูเหมือนมันไม่เสื่อมและคงอยู่ตลอดไป

ศิษย์           สองเดือนมานี้ ไม่สามารถสลัดการรบกวนของมารทิ้งไปโดยตลอด เช่นคำพูดสกปรกที่ข้างหู การถูกรบกวนจากสัญญาณ(ซิ่นซี่)ที่ไม่ดีทั้งในความฝัน และในชีวิตประจำวัน

อาจารย์  อ่านหนังสือให้มาก ปัญหาใดๆก็สามารถจะแก้ไขได้ เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดว่าให้อ่านหนังสือให้มาก ที่จริงท่านอาจจะไม่เข้าใจความหมายที่ข้าพเจ้าพูด หนังสือเล่มนี้มีความสามารถสารพัดอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่หนังสือเล่มนี้แก้ไขไม่ได้ พร้อมๆกับที่ท่านคงจิตสำนึกหลักของตัวท่านเองให้มั่นคง ก็กำลังสลายกรรมในความคิดของท่าน ที่ปรากฏสภาพการณ์แบบนี้โดยมากเป็นเพราะมีกรรมแห่งความคิดค่อนข้างหนัก ให้พึงระวังเป็นพิเศษ คงจิตสำนึกหลักให้มั่นคง

ศิษย์           ตัวเองอ่านหนังสือและฝึกพลังตามลำพังไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปศูนย์ฝึกก็จะมีความรู้สึกของการศึกษาการเมือง

อาจารย์  เป็นไปได้ว่าในจิตใจของท่านรู้สึกไม่พอใจต่อการศึกษาการเมือง คงจะเกิดจากจิตต่อต้านที่รุนแรงเกินไป ไม่อยู่ที่รูปแบบ อยู่ที่ความหมายของเนื้อหา นั่นไม่ใช่จิตยึดติดที่รุนแรงหรอกหรือ จิตต่อต้านนี่นะ

ศิษย์           การตีพิมพ์บทความแนะนำฝ่าหลุนต้าฝ่าในนิตยสารเป็นการตัดบทความบางตอนออกมา ใช่หรือไม่

อาจารย์  “บทความแนะนำ” ไม่ใช่การคัดลอกออกมาจากฝ่าของข้าพเจ้า เป็น“บทความแนะนำ” ชิ้นหนึ่ง จึงไม่ใช่เป็นการตัดบทความบางตอนออกมา เป็นการแนะนำฝ่าของข้าพเจ้าในภาพรวม ที่ผ่านมาพวกเราเคยทำเรื่องนี้ แต่ทุกครั้งจะทำอย่างความเข้มงวดมาก พวกเขาจะทบทวนแล้วทบทวนอีก แล้วค่อยไปทำ

ศิษย์           ความเหงาเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของการบำเพ็ญปฏิบัติ ควรจะเข้าใจอย่างไร

อาจารย์              ท่านไม่รู้หรอกว่าความเหงาสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของคน ในอดีตพระสงฆ์ในระหว่างบำเพ็ญปฏิบัติ เขาอาศัยอะไร ทำไมเขาจึงสามารถบำเพ็ญสำเร็จ ความทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือความเหงา ท่านว่าเขาทนทุกข์อย่างไร ความเหงาที่อดทนได้ยากนัก ในอดีตผู้บำเพ็ญเต๋าที่ขึ้นไปบนเขา เขาได้เต๋ากันอย่างไร คนในสังคมเสวยสุขอยู่กับความรุ่งเรืองและร่ำรวย แม้แต่คนที่ไม่ได้เสวยสุขอยู่กับความรุ่งเรืองและร่ำรวย คนที่ไม่มีเงินทอง เขาก็มีญาติมิตรเพื่อนฝูง มีความสุขของคนในสังคม เขาบำเพ็ญอยู่คนเดียวบนด้วยความทุกข์ทรมาน ความเหงาที่อดทนได้ยากที่ตัดขาดจากผู้คนแบบนั้น มันสามารถขัดเกลาจิตยึดติดต่างๆและกิเลสนานาชนิดของคนทิ้งไป แน่นอนพวกเราไม่เลือกเดินเส้นทางนี้ พวกเรามุ่งตรงที่ใจคน เดินบนเส้นทางที่เร็วที่สุด ต่อให้ท่านขัดเกลานับสิบปี ข้าพเจ้าว่ายังตามไม่ทัน(พวกเรา)

ศิษย์           ผู้ที่เป็นโรคประสาทไม่ให้เข้ามาเรียน แต่ใคร่ขอถามผู้ป่วยที่มีสติฟั่นเฟือน เป็นโรคชอบข่มขู่ โรคหวาดหวั่นเป็นต้น ล้วนจัดเป็นผู้ป่วยโรคประสาทไหม

อาจารย์  ที่จริง ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน โรคที่มนุษย์เรียกว่าโรคประสาทนั้น ต่างจากความเข้าใจของข้าพเจ้า โรคประสาทที่ข้าพเจ้าพูดคือ จิตหลักของเขาไม่ควบคุมร่างกาย สัญญาณชนิดหนึ่งๆ ชีวิตชนิดหนึ่งๆ จากภายนอกก็สามารถควบคุมบังคับให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ กรรมของเขาก็สามารถควบคุมบังคับให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ กรรมอันนั้นก็อยู่ในสมองของเขาทำให้เขาด่าว่าคน ทำสิ่งต่างๆที่ไม่ดี คนก็จะบอกว่าเขาเป็นโรคประสาท ข้าพเจ้าพบว่าโรคประสาทนั้นโดยแท้จริงแล้วไม่มีบาดแผล ไม่มีเชื้อไวรัส จะเรียกว่าเป็นโรคได้อย่างไร เพียงแต่คนแสดงอาการออกมาผิดปกติ แต่ต้าฝ่าของเรานี้เป็นการช่วยคน คือต้องให้จิตหลักบำเพ็ญปฏิบัติ ท่านว่าจิตหลักของท่านไม่สนใจอะไรแล้ว แล้วเราจะให้ใคร(บำเพ็ญ)ล่ะ ดังนั้นจึงไม่ให้เขาเข้ามาในสถานที่ ที่ควบคุมคนนั้นคือกรรมหรือฟู่ถี่ จะช่วยกรรมของเขาและฟู่ถี่ได้หรือ เป็นความสัมพันธ์เช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นคนเขายังจะพูดว่า “ท่านดู ฝึกฝ่าหลุนกงฝึกจนเป็นบ้าเลย” จะยังความสูญเสียให้แก่เราอย่างใหญ่หลวง

ศิษย์           การมีความรักชักนำเราให้ยึดติดกับสิ่งต่างๆมากมาย ควรจะบอกเลิกกับเพื่อนชาย หรือปล่อยให้เป็นธรรมชาติ แต่งงานและมีบุตรธิดา

อาจารย์              ที่จริง ข้าพเจ้าเคยพูดแล้ว สังคมมนุษย์ยังต้องวิวัฒนาการต่อไป หากวันนี้ศิษย์ต้าฝ่าของเราไม่ใช่หนึ่งร้อยล้านกว่าคน แต่เป็นพันๆล้านคน เช่นนั้นปัญหามิรุนแรงมากหรือ เป็นปัญหาใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าบอกให้พวกท่านปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด ที่จริงพวกท่านก็ทำได้ เพียงแต่พวกท่านกำหนดตัวเองไว้สูงสักหน่อย แน่นอน ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้านข้อกำหนดที่สูงสักหน่อย ข้าพเจ้าคิดว่าพยายามปฏิบัติให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญ การจงใจ(ตั้งใจ)ทำอย่างนั้น จะทำให้สังคมไม่เข้าใจพวกเรา จะยังความสูญเสียแก่ฝ่า ถ้าตัวท่านบรรลุไม่ถึงเขตแดนนั้น  การแบกรับความทุกข์ทรมานใจก็จะเกิดขึ้น หากบรรลุถึงเขตแดนนั้นจริงๆ ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน คนที่บรรลุไม่ถึงเขตแดนนั้น พยายามปล่อยให้เป็นธรรมชาติ

            จัดความสัมพันธ์นี้ให้ดี ถ้าท่านกำจัดฉิง(ความรักความผูกพัน)ของท่านทั้งหมดทิ้งไปแล้วจริงๆ ท่านก็จะไม่เกิดความรักแล้วจริงๆ แต่ก่อนที่จะบรรลุสภาวะแบบนี้ ข้าพเจ้าคิดว่ายังคงปฏิบัติไปตามสภาวะของมนุษย์ ท่านจะไม่ตกลงมาหนึ่งชิ้นเพราะการแต่งงานอย่างแน่นอน ไม่เป็นหรอก

ศิษย์           ถ้าชาติที่แล้วเป็นสัตว์ ชาตินี้บำเพ็ญปฏิบัติ จะออกจากฝ่าในภพได้หรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่าง คนคนหนึ่งอาจจะมาจากระดับชั้นที่สูงมาก ทุกภพทุกชาติที่กลับมาเกิดไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นมนุษย์ มีทั้งเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม กลับมาเกิดในขั้นนี้จึงเป็นมนุษย์ แม้ว่าก่อนมาถึงขั้นนี้ท่านเคยเกิดเป็นสัตว์ นั่นไม่สามารถบอกว่าท่านเป็นสัตว์ เพียงแต่ว่าท่านอยู่ท่ามกลางวัฏสงสารหกทาง แต่ทว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไร นั่นจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ศิษย์           เวลาฉันอ่านหนังสือ บางครั้งอู้(รับรู้)ได้ แต่บางเวลาอ่านหนังสือ 2 – 3 รอบแล้วก็ยังอู้(รับรู้)ไม่ได้

อาจารย์  ถ้าตั้งใจคิดที่จะอู้(รับรู้)อะไร รับรองว่าอู้(รับรู้)ไม่ได้ ท่านหยิบหนังสือเล่มนี้แล้วให้ท่านอ่านไปเรื่อยๆ เรียกว่าไม่แสวงหาและจะได้เอง เมื่อวานข้าพเจ้ายังพูดว่า ถ้าท่านพบกับปัญหาอะไร ท่านอย่าคิดที่จะหาบทความท่อนที่สัมพันธ์กันเพื่อจะอ่าน ท่านจะหาไม่เจอ โดยมากล้วนแต่ไม่ได้แสวงหาก็จะได้เอง โดยหยิบหนังสือขึ้นมา พอพลิกก็เจอ รับรองว่าก็เป็นสิ่งที่ท่านจะได้วันนี้ แต่เมื่อข้าพเจ้าพูดออกมาแล้ว บางคนเข้าใจแล้ว เอาละ แต่นี้ไปฉันอ่านหนังสือก็จะพลิกไปตามใจชอบเช่นนี้ นี่ก็เป็นจิตยึดติด ท่านก็จะพลิกไม่เจออีก นั่นก็เป็นการแสวงหา เป็นการตบตา

ศิษย์           พวกเราเชื่อมั่นต่อท่านและฝ่าหลุนต้าฝ่า ได้ยินว่าเมื่อเร็วๆนี้ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เกิดเรื่องยุ่งยากบางประการ ควรจะปฏิบัติอย่างไร

อาจารย์  ตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าเริ่มถ่ายทอดฝ่า เรื่องยุ่งๆก็มีไม่หยุดหย่อน เพราะเหตุใด หากฝ่าที่ถูกต้องอันหนึ่งได้ถ่ายทอดออกมาแล้ว ถ้าไม่มีการรบกวนของสิ่งชั่วร้าย หรือผู้คนต่างสามารถเข้าใจเขาแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าก็เป็นสิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกับคนแล้ว ใช่หรือไม่ นั่นก็ไม่อาจช่วยเหลือคนแล้ว เป็นเพราะมีคนไม่เข้าใจ หรือสิ่งชั่วร้ายพอเห็นฝ่าที่ถูกต้อง มันต้องรบกวน แม้ว่าฝ่านี้ได้ถ่ายทอดออกมาแล้ว เขาจะสืบทอดอย่างไรในสังคมโลก จะช่วยเหลือคนอย่างไร เมื่อประสบกับการรบกวน ต้าฝ่าโดยตัวเองและข้าพเจ้าจะทำอย่างไร เดินหนทางอย่างถูกต้องเที่ยงตรงหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ มันสัมพันธ์โดยตรงกับฝ่าว่าความถูกต้องเที่ยงตรงหรือไม่ ฝ่าสามารถช่วยเหลือคนได้หรือไม่ คือหลักการนี้ใช่หรือไม่ ดังนั้นทั้งลมทั้งฝน(เรื่องยุ่งๆ)จึงมีไม่หยุดหย่อนตลอดมา ทุกย่างก้าวของเราเดินได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรงมาก กระทั่งมีคนคิดจะหาจุดอ่อนสักจุดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดเพื่อจะโจมตีเรา เขาก็หาไม่พบข้อผิดพลาด พวกเราเดินได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรงอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเราจึงเดินผ่านมาเช่นนี้ ท่ามกลางลมและฝน(อุปสรรคต่างๆ)เช่นนี้ พวกเราได้สถาปนาธรรมานุภาพของตนเอง จึงสามารถมีสิ่งที่จะเหลือไว้ให้คนรุ่นต่อไป สามารถนำไปพูด นำไปเล่าขาน มีบทเรียนของการเดินผ่านอุปสรรคต่างๆ ของเขา เป็นประสบการณ์ที่จะเหลือไว้แก่คนรุ่นต่อไป เขาจึงจะมีธรรมานุภาพ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่

ศิษย์           ท่านอาจารย์พูดว่า บำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญต้องพยายามปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสภาพของคนธรรมดาสามัญ อยู่ในอเมริกาจะไปเผยแพร่ฝ่าข้างนอกถ้าไม่มีองค์กรที่จดทะเบียน บางครั้งการทำงานจะไม่สะดวก

อาจารย์            อเมริกาได้จดทะเบียนตั้งสมาคมศึกษาต้าฝ่าแล้ว แต่เราไม่สามารถดำเนินงานของสมาคมนี้เหมือนที่ทำกันในหมู่ของคนธรรมดาสามัญ มันเพียงแต่เอื้ออำนวยให้ต้าฝ่าของเรามีสภาพแวดล้อมหนึ่งของการฝึกพลังที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นหลักประกันให้ทุกคนบำเพ็ญปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นเอง ไม่สามารถนำสิ่งนี้มาจัดทำเหมือนการทำงานอย่างเด็ดขาด ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าเต๋าใหญ่(หลักธรรมใหญ่)ไร้รูป ไม่อนุญาตให้ทุ่มเทจิตใจไปที่งานใด แม้แต่สมาคมต้าฝ่าที่ก่อตั้งขึ้นมาในวันนี้ ก็จัดทำโดยผนวกกับการบำเพ็ญปฏิบัติ ไม่เก็บค่าใช้จ่ายผู้ฝึก เป็นองค์กรเพื่อความเมตตา แต่มันไม่ใช่ศาสนา

ศิษย์     ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวติดต่อกับคนข้างนอกน้อยมาก คนในครอบครัวอยู่ในประเทศจีน เมื่อมีเวลาผมก็จะศึกษาฝ่าอยู่ที่บ้าน การบำเพ็ญปฏิบัติในสภาพแวดล้อมแบบนี้…..

อาจารย์  จะบำเพ็ญปฏิบัติอย่างไรก็ทำได้ เพียงแต่ในใจของท่านสำนึกได้ว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติและศึกษาอยู่ ฝึกอยู่ตลอดเวลา ก็จะไม่ล้าหลัง หากสามารถออกมาบำเพ็ญปฏิบัติจะยิ่งเป็นการดี

ศิษย์     ตลอดขั้นตอนของการบำเพ็ญปฏิบัติต้องกำจัดการรบกวนของสัญญาณ(ซิ่นซี)ทุกชนิด ใช่หรือไม่

อาจารย์      ถ้าในเวลาที่ท่านฝึกพลังและสามารถได้ยินเสียงบางอย่าง หรือในสมองมีสัญญาณ(ซิ่นซี)บางอย่าง ความคิดบางอย่างรบกวนท่าน ท่านต้องกำจัดมัน ถ้ารุนแรงก็ให้ท่านถือว่ามันเป็นบุคคลที่สาม เป็นความคิดของคนอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ทำไมข้าพเจ้าต้องบอกท่านเช่นนี้นะหรือ เพราะถ้าเป็นอวัยวะของท่าน มันต้องฟังคำสั่งของท่าน แขนของท่าน ขาของท่าน นิ้วของท่าน ปากของท่าน ท่านสั่งให้มันขยับอย่างไรมันก็ขยับอย่างนั้น เพราะเหตุใด เพราะมันเป็นของท่าน เวลาที่ความคิดของท่านต้องการจะเข้าสู่สมาธิ ความคิดที่ไม่อาจสงบลงได้นั้น ยิ่งท่านสั่งมันให้สงบมันยิ่งไม่สงบ มันเป็นท่านหรือ ท่านจะยอมรับว่ามันเป็นท่านได้หรือ มันคือทรรศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิดและกรรมของท่าน ดังนั้นท่านก็คิดว่ามันเป็นบุคคลที่สาม ให้แกคิดไป ฉันจะมองดูแกคิด อย่างนี้ท่านก็กระโดดออกมา ถ้าท่านแยกแยะได้ชัดเจน ก็เท่ากับว่าท่านกับมันได้ขีดเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน ตัวท่านหาตัวเองได้พบ นี่ก็เป็นการบำเพ็ญปฏิบัติด้วย ทำเช่นนี้ก็สามารถสลายมันทิ้งได้อย่างรวดเร็ว ถ้าท่านสามนรถแยกมันออกได้ชัดเจน มันก็กลัว จึงควรสลายมันทิ้ง

ศิษย์        “จ้วนฝ่าหลุน” เป็นหนังสือที่จะเหลือเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไป ข้างในนั้นมีรูปถ่ายของท่านอาจารย์ แต่ท่านก็บอกอีกว่า คนในอนาคตจะไม่รู้จักรูปลักษณ์ของท่าน

อาจารย์   “จ้วนฝ่าหลุน” เป็นหนังสือที่จะเหลือเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไป คนในอนาคตจะไม่รู้ว่ามี“จ้วนฝ่าหลุน” ฉะนั้นถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะบรรยายฝ่าไว้สูงมาก เปิดเผยความลับสวรรค์ต่างๆมากมาย คนที่ได้ฟังฝ่าสามารถหยวนหมั่นได้จริงๆ ในอนาคต ข้าพเจ้ามิใช่บรรยายให้แก่เทพฟังเท่านั้นหรอกหรือ คนยังคงไม่รู้ ข้าพเจ้าจึงพูดกับท่านเช่นนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าพวกท่านจะหยวนหมั่นกันทั้งหมด

            สำหรับหนังสือ เรื่องนี้จัดการง่าย เราสามารถทำให้ตัวหนังสือของเขา(จ้วนฝ่าหลุน)หายไปไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว ณ เวลาหนึ่งๆ ให้กลายเป็นกระดาษเปล่า

ศิษย์        หนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน”  ที่พิมพ์ตกไปเป็นบรรทัด พิมพ์ตกเป็นประโยค ในลักษณะนี้จะปฏิบัติอย่างไร

อาจารย์   การลักลอบพิมพ์ “จ้วนฝ่าหลุน” เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อย ทุกท่านพึงสังเกตให้ดี ถ้าพบว่ามีอักษรตัวใดที่พิมพ์ตกไป หรือบรรทัดใดที่พิมพ์ตกไป ท่านก็ใช้ปากกาเขียนเติมเข้าไป ต่อไปหนังสือที่พิมพ์ตกตัวอักษร หรือพิมพ์ตกบรรทัดอย่าไปซื้อ กล่าวคือเล่มที่เรียงพิมพ์ตามแบบเดิมซื้อได้ ที่จัดเรียงพิมพ์ใหม่ต้องไม่ซื้ออย่างเด็ดขาด

ศิษย์        มีผู้ฝึกที่เคยฝึกชี่กงประเภทอื่นๆ เวลาเขาเผยแพร่ต้าฝ่า พวกเขาจะแนะนำก่อนว่าพวกเขาเคยฝึกอะไรมาบ้าง โดยอ้างว่าเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฝึก

อาจารย์   พวกเราบางคนยังมีใจของคนธรรมดาสามัญเช่นนี้อยู่ แต่ท่านไม่อาจจะบอกว่าเขาไม่ดี สองวันมานี้ การเล่าประสบการณ์ ข้าพเจ้าพบว่ามีบางคนพูดแต่สิ่งเหล่านั้นของตัวเองในอดีต โดยภาพรวมทุกคนล้วนแต่พูดได้ดีมาก เพียงแต่ใจของคนธรรมดาสามัญของคนบางคนยังสามารถแสดงออกมาให้เห็น การเผยแพร่ต้าฝ่า โดยพื้นฐานท่านไม่อาจจะพูดถึงสิ่งที่ท่านเคยเรียนมาในอดีต เพราะท่านได้ตัดขาดกับมันไปแล้ว มันไม่ใช่เป็นของท่าน และไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการแล้ว มิเท่ากับท่านกำลังเผยแพร่สองวิชาหรือหลายวิชาหรอกหรือ  

ศิษย์        ขอท่านอาจารย์อธิบายอีกครั้งเกี่ยวกับข้อกำหนดที่ว่าศูนย์ช่วยฝึกสอนไม่เก็บเงินทองไว้ แต่ในอเมริกา ในสังคมของธุรกิจการค้าแห่งนี้ การทำสิ่งใดไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องใช้เงินทอง

อาจารย์              ข้าพเจ้าขอบอกท่าน นี่เป็นข้อกำหนดที่ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ศูนย์ช่วยฝึกสอนไม่อาจเก็บเงินทองเอาไว้โดยเด็ดขาด เช่นว่า ณ เวลานี้เราขายหนังสือมีเงินเหลืออยู่บ้าง เราอยากจะนำเงินที่เหลืออยู่นี้ไปทำอะไรบางอย่างในทันที โดยหลักการดูเหมือนไม่ได้แตะต้องเงินทอง ในความเป็นจริงก็แตะต้องแล้ว นานๆเข้าก็เป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่จบสิ้น ก็เท่ากับท่านเก็บเงินทอง สิ่งของเอาไว้ ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกท่าน  พวกเราทำเรื่องการเผยแพร่ฝ่า ที่เล็กๆน้อยๆจะไม่พูดถึง ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราผู้ฝึกที่มีกำลังความสามารถจะรับ(ค่าใช้จ่าย)ขึ้นมา อย่างเช่นห้องประชุมที่ใหญ่ขนาดนี้ในวันนี้ ก็เป็นผู้ฝึกของเราคนหนึ่งออกเงินเพื่อให้ทุกท่านได้ฝ่า ทำเรื่องที่ดี สิ่งที่เขาจะได้อาจจะมากกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็กล่าวในความหมายนี้ หนทางที่เราเดินจะต้องเดินให้ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด จะต้องเดินหนทางนี้ให้ถูกต้องเที่ยงตรง

ศิษย์  ใช่หรือไม่ว่าระดับชั้นยิ่งสูง จะยิ่งใกล้สสารต้นกำเนิด นี่ก็จะสามารถอธิบาย นางฟ้าโปรยดอกไม้สามารถทะลวงผ่านร่างกายของพระโพธิสัตว์ แต่ไม่สามารถทะลวงผ่านร่างกายพระอรหันต์

อาจารย์  ไมใช่ความหมายเช่นนี้ ที่ท่านหมายถึงคือความแตกต่างของสสาร  สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวคือความแตกต่างของเขตแดน ความแตกต่างของกั่วเว่ย(มรรคผล) แน่นอนความแตกต่างของกั่วเว่ย(มรรคผล)ทำให้เกิดความแตกต่างของอนุภาคของร่างกายท่าน จุดนี้แน่นอน แต่ความแตกต่างของอนุภาคไม่ใช่เงื่อนไขตายตัว ซินซิ่งสูงหรือต่ำ กั่วเว่ย(มรรคผล)สูงหรือต่ำ จึงจะใช่เงื่อนไขตายตัว

            หมดคำถามที่จะตอบในวันนี้แล้ว ผู้ฝึกใหม่ให้อ่านหนังสือให้มาก หากท่านอยากจะศึกษา อยากจะบำเพ็ญ ท่านก็ไปอ่าน การจัดประชุมสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย หากข้าพเจ้าต้องอธิบายในสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในระดับต้นๆให้แก่ท่าน สำหรับพวกเราที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ การจัดประชุมครั้งนี้เท่ากับศูนย์เปล่า ทุกท่านไม่ได้ฟังสิ่งที่สมควรฟัง จุดประสงค์ของการจัดประชุมของเราคือให้ทุกท่านสามารถยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น หยวนหมั่นในเร็ววัน ในเวลาเดียวกันก็สามารถเผยแพร่ฝ่านี้ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ให้คนได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกท่านหลังจากการประชุมครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเราควรจะมีการยกระดับในอัตราที่ใหญ่ ในเวลาเดียวกันพวกเราก็ควรจะบอกให้คนที่ยังไม่ได้ฝ่าให้ได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ในหมู่คนผิวขาว และยังคนเชื้อชาติอื่นๆ มีคนมากมายที่สมควรได้รับการช่วยเหลือแต่ที่ยังไม่ได้รับฝ่า แน่นอนเรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้าไม่บังคับให้ทุกท่านไปทำ สามารถทำถึงระดับไหนก็ทำถึงระดับนั้น ฝ่าช่วยเหลือคนที่มีบุญวาสนา ได้แต่ตักเตือนให้คนใฝ่ความดี และไม่อาจบังคับให้เขาบำเพ็ญ เป็นเช่นนี้ หวังว่าทุกท่านจะยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น และสามารถหยวนหมั่นโดยเร็ว