การบรรยายฝ่า ณ เมืองฮิวส์ตัน

 

หลี่ หงจื้อ

12 ตุลาคม ค.. 1996

 

            ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณมาก ต่อรัฐบาลและชาวเมืองฮิวส์ตัน  ที่ได้ให้เกียรติแก่ข้าพเจ้า  และข้าพเจ้าก็หวังว่าศิษย์ฝ่าหลุนกงทั่วไปก็มีความรู้สึกขอบคุณพวกเขาเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ในการสนับสนุน และความรักอย่างอบอุ่นต่อต้าฝ่า   พวกเราขออาศัยเสียงปรบมือ มาแสดงการคารวะตอบ ดีหรือไม่ ( เสียงปรบมือ )    ข้าพเจ้าจะนำมิตรภาพ  ความจริงใจ และเกียรติที่รัฐบาลเมืองฮิวส์ตันให้กับข้าพเจ้า  กลับไปให้บรรดาลูกศิษย์ฝ่าหลุนกงและชาวจีน

            ข้าพเจ้าเฝ้าคิดถึงลูกศิษย์ฝ่าหลุนกงในอเมริกา  รวมทั้ง คนขาว คนดำ คนผิวเหลือง  ยังมีศิษย์เชื้อชาติอื่นอีก   ผู้ที่สามารถได้ฝ่านั้นล้วนเป็นเพราะวาสนาของพวกท่านมาถึงแล้ว  ดังนั้นจึงคิดมาโดยตลอดว่าจะมาดูทุกท่านว่าบำเพ็ญเป็นอย่างไร

            มีคนจำนวนมากไม่เคยพบข้าพเจ้า  แต่คนจำนวนมากล้วนเคยอ่านหนังสือแล้ว และรู้จักฝ่านี้แล้ว  มักรู้สึกว่าถ้าไม่ได้พบหน้าอาจารย์  คล้ายกับว่าไม่ค่อยมั่นใจอย่างนั้น  คล้ายกับว่าหลังจากได้พบข้าพเจ้าแล้ว ค่อยมั่นใจหน่อย  ที่จริงในบทความสั้นๆเหล่านั้น – พวกท่านเรียกว่า “จิงเหวิน” – ข้าพเจ้าได้บอกทุกท่านอยู่ในนี้นั้นแล้วว่า  ไม่ได้พบหน้าอาจารย์ก็สามารถบำเพ็ญได้เหมือนกัน   สามารถได้รับสิ่งที่ควรได้เหมือนกัน  อะไรก็ไม่ตกหล่นทั้งนั้น  เพราะการบำเพ็ญที่แท้จริงไม่อยู่ที่รูปแบบ  ไม่อยู่ที่ได้เห็น หรือ ไม่ได้เห็นอาจารย์  ทุกท่านทราบว่า องค์ศากยมุนี ไม่ทรงอยู่ในโลก สองพันกว่าปีแล้ว  แต่ชาวโลกรุ่นหลังก็บำเพ็ญ มาโดยตลอด   พวกเขาก็ไม่ได้พบองค์ศากยมุนี  สามารถบำเพ็ญได้สำเร็จเช่นกัน  นี่ก็เพราะเขามีพระคัมภีร์อยู่ในหมู่คน   พระองค์มีธรรมกายคอยช่วยเหลือคนอยู่

            ในเมื่อข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าชุดหนึ่งที่ใหญ่อย่างนี้  บางทีทุกท่านก็เข้าใจได้เองหมดแล้วจากในหนังสือ    ในประวัติศาสตร์ล้วนแต่ ยังไม่มีใครทำเรื่องที่ใหญ่เช่นนี้มาก่อน   นำหลักธรรมชุดหนึ่งที่แท้จริง  ที่ครบถ้วน  ที่เป็นระบบ  ซึ่งสามารถขึ้นสวรรค์ มาบอกให้กับมนุษย์  ที่ผ่านมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต  ในสังคมมนุษย์ที่ผ่านมานั้นไม่อาจเหลือสิ่งเหล่านี้เอาไว้ให้มนุษย์อย่างเด็ดขาด

            แน่นอน  มีหลายคน เคยอ่านคัมภีร์ขององค์ศากยมุนี  ที่จริงนั่นเป็นสิ่งที่คนยุคหลังจัดทำขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่ครบถ้วน  พูดถึงหลักการจำนวนหนึ่ง  ในการจัดทำของคนรุ่นหลังนั้นอาศัยเรื่องเล่าต่อๆกันมา  กับ ความทรงจำ  ดังนั้นจึงไม่ปะติดปะต่อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ   เพราะนี่ก็คือสิ่งเดียวในประวัติศาสตร์ช่วงนั้นที่เทพอนุญาตให้เหลือตกทอดเอาไว้ให้คน แน่นอนองค์ศากยมุนีตรัสไว้มากมายจริงๆ แต่เนื่องจากในเวลานั้นประเทศอินเดียยังไม่มีตัวอักษร  จึงไม่ได้จดบันทึกไว้ในทันที  หลังจากองค์ศากยมุนีไม่ทรงอยู่ในโลกแล้ว ห้าร้อยปี คนจึงใช้ตัวอักษรจัดเก็บสิ่งที่องค์ศากยมุนีพุทธะตรัสไว้ให้เป็นระเบียบ   แน่นอน สภาพแวดล้อมที่เฉพาะของเวลา  สถานที่  โอกาส สำหรับคนในเวลานั้น  ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลง  และก็ไม่มีวิธีที่จะนำทั้งหมดนั้นกลับคืนมา  แต่ว่าแม้จะเป็นเช่นนี้  พระสูตรก็ยังสามารถทำให้ผู้ที่ต้องการบำเพ็ญอย่างแท้จริง สามารถเข้าใจหลักพุทธธรรมได้  แต่หากพูดจากหลักพุทธธรรมที่กว้างใหญ่ เขา(พระสูตร)กลับไม่ใช่สิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ยิ่งไม่ใช่หลักธรรมมูลฐานของจักรวาลที่เป็นระบบ   แต่องค์ศากยมุนีเป็นพระพุทธ  สิ่งที่พระองค์ตรัสออกมาจึงมีคุณสมบัติของพุทธะ กับ ปรากฏการณ์ของหลักพุทธธรรมในระดับชั้นนั้นอยู่อย่างแท้จริง พระเยซู เหลาจื่อ ก็อยู่ในสภาพการณ์อย่างเดียวกับองค์ศากยมุนี  ล้วนไม่ได้เหลือบันทึกธรรมะที่พวกท่านสอนในเวลานั้นเอาไว้   พระสงฆ์ชั้นสูงที่บำเพ็ญออกมาในประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นเดียวกัน

            ข้าพเจ้ามักพูดประโยคนี้ว่า  ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าทำเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยมีคนทำมาก่อน  ในหมู่ลูกศิษย์ก็สืบทอดคำพูดประโยคนี้ว่า อาจารย์ได้เหลือบันไดขึ้นสู่สวรรค์ชุดหนึ่งไว้ให้คน  คำพูดนี้เทพก็พูดกันอยู่  เหล่าเทพกล่าวว่า  “ท่านเหลือบันไดขึ้นสู่สวรรค์ชุดหนึ่งไว้ให้คนแล้ว”  สิ่งที่ องค์ศากยมุนี  พระเยซู  เหลาจื่อ  เหลือไว้นั้นน้อยมาก หรือไม่ครบถ้วนสมบูรณ์  เพราะในอดีตก็ไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น

            ฝ่าชุดนี้ที่ข้าพเจ้าบรรยายออกมานั้นใหญ่มาก  พวกท่านเพียงแต่บำเพ็ญปฏิบัติตามฝ่าชุดนี้ท่านก็จะสามารถสำเร็จสมบูรณ์(หยวนหมั่น)  นี่เป็นเรื่องที่สรรพชีวิตในอดีตไม่อาจคาดคิดได้    ภายในเกี่ยวข้องกับความลับสวรรค์มากมาย  ใหญ่หลวงมาก  แต่ถ้าท่านไม่บำเพ็ญ  ลองเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านดู  ท่านจะพบว่านี่เป็นหนังสือที่สอนให้คนเป็นคนดีคนหนึ่ง   หากท่านคิดจะบำเพ็ญ  ท่านดูอีกเป็นรอบที่สอง  ไม่ตั้งใจไปแคะหาความหมายของแต่ละตัวอักษร  ท่านเพียงแต่นำเขามาอ่านอย่างจริงๆจังๆรอบหนึ่ง หลังจากอ่านรอบที่สองจบแล้ว  ท่านจะพบว่าเขาไม่ใช่หนังสือทั่วๆไป  เทียบกับความรู้สึกที่อ่านในรอบที่หนึ่งความนัยที่แฝงไว้ภายใน  ล้วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไป   จนเมื่อท่านอ่านจบเป็นรอบที่สาม  ท่านจะพบว่าความนัย นั้นเปลี่ยนไปอีกแล้ว  ก็ไม่เหมือนกับสองครั้งแรกแล้ว  ท่านก็จะอ่านเรื่อยไปเช่นนี้  อ่านจบรอบที่สามโดยครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว หนังสือเล่มนี้  ท่านก็อาจจะวางไม่ลงแล้ว  วางไม่ลงชั่วชีวิต  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้ละ   เพราะพูดจากชั้นผิวนอกของคน ก็มีสองสาเหตุ  หนึ่งคือ คนล้วนมีความกระหายอย่างหนึ่งในการแสวงหาวิชาความรู้ และสัจธรรม  อีกอย่างก็คือ คนล้วนมีจิตพุทธอยู่  สิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือล้วนเป็นหลักพุทธธรรม  เขาจะเชื่อมโยงถึงกันกับด้านที่เป็นจิตพุทธของตัวพวกท่าน  พอท่านอ่านก็จะรู้สึกคุ้นเคย  หลักพุทธธรรมที่แท้จริงจะทำให้ท่านตื่นเต้นได้  ท่านจะรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ท่านต้องการ

นอกจากนี้  การบำเพ็ญต้องมีขั้นตอน  เมื่อเริ่มต้นศึกษาฝ่า พวกท่านเพียงทราบหลักการของการเป็นคนดี   ที่จริงในหนังสือเล่มนี้ครอบคลุมหลักธรรมของระดับเขตแดนที่ต่างกันไว้แล้ว  หลักธรรมของระดับชั้นที่ต่างกัน ดังเช่นที่กล่าวกันในศาสนาพุทธว่าในตรีภูมิมีสวรรค์ 33 ชั้น  ในตรีภูมิมีระดับชั้นต่างๆกัน  ท่านจะบำเพ็ญไปถึงระดับชั้นใด ท่านต้องทราบหลักธรรมของระดับชั้นนั้น  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญขึ้นไปได้  เมื่อท่านบรรลุถึงมาตรฐานนั้น  ท่านจึงจะสามารถเลื่อนขึ้นไป ท่านจะบำเพ็ญไปนอกตรีภูมิ ก็ต้องมีหลักธรรม นอกตรีภูมิบอกให้ท่านเข้าใจ  จึงจะสามารถบำเพ็ญขึ้นไป   ฝ่าชุดนี้จึงมีองค์ประกอบที่สามารถชี้นำท่านบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูงที่ต่างกันอยู่  มิฉะนั้นแล้ว  ก็จะเหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดว่า  ท่านถือหนังสือชั้นประถมเข้าไปในมหาวิทยาลัย  ทานก็ยังคงเป็นนักเรียนชั้นประถม  เพราะท่านมิได้ยึดกุมความรู้ของมหาวิทยาลัย  ชี้นำท่านอ่านหนังสือในมหาวิทยาลัยไม่ได้  ก็คือเหตุผลนี้  แต่ว่าหนังสือเล่มนี้  ท่านอย่ามองว่ามีความลับสวรรค์มากมายเปิดเผยออกมา   แต่ผู้ไม่บำเพ็ญท่านก็จะมองไม่เห็นอะไรบนชั้นผิวนอก   ถ้าท่านไปบำเพ็ญ  เวลาที่ท่านอ่านหนังสือชุดนี้อย่างจริงๆจังๆ  จึงจะพบว่าความนัยที่อยู่ข้างในนั้นใหญ่มาก   ใหญ่ถึงระดับไหนละ   ท่านสามารถบำเพ็ญสูงแค่ไหน ก็จะสามารถชี้นำท่านบำเพ็ญได้สูงเพียงนั้น

            ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  คนที่สามารถได้ฝ่าหลุนต้าฝ่านะ  ล้วนแต่มีความเป็นมาทั้งนั้น  เป็นผู้มีวาสนา   บ้างอาจเป็นชีวิตที่มาจากระดับชั้นสูงมาก   บรรดาคนที่ท่านมองเห็นอยู่ในโลก  ดูคล้ายจะเหมือนกันทุกคน   เพราะโดยภายนอกท่านดูไม่ออกว่าเขาคือใคร   แต่ข้าพเจ้ามักพูดประโยคนี้ว่า  การถ่ายทอดฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ใช่จะให้คนได้เรียนตามชอบใจ  ดังนั้นท่านได้ฟังแล้วอาจจะเป็นเพราะมีวาสนา   ก็คือนำพาโดยวาสนา   คำพูดที่ข้าพเจ้าบรรยายไม่มีสักคำที่พูดไปเรื่อยเปื่อย   ในอนาคตจะยืนยันได้   แน่นอนข้าพเจ้านำฝ่าที่ใหญ่อย่างนั้นถ่ายทอดออกมา  ข้าพเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อเขา  ถ้าช่วยคนไม่ได้นั่นก็คือ แพร่งพรายความลับของสวรรค์  ทำลายกฎสวรรค์  นี่เป็นสิ่งที่ให้ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด   ใครก็ไม่กล้าทำเช่นนี้ 

            ทุกท่านทราบว่าในอดีต ถ้าใครแพร่งพรายความลับสวรรค์ตามอำเภอใจ  ต้องถูกสวรรค์ลงโทษ  เหตุใดผู้บำเพ็ญต้องปิดปากไม่พูดจาละ ?  หนึ่งคือคนนั้นหลงยึดติดเกินไป  สองคือผู้ไม่บำเพ็ญก็ไม่อนุญาตให้รู้ความจริง    ผู้บำเพ็ญแจ่มแจ้งในกฎสวรรค์   สิ่งที่พูดออกมาจึงล้วนเป็นความลับสวรรค์  เที่ยวพูดกับคนธรรมดาสามัญ ก็คือการแพร่งพรายความลับสวรรค์   ตัวเขาต้องตกลงมา  เช่นนั้นเหตุใดวันนี้ข้าพเจ้าจึงสามารถทำได้ละ?  และยังมีคนมากมายอย่างนี้บำเพ็ญขึ้นมา   จะบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ในอนาคต ?  ก็เพราะข้าพเจ้าสามารถรับผิดชอบต่อทั้งหมดนี้ได้  และข้าพเจ้าทำเรื่องนี้  ก่อนอื่นคือ  คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อคน   ต่อสังคม  ต่อสรรพชีวิตในแต่ละเขตแดน  ต่อจักรวาล  ยืนอยู่บนจุดฐานนี้ ข้าพเจ้าจึงทำเขาได้ดี   ฝ่านั้นครอบคลุมความนัยของระดับชั้นที่ต่างกัน  มีผู้บำเพ็ญที่มาจากระดับชั้นค่อนข้างสูง  ดังนั้นในขณะนี้ศิษย์บางคนได้บำเพ็ญถึงระดับชั้นที่สูงมากแล้ว  ก็ใช้ฝ่าชุดนี้มาชี้นำนั่นเอง

            ฝ่าชุดนี้สูงถึงระดับไหนละ?  ในอดีตคนที่ถ่ายทอดฝ่าในหมู่คนธรรมดาสามัญไม่อนุญาตให้พูดสูงกว่าระดับชั้นนี้ของพระพุทธ  จุดประสงค์คือ ไม่ให้คนรู้ว่าระดับชั้นที่สูงขึ้นไปอีก มีพระพุทธ  มีเทพ หรือไม่  เพราะในนี้มีสาเหตุหนึ่ง  คือคนมักใช้การรับรู้ของคนมาจินตนาการ เทพ  พระพุทธ  นี่เป็นการไม่เคารพต่อ เทพ  พระพุทธ  ฉะนั้นหากให้คนล่วงรู้ถึงพระพุทธที่อยู่สูงยิ่งขึ้นแล้ว  พูดชื่อของพระพุทธออกมาตามความพอใจ  ก็จะเป็นการลบหลู่พระพุทธแล้ว  โดยเฉพาะคนยุคนี้ยังสบประมาทพระพุทธอย่างจงใจ  คนโบราณที่ผ่านมานั้นเคารพเทพ  พระพุทธ จริงๆ   คนปัจจุบันถึงแม้จะเชื่อก็ไม่ใช่จะจริงใจ   หลายคนรู้สึกว่า เคารพพระพุทธมาก  เรียกชื่อพระพุทธตรงๆ จนติดปาก  ที่จริงเขากำลังลบหลู่พระพุทธ  ที่ผ่านมาเวลาคนเอ่ยชื่อพระพุทธคำนี้ออกมา  คนล้วนจะเกิดจิตศรัทธา  เคารพเลื่อมใส  ล้วนรู้สึกศักดิ์สิทธิ์  คนปัจจุบันไม่มีอย่างนี้   แม้กระทั่งชื่ออาหารบนเมนูล้วนมีชื่อว่า “พระกระโดดกำแพง” ช่างมักง่ายจริง

            ทุกท่านคิดดู  พระพุทธ เมื่อเทียบกับคนนั้น  ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ที่เปรียบ  หลักตรรกะของคนธรรมดาสามัญ โครงสร้างความคิดของคนธรรมดาสามัญ   วิธีการแสดงออกของการพูด นั้นไม่มีอยู่ในเขตแดนของพระพุทธ   ดังนั้นการใช้จิตของคนในการปฏิบัติต่อพระพุทธอย่างไรก็ หามีความเคารพไม่  แต่เพราะพระพุทธมีความเมตตาต่อคน  รู้ว่าคนอยู่ในวังวน และเป็นหลักธรรมกลับกัน   ด้วยเหตุนี้จึงไม่จดความผิดของคน   เพื่อจะช่วยคน  ดังนั้นจึงยอมให้คนรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระพุทธได้  เช่นนั้นหากให้คนรู้จักพระพุทธที่สูงยิ่งขึ้น  สูงยิ่งๆขึ้น  คนก็จะก่อกรรมต่อเขาได้ง่าย  ไม่เคารพเขาโดยง่าย  ด้วยเหตุนี้จึงไม่ให้คนได้รู้  ไม่ให้คนได้รู้จักพระพุทธระดับสูงยิ่งขึ้น  พระยูไลพุทธะมองว่าคนคือคนธรรมดาสามัญ  เล็กอย่างน่าสมเพช  คล้ายฝุ่นละอองเล็กๆ  เช่นนั้นแล้วเทพที่สูงยิ่งขึ้นละ เมื่อหันกลับมามองพระยูไลพุทธะ ก็ดูเหมือนคนธรรมดาสามัญเช่นเดียวกัน  เพราะเขาสูงมากเหลือเกิน  เช่นนั้นเขามองคนเป็นอะไร ?  อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น  ทุกท่านคิดดู  มนุษย์ล้วนรู้สึกมาโดยตลอดว่าคน มีชิวตอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญอย่างสุขสบายมาก  นึกว่าคือชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล  ที่จริงสภาพแวดล้อมนี้ของคนธรรมดาสามัญเป็นระดับชั้นต่ำที่สุดของจักรวาล   สามารถพูดได้ว่าเป็นสถานที่ที่สกปรกที่สุดของบรรดาชีวิตในจักรวาล   ในสายตาของเทพที่สูงมาก  มนุษย์ที่ตรงนี้คือ กองขยะของจักรวาล  กองอาจมของชีวิตชั้นสูง  เช่นนั้นในกองอาจมที่สกปรกนี้  ถ้ามีเสียงเรียกชื่อพระพุทธออกมาแล้ว  นี่โดยตัวมันเองก็คือ ไม่เคารพละ  ดังนั้นจึงไม่ให้คนรู้จักเทพชั้นที่สูงยิ่งขึ้น

            ที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่นี้ ทุกท่านก็อาจจะไม่ค่อยได้สนใจ  ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าชุดนี้  ไม่ใช่ว่าคนจะมาฟังโดยถือเป็นความรู้ ตามชอบใจได้   ท่านสามารถได้ฝ่า  ก็คือ ท่านอาจมีวาสนา   ไม่เชื่อทุกท่านก็จำคำพูดของข้าพเจ้าเอาไว้  แน่นอนไม่ว่าท่านมีวาสนามากแค่ไหน  ท่านได้แล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านควรจะเห็นคุณค่า  แน่นอนผู้ที่นั่งอยู่ทุกท่านล้วนสามารถเห็นคุณค่า   มีผู้ที่มาไกลนับพันลี้  กระทั่งมาจากต่างประเทศ  จากฮ่องกง  กระทั่งมาจากยุโรป   จุดประสงค์คือเพื่อการบำเพ็ญ  ข้อแรกคือ คิดจะพบกับอาจารย์  ข้อสองคือคิดจะฟังฝ่า  ก็คือท่านคิดจะเป็นคนดี  อยากจะบำเพ็ญ  หลายคนถือสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นสัจธรรม  ที่จริงสัจธรรมของคนก็ไม่อาจจะนำมาประเมินต้าฝ่าได้   เขาเป็นรากฐานของจักรวาล  ดังนั้นข้าพเจ้าว่า  แต่ละคนที่นั่งอยู่  ล้วนควรจะรู้คุณค่าของวาสนานี้   เมื่อได้ฝ่านี้แล้วท่านก็บำเพ็ญไป  อย่าได้พลาดโอกาสนี้ 

            วิธีการถ่ายทอดฝ่านี้ออกมา ล้วนไม่เหมือนกับ การช่วยเหลือคน ครั้งใดๆในประวัติศาสตร์  เพราะเหตุใดละ ? ทุกท่านก็เห็นความแตกต่างแล้ว  เพราะไม่ว่าพุทธธรรมชนิดใด เมื่อถ่ายทอดออกมา เขาก็บอกให้คนออกบวชบำเพ็ญ  ที่นี่ข้าพเจ้าไม่พูดสิ่งนี้   เพราะอะไร ไม่พูดสิ่งนี้   เพราะศาสนาพุทธอยู่ในกรอบของศาสนาพุทธ พูดถึงพุทธศาสนา  ศาสนาเต๋าอยู่ในกรอบของศาสนาเต๋า พูดถึงธรรมะของเต๋า   เช่นนั้นศาสนาของตะวันตกละ เขาก็ก้าวไม่พ้นคำสอนในศาสนาของเขา   ครั้งนี้ข้าพเจ้าก้าวข้ามขอบเขตของศาสนาโดยสิ้นเชิง ในการบรรยายหลักธรรมใหญ่ที่แท้จริงของจักรวาล

            ที่ผ่านมามีคนพูดว่า   คนที่คิดจะบำเพ็ญ ต้องปล่อยวาง ผลประโยชน์ทางวัตถุของคนธรรมดาสามัญลงทั้งหมด  เข้าไปในป่าเขา หรือเข้าไปในวัด  ตัดขาดจากสังคมโลก  และเรื่องทางโลกนี้อย่างสิ้นเชิง  จึงจะสามารถบรรลุถึงการบำเพ็ญที่สงบวิเวก  จุดประสงค์คือบังคับคนให้หลุดพ้นจากจิตยึดติดในผลประโยชน์ทางวัตถุ   ข้าพเจ้าไม่นำพวกท่านเดินบนเส้นทางเช่นนี้  เพราะอะไรละ ?  ข้าพเจ้ามองเห็นสถานการณ์หนึ่ง  คือ หากคนต้องการบรรลุสำเร็จสมบูรณ์โดยเร็ว  ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ชาวโลกมากยิ่งขึ้นได้บำเพ็ญ  มีแต่บำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญจึงจะทำได้   ที่จริงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อน จึงจะสามารถบำเพ็ญตนเองได้อย่างแท้จริง   และยังจะใช้เวลาบำเพ็ญสั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับการหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อน   ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ ก็คือวิธีการบำเพ็ญจำนวนมากนั้นไม่บำเพ็ญตัวเอง  เป็นการบำเพ็ญจิตรอง  ในอดีตนี่เป็นความลับใหญ่ข้อหนึ่งของสวรรค์   ทุกท่านอ่านหนังสือ ก็คงจะเห็นได้แล้ว  วันนี้ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านบำเพ็ญตัวท่านเอง  ก็คือจะมอบฝ่านี้ให้กับตัวท่านที่แท้จริง  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลือกให้ท่านบำเพ็ญอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนของคนธรรมดาสามัญ  การบำเพ็ญเช่นนี้ก็มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติด้วย  ในระหว่างการบำเพ็ญก็ไม่กระทบสังคมคนธรรมดาสามัญ  ยังจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ด้วย  ผู้บำเพ็ญก็เป็นหน่วยหนึ่งของสังคม  มีการงาน  การครองชีพตามปกติ  คนยังสามารถศึกษาฝ่าบำเพ็ญ  ตราบจนสำเร็จสมบูรณ์

            ข้าพเจ้าได้เลือกเส้นทางการบำเพ็ญอย่างนี้ให้กับพวกท่าน  ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับแนวทางการบำเพ็ญอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง เพราะว่าพวกท่านนั้นก้าวออกจากขอบเขตของศาสนา ดังนั้นข้าพเจ้ามักกล่าวว่าพวกเราไม่ใช่ศาสนา ข้าพเจ้าเพียงถ่ายทอดธรรมะนี้แก่คน ให้คนได้ฝ่า  ผู้ที่สามารถบำเพ็ญจนถึงที่สุดก็สามารถจะสำเร็จสมบูรณ์  หากบางคนในชาตินี้เขาไม่สามารถบำเพ็ญ เช่นนั้นเมื่อเขาได้รู้จักหลักการชั้นผิวของฝ่าชุดนี้  เขาก็จะทำตัวเป็นคนดีได้  เช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อสังคม  สามารถทำให้ใจของคนใฝ่ความดี

            ปัจจุบันปัญหาของสังคมได้ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย  ทุกท่านทราบ  ต่อให้กฎหมายจะบัญญัติไว้ให้มากขึ้นไปอีก  ก็ยังจะมีคนทำผิดกฎหมาย  พอเกิดปัญหาขึ้นก็บัญญัติกฎหมายใหม่  ทำผิดอีกก็บัญญัติขึ้นอีก   มนุษย์จำกัดตนเองไว้มากมายเหลือเกิน  และมนุษย์ปัจจุบันได้จำยอมทนรับสิ่งทั้งหมดนี้ที่ตนเองสร้างขึ้นมาแล้ว  ปิดล้อมตนเองแน่นหนามากยิ่งขึ้น  จากด้านนี้ก็ยิ่งเดินไปสู่สุดขั้ว  ในเวลาเดียวกันก็ยิ่งทำให้คนรับรู้ไม่ถึงสัจธรรมของจักรวาล    ที่แท้เหตุที่ทำให้สังคมไม่สงบไม่ใช่ข้อกฎหมายมีมากน้อยเท่าไร    องค์ประกอบของความไม่สงบทั้งปวง ตั้งแต่ระดับประชาชาติ จนถึงแต่ละบุคคลก็คือ ตัวอักษรเดียว—คุณธรรม(เต๋อ) ก็คือจิตใจ (ซินซิ่ง) ของคนใช้ไม่ได้แล้ว  คนเดี๋ยวนี้สูญเสียสิ่งที่ควบคุมคนไปแล้ว   ดังนั้นจึงทำให้สังคมวุ่นวายอย่างนี้    หากคนล้วนอยู่ในเขตแดนความคิดที่สูงมากอันหนึ่ง  ล้วนมีซินซิ่งที่สูงมาก  ทุกท่านคิดดู สังคมนี้จะเป็นอย่างไร ?  ทั่วทั้งสังคมมนุษย์จะเป็นอย่างไร ?  ผู้คนล้วนทราบว่าทำเรื่องชั่วนั้นไม่ดี  ไม่ดีทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น   ก็ล้วนจะไม่ไปทำเรื่องชั่ว  ข้าพเจ้าคิดว่าแม้แต่ตำรวจก็ไม่จำเป็นต้องมีแล้ว  ใช่หรือไม่ ?  ทุกๆคนล้วนรักษามาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์ด้วยตนเอง

            แน่นอนเรื่องเหล่านี้ของมนุษยชาติ หาใช่เรื่องสำคัญที่ข้าพเจ้าจะทำไม่  ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าชุดนี้ คือต้องการให้ทุกท่านสามารถได้ฝ่า  บำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์  แต่ว่าการบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  เขาก็ต้องก่อให้เกิดผลเช่นนี้   นี่ก็คือผลพลอยได้ที่นำประโยชน์มาสู่มนุษยชาติจากการที่ฝ่าชุดนี้ถ่ายทอดอยู่ในสังคม  กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญ  สามารถทำให้คนได้ฝ่าอย่างแท้จริง  ในสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อน  ในท่ามกลางผลประโยชน์เฉพาะหน้า  ท่านสามารถสลัดหลุดออกมาได้  ท่านจึงจะยอดเยี่ยม  ท่านจึงสมควรสำเร็จสมบูรณ์  ฉะนั้นในนี้มีเงื่อนไขอะไรไหม?  ใช่หรือไม่ว่า คนที่บำเพ็ญธรรมะนี้แล้วก็ไม่ต้องการวัตถุสิ่งของอะไรทั้งหมดแล้ว ?  ไม่ใช่เช่นนี้  เพราะในเวลาที่ถ่ายทอดฝ่านี้ข้าพเจ้าก็ได้ไตร่ตรองถึงว่าฝ่าชุดนี้จะถ่ายทอดไปกว้างขวางมาก  เพราะในประวัติศาสตร์ก็ได้วางรากฐานว่าจะถ่ายทอดฝ่าอย่างไรไว้แล้ว  การเกิดขึ้นของชี่กงก็คือการปูทางให้กับการถ่ายทอดฝ่าของข้าพเจ้าในวันนี้  ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่  บางคนเรียกสถานการณ์ของชี่กงในเวลานั้นว่า เป็นการรณรงค์สร้างสรรค์เทพ  ถ้าตอนเริ่มต้นไม่มีสภาพแวดล้อมอย่างนี้  วันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่อาจถ่ายทอดฝ่าได้อย่างง่ายๆ  ที่จริงชี่กงคือการปูทางให้กับการถ่ายทอดฝ่าของข้าพเจ้า แน่นอนขณะนี้มีอาจารย์ชี่กงไม่น้อยออกมาสร้างความปั่นป่วน  หากเกิดเองตามธรรมชาตินั่นก็เป็นปกติ   มนุษยชาติก็เป็นเช่นนี้แล้วใช่ไหม   ฝ่าที่ถูกต้องกำลังถ่ายทอดอยู่   ย่อมต้องกระทบถึงองค์ประกอบที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น   มีสิ่งที่ถูกต้อง ก็ย่อมจะมีสิ่งนอกรีต  ดูว่าคนจะเข้าประตูไหน  มี การรบกวนขององค์ประกอบที่ไม่ดีในระหว่างการบำเพ็ญ  คนก็ สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาในการบำเพ็ญ  ถ้าไม่มีสิ่งที่ไม่ดีรบกวนท่าน  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านก็จะบำเพ็ญไม่ได้  การบำเพ็ญของแต่ละคนก็เป็นอย่างนี้   ก็จะกระทบถูกองค์ประกอบมากมาย

            บางคนรู้สึกว่าฉันมีชีวิตอยู่ในโลกก็ควรจะสุขสบาย  คนธรรมดาสามัญคิดอย่างนี้ไม่มีอะไรผิด  คนใช่ไหม เขาก็คิดมีชีวิตที่ดีหน่อย  สะดวกสักหน่อย  ทนทุกข์น้อยหน่อย  แต่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญ ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า ทนทุกข์หน่อยไม่ใช่เรื่องไม่ดี  เพราะหลักการของจักรวาลกลับกันกับของคนที่ตรงนี่  หลักการของคนในมิตินี้นั้นกลับกัน  ทุกท่านคิดดู เมื่อคนในสังคมมนุษย์คิดจะสุขสบาย  ก็จะต่อสู้กันเพื่อให้ได้ผลประโยชน์  สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็จะประสพภัยพิบัติ  ดังนั้นคนดำรงชีวิตอยู่ก็คือกำลังก่อกรรม  ก็จะทำร้ายผู้อื่นและสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น   ดังนั้นท่านเอาแต่ก่อกรรม แต่ไม่ชดใช้กรรม  ท่านไม่ทนทุกข์ ให้กรรมสลายไป  ท่านคิดดู กรรมนี้ยิ่งสะสมยิ่งมาก  ยิ่งสะสมยิ่งมาก  ถึงที่สุดจะกลายเป็นปัญหาอะไรละ ? เมื่อคนๆนี้ถูกกรรมสีดำยึดครองตั้งแต่นอกถึงในจนเต็ม  ชีวิตนี้ก็จะต้องถูกทำลายแล้ว  ชีวิตคนจะถูกทำลายอย่างแท้จริงแล้ว  อาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไปชั่วนิรันดร  มาพูดอีกด้านหนึ่ง  ให้คนทนทุกข์สักหน่อย  ได้รับโทษสักหน่อย  จากความเจ็บปวด คนจะสลายกรรมไปจำนวนหนึ่ง   ภายหลังเขาจะมีชีวิตอย่างสุขสบายมาก  นี่คือหลักการที่ถูกต้องของจักรวาลกับกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของชีวิต  ในอดีตคนแก่มักพูดว่า  คนเมื่อยังเล็กจะมีการเจ็บป่วยบ้าง   เมื่อเป็นหนุ่มสาวได้รับการลงโทษบ้าง   ต่อมาก็จะมีชีวิตที่ดีสักหน่อย  โดยทั่วไปจะเป็นเช่นนี้  นี่คือกฎเกณฑ์ในการสลายกรรมของคน   เพราะถ้าท่านไม่สลายกรรมท่านก็ไม่อาจมีความผาสุก  กรรมของท่านมากเกินไป ความผาสุกจะมาจากที่ไหนได้ละ ?  และกรรมโดยตัวมันเองก็จะทำให้ท่านไม่มีความสุข  ให้ทนทุกข์มาก  เป็นมูลเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ท่านต้องชดใช้  นี่คือการพูดถึงคน

การเป็นผู้บำเพ็ญ  ทุกท่านคิดดู  ท่านไม่สลายกรรมของท่านทิ้งไป   ท่านไม่ยอมทนทุกข์บ้าง  ท่านคิดแต่จะสุขสบาย  เช่นนั้นท่านจะบำเพ็ญได้อย่างไรละ? ท่านนั่งอยู่ตรงนี้คิด- พรุ่งนี้ฉันจะออกจากตรีภูมิ  พรุ่งนี้จะบำเพ็ญเป็นพระพุทธ  แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่คนคิดแล้วจะได้มา  ต้องละทิ้งจิตยึดติดดวงนั้นในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ด้วยการบำเพ็ญอย่างจริงจัง  ล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางสภาพที่เป็นจริงในสังคม ปล่อยวางจิตยึดติดที่คนวางกันไม่ลงนั้นเสีย    แน่นอนมีบางคนที่มีระดับการศึกษาค่อนข้างสูง  หรือเป็นผู้สูงอายุ  ซึ่งสามารถทำได้ดีสักหน่อย  ทำได้ถึงกับว่า เมื่อเกิดความขัดแย้งกับคนทั่วไป หรือ เมื่อประสบกับความยากลำบาก ก็สามารถที่จะมีความสุขุมมากพอที่จะไม่ไปต่อสู้แย่งชิงเหมือนคนอื่น  นี่คือสิ่งที่สามารถเข้าใจได้จากประสบการณ์อย่างยาวนานในสังคม  แต่ในนั้น ก็มีจิตหวาดกลัว กับ ความจำยอมอยู่ด้วย  ผู้บำเพ็ญจึงต้องมองเห็นปัญหานี้ ให้ทะลุปรุโปร่งได้ในทันที

เมื่อผู้บำเพ็ญประสบกับความขัดแย้งจึงควรแบกรับมัน  และตนเองต้องสามารถอดทน  ท่านจึงจะสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมา เมื่อคนอื่นรังแกท่าน เขาก็ให้กุศลแก่ท่าน เมื่อคนอื่นรังแกท่านในขณะเดียวกันท่านก็กำลังรับโทษอยู่จริงๆ  กรรมบนตัวท่าน ก็กำลังสลายลงไป จากนี้ก็กำลังก่อเกิดเป็นกุศล  ท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  กุศลก็จะแปรผันเป็นพลัง  เช่นนั้นพลังของท่านมิใช่เพิ่มขึ้นมาแล้วหรือ  ในเวลาเดียวกับที่ท่านอดทน  สามารถรับรู้ได้อย่างถูกต้อง  ไม่โกรธไม่เกลียด  ท่านไม่ใช่กำลังยกระดับซินซิ่งของท่านหรอกหรือ? หลักการนี้ก็คือต้องมองแบบกลับกัน

ข้าพเจ้ามักพูดว่า เมื่อผู้อื่นรังแกท่าน  สร้างความยุ่งยากให้กับท่าน  หรือเมื่อท่านได้รับความทุกข์ยาก ท่านอย่าไปเจ็บแค้นคนอื่น  เพราะท่านกำลังบำเพ็ญ  ถ้าเขาไม่สร้างความยุ่งยากให้กับท่าน  เขาไม่สร้างโอกาสในการยกระดับให้กับท่าน  ท่านจะบำเพ็ญขึ้นมาได้อย่างไรละ ?  ดังนั้นท่านไม่เพียงไม่สามารถโกรธเขา  ในใจท่านยังต้องขอบคุณเขา  บางคนจึงคิด  การเป็นคนอ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง ?  ไม่ใช่เช่นนี้   ท่านไม่มีสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ท่านก็สลายกรรมไม่ได้  เพราะสิ่งที่ท่านแสวงหาไม่ใช่ความสุขสบาย  การบำเพ็ญของพวกท่านก็ ไม่อาจแยกออกจากสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญในสังคมคนธรรมดาสามัญ

เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  ตั้งแต่เริ่มข้าพเจ้าก็ทราบว่า เมื่อข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้ออกมาจะมีความสั่นสะเทือนมากมายเพียงไรในสังคม  จะมีคนมาศึกษามากเท่าไร  ขณะนี้ผู้ที่ศึกษาฝ่านี้ในประเทศจีน   แต่ละวันผู้ที่บำเพ็ญอยู่มีจำนวนกว่าสิบล้านคน  รวมคนที่รู้จักฝ่านี้  ผู้ที่บำเพ็ญครึ่งๆกลางๆ นับเข้าไปด้วยก็มีร่วมร้อยล้านคน  และข้าพเจ้ายังรู้ว่าอีกไม่นานจะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างมากในโลก  เวลานี้ฝ่าชุดนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจจากวงการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ในอนาคตวิทยาศาสตร์ของสังคมมนุษย์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทั้งหมดด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าได้เปิดเผยความลับสวรรค์มากมายให้กับมนุษย์แล้วจริงๆ   มนุษยชาตินั้นถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว  สติปัญญาของมนุษย์ก็ถูกควบคุมอยู่  ไม่ว่าท่านมีความรอบรู้มากเพียงไรในสังคมคนธรรมดาสามัญ มียศถาบรรดาศักดิ์สูงใหญ่เพียงไร  ท่านก็เป็นคนธรรมดาสามัญ   วิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันในปัจจุบันนำไปสู่เส้นทางที่ปิดล้อมมนุษย์ไว้  ไม่สามารถรับรู้ความจริงของจักรวาล

            เมื่อครู่โดยหลักข้าพเจ้าได้พูดว่า คนอยู่ในการบำเพ็ญต้องทนทุกข์บ้าง  ได้รับความเจ็บปวดบ้าง นี่เป็นเรื่องที่ดี  บางคนพูดว่าฉันบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า ฉันก็ควรบำเพ็ญอย่างสุขสบาย  ไม่สมควรมีความยากลำบาก พลังก็เพิ่มขึ้นได้  ไม่สมควรมีความยุ่งยากมากมายมารบกวนฉัน  ผู้บำเพ็ญไม่ชดใช้กรรม  ไม่ยกระดับเขตแดน พลังก็ไม่อาจจะเพิ่มขึ้นตลอดไป บางคนพูดว่าคนในครอบครัวไม่ให้ฉันฝึกพลัง  ไม่ให้เงื่อนไขเอื้ออำนวยกับฉัน  ไม่ให้เวลาฉัน  กระทั่งหาเรื่องหย่าร้าง  ที่จริงไม่แน่ว่าจะเป็นจริงเสมอไป  อาจเป็นการทดสอบว่าท่านเห็นความสำคัญกับการบำเพ็ญมากแค่ไหน  แต่ว่าแสดงออกมานั้นรุนแรงมากจริงๆ   การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  แต่ละด่าน  แต่ละความยากลำบาก ไม่ใช่เหมือนการล้อเล่น  คนบำเพ็ญเมื่อเกิดความยุ่งยากอะไรขึ้นมานั้นย่อมจะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน    ที่จริงเมื่อใครสร้างความยากลำบากให้กับท่าน ก็ล้วนแต่เป็นการช่วยท่านยกระดับ  ในขณะที่ยกระดับเขตแดนความคิดของท่าน ท่านก็กำลังสลายกรรมในขณะแบกรับความเจ็บปวดอยู่     เช่นนั้นในเวลาเดียวกันยังกำลังทดสอบว่าท่านแน่วแน่ต่อฝ่านี้หรือไม่ หากท่านไม่แน่วแน่ต่อฝ่า  เช่นนั้นก็จะพูดอะไรไม่ขึ้นอย่างแท้จริง

            ในการบรรยายธรรมนั้นเพราะข้าพเจ้าจะดูว่าเหล่าผู้ฝึกสับสนอะไรตรงไหนจึงพูด  ดังนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นระบบมาก  ทุกท่านก็อย่าได้ถือสิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายในวันนี้เป็นการชี้นำอย่างเป็นระบบ  สิ่งที่ชี้นำการบำเพ็ญของพวกท่านอย่างเป็นระบบมีเพียง “จ้วนฝ่าหลุน”  สิ่งใดที่ข้าพเจ้าพูดหลังจากวันนี้ไป  ข้าพเจ้าล้วนแต่พูดวนล้อมรอบ “จ้วนฝ่าหลุน”ทั้งสิ้น  และสิ่งที่ชี้นำการบำเพ็ญของพวกท่านมีเพียง “จ้วนฝ่าหลุน” หนังสือเล่มนี้ เป็นระบบที่สุด  ผู้ที่กำลังนั่งอยู่หลายคนมีการศึกษาความรู้ค่อนข้างสูง  ไม่ว่าท่านจะมาจากไต้หวัน หรือ จีนแผ่นดินใหญ่ หรือเป็นคนจีนที่มาจากประเทศอื่น  นอกจากคนจีนสูงอายุ   ล้วนแต่เป็นพวกที่มีระดับการศึกษาค่อนข้างสูง  อาจพูดได้ว่าเป็นคนชั้นหัวกะทิในหมู่คนจีน    ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า ฝ่าชุดนี้พอถ่ายทอดออกมา ย่อมแตกต่างจากชี่กงอื่นอย่างมาก  และผู้ที่ฝึกชี่กงอื่น มักจะเป็นผู้สูงอายุ  เกษียณแล้วไม่มีงานทำ  มีจำนวนมากที่คิดจะฝึกฝนร่างกาย  และล้วนแต่ฝึกชี่   แต่คนที่ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่านั้นไม่ใช่  ส่วนหนึ่งเป็นคนสูงอายุ แต่คนในวัยหนุ่มสาวและกลางคนมีสัดส่วนมากอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะคือมีระดับการศึกษาค่อนข้างสูง

            ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าถ่ายทอดพลังก็ไม่เหมือนกับอาจารย์ชี่กงอื่น  อาจารย์ชี่กงทั่วไปจะพูดหลักการคร่าวๆ จากนั้นก็สอนคนว่าจะเคลื่อนไหวฝึกกันอย่างไร  ปล่อยสัญญาณให้  แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าก็ไม่ทำอย่างนี้   ในเมื่อข้าพเจ้าต้องการจะถ่ายทอดฝ่านำพาพวกท่านขึ้นไปอย่างแท้จริง  ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องบรรยายฝ่า แต่ละครั้งที่จัดบรรยาย การสอนแต่ละครั้ง ต้องบรรยายฝ่าหนึ่งชั่วโมง  จากนั้นค่อยสอนวิธีสู่ความสำเร็จ(สำเร็จสมบูรณ์)ให้พวกท่าน -- ก็คือท่าเคลื่อนไหวฝึกพลัง ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับอาจารย์ชี่กงอื่นๆ  ความนัยของหลักการของฝ่าก็ใหญ่หลวงมาก  ผู้ที่มีการศึกษาและความรู้ยิ่งสูง ก็ยิ่งจะสามารถเข้าใจ  ยิ่งจะรู้สึกว่าดี  คนที่มีความรู้ยิ่งสูงมาเรียน จะรับรู้ฝ่าจากด้านที่เป็นเหตุผลได้ง่าย  แน่นอนผู้ที่มีระดับการศึกษาต่ำสักหน่อยก็มาเพราะวาสนา  มีความรับรู้ต่อพระพุทธ เทพ ในระดับที่แน่นอนหนึ่ง  โดยเฉพาะคือสามารถรับรู้หลักการของฝ่าได้แจ่มแจ้งมาก  ยกระดับขึ้นมาก็จะเร็วมาก

            เนื่องจากผู้ที่นั่งอยู่ยังมีบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจฝ่าหลุนกง  ข้าพเจ้าจะพูดง่ายๆ คร่าวๆเกี่ยวกับสถานการณ์ของฝ่าหลุนกงอีกที  เมื่อมาแล้วก็อยากจะพูดให้กับทุกท่านมากสักหน่อย  ฝ่าชุดนี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั้นอยู่ในประวัติศาสตร์มาเนิ่นนานมากแล้ว   คำพูดนี้พอพูดขึ้นมาก็จะยาว  สังคมมนุษย์ในปัจจุบันนั้นผ่านอารยธรรมหลายครั้ง มนุษย์ที่สืบทอดลงมาก็พัฒนาขึ้นมาใหม่  หมายความว่าอะไรละ?  ก็ขอนำแผ่นดินใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกานี้มาอธิบาย  ก็คือมาพูดถึงแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาล่ะ  มันเคยจมลงสู่ก้นมหาสมุทรหลายครั้ง  และโผล่ขึ้นมาหลายครั้ง  อารยธรรมบนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ก็มีหลายครั้ง   กล่าวสำหรับคนแล้ว อารยธรรมแต่ละครั้งก็เป็นยุคสมัยที่ยาวนานมากเหลือเกิน  แน่นอนพูดในทางตรงข้ามก็มีช่วงเวลาที่สั้นอยู่บ้าง  สาเหตุเกิดจากศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามเร็วเกินไป   การมองประวัติศาสตร์โดยยืนอยู่เหนือมุมมองของคนธรรมดาสามัญก็จะไม่ใช่แนวคิดเดียวกับการมองประวัติศาสตร์ของคนธรรมดาสามัญ   คนธรรมดาสามัญได้แต่มองประวัติศาสตร์ของมนุษย์ จากท่ามกลางอารยธรรมของมนุษย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน   ผู้บำเพ็ญและความเข้าใจที่เลยล้ำคนธรรมดาสามัญนั้นห่างไกลลิบลับจากอารยธรรมยุคนี้ของมนุษย์  ดังนั้นข้าพเจ้ามองประวัติศาสตร์ไปไกลมากๆ

            ประวัติศาสตร์ของฝ่าหลุนต้าฝ่าชุดนี้ก็ยาวนานอย่างยิ่ง  ยาวนานอย่างยิ่งแล้ว  ถ้าจะนึกย้อนขึ้นมา  ใช้แนวคิดเรื่องกาลเวลาของคนในปัจจุบัน มาบรรยายเขาให้ชัดเจนได้ยากมาก  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  หลักธรรมของฝ่าหลุนต้าฝ่านั้นยิ่งใหญ่มาก  ระดับชั้นสูงจนไม่อาจวัดได้  ในแนวทางนี้ของข้าพเจ้า หลังจากศิษย์ที่บำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ สามารถไปโลกฝ่าหลุน   และสามารถไปโลกสวรรค์อื่นๆมากมาย    พูดถึงโลกสวรรค์  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ในจักรวาลมีโลกของเทพนับไม่ถ้วน  ภายในขอบเขตทางช้างเผือกของเราก็มีสวรรค์ที่สอดคล้องกันมากมาย  มนุษยชาติก็มีความเข้าใจที่แน่นอนหนึ่งต่อพระพุทธ  เช่นพระอมิตตพุทธควบคุมดูแลโลกแดนสุขาวดี  ยังมีหลิวหลีซื่อเจี้ย  เหลียนฮวาซื่อเจี้ย   เหมยห่าวซื่อเจี้ย  เทพควบคุมดูแลโลกของเทพ    พระเยซูของศาสนาทางตะวันตก  ยังมีพระแม่มารี  ยังมีศาสนาอื่นที่ถูกต้องบางศาสนา พวกเขาก็มีสวรรค์ของพวกเขา  แน่นอนมีสวรรค์บางแห่ง อยู่ไกลลิบลับเหนือขอบเขตจักรวาลที่มนุษย์จะรับรู้ได้  เหนือขอบเขตของจักรวาลน้อยนี้ออกไป  ดังนั้นพอข้าพเจ้าพูดถึงสิ่งที่เป็นของการบำเพ็ญ  ไม่ว่าจะเป็นแง่ของกาลเวลา  หรือ มิติ ก็ล้วนแต่กว้างใหญ่มากๆ 

            ฉะนั้นในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ยาวนาน  ยาวนาน มากๆ  ก่อนอารยธรรมยุคนี้ของมนุษย์  ข้าพเจ้าเคยอยู่ในโลก ถ่ายทอดฝ่าอย่างกว้างขวาง  เคยช่วยเหลือคน  ในเวลานั้นก็ช่วยคนเหมือนศาสนาพุทธในวันนี้  ส่วนครั้งนี้ข้าพเจ้าใช้ฝ่าที่แท้จริงของต้าฝ่าทำเรื่องที่ใหญ่ยิ่งขึ้น  ดังนั้นพูดถึงฝ่าขึ้นมาจึงมีความนัยใหญ่หลวงมาก    เนื่องจากเรื่องที่จะทำนั้นใหญ่มาก  ดังนั้นก็มี พระพุทธ เทพ  เต๋ามากมายล้วนกำลังช่วยข้าพเจ้าทำเรื่องนี้อยู่       เพราะฝ่าชุดนี้ไม่เพียงพูดถึงหลักธรรมของสายพุทธ  ที่พูดคือหลักการของจักรวาล

            จักรวาลทั่วทั้งหมดล้วนแต่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบของสสาร “เจิน ซั่น เหยิ่น” ในเขตแดนที่สูงมากคือ “เจิน ซั่น เหยิ่น”   ใน เจิน ซั่น เหยิ่น สามารถก่อเกิดความดี  สามารถก่อเกิดความสวยงาม  สามารถก่อเกิดความเมตตา  และสามารถก่อเกิดองค์ประกอบสองชนิดคือ บวก – ลบ  ดังนั้น “เหยิ่น” เขาสามารถก่อเกิดความสามารถอดทน กับ ความไม่สามารถอดทน ออกมา  ดังนั้นฝ่า ยิ่งต่ำลงมาหลักการของฝ่าก็ยิ่งกว้างใหญ่และสลับซับซ้อน  อิน-หยาง  หลักการเสริมและต้านกัน นั้นล้วนออกมาจาก “เจิน ซั่น เหยิ่น” ในแต่ละระดับชั้นเขตแดน  ยิ่งต่ำลงมาถึงคน ณ ก้าวนี้ก็สลับซับซ้อนเสียเหลือเกิน  มนุษยชาติมีความดี มีความชั่ว  มีสิ่งดี  มีสิ่งไม่ดี  และก็มีอารมณ์ความรู้สึกความผูกพัน(ฉิง) และหลักการของคนนั้นก็ยังกลับกัน  ในหลักการของคน ปรากฏ พระราชาปกครองประเทศ  ทหารกรีธาทัพใต้หล้า (ไปทำสงคราม ) ผู้แกร่งกล้าเป็นวีรบุรุษ  หลังจากมนุษยชาติมีวัฒนธรรมแบบกึ่งเทพแล้ว  ก็ปรากฏความสลับซับซ้อนของวัฒนธรรมยิ่งขึ้น  รวมทั้งที่สังคมมนุษย์พูดอะไรเกี่ยวกับ ความเมตตา  สัจจะ  มารยาท  สติปัญญา  ความเชื่อ  สิ่งเหล่านี้เป็นต้น   เนื่องด้วยมนุษย์ไม่มีหลักธรรมที่ถูกต้อง  คนก็ไม่รู้ฝ่าที่แท้จริงของจักรวาลคืออะไร  แยกดีชั่วถูกผิดที่แท้จริงได้ไม่ชัด  คนก็ประกอบด้วยจิตพุทธกับจิตมารในเวลาเดียวกัน  คนเมื่อมีอารมณ์ไม่มั่นคง    เมื่อเกิดความคิดชั่ว หรือ หุนหันพลันแล่น  ก็คือถูกด้านจิตมารชักนำ   เมื่อคนอยู่ในสภาพที่มีเหตุผลมากๆ  ทำเรื่องอะไรด้วยสภาพจิตที่ดีงามมากๆ  นั่นคือถูกด้านจิตพุทธชักนำอยู่

            ฝ่าหลุนต้าฝ่าครอบคลุมหลักธรรมของระดับชั้นทั้งหมดในจักรวาล กับ ปรากฏการณ์ของชีวิตของสสาร  ไม่มีอะไรไม่ครอบคลุม  ไม่มีอะไรตกหล่น  ล้วนอยู่ในฝ่านี้หมดแล้ว  ต้าฝ่าเลยล้ำขอบเขตของสายพุทธ  เขามีหลักธรรมทั้งหมดของ พระพุทธ  เต๋า  เทพ  และก็มีหลักธรรมที่เลยล้ำของพวกเขาทั้งหมด ล้วนอยู่ในนั้น  จักรวาลเกิดขึ้น เพราะเขา   เขาจัดทุกสิ่งของจักรวาลให้เป็นมาตรฐาน  เขาสร้างสรรค์สรรพชีวิตของระดับชั้นต่างๆ  ในระหว่างการถ่ายทอดต้าฝ่าอย่างกว้างขวาง  เทพ  พระพุทธ  เต๋า ในระดับชั้นที่ต่างกันจำนวนมากมาย  ล้วนกำลังช่วยเหลือข้าพเจ้าทำเรื่องนี้   ในขณะนี้ในการได้ฝ่าของสรรพชีวิต ผู้ที่ได้ฝ่ายากที่สุดก็คือคนที่อยู่ในศาสนา  เพราะในใจพวกเขามีเทพที่พวกเขาศรัทธา  มีพระพุทธของพวกเขา  มีเต๋าของพวกเขา  พวกเขาไม่เชื่อว่ายังมีเทพอื่น  พระพุทธอื่น  เทพที่สูงยิ่งขึ้นไป  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ฟังไม่มองดูต้าฝ่า  นี่คือองค์ประกอบที่ขวางกั้นพวกเขาไม่ให้ได้รับฝ่า  ที่นี่ไม่ใช่พูดว่าพวกเขาไม่ดี   แต่เพราะสิ่งที่เขาศรัทธาคือ เทพที่แท้จริงในอดีต  เทพที่ถูกต้อง  นี่ก็ทำให้พวกเขายากจะได้ฝ่า  กลายเป็นอุปสรรค  พวกเขาไม่รู้ว่าศาสนามาถึงช่วงเวลาที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนแล้ว  เหล่าเทพทั้งหมดกำลังได้รับฝ่านี้

            ทุกท่านทราบว่า  องค์ศากยมุนีทรงตรัสว่า  ในยุคธรรมะปลาย ธรรมะของข้าพเจ้า(พระองค์)ก็ไม่อาจช่วยเหลือคนได้แล้ว  คำพูดนี้แทบจะไม่มีคนใส่ใจ  ที่จริงปัจจุบันยุคธรรมะปลายได้ผ่านมานานแล้ว  ไม่มีธรรมะเหลืออยู่อย่างแท้จริง  หลักธรรมในอดีตที่ เทพ  พระพุทธ บรรยายไว้ในศาสนา คนยุคนี้ก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเขาได้แล้ว  ผู้ออกบวชก็ไม่เข้าใจความหมายดั้งเดิมของคัมภีร์แล้ว  โดยเฉพาะมีหนังสือมากมายที่เขียนโดยพระสงฆ์ในแต่ละยุคในประวัติศาสตร์ก็นำมาเป็นคัมภีร์และบอกให้คนอ่าน  หลักธรรมสับสนยุ่งเหยิงแล้ว  ชาวโลกไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรแล้ว  ข้าพเจ้าก็เคยถามชาวคริสต์ว่า  พระเยซู พูดว่า เมื่อคนอื่นตบหน้าข้างซ้ายของท่าน  ท่านต้องให้เขาตบหน้าข้างขวาด้วยนั้นเพราะอะไร  พวกเขาอธิบายได้ไม่กระจ่าง   ก็คือเดี๋ยวนี้ยากที่จะมีคนเข้าใจ  ความหมายแท้จริงที่แฝงอยู่ในคำพูดที่เทพกล่าวไว้  ไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมได้จริงๆแล้ว  ที่จริงความนัยที่พระเยซูบอกนั้นเรียบง่ายมาก  คือ เมื่อคนอื่นตีท่านเขาจะให้กุศลกับท่าน  เมื่อท่านเจ็บปวด กรรมของท่านเองก็จะสลายไป  เมื่อท่านสามารถให้คนตบหน้าอีกข้างหนึ่งได้อย่างไม่สะทกสะท้าน   เขตแดนของเขาก็สูงมากแล้ว   การเชื่อฟังคำสอนที่จริงก็คือการบำเพ็ญ   เดิมทีก็คือการบำเพ็ญอยู่ที่ตัวเอง  พลังอยู่ที่อาจารย์    ท่านเพียงแต่เป็นคนดีด้านหนึ่ง  เช่นนั้นพระเยซู เทพ พระพุทธก็จะช่วยผันแปรพลังให้ท่าน  ล้วนแต่ช่วยชีวิตที่พวกเขาจะช่วยเหลือกันอย่างนี้  เนื่องจากข้อจำกัดด้านวัฒนธรรมและภาษา ตัวอักษรในเวลานั้น  พระเยซูจึงเพียงแต่พูดถึงหลักการในชั้นผิว ไม่ได้อธิบายส่วนที่เป็นแก่นแท้

            ในการบรรยายวันนี้ของข้าพเจ้าได้บรรยายหลักธรรมทั่วด้านของจักรวาล  แม้จะเป็นเช่นนี้  คนในยุคธรรมะปลายยังคงยากจะได้ฝ่า  ในครั้งนี้ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าชุดนี้โดยเลือกช่วงโอกาสที่สรรพชีวิตทั้งหมดจะได้ฝ่าได้โดยง่ายในการเริ่มต้นถ่ายทอด  เลือกช่วงเวลาที่ศาสนาทั้งหมดได้มาถึงยุคปลายแล้ว  เริ่มต้นถ่ายทอด เมื่อมนุษยชาติมาถึงช่วงเวลาที่แย่ที่สุดแล้ว  ช่วงเวลานี้ในใจชาวโลกไม่มีมาตรฐานของคนแล้ว   และไม่มีสักกี่คนที่เชื่อถือเทพอย่างจริงใจแล้ว  ข้าพเจ้านำฝ่าออกมาถ่ายทอดโดยเลือกช่วงเวลานี้    เมื่อครู่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่าในการถ่ายทอดฝ่านั้นข้าพเจ้ารับผิดชอบต่อคน  รับผิดชอบต่อสังคม  ที่จริงก็รับผิดชอบต่อเทพด้วย  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาใดๆ  เพราะศาสนาในเวลานี้นั้น เทพของพวกเขาก็ล้วนแต่ไม่ยอมรับแล้ว เพราะเมื่อสังคมมาถึงเวลานี้ใจคนล้วนไม่ดีแล้ว  แต่ข้าพเจ้าทราบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เขายังมีจิตพุทธ รากเหง้าของความดีงาม    เพียงแต่ลื่นไถลลงไปตามกระแสอันเชี่ยวกรากแห่งความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ   ดังนั้นคนในช่วงเวลานี้จึงยังสามารถให้ความช่วยเหลือได้   และฝ่านั้นใหญ่ยิ่ง  ความสามารถในการช่วยคนก็ใหญ่ยิ่ง

            ฝ่าชุดนี้ไม่ใช่จะถ่ายทอดอยู่ในสังคมมนุษย์อย่างครึกโครมแค่วัน สองวัน   พร้อมกับช่วยเหลือคนในเวลาเดียวกันก็เป็นการวางรากฐานของอนาคตด้วย    ฝ่าชุดนี้ เนื่องด้วยเป็นฝ่าที่ใหญ่  ความนัยที่ครอบคลุมอยู่ข้างในจึงใหญ่   ในระหว่างขั้นตอนที่คนบำเพ็ญ สิ่งที่ฝึกออกมาก็อุดมสมบูรณ์มาก  ทุกท่านทราบว่า ความสามารถพิเศษนั้นมีมากมาย แต่ละระดับชั้นล้วนไม่เพียงมีแค่หมื่นชนิดขึ้นไป  เพราะว่าต้าฝ่าไม่เพียงจำกัดอยู่ในสายพุทธเท่านั้น  เขารวบรวมบรรดาความสามารถที่มีอยู่เอาไว้ทั้งหมด  เขาเป็นหลักธรรมของจักรวาล  ฉะนั้นสิ่งที่ใหญ่อย่างนี้  พวกท่านคิดดู  บำเพ็ญไปจนสุดท้ายสำเร็จสมบูรณ์  ต้องบำเพ็ญสิ่งต่างๆออกมามากมายแค่ไหนจากการบำเพ็ญ ?  เมื่อบำเพ็ญถึงเวลาที่สามารถสำเร็จสมบูรณ์  ระดับชั้นจะสูง  พลานุภาพยิ่งใหญ่  พลังฝ่าก็ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง

            เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงศัพท์คำหนึ่ง “การเสริมและต้านกัน”  อะไรที่เรียกว่าการเสริมและต้านกัน ? ข้าพเจ้าขอพูดหลักการนี้ให้กับทุกท่าน    ทำไมเทพไม่ชำระสะสาง คนชั่วเหล่านั้นในสังคมมนุษย์ มารบนสวรรค์ ผีที่อยู่ข้างล่างให้หมดสิ้นไป    ไม่ได้   ทำไมไม่ได้ละ   ไม่ว่าชีวิตในเขตแดนไหน  หากไม่มีบทบาทของชีวิตด้านลบ    ในความสำเร็จไม่ผ่านความขยันขันแข็งสักครา  ไม่ได้ผ่านความยากลำบาก ชีวิตระดับต่ำไม่ได้ผ่านความทุกข์ยากกับความอุสาหะพากเพียร ก็ได้สิ่งที่ต้องการได้แล้ว  ชีวิตก็จะไม่รู้ค่าของการได้มา  และไม่มีความรู้สึกที่ได้มาไม่ง่าย   ยิ่งไม่รู้จักว่าอะไรคือ ชัยชนะ กับ พ่ายแพ้   ไม่มียินดีในความพอใจ  ไม่รู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวดรวดร้าว  และไม่รู้จักว่าอะไรคือความผาสุก   ก็เพราะระดับสูงของจักรวาลมีชีวิตด้านบวกกับลบ   ต่ำลงมามี ดีงาม กับ ชั่วร้าย  ต่ำลงมาอีกมีมาร กับ พระพุทธ  มีเทพมีปีศาจ  มีคนดี มีคนชั่ว  ชีวิตในจักรวาลจึงมีชีวิตชีวา(พลังชีวิต)   ในความขัดแย้งชีวิตจึงดำรงอยู่อย่างมีรสชาติ

            เมื่อครู่ได้พูดเรื่องมิติ   ดังนั้นข้าพเจ้าจะขอพูดเรื่อง มิติจักรวาล กับ รูปแบบของสสารชั้นผิวของชีวิต ในเขตแดนชั้นสูงมากๆของจักรวาลไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่าง  และพวกที่ไร้รูปร่างเหล่านั้น  ก็มีอยู่เต็มไปหมด  ในมิติสสารที่เล็กมากๆ  เขาก็เป็นร่างวิญญาณ(หลิงถี่)ที่มีชีวิต  ยังมีที่เล็กกว่าเขาอีก  ฉะนั้นยิ่งใกล้ชั้นผิวของอนุภาคของจักรวาลก็ยิ่งเป็นอณูใหญ่ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ปัจจุบันรู้จักอนุภาคจำนวนหนึ่ง  เช่นโมเลกุลเอย อะตอมเอย โปรตอนเอย อิเล็กตรอนเอย  ควาคเอย นิวทรีโนเอย  แต่ว่า ถึงอนุภาคสุดท้าย -- สสารต้นกำเนิด  นั้นต่างกันไกลอย่างยิ่งเหลือเกินแล้ว   สสารใดๆในมิติชั้นนี้ของมนุษย์  ล้วนประกอบด้วยอนุภาคโมเลกุล  อากาศ  โต๊ะของข้าพเจ้าตัวนี้  ผ้าปูโต๊ะ  เหล็ก  ดิน  หิน  น้ำ  สิ่งของชนิดใดๆล้วนประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุลชั้นนี้ ข้าพเจ้ามักพูดถึงหลักการอย่างนี้ว่า  ข้าพเจ้าพูดว่าสมองคนนั้นถูกเทพควบคุมอยู่  สมองของนักวิทยาศาสตร์ก็ถูกเทพจำกัดเอาไว้  คนจึงคิดไม่ออกว่าจะเปิดทะลวงมิติชั้นนี้ออกได้อย่างไร  โมเลกุลก็ดี  อะตอมก็ดี  พวกเขาเน้นแต่การค้นคว้าวิจัยรูปแบบเฉพาะส่วนของอนุภาค   จุดหนึ่งของอนุภาค  รูปแบบการคงอยู่ของไม่กี่อนุภาค   พวกเขาไม่มีวิธีที่จะมองทั่วทั้งระนาบของการคงอยู่ของอนุภาคโมเลกุล กับ อะตอม  แน่นอนปัจจุบันยังไม่มีเทคนิควิธีการชนิดนี้  หากเมื่อคนมองเห็นระนาบนี้ได้จริงๆ คนก็จะค้นพบอีกมิติแล้ว  ก็ง่ายๆอย่างนี้  มิติเหล่านั้นกว้างใหญ่มาก  สวยงามมาก กาลมิติของมันกับแนวคิดความใหญ่เล็ก ไม่อาจยืนอยู่บนหลักคิดของคนธรรมดาสามัญ  ไปรับรู้ด้วยวิธีคิดของคนธรรมดาสามัญ  คนต้องกระโดดออกไปจากสภาพความคิดนี้ไปรับรู้มัน   มิติที่ประกอบด้วยจุลอนุภาคจำนวนมากนั้น กว้างใหญ่กว่ามิตินี้ของพวกเรา

            อนุภาคนั้นล้วนแต่มีพลังงาน  ฉะนั้นมาดูกันอย่างนี้  จักรวาลที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ประกอบด้วยพลังงาน  มนุษย์รับรู้ได้ว่าอะตอมมีกัมมันตภาพรังสี  นิวเคลียสอะตอมมีกัมมันตภาพรังสี  โปรตอนมีกัมมันตภาพรังสี แต่ว่าพวกท่านทราบไหม ? ควาค  นิวทรีโน  สสารยิ่งเล็กพลังงานยิ่งสูง  กัมมันตภาพรังสียิ่งแรง กล่าวสำหรับคน ยังไม่อาจรับรู้ว่าสสารชั้นผิวนี้ที่ประกอบด้วยโมเลกุลก็มีกัมมันตภาพรังสี  เพียงแต่ร่างกายคนก็ประกอบด้วยโมเลกุล  สสารทั้งปวงในโลกล้วนประกอบด้วยโมเลกุล  คนจึงไม่รู้สึกถึงพลังงาน กับ กัมมันตภาพรังสีของโมเลกุล    วิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ทดลองทางเคมี เครื่องมือที่ใช้ตรวจวัด ของโลกมนุษย์ โดยตัวมันเองล้วนเป็น วัตถุชั้นผิวที่ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุลทั้งหมด  อุปกรณ์ที่มนุษย์ใช้ตรวจวัดพลังงานล้วนประกอบด้วยโมเลกุล  ท่านจะตรวจสอบออกมาได้อย่างไรว่าโมเลกุลมีพลังงานละ ?  ดังนั้นคนจึงตรวจสอบไม่ได้ถึงพลังงานของโมเลกุล  ในจักรวาล โมเลกุลไม่ใช่อนุภาคชั้นสุดท้ายอย่างแน่นอน  และสิ่งมีชีวิตที่อนุภาค(ของมัน)ใหญ่กว่าโมเลกุลชั้นหนึ่งก็เหมือนคนมองอะตอมว่ามีพลังงานอยู่   ในการบำเพ็ญนั้นผู้บำเพ็ญบางคนไม่เพียงแต่พลังกงจะมีสูงขึ้น  ยังเพิ่มพลังกง(ในทาง)ต่ำลง  เมื่อยืนอยู่ในระดับชั้นนั้นมองคน  จะเป็นความแปลกใหม่  หรือก็คือว่า  ชั้นโมเลกุลยังไม่ใช่อนุภาคชั้นนอกสุด ใหญ่ที่สุด

            พวกเราทราบว่า ในอะตอมมี นิวเคลียสอะตอมและอิเล็กตรอน    รูปแบบที่อิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียสอะตอมเหมือนกับ รูปแบบที่โลกและดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งหลายโคจรรอบดวงอาทิตย์หรือไม่ละ? ท่านอย่ามองว่ามันเล็ก   อนุภาคแม้ว่าจะเล็ก  แต่ชั้นระนาบของมันอาจจะใหญ่กว่า  และก็พูดได้ว่าพื้นที่ทั้งหมดของมันใหญ่มาก  อย่างเช่นดูคน  ถ้าเพียงมองอนุภาคโมเลกุลหนึ่งของคน ก็จะไม่เห็นตัวคน  เมื่อเห็นบรรดาอนุภาคชั้นนี้ทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นชั้นผิวนอกของคน  จึงจะมองเห็นตัวคน   สมมติว่าสามารถใช้กล้องจุลทรรศน์มุมกว้างชั้นสูงหลายๆเท่ามา ขยายอะตอมให้ใหญ่เท่าโลกอย่างนี้ ลองดูๆว่าบนพื้นผิวนั้นมีสิ่งมีชีวิตสักเท่าไร  แน่นอนปัจจุบันนั้นคนทำไม่ได้  เมื่อมองเห็นได้แล้วท่านจะพบว่าเป็นอีกทัศนียภาพหนึ่ง  กล่าวสำหรับชีวิตเหล่านั้น  นั่นก็เป็นโลกที่กว้างใหญ่มหึมา

            เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  โมเลกุลไม่ใช่อนุภาคชั้นผิวที่ใหญ่ที่สุด  เช่นนั้นอนุภาคชั้นที่ใหญ่ที่สุดคืออะไรละ ? อนุภาคชั้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นคนไม่อาจรู้ได้ตลอดกาล  แต่อนุภาคที่ใหญ่กว่าโมเลกุลหนึ่งชั้นนั้นดวงตาทุกท่านก็สามารถมองเห็นแล้ว  แต่ก็ไม่กล้าไปคิด  ดวงดาวเหล่านี้บนอวกาศ  ดวงดาวเหล่านี้ในจักรวาลมันใช่อนุภาคชั้นหนึ่งหรือไม่ละ ? เนื่องจากแนวคิดของท่านจำกัดอยู่ในวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ท่านเห็นดวงดาวกระจายอยู่ทั่วในร่างนภา(เทียนถี่)  แต่ว่ามันเชื่อมโยงระหว่างกันภายใน  ในระดับมหภาค ถ้าในเวลาที่ร่างกายคนใหญ่กว่าดวงดาวมาก  ปริมาตรของท่าน  ร่างกายของท่าน  ความคิดของท่าน  ปริมาณความจุของท่าน เลยล้ำกว่ามันมากๆแล้ว  ก็จะเหมือนที่คนมองดูโมเลกุล   ท่านหันศีรษะกลับมามองดูซิ    ดวงดาวเหล่านี้กับโครงสร้างของจุลอนุภาคจะคล้ายคลึงกันใช่หรือไม่   คนก็ไม่มีสติปัญญาและพลังแห่งจินตนาการใหญ่อย่างนั้น  ข้าพเจ้าว่าพระพุทธคือนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์นั้นปิดล้อมมนุษย์เองไว้แล้ว  วิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยัน ได้สร้างความผิดพลาดไว้มากมายให้กับคน  จำกัดอยู่ในนี้  เมื่อท่านอยู่เหนือมันแล้ว  มันก็จะพูดว่าท่านไม่เป็นวิทยาศาสตร์   จึงใช้วิทยาศาสตร์ชนิดนี้ทั้งหมดปิดล้อมตนเองจนแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งไม่สามารถรับรู้ความจริงของจักรวาล   วิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันในปัจจุบันบอกว่าการพัฒนาของคนสืบเนื่องจากการวิวัฒนาการ   ที่จริงไม่มีทฤษฎีวิวัฒนาการคงอยู่อย่างแท้จริง   คนไม่ได้วิวัฒนาการมาอย่างแน่แท้   มนุษย์ในประวัติศาสตร์ได้ก่อเกิดอารยธรรมขึ้นหลายครั้ง   วัฒนธรรมแต่ละยุคมีเนื้อหาแตกต่างกัน   พอข้าพเจ้าพูดขึ้นมาก็อยากให้ทุกท่านเข้าใจมากสักหน่อย  เนื่องจากระดับการศึกษาของทุกท่านค่อนข้างสูง  ความสามารถในการเข้าใจสูง ( เสียงปรบมือ ) ข้าพเจ้าจึงพูดถึงด้านนี้มากสักหน่อย  

            การก่อเกิดของจักรวาลไม่เหมือนอย่างที่วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพูดไว้โดยสิ้นเชิงว่า เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่    คนไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานรเลย ในเวลานั้นที่ดาร์วินนำทฤษฎีวิวัฒนาการออกมาเปิดเผยนั้น ทฤษฎีวิวัฒนาการเต็มไปด้วยช่องโหว่ ตัวเขาเองก็นำออกมาแบบกล้าๆ กลัวๆ  ความบกพร่องใหญ่ที่สุดของทฤษฎีก็คือไม่มีขั้นตอนของประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในระหว่างการวิวัฒนาการจากวานร มาเป็นคน   จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีของจริงปรากฏออกมาเลย  จนทุกวันนี้ยังหาไม่พบเลย  แต่คนกลับยอมรับ  และยังเชื่อราวกับเป็นสัจธรรม  วิทยาศาสตร์แบบการพิสูจน์ยืนยันในปัจจุบันเป็นมายาภาพชนิดหนึ่ง  มนุษย์เดินผิดทิศผิดทางแล้ว  ไม่อาจรับรู้ความจริงของจักรวาล   ไม่กล้ายอมรับการคงอยู่ของอีกมิติ   แต่ปรากฏการณ์นานาชนิดที่อธิบายได้ไม่ชัดกลับสามารถสะท้อนมาสู่มิตินี้ของมนุษย์  คนกลับไม่กล้ารับมัน  ไม่กล้ายอมรับมัน  ถือว่านั่นไม่เป็นวิทยาศาสตร์   หากใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไปรับรู้บรรดาสิ่งที่รับรู้ไม่ได้  เช่นนั้นมันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ทั้งหมดแล้วหรือ ?   เพราะวิทยาศาสตร์ได้กำหนดคำจำกัดความให้กับวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว  คนจึงไม่กล้าไปรับรู้สิ่งที่เลยล้ำออกไป

            ในเวลาที่ข้าพเจ้าพูดถึงจักรวาล ได้พูดถึงแนวคิดของจักรวาลเล็ก   จักรวาลเล็กนี้หนา คนไม่เพียงไม่กล้าจินตนาการว่ามีความกว้างใหญ่เพียงไร   แน่นอนตลอดมา  ในความคิดของคน ก็เฝ้าคิดหยั่งรู้ว่าจักรวาลมีความกว้างใหญ่เพียงไร   จักรวาลเล็กทั้งหมดที่ข้าพเจ้าพูดถึง ในวิทยาศาสตร์ยุคนี้ยังไม่มีแนวคิดนี้อยู่  วิทยาศาสตร์จึงเข้าใจว่าจักรวาลนี้  ก็คือจักรวาลที่ดวงตามองเห็นได้   จักรวาลนี้ที่ข้าพเจ้าพูดออกมาทั้งหมดมันใหญ่แค่ไหนละ ?  ใช้ตัวเลขของมนุษย์ ภาษาของมนุษย์ ไม่สามารถบรรยายได้   แต่สามารถพูดโครงสร้างคร่าวๆออกมาได้   ทุกท่านทราบไหมว่าในจักรวาลน้อยมีระบบดวงดาวที่เหมือนทางช้างเผือกอยู่เท่าไร ? บางทีผู้ที่กำลังนั่งอยู่อาจมีความเชี่ยวชาญด้านนี้จากที่เคยศึกษาในหนังสือ   แต่ที่ข้าพเจ้าพูดนั้นไม่เหมือนกัน  ระบบดวงดาวที่เหมือนกับทางช้างเผือก  ปัจจุบันมีอยู่ 2,700 ล้านกว่าแห่งในจักรวาลเล็ก ไม่ถึง 3,000 ล้านแห่ง นี่คือวิธีมองดูวัตถุโดยใช้ดวงตาของคน  พูดถึงรูปแบบโครงสร้างของดวงดาวชนิดหนึ่งที่คนสามารถรับรู้ได้ จักรวาลในอนาคตจะไม่ใช่ตัวเลขจำนวนนี้   องค์ศากยมุนีเคยตรัสไว้ประโยคหนึ่ง  พระองค์ตรัสว่าพระยูไลพุทธะมีมากเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา  องค์ศากยมุนีก็เป็นพระยูไลพุทธะ  พระองค์ตรัสว่าพระยูไลพุทธะเหมือนกับจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา  นี่คือวิธีการที่ดวงตาพระพุทธ มองดูวัตถุ   ที่จริงคือมองเห็นดวงดาวในจักรวาลเล็กอย่างไม่ตกหล่น มีมากเท่าจำนวนเม็ดทราย  หนาแน่นเหมือนโมเลกุล  ขอบเขตของจักรวาลเล็กนี้มันก็มีขอบนอก  เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่ามันเป็นขอบเขตที่ใหญ่ที่สุดของจักรวาลนี้ละ   แน่นอนไม่ใช่  เมื่อยืนอยู่ในมิติที่กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นดูจักรวาลเล็กนี้ ก็เป็นเพียงอนุภาคหนึ่งในมิติอันมหึมาเท่านั้น

            เช่นนั้นด้านนอกของจักรวาลคืออะไรละ ?     ผ่านขั้นตอนหนึ่งของกาลมิติที่ยาวนาน  เมื่อมองจากที่ไกลๆจะพบว่ามีจุดสว่างจุดหนึ่ง  เมื่อใกล้เข้ามา  จะพบว่าจุดสว่างนี้โตขึ้นเรื่อยๆ  โตขึ้น  โตขึ้น  ตอนนี้จะพบว่ามันก็เป็นจักรวาลหนึ่งด้วย  ใหญ่เล็กไม่ต่างจากจักรวาลของเราสักเท่าไร   เช่นนั้นจักรวาลอย่างนี้มีมากแค่ไหนละ ? ยังคงพูดโดยใช้วิธีมนุษย์มองดูวัตถุ  มีจักรวาลแบบนี้ราวๆ สามพันแห่ง นี่ล้วนเป็นแนวคิดทางตัวเลขโดยใช้ความเข้าใจของมนุษย์ กับ ความเข้าใจต่อองค์ประกอบของสสารชนิดหนึ่ง  โครงสร้างของจักรวาลนั้นสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง  ที่ด้านนอกนี้ยังมี เปลือกนอกชั้นหนึ่ง  นี้จึงประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่ 2   จากนั้นข้างนอกจักรวาลชั้นที่ 2 ในขอบเขตที่กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น ก็จะมีจักรวาลที่ใหญ่อย่างนี้ สามพันแห่ง และประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่ 3  นี่หาใช่จำนวนชั้นของมิติ    สวรรค์เก้าชั้นที่ศาสนาของสังคมคนธรรมดาพูดถึงนั้น ข้าพเจ้าใช้ระนาบที่ประกอบขึ้นโดยอนุภาคชั้นนี้ไปเทียบกับมัน สวรรค์เก้าชั้นนี้ก็คือขอบเขตของดาวนพเคราะห์ ที่สอดคล้องกับมิติชั้นหนึ่งภายในตรีภูมิซึ่งประกอบขึ้นจากอนุภาค  ระบบสุริยะจักรวาลของเราอยู่ทางขั้วใต้ของเขาพระสุเมรุ  ข้าพเจ้ามักพูดบ่อยๆว่า  ชีวิตกับจักรวาลนั้นเป็นความลับตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติ  คนไม่สามารถรับรู้ความจริงของจักรวาลได้ตลอดกาล   และไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างกระจ่างชัดถึงแหล่งของมูลเหตุดั้งเดิมที่สุดซึ่งประกอบขึ้นเป็นชีวิต เพราะคนล้วนไม่สามารถพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีไปถึงระดับจุลภาคนั้นได้ตลอดกาล    มีคนคิดว่า   หากดำเนินไปเช่นนี้นานๆไปวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของมนุษย์ไม่ใช่จะสูงขึ้นเรื่อยไปหรือ ? ที่จริงไม่ใช่   แม้ว่าวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของมนุษย์ จะถูกสิ่งมีชีวิตนอกพิภพควบคุมอยู่โดยตรง    แต่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของคน กับ ชีวิตนอกพิภพเหล่านี้ต่างก็ถูกเทพจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยตั้งนานมาแล้ว    วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพียงแต่ดำเนินไปตามที่เทพจัดวางไว้ให้  สังคมมนุษย์เพียงแต่ดำเนินสอดคล้องไปตามการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สวรรค์เท่านั้น   ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาซ้ำรอยเรื่อยมา  ประวัติศาสตร์วันนี้ก็เป็นการซ้ำรอยและปรับแก้ประวัติศาสตร์ยุคก่อนๆ

            สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่นั้น คือ ต้องการที่จะเปิดความคิดของพวกท่านให้กว้างสักหน่อย   ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของพวกท่าน   จักรวาลไม่ได้เป็นเหมือนที่มนุษย์รับรู้เข้าใจกันอย่างนั้น   เช่นนั้นจักรวาลนี้ที่แท้ใหญ่เพียงไรละ ?   แม้ข้าพเจ้าบรรยายแนวคิดของจักรวาลให้ทุกท่านอีกล้านๆชั้นขอบเขต  ก็เป็นได้เพียงแค่เม็ดฝุ่นหนึ่งเม็ดของร่างนภา(เทียนถี่) อันมหึมา    กล่าวสำหรับคนข้าพเจ้าสามารถใช้หลักการกับตัวเลขกองใหญ่บรรยายออกมาให้กับท่าน   แต่คนเองไม่มีทางที่จะรับได้แล้ว  คนก็ไม่สามารถมองเห็นได้ตลอดกาล   เพราะคนไม่มีโครงสร้างร่างกายของเทพแบบนั้น   ความจุทางความคิดกับสติปัญญาก็ไม่สามารถแบกรับได้อย่างแน่แท้   คนก็ไม่มีรูปแบบความคิดชนิดนั้น   แนวคิดที่ใหญ่มหึมานั้น สมองคนก็แบกรับไม่ไหว  เพราะเมื่อผู้บำเพ็ญบรรลุถึงระดับชั้นสูงอย่างนั้น  ในเวลาที่ สมองเอย  ความคิดเอย   ร่างกายเอย ล้วนกลายเป็นร่างพลังงานสูง  จึงจะมีพลังงานสูงอย่างนั้น  มีปริมาตรที่ใหญ่อย่างนั้น  มีสติปัญญามากอย่างนั้น    ฉะนั้นสมองของคนจึงไม่สามารถรองรับความรู้สึกที่สูงกว่าระดับมนุษย์มากเกินไป กับสภาพความเป็นจริงระดับชั้นสูง ที่ปรากฏออกมา  ความรู้ที่คนสามารถแสวงหาได้ก็มีขีดจำกัด

อีกด้านหนึ่ง  ถ้าคนรับรู้ได้สูงอย่างนั้น     คนก็ต้องมีเขตแดนด้านศีลธรรมที่สูงแบบนั้น  เทพนั้นไม่ยอมให้คนนำพาจิตใจของคนบรรลุถึงระดับชั้นของพระพุทธ บอกว่าพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของมนุษย์  ให้สูงเหมือนกับพระพุทธนั้น  เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด  เพราะอะไรละ?  ทุกท่านทราบว่า คนมีฉิงของคนหนา  ยังมีจิตยึดติดต่างๆนานา  อารมณ์ทั้ง 7  กามคุณทั้ง 6  มากมายเหลือเกิน  ยังมีจิตแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  จิตอิจฉาริษยา เหล่านี้   ทุกท่านคิดดู    ถ้าไปถึงเขตแดนของพระพุทธได้จริงแล้ว   จะไม่สร้างความโกลาหลให้กับโลกพระพุทธหรอกหรือ  ?  ไม่แน่ว่าเมื่อท่านอยู่ที่นั่นของพระพุทธ เกิดจิตอิจฉาริษยาด้วยเรื่องอะไรขึ้นมา  แล้วเกิดความขัดแย้งกับพระพุทธ   นั่นจะยอมให้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด    ราคะจิตไม่ทิ้งไป พอมองเห็นพระโพธิสัตว์รูปงามสะสวยอย่างยิ่ง   และแล้วก็เกิดราคะจิตต่อเทพ   สิ่งนี้ไม่อาจให้มีอยู่ในสวรรค์ได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเทคโนโลยีของคนไม่อาจพัฒนาไปถึงเขตแดนของเทพ  พระพุทธได้อย่างเด็ดขาดตลอดไป   จึงพูดได้ว่า เทคนิควิธีทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของมนุษย์ก็ไม่สามารถให้ท่านบรรลุถึงเขตแดนของเทพได้ชั่วนิรันดร์  จุดนี้แน่นอน

เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงหลักการเสริมและต้านกัน   ตอนนี้จะขอพูดต่อ  ในเขตแดนที่สูงมาก   ชีวิตนั้นดำรงอยู่อย่างเรียบง่ายมาก ความคิดก็เรียบง่ายสะอาดบริสุทธิ์มาก   แต่สติปัญญานั้นยิ่งใหญ่   เช่นนั้นพอต่ำลงมา ก็จะปรากฏคุณสมบัติสองอย่างในชีวิตหนึ่งๆ  ต่ำลงมาอีกมันก็เปลี่ยนเป็นองค์ประกอบของสสารที่ต่างกันสองชนิด   เนื่องจากเทียนถี่ของจักรวาลนั้นใหญ่มาก   เมื่อต่ำลงมาอีก สสารที่ต่างกันสองชนิดจะค่อยๆเกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน   ยิ่งต่ำลงอีก    คุณสมบัติพิเศษที่ต่างกันของสสารสองชนิดที่ต่างกันและเป็นปฏิปักษ์ต่อกันก็แสดงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงปรากฏรูปแบบการดำรงอยู่ของชีวิตด้านบวกกับลบขึ้นมา พอต่ำลงอีก  จะมี พระพุทธ(ธรรมราชา)  และมีมาร (ราชาแห่งมาร)   ในขณะเดียวกัน ก็เกิดองค์ประกอบที่เป็นปฏิปักษ์กันหลายชนิด เช่น อิน หยาง   ไท่จี๋ เป็นต้น   ต่ำลงมาอีกจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงออกมาเป็น หลักการเสริมและต้านกัน ความขัดแย้งของสสารสองชนิดที่ต่างกันก็ยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ

โดยเฉพาะพอมาถึงสังคมมนุษย์  หลักการเสริมและต้านกันนี้จึงปรากฏออกมาอย่างชัดเจนมาก   คนๆหนึ่ง คิดจะทำเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง หรือเรื่องที่ไม่ดีให้สำเร็จ  ท่านต้องเอาชนะความขัดแย้งที่ตรงข้ามกัน  ท่านจึงจะสามารถทำเรื่องนี้สำเร็จ  ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกบุคคล องค์กร  บริษัทหนึ่งๆในสังคมปัจจุบัน  หรือรัฐบาลหนึ่ง   หากจะทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ  ท่านต้องเอาชนะความขัดแย้งมากมายจึงจะสามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้สำเร็จ  มีแต่ทำตามเจตนาของสวรรค์จึงจะสำเร็จ  อุปมาดั่งเงื่อนไขพร้อม (พอน้ำหลากมาถึง เขื่อนก็สร้างเสร็จ)   ไม่เช่นนั้น ก็เท่ากับอยู่สบายๆ ทำเรื่องอะไรก็สำเร็จ   หากพูดในหลักการของคนระดับชั้นนี้   เป็นเพราะคนทำเรื่องไม่ดีไว้ จึงเหลือหนี้กรรมติดค้างอยู่มากมาย  ดังนั้นพอทำอะไรก็ต้องชดใช้หนี้  เพราะหลักการเสริมและต้านกันนั้น มีอยู่ทั่วไปเกือบทุกแห่งหน  คนทำอะไรล้วนแต่ยากลำบาก    เช่นนั้นมันมีประโยชน์อะไรละ ?  หลักธรรมนั้นประสานกลมกลืน    พูดจากอีกด้านหนึ่ง  เมื่อชีวิตหนึ่งสามารถเอาชนะความขัดแย้งที่ตรงข้ามกัน  แล้วได้สิ่งที่ต้องการ  จึงจะรู้สึกว่าได้มาไม่ง่าย  ท่านจึงจะรู้ถึงคุณค่าของมัน  จึงจะรู้ถึงความพอใจหลังจากที่ได้มา   รู้ถึงความปีติและความสุขหลังชัยชนะ  ถ้าหากไม่มีความเป็นปฏิปักษ์นี้ดำรงอยู่  เช่นนั้น   ทุกท่านลองคิดดู  คิดจะทำอะไรก็ทำอะไร   พอทำก็สำเร็จทันที  คิดจะทำอะไรก็ทำ  ท่านไม่ต้องไปช่วงชิงในเรื่องอะไร  ทำอะไรก็เบาสบาย   ทำอะไรก็ไม่มีความยากลำบาก  ท่านก็จะรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย   แต่เพราะท่านได้มาไม่ง่าย ท่านจึงรู้สึกมีความสุข    นี่ก็คือ สภาพการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ   ด้วยเหตุนี้คนก็จะมีชีวิตอยู่อย่างมีชีวิตชีวา

จากการบรรยายสิ่งเหล่านี้เมื่อครู่  ข้าพเจ้าหวังว่าทุกท่านจะสามารถเปิดความนึกคิดของตนเอง   ช่วยเสริมความก้าวหน้าในการบำเพ็ญ พอพูดขึ้นมา  เมื่อจะพูดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาสิ่งที่จะพูดนั้นมีมากมายเหลือเกิน บางครั้งข้าพเจ้าอยากจะพูดเรื่องนี้  แล้วก็อยากจะพูดเรื่องนั้น   เนื่องจากเวลาสั้นมาก   ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างนี้ ทุกท่านมาที่นี่ คงมีปัญหามากมาย พอพบข้าพเจ้าแล้ว ก็อยากจะถามอะไรมากมาย   ข้าพเจ้าก็จะพยายามให้เวลากับทุกท่าน  ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาให้พวกท่าน   ทุกท่านก็ต้องตั้งใจจะฟัง   นี่ก็เป็นการบรรยายฝ่าเช่นกัน และมีลักษณะพิเศษจำเพาะ   เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าพเจ้าก็จะตอบคำถามให้กับทุกท่าน พวกท่านสามารถยืนขึ้นมาพูดเสียงดังๆ  ให้ทุกคนได้ยินกัน   และสามารถเขียนคำถามส่งขึ้นมาได้

            คนที่นั่งอยู่ยกมือแล้วก็ถามได้    คำถามเขียนยาวมากจะเสียเวลาอ่าน    ทุกท่านเวลาเขียนก็ให้เข้าประเด็นเลย  ข้อหนึ่งถามอะไร   ข้อสองถามอะไร  ให้สั้นๆได้ใจความสักหน่อย

ศิษย์          คนที่อายุมาก ถ้าไม่สำเร็จสมบูรณ์ จะทำอย่างไร  ?

อาจารย์    ผู้ฝึกคนนี้ถามปัญหาที่มีลักษณะตัวแทน   ที่นั่งอยู่คนที่มีอายุมากแล้วมีค่อนข้างมาก   ปัญหาที่เขาถามก็คือ  คนที่มีอายุค่อนข้างมากแล้ว ถ้าไม่สำเร็จสมบูรณ์จะทำอย่างไร ? การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง  ไม่เหมือนประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบัน  ทุกคนเดินเข้าประตูหลังแล้วเรื่องอะไรๆจัดการได้หมด(ใช้เส้นสาย อิทธิพล)  นี่ทำไม่ได้  เช่นนั้นจะทำอย่างไร ?  ต้องบำเพ็ญตัวท่านเองอย่างจริงจังจึงจะทำได้

ในเวลาเดียวกับที่ตอบคำถามนี้ ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอพูดสักหน่อยเรื่องความสัมพันธ์ของการบำเพ็ญกับการทำงาน    การบำเพ็ญไม่กระทบต่อการดำรงชีพตามปกติของท่าน    ท่านเปิดบริษัทอยู่ในสังคม   ท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในรัฐบาล   ท่านทำการงานใดๆในหมู่คนธรรมดาสามัญ ก็ล้วนสามารถบำเพ็ญ  ในอดีตพระเยซูเคยพูดไว้ประโยคหนึ่ง  เขาพูดว่าคนมีเงินขึ้นสวรรค์ยังจะยากกว่าอูฐเดินลอดรูเข็ม   ทำไมเขาจึงพูดคำนี้?   เพราะมีคนจำนวนมากวางจิตยึดติดต่อเงินทองไม่ลง   ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ไม่กลัวว่าท่านจะมีเงินมากเท่าไร  บ้านของท่านจะกองขึ้นด้วยเงิน   ทางเดินในบ้านท่านปูลาดด้วยทองคำ    ตำแหน่งราชการของท่านสูงขึ้นไปอีก   ถึงแม้ท่านจะเป็นประธานาธิบดี  ท่านก็สามารถเป็นคนดีได้  ในสภาพแวดล้อมนั้นของท่าน   ในท่ามกลางความขัดแย้งในชั้นนั้นของท่าน  ล้วนสามารถบำเพ็ญตนเองได้   ทุกท่านคิดดู   พวกเราที่นั่งอยู่เป็นคนชนชั้นต่างๆกัน   บางคนทำงานเพื่อปากท้อง   คนที่ดำรงชีพในระดับล่างเกิดความขัดแย้งระหว่างคนด้วยกัน    คนระดับชั้นนี้หาก เขาสามารถยืนหยัดทำตัวเป็นคนดีในท่ามกลางความขัดแย้งและความเจ็บปวดได้ จากนั้นบรรลุถึงมาตรฐานของการบำเพ็ญ  สุดท้ายจะสามารถสำเร็จสมบูรณ์    ส่วนคนชั้นกลางเขาก็มีความขัดแย้งในชั้นนั้นของเขา พวกเขาอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งเหล่านี้จะทำตัวเป็นคนดีคนหนึ่งได้อย่างไร   ยกระดับขึ้นมา  ก็สามารถฝึกสำเร็จได้   ข้าพเจ้าพบว่าไม่ว่าคนระดับชั้นไหนล้วนแต่สามารถยกระดับขึ้นมาได้  ล้วนสามารถบำเพ็ญได้   ในแวดวงของประธานาธิบดีก็มีความทุกข์ใจ  ก็มีความขัดแย้งในชั้นนั้นของเขา  ระหว่างประเทศกับประเทศ   ระหว่างชนชาติกับชนชาติ ล้วนแต่มีความขัดแย้ง   มนุษย์นั้นเหมือนกัน  คนมีชีวิตอยู่บนโลกก็เป็นทุกข์  ดังนั้นจึงสามารถบำเพ็ญได้หมด    ที่นี่ข้าพเจ้าบอกเหล่าศิษย์ให้ก้าวออกมาจากกรอบของศาสนา ไปรับรู้เข้าใจการบำเพ็ญ ไปทำให้การบำเพ็ญที่แท้จริงของคนให้เป็นจริง

ดังนั้นผู้สูงอายุเมื่อบำเพ็ญก็เหมือนกัน   พลังของข้าพเจ้าเป็นการบำเพ็ญจิตและชีวิตควบคู่กัน   เมื่อฝึกไปพลางก็จะยืดอายุขัยไปพลาง   จึงมีเวลาเพียงพอแล้วใช่ไหม ?  แต่ก่อนอื่นคือผู้สูงอายุที่กล่าวข้างต้นต้องยิ่งก้าวหน้า  เข้มงวดต่อการบำเพ็ญ    ถ้าหากผู้สูงอายุไม่สามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้จริงๆ จะด้วยเหตุใดก็ตาม   ถ้าหากได้สาบานไว้ก่อนวาระสุดท้ายของชีวิตว่า  ครั้งต่อไปฉันจะต้องบำเพ็ญอย่างแน่นอน   เช่นนั้นเขาจะนำฝ่าหลุนติดตัวไปเกิดใหม่  นำสิ่งที่ใช้ในการบำเพ็ญติดตัวไปเกิดใหม่  บำเพ็ญต่อจากภพก่อน  (เสียงปรบมือ)  ยังมีอีกคือบอกว่าคนนั้นทุกข์ยากอย่างยิ่ง  ไม่อยากมา(เกิดเป็นคน)อีกแล้ว   จะทำอย่างไรละ?  บำเพ็ญเท่าไรได้เท่านั้น   เช่นนั้นก็ดูว่าระดับชั้นของการบำเพ็ญที่มีอยู่ของเขานั้นอยู่ ณ ระดับชั้นไหน  ถ้าอยู่บนสวรรค์ชั้นใดของตรีภูมิ   ก็ไปสวรรค์ชั้นนั้น เป็นชีวิตในระดับชั้นนั้น   ถ้าท่านสามารถออกจากตรีภูมิ  เพียงแต่ไม่มีมรรคผลของการสำเร็จสมบูรณ์  เช่นนั้นท่านอาจไปเป็นสรรพชีวิตในโลกสวรรค์  โลกนั้นไม่เหมือนกับที่คนคิดกันว่า มีแต่พระพุทธ  พระโพธิสัตว์ ก็ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว  ในนั้นมีสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน  เป็นโลกที่งดงามเจริญรุ่งเรืองมาก  ข้างในมีประชาชาวสวรรค์ (เสียงปรบมือ ) แต่กล่าวสำหรับคน  พวกเขาก็เป็นเทพนะ   นั่นไม่อาจเปรียบกับมนุษย์โลกได้แล้ว  เพียงแต่พวกเขาไม่มีมรรคผล  ปัญหาของท่านก็ได้ตอบให้หมดแล้วโดยพื้นฐาน

ศิษย์          จะเข้าใจเรื่องผู้บำเพ็ญจริงไม่มีโรค อย่างไร?

อาจารย์    พื้นที่หลายแห่งในแผ่นดินใหญ่ผู้คนมีการพูดแบบหนึ่ง  เมื่อมีผู้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย  ก็จะมีคนบอกเขาว่า – คุณรีบไปเรียนฝ่าหลุนกงเถอะ   เรียนปั๊บก็จะหาย     เพราะเหตุใด จึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ? เพราะการปรับร่างกายให้กับผู้บำเพ็ญของฝ่าหลุนกงนั้น รวดเร็วมาก  จุดประสงค์คือหลังจากปรับแล้วก็จะเข้าสู่การบำเพ็ญในทันที   ดังนั้นก็ไม่เป็นเหมือนดังเช่นที่คนธรรมดาสามัญเข้าใจกับอย่างนี้ทั้งหมด   บางคนเมื่อมาฝึกพลังโดยไม่มีความคิดเรื่องการรักษาโรคใดๆ นี่คือดีที่สุด  เพราะการบำเพ็ญกำหนดว่าไม่ให้ยึดติด จะรักษาให้โดยไม่แสวงหา เมื่อมีสิ่งที่แสวงหาก็คือจิตยึดติด  ผลลัพธ์กลับจะไม่ดี    บอกว่าฉันมาก็เพื่อรักษาโรค  ก็คือท่านมีจิตยึดติด    เพราะต้าฝ่าถ่ายทอดในโลกไม่ใช่ด้วยจุดประสงค์เพื่อรักษาโรคให้คน  แต่มาเพื่อช่วยเหลือคน   การขจัดโรค เป็นการปรับร่างกายให้กับผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ   หากมาด้วยจิตยึดติด  เท่ากับจับยึดโรคไว้ไม่ยอมปล่อย  โรคก็ไม่มีทางขจัดไปได้  

หลักคิดของคนกับหลักการของจักรวาลนั้นกลับตาลปัตรกัน  ยิ่งแสวงหายิ่งไม่มี   มีแต่เมื่อท่านปล่อยวางจิตนี้ลงไปได้  ท่านจึงจะวางโรคนี้ลงได้     มาบำเพ็ญอย่าคิดเรื่องรักษาโรค   ก็คือไม่อาจจะมีการแสวงหา ดังนั้นผู้ที่มีโรคอย่าใส่ใจเรื่องโรคในขณะฝึกพลัง   ท่านไม่แสวงหา  ท่านไม่ใส่ใจมัน  ท่านคิดแต่เรื่องของการฝึกพลัง  ยิ่งฝึกก็จะยิ่งดี   บางทีเมื่อฝึกพลังเสร็จ พอกลับไปบ้านเพียงชั่วข้ามคืน โรคอะไรก็จะไม่มีแล้ว  (เสียงปรบมือ)  ปรากฏการณ์ชนิดนี้ ในพื้นที่หลายๆแห่งในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ คนต่างเล่าขานต่อๆกัน   รู้สึกมหัศจรรย์มาก คนจำนวนมากล้วนกำลังเรียนกันอยู่  ดังนั้นยิ่งเรียนคนยิ่งมาก

ข้าพเจ้าจึงพูดถึงหลักการนี้   ก็คือไม่แสวงหาจะได้ผลเร็วที่สุด   ผู้ที่แสวงหาอาจจะได้ผลช้า  การมองเรื่องโรคของข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้   ข้าพเจ้าทำเรื่องเหล่านี้ให้กับศิษย์ก็ไม่เรียกว่าการขจัดโรค  เรียกว่าการชำระล้างร่างแท้ให้ผู้บำเพ็ญ จุดประสงค์ของการชำระล้างคือ การวางรากฐานการบำเพ็ญให้  ร่างกายที่มีโรคอยู่จะไม่ก่อเกิดพลังออกมา  แล้วจะทำอย่างไรละ?  ท่านมาฝึกพลัง ก็ คือ ฝึกพลัง  ท่านอย่ามีสิ่งยึดติดอะไร  และไม่แสวงหาอะไรจะดีที่สุด   เช่นนี้ข้าพเจ้าจึงจะชำระล้างร่างกายให้ท่านได้   ชำระล้างให้จนถึงสภาพที่เกือบจะไม่มีโรคอยู่    แต่มีบางคนที่อาจยังเหลือกรรมแห่งโรคกับความรู้สึกเจ็บป่วยเล็กน้อยไว้ให้ท่านซึ่งจะไม่กระทบต่อสภาพการบำเพ็ญของท่าน เพราะอะไรจึงเหลือไว้เล็กน้อยล่ะ ?   เพราะผู้บำเพ็ญบางคนต้องยกระดับการรับรู้ของเขา ดังนั้นจึงทำอย่างนี้   ทุกท่านคิดดู   ถ้าหากในเวลาที่ชั้นผิวนอกของร่างกายคนๆหนึ่งไม่มีโรคทั้งหมด ก็คือเรื่องเหนือสามัญวิสัยแล้ว  ความรู้สึกของการสลายกรรมไม่มีเลย นั่นไม่ใช่การบำเพ็ญ  นั่นจะต้องเชื่อแน่นอน  นี่ยังจะไม่เชื่อหรือ ?  ย่อมจะต้องเชื่ออย่างถึงที่สุด ดังนั้น องค์ประกอบจำนวนหนึ่งที่ใช้สำหรับการบำเพ็ญจะต้องเหลือไว้ให้กับบางคนตามสถานการณ์ของเขา  ดูว่าท่านจะเชื่อหรือไม่  จุดประสงค์คือทำให้ผู้บำเพ็ญก้าวออกมาจากท่ามกลางการอู้(รับรู้)  ใช่เช่นนี้หรือไม่? (เสียงปรบมือ)

            แต่ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง ข้าพเจ้าจะขอพูดกับทุกท่านให้ชัดเจน    ในขณะที่คนกำลังบำเพ็ญยังจะพบกับเรื่องยุ่งยากจำนวนหนึ่ง   ยังจะมีทุกข์ภัย   ทุกข์ภัยนี้ปรากฏออกมาในสองด้าน   หนึ่ง คือเกิดความไม่สบายทางร่างกาย อีกหนึ่งคือผู้อื่นจะยั่วให้ท่านโกรธ สาเหตุของความไม่สบายทางร่างกายนั้น  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่าไม่ใช่โรค  แต่มันปรากฏออกมาเหมือนอย่างกับโรค  ทุกท่านล้วนทราบแล้วว่านั่นคือการสลายกรรม  อะไรคือการสลายกรรมละ ? ที่จริงข้าพเจ้าชำระล้างทั่วทั้งร่างกายท่านให้สะอาดบริสุทธิ์  คนกลับชาติมาเกิดอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ในการกลับชาติมาเกิดในชาติหนึ่งภพหนึ่ง   ชาติหนึ่งภพหนึ่งนั้น  บ้างก็ยี่สิบกว่าภพแล้ว  บ้างก็สามสิบกว่าภพแล้ว  กระทั่งยาวนานยิ่งกว่านี้   กลับชาติมาเกิดหลายต่อหลายครั้งอย่างนั้น  เกิดไปเกิดมาในหมู่คนธรรมดาสามัญคน  แต่ละครั้งล้วนแต่ก่อกรรมไว้มากมาย   แน่นอนว่าในแต่ละภพ เมื่อเจ็บป่วย มีความทุกข์ทรมาน ก็จะสลายไปส่วนหนึ่ง  แต่ว่าแต่ละชาติล้วนมี(กรรม)มากมาย   สะสมมากแล้วก็จะเป็นโรค   เมื่อคนเป็นโรค  ก็จะไปหาหมอรักษาโรค  เวลาที่หมอรักษาโรคให้   ก็เพียงแต่จัดการให้หายไปที่ชั้นผิวของร่างกาย   คนก็สามารถสลายกรรมไปได้บ้างเนื่องจากความทุกข์ทรมานจากโรคภัย   แต่กรรมจำนวนมากกับสาเหตุที่แท้จริงซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยนั้นอยู่ในมิติอื่น หมอเหล่านั้นไม่อาจแตะต้องได้  สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคอยู่ที่นั่น   ดังนั้นคนในทุกๆภพทุกๆชาติล้วนมีกรรมส่วนหนึ่งตกค้างอยู่

            ทุกท่านทราบไหมว่าร่างกายนี้ของคนในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร ?  ขณะที่ข้าพเจ้าบรรยายอยู่เห็นผู้ฝึกบางคน ข้างในไขกระดูกเต็มไปด้วยสิ่งของสีดำเป็นชิ้นๆ แน่นอน ในมิตินี้จะมองไม่เห็น  เพราะกรรมจะปรากฏอยู่ในมิติอื่น  เช่นนั้นจะทำอย่างไรละ ? ร่างกายคนจากจุลอนุภาคจนถึงอนุภาคชั้นผิว  มองแบบรูปทรงมิติจากเล็กถึงใหญ่ในแต่ละชั้นๆ ก็จะเหมือนวงปีของต้นไม้ เป็นวงๆ  แต่ละชั้นล้วนไม่สะอาดเลย  ข้าพเจ้าต้องชำระร่างกายของท่านจากศูนย์กลางที่สุดเป็นลำดับมา   ถ้าท่านไม่บำเพ็ญจะไม่มีใครทำเรื่องอย่างนี้ให้ท่าน   ในอดีตในพุทธศาสนากล่าวกันว่า ชาติหนึ่งไม่อาจบำเพ็ญสำเร็จ  คนนั้นไม่สามารถชำระร่างกายของตนด้วยตนเองได้ การยกระดับก็ยิ่งยาก  อยากจะบำเพ็ญออกมาจำต้องมีหลักธรรมที่ถูกต้องจึงจะทำได้   ถ้าพวกท่านจะบำเพ็ญในต้าฝ่า  ข้าพเจ้าก็ต้องเอากรรมที่สะสมอยู่ในร่างกายท่าน มลภาวะที่ก่อเกิด สาเหตุทั้งปวงที่ไม่ดีในร่างกายและผลักออกมาให้หมด  หากผลักออกมาจากสสารชั้นผิวนอกของร่างกายท่านในทันที คนก็จะทนไม่ไหว  จะตายได้  เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะ ?  ในขั้นตอนของการผลักออกมานั้น ส่วนใหญ่จะเคลื่อนย้ายออกไปในมิติอื่น  เคลื่อนย้ายออกไปจากร่างกายท่าน  เพียงแต่เอาส่วนน้อยมากๆผลักออกมาจากชั้นผิวของร่างกายท่าน

            ทำไมผ่านออกไปทางชั้นผิวนอก  ให้ผ่านออกไปทางมิติอื่นทั้งหมดให้จบไปไม่ดีหรือ ? ทำอย่างนี้ ไม่สอดคล้องกับกฎสวรรค์หรอก  มีได้ก็ต้องมีเสีย   ติดค้างไว้ก็ต้องชดใช้  นี่คือกฎสวรรค์  คนก่อกรรมไว้แล้ว ต้องชดใช้   โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญ  ที่จริงข้าพเจ้าให้ท่านชดใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ก็ถือว่าท่านชดใช้แล้ว   ก็เพราะท่านมีความปรารถนาในการบำเพ็ญ  แม้ว่าข้าพเจ้าให้ท่านแบกรับเพียงเล็กน้อยที่ชั้นผิว  ในทันใดร่างกายท่านก็จะเหมือนกับเป็นป่วยหนัก  ไม่สบายเหลือเกิน  บางคนแทบจะมีชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้ว   คนที่อู้ซิ่ง(การรับรู้)ดีจะรู้   ในเมื่อฉันบำเพ็ญแล้วจะกลัวอะไร  ฉันได้ฟังฝ่าแล้ว  ฉันก็อ่านหนังสือแล้ว  ฉันยังจะกลัวอะไร   ก็เป็นความคิดที่เรียบง่าย เด็ดเดียวแน่วแน่อย่างนี้   แต่มันสว่างไสวยิ่งกว่าทองคำเสียอีก  เขาก็ไม่กินยา  ไม่ไปหาหมอ  ในทันใดเรื่องอะไรก็ไม่มีแล้ว   ทุกข์ภัยครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งผ่านไปแล้ว  กรรมใหญ่กลุ่มหนึ่งสลายไปแล้ว  กรรมที่ใหญ่ยิ่งกว่าได้ผลักออกไปให้ทางมิติอื่นแล้ว  ที่จริงส่วนที่ปรากฏออกมาที่ชั้นผิวนั้นเพียงเล็กน้อยมาก   ถือว่ากรรมนี้ได้สลายไปแล้ว  นี่ก็ถือว่าท่านได้ชดใช้แล้ว  เพราะฉะนั้นในขั้นตอนการบำเพ็ญ บางคนจะปรากฏสภาพการณ์ที่ร่างกายไม่สบาย  ความรู้สึกความไม่สบายแบบนี้ จะไม่เหมือนกับความเจ็บป่วยชนิดใดๆ   ดังนั้นจะปรากฏสภาพการณ์เช่นนี้   จากในนี้ก็กำลังทดสอบระดับความแน่วแน่ที่แท้จริงของท่าน   ในความยากลำบากดูว่าท่านจะสามารถปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลังได้หรือไม่   ในขณะนี้ท่านยังเชื่อถือฝ่านี้หรือไม่  การบำเพ็ญพุทธะเป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก

            การบำเพ็ญนอกภพนั้น เป็นการชำระล้างร่างกายในระดับสูง  และเรียกว่าร่างอรหันต์   ในเวลานั้นร่างกายได้เลื่อนขึ้นไปสู่ร่างของสสารพลังงานสูง  ล้วนไม่มีเซลล์ของคนธรรมดาสามัญสักนิดแล้ว   ดูไปก็เหมือนคนธรรมดาสามัญแต่ก็ไม่เหมือน   ในเวลานี้จะไม่มีกรรมแห่งโรคอีกแล้ว   เพราะโรคภัยไข้เจ็บในโลกไม่สามารถแตะต้องร่างกายนี้ของท่านซึ่งประกอบด้วยสสารพลังงานสูงแล้ว  เมื่อเดินออกนอกภพ ก็ได้ผลักกรรมแห่งโรคทั้งหมดออกไปแล้ว  การบำเพ็ญในภพจะปรากฏความไม่สบายทางร่างกาย  หรือประสบกับเรื่องที่น่ากลัวแต่ไม่มีอันตราย  ในเวลานั้นท่านจะไม่รู้สึกหวาดกลัว  แต่จะทำให้ผู้อื่นตกใจอย่างยิ่ง   จะปรากฏเรื่องเหล่านี้ขึ้นได้   ศิษย์ต้าฝ่าที่บำเพ็ญจริงมากมายอย่างนั้นไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในการบำเพ็ญ ขอเพียงท่านบำเพ็ญ ข้าพเจ้าก็จะคุ้มครองท่าน แน่นอนหากท่านไม่บำเพ็ญข้าพเจ้าก็ไม่สนใจท่าน ข้าพเจ้าทำเรื่องเหล่านี้ให้กับผู้บำเพ็ญ  ดังนั้นพวกท่านอย่าไปลากคนอื่นมารักษาโรค  เวลานี้ข้าพเจ้าไม่สนใจเรื่องของคนธรรมดาสามัญ   พวกท่านก็อย่าทำเรื่องที่จะบ่อนทำลายฝ่า   หากคนไม่บำเพ็ญเขาก็ต้องแบกรับสิ่งทั้งปวงที่ตนเคยทำไว้ ไม่ว่าเขาจะประสบกับเรื่องอะไร ล้วนมีความสัมพันธ์แต่ชาติปางก่อนทั้งสิ้น   ปัญหานี้ตอบให้หมดแล้ว

ศิษย์          วันนี้ท่านจะชำระล้างร่างกายให้ทุกคนได้หรือไม่ ?  และโดยเฉพาะคือสิ่งที่เหลืออยู่จากการเรียนหลักพลังอื่น

อาจารย์    ทุกท่านพยายามวางใจ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ท่านนั่งอยู่ที่นี่  หลังจากท่านฟังการบรรยายจบ พอเดินออกไปรับรองว่า จะเปลี่ยนไปแล้ว  พูดถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าขอบอกผู้ฝึกที่ไม่ก้าวหน้า   เนื่องจากท่านต้องการจะเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่กลับไม่สามารถกำหนดตนเองอย่างเข้มงวด  ยังคงเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง  บำเพ็ญบ้างไม่บำเพ็ญบ้าง  ร่างกายก็จะเกิดปัญหา   สาเหตุคือท่านไม่บำเพ็ญจริงร่างกายก็คืนกลับไปเป็นสู่สภาพของคนธรรมดาสามัญ ท่านรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ทำไมร่างกายไม่ดีอยู่เสมอนะ ?  การบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  ทำไมไม่ดีละ  นี่ต้องถามตัวท่านเอง  ท่านเชื่อถือฝ่าหรือไม่  เชื่อหรือไม่ว่าท่านเป็นผู้บำเพ็ญ   ใจของท่านมั่นคงเช่นนั้นหรือไม่   หากท่านสามารถบำเพ็ญอย่างแน่วแน่  ปล่อยวางจิตของคนลงได้   ไม่ถึงหนึ่งวินาที อาการเจ็บป่วยของท่าน  ก็ไม่มีแล้ว  (เสียงปรบมือ) การบำเพ็ญไม่อนุญาตให้คลุมเครือ   ในการบำเพ็ญจิตใจท่านไม่นิ่ง - ฝ่านี้เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่านะ (ตามที่อาจารย์บรรยาย) เท่ากับท่านพูดว่าฉันกำลังบำเพ็ญอยู่หรือไม่นะ   เวลานี้ฉันเป็นคนธรรมดาสามัญหรือผู้บำเพ็ญนะ 

การบำเพ็ญพุทธะที่แท้จริงไม่เหมือนกับศาสนาในยุคธรรมะปลายที่ทำอะไรตามสบายอย่างนั้น  การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่จริงจังมาก   หากท่านไม่แน่วแน่ ก็จะเสียแรงเปล่า   ถ้าท่านสามารถปล่อยวาง  ชื่อเสียง  ผลประโยชน์  อารมณ์ความรู้สึกผูกพัน ( ฉิง ) แล้วท่านไม่สำเร็จสมบูรณ์ แม้แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย   คน ถ้าปล่อยวาง ชื่อเสียง  ผลประโยชน์  อารมณ์ความรู้สึกผูกพัน ( ฉิง ) ก็เท่ากับเป็นการปล่อยวางความเป็นความตาย   คนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรละ   ไม่ใช่เพื่อเงินทองเอย  ชื่อเสียงเอย  อารมณ์ความรู้สึกผูกพันเหล่านี้ของคนหรอกหรือ ? ท่านสามารถปล่อยวางมันได้ ท่านยังคงเป็นมนุษย์อยู่หรือ  (เสียงปรบมือ) มนุษย์นั้นมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้   มีเพียงเทพที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ (เสียงปรบมือ)  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เทพนั้นไม่เหมือนอย่างที่คนคิดกันว่าเหมือนกับรูปปั้น อยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว  คนไม่รู้ว่าบนสวรรค์นั้นดีงามอย่างยิ่ง  พวกเขารู้จักหาความสนุกมากกว่าคนเสียอีก   แต่ว่าที่นั่นกลับเป็นที่สูงส่ง  เมตตาดีงาม  ดีงามอย่างยิ่ง   เป็นเพราะพวกเขามีเขตแดนที่สูงเช่นนั้น  พวกเขาจึงมีความสามารถ  ร่างกายของพวกเขา สามารถลอยไปลอยมา  บินไปบินมา   ดีงามเช่นนั้นทั่วทุกหนแห่ง  ภาษาของคนไม่อาจบรรยายได้  สีสันของที่นั่น ณ ที่ของคนตรงนี้ไม่มี  รูปลักษณ์ของเทพล้วนสวยงามมาก  ช่างดีงามเหลือเกิน

            พวกเราที่กำลังนั่งอยู่บางคนอายุมากแล้ว   แน่นอนก็มีคนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว  ในการบำเพ็ญร่างกายคนจะคืนกลับไปสู่โฉมหน้าดั้งเดิมก่อนกำเนิดของท่าน   คนยิ่งก้าวสูงขึ้นไปก็ยิ่งเป็นหนุ่มสาว   เมื่อจะคืนกลับสู่โฉมหน้าดั้งเดิมก่อนกำเนิดของท่านจริงแล้ว  ท่านจะพบว่าท่านเป็นหนุ่มสาวมากๆ  บางคนแม้ว่าอายุจะมาก บางทีจิตหลักของเขากลับเป็นคนหนุ่มสาวหรือเป็นเด็ก   ทุกท่านทราบว่ามีคนแก่หลายคนเกิดอาการความคิดถดถอยวัยชรา   ชาวบ้านเรียกว่า เฒ่าทารก  จะไปแย่งของกินกับเด็ก  จะเล่นกับเด็ก  เพราะอะไร?  ผู้คนพูดว่าคนนี้แก่แล้ว  แก่จนใช้ไม่ไหวแล้ว  ใช้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมาอธิบาย มันก็เป็นเช่นนั้น   ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   คนแก่แล้ว จิตยึดติดก็ปล่อยวางแล้ว  เป้าหมาย และการแสวงหา ทั้งหมดของการเป็นคน ล้วนไม่มีแล้ว  เมื่อเขาปล่อยวางทั้งหมดลง  ธรรมชาติเดิมของเขาจึงกลับปรากฏออกมา   บางทีจิตหลักของเขาแต่เดิมก็คือเด็ก  ดังนั้นเขาจึงแสดงออกมาแบบเฒ่าทารกนั้น   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน เป็นอย่างนี้จริงๆ  ในการบำเพ็ญยิ่งสูงขึ้น ยิ่งสวยงามยิ่งอ่อนวัย   บางคนพูดว่า มองเห็นชีวิตข้างล่างลงไปหนึ่งชั้น  หวีผมก็หวีไม่ตรง  ผมเผ้ารุงรัง นี่ก็เพราะยิ่งต่ำลงก็ยิ่งไม่น่าดู  ในการบำเพ็ญยิ่งยกระดับสูงขึ้นยิ่งดีงาม   ร่างกายไม่เพียงไม่มีกรรมแห่งโรค  และยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ 

            “โดยเฉพาะคือสิ่งที่เหลืออยู่จากการเรียนหลักพลังอื่น ”   ท่านเพียงแต่บำเพ็ญจริงๆ  สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าล้วนจะปรับให้ดี  เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องกังวล  และก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันอีก  ปล่อยมันทิ้งไปจากความคิดของท่าน   ถ้าท่านเจาะจงมาเพื่อเรื่องนี้อย่างนี้ไม่ได้  หากท่านยึดติดมันมากเกินไปก็คือตนเองยึดเอาไว้ไม่ยอมวาง  ข้าพเจ้าเอาทิ้งไปให้ท่านแล้ว ท่านก็จะรู้สึกไม่มั่นแน่ใจ   ถ้าคิดจะบำเพ็ญจริงๆ  อะไรที่ไม่ดีข้าพเจ้าก็จะเอาออกให้ท่าน

ศิษย์          พวกเรามาฟังฝ่าครั้งนี้  ท่านจะมีฝ่าหลุนให้ทุกคนไหม ?

อาจารย์   สำหรับผู้ที่มาบำเพ็ญ  ผู้ที่มาที่นี่ฟังฝ่า  กับผู้ที่มาไม่ได้ข้าพเจ้าล้วนจะดูแล  ไม่เพียงแต่ใส่ฝ่าหลุนให้ เมื่อบำเพ็ญต้าฝ่าแล้ว ข้าพเจ้ายังต้องปรับร่างกายให้ผู้ฝึกอย่างทั่วด้าน   ดังนั้นท่านได้พบข้าพเจ้าก็ดี  ไม่ได้พบข้าพเจ้าก็ดี  ล้วนเหมือนกัน  ขอเพียงบำเพ็ญจริง   ก็จะให้ทุกสิ่งที่ควรมี   คนที่เคยฟังการบรรยายของข้าพเจ้าในประเทศจีนมีเพียงไม่กี่หมื่นคน แต่ตอนนี้คนที่กำลังบำเพ็ญมีทั่วทุกแห่งทั้งประเทศจีน   คนมากมายอย่างนั้นล้วนแต่ไม่เคยพบข้าพเจ้า  แต่ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญต้าฝ่า  พวกเขาล้วนมีกันหมดแล้ว   ข้าพเจ้าถ่ายทอดหลักธรรมที่ใหญ่อย่างนี้   อะไรๆก็ต้องให้ ข้าพเจ้าร่างหลักไปทำนั้น  ย่อมทำไม่ได้   ดังนั้นไม่อาจจะพบหน้าแต่ละคนได้  ข้าพเจ้าใส่ฝ่าหลุนให้พวกท่าน  ขอเพียงท่านไปบำเพ็ญ  ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้   ท่านรู้สึกว่าฝ่าดี   ท่านคิดจะบำเพ็ญต้าฝ่า   ท่านคิดอย่างนี้จริงๆ   ท่านก็จะพบว่า  ร่างกายของท่านจะมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน

            ข้าพเจ้ายังไม่เพียงให้ฝ่าหลุนแก่ท่าน  ทุกท่านคิดดู  คนที่ไม่บำเพ็ญคนหนึ่ง   ร่างกายที่ไม่มีกลไกบังคับที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญจะสามารถฝึกอะไรออกมาได้   ฝ่าหลุนนั้นคือรากเหง้าของสิ่งทั้งหมดที่ข้าพเจ้าให้กับท่าน  ยังจะสลายกรรมให้ท่าน  ทำการขจัดบุญคุณความแค้น  ในชาติก่อนๆ และในแต่ละมิติ อีกทั้งความสัมพันธ์อันยาวนาน นานาชนิด ให้ท่าน ให้กลไกบังคับมากมายทั้งในและนอกร่างกาย  ซึ่งจะขับเคลื่อนร่างกายท่านทั้งหมดให้เปลี่ยนแปลง  ยังจะใส่สิ่งของให้กับตานเถียนส่วนนั้นของท่าน  เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่จะก่อเกิดเป็นสิ่งต่างๆไม่เพียงแค่หมื่นชนิด   ในอนาคตยังจะลบชื่อออกจากนรกให้ท่าน   นี่คือสิ่งที่สามารถบอกให้พวกท่านรู้  ยังมีสิ่งที่จะต้องทำให้กับพวกท่านอีกมากมาย   พวกท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญได้อย่างแท้จริง   จึงจะสามารถบำเพ็ญออกมาอย่างแท้จริงจากในต้าฝ่า

            บางครั้งข้าพเจ้าจึงบอกว่า  ชี่กงปลอมนั้นหลอกลวงคน  พวกเขากำลังหลอกลวงคนจริงๆ  เขาทำอะไรให้ท่านล่ะ อะไรก็ไม่ได้ทำให้   ถ้าไม่ให้สิ่งเหล่านี้แก่คน คนจะบำเพ็ญได้อย่างไร ?  สามารถบำเพ็ญออกมาได้หรือ และในระหว่างบำเพ็ญถ้าไม่คุ้มครองท่าน  จะมีอันตรายต่อชีวิต  เพราะคนต้องชดใช้กรรมนี่นะ  หากไม่คุ้มครองท่าน  ท่านเคยติดค้างชีวิตไว้แต่ก่อน  จะทำอย่างไร ? คนเดี๋ยวนี้ มีหรือที่จะไม่ติดค้างชีวิต ? ทุกชาติทุกภพจนถึงวันนี้มีกรรมเท่าไรแล้ว  โลกมนุษย์จึงน่ากลัวและอันตราย  ถ้าไม่รับผิดชอบต่อคนก็คือการทำร้ายคน  ดังนั้นจึงบอกว่าพวกเขาหลอกลวงคน   พวกท่านบำเพ็ญต้าฝ่าแล้ว ทั้งหมดนี้ก็ต้องจัดการให้ทุกท่าน  เพียงท่านศึกษาจริง  ท่านก็จะได้รับ

            หลายคนที่นั่งอยู่มีการศึกษาค่อนข้างสูง อย่าได้ถูกจำกัดโดยทฤษฎีปัจจุบัน จ้วนฝ่าหลุน  หนังสือเล่มนี้  ถ้าคนที่ตาทิพย์เปิดแล้วอ่าน  ท่านจะพบว่าแต่ละตัวอักษรล้วนเป็นตัวสวัสติกะ() และแต่ละตัวอักษรก็เป็นพระพุทธด้วย  ทุกท่านคิดดู ฝ่าชุดนี้มีพลังมากเพียงใด   หนังสือเล่มนี้มีพระพุทธมากเท่าไร  และแต่ละตัวอักษร ล้วนเป็นพระพุทธเป็นชั้นๆ  เพราะหนังสือเล่มนี้ครอบคลุมหลักการของระดับชั้นที่ต่างกัน   ในการบำเพ็ญ  แต่ละครั้งที่เลื่อนระดับขึ้น   ณ เวลานี้เมื่อท่านอ่านหนังสือจะพบว่า คำพูดประโยคเดียวกันนั้น กับเดิมทีที่ท่านอ่าน ความหมายไม่เหมือนกันแล้ว  ท่านจะมีความเข้าใจใหม่  เป็นการพูดถึงความหมายอีกชั้นหนึ่งแล้ว  ในแต่ละตัวอักษรล้วนเป็นพระพุทธที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆนับไม่ถ้วน  แน่นอนคนธรรมดาสามัญย่อมมองไม่เห็น   ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน หนังสือเล่มนี้ ล้ำค่ามาก  ที่ผ่านมาบางคนเวลาฟังบรรยายยังนั่งทับเขา   ท่านยังรับรู้ไม่ได้ว่าฝ่าชุดนี้คืออะไร       เมื่อท่านรับรู้ได้แล้ว  ท่านจะพบว่าทั้งหมดนี้ล้วนแต่เข้มงวดมาก  ในการบำเพ็ญ พอท่านคิดเขาก็จะรู้หมด  ก่อนที่ท่านจะคิด   ท่านคิดจะเคลื่อนไหวความคิดอะไรเขาก็รู้แล้ว  คนรู้สึกว่าขั้นตอนความนึกคิดของคนสะท้อนออกมาเร็วมาก  แต่พออยู่ในมิติหนึ่งที่เร็วกว่าสักหน่อย  มองดูความคิดของท่าน จะเห็นว่า  ขั้นตอนที่ความคิดของท่านสะท้อนออกมานั้นช้ามาก   ท่านคิดยังไม่ทันจบ ที่ฝั่งนั้นก็รู้แล้ว   ท่านเพิ่งเคลื่อนไหวความคิดที่ฝั่งนั้นก็รู้แล้ว

            บางคนพูดกับข้าพเจ้าว่า  อาจารย์ฉันให้ค่าเล่าเรียนท่าน  ที่บ้านฉันใครๆไม่ได้มา  ท่านให้ฝ่าหลุนองค์หนึ่งแก่เขาเถอะ  แน่นอนก็ไม่อาจจะตำหนิเขา   เขาไม่รู้ว่าคนที่ไม่ได้บำเพ็ญนั้นไม่อาจจะให้สิ่งเหล่านี้ได้   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   ท่านจ่ายกี่ร้อยล้านก็ซื้อไม่ได้  เขาเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญคน  เขาเป็นสิ่งที่เหนือสามัญวิสัย   เป็นของๆเทพ  พูดในความหมายหนึ่งๆ  ชีวิตของเขานั้นสูงค่ากว่าชีวิตคน ของท่านในขณะนี้มาก   เขาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง  ดังนั้นจะใช้มูลค่ามาวัดได้อย่างไรกันล่ะ ?  แต่คนที่คิดจะบำเพ็ญ ข้าพเจ้าสามารถให้ท่านโดยไม่คิดมูลค่าใดๆ  และยังไม่เพียงสิ่งเหล่านี้   สุดท้ายข้าพเจ้ายังจะต้องคุ้มครองท่านตราบจนสำเร็จสมบูรณ์

ศิษย์          จะอธิบายได้อย่างไรว่าชีวิตที่ยังไม่หมดอายุขัยก็ตายเสียแล้ว คนแบบนี้จะทำอย่างไร

อาจารย์    ต่อไปพวกท่านอย่าถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน   บางคนถึงกับถามข้าพเจ้าว่า  การเผากระดาษมีประโยชน์หรือไม่   เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญต้าฝ่า  และไม่มีเวลาจะตอบ  คนที่ยังไม่หมดอายุขัยก็ตายนั้น จุดจบน่าเวทนานัก  เพราะว่าข้าพเจ้าได้บอกกฎเกณฑ์อย่างนี้ไปแล้วว่า  เมื่อคนๆหนึ่งลงมาเกิด ชั่วชีวิตหนึ่งของคนนั้น เทพก็ได้จัดวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว   ถ้าหากยังไม่หมดอายุขัยก็ตายไปอย่างกะทันหันแล้ว  ฉะนั้นเขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง   สภาพที่ทุกข์ทรมานอย่างไรละ   เพราะว่าชีวิตมีการจัดวางไว้  การกิน การดื่มของท่าน  สถานภาพในสังคมของท่าน  การยืนหยัดอยู่ได้ในชีวิตคนของท่าน สิ่งเหล่านี้ล้วนจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว  คนตายไปในทันทีทันใดก็จะสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป  เมื่อไม่ถึงอายุขัยก็ไม่อาจไปเกิดใหม่ได้   วิญญาณที่จากไปก็เข้าไปสู่มิติหนึ่งที่อ้างว้างหนาวเย็นมาก  ที่นั้นอะไรก็ไม่มี  ก็เหมือนคนไปถึงดาวอังคาร   ที่จริงดาวอังคารมีคนอยู่   เขาอยู่ในอีกมิติหนึ่ง   ที่พวกเรามองเห็นนั้นเป็นมิติด้านนี้  ที่อ้างว้างหนาวเย็น  เช่นนั้นพอตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ในทันทีทันใด  ไม่กินไม่ดื่มอะไรก็ไม่มี เขาจึงรู้สึกทุกข์ทรมานมาก  แต่ไม่หิวตาย  ฉะนั้นเขาจะต้องรออยู่ในมิตินี้เรื่อยไป  รอจนถึงช่วงเวลาหมดอายุขัยที่แท้จริงของเขาในโลกมนุษย์จึงจะไปเกิดใหม่ได้  นี่ก็หมายถึงวิญญาณล่องลอยไร้ญาติเหล่านั้น   ในอดีต พุทธศาสนาพูดถึงการโปรดวิญญาณ(อุทิศส่วนกุศล)  เดี๋ยวนี้คนไม่เข้าใจ  การโปรดวิญญาณคืออะไรแล้ว  คนที่ตายแบบนี้จึงจะไปโปรดวิญญาณให้  คนทั่วไปพอฝั่งนี้ตาย ก็จะไปเกิดใหม่ แล้วยังจะไปโปรดวิญญาณอะไร   ในอดีตที่พูดถึงการโปรดวิญญาณก็หมายถึงการโปรดวิญญาณให้ชีวิตเหล่านี้

            ข้าพเจ้าขอถือโอกาสพูดถึงปัญหาหนึ่ง  เป็นปัญหาหนึ่งของสังคม  ปัจจุบันหลายประเทศมีคนพูดถึง “การตายอย่างสงบสุข”  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่า  คนป่วยบางคนทนความเจ็บปวดทรมานไม่ไหว  เขาจะตายก็เป็นเรื่องของเขาเอง  ใครทำให้เขา  คนนั้นก็คือฆ่าคน  ก็คือฆ่าคนก่อกรรมหนัก  เทพล้วนแต่มองอย่างนี้  และจัดให้เขาอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานที่สุด  ไปอยู่ในมิติที่ทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น   คนที่ร้องขอ “การตายอย่างสงบสุข” นั้นเขาไม่เข้าใจ  พอเขาไปที่นั่นก็จะเสียใจภายหลัง   สู้มีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานหน่อยยังจะดีกว่า   ทำไมคนจึงมีความทุกข์ทรมานล่ะ ?  คนมีชีวิตอยู่บนโลกก็จะก่อกรรม  บางคนกรรมใหญ่มาก  บางคนกรรมน้อย บางคนจะทุกข์ทรมานก่อนตาย  ในความทุกข์ทรมานสามารถชดใช้กรรมมากมายที่ก่อขึ้นชั่วชีวิต  เมื่อเกิดใหม่ก็จะมีชีวิตที่ดี   เพราะบางคนกรรมที่เขาติดค้างไว้ เขาต้องชดใช้มันทิ้งไปในชั่วขณะก่อนที่จะตาย   เมื่อไปเกิดใหม่เขาก็จะไม่มีกรรมแล้ว   แต่เขาไม่อยากทุกข์ทรมาน  เขาไม่คิดจะชดใช้  ดังนั้นเมื่อเกิดในภพถัดมา เขาอาจจะเกิดมาพร้อมกับมีร่างกายที่เป็นโรค   กระทั่งเป็นคนพิการ หรืออายุไม่ยืนยาว   คนไม่เข้าใจจุดนี้   คนเชื่อสิ่งที่เป็นของเฉพาะหน้า  ข้าพเจ้าว่าคนถูกมายาภาพของวิทยาศาสตร์ปัจจุบันปิดล้อมไว้แน่นหนาเกินไปแล้ว   ดังนั้นคนจึงทำเรื่อง “ตายอย่างสงบสุข”    ไม่สงบสุขแม้แต่น้อย

ศิษย์          ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญยังต้องขยันทำงาน  เล่าเรียนให้ก้าวหน้าในสังคมคนธรรมดาสามัญด้วยไหม

อาจารย์    ต้อง  เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดปัญหานี้ไปแล้ว  เพราะอะไรละ   เพราะเวลาที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้ก็ได้ใคร่ครวญถึงปัญหานี้   คนที่ศึกษาจะมีกันมากมาย  มากเหลือเกิน   ในอนาคตจะแพร่หลายไปทั่วทั้งสังคมมนุษย์  เพราะเขา(ฝ่า)นี้ดีใช่ไหม   ฝ่าของจักรวาลให้คนบำเพ็ญนะ   เมื่อมีคนมากก็จะนำมาซึ่งปัญหาหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในสังคม  ถ้าทุกคนล้วนออกบวชกันแล้ว  สังคมมนุษย์นี้มิไม่มีอยู่แล้วหรือ   ดังนั้นจึงไม่ถูกต้อง   เพราะข้าพเจ้าให้พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ผู้บำเพ็ญสามารถบำเพ็ญให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด   ก็จะแก้ปัญหานี้ได้  ในขณะเดียวกันก็ให้ตัวคนเองได้ฝ่าอย่างแท้จริง

            ท่านสามารถทำงานใดๆตามปกติของคนธรรมดาสามัญ   ในสภาพแวดล้อมของการดำรงชีพใดๆ   การทำงานใดๆ ผู้บำเพ็ญล้วนสามารถปฏิบัติตนเป็นคนดีได้   ผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ท่านอยู่ที่ไหนก็ล้วนต้องเป็นคนดี  กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญ  ถ้าอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญทำไม่ดี  นั่นย่อมเป็นความรับผิดชอบของตัวเองอย่างแน่นอน ไม่ได้ปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญและกำหนดตัวเองอย่างเข้มงวด  เจ้านายว่าจ้างท่านแล้ว   ท่านไม่ทำให้เขาดีๆ  ท่านเป็นนักเรียนคนหนึ่ง  ไม่ทำการบ้านให้เสร็จ  เวลาเรียนไม่ตั้งใจ  เช่นนั้นท่านจะพูดได้หรือว่าท่านเป็นคนดี ?  คนดีอยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ  ท่านล้วนแต่ต้องเป็นคนดี  ท่านเป็นนักเรียน  ท่านก็ควรเล่าเรียนให้ดี  ท่านเป็นลูกจ้างคนหนึ่งท่านก็ควรทำงานให้เสร็จด้วยดี   วางตัวให้ถูกต้องกับสังคม  และความสัมพันธ์กับคน  พวกท่านล้วนมีความคิด  ถ้าทุกท่านสามารถทำให้ดีสักหน่อยในเวลาปกติ  ความขัดแย้งก็จะเบา  ก็จะน้อย   แต่ยังคงมีอยู่ 

เพื่อให้พวกท่านยกระดับ ก็จะให้บททดสอบจำนวนหนึ่งกับพวกท่าน  ในการบำเพ็ญเมื่อความขัดแย้งปรากฏออกมามักจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  แต่ถ้าท่านจะบำเพ็ญมันก็จะไม่มีเรื่องบังเอิญคงอยู่   เนื่องจากท่านคิดจะบำเพ็ญข้าพเจ้าจึงจัดวางเส้นทางการบำเพ็ญให้ท่านใหม่  จัดวางเส้นทางการดำรงชีวิตให้ใหม่  เพื่อให้ผู้บำเพ็ญยกระดับ  ดังนั้นเมื่อพบกับปัญหามักจะเกิดแบบฉับพลัน  คล้ายกับบังเอิญ   โดยผิวเผินไม่ต่างจากความขัดแย้งระหว่างคนด้วยกันเอง   แต่ไม่ใช่มีเทพเซียนองค์หนึ่งสร้างความยุ่งยากให้ท่าน   ที่ปรากฏออกมาล้วนแต่เป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับท่าน  จึงจะสามารถช่วยให้ท่านยกระดับได้  เช่นนั้นจะจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างไรดีล่ะ ?  ในยามปกติให้ท่านรักษาจิตที่เมตตาไว้เสมอ  เมื่อพบกับปัญหาให้มองดูตนเอง   วันนั้นข้าพเจ้าได้พูดประโยคหนึ่งกับทุกท่าน  ข้าพเจ้าว่า หากท่านไม่สามารถรักศัตรูของท่านได้  ท่านก็สำเร็จเป็นพุทธะไม่ได้   เทพองค์หนึ่ง หรือผู้ที่กำลังบำเพ็ญ จะถือว่าคนธรรมดาสามัญเป็นศัตรูได้หรือ จะมีศัตรูได้อย่างไรกัน   แน่นอนขณะนี้พวกท่านยังทำไม่ได้   ท่านต้องค่อยๆบรรลุให้ได้  สุดท้ายท่านต้องบรรลุได้   เนื่องจากศัตรูของท่านคือคนในหมู่คนธรรมดาสามัญ   คนจะกลายเป็นศัตรูของเทพได้อย่างไรกันละ   จะคู่ควรเป็นศัตรูของเทพได้หรือ

ศิษย์          ท่านอาจารย์บอกว่า คน ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นการจัดวางของเทพ  เช่นนั้นการทำแท้งจะเกิดอะไรกับชีวิตทารกที่แท้งออกมา

อาจารย์    กล่าวสำหรับผู้ที่เริ่มบำเพ็ญ   เรื่องที่เคยทำมาเมื่อก่อน ให้ปล่อยวางลงไปทั้งหมดเสียก่อน   ที่ผ่านมาทำไปโดยไม่รู้ก็ให้แล้วไป   ไม่ต้องไปคิดอะไร  สนใจแต่การบำเพ็ญ   ยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆในการบำเพ็ญถือเป็นเรื่องอันดับหนึ่ง   เมื่อท่านเป็นผู้บำเพ็ญได้อย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าก็สามารถแก้ไขทุกสิ่งให้ท่านได้หมด  ข้าพเจ้าก็สามารถทำได้   แต่มีจุดหนึ่ง  ในเมื่อรู้แล้วว่าผิดแล้วยังทำอีก  นั่นเท่ากับไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของผู้บำเพ็ญ  นั่นก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ

            พูดถึงการทำแท้ง ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ข้าพเจ้ามองเห็นทัศนียภาพอย่างหนึ่ง   ในโรงพยาบาล  ที่หน้าประตูโรงพยาบาลมากมายหลายแห่ง  ในห้อง มีวิญญาณทารกน้อย จำนวนมากมายล่องลอยอยู่กลางอากาศ   บ้างก็มีแขนขาไม่ครบ  วิญญาณน้อยๆเหล่านี้ไม่มีที่ไป  น่าสงสารเวทนามาก  บางคนอาจจะมีวาสนาเกี่ยวพันใกล้ชิดกับแม่ในชาติใดภพใด   ต่อไปต้องระวัง  เพราะว่าท่านบำเพ็ญ  อะไรๆข้าพเจ้าก็สามารถจัดการให้ท่านได้

ศิษย์          อาจารย์  ทำไมท่าฝึกจึงให้ผู้ช่วยฝึกสอนทำการสอน  ไม่กลัวว่าจะคลาดเคลื่อนหรือ

อาจารย์   ปัญหานี้ คืออย่างนี้ ข้าพเจ้ากำหนดว่าเวลาที่ผู้ช่วยฝึกสอนทำการสอนให้ ทำตามที่บรรยายไว้ในหนังสือ “ฝ่าหลุนกง”  การเคลื่อนไหวของแต่ละคนนั้นไม่อาจจะให้ออกมาเหมือนกันอย่างกับแบบพิมพ์  คลาดเคลื่อนเล็กน้อยไม่เป็นไร   แต่ต้องพยายามทำตามมาตรฐาน  พยายามทำตามสาระสำคัญ  เนื่องจากการฝึกพลังของฝ่าหลุนกงไม่เหมือนกับหลักพลังอื่น หลักพลังอื่นพอไม่ฝึกมันก็หยุดแล้ว  ต้องเก็บพลัง   แต่พวกท่านไม่ใช่  ฝ่าหลุนกงนั้นคือ ฝ่าฝึกคน   ถูกพลังฝึกอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง   ทำไมจึงสามารถบรรลุถึงระดับนั้นล่ะ ก็เพราะกลไกบังคับที่ข้าพเจ้าใส่ให้ท่านนั้น ทำงานเองแบบอัตโนมัติ  ท่านฝึกพลังเพื่ออะไรล่ะ   คือท่านกำลังเสริมแรงให้กลไกบังคับเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าใส่ให้ท่าน   ขอให้ทุกท่านจำไว้ว่า  ที่พวกท่านฝึกพลัง เป็นการเสริมแรงให้กับกลไกบังคับเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าใส่ให้ท่าน   และสิ่งที่ฝึกท่านอย่างแท้จริงก็คือกลไกเหล่านั้น   กลไกบังคับนำพาพลังฝึกคนอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีหยุด   ต้าฝ่า การฝึกพลังคือกลไกบังคับเหล่านั้นที่นำพาการฝึกดังนั้น  การเคลื่อนไหวที่มีความคลาดเคลื่อนเล็กๆน้อยๆ จึงไม่ส่งผลกระทบ  แต่ว่าต้องพยายามทำให้ถูกต้อง  ท่าฝึกยังจะต้องเป็นมาตรฐาน

ศิษย์          มีสถานที่หลายแห่งที่ไม่เจริญไม่อาจดูวีดีทัศน์สอนฝึกพลัง  ท่าฝึกอาศัยคนหนึ่งสอนคนที่สอง คนที่สองสอนคนที่สาม  ดังนั้นสนามฝึกของเรามีท่าฝึกที่ไม่เหมือนกัน

อาจารย์   ผู้ฝึกพลังนับวันยิ่งมากขึ้น  ผู้ฝึกสามารถไปมาหาสู่กัน  เรื่องเหล่านี้ก็จะแก้ไขได้ในไม่เร็ว  เพราะคนไม่น้อยที่ได้ฝ่าไม่ใช่ง่ายๆ    จุดนี้ข้าพเจ้าทราบดี   และทุกท่านล้วนรู้สึกว่าฝ่าดี   คิดจะถ่ายทอดฝ่านี้ให้คนอื่น  และได้ทำงานหลายอย่างแบบเงียบๆ  ข้าพเจ้าล้วนทราบ   เป็นคุณูปการที่ไม่อาจชั่งวัดได้

ศิษย์          ดิฉันมีลูกสาวอายุสองขวบคนหนึ่ง และลูกชายอายุ สองเดือนคนหนึ่ง   วันนี้เกือบจะได้พาพวกเขามาแล้ว   จะใช้วิธีไหน เมื่อไรที่จะสามารถทำให้พวกเขาได้สัมผัสการศึกษาฝ่า  ฝึกพลัง 

อาจารย์    ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่  มีเด็ก3 ขวบ 4 ขวบฝึกกันแล้ว  เด็ก 3 ขวบฝึกมีค่อนข้างน้อย   เด็ก 4 ขวบ ที่ฝึกมีมากมาย  มีอยู่ทั่วไป   และท่านอย่าคิดว่าเขาเป็นเด็ก   ท่านคิดว่าดูเหมือนเขาไม่สามารถเข้าใจได้  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ไม่แน่บางทีจิตเดิมก่อนกำเนิดของเขานั้นดี   มีความเข้าใจได้ดีกว่าผู้ใหญ่เสียอีกนะ   ผู้คนล้วนพูดกันว่าความสามารถรับได้ของเด็กค่อนข้างไว   ทำไมค่อนข้างไวละ ?  เพราะสติปัญญาก่อนกำเนิดของเขายังไม่ถูกบดบังทั้งหมด  ดังนั้นบางทีเด็กจะเข้าใจได้ดีมาก   ถ้าหากเด็กนั้นมีที่มา  เช่นนั้นรากเหง้าแห่งปัญญาก็จะยิ่งดี

ศิษย์          ควรเข้าใจปัญหาเรื่องตาทิพย์ อย่างไร ? ตาทิพย์จะเปิด ณ ระดับชั้นต่างๆได้หรือไม่  การฝึกพลังจะรับรู้ความจริงของจักรวาลได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  เช่นนั้นพระพุทธนั้นรับรู้ความจริงของจักรวาลอย่างไร

อาจารย์    นี้ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  คนนั้นไม่อาจรับรู้ความจริงของจักรวาลได้ชั่วนิรันดร์  เพราะคนอยู่ ณ ระดับชั้นนี้ของคน   พระพุทธสามารถรับรู้จักรวาล นั่นเป็นการกำหนดของระดับชั้นเขตแดนของพระพุทธ  เทพระดับชั้นต่ำนั้นเขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงสภาพการณ์ที่สูงยิ่งขึ้นของจักรวาล  และพูดได้ว่า ผู้บำเพ็ญเปิดการรู้แจ้งในระดับชั้นที่ต่างกัน  หรือสิ่งที่ผู้รู้แจ้งของระดับชั้นที่ต่างกันมองเห็น  คือความจริงของจักรวาลของมิติที่พวกเขาอยู่  ที่อยู่สูงกว่าพวกเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็น

            อีกอย่างพวกท่านอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ  ไม่ใช่ทุกคนจะเปิดตาทิพย์  เหมือนอย่างพระพุทธ  อะไรๆก็มองเห็นชัดหมดแล้ว ก็บำเพ็ญไม่ได้แล้ว  จะช้ามากๆ   หากตาทิพย์เปิดแล้วจริงๆ   อีกมิติที่มองเห็นยังสมจริงกว่ามิตินี้ของคนด้วย   ความรู้สึกเป็นสามมิติกับความรู้สึกต่อวัตถุยังชัดเจนกว่าการมองดูคนอีกด้วย  เป็นจริงกว่า    ในสภาพการณ์ทั่วไปข้าพเจ้าได้แต่ให้ผู้ฝึกที่สามารถมองเห็น ให้มองเห็นส่วนหนึ่งของสภาพการณ์ในอีกมิติหนึ่ง  คนที่มองเห็นขอบเขตที่กว้างใหญ่มาก สิ่งที่มองเห็นโดยทั่วไปก็จะเห็นแบบเลือนราง  หรือมองเห็นได้ชัดแต่เพียงสภาพการณ์ของระดับชั้นที่ต่ำ   นอกจากจะมีสถานการณ์พิเศษ เพราะอะไรล่ะ   ถ้าคนล้วนมองเห็นได้ชัดอย่างนี้  ผู้คนก็จะมาบำเพ็ญกันหมดแล้ว  และยังจะแน่วแน่มาก  เช่นนั้นแล้ววังวนก็ถูกทำลายแล้ว  ไม่มีเรื่องการรับรู้คงอยู่แล้ว   บำเพ็ญไปก็ไม่นับแล้ว   มีแต่อยู่ในวังวน คนจึงจะสามารถบำเพ็ญได้  อยู่ในวังวนจึงจะสามารถรับรู้ได้   ทนทุกข์กันอย่างนี้จึงจะนับ    อะไรก็มองเห็นชัดหมดแล้ว  ทนทุกข์มากเท่าไรก็ไม่อาจมีคำพูดที่คับแค้นใจ   ทำไมระดับชั้นของพระพุทธจึงเลื่อนขึ้นยากมากละ   ความจริงอะไรก็มองเห็นหมดแล้ว  เขาจะยกระดับได้อย่างไร   ยกระดับขึ้นช้ามาก  เพราะเขาไม่มีความทุกข์ให้ทน   คนมองไม่เห็นความจริง ดังนั้นคนจึงสามารถบำเพ็ญ  การมองไม่เห็นก็คือทุกข์  ทุกสิ่งของมนุษย์ล้วนแต่ทุกข์

            บางคนถามข้าพเจ้าว่า  ท่านอาจารย์  ฉันก็ฝึกพลังแล้ว   ทำไมโรคยังไม่หายล่ะ   ข้าพเจ้าว่าท่านมาเพื่อรักษาโรคใช่ไหม   หรือว่ามาบำเพ็ญ   ถ้าท่านมาบำเพ็ญ  ท่านก็อย่าคิดเรื่องโรค เลย  ไม่คิดเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดแล้วจึงจะหายได้   ไม่มีการยึดติดแล้วจึงจะหายได้  เนื่องจากท่านยังคงมีจิตของคนธรรมดาสามัญนั้นอยู่  ไม่อาจปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลัง   ละทิ้งการยึดติดของคนโดยแก่นแท้ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร  บางคนนอนไม่หลับ  นอนไม่หลับมาฝึกพลังมิยิ่งไม่ดีกว่าหรือ   ท่านดูซิว่าท่านนอนหลับหรือไม่หลับ   ข้าพเจ้าพูดกับทุกท่านว่า ต่างกันที่หนึ่งความคิดนั้น  คนกับเทพ แตกต่างกัน ที่ หนึ่งความคิดนั้น   สามารถปล่อยวางได้ก็คือผู้บำเพ็ญ  ท่านปล่อยวางไม่ได้ท่านก็คือคน  

ศิษย์          ปัจจุบันมีผู้บำเพ็ญเป็นอาชีพ(นักบวช)ไหม   ถ้าหากมี  ผมสามารถเป็นศิษย์ที่บำเพ็ญเป็นอาชีพได้ไหม

อาจารย์    ฝ่าได้ถ่ายทอดออกมาแล้ว  คนจำนวนมากก็บำเพ็ญกันอย่างนี้   แน่นอนมี ชี กับ พระ ส่วนหนึ่งที่กำลังบำเพ็ญต้าฝ่า   การบำเพ็ญต้าฝ่าไม่เน้นรูปแบบ  ที่จริง พระพุทธ  เต๋า  เทพบนสวรรค์ก็มองอย่างนี้   พระพุทธไม่ให้ความสำคัญเรื่องรูปแบบของคนธรรมดาสามัญ แต่ให้ความสำคัญในการบำเพ็ญละทิ้งจิตมนุษย์     ต่อให้สร้างวัดมากเท่าไร   วันๆ เฝ้าโขกศีรษะคำนับพระพุทธรูป  แต่พอคนออกนอกประตูไปก็ ทำตามอำเภอใจตน  นี่ไม่ใช่การบำเพ็ญ   หากบำเพ็ญตนเองด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นตั้งใจ  พระพุทธเห็นแล้วก็จะดีใจ   ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ  ผู้ที่บำเพ็ญจริง อาจารย์ก็จะดูแลท่าน   การบำเพ็ญคือบำเพ็ญจิตมนุษย์ดวงนี้ทิ้งไป (เสียงปรบมือ)   ที่จริงการหลีกหนีจากหมู่คนธรรมดาสามัญคนที่สลับซับซ้อน เพื่อไปบำเพ็ญต้าฝ่า กลับจะช้า   แน่นอน หากท่านคิดจะออกบวชเพื่อบำเพ็ญ   ปัจจุบันพวกเรายังไม่มีเงื่อนไขนี้

ศิษย์          หลังจากร่างกายคนแปรเปลี่ยนเป็นสสารพลังงานสูงแล้ว อาหารที่รับประทานจะมีผลกระทบอะไรไหม

อาจารย์    อาหารที่รับประทานจะแปรเปลี่ยนโดยกลไกบังคับในการบำเพ็ญ   การบำเพ็ญยังคงบำเพ็ญไปตามปกติ

ศิษย์          ชาวจีนที่เกิดในอเมริกาสามารถพูดแต่ภาษาอังกฤษ จะสามารถบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ได้หรือไม่

อาจารย์    ในขณะนี้มีศิษย์มากมายเป็นคนผิวขาว พูดภาษาอะไรก็ไม่มีผลกระทบต่อการบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าเคยจัดบรรยายครั้งหนึ่งให้ศิษย์ชาวผิวขาวในประเทศสวีเดน   ความเข้าใจของพวกเขาก็ดีมาก  ในการบำเพ็ญก็ยกระดับได้เร็ว   คนจีนมีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่  วัฒนธรรมลึกซึ้งยาวนานมาก  จุดเด่นของคนจีนคือชอบเก็บความรู้สึกมาก   มีสิ่งที่เก็บอยู่ในใจมากมาย   ถ้าคิดจะอธิบายหลักการให้คนจีนเข้าใจ   ก็ต้องพูดเหตุผลให้ทะลุปรุโปร่งมากๆ แต่คนผิวขาวไม่เป็นอย่างนี้ อุปนิสัยของพวกเขานั้นชอบแสดงออก พูดจาโจ่งแจ้ง เขาโกรธท่านก็ดูออก  เขาดีใจท่านก็ดูออก  ไม่เก็บอะไรไว้ในใจ  แสดงออกมาหมด   สัญชาตญาณของพวกเขาแรงกว่าคนจีน  ไม่ต้องใช้เหตุผลลึกซึ้งมากนัก   พอพูดให้กระจ่างก็เข้าใจแล้วไม่มีอุปสรรคด้านจิตใจมากนัก  ในทางกลับกันก็บำเพ็ญได้เร็วมาก  

            ไม่รู้ภาษาจีนก็สามารถบำเพ็ญได้เหมือนกัน  แต่มีจุดหนึ่ง  ภาษาอังกฤษนั้นเพียงสามารถแปลความหมายชั้นผิวที่ข้าพเจ้าบรรยายออกมาได้    จะแปลความหมายที่ชั้นผิวให้ถูกต้องเสียทีเดียวนั้นย่อมทำไม่ได้  แต่ไม่กระทบต่อความนัยระดับสูง  การศึกษาฝ่าของคนในอนาคตนั้น  ชั้นผิวนอก สิ่งของที่ชั้นนี้ของคนจะมีความสำคัญอย่างมาก  ดังนั้นคนในอนาคตที่ไม่รู้ภาษาจีนก็จะยากมากแล้ว

ศิษย์          คนต่างเผ่าพันธุ์กัน มีสวรรค์ที่ต่างกัน   แต่ทำไมคนผิวดำของแอฟริกาไม่มี

อาจารย์   คนผิวดำก็มีเทพที่สร้างพวกเขา  เพียงแต่พวกเขาลืมเลือนค่อนข้างเร็วเกินไป

ศิษย์          ศาสนาล้วนแต่มีสวรรค์ไหม

อาจารย์    ศาสนาที่เที่ยงธรรมจึงจะมีสวรรค์   ศาสนานอกรีตเหล่านั้นไม่มีสวรรค์  อีกอย่างในยุคธรรมะปลาย  ที่จริงศาสนาทั้งหมดก็ไม่มีเทพคอยดูแลแล้วจริงๆ    สิ่งที่เทพในอดีตกำหนดให้คนปฏิบัติ คนก็ไม่ทำตามแล้ว   ในศาสนามีคนไม่น้อยนำหน้าในการทำเรื่องที่ไม่ดี   บางคนกำลังใช้ฐานะทางศาสนากอบโกยเงินทอง  บางคนเป็นนักการเมือง  บางคนนำหน้าทำให้สังคมเสื่อมถอย  ตัวพวกเขาเองล้วนแต่ไม่เชื่อเทพแล้ว  พวกเขาเองล้วนบำเพ็ญไม่ได้แล้ว  ท่านไปถามนักบวชนั้นดูว่า  ท่านสามารถจะให้ฉันหยวนหมั่นได้ไหม  ท่านสามารถจะหยวนหมั่นได้ไหม   ข้าพเจ้าเคยถามนักบวชอายุ 60-70 ปี เขาไม่กล้าพูดว่ามีโลกแดนสุขาวดี   นั่นยังจะบำเพ็ญอะไร  ประตูสวรรค์ได้ปิดไปแล้ว   สิ่งเลอะเทอะต่างๆแต่เดิมมาก็ไม่ใช่สิ่งที่เทพถ่ายทอด  ยิ่งไม่ต้องพูดว่าสวรรค์อะไรกันแล้ว

ศิษย์          ในความฝันได้พบอาจารย์สอนพวกเรา  พูดคุยกับพวกเรา  จะอธิบายความฝันนี้ได้อย่างไร

อาจารย์    ผู้ที่เกินจีดีหลายคนสามารถติดต่อได้จริง   เด็กๆจะมากสักหน่อย   ในสถานการณ์ทั่วไปเมื่อเข้าสู่สภาวะนิ่ง(ติ้ง)ในขณะนั่งสมาธิ มองเห็นข้าพเจ้า ส่วนใหญ่จะไม่พูดกับท่าน   หากพูดก็เป็นการบอกใบ้  บางคนบอกว่าในความฝันอาจารย์สอนพลังกงให้  จุดนี้ต้องระวัง   ต้องดูว่าสอนพลังอะไรให้ท่าน  ถ้าออกไปนอกหลักพลังห้าชุดนี้ ก็คือสิ่งที่มารบกวนอย่างแน่นอน   สิ่งที่พูดนั้นหากออกไปจากหลักธรรมที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั่นไม่ใช่ข้าพเจ้าอย่างแน่นอน  คือของตัวปลอม   ตัวปลอมทั้งหมดที่ได้พบนั้นท่านสามารถไล่เขาไป   ท่านสามารถบอกว่าฉันบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า ไม่ต้องการของๆท่าน  ถ้าเขาไม่ไปท่านก็เรียกชื่อข้าพเจ้า

ศิษย์          การทนทุกข์สามารถสลายกรรม  การทนความเจ็บป่วยก็สามารถสลายกรรมด้วยใช่หรือไม่

อาจารย์    ทนความเจ็บป่วย  คนนั้นเมื่ออดทนต่อความทุกข์ทรมานล้วนกำลังสลายกรรมอยู่   การอดทนต่อความเจ็บป่วยก็เป็นการสลายกรรม   ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปว่าชั่วชีวิตคนหากไม่เจ็บป่วย  ร้อยปีให้หลังเขาก็ต้องลงนรกแน่   เพราะชั่วชีวิตเขามีแต่สร้างกรรม ไม่เคยชดใช้กรรม  ความสุขสบายเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญแสวงหา  ผู้บำเพ็ญหากไม่ทนทุกข์สักหน่อย  ก็ชดใช้กรรมที่สร้างไว้แต่ก่อนไม่ได้  ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีการยกระดับความคิด  และก็ไม่ใช่การบำเพ็ญ

ศิษย์          เมื่อไรจะมีศิษย์ที่บำเพ็ญเป็นอาชีพ(นักบวช)

อาจารย์    ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าไม่ให้ทุกท่านบำเพ็ญเป็นหลัก   พระสงฆ์ในวัดบางคนก็บำเพ็ญต้าฝ่าแล้ว  เขาได้ออกบวชไปแล้ว  ไม่อาจคืนสู่สังคมโลกแล้ว  ดังนั้นในช่วงที่แน่นอนหนึ่งสภาพการณ์เช่นนี้จะดำรงอยู่   แต่ผู้อื่นที่ไม่ได้ออกบวช  ก็ให้บำเพ็ญอยู่ที่บ้าน   เส้นทางที่ข้าพเจ้าเหลือไว้ให้พวกท่านคือบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  

ศิษย์          หวังว่าท่านอาจารย์จะเปิดตาทิพย์ให้ทุกคน

อาจารย์   อันนี้ไม่ต้องพูดแล้ว  ในขั้นตอนการบำเพ็ญของท่าน  ในระหว่างการอ่านหนังสือของท่านก็กำลังทำให้ท่าน   สิ่งทั้งปวงที่ผู้บำเพ็ญต้องการ  รวมทั้งตาทิพย์ก็จะเปิดให้หมด  แต่ไม่ใช่ให้ทุกๆคนมองเห็น

ศิษย์          สามีของดิฉันจากโลกไปแล้ว  ดิฉันคิดถึงเขามากเหลือเกิน  ดิฉันจะวางจิตใจนี้ลงได้อย่างไร

อาจารย์    ท่าน “ คิดถึงเขามากเหลือเกิน” เป็นจิตของคนธรรมดาสามัญ  วางมันลงเสียจึงจะบำเพ็ญได้   ข้าพเจ้าขอยกเหตุผลง่ายๆให้ทุกท่านฟัง  คนนั้นล้วนยึดติดกับความสัมพันธ์ทางครอบครัวในหมู่คนธรรมดาสามัญ   ท่านทราบไหมว่า ท่านกลับชาติมาเกิดในหมู่คนธรรมดาสามัญคนธรรมดาแล้วกี่ครั้ง ?   ท่านเคยมี พ่อ แม่ พี่ น้อง ภรรยา บุตร ธิดา สามี เป็นจำนวนเท่าไรแล้ว   เมื่อท่านกลับชาติมาเกิดในหมู่คนธรรมดาสามัญ ญาติสนิทในแต่ละชาติของท่าน  ท่านล้วนเคยคิดอย่างนี้กับพวกเขา  ท่านคิดถึงได้ทั้งหมดไหม  คนไหนคือญาติสนิทที่แท้จริงของท่าน   ที่ๆ สร้างชีวิตท่านขึ้นมาจึงจะเป็นญาติสนิทที่แท้จริงของท่าน  เขากำลังรอท่านกลับไปนะ  ท่านกลับลุ่มหลงอยู่ที่นี่  ยึดติดกับสิ่งชั่วคราวเหล่านี้

            ทุกท่านมาถึงครอบครัวหนึ่งก็ดี  มาถึงโลกมนุษย์ก็ดี  ก็เหมือนพักอยู่ในโรงแรม  อยู่สั้นๆสักคืน  วันรุ่งขึ้นก็แยกย้ายกันไป  ชาติหน้าใครจะรู้จักใครบ้างละ   คนรอบตัวท่านก็มีสามีกับญาติสนิทคนอื่นๆ ที่ท่านเคยรักใคร่ในชาติก่อน   ท่านรู้จักไหม   เขารู้จักท่านไหม  ที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักธรรม  ไม่ใช่บอกท่านไม่ให้กตัญญูต่อพ่อแม่  ก็คือบอกให้ทุกท่านวางจิตนี้ของคนลง   จิตชนิดใดๆที่ผูกมัดท่านไว้ ท่านก็บำเพ็ญไม่ได้  มันล้วนจะจับท่านไว้แน่นไม่ให้ท่านบำเพ็ญ   ไม่ให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธะ  กล่าวในแง่มุมนี้ เขาเป็นมารสำหรับท่านใช่หรือไม่  ไม่ยอมให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธะ  ท่านเองยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกัน  คนที่ตายไปแล้ว  ถึงตายไปแล้วเขาก็ยังจับท่านเอาไว้  ท่านก็ยิ่งต้องปล่อยวาง  นี่ข้าพเจ้าพูดหลักการให้ท่าน  ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเข้าใจ  ถ้าท่านเป็นคนธรรมดาสามัญที่ไม่บำเพ็ญ   อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญท่านมัวแต่เฝ้าเศร้าโศกเป็นทุกข์กับคนที่ตายไปแล้ว  ท่านก็มีชีวิตอย่างไม่มีความสุข   ชีวิตคนนั้นสั้นมาก  ในโลกของพระพุทธ มองสังคมคนธรรมดาสามัญนั้น ยิ่งสั้น   เวลาที่พระพุทธสององค์คุยกันอยู่ เห็นท่านเกิดออกมาแล้ว   หันกลับมาคุยอีกไม่กี่ประโยค ท่านก็ตายไปแล้ว ถูกฝังเรียบร้อยไปแล้ว  ก็รวดเร็วอย่างนี้   เป็นเพราะคนอยู่ในสนามเวลาของคนนี้ที่ รู้สึกว่าช้ามาก

ศิษย์          บางครั้งมีความคิดวุ่นวายหลายอย่าง   ผมรู้ว่าไม่ดี  แต่ผลักไสไปได้ยากมาก  ใช่มารหรือไม่

อาจารย์    ท่านทราบว่าความคิดวุ่นวายนี้ไม่ดี  ท่านก็พยายามผลักมันไปเสีย   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  คนมีชีวิตอยู่บนโลก บ่อยครั้งไม่ใช่ตัวเองที่ตรึกตรอง  ไม่ใช่ตัวเองที่กำลังมีชีวิตอยู่  พวกท่านดูคนทุกวันนี้  ไม่ว่าจะเป็นคนประเทศไหน  วันๆยุ่งวุ่นวายอยู่  เขาใช้ชีวิตอย่างไรกัน   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  บางคนนั้นมีครึ่งหนึ่งของเวลาไม่ใช่ตนเองที่มีชีวิตอยู่   กระทั่งมีบางคน ไม่ใช่ตัวเขาเองที่มีชีวิตอยู่แต่อย่างใด

            โดยเฉพาะคนยุคนี้  ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ตนเองรู้ไหม   ในชั่วชีวิตหนึ่งของคน ตั้งแต่เล็กจนโตได้สะสมสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ต่างๆไว้มากมาย  และสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้ ก็ก่อตัวเป็นทัศนคติทางความคิดของคน   คนรู้สึกว่าเมื่อประสบกับปัญหา ฉันเพียงแต่จัดการอย่างนี้ ก็สามารถจัดการได้  ฉะนั้นนานเข้าทัศนคติที่แข็งทื่อจึงก่อเกิดขึ้นอย่างนี้   ท่านรู้สึกว่ามีเรื่องมากมายที่จัดการได้ดีมาก  แต่ตัวของท่านเองกลับไม่อยู่แล้ว  ตัวท่านเองหลับไปแล้ว   ตัวท่านที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม  กายเนื้อของท่านถูกทัศนคติที่ก่อตัวขึ้นหลังกำเนิดเหล่านี้ควบคุมไว้แล้ว  ทำเรื่องนี้  ทำเรื่องนั้น  วันๆเลอะๆเลือนๆ  ผ่านไปวันๆในลักษณะนี้  และทัศนคติเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องท่านไม่ให้ได้รับการทำร้าย  ท่านไม่ถูกทำร้ายท่านก็ไม่สามารถชดใช้กรรม   ท่านก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ท่านไม่สมควรได้   ท่านก็จะทำร้ายผู้อื่น  เช่นนั้นท่านก็จะก่อกรรมไม่มีหยุด  และกรรมเหล่านี้ก็มีชีวิต   เพราะทัศนคติหลังกำเนิด กับ กรรมเหล่านั้น จะก่อเกิดเป็นกรรมทางความคิดในสมองคน   ดังนั้นในขณะบำเพ็ญท่านต้องสลายมันทิ้งไป  เพราะการบำเพ็ญของคนไม่อาจบำเพ็ญมัน   บำเพ็ญมัน(กรรมทางความคิด) ไม่บำเพ็ญท่านๆก็ไม่ยอม  แน่นอนข้าพเจ้าก็ไม่ยอม

            ข้าพเจ้าให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธะ ให้ท่านบำเพ็ญ ในขณะบำเพ็ญท่านก็ต้องทิ้งทัศนคติหลังกำเนิดของท่านทิ้งไป   ขจัดกรรมทางความคิดที่แทนที่ท่านทิ้งไป  เช่นนั้นทุกท่านคิดดู  จะขจัดสิ่งเหล่านี้ไปให้หมด  มันนั้นมีชีวิต  มันไม่ยอม  เพราะมันอยู่ในสมองของท่าน  ดังนั้นมันก็จะสั่นคลอนความคิดของท่าน  ทำให้ความคิดของท่านไม่มั่นคง  กระตุ้นให้ท่านไม่ศึกษาฝ่า   ไม่เชื่อฝ่า  กระตุ้นท่านไปทำอย่างนี้  ทำอย่างนั้น   กระทั่งยังจะทำเรื่องไม่ดีโดยไม่รู้ตัว   เนื่องจากเมื่อก่อนท่านไม่บำเพ็ญ เคยด่าคน  เคยคิดเรื่องไม่ดี จึงก่อเกิดกรรมเหล่านี้  เอาละ  กรรมทางความคิดจึงสะท้อนเข้ามาในความคิดของท่าน  คำด่าคนเอย  ให้ท่านไม่เชื่อฝ่าเอย  กระทั่งด่าข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าไม่ถือสาความผิดของท่าน  เพราะไม่ใช่ท่านที่ด่าข้าพเจ้า  มิฉะนั้นบาปของท่านจะหนักมาก  เป็นกรรมทางความคิดของท่านที่ด่าข้าพเจ้า  แต่ในการบำเพ็ญท่านต้องขจัดมันไป หาไม่แล้วก็เท่ากับท่านกำลังด่า   ดังนั้นท่านเพียงแต่ขจัดมันทิ้งไป  ผลักไสมัน  ท่านรู้ว่าไม่ใช่ตัวท่านที่กำลังด่า  แต่เป็นกรรมที่กำลังแสดงบทบาท  มารที่กำลังแสดงบทบาท   พวกเราร่วมกันสลายมันทิ้งไป   ค้นหาตัวท่านเองกลับมา  ขณะนี้คนจำนวนมากมีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ใช่ตัวเขาเองที่มีชีวิตอยู่  เขานั้นมีชีวิตอยู่เพื่อจิตสำนึก กับ ทัศนคติหลังกำเนิดของเขา

ศิษย์          ปรากฏการณ์สวรรค์คืออะไร   ผู้บำเพ็ญระดับชั้นสูงแค่ไหน ที่จะไม่รับการบอกเป็นนัยจากปรากฏการณ์สวรรค์

อาจารย์    ปรากฏการณ์สวรรค์จะไม่บอกให้รู้เป็นนัยต่อคน   ในขณะนี้มีเพียงสัตว์ที่ได้หลิงชี่(เชาว์ปัญญา)พวกนั้นที่ทำสิ่งเหล่านี้ที่ควบคุมคน ในช่วงเวลานี้ที่มนุษย์ไม่ดีแล้ว เทพได้ตั้งจานขนาดใหญ่มากซึ่งหมุนอยู่บนสวรรค์ให้กับมนุษย์  บนนั้นกำหนดไว้ว่า ณ เวลาใดจะเกิดสภาพการณ์อะไรขึ้นในสังคมมนุษย์   พอหมุนไปถึงช่วงเวลาหนึ่งที่แน่นอน   สังคมมนุษย์ก็จะปรากฏสภาพการณ์ชนิดหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว  นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์สวรรค์

ศิษย์          มาตรฐานของ “วัฏสงสาร” คืออะไร

อาจารย์   วัฏสงสาร ก็มีมาตรฐาน   ชีวิตหนึ่งในท่ามกลางการเวียนว่ายตายเกิด ชาตินี้อาจเป็นคน ชาติหน้าเป็นสัตว์  และไม่แน่ว่ากลับชาติไปเกิดเป็นพืช  ล้วนกลับชาติไปเกิดเป็นอะไรๆได้หมด  กลับชาติไปเกิดเป็นอะไรนั้นกำหนดโดยดูว่า กรรมของคนมากหรือน้อย

ศิษย์          ซู่มิ่งทง (ความสามารถหยั่งรู้อดีตและอนาคต) สามารถรู้อนาคตล่วงหน้าไหม?

อาจารย์    ซู่มิ่งทง  สามารถรู้อนาคตล่วงหน้า ?  ซู่มิ่งทงสามารถรู้ชาติหนึ่ง ภพหนึ่งของคน หรือหลายชาติหลายภพ  และบางทีมากขึ้นไปอีก  บางคนรู้กระทั่งว่าตนเองมาจากไหน  และสามารถรู้ว่าอนาคตท่านจะเป็นเช่นไร  ไม่เพียงแต่รู้เรื่องของตัวเอง  ยังสามารถรู้เรื่องของคนอื่น  นี่ก็คือซู่มิ่งทง

ศิษย์          พระพุทธ พระโพธิสัตว์ สามารถรู้อดีตได้ไกลเพียงไร อนาคตได้ไกลเพียงไร ?

อาจารย์    ไม่มีจุดรั่วจึงจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธ  เป็นพระโพธิสัตว์  ไม่มีจุดรั่วก็จะรู้อะไรทั้งหมด   ท่านไม่อาจจะมาแสวงหาสิ่งเหล่านี้โดยถือเป็นความรู้   ข้าพเจ้าก็ไม่อาจตอบปัญหาเหล่านี้  มีคนมักถามข้าพเจ้าว่า  พระพุทธมีชีวิตอยู่อย่างไร ?   ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  คนนั้นไม่อาจจะรู้อย่างเด็ดขาดว่าพระพุทธมีชีวิตอยู่อย่างไร   ท่านคิดจะรู้ว่าพระพุทธมีชีวิตอยู่อย่างไร ท่านก็บำเพ็ญให้สำเร็จเป็นพระพุทธ  บางคนมองเห็นจี๋เล่อซื่อเจี้ย(โลกแดนสุขาวดี)  มองเห็นฝ่าหลุนซื่อเจี้ย  ยังมองเห็นโลกอื่นๆ   นั่น คือการปรากฏออกมาให้ท่านเห็น ณ ระดับชั้นนั้นของท่าน   หากท่านคิดจะมองเห็นภาพที่แท้จริงทั้งหมดของเขา  ท่านต้องบรรลุถึงมาตรฐานของพระพุทธจึงจะสามารถมองเห็นภาพที่แท้จริงของเขา   ก็เหมือนฝ่าชุดนี้  ท่านมองดูอยู่ ณ ระดับชั้นนี้ เขาเป็นหลักธรรมในระดับชั้นนี้  ท่านมองดูอยู่ ณ อีกระดับชั้นหนึ่ง ก็เป็นหลักธรรมของอีกระดับชั้นหนึ่ง  ไม่อาจแสดงภาพที่แท้จริงของระดับชั้นสูงให้กับระดับชั้นที่ต่ำกว่า  นี่คือกฎของจักรวาล

ศิษย์          ในอนาคตพระพุทธปลอมเหล่านั้นที่เกิดขึ้นจาก(คน)กราบไหว้ออกมาจะมีจุดจบอย่างไร

อาจารย์    จะกำหนดโดยดูจากความดี ความชั่วของพวกมัน    พวกที่สร้างความเสียหายให้สังคม  สร้างความเสียหายให้จักรวาล ล้วนต้องขจัดทิ้งไป   แน่นอนพวกที่ดีก็จะให้ช่องทางไปเกิดใหม่ ล้วนจัดวางไว้แล้ว

ศิษย์          การบำเพ็ญซินซิ่งมีวิธีการที่เป็นระบบหรือไม่

อาจารย์    ฝ่าชุดนี้ที่ข้าพเจ้าให้ท่านคือสิ่งที่เป็นระบบที่สุดแล้ว  ไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นระบบอีกแล้ว  ท่านไปอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ดูเถิด

ศิษย์          “วางมีดหั่นเนื้อลงได้  ก็สำเร็จพุทธะ ณ จุดนั้น” คือสิ่งที่พูดกันในศาสนาพุทธ  แล้วในแนวทางของฝ่าหลุนนั้นว่าอย่างไร

อาจารย์   คำพูดนี้ไม่ใช่องค์ศากยมุนีตรัส  คือสิ่งที่คนรุ่นหลังพูดกัน  ดังนั้นจึงพูดว่าพุทธศาสนาในยุคธรรมะปลายไม่สามารถบำเพ็ญได้แล้ว   ไม่ใช่คำพูดของพระพุทธกลับนำมาเป็นคำพูดของพระพุทธ   คนยุคนี้ล้วนไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร  มันไม่ใช่หลักการของพระพุทธ   ฆ่าคนไปมากมาย พอวางมีดลงฉันก็กลายเป็นพระพุทธแล้ว   ไหนเลยจะมีเรื่องประเภทนี้ ?  คนดีก็ยังต้องบำเพ็ญหนา  คือเหตุผลนี้ใช่ไหม ?  แน่นอนความหมายที่แฝงอยู่อาจจะเป็นว่า นับจากนี้ไปไม่ทำเรื่องชั่วแล้ว  บางทีอาจมีความหมายนี้ว่าต้องการจะบำเพ็ญ   แต่ก็ต่างจากพระพุทธไกลลิบลับ

ศิษย์          “ร่างกายสามารถขยายใหญ่ได้” จะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกขั้นได้อย่างไร

อาจารย์    ความคิดของผู้บำเพ็ญ  ความจุและพื้นที่ ของร่างกายล้วนแต่จะเพิ่มขึ้น  ดังนั้นบางครั้งในขณะที่ท่านยืนฝึกสมาธิอยู่ จะรู้สึกว่าเปลี่ยนจนใหญ่มาก  และบางคนรู้สึกว่าเปลี่ยนจนเล็กมาก  เพราะร่างกายทางฝั่งนั้นที่ฝึกเสร็จแล้ว  สามารถเปลี่ยนใหญ่หรือเล็กได้  ผู้บำเพ็ญนั้นร่างกายจะเปลี่ยนใหญ่ขึ้นจริงๆ  ไม่เช่นนั้นเมื่ออยู่ในระดับชั้นสูงท่านจะแบกรับไม่ไหวต่อการรับรู้ความจริงของจักรวาล  ในการบำเพ็ญร่างกายจะใหญ่ขึ้นจากมิติหนึ่งกว่าอีกมิติหนึ่ง   กายเนื้อของข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นี่ ก็คือความใหญ่โตที่เท่านี้ที่พวกท่านมองเห็น   แต่ร่างกายที่ฝั่งนั้นของข้าพเจ้า ร่างหนึ่งใหญ่กว่าอีกร่างหนึ่ง  ร่างหนึ่งใหญ่กว่าอีกร่างหนึ่ง  ใหญ่จนกระทั่งผู้ที่นั่งอยู่นี้ ซึ่งมีตาทิพย์เปิดได้ดีที่สุด ก็มองเห็นเพียงด้านล่างของนิ้วเท้านี้ของข้าพเจ้า  มองไม่เห็นด้านบนของนิ้วเท้า  นี่ยังไม่ใช่ที่ใหญ่ที่สุด   แน่ละนี่ไม่ใช่กำลังพูดโอ้อวดอะไร  ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ไม่มีการพูดจาหลอกลวงกัน  ข้าพเจ้าขอพูดกับทุกท่าน  ผู้บำเพ็ญนั้นร่างกายขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจริงๆ  ข้าพเจ้าจำได้ว่าในวิชาโยคะของอินเดียนั้นมีภาพวาดภาพหนึ่ง เป็นภาพของปอกาฝานกำลังพูดกับศิษย์ของเขาว่า  เธอดูซิเทพทั้งหมดล้วนอยู่ในร่างกายข้า  เหล่าเทพในภาพวาดทั้งหมดล้วนอยู่ในร่างกายของเขา    การบำเพ็ญใช่ไหม เป้าหมายคือต้องการบำเพ็ญเป็นเทพ  ความใหญ่เล็กของเทพก็คือความใหญ่เล็กของระดับชั้น ความสูงต่ำของมรรคผล จากนั้นทำให้ร่างเทพสอดคล้องกับระดับชั้นแห่งมรรคผล

ศิษย์          ขอเรียนถามว่ามาอเมริกาครั้งนี้ ท่านเตรียมจะเปิดการบรรยายธรรม 9 วันสักครั้งหรือไม่

อาจารย์    ไม่ใช่  เนื่องจากได้บรรยายฝ่าชุดนี้อย่างครบถ้วนไปหมดแล้ว   นับตั้งแต่หนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน”ออกมาแล้วข้าพเจ้าก็ไม่บรรยายอย่างเป็นระบบอีกแล้ว   เพราะถ้าบรรยายอีก ข้าพเจ้าก็ไม่อาจบรรยายโดยไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจาก “จ้วนฝ่าหลุน” แม้แต่อักษรตัวเดียวได้   การบรรยายของข้าพเจ้านั้น ไม่มีฉบับโครงร่าง  ข้าพเจ้าจะบรรยายไปตามสภาพการณ์ที่ต่างกันของผู้ฝึก   ในปัญหาเดียวกันข้าพเจ้าสามารถบรรยายจากแง่มุมที่ต่างกัน  ดังนั้นแต่ละครั้งจึงไม่เหมือนกัน  ฉะนั้นหากข้าพเจ้าบรรยายอย่างเป็นระบบอีกก็จะ รบกวนการบำเพ็ญตาม “จ้วนฝ่าหลุน”ของผู้ฝึก  เพราะข้าพเจ้าพบว่าในปัญหาเดียวกันข้าพเจ้ายิ่งบรรยายก็ยิ่งสูงขึ้น   เพราะข้าพเจ้าต้องการให้ผู้ฝึกเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ (เสียงปรบมือ)  ดังนั้นสิ่งที่พูดออกมาจะรบกวนการบำเพ็ญของผู้ฝึกได้    ฝ่าชุดนี้ได้พิมพ์ออกมาแล้ว  ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจบรรยายอย่างเป็นระบบอีก  แต่ทุกท่านขอเพียงบำเพ็ญตาม “จ้วนฝ่าหลุน” ก็เหมือนกัน     เหมือนอย่างนี้ที่ตอบคำถามบางประการในการบำเพ็ญให้ทุกคนนั้นสามารถทำได้

ศิษย์          คนบนโลกมากมายอย่างนี้ อาจารย์ทราบได้อย่างไรว่าใครที่บำเพ็ญบ้าง ?

อาจารย์         ความคิดและการรับรู้ของการบำเพ็ญในระดับชั้นสูงนั้นต่างจากการบำเพ็ญอยู่ในระดับชั้นต่ำ   ไม่เหมือนกับที่ท่านใช้ความคิดของคนจินตนาการ ในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญ เมื่อคนบรรลุถึงเขตแดนที่แน่นอนหนึ่ง ก็จะมีฝ่าเซินออกมา  กระทั่งมีฝ่าเซินจำนวนนับไม่ถ้วน  ฝ่าเซินจะช่วยร่างหลัก(และเรียกว่าองค์หลักด้วย) มาดำเนินการให้ลุล่วงในการนำพาลูกศิษย์  คุ้มครองลูกศิษย์  ทำเรื่องรูปธรรมมากมาย  ฝ่าเซินก็คือการปรากฏของปัญญาญาณของข้าพเจ้า   ปัญญาญาณชนิดนี้มีรูปลักษณ์ของเทพด้วย   พูดให้ชัดก็คือตัวข้าพเจ้า    ดังนั้นฝ่าเซินของข้าพเจ้าจึงมีรูปลักษณ์ทั้งหมดของตัวข้าพเจ้า  ความนึกคิดทั้งหมด  เรื่องอะไรก็สามารถทำได้   แต่ไม่มีความแตกต่างจากร่างหลัก  แต่ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับชั้นนี้  ใครก็มองไม่เห็นความเชื่อมโยงภายในชนิดนี้  มีแต่อยู่เลยล้ำระดับชั้นนี้แล้วจึงจะมองเห็น  ในการทำเรื่องที่เป็นรูปธรรมจะเหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำด้วยตัวเอง   เพราะนั่นคือปรากฏการณ์ที่เป็นรูปลักษณ์ของความคิดของข้าพเจ้า

ศิษย์          “ไม่แสวงหาสิ่งใดและจะได้เอง” กับ “ไร้ที่จะอยู่จึงเกิดจิตนั้น” เป็นอย่างไร

อาจารย์         อยู่ในการบำเพ็ญต้าฝ่า อธิบายคัมภีร์ของพุทธศาสนา ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ค่อยเหมาะสม  พูดในส่วนที่เล็ก  สิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัส เป็นสิ่งที่อยู่ในแนวทางนั้นของพระองค์    ที่นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในแนวทางของข้าพเจ้า นี่เกี่ยวโยงถึงปัญหาการไม่เดินสองแนวทาง  พูดในส่วนที่ใหญ่คือ ฝ่าทั้งหมดล้วนมาจากต้าฝ่า   ยังมีองค์ประกอบที่สลับซับซ้อนอีกมากมายที่ท่านไม่รู้   ดังนั้นคำศัพท์ แนวคิด ในพุทธศาสนานั้น แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่อยากอธิบาย   บางครั้งก็ถือโอกาสพูดถึงบ้าง  ยกเป็นตัวอย่างบ้าง  นั่นเป็นการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ขอแนะนำทุกท่าน  หากในสมองของท่านมีสิ่งของๆศาสนาอยู่  เมื่อบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าแล้ว   ท่านรีบวางมันลงเสีย  ชำระล้างตนเองให้บริสุทธิ์  มิฉะนั้นก็จะรบกวนท่านอย่างรุนแรง  และท่านยังจะใช้สิ่งที่อยู่ในศาสนาพุทธมาประเมินบรรดาสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด  ท่านก็ไม่อาจจะบำเพ็ญแล้ว  ในศาสนาพุทธก็พูดถึงไม่ยึดมั่นสองแนวทางนะ  เวลานี้เป็นยุคธรรมะยุ่งเหยิงของธรรมะปลาย  ทุกท่านต้องระวังไว้

            พูดถึงการไม่บำเพ็ญสองแนวทาง  ที่จริงในศาสนามีสักกี่คนที่เข้าใจความหมายนี้อย่างแท้จริงละ ? ในศาสนาก็มีผู้ที่อะไรก็บำเพ็ญ  พระสงฆ์บำเพ็ญทั้งเซนและยังบำเพ็ญมี่จงด้วย  คัมภีร์อะไรก็อ่าน  คนที่บำเพ็ญจิ้งถู่(นิกายดินแดนบริสุทธิ์)ก็พูดถึงสิ่งที่เป็นของเซน   บำเพ็ญแนวทางไหนก็อ่านคัมภีร์ของแนวทางนั้น   คัมภีร์นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัสทั้งหมด   อ่าน “คัมภีร์หวาเหยียน” บำเพ็ญสำเร็จแล้วก็ไปหวาเหยียนซื่อเจี้ย(โลกหวาเหยียน)   ผู้ที่อ่านพระสูตรของพระอมิตตพุทธก็ไปจี๋เล่อซื่อเจี้ย(โลกสุขาวดี)   คนรุ่นหลังเข้าใจว่าคัมภีร์ทั้งหมดเป็นขององค์ศากยมุนี   ดังนั้นพอท่านบำเพ็ญปะปนกันแล้ว พระพุทธองค์ไหนก็ไม่ดูแลท่าน   คนยุคนี้ที่เชื่อพระพุทธล้วนมีความคิดอย่างหนึ่ง  ว่า ทั้งหมดต่างก็เป็นพระพุทธ  กราบไหว้ใครก็ได้มิใช่หรือ ? ต่างก็เป็นหนังสือของพระพุทธ อ่านของใครก็ได้มิใช่หรือ  นั่นเป็นความคิดของคน

            ทุกท่านทราบไหมทำไมอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” สามารถบำเพ็ญไปฝ่าหลุนซื่อเจี้ย   ระหว่างบำเพ็ญสามารถได้รับฝ่าหลุน และสิ่งที่สมควรจะได้รับของแนวทางนี้   คัมภีร์ของศาสนาก็เป็นอย่างเดียวกัน  ท่านบำเพ็ญแนวทางนั้น   ท่านก็กำลังได้สิ่งที่เป็นของแนวทางนั้น  ฉะนั้นเทพในแนวทางนั้นก็จะใส่สิ่งของๆแนวทางนั้นของเขาให้กับร่างกายท่าน   แล้วท่านก็ยังอ่านหนังสือของแนวทางนี้ด้วย    แนวทางนี้ก็จะใส่สิ่งของๆแนวทางนี้ให้ท่านอีก มาใส่กันทุกแนวทาง  เช่นนั้นร่างกายท่านก็ยุ่งเหยิงแล้ว  ท่านจะบำเพ็ญได้อย่างไร   อย่างเช่นในเครื่องรับโทรทัศน์ถ้าใส่อะไหล่เครื่องซักผ้าให้ท่านชิ้นหนึ่ง   ข้าพเจ้าว่าโทรทัศน์เครื่องนี้ของท่านก็ดูไม่ได้แล้ว  มันไม่ใช่เรื่องตื้นๆอย่างที่คนคิดกัน  ง่ายๆอย่างนั้น

            การบำเพ็ญเป็นเรื่องเข้มงวดจริงจังอย่างยิ่ง  สูตรการผันแปรที่สลับซับซ้อนของการเลื่อนชั้นของพลังกับชีวิต  มีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่าเครื่องมือของมนุษย์ที่สลับซับซ้อน  ดังนั้นสิ่งของสำหรับการบำเพ็ญไม่อาจเอามาปะปนกัน  และไม่สามารถปะปนเข้าด้วยกัน   พอคนทำอย่างนี้   เมื่อพระพุทธเห็นว่าท่านบำเพ็ญอย่างนี้ แล้วบำเพ็ญอย่างนั้น ก็จะไม่ให้สิ่งของๆพวกเขากับท่านแล้ว  นี่ก็เป็นปัญหาซินซิ่งของผู้บำเพ็ญด้วย   พระยูไลพุทธะนั้น สิ่งของชุดนั้นของตัวเขาเอง ได้มาจากการบำเพ็ญอย่างยากลำบากกี่ชาติภพจึงบำเพ็ญสำเร็จ  ประกอบขึ้นเป็นโลกของเขา   โลกของเขาล้วนเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบของการบำเพ็ญเหล่านั้นของเขา   ท่านยังคงเป็นคนๆหนึ่ง คิดจะเปลี่ยนแปลงเขาตามชอบใจแล้วหรือ   การบำเพ็ญสองแนวทางพร้อมกัน เท่ากับท่านต้องการทำลายหลักธรรมของพระพุทธทั้งสององค์   การบำเพ็ญสามแนวทางพร้อมกัน เท่ากับท่านกำลังทำลายหลักธรรมของพระพุทธทั้งสามองค์  นี่มิใช่บาปกรรมหรือ   บางคนพูดว่าฉันไม่รู้นี่  ก็เพราะท่านไม่รู้  พระพุทธก็จะไม่ให้อะไรกับท่าน  และก็ไม่ให้ท่านก่อบาปนี้    นี่ก็คือมูลเหตุแท้จริงของการไม่บำเพ็ญสองแนวทาง  คนไม่รู้ เข้าใจว่าศึกษามากๆอย่างนี้มีความรู้กว้าง  นี่เป็นจิตยึดติด

บำเพ็ญแนวทางไหนก็คือแนวทางนั้น   เซน(ฉานจง)ก็คือเซน  จิ้งถู่(ดินแดนบริสุทธิ์)ก็คือจิ้งถู่   หวาเหยียนก็คือหวาเหยียน  เทียนไถก็คือเทียนไถ  มี่จงก็คือมี่จง  และในมี่จงด้วยกันก็ไม่อาจบำเพ็ญตามอำเภอใจ   นิกายแดงก็คือนิกายแดง  นิกายขาวก็คือนิกายขาว  นี่คือเรื่องที่ไม่อาจทำตามอำเภอใจได้อย่างเด็ดขาด   การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดที่สุด  เข้มงวดที่สุด   สำหรับมนุษย์ไม่มีเรื่องอะไรที่เข้มงวดกว่านี้แล้ว  เพราะว่าเขา(การบำเพ็ญ)นั้นยิ่งใหญ่ที่สุด  ดังนั้นต้องถือปฏิบัติอย่างเข้มงวด  แน่ละข้าพเจ้าไม่ใช่เอาแต่จะให้ท่านเรียนฝ่าหลุนกงให้ได้  ถ้าท่านรู้สึกว่าสามารถสำเร็จสมบูรณ์ในแนวทางนั้นของพุทธศาสนา  ท่านก็ไปเรียน  แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่อธิบายให้ท่านให้ชัดเจน ข้าพเจ้าก็คือไม่รับผิดชอบต่อท่าน   เนื่องจากท่านมีวาสนานั่งอยู่ที่นี่  ข้าพเจ้าก็ต้องบอกท่าน  ในศาสนายุคธรรมปลายนั้นผู้ออกบวชล้วนแต่บำเพ็ญได้ยากมาก  ท่านถามผู้ออกบวชเหล่านั้นดูว่า ท่านสามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้ไหม    เรื่องอะไรข้าพเจ้าก็ทราบ ผู้ออกบวชในโลก  รวมทั่วทั้งโลก  ที่สามารถบำเพ็ญออกสู่นอกภพ  สามารถบรรลุมรรคผลอรหันต์เบื้องต้น นั้นมีเพียงน้อยนิดไม่กี่คน   และยังคงขาข้างหนึ่งอยู่ข้างในประตู  ขาอีกข้างหนึ่งอยู่นอกประตู   นี่ยังเป็นการบำเพ็ญของจิตรองด้วย  ที่แท้พวกเขาก็ล้วนรอคอยการมาของพระพุทธ  ท่านเรียกให้เขาช่วยท่าน  จะช่วยไปที่ไหนกันละ  เขาเป็นอรหันต์  เขายังต้องบำเพ็ญไปสู่โลกของพระพุทธ   พระพุทธองค์ไหนจะเอาเขาหรือไม่ ยังต้องขึ้นกับพระพุทธ  เขาจะช่วยท่านไปที่ไหนได้ละ

ศิษย์          ท่านอาจารย์พูดว่าเมื่อถึงระดับชั้นสูง การฝึกพลังทั้งหมดจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ

อาจารย์   เมื่อตอนชี่กงเริ่มปรากฏออกมาในประเทศจีน  มีคนบอกว่าชี่กงไม่สามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้   เพราะชี่กงในเวลานั้นล้วนแต่จัดอยู่ในระดับชั้นของการขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพ   เมื่อครู่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปประโยคหนึ่ง  ข้าพเจ้าว่าที่จริงชี่กงเป็นการปูทางให้ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าหลุนต้าฝ่า   ถ้าชี่กงไม่เริ่มถ่ายทอด วันนี้ข้าพเจ้าก็จะถ่ายทอดต้าฝ่าได้ยากมาก   ข้าพเจ้าอยู่ในสังคมที่เข้มงวดที่สุด  สามารถถ่ายทอดเขาออกมาได้  ประวัติศาสตร์ ของอนาคต  การสืบทอดในสังคมใดๆก็ควรที่จะไม่มีปัญหาเลย

            บางคนพูดว่าชี่กงเป็นธรรมะ(วิธี)ที่มีการหมายมั่น   องค์ศากยมุนีเคยตรัสว่าธรรมะ(วิธี)ที่มีการหมายมั่นนั้นดุจภาพฝันเงาสลาย ไม่อาจสำเร็จสมบูรณ์   ที่แท้ผู้ที่ศึกษาคำพูดนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าการหมายมั่น(โหย่วเหวย)   พวกเขาพูดว่าท่าเคลื่อนไหวของชี่กงก็คือการหมายมั่น   แต่การฝึกพลังของสายเต๋าจำนวนมากนั้นมีท่าเคลื่อนไหว  เต๋าใหญ่ที่บำเพ็ญออกมาได้ก็สูงมาก   (สิ่งมีชีวิต)ที่เต๋าใหญ่ต้นกำเนิดบำเพ็ญออกมาจำนวนมากมายยังสูงกว่าเทพและพระพุทธทั่วไปอีก  ไม่ใช่พูดว่ามีท่าเคลื่อนไหวก็คือการหมายมั่น   มี่จงนั้นก็มีการรำมือนะ  พระสงฆ์ในแดนฮั่นยังต้องประทับท่ามือในท่าต่างๆ  เน้นเรื่องนั่งขัดสมาธิสองขา ขาเดียว  นั่นไม่ใช่ท่าเคลื่อนไหวหรือ ?  การหมายมั่น กับ ไร้การหมายมั่น ยังจะขึ้นอยู่ที่จำนวนท่าเคลื่อนไหวมากน้อยหรือ   “การหมายมั่น”ไม่ใช่ความหมายอย่างนี้ “การหมายมั่น”หมายถึงในการบำเพ็ญนั้นคนมีสิ่งยึดติดที่วางไม่ลง  พูดถึงรูปแบบของคน  ก็มีคนค้นหาวิธีการจำนวนหนึ่ง เทคนิค วิชาอาคม  เข้าใจว่าทำอย่างนี้ก็จะสามารถยกระดับได้แล้ว  ไม่อาศัยการบำเพ็ญจิตยึดติดทิ้งไปเป็นรากฐาน  แสวงหาศาสตร์เล็กศาสตร์น้อย  ทำเรื่องหมายมั่น   มีผู้ออกบวชบางคนกำลังหาเงินทอง  สร้างวัดมากๆ  ทำเรื่องสวัสดิการต่างๆให้สังคมเอย  เข้าร่วมทางการเมืองเอย นี้จึงจะเป็นการหมายมั่น การบำเพ็ญเพื่อสิ่งเหล่านี้จึงจะเป็นภาพฝันเงาสลาย  พลัดหลงเส้นทางบำเพ็ญของตัวเอง  นี่จะสำเร็จสมบูรณ์ได้ไหม  ฉันสร้างวัดให้พระพุทธแล้วกี่วัด เดินไปทางประตูหลังท่านก็จะต้องให้ฉันขึ้นไป  ไหนเลยจะมีการพูดเช่นนี้    จิตของคนธรรมดาสามัญของท่านนี้ไม่ทิ้งไป  หากให้ท่านอยู่ในเขตแดนของเทพ  ท่านเองก็จะไม่กล้าอยู่ที่นั่น  เมื่อเทียบกับความสง่างามน่าเกรงขาม กับ ความบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบของเทพ พระพุทธนั้น ท่านจะอายจนแทรกแผ่นดินหนีไม่ทัน   ตัวท่านเองก็จะพบว่าท่านไม่สมควรอยู่ที่นี่  เพราะเขตแดนความคิดของท่านห่างไกลลิบลับมาก  ท่านก็จะลงมาเอง   ท่าเคลื่อนไหวไม่ใช่การหมายมั่น  ทว่าจิตยึดติดของคนจึงเป็นการหมายมั่นที่แท้จริง

            ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าการเคลื่อนไหวความคิดในขณะบำเพ็ญจะเกิดปัญหาได้ง่าย   ฉะนั้นพยายามไม่คิด  ไม่มีการหมายมั่นใดๆ  วัตถุสสารใดๆในอีกมิติล้วนเคลื่อนไหวได้  มีชีวิต  กลไกบังคับที่ข้าพเจ้าใส่ให้ท่าน  ในขณะท่านฝึกพลังก็คือกำลังเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลไกบังคับนั้น  เมื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กลไกบังคับนั้นจนถึงระดับหนึ่งที่แน่นอน  เขาก็จะเคลื่อนไหวหมุนได้เองโดยอัตโนมัติ  ต่อไปเวลาฝึกพลังทุกครั้งให้ฝึก 9 รอบ เสริมความแข็งแกร่งให้เขาขึ้นเรื่อยๆ  สุดท้ายท่านจะพบว่า ไม่ต้องนับจำนวนรอบท่านเพียงแต่ฝึกพลัง  พอถึงเก้ารอบเขาก็จะหมุนฝ่าหลุนให้เอง   พอครบ 9 รอบเขาก็จะเจี๋ยอิ้นเอง  แม้แต่นับก็ไม่ต้องแล้ว

ศิษย์          ทุกคนล้วนสามารถรู้ว่าตนเองบำเพ็ญออกสู่นอกภพแล้วใช่ไหม

อาจารย์         เนื่องจากบางคนเกินจี(รากฐาน)สูงมาก  เพื่อรับประกันให้เขากลับไปที่ๆเขาจากมาก่อนกำเนิดได้  อะไรก็ไม่อาจบอกเขาได้ทั้งสิ้น   บอกเขานิดเดียว  ก็จะทำลายหนทางของเขาแล้ว  ก็จะทำให้เขาไม่สามารถกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมของเขาได้  ดังนั้นจะต้องกำหนดตามสภาพการณ์ของแต่ละคน  บางเวลาสามารถรู้ได้  มีเฉพาะคนที่สามารถรู้ได้

ศิษย์          ในอนาคตศิษย์ที่บำเพ็ญเป็นอาชีพ ซึ่งบำเพ็ญอยู่ในวัดต้องออกธุดงค์ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  “อนาคต”นี้หมายถึงมนุษยชาติในครั้งนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้ ?

อาจารย์    ผู้ออกบวชไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าให้พวกเขาพิสูจน์ยืนยันถึงมรรคผลที่ใหญ่ยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับศิษย์ต้าฝ่าคนอื่นๆ  จากนั้นจัดสภาพแวดล้อมให้พวกเขาได้สร้างธรรมานุภาพที่ใหญ่ยิ่งขึ้น

ศิษย์          จะทราบได้อย่างไรว่ามี ฝ่าเซินคุ้มครองหรือไม่  มีฝ่าหลุนอยู่ในตัวหรือไม่

อาจารย์    ฝ่าหลุนนั้นหนา บางคนที่ความรู้สึกไวจะสามารถรู้สึกได้  บางคนความรู้สึกไม่ไวก็ไม่รู้สึก ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนแต่รู้สึกได้    สำหรับคนที่รู้สึกได้ถึงฝ่าหลุน รอจนฝ่าหลุนคงที่มั่นคงอยู่ในร่างกายเขาแล้วก็จะไม่ค่อยรู้สึก  เหมือนกับหัวใจท่านที่เต้นอยู่  ท่านไม่ไปคลำมันท่านจะรู้สึกไหมว่าหัวใจท่านเต้นอยู่   เมื่อเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก  แต่บางคนตอนเริ่มต้นไม่รู้สึก  นี่เพราะร่างกายความรู้สึกไม่ไว  ไม่เป็นไร   สภาพร่างกายของคนนั้นสลับซับซ้อนมาก  แต่ละคนไม่เหมือนกัน

ศิษย์          สมมติว่าคนวัยหนุ่มสาวคนหนึ่งบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์  ก็ขึ้นสวรรค์ไปทันที  เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่สุดท้ายต่อพ่อแม่ หรือต่อลูก ของเขาไม่ถึงที่สุดแล้ว นั่นเป็นการทิ้งความลำบากไว้ให้คนอื่น

อาจารย์ เนื่องจากขณะนี้ท่านยังไม่สำเร็จสมบูรณ์  ท่านไม่มีความคิดระดับสูงเช่นนั้น  ท่านจึงใช้ความคิดของคนมาคิดปัญหานี้  เมื่อคนบรรลุถึงเขตแดนความคิดนั้นแล้ว  ความรับรู้ทั้งหมดก็ไม่เหมือนกันแล้ว เนื่องจากธรรมานุภาพที่ได้ในระหว่างการบำเพ็ญ สภาพการณ์โดยรอบก็จะเปลี่ยนแปลง ที่จริงแต่ละคนต่างมีชีวิตของตัวเอง  ใครก็ควบคุมชีวิตใครไม่ได้   บางคนพูดว่าฉันต้องการให้คนข้างหลังได้ดี   ถ้าคนข้างหลังท่านไม่มีบุญวาสนา ท่านทิ้งโชคลาภไว้ให้มากเท่าไร เขาก็จะผลาญหมด  หรือไฟไหม้หมด  หรือทำหาย  ถูกปล้นถูกขโมย  ถ้าเขามีโชคลาภ  เช่นนั้นเขาก็จะสามารถสืบต่อได้   คนต่างมีชีวิตของตัวเอง  ใครก็ดูแลใครไม่ได้ อย่าเห็นว่าเป็นญาติสนิทของท่าน  ในภพนี้เป็นญาติสนิทท่าน  ในภพหน้าไม่แน่ว่าก็จะเป็นญาติสนิทของคนอื่น   และในภพก่อนก็เป็นญาติสนิทของคนอื่น  ดังนั้นคนต่างก็มีชีวิตของตัวเองหนา  พูดว่าพวกเราคิดจะให้คนอื่นเป็นอย่างไรๆ  นั้นไม่ได้แน่นอน  เพราะชีวิตของคนไม่ใช่เป็นการจัดวางของคน เป็นการจัดวางของเทพ และไม่อาจพูดได้ว่าท่านทิ้งความยากลำบากอะไรไว้ให้หรือไม่   เรื่องเหล่านี้ได้ถูกจัดวางไว้ตั้งนานแล้ว  เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด   ท่านไม่อยู่ในเขตแดนนั้น  การมองปัญหาล้วนแต่เป็นความคิดของคนธรรมดาสามัญ   ที่จริงการบำเพ็ญเป็นเทพ พระพุทธเป็นธรรมานุภาพระดับไหน  เรื่องในภายหลังของเขาก็ถูกจัดวางไว้เสร็จแล้วในขั้นตอนของการบำเพ็ญ

ศิษย์          เวลาฝึกพลังศีรษะจะบิดไปมา

อาจารย์   นี่ล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่ดี  เวลาทะลวงชีพจร ส่วนศีรษะจะถูกพลังงานทะลวงจนเอนไหว   ที่จริงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะฝึกพลังนั้นมีมากมาย  นับหมื่นชนิดก็ไม่ปาน  ไม่ว่าจะเกิดสภาพการณ์ใดๆพวกท่านล้วนต้องปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง   บนเส้นทางการบำเพ็ญทุกสิ่งทุกอย่างคือการทดสอบการรับรู้(อู้ซิ่ง)ของผู้บำเพ็ญ   ส่วนประกอบในพลังกงมีมากมาย   ส่วนที่ผิวนอกสุดของคนรู้สึกได้ไวที่สุดคือไฟฟ้า  ในช่วงแรกที่พลังกงส่งผล ตรงไหนมีการเคลื่อนไหวท่านจะรู้สึกไม่สบายไปหมด  บางครั้งฝึกสิ่งที่ดีออกมาท่านยังจะสงสัยว่าไม่สบาย(ป่วย)หรือเปล่า  ทำไมไม่สบายขึ้นมาแล้วละ  หากเป็นอย่างนี้ท่านจะบำเพ็ญได้อย่างไร ?  ท่านเป็นผู้บำเพ็ญ ท่านล้วนต้องถือว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ดี  และที่จริงก็เป็นปรากฏการณ์ที่ดี   เวลาทะลวงชีพจรก็แทบจะทนไม่ไหว    จะรู้สึกเจ็บปวดเป็นส่วนๆ การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  ก็ไม่สบาย  บางทีคล้ายกับมีแมลงมากมายไต่อยู่ในร่างกาย   เนื่องจากมีชีพจรนับหมื่นเส้นก็ไม่ปาน ไม่เพียงแค่ชีพจรไม่กี่เส้น มีทั้งแนวดิ่งแนวนอนตัดกันไปมา  ทั่วร่างกายบางครั้งคล้ายกับมีไฟฟ้าผ่าน หนาว ร้อน ชา หนัก หมุน  เป็นต้นหลายสภาพการณ์เหลือเกิน   ความรู้สึกนั้นล้วนแต่ทำให้ท่านทนแทบไม่ไหว  แต่นั่นเป็นเรื่องดี  เป็นสิ่งที่เกิดจากพลังงาน กับ การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย   รู้สึกว่าพูดขึ้นมาแล้วมากจริงๆ   ทุกท่านต้องเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี  จริงๆ ก็เป็นเรื่องดี

ศิษย์              ผู้รู้แจ้งนั้นอิสระอย่างเหลือล้น  อาจารย์ถ่ายทอดต้าฝ่า สามารถรับผิดชอบต่อผู้ฝึกจำนวนมาก  จะเข้าใจความอิสระอย่างเหลือล้นอย่างไร 

อาจารย์         เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน ไม่ต้องพูดถึงความอิสระอย่างเหลือล้น    ข้าพเจ้ากำลังแบกรับความผิดบาปของพวกท่าน  บางเวลากำลังชำระกรรมแทนพวกท่าน  (เสียงปรบมือ) องค์ศากยมุนี  พระเยซู ในเวลานั้น ไม่ใช่เป็นเช่นนี้ด้วยหรอกหรือ   บางคนพูดว่า  ท่านอาจารย์  ท่านมีความสามารถยิ่งใหญ่อย่างนี้แล้ว  ทำไมท่านยังมีเรื่องยุ่งยากล่ะ   ที่จริงเรื่องยุ่งยากนั้นเป็นของพวกท่านทั้งนั้น  อย่างเช่นมีผู้ฝึกบางคน เดิมทีได้สลายกรรมให้เขาแล้ว  เหลือเรื่องยุ่งยากอีกเล็กน้อยควรที่ตัวเองต้องข้ามแล้ว  แต่ว่าเขายังข้ามไปไม่ได้  และก็ไม่อาจเป็นเพราะข้ามเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยนี้ไปไม่ได้ก็ทำลายเขา  ดังนั้นข้าพเจ้าก็แบกรับแทนเขาก็แล้วกัน  เรื่องยุ่งยากเหล่านี้จึงรบกวนมาถึงข้าพเจ้า

            การช่วยเหลือคนนั้นยากมาก  ยากลำบากตรากตรำ  ข้าพเจ้าทราบว่าทำไมพระเยซูจึงถูกตรึงบนไม้กางเขน  ข้าพเจ้าก็ทราบด้วยว่าทำไมองค์ศากยมุนีจำต้องนิพพานจากไป   ข้าพเจ้าก็ทราบว่าทำไมเหลาจื่อต้องเขียนหนังสือห้าพันคำอย่างเร่งรีบแล้วจากไป  การถ่ายทอดหลักธรรมที่ถูกต้องนั้นยากยิ่งนัก  หากถ่ายทอดสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะไม่มีใครก่อกวน    สร้างความยุ่งเหยิงจบแล้วตัวเองก็ลงนรกไปแล้วถูกทำลาย  เพราะเขาทำร้ายตัวเองใช่ไหม

ศิษย์          มารสวรรค์ระดับชั้นสูงรู้จัก ผู้รู้แจ้ง ใหญ่ น้อย ได้อย่างไร  ใครไปควบคุมมารกลุ่มนี้

อาจารย์    เทพมีเทพที่สูงกว่าดูแล   ยิ่งสูงยังมีที่สูงกว่า  มารคือปรากฏการณ์ของชีวิตด้านบวกและลบในจักรวาล  การรับรู้ในระดับชั้นสูงนั้นไม่เหมือนกับระดับชั้นต่ำ   หากบรรลุถึงระดับชั้นอรหันต์ ความคิดอะไรของคนจะไม่มีทั้งสิ้น  คนนั้นหลังจากร้อยปี(ตายไป) เมื่อตัวเองออกมาจากร่างกาย(กายเนื้อ)  เรื่องที่ทำเอาไว้ชั่วชีวิต  รวมทั้งเรื่องที่ทำเมื่อตอน 3 ขวบ ก็จะเหมือนกับเพิ่งทำไปเมื่อ 1 นาทีก่อน จะปรากฏชัดแจ้งต่อสายตา  เพราะเวลาที่ออกจากมิติ และเวลานี้ไป  มันก็จะไม่เหมือนกับมิติ และเวลานี้แล้ว  ทุกสิ่งก็จะเหมือนกับเพิ่งทำเสร็จไป ในเวลานั้นสิ่งที่คนทำไว้ชั่วชีวิตทั้งที่ถูก ที่ผิด  ตนเองก็จะรู้ได้หมดแล้ว  ณ เวลานั้นจึงจะนึกเสียใจภายหลัง  ณ เวลานั้นความคิดส่วนนั้นที่ถูกควบคุมเอาไว้ก็จะเปิดออก  แต่ไม่ใช่ปัญญาญาณของพระพุทธ  เนื่องจากพระพุทธเป็นผลพวงของความสามารถที่ใหญ่ยิ่งกว่า

ศิษย์              จะบูชาฝ่าเซินของท่านอาจารย์อย่างไรดี

อาจารย์         ฝ่าเซินก็คือข้าพเจ้า    ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากจะจุดธูป  ท่องชื่อพระพุทธ  โขกศีรษะคำนับ  สวดมนต์ กราบไหว้พระพุทธทุกวัน  พิธีกรรมก็ทำกันอย่างโอ่อ่ามโหฬาร  แต่เมื่อเสร็จพิธีก็ทำตัวอย่างเคย  ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  คนนั้นไม่เข้าใจแล้วว่า อะไรที่เรียกกันว่าการเคารพบูชา   ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งในขณะบำเพ็ญถือความทุกข์เป็นเรื่องน่ายินดี  ขจัดจิตยึดติดของตัวเองทั้งหมดทิ้งไป  มีเมตตาใฝ่สูงส่ง  ก้าวหน้าไม่หยุดหย่อนในการบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน   สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ายินดีมากกว่าการทำพิธีกรรมอะไร   เนื่องจากข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าชุดนี้ไม่ได้มีข้อกำหนดอื่นใดต่อคน  ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านได้รับฝ่า  สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือขจัดจิตของคนธรรมดาสามัญของท่านทิ้งไป  สุดท้ายสามารถช่วยท่านออกมาได้ 

            แน่ละฝ่าเซินของพระพุทธก็ต้องการอาหาร  ไม่เหมือนอย่างที่คนพูดกันว่าพระพุทธไม่กินสิ่งของ  บางคนพูดว่าพระพุทธไม่กินธัญญาหาร  ไม่ว่าคนๆนั้นจะรู้จริงหรือแกล้งรู้ คำพูดนี้ถูกต้อง พระพุทธไม่กินธัญญาหารของมนุษย์ แต่เขากินอาหารในเขตแดนนั้นของพวกเขา  หากเทพไม่กินอาหารเขาจะไม่หิวตาย แต่เขาจะรู้สึกหิวและผ่ายผอมได้  ดังนั้นเขาก็ต้องกินอาหาร   แต่ไม่กินสสารชั้นผิวทว่าเป็นวัตถุสสารที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคที่เล็กกว่า   การจุดธูปก็มีความหมายโดยแก่นแท้   ท่านศิษย์พระสงฆ์ในปัจจุบันว่าจุดธูปเพื่ออะไร  เขาบอกว่าเคารพบูชาพระพุทธ  เคารพบูชาพระพุทธทำไมต้องจุดธูปละ ?  ทำเรื่องอื่นไม่ได้หรือ ? ที่จริงควันจากธูปที่จุดนั้นก็เป็นสสารนะ  และสสารที่ประกอบเป็นควันนั้นไม่เพียงเป็นวัตถุสสารชั้นผิว  ควันก็มีร่างวัตถุในอีกมิติหนึ่ง  เทพ พระพุทธ จะใช้สิ่งเหล่านี้มาเสริมพลังให้ศิษย์

ศิษย์              ฝ่าเซินกับฮว้าเซิน(ร่างอวตาร/ร่างเสก) คืออะไร

อาจารย์         ข้าพเจ้าไม่เคยพูดถึง ฮว้าเซิน   หลายๆ สิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัสล้วนถูกต้องมาก  แต่สิ่งที่กล่าวกันในศาสนาพุทธ ไม่ใช่ความหมายเดิม ตามคำพูดเดิมขององค์ศากยมุนีทั้งหมด  พระสูตรของพุทธศาสนานั้น  คือสิ่งที่จัดทำขึ้นมา  หลังจากองค์ศากยุมนีไม่ทรงอยู่ในโลกได้ห้าร้อยปีแล้ว   ห้าร้อยปี ทุกท่านคิดดู  ปัจจุบันห้าร้อยปีก่อนประเทศอเมริกายังไม่มี  ห้าร้อยปีก่อนใครพูดอะไรไว้ พอถึงปัจจุบัน  คนค่อยจัดทำมันขึ้นมา  สิ่งนี้มีความแตกต่างจากของในเวลานั้นมากมายแค่ไหน  สภาพแวดล้อมเอย  เวลาเอย  สถานที่เอย  การพูดที่มุ่งตรงต่อสถานการณ์อะไร  ดังนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก   ฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดไม่ใช่พุทธศาสนา  ข้าพเจ้าไม่เคยพูดถึงฮว้าเซิน  ข้าพเจ้าพูดแต่ฝ่าเซิน  ข้าพเจ้าพูดโดยเชื่อมผนึกกับความนึกคิดของคน และวัฒนธรรมของมนุษย์ในปัจจุบัน

ศิษย์              ไอน์สไตน์พูดว่าความเร็วแสงนั้นตายตัว   จะใช้ได้กับทุกมิติหรือไม่

อาจารย์         หลักการนี้ที่ไอน์สไตน์รับรู้ได้เป็นหลักการในขอบเขตของมนุษยชาติ   ในขณะนี้การรับรู้ด้านนี้ก็เป็นการรับรู้ที่สูงที่สุดของมนุษยชาติแล้ว  แต่เมื่อพ้นไปจากเขตแดนของมนุษย์  ท่านจะพบว่าสิ่งที่ไอน์สไตน์รับรู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนเด็ดขาดอีกแล้ว  ระดับชั้นที่ต่างกันมีหลักการที่ต่างกัน กับรูปแบบของสสารที่ปรากฏออกมาของระดับชั้นที่ต่างกัน   ยิ่งสูงขึ้นท่านยิ่งเข้าใกล้สัจธรรม  ยิ่งสูงขึ้นยิ่งถูกต้อง  ณ ระดับชั้นสูงเมื่อหันกลับมามอง   การรับรู้ของข้างล่างล้วนไม่ใช่หลักการที่แท้ของจักรวาล หรือยิ่งไม่ใกล้เคียงหลักการที่แท้  คนๆหนึ่งที่กล้ารับรู้สัจธรรม  เขาก็กล้าทะลวงกฎตายตัวที่กำหนดโดยคนก่อนๆ  ถ้าหากท่านอยู่ในกฎเกณฑ์ที่เขากำหนดไว้   ไม่ว่าท่านจะไปค้นคว้าวิจัยอย่างไร ท่านก็ได้แต่เดินตามเขาไป  ถ้าหากท่านล้ำเลยเขาไป  ท่านก็ก้าวใกล้เข้าสู่สัจธรรมอีกหนึ่งก้าว

            เมื่อผู้คนไปพ้นการรับรู้ที่มีอยู่ คนจะพบว่าการรับรู้ที่ผ่านมาไม่ใช่สัจธรรมที่แน่นอนเด็ดขาดอีกแล้ว  ไอน์สไตน์บอกว่าความเร็วของแสงคือความเร็วสูงสุด   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านนะ  พลังความคิดของชีวิตในระดับชั้นเดียวกันนั้นเร็วกว่าความเร็วแสง  และระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้นกว่าระดับชั้นนี้ของมนุษย์นั้นเนื่องจากกาลเวลาที่ต่างกัน  ความเร็วที่ช้าที่สุดก็จะเร็วกว่าความเร็วที่เร็วที่สุดของระดับชั้นที่ต่ำกว่า  ชีวิตนั้นมีระดับชั้น  ในระดับชั้นที่ต่างกันก็มีกาลเวลาและรูปแบบของมิติที่ต่างกัน   สรรพชีวิตกับสสารทั้งหมดล้วนถูกควบคุมโดยกาลเวลาและมิติที่ต่างกัน   ระดับชั้นยิ่งสูงความเร็วของมันยิ่งเร็ว  และพูดได้ว่าความเร็วที่ช้าที่สุดในระดับชั้นสูงยังจะเร็วกว่าความเร็วแสงในระดับชั้นต่ำที่คนรับรู้มาก  ความสามารถของพระพุทธนั้นสูงกว่าความสามารถของคน  พระพุทธที่สูงยิ่งขึ้นก็จะยิ่งมีความสามารถมาก  ไกลอย่างลิบลับจากความเร็วแสงที่มนุษย์รู้จัก

            ข้าพเจ้าพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อบอกทุกท่านว่า  มนุษย์มีหลักการชั้นนี้ของมนุษย์ กับโลกวัตถุที่คนสมควรรับรู้เข้าใจ  แต่นี่เป็นเพียงการรับรู้ของคน  หาใช่สัจธรรมของจักรวาลไม่  อย่ามองมันแบบเด็ดขาดตายตัว  มันเป็นเพียงการรับรู้เข้าใจในระดับชั้นนี้  ทำไมองค์ศากยมุนีตรัสว่าธรรมะไม่กำหนดตายตัวแน่นอนละ  สุดท้ายยังได้พูดไว้ประโยคหนึ่งว่า ชั่วชีวิต ข้าพเจ้า ไม่ได้พูดหลักธรรมอะไรเลย  เมื่อพระองค์ตรัสรู้นั้นยังไม่บรรลุถึงเขตแดนของพระยูไล  พระองค์ก็ทรงทราบว่ากำลังบำเพ็ญขึ้นไป  สุดท้ายในบั้นปลายชีวิตจึงบรรลุถึงระดับชั้นที่สูงมากของพระยูไล  ในการถ่ายทอดหลักธรรมนาน 49 ปี พระองค์ทรงบรรยายความเข้าใจต่อจักรวาลของพระองค์จากระดับต่ำสู่ระดับสูงอย่างต่อเนื่อง  พระองค์ทรงทราบว่าสิ่งที่พระองค์เคยตรัสไว้ไม่ใช่หลักการสูงสุด   เมื่อพระองค์ทรงยกระดับขึ้นอีกก็ทรงบรรยายสูงกว่าของเดิมที่เคยตรัสไว้   เมื่อบรรยายต่อไปอีกก็ยังไม่ใช่หลักการมูลฐานสุดท้าย    ดังนั้นพระองค์ทรงทราบว่าสิ่งที่เพิ่งตรัสไปนั้นไม่ถูกต้องอีกแล้ว  เพราะพระองค์ก็ยกระดับขึ้นอีกแล้ว    องค์ศากยมุนีทรงทราบว่าในชั่วชีวิตของพระองค์นั้น หลักธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงไม่ใช่หลักธรรมสูงสุดของจักรวาล  ไม่ใช่สัจธรรมสูงสุดของจักรวาล   ในบั้นปลายพระองค์ตรัสว่า  ชั่วชีวิตฉันไม่ได้พูดหลักธรรมอะไรเลย   แต่พระองค์ก็ทรงทราบว่าหลักธรรมของระดับชั้นที่ต่างกันแม้ว่าจะไม่ใช่หลักการสูงสุด  แต่นั่นก็เป็นหลักการที่ชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกันต้องปฏิบัติตาม  และพูดได้อีกว่าเป็นหลักการในชั้นนั้น  หลักการของระดับชั้นที่ต่างกันนั้นยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งเข้าใกล้หลักการที่แท้จริง  แต่เทพจะมองไม่เห็นหลักธรรมสุดท้ายที่แท้จริงในจักรวาล  ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่าธรรมะไม่กำหนดตายตัวแน่นอน

            หลักเหตุผลที่ไอน์สไตน์รับรู้ได้นั้น เป็นสิ่งที่สูงที่สุดในหมู่คนธรรมดาสามัญแล้ว  ถ้าไอน์สไตน์มีโอกาสค้นคว้าวิจัยต่อไป   ถ้าเขามีโอกาสค้นพบหลักการที่สูงยิ่งขึ้น  เช่นนั้นแล้วเขาก็จะโค่นล้มสิ่งที่ตนเองรับรู้แต่ก่อน   ที่จริงเขาเองได้ค้นพบว่าศาสนามีการรับรู้ที่สูงกว่า   เพราะเหตุใดในบั้นปลายของไอน์สไตน์จึงเชื่อถือศาสนา  เดินเข้าสู่ศาสนาละ ?  เพราะเขาพบว่าสิ่งที่พูดกันในศาสนาคือหลักการที่แท้จริง เขาจึงเข้าไป   เพราะเหตุใดสุดท้ายจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนเชื่อถือศาสนาละ  คนที่ประสพความสำเร็จเช่นนี้ในวงการวิทยาศาสตร์   ดูตามทัศนคติที่เด็ดขาดแน่นอนของวิทยาศาสตร์ที่อาศัยการพิสูจน์ยืนยันแล้ว ก็ไม่อาจคิดได้ทะลุปรุโปร่ง  ที่จริงมีแต่พวกที่ไม่ประสพความสำเร็จอะไร  คนที่หมุนวนไปตามนิยามที่คนอื่นกำหนดเอาไว้  จึงเป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่ไม่มีความสามารถอะไรสมตามคำล่ำลือ  ผู้ที่ประสพความสำเร็จที่แท้จริงนั้น  ความคิดของเขาจะไม่ถูกจำกัดโดยคำนิยาม บทสรุปอะไรต่างๆ  นั่นจึงจะเป็นคนฉลาด

ศิษย์              ในขณะฝึกพลังความคิดสงบลงมาไม่ได้จะท่อง “จ้วนฝ่าหลุน” ได้ไหม ?

อาจารย์         ได้  ถ้าคิดจะเข้าสู่ความสงบอย่างเด็ดขาด  ผู้ที่เริ่มฝึกพลังในช่วงแรกไม่อาจทำได้ง่ายๆ  ถึงแม้ฝึกได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว คิดจะเข้าสู่ความสงบนิ่งโดยสิ้นเชิงก็ทำได้ยากมาก  เพราะอะไรละ ? ทุกท่านคิดดู พวกท่านใช้ชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ผู้ที่บำเพ็ญคือตัวท่านเอง  เช่นนั้นคือตัวท่านเองที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  เพื่อการกิน การอยู่ มีเครื่องนุ่งห่ม  เด็กในครอบครัวจะเข้ามหาวิทยาลัย  วันนี้ใครเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา  พรุ่งนี้มีเรื่องเร่งด่วนอะไรล่ะ   ยังไงเสียเรื่องอะไรในโลกมนุษย์ล้วนแต่กำลังรบกวนท่านอยู่  ท่านไม่คิด ก็ต้องคิด  มีเพียงการมองสิ่งที่จิตของคนธรรมดาสามัญยึดติดอยู่ให้เบาบางมากๆในระหว่างการบำเพ็ญ จึงจะสามารถทำได้   นี่ไม่ขัดแย้งกับการบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  และไม่ขัดแย้งกับการทำงานและการเล่าเรียนให้ดี  หรือพูดว่าไม่ว่าจะทำอะไรกลับไม่ยึดติดกับการได้หรือเสียของตนเอง  ก็จะค่อยบรรลุถึงได้  ช่วงเริ่มต้นจะบรรลุไม่ได้  มีแต่ปล่อยวางจิตของคนธรรมดาสามัญให้เบาบางลง  วางให้เบาบางลงมากๆเรื่อยไป ตราบจนกระทั่งไม่ยึดติดอีกแล้ว เวลานี้ความคิดก็จะสงบนิ่งได้โดยอัตโนมัติแล้ว

            ถ้าอยากให้คนสงบนิ่งลงมา  ในศาสนาก็ไม่มีวิธี  บางคนพูดว่าท่อง อมิตตพุทธ ก็จะสามารถสงบลงได้  นั่นเป็นวิธีการฝึกพลัง  ในระหว่างขั้นตอนก็ยังคงไม่อาจสงบลงมาได้  ท่องอมิตตพุทธ จะท่องอย่างไรละ  ต้องท่องด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจไม่ว้าวุ่น  ให้คำว่าอมิตตพุทธล้วนสามารถปรากฏอยู่ตรงหน้า   ท่องจนอะไรทั้งหมดว่างเปล่า  อะไรก็ไม่มีแล้ว  เมื่อบรรลุถึงเขตแดนนี้จึงจะเข้าสู่ความสงบได้อย่างแท้จริง   ในระหว่างขั้นตอนย่อมบรรลุไม่ถึงเขตแดนนี้   ไม่อาจบรรลุถึงระดับความมุ่งมั่นตั้งใจไม่ว้าวุ่นในทันที   ในช่วงเริ่มต้นไม่อาจบรรลุถึงได้   อาทิเช่น บางคนปากกำลังท่องอมิตตพุทธ  ในใจยังคงคิดอยู่ ลูกฉันป่วย  ใครต่อใครรังแกฉันมากไปแล้ว  คู่รักฉันเป็นอย่างไรๆ  ปากก็ยังคงท่องอมิตตพุทธนะ  สิ่งยึดติดกองเบ้อเร่อจะเข้าสู่ความสงบได้อย่างไรละ  จึงพูดว่าเมื่อมองสิ่งที่คนธรรมดาสามัญยึดติดให้เบาบางลงไปได้เรื่อยๆตามการบำเพ็ญ  ท่านก็จะสงบลงได้โดยอัตโนมัติ  แต่ว่าการสงบลงมาไม่ได้ในขณะนี้ไม่ใช่อุปสรรคของการบำเพ็ญ กับ การยกระดับ  ให้ทุกท่านจำจุดนี้ไว้  แต่ในการบำเพ็ญแนวทางอื่น  พวกเขาเห็นมันสำคัญอย่างมาก  เพราะเขาบำเพ็ญจิตรอง  เขาไม่ให้จิตหลักของท่านแสดงบทบาท

            พวกเขาพูดว่าสือเสิน(จิตสำนึก จิตรู้)ตาย หยวนเสิน(จิตหลัก)เกิด  พวกเขาถือเอาจิตรองเป็นจิตหลัก  สือเสินก็คือตัวท่านเองหนา  สือเสินของท่านตายแล้ว  เช่นนั้นท่านก็ตายแล้วจริงๆ  เขาก็รับและควบคุมร่างกาย   ที่นี่ ข้าพเจ้ากำหนดให้เมื่อผู้บำเพ็ญสามารถสงบลงมาได้โดยสิ้นเชิงในท้ายที่สุด ท่านก็ต้องรู้ว่าตนเองกำลังฝึกพลังอยู่  ยังมีจิตสำนึกนี้อยู่เล็กน้อย  นี่ไม่ใช่ยึดติด  หากแม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่รู้อะไรแล้ว  เช่นนั้นยังจะบำเพ็ญอะไร  พระพุทธไม่รู้แม้กระทั่งตนเองหรือ  ไม่ใช่เช่นนี้

ศิษย์          ฝึกฝ่าหลุนกงแล้วจะจัดการความสัมพันธ์กับเพื่อนในพุทธศาสนาอย่างไรดี

อาจารย์    ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  พวกท่านอย่าได้ถือว่าผู้ที่นับถือศาสนาทุกวันนี้เป็นผู้บำเพ็ญ   ข้าพเจ้าขอบอกสัจธรรมข้อหนึ่งกับพวกท่าน  เทพ พระพุทธไม่ยอมรับรูปแบบศาสนาข้างล่างกับคนที่ทุ่มเทจิตใจกับในตัวศาสนา   ยอมรับแต่การบำเพ็ญที่แท้จริงเท่านั้น  ศาสนาคือสิ่งที่คนรุ่นหลังสร้างขึ้นมา   ในสมัยนั้นองค์ศากยมุนีมิได้ทรงก่อตั้งศาสนา  สิ่งที่องค์ศากยมุนีทรงก่อตั้งคือรูปแบบการบำเพ็ญเป็นกลุ่ม  พระองค์ทำเพื่อไม่ให้ทุกคนยึดติด  ทุกคนล้วนออกบวชเข้าไปในป่า ในถ้ำภูเขา นั่งสมาธิ   รูปแบบของศาสนาชนิดนี้คือสิ่งที่คนรุ่นหลังสร้างขึ้นมา  เป็นสิ่งที่คนในสังคมเรียกมันว่าศาสนา  และคนในปัจจุบันก็ไม่เข้าใจกันแล้ว  ทำมันเป็นรูปแบบศาสนาชนิดหนึ่ง   สิ่งนี้เทพ พระพุทธต่างไม่ยอมรับ  ไม่ใช่ว่าท่านทำพิธีล้างบาปแล้ว  ถือศีลแล้วเทพ พระพุทธก็จะยอมรับแล้ว  นั่นคือคนยอมรับ  และก็ไม่ใช่ทำพิธีล้างบาปแล้ว  รับศีลแล้วก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้  ไม่ใช่ว่าท่านถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคตแล้วก็จะเป็นคนของสายพุทธ พระพุทธนั้นดูคนว่ามีความจริงใจหรือไม่ในขณะตั้งปณิธาน ขณะเดียวกันก็ดูว่าท่านบำเพ็ญจริงหรือไม่ พระพุทธไม่ยอมรับรูปแบบ นั่นเป็นการยอมรับของศาสนา

            สำหรับเพื่อนในศาสนา ท่านก็ปฏิบัติต่อเขาในฐานะคนทั่วไป คนอยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะ เนื่องจากท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ จะต้องติดต่อกับคนอื่นอย่างแน่นอน  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความศรัทธาอะไรก็ไม่มีทางบำเพ็ญได้จริง   ถือว่าเป็นเพื่อนที่เป็นคนธรรมดาสามัญก็แล้วกัน

ศิษย์          หลังจากฝึกฝ่าหลุนกงแล้ววิชาความรู้อื่นๆก็ไม่อยากจะอ่านแล้ว  ก็มุ่งแต่บำเพ็ญเท่านั้น

อาจารย์    นี่ จะพูดจากสองด้าน  หนึ่งคือ คนๆนี้อาจจะมีการรับรู้สูงมาก  เกินจี(รากฐาน)ดีมาก  ในทันทีที่ได้ฝ่า เขาก็เข้าใจได้แล้วว่านี่คืออะไร  ในการบำเพ็ญก็ยกระดับได้เร็วมาก  เนื่องจากเกินจีดี  อู้ซิ่งสูง  จิตมากมายเขาสามารถวางลงได้หมดแล้ว  แก่นแท้ของชีวิตไม่เปลี่ยน  มีแต่ผิวชั้นนอกถูกโลกมนุษย์แปดเปื้อน  ในทันทีที่ทิ้งสิ่งแปดเปื้อนภายนอกไปก็รับรู้ได้ถึงสัจจะของพุทธธรรม  เดิมทีก็ไม่ยึดติดกับสิ่งของๆคนธรรมดาสามัญ  ฉะนั้นคนชนิดนี้จึงจัดอยู่ในประเภทที่ค่อนข้างดี ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป

            อีกสภาพการณ์หนึ่งก็คือเกินจีดีมาก  ในการบำเพ็ญรู้ว่าต้าฝ่าดี   แต่ยังไม่ได้ไปเข้าใจข้อกำหนดของการบำเพ็ญต้าฝ่าทั้งหมดจากด้านของเหตุผล  ได้รับอิทธิพลจากวิธีการบำเพ็ญหรือผู้ออกบวชในอดีต  ก็จะเกิดสถานการณ์ชนิดนี้ได้เช่นกัน

                 ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด  ล้วนไม่อาจเดินสุดขั้ว  ข้าพเจ้าให้พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญนั้นเป็นการกำหนดโดยวิธีการบำเพ็ญของต้าฝ่า   และต้าฝ่ากำหนดให้ผู้บำเพ็ญไม่ว่าบำเพ็ญอยู่ที่ใดล้วนต้องดีเลิศ  เป็นนักเรียนก็ต้องเรียนให้ดี  เป็นสมาชิกหนึ่งของสังคม ท่านก็ทำงานของท่านให้ดี  ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้บำเพ็ญด้วย 

ศิษย์          ศึกษาฝ่าและฝึกพลังได้หนึ่งปีแล้ว แต่ยังมีกรรมทางความคิดอยู่รู้สึกร้อนใจ จะทำอย่างไรดี

อาจารย์   ผู้ฝึกล้วนแต่ไม่เลวเลย     ที่จริงการที่สามารถรับรู้ความบกพร่องของตนเองได้ก็คือกำลังบำเพ็ญอยู่  ข้าพเจ้าทราบว่าที่เขาพูดคืออะไร  เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดปัญหาหนึ่งให้ทุกท่านฟัง ก็คือ  พอท่านมาฝึกฝ่าหลุนกงข้าพเจ้าก็จะชำระล้างร่างกายให้กับท่าน  โดยพื้นฐานทำการชำระล้างชั้นผิวนอกของคนที่เป็นชั้นโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุดชั้นหนึ่งให้ทั้งหมดแล้ว  รวมทั้งส่วนที่เป็นความนึกคิด  แต่ข้าพเจ้ายังต้องให้ท่านสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  คงเหลือส่วนหนึ่งที่จะบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญต่อไป  หรือพูดได้ว่า ถ้าไม่มีจิตของคนอยู่เลย  ก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์  ถ้าไม่มีสิ่งที่เป็นของคน ท่านก็จะไม่อยากอยู่ในหมู่คนแม้แต่นาทีเดียว   ข้าพเจ้าบอกให้พวกท่านอย่าได้เกิดจิตยึดติดอีก  สามารถปล่อยวางจิตยึดติดของคนที่มีอยู่ในปัจจุบันมากที่สุด

            ที่จริงข้าพเจ้าพูดจากอีกด้านหนึ่ง   ก็สามารถเด็ดความคิดเหล่านี้ของท่านทิ้งไปได้ทั้งหมด  เด็ดความคิดที่ไม่ดีออกไปหมด  เอาจิตยึดติดของท่านออกไปโดยตรง   แต่ทำอย่างนี้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่การบำเพ็ญ  แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้  คือชำระล้างให้ท่านจากผิวนอก ให้ความคิดของท่านบรรลุถึงความสงบนิ่งที่แน่นอนระดับหนึ่ง   แต่ยังต้องเหลือไว้นิดหน่อยเพื่อใช้ในการบำเพ็ญ  ถ้าเอาออกไปอีกก็จะไม่สามารถบำเพ็ญแล้ว  เพื่อให้ท่านสามารถบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ   ชำระล้างจากระดับจุลทรรศน์ ภายในของชีวิตท่าน ชั้นผิวภายนอกไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมามากนัก  ให้ทำท่านสามารถบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนคนธรรมดาสามัญ จากระดับจุลภาคที่สุดของชีวิตท่าน ชำระจากภายในสู่ภายนอก รอจนเมื่อชำระล้างโดยตลอดจนถึงผิวนอก  พอท่านขจัดทิ้งสิ่งเล็กน้อยสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปแล้วก็สำเร็จสมบูรณ์   การที่ไม่ขจัดสิ่งผิวนอกไปก็เพื่อให้บำเพ็ญจนถึงก้าวสุดท้าย  ที่เจตนาเหลือไว้ให้ท่าน เพื่อให้ท่านสามารถยังคงใช้ชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้    ถ้าสิ่งเล็กน้อยนั้นเอาทิ้งไปแล้ว  ท่านก็จะไม่สามารถอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้จริงๆ  ท่านก็จะไม่รู้สึกสนใจเรื่องใดๆของคนทั้งสิ้น  จะเกิดสภาวะเช่นนี้  ดังนั้นเมื่อถึงก้าวสุดท้าย ก็จะทิ้งสิ่งเล็กน้อยนั้นไปทั้งหมด

            นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง  ทั้งสามารถจะให้ท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  และยังให้ท่านใช้ชีวิตได้อย่างปกติในหมู่คนธรรมดาสามัญ ในขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดตนเองอย่างเข้มงวด  ไม่อาจเหมือนคนธรรมดาสามัญที่มีจิตยึดติดรุนแรงเช่นนั้น  พวกท่านเดินบนเส้นทางนี้แล้ว  บำเพ็ญอย่างนี้  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ณ ขณะนี้ท่านมีความนึกคิดกับจิตยึดติดเล็กน้อยของคนธรรมดาสามัญอยู่ ก็อย่าให้กลายเป็นภาระทางความคิด  เพราะนั่นมีเจตนาเหลือไว้ให้ท่าน   แต่พวกเราต้องระมัดระวังแนวโน้มอีกอย่างหนึ่ง  บางคนเดิมทีไม่ก้าวหน้าอย่างไรในการบำเพ็ญ  พอได้ยินข้าพเจ้าพูดอย่างนี้  อ้อ  นี่คือการเหลือไว้ให้ฉัน  เช่นนั้นฉันก็ไม่สนใจแล้ว  ปล่อยปละตนเอง  ไม่ไปปล่อยวางจิตยึดติด   ไม่กำหนดตนเองอย่างเข้มงวด  เป็นเช่นนั้นไม่ได้  นั่นก็ไม่ใช่การบำเพ็ญแล้ว

ศิษย์          จะแต่งงานได้หรือไม่

อาจารย์    ข้าพเจ้าเหลือองค์ประกอบที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญให้กับพวกท่าน ในหมู่ศิษย์มีวัยหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง ข้าพเจ้าหวังว่าพวกท่านยังจะมีเหย้ามีเรือนและมีการงาน  สมมติว่าอนาคตคนในสังคมล้วนมาศึกษาต้าฝ่า  ล้วนไม่แต่งงาน  สังคมมนุษย์นี้ก็จบสิ้นกันแล้ว  ไม่มีแล้ว  นี่ใช้ไม่ได้  และคนวัยหนุ่มสาวยังต้องเหลือลูกหลานไว้ให้คนในอนาคต   พวกท่านยังต้องเหลือวิธีการบำเพ็ญไว้ให้มนุษยชาติใหม่ในอนาคต

ศิษย์          โลกฝ่าหลุนใหญ่แค่ไหน

อาจารย์         โลกฝ่าหลุน ใหญ่มาก (หัวเราะ) มีสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน  พระพุทธ  พระโพธิสัตว์ กับพระอรหันต์ จำนวนมากมาย

ศิษย์          ฝึกฝ่าหลุนกงแล้วสามารถจะสวดอมิตตพุทธ ได้หรือไม่

อาจารย์    สวดพระพุทธก็เป็นการบำเพ็ญ  สวดอมิตตพุทธก็คือการบำเพ็ญจิ้งถู่แนวทางนั้น  ท่านฝึกฝ่าหลุนกงและสวดอมิตตพุทธด้วย นั่นคือเข้าไปฝึกปะปนกันแล้ว  ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่จะต้องให้ท่านบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าให้จงได้  ถ้าท่านปล่อยวางไม่ได้จริงๆก็ไปสวดอมิตตพุทธเถอะ  หลักการข้าพเจ้าก็พูดชัดแล้ว  พอถึงยุคธรรมะปลาย อยู่ในศาสนาก็ยากจะสำเร็จสมบูรณ์  บางคนพูดว่านำกรรมติดตัวไป  ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คนธรรมดาสามัญคิด  คนต้องบำเพ็ญความคิดของตนจนพอจะได้มาตรฐานแล้ว  กรรมที่สำคัญล้วนบำเพ็ญทิ้งไปหมดแล้ว  เหลือจิตยึดติดอีกเล็กน้อยที่สามารถจะค่อยๆทิ้งไปได้  ในเวลานี้จะเกิดสภาพการณ์พิเศษ  นั่นจึงสามารถนำกรรมติดตัวไป  ท่านนำร่างกายที่สกปรกมากๆ ไปสวรรค์ที่บริสุทธิ์หมดจรด  ขึ้นไปบนโลกของพระพุทธ  เช่นนั้นจะวางท่านไว้ตรงไหนละ ? ใช่หรือไม่ ?

ศิษย์          ฝึกพลังกลางดึกเที่ยงคืน  รู้สึกว่ามีมารมารบกวน  หรือว่าฝึกพลังช่วงกลางดึกไม่ได้ 

อาจารย์    ท่านบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าจริงๆ  ไม่ได้สอดแทรกสิ่งอื่นเข้าไปฝึก  รับรองว่าไม่มีสิ่งใดกล้าทำร้ายท่าน  บางครั้งผู้ฝึกใหม่ฝึกสิ่งอื่นปนเข้าไป  ดังนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าเขาบำเพ็ญแนวทางนี้ของต้าฝ่า  ไม่ทำตามข้อกำหนดของฝ่า  เพียงแต่ฝึกท่าเคลื่อนไหว ไม่ใช่การบำเพ็ญอย่างแท้จริง  เมื่อเกิดปัญหาแล้วเรียกชื่อข้าพเจ้าๆก็ไม่อาจมาดูแลท่าน  ท่านพูดว่าทำไมอาจารย์ไม่ดูแลฉัน   ท่านบำเพ็ญต้าฝ่าหรือเปล่าละ? ท่านบำเพ็ญตามข้อกำหนดของข้าพเจ้าหรือไม่ละ ?  เป็นเหตุผลนี้หรือไม่ละ ? การบำเพ็ญพุทธะเป็นเรื่องเข้มงวด

ศิษย์          ฝึกมวยไท่จี๋(มวยไท้เก๊ก) กับ ฝ่าหลุนกงพร้อมกันได้ไหม

อาจารย์    ไม่ได้   ไท่จี๋  สิงอี้  ปากั้ว  มวยประเภทเหล่านี้ล้วนมีชี่กงอยู่ภายใน  แต่ฝึกวิทยายุทธ์อย่างอื่นไม่เป็นไร  ฉางเฉวียน  หงเฉวียน  หนานเฉวียน  เส้าหลิน อะไรพวกนี้ล้วนไม่เป็นไร  เฉพาะมวยไท่จี๋นี้เป็นชี่กงโดยสิ้นเชิง 

            มวยไท่จี๋ นั้นคนปัจจุบันไม่รู้ว่าควรจะใช้อย่างไร   บางคนนำมวยไท่จี๋มาเป็นการเพาะกายเพื่อบริหารร่างกาย  ที่จริงมวยไท่จี๋ มีสิ่งที่เป็นของการบำเพ็ญภายในและภายนอกควบคู่กันอยู่ข้างใน  คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรแล้ว   เพราะจางซานเฟิง ไม่ได้เหลือหลักธรรมฝึกจิตของการบำเพ็ญไท่จี๋ไว้ให้คน  เหลือแต่ท่าเคลื่อนไหวไว้  ดังนั้นคนรุ่นหลังจึงบำเพ็ญไม่ได้   อย่าเห็นว่าท่าเคลื่อนไหวของไท่จี๋นั้นเชื่องช้า  ความสามารถของเขาไม่ได้อยู่ในมิติชั้นผิว   คนที่ฝั่งนี้ ไม่ว่าท่านจะเร็วอย่างไรก็ไม่เร็วกว่ามือของเขา(ผู้เชี่ยวชาญมวยไท่จี๋)   เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวช้ามากแต่เขาเคลื่อนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง  ก็เหมือนเรื่องในสมัยโบราณที่ทุกท่านรู้จักกัน   เทพเซียนนั้นเดินอยู่ตามปกติ  คนข้างหลังขี่ม้าอยู่ก็ไล่ไม่ทัน  คนธรรมดาสามัญมองเห็นว่าเดินช้ามาก  ที่จริงเขาเดินอยู่ในอีกกาลมิติ

            คนรู้สึกว่าตัวเองออกหมัดเร็วมาก  แต่เขาก็ไล่ไม่ทันความเร็วของอีกกาลมิติ  ดังนั้นท่านมองเห็นมวยไท่จี๋ออกหมัด  ปล่อยหมัดออกไปช้ามาก  การเคลื่อนไหวของท่านต่อให้เร็วขึ้นไปอีก ก็ไม่เร็วเท่าเขา  เขาไปถึงที่นั่นก่อนนานแล้ว  เพียงแต่คนสมัยนี้บรรลุไม่ถึงระดับนั้น  และหมัดของเขามีกงเหนิง(ความสามารถพิเศษ) อยู่  กงเหนิงชนิดนี้ไม่ใช่คนจะสามารถยอมรับได้   วิทยายุทธ์ในภาพยนตร์แสดงกันได้น่าดูมาก  แต่ทำไมในทางปฏิบัติวาดแขนไปมา  ทั้งกระทืบทั้งถีบสะเปะสะปะไปมา ก็มองไม่เห็นความสามารถพิเศษของวิทยายุทธ์อยู่ที่ไหน   รำท่าหมัดมวยออกมาไม่ได้ละ  ก็เพราะไม่มีความสามารถพิเศษอยู่ข้างใน  ถ้าเขามีความสามารถพิเศษอยู่ข้างใน  คนไม่หลบก็ไม่ไหว  มันจะใช้ไม่ได้ถ้าเขาไม่ใช้เทคนิคนี้  ดังนั้นเดี๋ยวนี้จึงรำท่าหมัดมวยออกมาไม่ได้ เพราะไม่มีความสามารถพิเศษภายในและภายนอก                                                  

            เมื่อมวยไท่จี๋สามารถก้าวเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง  มันจะเข้าสู่การบำเพ็ญแล้ว  ดังนั้นมันเป็นชี่กงโดยสิ้นเชิง  ขณะที่ร่างกายเขาเปลี่ยนแปลงไป เขตแดนความคิดก็ยกระดับขึ้นตาม  คนจึงจะสามารถฝึกสิ่งของออกมาได้  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  บำเพ็ญสำเร็จเป็นเต๋า เทพนั้นเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ไร้ที่เปรียบ  ไม่เหมือนอย่างที่คนคิดกัน  คนปัจจุบันนี้ใช้ทัศนคติที่ตกต่ำลงไปมาคิดเกี่ยวกับคนโบราณ  คนโบราณไม่ใช่เช่นนี้

ศิษย์          ฝ่าหลุนหมุนตามและทวนเข็มนาฬิกา  จะหมุนเอียง หมุนกลับกันด้วยหรือไม่ ?

อาจารย์   ถูกต้อง  ร่างกายของท่านจำเป็นต้องปรับอย่างไร  เขาสามารถปรับร่างกายให้ท่านตามที่จำเป็น  หมุนอย่างนี้ หมุนอย่างนั้น  ปรับร่างกายท่านให้ดี  เมื่อเริ่มต้นปรับร่างกายของท่าน ฝ่าหลุนหมุนไปตามแต่ความจำเป็น  ความเร็ว ช้าเร็วไม่แน่นอน  เมื่อปรับร่างกายเสร็จแล้ว  ฝ่าหลุนก็ไปอยู่ตรงบริเวณท้องน้อย ตั้งมั่น หมุนตามเข็มนาฬิกาเก้ารอบ  หมุนทวนเก้ารอบ  เข้าสู่สภาพปกติ

ศิษย์          ผมฝึกพลัง ลูกชายคัดค้าน 

อาจารย์    ใช่  มีคนจำนวนหนึ่งมีสภาพการณ์ชนิดนี้   คนในครอบครัวคัดค้าน  นั่นก็ต้องดูตัวท่านเอง  ถึงยังไงเมื่อเดินเข้าสู่การบำเพ็ญก็จะมีการทดสอบ  เช่นนั้นบางทีมารอาจใช้ลูกชายท่านมารบกวนท่าน  หากท่านเข้าสู่การบำเพ็ญต้าฝ่าจริงๆ  ท่านสามารถบำเพ็ญได้จริง  ข้าพเจ้าก็จะจัดการให้  ขณะอยู่ท่ามกลางการรบกวนข้าพเจ้าจะมองเห็นได้ว่าท่านคิดอย่างไร   ยังคิดจะฝึกหรือไม่  เนื่องจากการบำเพ็ญพระพุทธนั้นเข้มงวดมาก  ถ้าปณิธานไม่แน่วแน่ล้วนใช้ไม่ได้

ศิษย์          การนั่งสมาธิ  ดีที่สุดคือ นั่งขัดสมาธิสองขาใช่ไหม

อาจารย์         กำหนดไว้ว่าสุดท้ายต้องขัดสมาธิสองขา  ค่อยๆฝึก  ล้วนสามารถขัดสมาธิสองขาได้   คนแก่อายุ 80 กว่าปีในประเทศจีนต่างก็ค่อยๆขัดขึ้นไปได้  ไม่มีปัญหา  เพียงแต่ท่านฝึก  ก็จะค่อยๆทำได้  ไม่ใช่ว่าจะทำได้ในทันที  การฝืนทำจะทำไม่ได้  ท่านบอกว่าฉันขัดขาไม่ได้เลย  ขัดขาเดียวก็ไม่ไหวท่านก็ขัดแบบหลวมๆ   พูดว่าฉันนั่งขัดหลวมๆก็นั่งไม่ได้   เช่นนั้นท่านก็กระดกขึ้นสูงหน่อย  รอเมื่อท่านนั่งลงมาได้ ขาก็จะค่อยๆลดต่ำลง  ลดต่ำลงทุกครั้ง  สุดท้ายเมื่อสามารถลงมาได้ท่านก็ขัดสมาธิขาเดียว  ขัดสมาธิขาเดียวขาจะกระดกสูงมาก  ก็ไม่เป็นไร  ทุกครั้งที่ฝึกพลัง  ท่านจะพบว่าขาจะลงมาได้หน่อย   รอจนกระทั่งลงมาได้ทั้งหมด  เมื่อขัดสมาธิข้างเดียว ขาทั้งสองบรรลุถึงมาตรฐานที่ราบลงได้  ท่านค่อยขัดสมาธิสองขา   เมื่อขาของท่านราบลงมาท่านก็สามารถขัดอีกขาหนึ่งขึ้นมาก็จะเป็นการขัดสมาธิสองขา

ศิษย์            เพราะอะไรจึงพูดว่าเด็กเลือดผสมน่าสงสาร  ชีวิตนี้เป็นคนจีน ชีวิตถัดไปอาจเป็นคนต่างชาติ  ชนิด กับจิต ของคนบนโลกมีกี่ชนิดชนชาติ 

อาจารย์   การกลับชาติมาเกิด เป็นจิตหลักที่กลับชาติมาเกิด  และที่มีเลือดผสมคือกายเนื้อ   เทพต่างกันก็สร้างคนที่ต่างกันของตนเอง  เทพเหล่านั้นในประวัติศาสตร์จะดูแลแต่คนที่ตนสร้างขึ้นมาตลอดมา   คนขาวก็คือคนขาว  คนดำก็คือคนดำ  คนผิวเหลืองก็คือคนผิวเหลือง  ชนชาติใดๆบนโลกกับบนสวรรค์ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สอดคล้องกัน   หลังจากเป็นเลือดผสมก็ไม่สอดคล้องกับเทพบนสวรรค์แล้ว  ฉะนั้นเทพใดๆที่สร้างคนขึ้นมา ก็อาจจะไม่ดูแลแล้ว  ฉะนั้นกล่าวสำหรับคนเหล่านี้แล้ว  จึงน่าสงสารมาก  บางคนถามว่าแล้วจะทำอย่างไรละ   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ท่านไม่ต้องกังวลใจ  ที่ข้าพเจ้าพูดนั้นคือสภาพการณ์ที่ชั้นผิวนอก  เพราะจิตหลักของคนไม่ได้ผสม  ดังนั้นถ้าคนอยากจะบำเพ็ญ ข้าพเจ้าก็สามารถให้ท่านบำเพ็ญ  หากท่านสามารถบำเพ็ญถึงก้าวสุดท้ายได้  ก็สามารถสำเร็จสมบูรณ์เหมือนกัน  ไม่มีการแบ่งแยก  ไม่มีปัญหาในการบำเพ็ญ

            ถ้าหากเป็นสภาพการณ์ชนิดนี้ของคนธรรมดาสามัญ    ก็จะมีชีวิตอยู่อย่างน่าสงสารมาก  เนื่องจากที่ๆ เป็นศูนย์รวมของสภาพการณ์ชนิดนี้(เผ่าพันธุ์เลือดผสม)  เทพข้างบนจะไม่ยอมรับ  คนในสถานที่นั้นโดยทั่วไปล้วนแต่ยากจนข้นแค้นมาก  มีชีวิตอย่างยากลำบากมาก

ศิษย์          เด็กจีนที่เรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศ  พวกเขาได้รับการสั่งสอนอบรมแบบตะวันตก  ในการบำเพ็ญพวกเขาใช้ภาษาต่างประเทศในการเข้าใจ “จ้วนฝ่าหลุน”  จะสามารถไปในโลกที่สอดคล้องกันของคนผิวเหลืองหรือไม่

อาจารย์    จิตหลักเป็นของที่ไหนก็ไปที่นั่น   ไม่ดูผิวนอกของร่างกายคน   หากบำเพ็ญสำเร็จแล้วล้วนสำเร็จสมบูรณ์เหมือนกัน  แต่ไม่อาจเข้าใจความหมายชั้นผิวของภาษาจีนได้ดี ความแตกต่าง ณ ชั้นผิวนี้แก้ไขไม่ได้  แต่ในการบำเพ็ญ  ความนัยที่เลยล้ำมนุษย์จะไม่ได้รับผลกระทบ

ศิษย์          สมองคนนั้นก้าวหน้ามาก  แต่ทำไมสัตว์สามารถควบคุมคนได้

อาจารย์    สมองคนไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย  คนเองที่คิดว่าก้าวหน้า  และคนเองยังรู้ว่าไม่ต่ำกว่าร้อยละเจ็ดสิบส่วนของสมองคน ไม่สามารถใช้งานได้  ที่จริงก็ถูกเทพปิดกั้นเอาไว้   ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอะไรก็ตาม  เมื่อเกิดหลิงชี่(เชาว์ปัญญา)แล้ว  ก็จะเลยล้ำจากระดับชั้นที่มันอยู่  ก็จะสามารถควบคุมชีวิตอื่นได้  แม้ว่ากฎสวรรค์ไม่ยินยอม  แต่ว่าคนทำเรื่องที่ไม่ดี สอดคล้องกับสิ่งเหล่านั้น   ก็เท่ากับเป็นสิ่งที่ตนเองแสวงหามา  มันจับกฎเกณฑ์เป็นประโยชน์  ดังนั้นมันจึงสามารถควบคุมคน

ศิษย์          จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังกง กับ ฝ่าได้อย่างไร  การยกระดับของฝ่าหลุนกงกับหลักธรรมนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกัน

อาจารย์    สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งแล้วใน “จ้วนฝ่าหลุน”  ปัญหานี้เมื่อพูดออกมาก็กว้างใหญ่มาก   จะพูดโดยสรุปสักหน่อย   นักทฤษฎีทางการเมืองถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า สสารเป็นสิ่งที่มีก่อน หรือว่าจิตเป็นสิ่งที่มีก่อน  เกิดการถกเถียงด้านภาวะจิตสำนึกชนิดนี้มาโดยตลอด  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  สสารกับจิตคือสิ่งเดียวกัน   พลังก็คือฝ่า  ฝ่าก็คือพลัง  จิตโดยตัวมันเองก็คือสสาร  การยกระดับซินซิ่งของผู้บำเพ็ญนั้น มีมาตรฐานอยู่  ที่ปรากฏออกมาเป็นไม้บรรทัด เมื่อ       ซินซิ่งขึ้นมาแล้ว พลังกงก็เพิ่มขึ้น   พลังกงนั้นก่อเกิดเป็นแกนพลังหนึ่งแกนบนกระหม่อมท่าน   รอบนอกของแกนพลังนั้นมีขีดระดับอยู่  นั่นก็คือระดับมาตรฐานสูงต่ำของซินซิ่ง    เมื่อซินซิ่งยกระดับไม้บรรทัดก็สูงขึ้น  เขาสูงขึ้น พลังกงก็สูงขึ้น  การผันแปรของพลังกงก็รวดเร็วมาก  ดูแค่ว่าซินซิ่งท่านสูงขึ้นหรือไม่  บำเพ็ญจิตขึ้นมาพลังกงก็สูงขึ้นมา  ดังนั้นซินซิ่งสูงเพียงใด พลังกงสูงก็เพียงนั้นจึง เป็นสัจธรรมที่แท้จริง  แนวทางไหนก็เป็นอย่างนี้   เพียงแต่ผู้ที่บำเพ็ญเต๋าเล็ก(ทางสายย่อย)นั้นไม่เข้าใจ

            ศาสนาทางตะวันตกไม่พูดถึงพลังกง   เมื่อตอนที่องค์ศากยมุนีถ่ายทอดธรรมก็ไม่พูดถึงพลังกง  มีแต่เต๋าที่พูดถึงพลังกง    เพราะว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดนั้นได้รวมสิ่งต่างๆทั้งหมดของ พระพุทธ เต๋า เทพ ไว้ข้างใน  เดิมทีเทพทั้งปวง  ธรรมทั้งปวงนั้นล้วนแต่อู้(รับรู้)ออกมาจากในแก่นแท้ของหลักธรรมแห่งจักรวาล  ในขณะที่บรรยายธรรม ข้าพเจ้าพยายามทำให้ท่านสามารถเข้าใจ  ศัพท์คำไหนที่สามารถทำให้ท่านเข้าใจ ข้าพเจ้าก็ใช้ศัพท์คำนั้น   บางคนพูดว่าศาสนาทางตะวันตกไม่ใช่การบำเพ็ญ   ศาสนาทางตะวันออกมีนั่งสมาธิจึงเป็นการบำเพ็ญ   ของทางตะวันตกไม่ใช่การบำเพ็ญหรือ  ศาสนาทางตะวันตกก็เป็นการบำเพ็ญ  พระเยซูพูดว่าท่านเชื่อฉันก็สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้  ความหมายคืออะไรละ   พระเยซูมักพูดแต่เพียงส่วนพื้นผิว  จากนั้นบอกคนให้ทำอย่างไร  ก็เหมือนกับวัฒนธรรมตะวันตก  เขาไม่พูดถึงความนัย  ท่านทำก็พอแล้ว   คนเดี๋ยวนี้เขาไม่รู้ว่า เชื่อ ที่พระเยซูพูดนั้นคืออะไร  พระเยซูบอกว่าเจ้าเชื่อข้าพเจ้า ก็สามารถเข้าสู่สวรรค์   ที่จริงเชื่อก็คือให้ทำตามที่พระเยซูบอก จึงจะเป็นการเชื่อที่แท้จริง   ไม่ทำตามที่พระเยซูบอก นั่นคือการเชื่อที่แท้จริงหรือ  คนไปโบสถ์ ก่อนกินข้าวคนก็พูดว่า “อาเมน”  แต่พอกลับสู่สังคมคนธรรมดาสามัญ  เขาเอาแต่ทำเรื่องเลว  นั่นเรียกว่าเชื่อพระเยซูหรือ   พระเยซูพูดเพียงประโยคเดียวหรือ  “เชื่อข้าฯ แล้วก็จะเข้าสู่สวรรค์ได้” ทำไมพระเยซูพูดถึงหลักการของการเป็นคนไว้มากมายเช่นนั้น  เมื่อทำตามที่พระองค์ตรัส ก็สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้  ใช่ความหมายนี้หรือไม่   “เชื่อ” เป็นคำศัพท์โดยรวมกว้างๆ  แต่ถ้าไม่บำเพ็ญตนเอง ไม่ยกระดับตนเองท่าน ก็เข้าสู่สวรรค์ได้หรือ  ถึงเวลาไปโบสถ์ท่านก็ไป ปากท่านท่องชื่อของเทพอยู่เป็นประจำ  ก็เป็นการเชื่อฟังเทพแล้วหรือ   ก็รอเข้าสู่สวรรค์แล้วหรือ  นั่นเป็นไปไม่ได้

              จุดประสงค์ของการสำนึกบาปคืออะไร  สำนึกบาปคือรู้ว่าตนเองผิดไปแล้ว ต้องทำให้ดียิ่งขึ้น  ไม่ใช่สำนึกบาปไป พลางก็ทำเรื่องชั่วไปพลาง  พูดว่าวันนี้ฆ่าคนแล้ว ท่านยกโทษให้ฉันเถอะ  พรุ่งนี้ท่านก็ฆ่าอีกหนึ่งคน  ท่านก็สำนึกบาป ร้องขอให้ยกโทษอีก  ใครจะยกโทษให้ท่านละ   ใช่เหตุผลนี้หรือไม่  ท่านสำนึกบาปที่ทำเรื่องชั่วไปแล้ว  จากนั้นไม่ทำอีกแล้ว ไม่ทำอีกแล้วจริงๆ  พบว่าตนเองมีจิตใจที่ไม่ดี  ในขณะสำนึกบาปท่านพูดกับพระเยซูว่า   พระเยซูคริสต์เจ้า  ช่วยลูกด้วย  ลูกมีความคิดที่ไม่ดี  เช่นนั้นในเวลาปกติท่านก็ทำให้ดีสักหน่อย  ท่านมิใช่กำลังยกระดับซินซิ่งของคนอยู่หรือ  นี่มิใช่กำลังบำเพ็ญตนเองหรือ   พระเยซูไม่พูดถึงพลังกง  เพราะการบำเพ็ญอยู่ที่ตัวเอง  พลังกงอยู่ที่อาจารย์  ข้าพเจ้าจะให้ร่างกายท่านก็บำเพ็ญสำเร็จด้วย  เปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่  ดังนั้นจึงเน้นเรื่องพลังกง  พระเยซูไม่พูดเรื่องพลังกงเพราะท่านไม่จำเป็นต้องรู้  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญจิตดวงนี้ของท่าน  พลังกงนั้นพระเยซูจะดูแลเอง  ดังนั้นพระเยซูจึงไม่พูดเรื่องพลังกง  การบำเพ็ญก็คือ การบำเพ็ญความคิดและพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนทิ้งไป  เมื่อเขตแดนยกระดับขึ้นมาแล้ว  ที่ฝั่งนั้นอาจารย์ก็จะแปรผันพลังกงให้ท่าน  ก็คือเหตุผลอย่างนี้

ศิษย์          องค์ศากยมุนีทรงได้ธรรมะเมื่อหมื่นร้อยล้านปีก่อน  แต่ชีวิตเมื่อก่อเกิดมิใช่ล้วนกลืนกลายเข้ากับ “เจิน ซั่น เหยิ่น” เช่นนั้นเหตุใดยังจะได้ธรรมะละ

อาจารย์         สรรพชีวิตบนสวรรค์มิใช่จะมีมรรคผลกันหมด  สรรพชีวิตบนสวรรค์มิใช่เป็นพระพุทธทั้งหมด  ชีวิตทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นโดยหลักธรรมใหญ่ของจักรวาล   เกิดขึ้นในจักรวาลซึ่งสร้างขึ้นโดยต้าฝ่า  แต่นี่ไม่ใช่แนวคิดเดียวกับการได้รับธรรมะ  การได้รับธรรมะหมายถึงการประจักษ์แจ้งในมรรคผลของตน  องค์ศากยมุนีคือพระพุทธ  เป็นพระพุทธองค์หนึ่งที่ดีมาก  แต่ที่ข้าพเจ้าตรงนี้ที่บำเพ็ญอยู่นั้นไม่ใช่คำสอนขององค์ศากยมุนี  ท่านยังไม่เข้าใจฝ่าชุดนี้อย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน “เจิน ซั่น เหยิ่น”เป็นหลักธรรมของทั้งจักรวาล  คือสิ่งที่สร้างมูลฐานของทั้งจักรวาล  และคือมูลฐานที่สร้างเทพดั้งเดิมที่สุดทั้งหมด กับเทพทั้งหมดในช่วงวิถีของจักรวาล  องค์ศากยมุนีก็อยู่ในนั้นด้วยแน่นอน  จักรวาลก็มีขั้นตอนของการเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  เสื่อมไป  ดับสูญ   องค์ศากยมุนีมิใช่เทพดั้งเดิมที่สุด  ชีวิตเชาว์ปัญญาทั้งหมดในจักรวาลล้วนจะเดินไปสู่การเสื่อมสูญ  สรรพชีวิตที่อยู่ใกล้ตรีภูมิ ลงมาสู่โลกเพื่อบำเพ็ญใหม่นั้น เป็นวิธีที่ทำให้ชีวิตในขอบเขตนี้บริสุทธิ์   หลักการที่องค์ศากยมุนีทรงแสดง  คือหลักธรรมของพระยูไล ที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งออกมาจาก “เจิน ซั่น เหยิ่น”  ในระดับชั้นนั้นที่พระองค์อยู่ บรรดาพระยูไลทั้งปวงล้วนไม่สามารถนำหลักธรรมที่แท้จริง หลักธรรมมูลฐานของจักรวาลออกมาบรรยาย เนื่องจากต้าฝ่ามูลฐานของจักรวาลนั้นเลยล้ำจักรวาลเลยล้ำชีวิตทั้งปวงในจักรวาล   เหล่าเทพเพียงแต่สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่ตนเองประจักษ์แจ้งได้ในระดับชั้นนั้นของเขา  นี่ก็คือแนวทางนั้นของเขา  เทพที่ต่างกันเพียงสามารถช่วยคนให้สำเร็จเป็นสรรพชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าเขา  แต่ต้าฝ่าเป็นเต๋าใหญ่มูลฐาน  บำเพ็ญได้เร็วที่สุด  เรียบง่ายที่สุด  ไม่มีพิถีพิถันมากมายอย่างนั้น  หลักธรรมก็คล้ายกับปิรามิด    ที่อยู่บริเวณขอบก็จะต่ำขนาดนี้  เทพในชั้นนั้นจะเข้าใจได้สูงแค่นั้น   ฉะนั้นผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือก็สำเร็จสมบูรณ์ได้เพียงในระดับชั้นนี้  พระยูไลที่สำเร็จสมบูรณ์อยู่ในระดับชั้นนี้ เขาก็ประจักษ์แจ้งได้มากเท่านั้น  ในขณะนำพาลูกศิษย์พวกเขาก็จะบรรยายสิ่งที่อยู่ในแนวทางนี้ของตนเอง  ธรรมที่พระพุทธแต่ละองค์รับรู้นั้น  ล้วนไม่เหมือนกัน  พระพุทธแต่ละองค์ล้วนเข้าใจหลักธรรมใหญ่มูลฐานของจักรวาล “เจิน ซั่น เหยิ่น”จากหลักธรรมของต้าฝ่า “เจิน ซั่น เหยิ่น”   จากการเสริมให้แข็งแกร่งโดยเทพ พระพุทธในระดับชั้นที่สูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง การบำเพ็ญที่ถูกต้อง  การรับรู้ที่ถูกต้อง  เขาเข้าใจได้มากเท่าไร  เขารู้ได้มากเท่าไร ก็จะก่อเกิดสิ่งที่เป็นการบำเพ็ญของเขาเอง    เขาก็กลืนกลายกับหลักธรรมชั้นนี้แล้ว

ศิษย์          ในขณะนั่งสมาธิ ทำไมศีรษะมักจะหันไปทางรูปภาพของอาจารย์

อาจารย์    คือด้านหนึ่งที่เข้าใจของท่าน กำลังมองข้าพเจ้า  บางครั้งฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะสะกิดเตือนพวกท่าน  เวลาที่สะกิดเตือนนั้นจะเลือกวิธีต่างๆกัน   หากท่านอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้ทำได้ดีหรือไม่ดี  ทำถูกต้องหรือไม่ ? ท่านก็ดูภาพถ่ายของข้าพเจ้าในหนังสือ หรือรูปถ่ายอื่นๆของข้าพเจ้า  ไม่ว่าตาทิพย์ของท่านเปิดหรือไม่  ถ้าท่านทำเรื่องอะไรผิดไปแล้ว  ข้าพเจ้าจะ(มีสีหน้า)เคร่งขรึมมาก  ถ้าท่านทำถูกแล้ว   ข้าพเจ้าจะยิ้มให้ท่าน (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ในขณะฟังอาจารย์บรรยายฝ่า  ผมรู้สึกว่าถูกต้องมาก  ดีมาก  บางทีรู้สึกว่าได้พูดเข้าไปในใจเลยทีเดียว  แต่หลังจากนั้นไม่นาน นึกถึงอะไรที่อาจารย์พูดไปแล้วนั้น  คล้ายกับว่าจำอะไรไม่ได้ทั้งหมดเลย จะทำอย่างไรดี

อาจารย์    ที่จริงผู้ที่ฟังข้าพเจ้าบรรยายธรรม ล้วนมีสภาพเช่นนี้  ข้าพเจ้าบรรยายธรรมมากมาย  ท่านย่อมจะไม่สามารถจดจำเขาได้ชัดเจนทั้งหมด   ไม่ต้องห่วง  แต่ละครั้งในเวลาที่ท่านประสบกับปัญหาในการบำเพ็ญ   ถ้าท่านสามารถปฏิบัติตน เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง  ท่านก็จะสามารถนึกถึงคำพูดของข้าพเจ้าได้   รับรองว่าจะเป็นเช่นนี้   แต่หากในเวลานั้นท่านโกรธจนมึนหัวมึนศีรษะไม่สุขุมเยือกเย็นก็จะคิดไม่ออก  และก็เป็นการบำเพ็ญได้ไม่หนักแน่น   แต่ในสถานการณ์ทั่วไปท่านจะนึกถึงฝ่าที่ข้าพเจ้าพูดได้  ถ้าคนไหนไม่สามารถบำเพ็ญ  เช่นนั้นเขาก็จะนึกฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายไม่ออกตลอดไป   ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าฝ่าชุดนี้ไม่ได้บรรยายให้กับคนธรรมดาสามัญฟัง  ทุกท่านนั่งอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นวาสนา  หาไม่แล้วท่านจะเดินเข้ามาไม่ได้

ศิษย์          ถ้าผมรับเลี้ยงสัตว์เล็กที่ถูกทอดทิ้ง จะเป็นการสร้างกรรมหรือไม่

อาจารย์    นี่ไม่เป็นการสร้างกรรม  กล่าวสำหรับคนธรรมดาสามัญคือ เป็นการทำเรื่องดี   แต่ในอดีตพุทธศาสนาพูดเรื่อง ไม่ฆ่า ไม่เลี้ยง   ไม่ฆ่า ไม่เลี้ยงนั้นมันมีเหตุผลอยู่ข้อหนึ่ง  “ไม่ฆ่า”ผู้บำเพ็ญต่างเข้าใจกันหมดแล้ว “ไม่เลี้ยง” ตรงนี้มีเหตุผลอยู่สองประการ หนึ่งคือเวลาบำเพ็ญสัตว์เหล่านี้จะได้รับหลิงชี่(ชี่เชาว์ปัญญา)ได้ง่าย  ถ้าหากได้รับหลิงชี่แล้ว  ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำเรื่องไม่ดีมากมาย   ในประเทศจีนมีคำพูดเก่าแก่เรียกว่า “กลายเป็นปีศาจ” สัตว์โดยตัวมันเองแล้วเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้บำเพ็ญ   อีกอย่างหนึ่งคือการเลี้ยงดูสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเป็นห่วงกังวลมาก  ใจวอกแวก คิดถึงมันก็จะยึดติดจึงกระทบต่อการบำเพ็ญ   แน่ละกล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว  การชอบสัตว์มากก็เป็นการยึดติดอย่างหนึ่ง

            ข้าพเจ้าขอเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ทุกท่านฟัง  ทุกท่านทราบว่าองค์ศากยมุนีทรงคัดค้านศาสนาพราหมณ์มากที่สุด  พระองค์ถือว่าเป็นศาสนานอกรีตไปแล้ว  มันเป็นปฏิปักษ์กับศาสนาพุทธนี้ขององค์ศากยมุนีมากที่สุด  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านที่องค์ศากยมุนีคัดค้านนั้นคือศาสนาพราหมณ์ไม่ใช่คัดค้านเทพในแนวทางของพราหมณ์   และเทพในยุคแรกเริ่มที่สุดของศาสนาพราหมณ์นั้นล้วนคือพระพุทธ  ที่เชื่อถือกันคือพระพุทธที่มีก่อนองค์ศากยมุนีนานมาก  แต่ว่าเนื่องด้วยเวลาเนิ่นนานมากแล้ว   คนได้ทอดทิ้งความศรัทธาต่อพระพุทธ  ทำศาสนานี้เป็นพวกนอกรีตไป   กระทั่งฆ่าสิ่งมีชีวิตมาประกอบพิธีเซ่นไหว้พระพุทธ  สุดท้ายเทพที่นับถือศรัทธานั้นก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ของพระพุทธ  เริ่มนับถือศรัทธาภูตผีปีศาจรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเหล่านั้น คนทำให้ศาสนากลายเป็นนอกรีตไป  ทุกท่านทราบว่า  หากพุทธศาสนาพัฒนาอย่างนี้ต่อไป ไม่ยอมรับองค์ศากยมุนีกันแล้ว  เช่นนั้นทุกท่านคิดดูหลังจากผ่านไปหลายๆปี  ผู้บำเพ็ญเวลานั้นหันกลับไปดู ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของศาสนานี้ มันเป็นสิ่งที่นอกรีตใช่หรือไม่  ก็เป็นแบบเดียวกัน  เป็นคนที่ทำให้ศาสนากลายเป็นนอกรีตไป  เทพไม่ใช่นอกรีตแน่นอน

            เป็นเวลานานมาแล้ว  ในประเทศอินเดียมีศิษย์ของพราหมณ์คนหนึ่งบำเพ็ญอยู่  และ บำเพ็ญได้ก้าวหน้ามาก  เขาบำเพ็ญตามลำพังในภูเขา   อยู่มาวันหนึ่ง มีพรานคนหนึ่งกำลังไล่ล่ากวางตัวหนึ่งทำให้กวางตัวนี้บาดเจ็บ   กวางตัวนี้จึงวิ่งเข้ามายังที่ๆเขาอยู่   เขาจึงเอากวางไปซ่อนไว้  คุ้มครองมันไว้   เขาอยู่ในภูเขาคนเดียวว้าเหว่มาก  จากนั้นจึงเลี้ยงกวางตัวนี้ไว้  คนหนา หากไม่ระวังจิตยึดติดก็ยึดติดอย่างรุนแรงมาก  จิตใจสงสารเวทนาชนิดนี้ของคนธรรมดาสามัญ  ใจคนที่ยึดติดในฉิง  ก็หลั่งไหลไปสู่กวางน้อยตัวนี้ทั้งหมด  ต่อมาเขาจึงยึดติดต่อกวางตัวนี้มากแล้ว  สุดท้ายกวางตัวนี้ได้กลายเป็นเพื่อนร่วมชีวิตที่สนิทที่สุดของเขาไปซะแล้ว   ผลก็คือ เขาได้ทุ่มเทกำลังวังชามากมายไปในกวางตัวนี้  เวลานั่งสมาธิเขาก็สงบความคิดลงมาไม่ได้  เฝ้าคิดแต่ว่าจะให้กวางกินอะไร   ปล่อยปละความก้าวหน้าของเขา

            ผ่านไปหลายปี   อยู่มาวันหนึ่งกวางตัวนี้ก็ตายไปอย่างกะทันหัน  เขาจึงทุกข์ระทมมาก  เขาคิดถึงกวางตัวนี้อยู่เสมอ  เขาก็ยิ่งไม่สามารถจะก้าวหน้าไปได้   ในเวลานี้อายุของเขาก็มากแล้ว  ท่านไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ ชีวิตคนก็ไม่อาจยืดยาวออกไปได้   เขาไม่สามารถบำเพ็ญได้แล้ว  ชีวิตของเขาจึงจบสิ้นลง  ณ เวลาที่ชีวิตเขาจบสิ้นลง  เขาไม่คิดถึงพุทธธรรมของเขา  เขายังคิดถึงกวางตัวนี้อยู่  ด้วยเหตุนี้หลังจากตายแล้วเขาจึงไปเกิดเป็นกวาง     ในขณะที่คนเผชิญกับความตาย หากยึดติดกับการคิดเรื่องอะไรอยู่ เขาก็อาจจะไปเกิดเป็นสิ่งนั้น  ดังนั้นในทันทีเขาจึงไปเกิดเป็นกวางตัวหนึ่ง  นี่ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก  ผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  บำเพ็ญได้ไม่เลวเลย  สุดท้ายถูกทำลายไปในบัดนั้น   ดีที่สุดผู้บำเพ็ญอย่าได้ยึดติดกับสัตว์

ศิษย์          รู้สึกร้อนใจที่ไม่อาจอดทนต่อผู้อื่นได้ จะทำอย่างไร

อาจารย์    ไม่สามารถอดทนได้ ท่านยังยกขึ้นมาถาม   ไม่สามารถอดทนได้ ก็ต้องอดทน  เมื่อเป็นผู้บำเพ็ญท่านก็ต้องเมตตา   เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ถ้าไม่สามารถรักศัตรูของท่านๆก็บำเพ็ญไม่สำเร็จ  ไม่สามารถเป็นพระพุทธ  ทุกท่านคิดดูเมื่อมีคนที่ไม่ดีกับท่าน ใช่ไหมว่าชาติก่อนท่านติดค้างเขาไว้  ท่านไม่ชดใช้คนเขาจะได้หรือ   ในเวลานั้นไม่แน่ว่าท่านอาจจะปฏิบัติต่อคนเขาเลวยิ่งกว่าที่เขาทำกับท่านในเวลานี้   ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างความเจ็บปวดให้กับคนมากกว่าในตอนนี้นัก  ในการบำเพ็ญ เวลามีความขัดแย้งขึ้นมา จะปรากฏออกมาคล้ายเรื่องบังเอิญมาก   ใครยั่วให้ท่านโกรธแล้ว  ในเวลานั้นท่านก็ยั่วให้คนเขาโมโหคล้ายกับบังเอิญมากเช่นกัน   ไหนเลยจะบอกท่านก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรได้ละ  อ้อ ชาติก่อนเธอยั่วให้ฉันโมโห  ชาตินี้ฉันก็จะยั่วให้เธอโมโหบ้าง  ไม่มีเรื่องชนิดนี้   เรื่องมากมายดูคล้ายกับบังเอิญ  ล้วนแต่ไม่ใช่บังเอิญ

            สมมติว่าก่อนหน้านี้ ท่านไม่เคยมีสถานการณ์เช่นนี้   ในฐานะผู้บำเพ็ญ เพื่อการยกระดับหากไม่สร้างสภาพแวดล้อมอย่างนี้ออกมาให้ท่านก็ไม่ได้     มันไม่ได้ถ้าท่านไม่มีเรื่องยุ่งยากอันนี้  ข้าพเจ้ายังจะใช้เรื่องยุ่งยากนี้ยกระดับซินซิ่งของท่าน   พร้อมกับการยกระดับซินซิ่ง พลังของท่านเองก็เพิ่มขึ้นด้วย   ซินซิ่งของท่านกำลังยกระดับ  ใครที่สร้างเรื่องยุ่งยากให้ท่าน เขาก็กำลังให้กุศลท่านไปพร้อมกัน  ในขณะที่ท่านเจ็บปวด กรรมของท่านยังแปรผันเป็นกุศลด้วย   ท่านได้ทีเดียวสี่ต่อ  ท่านควรขอบคุณคนเขาจึงจะถูก    ท่านกลับยังเกลียดคนเขา  ไม่อาจอดทนต่อคนเขา  นั่นก็ไม่ถูกต้องแล้ว  บางคนก็คิดว่า   อาจารย์บอกให้ฉันอดทน       ฉันจึงข่มเอาไว้   นานเข้าท่านก็จะพูดว่าอาจารย์ ฉันข่มเอาไว้จนจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ  ข้าพเจ้าว่านั่นไม่ใช่ความอดทน(เหยิ่น)  ผู้บำเพ็ญที่แท้จริง โดยมูลฐานจะไม่เกิดความโกรธเลย   เรื่องใหญ่อย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ใยต้องข่มเอาไว้จนทนไม่ไหว    นี่จึงจะเป็นผู้บำเพ็ญ     ยังมีคนอดทนเพราะกลัวเสียหน้า  นี่ล้วนมิใช่ความอดทนที่แท้จริง  แต่ในเมื่อได้บำเพ็ญแล้ว ณ ขณะนี้หากท่านยังบรรลุไม่ถึง ท่านก็ยังต้องข่มเอาไว้สักหน่อยจริงๆ       

ศิษย์          อาจารย์ใหญ่ชี่กงหลายๆ  คนล้วนเป็นอาจารย์วัยหนุ่มสาว  มีอาจารย์ของหลายๆ สำนักที่ถ่ายทอดพลัง

อาจารย์     มีหลายๆ คนที่ถ่ายทอดพลังนั้น  เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์สวรรค์  และมีจุดประสงค์   แต่ข้าพเจ้าก็ขอบอกทุกท่าน  มีอาจารย์ชี่กงหลายคนที่อุปโลกน์ตัวเอง  ที่จริงเขาไม่ใช่อาจารย์ชี่กง  เขาเป็นของปลอม  หลายๆคนถูกชักนำจากการมีฟู่ถี่สัตว์(ร่างสิงที่เป็นสัตว์)อยู่และมีสิ่งเลอะเทอะอื่นๆอยู่   เต๋าเล็กในโลกก็มีอาจารย์มากมายกำลังถ่ายทอดอยู่  สิ่งที่พูดคือหลักการในชั้นนั้น  นอกจากนี้ก็เป็นผู้ที่บำเพ็ญอยู่ในภูเขา  ในจำนวนที่ข้าพเจ้าสัมผัสด้วย บางคนบำเพ็ญมาสี่พันกว่าปีแล้ว  ทำไมเขาต้องบำเพ็ญกันนานขนาดนี้ละ   ไม่ใช่ว่าระดับชั้นของเขาไม่สูงพอจึงขึ้นสวรรค์ไม่ได้  พวกเขาบางคนเลยล้ำตรีภูมิไปไกลมากแล้ว  แต่ว่าเขาขึ้นไปไม่ได้  เพราะไม่อนุญาตให้เขาขึ้นไป  ไม่มีโลกที่จะรับพวกเขา  ทำไมเขาสามารถมีพลังเพิ่มขึ้นได้ละ  นี่ก็กำหนดโดยหลักธรรมในชั้นนี้   แต่เต๋าเล็กในโลกเหล่านั้นไม่เหมือนกัน  บ้างก็สร้างขึ้นมาโดยการกระทำของมนุษย์  พอเริ่มต้นก็บำเพ็ญโดยยึดแนวทางหนึ่ง  หรือบำเพ็ญอยู่ในสายเต๋า  หรือหรือบำเพ็ญอยู่ในสายพุทธ  บำเพ็ญไปมาเขารู้สึกว่าไม่เลว  คนอื่นไปหาเขา บอกว่า: ท่านมาบำเพ็ญอันนี้เถอะ  เขาก็ไปเรียนอันนั้น   เช่นนั้นพลังของเขาก็ผสมปนเปแล้ว  เดิมทีข้างบนมีอาจารย์คอยดูแล  อาจารย์ที่ข้างบนเห็นว่ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว  ก็ไม่ต้องการแล้ว  ข้างบนไม่รับแล้ว  เขาก็ไม่สามารถออกนอกตรีภูมิ  พวกที่อยู่นอกตรีภูมินั้นไม่อนุญาตให้เข้ามาในตรีภูมิ  พวกที่อยู่ในตรีภูมิก็ไม่อนุญาตให้ออกนอกตรีภูมิ   ต่อให้ท่านบำเพ็ญได้สูงแค่ไหน เมื่อไม่มีข้างบนมารับก็ออกไปไม่ได้  เพราะว่าเขาบำเพ็ญปะปนกัน  พลังของเขาก็สับสนปนเปเสียแล้ว  ดังนั้นเขาจึงอยู่ในตรีภูมิ  นี่ก็คือมูลเหตุหนึ่งที่การบำเพ็ญเต๋าเล็กในโลกไม่สามารถได้เจิ้งกั่ว(มรรคผลที่ถูกต้อง)  ดังนั้นข้าพเจ้าบอกว่าไม่ให้ยึดสองแนวทาง  จึงเป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก 

             บางคนได้อ่านหนังสือแล้ว บอกว่า  อาจารย์ ท่านไม่มีอาจารย์สายเต๋า  อาจารย์สายพุทธถ่ายทอดให้ท่านหรือ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   เรื่องที่ข้าพเจ้าทำนั้นไม่เหมือนกัน  ข้าพเจ้านั้นบรรยายฝ่าของจักรวาล  ข้าพเจ้าไม่ใช่พูดแต่หลักธรรมของสายพุทธ  และก็ไม่ได้พูดหลักธรรมของสายเต๋า  และไม่ใช่พูดแนวทางไหนโดยเฉพาะเจาะจง  ข้าพเจ้ากำลังถ่ายทอดหลักธรรมมูลฐานของจักรวาล  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเรียกอีกครั้งว่าต้าฝ่า   ต้าฝ่า  นี่คือหลักธรรมมูลฐานของจักรวาล   แนวทางทั้งปวงในจักรวาล ล้วนรวมอยู่ข้างในแล้ว  ข้าพเจ้าก็ขอบอกทุกท่านว่า  อาจารย์หลายคนในชาตินี้ของข้าพเจ้า มี ทั้งพระพุทธ เต๋า เทพ ล้วนเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเคยถ่ายทอด(ฝ่า)ให้พวกเขาเมื่อหลายภพชาติก่อน   จุดประสงค์คือ  จัดวางให้พวกเขาถ่ายทอดกลับคืนให้ข้าพเจ้าในช่วงเวลานี้ ที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดต้าฝ่า  เปิดความทรงจำของข้าพเจ้า  จากนั้นก็ถ่ายทอดให้พวกท่าน  (เสียงปรบมือ)  เรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นในสังคมคนธรรมดาสามัญล้วนไม่อาจเป็นความบังเอิญ   เรื่องการถ่ายทอดต้าฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  ในอนาคตคนที่มาเรียนจะยิ่งมาก  ดังนั้นองค์ประกอบไม่ถูกต้องนานาชนิดที่รบกวนอยู่ในจักรวาล และสิ่งเหล่านี้ในตรีภูมิ ที่รบกวนการถ่ายทอดต้าฝ่า   สิ่งที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ สัตว์ที่ได้หลิงชี่(ชี่เชาว์ปัญญา) วิญญาณชั้นต่ำที่สร้างความวิบัติวุ่นวายอยู่นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ศิษย์          พวกเราอยู่ในระดับชั้นนี้ไม่มีทางแยกแยะอาจารย์ชี่กงจริงหรือปลอม  ต่อไปจะปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างไร 

อาจารย์   เวลานี้ท่านคิดจะแยกแยะอาจารย์ชี่กงจริงหรือปลอม มีจุดประสงค์อะไรหรือ  ในเวลานี้ท่านยังคิดจะไปร่วมฟังการบรรยายของอาจารย์ชี่กงอื่นอยู่หรือ  หาไม่แล้วจะแยกแยะเขาเพื่ออะไรละ  (เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าคิดว่าบางคนอาจไม่เคยไปร่วมฟังการบรรยายชี่กง  พอได้ยินสิ่งที่อาจารย์หลี่บรรยาย  ที่แท้การบำเพ็ญนี้ช่างกว้างไกลและลึกซึ้งจัง   โอ้  เช่นนั้นฉันไปฟังอาจารย์ชี่กงอื่นดู  เพิ่มพูนความรู้อีกหน่อย  คนที่คิดอย่างนี้ผิดแล้ว  สิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายคือต้าฝ่า   ท่านไม่อาจจะได้ฟังสิ่งเหล่านี้จากที่อื่น   การไม่ยึดสองแนวทางเป็นปัญหาที่เข้มงวดจริงจังมาก

            อีกอย่างท่านจะถือสิ่งเหล่านี้เป็นวิชาความรู้ หรือท่านคิดจะไปร่วมกับแนวทางอื่น  บางทีฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยาย  แม้แต่ประโยคเดียวท่านก็นึกไม่ออก   เพราะการบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง  อาจารย์ชี่กงจริงหรือปลอมนั้นท่านไม่มีทางแยกแยะได้  การแสดงของพวกเขาคือการหลอกเอาเงิน   โดยเปลือกนอกบางคนก็พูดเรื่องความดีงาม  แต่โดยแก่นแท้กลับทำเพื่อเงิน  ดังนั้นนี่จึงยากจะแยกแยะ

ศิษย์          บางคนมีความสนใจต้าฝ่า  แต่ไม่สามารถตัดสินใจว่าจะบำเพ็ญหรือไม่  และไม่อาจปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญ  เช่นนั้นผู้ช่วยสอนของเรายังควรช่วยเขาไหม ?

อาจารย์   ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ฝึกบางคน ยังคงมีขั้นตอนของการรับรู้   คิดจะให้ผู้ที่เพิ่งเข้าประตูมามีเขตแดนระดับสูงอย่างผู้ฝึกเก่านั้น เขายังบรรลุไม่ถึง   ให้เขามีขั้นตอนหนึ่งของการรับรู้เถอะ  เขาอยากจะมาฝึกเขาก็ฝึก  เขาอยากจะฝึกท่านก็สอนเขา อย่างช้าๆเมื่อเขารู้สึกว่าดี ท่านก็ให้เขายืม “ฝ่าหลุนกง”ไปอ่านดู  หรือบอกเขาไปซื้อหนังสืออ่านเล่มหนึ่ง  เช่นนี้เมื่อเขารู้สึกว่าดีมาก  ความรับรู้ของเขาสูงขึ้นมาแล้ว  เช่นนั้นท่านค่อยให้เขาอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”  เขาเองก็จะรับรู้ได้จากตื้นสู่ลึก   ถ้าท่านตั้งข้อกำหนดกับเขาว่า  ฝึกพลังของพวกเราท่านก็กินยาไม่ได้  ทันทีที่ฝึกพลังของพวกเราก็ไม่อาจจะเชื่ออย่างอื่น   ทันทีที่ฝึกพลังของพวกเราก็ต้องทำได้ถึงขั้นนั้นขั้นนี้  ท่านก็ทำให้เขาตกใจหนีไปในทันที  ท่านบอกให้เขาลองฝึกดู  เขารู้สึกว่าดี เขาก็จะรู้เองว่าจะทำอย่างไร

            การช่วยเหลือคนนั้นยากมาก  หากเป็นช่วงเวลานานแล้วเขายังไม่สามารถบำเพ็ญแนวทางเดียวได้  หรือเพียงแต่ฝึกท่าไม่อ่านหนังสือ  เช่นนั้นท่านก็แนะนำให้เขาไปฝึกพลังอย่างอื่นเสีย   หาไม่แล้วจะเกิดปัญหาได้  และไม่ดีต่อเขาด้วย  เขาอยู่ในนี้ก็จะส่งผลที่ไม่ดี  เขาอยู่ที่นี่ไม่มุ่งมั่นบำเพ็ญ ฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็จะไม่ดูแลเขา   เช่นนั้นเขาก็คือคนธรรมดาสามัญ    คนธรรมดาสามัญพอถึงเวลาก็จะต้องเจ็บป่วย  ไม่แน่ว่ามารที่สร้างความวุ่นวายให้ฝ่า  ก็จะหลอกใช้เขาทำเรื่องขึ้นมา  ผิดปรกติไปในทันที  คนธรรมดาสามัญไม่รู้ว่าการบำเพ็ญต้องยึดแนวทางเดียว  พอเกิดปัญหาขึ้นก็จะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับพวกเรา  เขาไม่สามารถบำเพ็ญหนึ่งเดียว ไม่สามารถศึกษาฝ่า ก็แนะนำให้เขาออกไปเสีย  หรือบอกคนในครอบครัวเขา  ให้แนะนำเขาว่าอย่าฝึกอีกเลย

ศิษย์          เมื่อก่อนผมสอนวิทยายุทธ์ในโรงเรียน เป็นครูสอนวิทยายุทธ์  เดี๋ยวนี้เรียนฝ่าหลุนต้าฝ่า   ไม่ฝึกมวยไท่จี๋อีกแล้ว  แต่สามารถสอนนักเรียนได้หรือไม่

อาจารย์         ได้  แต่อะไรที่มีองค์ประกอบของการบำเพ็ญ  รวมทั้งมวยไท่จี๋  ล้วนเกี่ยวโยงถึงปัญหาการบำเพ็ญ  ถ้าท่านอาศัยงานนี้ยังชีพ  ท่านสามารถทำได้  ท่านบอกว่าฉันสอนมวยไท่จี๋อยู่ในโรงเรียน  ท่านสามารถไปสอนได้   สำหรับสภาพการณ์ที่พิเศษข้าพเจ้าก็จัดการให้เป็นพิเศษ  ถ้าหากไม่ใช่สภาพการณ์เช่นนี้ ก็ต้องบำเพ็ญหนึ่งเดียว  แต่ข้าพเจ้าคิดว่า  ท่านสอนฝ่าหลุนต้าฝ่าให้เขาไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ?(เสียงปรบมือ) ในประเทศจีนบางโรงเรียน  อาจารย์ก็สอนฝ่าหลุนต้าฝ่าในชั่วโมงพละ  ฝึกเสร็จก็นั่งตรงนั้นอ่านหนังสือให้นักเรียนฟัง  นักเรียนพูดเองว่า พวกเราเข้าเรียนแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความสงบอย่างนี้มาก่อนเลย

ศิษย์          ฝ่าหลุนนั้น นอกจากมองเห็นแล้วยังได้ยินด้วยไหม?

อาจารย์   ฝึกฝ่าหลุนกง ความสามารถพิเศษอะไรล้วนสามารถจะออกมา  บางคน พอหูเปิดทะลวงก็สามารถจะได้ยินเสียงของอีกมิติ

ศิษย์          ผู้ฝึกต้าฝ่าสามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ไหม

อาจารย์    ได้  ในการบำเพ็ญข้าพเจ้าก็เหลือสิ่งที่ตัวท่านเองสามารถบำเพ็ญให้กับพวกท่าน  สร้างความมั่นใจให้พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้  สามารถบำเพ็ญโดนสอดคล้องกับสภาพของรูปแบบการใช้ชีวิตของคนธรรมดาสามัญ  และหวังว่าผู้ที่ยังไม่แต่งงานล้วนจะสามารถหาคู่ครองที่ดีเป็นที่ชอบพอได้สักคน  สร้างครอบครัวหนึ่งขึ้นมา  ในอนาคตไม่แน่ว่าจะบำเพ็ญด้วยกันทั้งคู่   นั่นท่านก็ช่วยเหลือเขาได้แล้ว   แต่อย่าถือสิ่งนี้เป็นมาตรฐาน   เขาไม่ฝึกฉันก็ไม่แต่งงานกับเขา     ก็ต้องบำเพ็ญให้สอดคล้องกับสภาพของคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์          เมื่อครู่อาจารย์พูดถึง เรื่องการขยันทำการงาน  ผมขยันทำงานมาก  แต่นายจ้างอาศัยผมไปกดดันเพื่อนร่วมงาน ผมลำบากใจมาก

อาจารย์         นายจ้างทำยังไงล้วนไม่เกี่ยวข้องกับท่าน   ถ้านายจ้างสั่งให้ท่านไปกดดันคนอื่น  ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องนี้แก้ไขง่าย   ท่านสามารถมีไหวพริบสักหน่อย สื่อความหมายของท่านให้ชัดเจน  ในฐานะผู้บำเพ็ญเราไม่ทำร้ายผู้อื่น   แต่ความรับผิดชอบของท่านก็เป็นอย่างนี้  เช่นนั้นท่านก็ทำไป ไม่มีปัญหา  แต่วิธีจัดการปัญหาอย่างมีเมตตา  เพื่อให้บริษัทไม่เสียหาย  ถ้าหากชอบด้วยเหตุผล  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านก็ควรไปทำ  อย่างไรเสียเรื่องรูปธรรมเหล่านี้  ข้าพเจ้าขอบอก  ท่านล้วนสามารถทำให้ดีได้  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  คือไม่อาจจะล้ำเส้นหลักการของผู้ฝึกพลัง โดยเด็ดขาด  ไม่อาจทำเรื่องไม่ดี

ศิษย์          พวกเราในอเมริกามีหลายเรื่องที่สามารถร้องขอความเป็นธรรม แต่พอคิดถึง เจิน    ซั่น เหยิ่น เราไม่ฟ้องร้องทางกฎหมาย ถูกต้องหรือไม่ ?

อาจารย์   อย่าร้องเรียกตำรวจด้วยเรื่องเล็กน้อย  มีความขัดแย้งบางอย่างอาจจะมุ่งตรงต่อการบำเพ็ญของท่าน การชดใช้กรรม  ยกระดับและองค์ประกอบอื่นๆ เป็นต้น  ดังนั้นเมื่อปรากฏความยุ่งยาก  ขอเพียงมันไม่คุกคามต่อท่านอย่างร้ายแรงมาก  มันทำร้ายท่านไม่ได้  ข้าพเจ้าคิดว่า ล้วนไม่ใช่บังเอิญ  ถ้ามีคนมาฆ่าท่านจริงๆ  เผาบ้านท่าน  ทำร้ายท่าน เป็นเรื่องใหญ่มาก  ท่านก็แจ้งตำรวจ  ท่านก็สามารถฟ้องร้องทางกฎหมาย   ถ้าไม่ใช่เช่นนี้  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านก็อย่าทำเช่นนี้

            ในฐานะผู้บำเพ็ญ  ในการบำเพ็ญของแต่ละคน  ในขั้นตอนการยกระดับความรับรู้ของแต่ละคน  เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน   ข้าพเจ้าจะไม่ให้ได้พานพบ   เนื่องจากเส้นทางการบำเพ็ญส่วนบุคคลของท่าน การยกระดับหลังจากนี้  เป็นการจัดวางด้วยสติปัญญาอย่างเต็มกำลังของข้าพเจ้า  ไม่จัดวางเรื่องที่ไม่จำเป็นให้กับท่าน (เสียงปรบมือ) กฎหมายจะเพียบพร้อมและสมบูรณ์เพียงใดก็ไม่อาจควบคุมใจคนได้  เวลาไม่เห็น คนก็ยังจะทำเรื่องไม่ดี   กฎหมายบัญญัติขึ้นมามากแล้วยิ่งเป็นผลเสียต่อคน  มากเสียจนคนก็จำไม่ไหว  บางทีไม่ว่าคนจะทำอะไรล้วนแต่กำลังฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว  ผู้บัญญัติกฎหมายนั้นต้องการใช้กฎหมายควบคุมผู้อื่น  ที่จริงพอบัญญัติขึ้นมาแล้ว  กฎหมายก็ควบคุมผู้บัญญัติกฎหมายเองด้วย  คนกำลังแบกรับทุกสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อตัวเอง   ยิ่งกฎหมายเข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ  ควบคุมคนยิ่งเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ  ในอนาคตการควบคุมคนจะเหมือนกับการควบคุมสัตว์  คนอาจจะไม่ยินดีที่เป็นเช่นนี้  แต่ว่านี่ล้วนเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นมาเอง  ตนเองต้องแบกรับ   คนในปัจจุบันล้วนกำลังแบกรับทุกสิ่งที่ตัวสร้างขึ้นเพื่อตัวเอง  และทุกสิ่งนี้ล้วนแต่กำลังปิดล้อมมนุษย์เอาไว้

            เทพไม่ยอมรับกฎหมายของคน  เทพถือว่าคือมาตรการอย่างหนึ่งที่เลือกกันขึ้นมาหลังจากคนเสื่อมถอยไปแล้วไม่มีวิธีการใดที่จะใช้ได้อีก   เทพยอมรับแต่หลักธรรมด้านจิตใจ  ยอมรับแต่ศีลธรรม  เมื่อมีศีลธรรมอยู่  ถึงจะไม่มีกฎหมายคนก็จะไม่ทำเรื่องไม่ดี  ใช่หรือไม่

ศิษย์          พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร

อาจารย์    ชนชาติที่ต่างกันนั้นสร้างขึ้นโดยเทพที่ต่างกัน  กล่าวสำหรับคน  เทพที่สร้างพวกเขาก็คือพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา  นี่หมายถึงร่างกายคน  ที่จริงจิตหลักของคนก็มีที่มา

ศิษย์          การบำเพ็ญฝ่าหลุนกงในอเมริกา กับ การบำเพ็ญในจีนแผ่นดินใหญ่ มีอะไรต่างกัน

อาจารย์   ไม่ต่างกัน  ในประเทศตะวันตก กับคนผิวเหลืองทางตะวันออกนี้ จริงๆแล้ว มีระบบที่แตกต่างกันในแต่ละมิติของตน  และสอดคล้องกับระบบที่ต่างกันในมิติที่ใหญ่กว่าของจักรวาล  ระบบมิติที่ต่างกันเหล่านี้ ล้วนมีองค์ประกอบของสสารซึ่งประกอบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับมิติของตน  คนตะวันออกก็มีองค์ประกอบของสสารที่ประกอบขึ้นเป็นพิเศษของเขา มีหลายๆคนมาถึงอเมริกา  นอกจากเวลาที่ต่างกันแล้ว ยังมีขั้นตอนการปรับตัว  มักจะรู้สึกว่ามีสิ่งต่างๆ ทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกที่ตัวเองไม่คุ้นเคย   ก็เพราะองค์ประกอบของสสาร ไม่เหมือนกัน  สภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิตไม่เหมือนกัน  ในอดีตคนพูดกันว่า  ดินและน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งเลี้ยงคนพื้นที่นั้น   เป็นเช่นนี้   เพราะองค์ประกอบเหล่านี้ กล่าวสำหรับคนธรรมดาสามัญนั้นสำคัญมาก  ความนัยของวัฒนธรรมของคนตะวันออก กับของคนตะวันตกก็ไม่เหมือนกัน  อาทิเช่น คนจีนเน้นการคำนวณกับการออกเสียง  อย่างเช่น ปา(แปด)กับฟา(ฟาไฉ ร่ำรวย)  สื่อ(ตาย)กับซื่อ(สี่)    ชอบพูดการออกเสียงที่ดี  ไม่ชอบพูดการออกเสียงที่ไม่ดี   ฉะนั้นในสภาพแวดล้อมทางวัตถุของทางตะวันออก ก็มีองค์ประกอบของสสารอย่างนี้จริงๆ  สามารถบังเกิดผลเล็กน้อยต่อคนธรรมดาสามัญ  แต่ในทางตะวันตกไม่มี  แต่มันมีองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมทางวัตถุนี้ของมัน  อย่างเช่นว่าคนตะวันออกพูดถึงทิศทางภูมิศาสตร์ในวิชาเฟิงสุ่ย   แต่สำหรับชาวตะวันตกใช้ไม่ได้ผล  รับรองว่าไม่ได้ผล  ท่านที่ดูเฟิงสุ่ย ท่านดูให้กับคนอเมริกันผิวขาว คนผิวดำ หรือดูให้คนชนชาติอื่น  จะไม่ได้ผลจริงๆ  คนตะวันตกนั้นถือเลข “13”นี้มาก หรือนักษัตรที่พวกเขาพูดถึงนั้น  กล่าวสำหรับคนที่มาจากทางตะวันออก  ก็ไม่ใช่เรื่องเช่นนั้นเลย  และก็ใช้ไม่ได้ผล  ดังนั้นเลข “13”สำหรับชาวตะวันออกก็ไม่มีความหมายโดยแก่นแท้ สภาพแวดล้อมของมิตินั้นมีส่วนประกอบที่ประกอบขึ้นเป็นสสาร/วัตถุของมัน ไม่ใช่เรื่องพื้นๆอย่างนั้น อะไรก็ตามที่ไม่มีสภาพแวดล้อม ทางสสาร/วัตถุซึ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นรากฐานอย่างนั้น  ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้

ศิษย์          จะแยกให้ชัดได้อย่างไรระหว่าง การรบกวนกับทุกข์ภัยที่อาจารย์จัดวางให้

อาจารย์    ท่านไม่อาจเรียกสิ่งที่ข้าพเจ้าจัดวางไว้ให้ว่าทุกข์ภัย  ที่จริงข้าพเจ้าไม่ได้สร้างอะไรให้ท่าน  ข้าพเจ้าใช้สิ่งที่มีอยู่เดิมแล้วของท่านมาจัดวาง  สลายกรรมส่วนหนึ่งที่มีอยู่แต่เดิมของท่านไป   คงเหลือเพียงส่วนที่เล็กน้อยนั้นเป็นด่านให้ท่านข้าม เพื่อยกระดับซินซิ่ง  จัดวางไว้ที่ตำแหน่งหนึ่งที่เหมาะสมในขั้นตอนการบำเพ็ญของท่าน  ใช้ในการข้ามด่านเมื่อ ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับ  ดังนั้นเมื่อพวกท่านพบกับเรื่องยุ่งยาก จึงควรที่จะรับรู้อย่างถูกต้อง  นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าจัดวางไว้ให้ท่าน  เพียงสามารถเป็นเหมือนกับผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ก็จะสามารถข้ามไปได้

ศิษย์          จะทราบได้อย่างไรว่า เป็นเรื่องที่ให้พวกเราทำหรือ ไม่ให้พวกเราทำ

อาจารย์    เพียงท่านศึกษาฝ่า  เรื่องไหนควรทำ  เรื่องไหนไม่ควรทำ  ล้วนสามารถแยกแยะได้เอง  ข้าพเจ้าคิดว่าบางเรื่องที่จะมีอันตรายหรือเป็นเรื่องที่ไม่ดี  ซึ่งท่านไม่ควรทำแต่ท่านจะทำให้ได้  อาจจะทำไม่สำเร็จอยู่เรื่อย  เมื่อท่านจะฝืนทำ ก็จะพบกับความยุ่งยาก  เรื่องเหล่านี้ท่านสามารถแยกแยะออกมาได้  รับรู้ด้วยตัวเอง  ถ้าบอกให้ท่านหมด แล้วจะบำเพ็ญได้อย่างไร

            จะเล่าเรื่องขำขันในการบำเพ็ญเรื่องหนึ่ง  ในประเทศจีนมีผู้ฝึกคนหนึ่งเป็นช่างไฟฟ้า  มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาทำงานขณะกระแสไฟฟ้ายังวิ่งอยู่  ซ่อมหม้อแปลงไฟ   แรงดันไฟฟ้าของหม้อแปลงไฟ  สูงสามหมื่นโวลท์ ถ้าคนแตะถูก ร่างกายก็จะโดนดูดทันที   ในเวลาเดียวกันคนก็จะถูกไหม้เกรียม  เขาจะไปอีกด้านหนึ่งของหม้อแปลงไฟเพื่อไขสกรู    ตอนนั้นมองดูก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรมาขวางเขา แต่เขาก็ก้าวออกไปไม่ได้  ก็คือเป็นการเตือนเขา  ไม่ให้เขาข้ามไป จะมีอันตราย แต่ขณะนั้นเขาจะข้ามไปให้ได้   เพราะว่าทำงานขณะกระแสไฟยังวิ่งอยู่  ผลคือพอเขาข้ามไปแตะถูกสกรูตัวนั้น  “ปัง” ไฟฟ้าก็ดูดเขาทันที  ดังนั้นบางครั้งสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือมีเรื่องยุ่งยากอันตราย ก็จะสะกิดเตือนพวกท่าน  ถ้าเป็นคนทั่วไปตอนนั้นก็จะถูกเผาไหม้เกรียมเป็นก้อน   เนื่องจากเขาบำเพ็ญต้าฝ่า  ดังนั้นจึงไม่เกิดอันตรายต่อชีวิตในเวลานั้น  เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนระเบิดไปแล้ว  เสียงดัง “เปรี้ยง” ไปทั้งตัว  ทันใดนั้นเขาก็สงบใจลงได้  คนอื่นๆพากันตกใจกลัว  คนอื่นมองเห็นเขาในชั่วขณะนั้น ทั้งตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่   เสียงดัง “ตูม”   กระแสไฟพุ่งเข้ามือของเขา  แล้วพุ่งออกจากใต้ฝ่าเท้าทะลุเป็นรูใหญ่   ในขณะนั้นเขาคิดว่าฉันเป็นผู้ฝึกพลังต้องไม่เป็นอะไร  เขาก็ไม่หวาดกลัว  เคลื่อนไหวได้โดยสะดวก  คล้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น  สุดท้ายหัวหน้าหน่วยงานไฟฟ้าคนนั้นของเขาก็มาแล้ว  รบเร้าให้เขาไปตรวจที่โรงพยาบาลให้ได้   หมดปัญญา  ได้แต่ไปตรวจที่โรงพยาบาลแต่โดยดี  หมอก็ตกใจมาก   แปลกจัง  แรงดันไฟฟ้าสูงอย่างนี้  โดยทั่วไปก็ถูกดูดไหม้เกรียมไปแล้ว  คนก็ต้องตายไปตั้งนานแล้ว ไฟฟ้าวิ่งจากด้านบนตัวเขาผ่านไปใต้ฝ่าเท้าทะลุเป็นรูทำไมเขาไม่ตายละ ?  ไม่มีเลือดออกอีกด้วย  ข้างในไหม้เกรียมหมด  หมอใหญ่รู้สึกประหลาดใจมาก

            เนื่องจากภายในร่างกายของผู้ฝึกต้าฝ่า  ถูกสสารพลังงานสูงกลืนกลายแล้ว  เปรียบไปแล้วกระแสไฟฟ้าของคนธรรมดาสามัญกลับนับเป็นอะไรไม่ได้  แต่ผิวชั้นนอกสุดของเขายังบำเพ็ญไม่สำเร็จทั้งหมด  ดังนั้นชั้นนี้จึงทะลุ  เพียงแต่ทะลุชั้นนี้  แต่ทั่วทั้งร่างไม่บาดเจ็บ   เรื่องที่ข้าพเจ้า เล่าออกมา เพื่อบอกทุกท่าน   คนที่ฝึกต้าฝ่าจะพบกับเรื่องน่าตกใจ แต่ไม่เป็นอันตราย  แต่หากใครเกิดจิตยึดติดเพราะเหตุนี้  มีเจตนาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ  นั่นก็จะมีอันตรายจริงๆ

ศิษย์          เหตุใดจึงจัดวางให้พวกเรามาบำเพ็ญที่อเมริกา

อาจารย์    วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของอเมริกาก้าวหน้ามาก   ยึดกุมสิ่งเหล่านี้ไว้อาจจะมีความจำเป็นในอนาคต  ผู้ที่มาอเมริกาล้วนแต่เป็นหัวกะทิของตะวันออก (เสียงปรบมือ)

ศิษย์          ขัดขานั่งสมาธิ จะต้องเข้าสู่ความสงบหรือไม่

อาจารย์   ถ้าท่านเพียงแต่จะฝึกขัดขาเท่านั้นก็ทำได้  บางคนบอกว่าก็ขาฉันไม่ดี  ฉันต้องฝึกมากๆหน่อย  เช่นนั้นข้าพเจ้าว่าท่านไม่นั่งสมาธิ  ในขณะฝึกขัดขาอยู่ก็เข้าสู่ความสงบมิยิ่งดีหรือ เพียงฝึกขัดขาไม่เป็นไร  เวลาฝึกพลังต้องเข้าสู่ความสงบ

ศิษย์          เวลาที่อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”  นั่งขัดขาด้วยจะมีส่วนช่วยได้ไหม

อาจารย์         มีส่วนช่วย  ขณะอ่านหนังสือขัดขาไปด้วย  หนึ่งคือสามารถฝึกการนั่งขัดขาได้มาก  สองคือ ก็เป็นการฝึกพลัง  นี่ดีมาก

ศิษย์          ลูกชายของเพื่อนเกิดมาก็หูหนวกแล้ว  การฝึกฝ่าหลุนกงจะช่วยเขาได้ไหม

อาจารย์   ถ้าท่านพูดว่าจะสามารถรักษาโรคของเขาได้ไหม  เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่อาจพูดง่ายๆได้  ไม่อาจมาฝึกพลังเพื่อการรักษาโรค  แต่ข้าพเจ้าสามารถบอกท่าน   หูหนวกเป็นที่กายเนื้อของเขา  แต่จิตหลักของเขาไม่หนวก  เมื่อคนบำเพ็ญอย่างจริงๆแล้ว  ร่างกายเป็นอย่างก็ล้วนสามารถกลับคืนสู่สภาพปกติ  ผู้ฝึกพลังก็ต้องมีมาตรฐานของผู้ฝึกพลัง   ถ้าเขามาเพื่อโรคนี้  ไม่ปล่อยวางความเจ็บป่วยที่อยู่ในใจก็จะไม่หาย  การบำเพ็ญพุทธะนั้นเข้มงวด

ศิษย์          สามีอดอาหารคัดค้านดิฉันฝึกพลัง

อาจารย์         เรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดว่า ที่แท้คือจะดูว่าท่านเองจะมีท่าทีอย่างไร  การรบกวนใดๆ จากคนในครอบครัวนั้น มีอยู่โดยทั่วไป   หนึ่งคือ ดูว่าบำเพ็ญอย่างยืนหยัดหรือไม่  สอง ดูว่าซินซิ่งของผู้บำเพ็ญเป็นอย่างไร  สามญาติสนิทกำลังช่วยสลายกรรมอยู่    แต่ที่ไม่ยอมรับต้าฝ่าอย่างสิ้นเชิง ก็มีเป็นบางราย

ศิษย์          ในการบรรยายธรรมของอาจารย์ พูดถึงรูปแบบ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเทพ  เรียนเชิญท่านอาจารย์อธิบายสักหน่อย

อาจารย์   ที่ผ่านมาจักรวาลมี การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับสูญ  ชีวิตในจักรวาล มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เพียงแต่เวลาของมิติที่ต่างกัน ยาวสั้นไม่เท่ากัน   มีความแตกต่างกันมาก   บ้าง เวลาก็ยาวนานจนคล้ายไม่มีเกิด ตาย   บ้างก็สั้นเสียจนเป็นเพียงชั่วขณะเดียว  ในรูปแบบของ การเกิด ขึ้น  ตั้งอยู่  เสื่อมไป อาทิเช่น  มีช่วงของการก่อรูปของจักรวาล  มีช่วงของการตั้งมั่นของมัน   ต่อมาก็เดินสู่การเสื่อมถอย  เสื่อมโทรม  นี่คือรูปแบบมูลฐานของจักรวาลในอดีต  คือกฎเกณฑ์ของการเคลื่อนไหวของชีวพันธุ์และสสาร ทั้งหมดในจักรวาล

             ยังตอบคำถามได้ไม่หมด  ยังมีอีกมาก  เนื่องจากเวลาในการบรรยายของข้าพเจ้าหมดแล้ว  หอประชุมจะปิดประตูแล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าคนจำนวนมากยังอยากฟังข้าพเจ้าตอบคำถาม  ก็ทำได้เพียงเท่านี้   ข้าพเจ้าคิดว่าหากมีโอกาสพวกเราสามารถพบหน้ากันในเมืองอื่น  ครั้งนี้ข้าพเจ้าก็พูดเพียงเท่านี้   ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณผู้ฝึกในฮิวส์ตันอย่างมาก   เป็นการดำเนินการของพวกเขาจึงทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสนั่งอยู่ที่นี่พบหน้าทุกท่าน  เนื่องจากเวลาที่กำหนดไว้เดิมคือช่วงบ่ายหนึ่งวัน   เจ้าหน้าที่จะเลิกงานแล้ว  พวกเราก็ทำได้เพียงเท่านี้   น่าเสียดายมาก  ทุกท่านล้วนไม่อยากเลิก  ข้าพเจ้าคิดว่าบางคนที่ไม่มั่นใจหากไม่ได้พบหน้าอาจารย์  ครั้งนี้ในเมื่อได้พบหน้าข้าพเจ้าแล้วจิตใจควรจะมั่นใจขึ้นหน่อยแล้ว  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  ท่านเพียงบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็อยู่ข้างตัวท่านตลอดเวลา (เสียงปรบมือ)

            ข้าพเจ้าหวังว่าแต่ละคนที่นั่งอยู่อย่าได้พลาดโอกาสนี้ไป  ผู้ที่สามารถได้ฟังข้าพเจ้าบรรยายนั้นมีไม่มาก  โอกาสเช่นนี้  โอกาสของการบรรยายธรรม  ต่อไปคงจะน้อยลง  ดังนั้นหวังว่าทุกท่านจะเห็นคุณค่าของการพบหน้ากันครั้งนี้   ในการบำเพ็ญท่านต้องรับผิดชอบต่อตนเอง  ได้ฝ่านี้แล้วให้บำเพ็ญต่อไป  เขาก็ไม่ทำให้ท่านเสียเวลาทำงาน  ท่ามกลางงานรัดตัว ท่านไปลองทำดู  หากไม่ใช่อย่างที่ข้าพเจ้าพูด  ท่านไม่ทำก็ได้   เพราะท่านจะไม่เสียอะไรไป  หากท่านรู้ว่าดีท่านก็ บำเพ็ญต่อไป  ความจริงของพุทธธรรมก็จะค่อยปรากฏแก่ท่าน

            ข้าพเจ้าหวังว่าทุกท่านจะสามารถเห็นค่าของโอกาสแห่งวาสนาครั้งนี้   ในการบำเพ็ญจากนี้ไปสามารถก้าวหน้าไปไม่มีหยุด  ไปบำเพ็ญอย่างจริงจัง   ไปอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”เล่มนี้  ต้องอ่านให้มากๆ  บวกกับการฝึกพลัง  เช่นนี้ท่านก็จะยกระดับได้ไม่หยุดหย่อน  แต่ละครั้งที่อ่านหนังสือจะมีความรู้สึกและปัญหาที่ต่างกัน  แต่ละครั้งเมื่อท่านเลื่อนชั้นขึ้นมา   ปัญหาทั้งหมดที่ท่านประสบ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ในครั้งต่อไป ก็จะแก้ไขได้หมด  แต่ท่านจะมีปัญหาใหม่  เมื่ออ่านต่อไปอีกรอบ รับรองว่าก็จะแก้ไขให้ท่านได้อีก  แล้วท่านก็จะมีปัญหาใหม่อีก  ก็เป็นการบำเพ็ญเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน  ค่อยๆก้าวหน้าไป เลื่อนขึ้นไป เรื่อยๆ

            ในขณะเดียวกัน เมื่อพบเรื่องยุ่งยาก กับ ทุกข์ภัยจำนวนหนึ่ง  เวลาที่เจ็บปวด รวดร้าวใจ  ข้าพเจ้าก็พูดประโยคนี้กับผู้ฝึกจีนว่า ท่านดูว่ามันไม่ไหว  ท่านทดลองทำดูว่ามันไหวหรือไม่ไหว  หากเวลาที่ท่านทนไม่ได้   ท่านทดลองทำดูว่าท่านทนได้หรือไม่ได้   ในอนาคตเมื่อท่านบำเพ็ญยกระดับเรื่อยไปไม่หยุด  ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อพวกเราได้พบกันอีก ย่อมจะไม่เป็นเช่นนี้แล้ว   ข้าพเจ้าก็หวังว่าในขั้นตอนการบำเพ็ญ ทุกท่านจะสามารถยกระดับ  ก้าวหน้า เรื่อยไป  ตราบจนสำเร็จสมบูรณ์  ในการบำเพ็ญท่านคิดจะพบข้าพเจ้า  ที่จริงข้าพเจ้าก็อยู่ข้างกายท่าน (เสียงปรบมือ) วันนี้ก็เพียงเท่านี้