การบรรยายฝ่า ณ นครซิดนีย์

 

หลี่  หงจื้อ

31 สิงหาคม ค.ศ. 1996

 

ข้าพเจ้าคงไม่ต้องแนะนำตนเองแล้ว ทุกท่านล้วนรู้จักข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็คือหลี่ หง จื้อ   ตลอดมาก็อยากจะพบกับทุกท่าน  แต่เนื่องจากสาเหตุนานาประการกระมัง  จึงไม่มีโอกาสอย่างนี้  ครั้งนี้ข้าพเจ้าตั้งใจมาพบหน้ากับทุกท่านโดยเฉพาะ  เนื่องจากข้าพเจ้าทราบว่าที่ประเทศออสเตรเลียนี้  เมื่อก่อนคนที่รู้จักต้าฝ่ามีไม่มากเหมือนทุกวันนี้  และคนที่ศึกษามีคนจำนวนมากก็ไม่ได้ตั้งใจศึกษาฝ่า  การรับรู้ค่อนข้างตื้นเขิน   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าขณะนี้เมื่อทุกท่านเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดคืออะไร  จึงมาพบกับทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง   เพราะสิ่งต่างๆที่ท่านอยากรู้ ล้วนเขียนอยู่ในหนังสือหมดแล้ว  ข้าพเจ้านี้มีความเคยชินอย่างหนึ่ง  ข้าพเจ้าชอบให้คนเขาถามข้าพเจ้าในเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบำเพ็ญ    พูดถึงว่าสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ว่าฝ่านี้คืออะไร  แล้วมาถามว่าฝ่านี้คืออะไร  ข้าพเจ้าก็....... จะพูดอย่างไรดีละ   หากการรับรู้ตื้นเขินเมื่อพูดขึ้นมาก็ยากที่จะให้ท่านเข้าใจได้ในทันที  หากท่านสามารถอ่านหนังสือ  สามารถศึกษาฝ่า มีความเข้าใจระดับหนึ่งแล้ว  จากนั้นท่านมาถามข้าพเจ้าในเรื่องที่มีความหมายต่อการยกระดับของท่าน  ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือการบำเพ็ญ  ก็จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าวันนี้โอกาสแห่งวาสนาสุกงอมแล้ว  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้มา

ข้าพเจ้าทราบว่าผู้ที่นั่งอยู่ ส่วนหนึ่งยังไม่ได้ศึกษา  ส่วนหนึ่งยังแค่ฝึกท่า  ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาฝ่า  ส่วนหนึ่งศึกษาได้ดีสักหน่อย   เหตุใดข้าพเจ้าจึงเรียกร้องให้ทุกท่านต้องศึกษาฝ่าอยู่เสมอ  เพราะในนี้มีความสัมพันธ์อยู่ชนิดหนึ่งอย่างนี้   ทุกท่านทราบว่าประเทศจีนนี้  ชี่กงมีประวัติเผยแพร่ทั่วไปอยู่ในสังคมมากว่า ยี่สิบปีแล้ว   เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางของ “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม”  กระแสนิยมก็ขึ้นสูงในช่วงปลาย แต่ว่าไม่เคยมีใครเคยบอกว่าที่แท้ชี่กงนี้คืออะไรกันแน่   ความสามารถพิเศษ(กงเหนิง)หลายอย่างที่เกิดขึ้นจากชี่กง  เกิดปรากฎการณ์ต่างๆที่วิทยาศาสตร์ยุคนี้อธิบายไม่ได้  ที่แท้เป็นเรื่องอะไรกันก็ไม่มีคนพูด   เช่นนั้นการเกิดขึ้นของชี่กงนั้นมีจุดประสงค์อะไรละ   ก็ยิ่งมีน้อยคนที่ทราบ   ในประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏชี่กงมาก่อน  เหตุใดวันนี้จึงปรากฎชี่กงนี้ขึ้นมา   และเป็นการบำเพ็ญอย่างหนึ่งที่ถ่ายทอดอยู่ในสังคม  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  มีน้อยคนมากที่ทราบว่าเพราะเหตุใด   แน่ละชี่กงนี้เมื่อตอนเริ่มต้นเผยแพร่ทั่วไปในประเทศจีนนั้น  มีอาจารย์ชี่กงที่ดีมากหลายท่านออกมา  พวกเขาทราบแต่เพียงว่าจุดประสงค์ในการทำเรื่องนี้ก็คือเพื่อทำเรื่องดีสักเล็กน้อยเพื่อให้ประชาชนมีร่างกายที่แข็งแรง  ก็เป็นความคิดและการรับรู้ที่เรียบง่ายเช่นนี้เอง

ชี่กงนี้แม้มันจะเผยแพร่ทั่วไปมานานมาแล้ว  หลายสิบปีแล้ว  แต่ตลอดมาไม่มีใครทราบว่าความนัยที่แท้จริงของชี่กงนี้คืออะไร  ดังนั้นใน “จ้วนฝ่าหลุน”หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าจึงเขียนปรากฎการณ์บางอย่างในวงการชี่กงและเหตุใดชี่กงจึงสืบทอดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญเอย  เป้าหมายสุดท้ายของชี่กงคืออะไรเอย  ก็ล้วนเขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว  ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นระบบหนึ่ง   เป็นงานประพันธ์เล่มหนึ่งที่สามารถทำให้คนบำเพ็ญได้อย่างนี้ หลายคนเมื่อผ่านการอ่านหนังสือหลายๆรอบ  เขาก็สามารถสังเกตและศึกษาด้วยตนเองได้ว่ามีจุดเด่นข้อหนึ่ง คือ  หนังสือเล่มนี้ไม่ว่าท่านจะอ่านกี่รอบ  ท่านก็จะรู้สึกว่าคล้ายกับมีความรู้สึกที่ใหม่สดอยู่เสมอแบบหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะอ่านกี่รอบ  ในประโยคเดียวกันท่านก็จะมีการรับรู้ที่ต่างกันไป  ไม่ว่าท่านจะอ่านกี่รอบ  ล้วนจะรู้สึกว่าข้างในยังมีความนัยหลายอย่างที่ยังไม่เคยเห็น  เช่นนั้นเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  ก็คือข้าพเจ้าได้นำสิ่งที่คนสามารถบำเพ็ญ  คนจะบำเพ็ญอย่างไร  คุณสมบัติพิเศษของจักรวาลนี้ เป็นต้น ซึ่งหลายอย่างถือว่าเป็นความลับสวรรค์  ก็ล้วนนำเขามาสรุปอย่างเป็นระบบแล้วเขียนลงไปในหนังสือเล่มนี้แล้ว สำหรับผู้ที่บำเพ็ญก็สามารถทำให้เขาหยวนหมั่นได้   เพราะในประวัติศาสตร์แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครทำเรื่องนี้มาก่อน  มีหลายคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว รู้สึกว่ามีหลายสิ่ง เป็นความลับสวรรค์   มีหลายสิ่งเป็นความลับแห่งความลับ  แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยให้มนุษย์ได้ล่วงรู้   เป็นสิ่งที่แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์ไม่อาจจะรู้ได้ ข้าพเจ้าก็ได้เปิดเผยออกมาในหนังสือเล่มนี้แล้ว  แน่ละที่ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ก็มีเป้าหมายของข้าพเจ้า  หากคนๆหนึ่งเปิดเผยความลับสวรรค์ตามอำเภอใจ  ไปทำเรื่องเหล่านี้โดยไม่รับผิดชอบ  นำหลักการในระดับชั้นที่สูงมากนี้บอกให้คนธรรมดาทั่วๆไปฟังโดยถือเป็นทฤษฎีทั่วไป  เช่นนั้นเท่ากับเขาเปิดเผยความลับสวรรค์  เท่ากับเขาทำเรื่องไม่ดี  เช่นนั้นเขาจะต้องได้รับกรรมสนอง

ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้อย่างมีเป้าหมาย  ประการหนึ่งคือเมื่อพูดจากระดับชั้นที่ตื้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าหลายปีมานี้มีหลายคนผ่านการฝึกชี่กง  รู้ว่าชี่กงมีความนัยที่สูงมาก และรู้ว่าสามารถจะทำให้คนบำเพ็ญไปสู่เขตแดนชั้นสูงได้  กระทั่งทำให้คนหยวนหมั่น แต่ว่านะ  มันยากอยู่ตรงที่เขาค้นหาไม่พบวิธีการบำเพ็ญที่แท้จริงอย่างนี้และชี่กงทั่วไปนั้นก็จัดเป็นเรื่องการรักษาโรคส่งเสริมสุขภาพ ไม่อาจจะบำเพ็ญได้   ดังนั้นคนจำนวนมากจึงไปเป็นอุบาสกอุบาสิกาในวัด  กราบไหว้พระสงฆ์เป็นอาจารย์  แน่ละพอพูดถึงตรงนี้นะ  ข้าพเจ้าก็ขอยกคำพูดประโยคหนึ่งขององค์ศากยมุนีที่ตรัสไว้ว่าหลักธรรมของพระองค์ในยุคธรรมะปลายนั้นจะช่วยเหลือคนไม่ได้แล้ว  นี่คือสิ่งที่องค์ศากยมุนีได้ตรัสไว้  เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสาเหตุหลายประการ ดังนั้นคนจำนวนมากไม่ว่าท่านจะบำเพ็ญอยู่ในวัดหรือในวงการชี่กง  ท่านก็รู้สึกว่าตนเองกลับไม่ได้อะไร ไม่ได้เลื่อนชั้นสูงขึ้น  และไม่ได้ยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง  ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าทุกท่านมีใจที่ใฝ่สูงขึ้นอย่างนี้ แต่ติดขัดที่ค้นหาทางออกไม่เจอ  ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่าทุกท่านนั้นยากลำบากเหลือเกิน  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดจะนำพาคนที่อยากจะได้ฝ่าไปสู่ระดับชั้นสูงอย่างแท้จริงสักครั้ง  นี่คือมูลเหตุสำคัญประการหนึ่ง

แต่ว่าฝ่าที่ถูกต้องนั้นเมื่อถ่ายทอดออกมาก็มีข้อกำหนดที่ใจคน และศีลธรรมจะต้องฟื้นคืนสู่ระดับที่สูงขึ้น  กำหนดให้คนใฝ่หาความดีงาม  ดังนั้นข้อกำหนดต่อผู้บำเพ็ญจึงต้องสูงกว่ามาตรฐานศีลธรรมนี้ของคนธรรมดาสามัญทั่วไป ดังนั้นเขาจึงมีประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์  แน่ละมีคนมากมายหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เขาอาจจะไม่สามารถไปบำเพ็ญจริงๆก็ได้  เช่นนั้นเขาก็เข้าใจเหตุผลของการเป็นคนได้แล้ว  จากนี้ไปเขาอาจจะเป็นคนดีคนหนึ่ง  แม้ว่าเขาไม่สามารถจะบำเพ็ญ เขาก็สามารถจะเป็นคนดีคนหนึ่ง  ดังนั้นเขาจึงเป็นประโยชน์ต่อสังคม  ฝ่าที่ถูกต้องเมื่อถ่ายทอดออกมาก็จะต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน ที่จริงในแต่ละยุคที่ผ่านมาบนโลกมีปรากฏศาสนาถูกต้อง  อาทิเช่น ศาสนาคริสต์เอย  ศาสนาโรมันคาธอลิกเอย  ศาสนาพุทธเอย  ศาสนาเต๋าเอย รวมทั้งศาสนายิว  เขาล้วนสามารถทำให้ใจคนใฝ่หาความดีงาม  ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้คนที่อยากจะบำเพ็ญขึ้นไปอย่างแท้จริงได้ฝ่า  สามารถบำเพ็ญหยวนหมั่น  ทำให้ผู้ที่บำเพ็ญไม่สำเร็จในขณะนี้ ก็สามารถให้เขาเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งในสังคมคนธรรมดาสามัญ สร้างโอกาสแห่งวาสนาในภายหลังได้บำเพ็ญอีกในอนาคต เขา(ศาสนาถูกต้อง)สามารถทำเช่นนี้ได้ 

แม้ว่าพวกเราไม่ใช่ศาสนา แต่ข้าพเจ้ากำลังถ่ายทอดชี่กงสิ่งที่เป็นของระดับชั้นสูง  จึงไม่ใช่ชี่กงทั่วไป  พูดให้ชัดแล้วชี่กงก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของคนธรรมดาสามัญ  ชี่กงนี้คืออะไรละ  ชี่กงก็คือการบำเพ็ญ  แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นต่ำที่สุดของการบำเพ็ญ  รวมทั้งมวยไท้เก๊ก(ไท่จี๋ฉวน)ด้วย  มวยไท่เก๊กนั้นทุกท่านล้วนทราบว่าดีมาก ในทศวรรษที่ห้าสิบในประเทศจีนก็ได้แพร่หลายอย่างกว้างขวางแล้ว  นี่คือสิ่งที่จางซันเฟิง ถ่ายทอดออกมาในยุคสมัยหมิง

แต่ที่สืบทอดต่อมาเป็นเพียงกระบวนท่าวิทยายุทธ์  ท่าเคลื่อนไหว  ทว่าไม่ได้สืบทอดหลักธรรมทางด้านจิตใจ  หรือก็คือเขาไม่ได้เหลือหลักธรรมที่ชี้นำการบำเพ็ญ  แต่ละระดับชั้นจะยกระดับขึ้นได้อย่างไรนี้ ไว้ให้กับคน  ดังนั้นมวยไท่เก็กจึงเพียงแต่จำกัดอยู่ในเขตแดนของการขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพเท่านั้น ยังคงไม่สามารถบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูงได้  แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ดีมาก  แต่ไม่ได้ถ่ายทอดหลักธรรมด้านจิตใจ  ในเวลานั้นมีหลักธรรมด้านจิตใจ  แต่ไม่ได้สืบทอดต่อลงมา  ไม่ได้เหลือไว้ให้กับคนรุ่นหลัง  ส่วนฝ่านี้ที่พวกเราถ่ายทอดในวันนี้เป็นสิ่งที่เป็นระบบ ได้ทำเรื่องนี้แล้ว

แน่ละพวกเราที่นี่มีผู้ฝึกใหม่อยู่ไม่น้อย  บางคนพอได้ฟังแล้วอาจจะรู้สึกว่าข้าพเจ้าพูดสูงมาก  ทุกท่านทราบว่าแต่ละศาสนาต่างก็สอนให้คนใฝ่หาความดีงาม  และสอนให้คนไปสู่สวรรค์  ศาสนาพุทธนั้น แน่ละแดนสุขาวดีก็เป็นสวรรค์  ในประวัติศาสตร์ ผู้รู้แจ้งองค์ไหนๆ  นักปราชญ์คนไหนๆต่างพูดว่าจะทำให้คนเป็นคนดีได้อย่างไร  บรรลุถึงมาตรฐานหนึ่งของเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น  จึงจะสามารถไปสวรรค์ได้  แต่ล้วนไม่เคยพูดถึงหลัการที่อยู่ข้างใน เนื่องจากผู้รู้แจ้งเหล่านี้  เช่นพระเยซูก็ดี องค์ศากยมุนีก็ดี  เหลาจื่อก็ดี เป็นต้น ล้วนแต่ปรากฏออกมาเมื่อราวสองพันปีก่อน  เช่นนั้นคนในเวลานั้นกับคนปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกัน  ความคิดของคนในเวลานั้นค่อนข้างเรียบง่าย  ค่อนข้างบริสุทธิ์สะอาด  ค่อนข้างดีงาม  ความคิดไม่ซับซ้อนอย่างนั้น  เนื่องจากความคิดของคนในเวลานั้นกับปัจจุบันไม่เหมือนกัน  ดังนั้นฝ่าที่พวกเขาพูดกันในเวลานั้น จึงบังเกิดผลได้ในเวลานั้น  บรรดาสิ่งที่พูดออกมาในเวลานั้นสามารถทำให้คนหยวนหมั่นได้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากกาลเวลาที่เปลี่ยนไป  ความคิดของคนในปัจจุบันจึงเปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ  วิธีคิดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง  เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ที่ผู้รู้แจ้งเหล่านี้ถ่ายทอดในอดีตนั้น  คนปัจจุบันจึงไม่อาจเข้าใจได้แล้ว  ดังนั้นเมื่อคนปัจจุบันอ่านคัมภีร์เหล่านี้  ต่างรู้สึกว่าไม่เข้าใจความนัยที่อยู่ในนั้นอย่างแท้จริง  วันนี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่า แม้ว่าจะอาศัยรูปแบบของชี่กงในการถ่ายทอด แต่ก็ล้วนทราบกันว่าข้าพเจ้ากำลังถ่ายทอดฝอฝ่า(พุทธธรรม)  บางคนกำลังคิดว่า  ท่านถ่ายทอดฝอฝ่าก็ไม่เหมือนภาษานี้ที่องค์ศากยมุนีพุทธะตรัสหนา  หากข้าพเจ้าใช้ภาษาขององค์ศากยมุนีพุทธะไปบรรยาย  เช่นนั้นคนในวันนี้ก็ไม่อาจมีใครเข้าใจได้  ภาษาที่องค์ศากยมุนีพุทธะตรัสไว้คือภาษาของคนในเวลานั้น  ดังนั้นคนในเวลานั้นต่างเข้าใจได้  ฉะนั้นวันนี้บรรยายฝอฝ่า จึงต้องใช้ภาษาปัจจุบันไปพูดกับทุกท่าน  ท่านจึงสามารถเข้าใจได้  บางคนยังคิดอีกว่า ที่ท่านบรรยายก็ไม่ใช่คัมภีร์คำสอนของศาสนาพุทธหนา องค์ศากยมุนีพุทธะบรรยายฝ่าที่พระพุทธบุพกาลหกองค์บรรยายไว้หรือเปล่าละ  หากพระศรีอาริยเมตไตรย์จุติลงมาจะบรรยายซ้ำในคำพูดที่องค์ศากยมุนีพุทธะตรัสหรือไม่ละ  ผู้รู้แจ้งทั้งหมดที่มาช่วยเหลือคนนั้นล้วนแต่ถ่ายทอดฝ่าที่ตนเองประจักษ์แจ้งและถ่ายทอดเพื่อช่วยเหลือคน

ในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนสิ่งต่างๆมากมายที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญไว้แล้ว  ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งนั้นเริ่มต้นก้าวจากคนธรรมดาสามัญ  ตราบจนกระทั่งถึงเวลาที่ท่านหยวนหมั่นล้วนแต่มีฝ่ามาชี้นำการบำเพ็ญของท่านข้าพเจ้าได้ทำเรื่องหนึ่งที่คนรุ่นก่อนๆไม่เคยทำมาก่อนเลยจริงๆ  ได้ถ่ายทอดต้าฝ่าที่แท้จริงของจักรวาลที่ใหญ่ยิ่งกว่า  ไม่ว่าท่านจะเปิดหนังสือที่มีแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในและนอกประเทศจีน ก็ล้วนไม่มีสิ่งเหล่านี้  บรรดาหลักเหตุผลที่ข้าพเจ้าบรรยายออกมาคือคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล  คือแก่นแท้ของฝอฝ่า  เขา(หนังสือเล่มนี้)ใช้ภาษาของข้าพเจ้าบรรยาย(สื่อ)เขา(ฝอฝ่า)ออกมาจริงๆ คนจำนวนมากพอได้อ่านหนังสือแล้วล้วนมีความคิดอย่างหนึ่ง  และมีคนพูดกันว่า  อาจารย์หลี่ มีการศึกษาสูงแค่ไหนนะ  ท่านนำสิ่งที่มีอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าดาราศาสตร์  ธรณีวิทยา ประวัติศาสตร์  เคมี  ฟิสิกส์  ฟิสิกส์ดาราศาสตร์(ของร่างนภา)  ฟิสิกส์พลังงานสูง  ปรัชญา  ดูเหมือนว่าขอบเขตมากมายได้ครอบคลุมเอาไว้ทั้งหมด  ผู้คนรู้สึกว่าความรู้ของอาจารย์ลึกซึ้งและกว้างมาก  ที่จริงหากจะเปรียบกับความรู้ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้ายังรู้สึกอายไม่อาจสู้ได้  แต่ว่าทฤษฎีเหล่านี้ไม่ว่าท่านจะศึกษาค้นคว้าหนังสือทั้งหมดในโลก  ท่านศึกษาวิชาทั้งหมดในโลกจนหมดสิ้น ท่านก็ไม่อาจเรียนรู้ได้ ท่านศึกษาความรู้ทั้งหมดที่มีในโลก  ท่านก็ยังคงเป็นคนธรรมดาสามัญ  เพราะว่าท่านก็คือคนที่อยู่ในระดับชั้นนี้ของคน  เพียงแต่ยึดกุมความรู้ของคนธรรมดาสามัญได้มากสักหน่อย  ยังคงเป็นคนธรรมดาสามัญ  ทว่าหลักเหตุผลที่ข้าพเจ้าบรรยายออกมา สิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายออกมา เขาไม่ใช่สิ่งที่เป็นของคนธรรมดาสามัญในระดับชั้นนี้  เป็นสิ่งที่อยู่เหนือระดับชั้นนี้ของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้นหลักเหตุผลที่อยู่ในนั้นไม่ได้มาจากความรู้ของคนธรรมดาสามัญ ฝ่านั้นครอบคลุมจักรวาลจนถึงความรู้ทั้งหมดในสังคมคนธรรมดาสามัญ

ข้าพเจ้าใช้ภาษาที่พื้นๆของคนธรรมดาสามัญกับชี่กงซึ่งเป็นรูปแบบของการบำเพ็ญที่ต่ำที่สุดชนิดนี้ แสดงหลักการของฝ่าทั้งหมดของจักรวาล จากต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุด หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบรอบที่หนึ่ง ท่านจะพบว่าเขาคือหลักเหตุผลที่สอนให้คนเป็นคนดีได้อย่างไร  หากท่านอ่านหนังสือเล่มนี้อีกรอบหนึ่ง  ท่านจะพบว่าสิ่งที่เขาอธิบายไม่ใช่หลักเหตุผลของคนธรรมดาสามัญ    เขาเป็นหนังสือที่อยู่เหนือความรู้ของคนธรรมาดาสามัญเล่มหนึ่ง  หากท่านสามารถอ่านสามรอบ  ท่านก็จะพบว่าเขาเป็นคัมภีร์สวรรค์เล่มหนึ่ง  หากท่านยังอ่านต่อไปอีกท่านก็จะรักจนไม่อาจวางมือ ในประเทศจีน ปัจจุบันมีคนที่อ่านเป็นร้อยรอบไปแล้วก็ยังคงอ่านอยู่  และเขาวางไม่ลงเลยจริงๆ  ความนัยที่อยู่ข้างในมีมากเหลือเกิน  ยิ่งอ่านยิ่งมาก ยิ่งอ่านยิ่งมาก  เพราะเหตุใดหรือ  แม้ว่าข้าพเจ้าได้เปิดเผยความลับสวรรค์ไว้มากมายแล้ว  แต่บนชั้นผิวนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้บำเพ็ญก็จะอ่านไม่ออก  มีเพียงผู้บำเพ็ญ เมื่อท่านไปอ่านหนังสือไม่หยุดหย่อน  ท่านจึงจะสามารถมองเห็นความนัยที่อยู่ในนั้น   เนื่องจากคนๆหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการบำเพ็ญนั้นเขาก็กำลังยกระดับอยู่ไม่มีหยุด เหตุใดเมื่อตอนเริ่มต้นท่านรู้สึกว่าเขาพูดถึงหลักเหตุผลว่าจะเป็นคนดีได้อย่างไรละ  พออ่านรอบที่สองก็ไม่ใช่แล้ว เขาก็ยกระดับขึ้นแล้วละ  เพราะหากคนคิดจะบำเพ็ญ   ก่อนอื่นเขาต้องยืนอยู่บนจุดฐานของคนธรรมดาสามัญนี้ไปบำเพ็ญ  ค่อยๆยกระดับซินซิ่งของเขาให้สูงขึ้น  บรรลุถึงมาตรฐานที่สูงยิ่งขึ้น เมื่อท่านบรรลุถึงมาตรฐานของระดับชั้นที่หนึ่ง  เช่นนั้นก็ต้องมีฝ่าในระดับชั้นนั้นมาชี้นำท่านบำเพ็ญ  ท่านบรรลุถึงระดับชั้นที่สอง  ท่านก็ต้องมีฝ่าระดับชั้นที่สองนั้นมาชี้นำการบำเพ็ญของท่านในเขตแดนนั้น  เมื่อท่านเลื่อนระดับขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน   เช่นนั้นฝ่านี้ที่อยู่ในเขตแดนนั้นก็ยังคงต้องสามารถชี้นำท่านบำเพ็ญ  ก็คือว่าไม่ว่าท่านบำเพ็ญไปถึงเขตแดนใด  ยังคงต้องมีฝ่าระดับชั้นนั้นชี้นำท่านบำเพ็ญ  สุดท้ายจึงจะสามารถหยวนหมั่น  ในหนังสือเล่มนี้ของข้าพเจ้าเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเอาไว้แล้ว  ดังนั้นหากท่านจะไปบำเพ็ญจริงท่านก็จะสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้  จึงจะสามารถชี้นำท่านบำเพ็ญขึ้นไป  ความนัยที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้นยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน  ท่านอ่านหมื่นรอบก็สามารถชี้นำการบำเพ็ญของท่านได้จวบจนท่านหยวนหมั่น

พูดถึงปัญหาการหยวนหมั่น  ทุกท่านทราบว่า พระเยซูตรัสไว้ว่า  ท่านเชื่อข้าพเจ้าก็จะสามารถไปสวรรค์ได้  ในพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า  การบำเพ็ญพุทธะก็สามารถไปแดนสุขาวดีได้  แน่ละพวกเขาล้วนพูดอย่างเรียบง่ายมาก  ไม่ได้เน้นย้ำให้คนผ่านการบำเพ็ญอย่างจริงจังจึงจะสามารถไปได้  แต่ที่จริงศาสนาก็เป็นการบำเพ็ญ  เพียงแต่ว่าองค์ศากยมุนีพุทธก็ดี  พระเยซูก็ดี ต่างได้มองเห็นสภาพการณ์อย่างหนึ่ง  เนื่องจากในวงการบำเพ็ญเรามีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง เรียกว่า บำเพ็ญอยู่ที่ตนเอง พลังอยู่ที่อาจารย์  นี่ก็เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญไม่รู้กัน คนธรรมดาสามัญเข้าใจว่า  ฉันผ่านการฝึกท่าเคลื่อนไหวสักหน่อย  ตนเองก็จะสามารถมีพลังสูงมากเพียงไร  เราเห็นว่านี่เป็นคำพูดที่น่าขัน  เป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง  แน่ละ หากท่านคิดจะบำเพ็ญ  ต้องมีอาจารย์รับผิดชอบต่อท่านอย่างแท้จริง  ต้องใส่กลไกบังคับมากมายชนิดนี้บนร่างกายให้ท่าน  ยังจะต้องเหมือนกับการปลูกเมล็ดพันธุ์ฝังสิ่งต่างลงไปให้ท่าน  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญออกมา  และในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญต้องมีอาจารย์มาคอยดูแลท่าน  คุ้มครองท่าน  สลายกรรมให้  ช่วยท่านแปรผันพลัง  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญขึ้นมาได้ ในศาสนา ไม่พูดถึงการบำเพ็ญ  เพราะอะไรหรือ  พระเยซูรู้ว่าท่านเชื่อข้าพเจ้าก็สามารถจะบำเพ็ญขึ้นมาได้  ปัจจุบันศาสนาไม่สามารถบำเพ็ญได้แล้ว ก็คือไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดที่พวกเขาพูด  คนจำนวนมากล้วนคิดว่า  ฉันเชื่อพระเยซู  ร้อยปีให้หลังฉันก็สามารถไปสวรรค์ได้  ทุกท่านคิดดู พวกเราจะไปสวรรค์ จะไปได้อย่างไรละ  เรามีจิตของคนธรรมดาสามัญอยู่  อารมณ์ทั้งเจ็ด กามคุณทั้งหก  จิตยึดติดนานาชนิดของท่าน จิตต่อสู้ จิตโอ้อวด  จิตที่ไม่ดีของคนธรรมดาสามัญนี้มีมากเกินไปแล้ว หากจะให้ท่านขึ้นไปที่พระพุทธตรงนั้น  ไม่แน่ว่าท่านจะโต้เถียงกับพระพุทธขึ้นมา  ต่อสู้กันขึ้นมา  เพราะจิตของคนธรรมดาสามัญของท่านไม่ได้ทิ้งไป  ท่านมองเห็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ช่างสวยงามเช่นนี้  ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดความคิดที่ชั่วร้ายขึ้นมา  นี่จะยอมได้หรือ  แน่นอนยอมให้ไม่ได้  ดังนั้นจึงต้องทิ้งจิตยึดติด จิตที่สกปรก จิตที่ไม่ดีเหล่านี้ของท่านทิ้งไปในสังคมคนธรรมดาสามัญ ท่านจึงจะสามารถเลื่อนขึ้นไปสู่เขตแดนนี้ได้  การบำเพ็ญสามารถทิ้งไปได้ ความเชื่อก็สามารถทิ้งไปได้   แต่ว่าหลังจากสารภาพบาปแล้วก็ไม่อาจทำผิดได้อีก  เช่นนี้จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเรื่อยๆ  บรรลุถึงมาตรฐานของชาวสวรรค์  ที่จริงนี่ก็คือการบำเพ็ญ

บางคนพูดว่า  ฉันเชื่อในพระเยซูแล้วฉันก็สามารถไปสวรรค์ได้  ข้าพเจ้าว่า ไปไม่ได้  เพราะอะไรจึงไปไม่ได้ละ เพราะคนปัจจุบันก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงในคำพูดของพระเยซู   พระเยซูคือพระยูไลของระดับชั้นนี้ และเป็นผู้รู้แจ้งในเขตแดนนี้ของพระพุทธ  ความหมายที่พระองค์ตรัสนั้นคนธรรมดาสามัญไม่อาจเข้าใจ  ท่านมีแต่บำเพ็ญไปตามวิธีการของพระองค์  ท่านจึงจะค่อยๆสังเกตและศึกษาได้ถึงความหมายที่พระองค์ตรัส  อาทิเช่นพระเยซูตรัสว่า เชื่อข้าพเจ้า ท่านจึงจะสามารถไปสวรรค์ ที่แท้คือท่านต้องทำตามหลักเหตุผลของการเป็นคนดีที่ข้าพเจ้าสอนให้ท่าน  จึงจะเป็นการเชื่อข้าพเจ้าจริง  ท่านจึงจะสามารถไปสู่สวรรค์  หาไม่แล้วพระองค์ตรัสไว้มากมายอย่างนั้นเพื่ออะไร  ในขณะที่ท่านสารภาพบาป ท่านรู้สึกว่าท่านทำได้ดีมาก  มีสภาพจิตที่ดีมาก  แต่พอท่านออกประตูโบสถ์ไป  ท่านก็ทำตามอำเภอใจของท่าน  ในหมู่คนธรรมดาสามัญท่านยังทำไม่ดียิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญ  ท่านจะไปสวรรค์ได้อย่างไรละ  ใจนั้นของท่านไม่ได้ยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง   เพราะพระเยซูตรัสว่า ท่านเชื่อข้าพเจ้า ท่านก็สามารถไปสู่สวรรค์  ก็คือท่านเชื่อพระองค์ ท่านต้องทำตามที่พระองค์สอนจึงจะเป็นการเชื่ออย่างแท้จริง ใช่ไหม ในศาสนาอื่นก็เป็นหลักเหตุผลอันนี้

คำพูดหลายอย่างที่องค์ศากยมุนีพุทธตรัสนั้น คนรุ่นหลังนำมาสรุปเขียนขึ้นเป็นคัมภีร์  จากนั้นต่อมา  คนถือเอาการอ่านคัมภีร์มากน้อยเพียงไร ยึดกุมความรู้ในศาสนาพุทธได้มากน้อยเพียงไรว่าเป็นการบำเพ็ญ  ที่จริงในเวลาที่องค์ศากยมุนีพุทธทรงอยู่ในโลกนั้นไม่มีคัมภีร์แต่อย่างใด  ทว่าคัมภีร์คือสิ่งที่สรุปออกมาอย่างเป็นระบบ ๕๐๐ปีหลังจากนั้น  ซึ่งห่างไกลจากคำสอนขององค์ศากยมุนีพุทธในเวลานั้นโดยสิ้นเชิง  แต่ในเวลานั้นก็ได้แต่ให้คนรู้ได้มากเท่านี้  หากมากจนเกินไปก็ไม่ดี  นี่เป็นสิ่งที่ต้องเป็นไป  ในบั้นปลายองค์ศากยมุนีพุทธตรัสว่า ชั่วชีวิตข้าพเจ้าไม่ได้สอนหลักธรรมอะไร เนื่องจากจริงๆแล้วองค์ศากยมุนีพุทธ ไม่ได้ทรงสอนหลักธรรมของจักรวาลนี้ ไม่ได้สอนเจิน ซั่น เหยิ่น คุณสมบัติพิเศษนี้ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  หรือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในระดับพระยูไลของพระองค์  ไม่ได้สอนจริงๆ เช่นนั้นสิ่งที่พระยูไลพุทธสอนคืออะไรละ  สิ่งที่พระองค์สอนคือบรรดาสิ่งที่ทรงประจักษ์แจ้งจากการบำเพ็ญในอดีตชาติของพระองค์ กับสภาพการณ์ต่างๆของการบำเพ็ญในการกลับชาติเกิดใหม่ในอดีตชาติ  เรื่องการบำเพ็ญกับการรับรู้ของพระองค์ต่อปรากฎการณ์รูปธรรมของหลักธรรมต่างๆ  คัมภีร์คือสิ่งที่เรียบเรียงออกมาแบบขาดหายเป็นห้วงๆ  ดังนั้นจึงไม่เป็นระบบ  เช่นนั้นเหตุใดคนรุ่นหลังจึงถือเอาคำสอนขององค์ศากยมุนีพุทธคือพุทธธรรมละ ด้านหนึ่งนี่คือการรับรู้ของคน อีกด้านหนึ่งคือเพราะว่าองค์ศากยมุนีคือพระพุทธ  ดังนั้นคำพูดที่พระองค์ตรัสออกมาจึงมีคุณสมบัติของพุทธะ   เมื่อเป็นคำพูดที่มีคุณสมบัติของพุทธะ ดังนั้นกล่าวสำหรับคนแล้วก็คือหลักการชั้นหนึ่งของพระพุทธ ก็คือพุทธธรรม  แต่จริงๆแล้วพระองค์ไม่ได้ตรัสออกมาอย่างเป็นระบบถึงหลักการของการบำเพ็ญ คุณสมบัติพิเศษของจักรวาล  เหตุใดคนจึงสามารถยกระดับขึ้นไปได้  เป็นต้น ไม่ได้ตรัสออกมาจริงๆ  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกว่าข้าพเจ้าได้ทำเรื่องที่คนในอดีตไม่เคยทำ  ข้าพเจ้าได้เปิดประตูบานใหญ่ออกแล้ว ข้าพเจ้าได้ทำเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องหนึ่ง  ก็คือข้าพเจ้าได้นำหลักเหตุผลของการบำเพ็ญบรรดามี องค์ประกอบของการหยวนหมั่นพูดออกมาทั้งหมดแล้ว  และอธิบายอย่างเป็นระบบมาก  นี่ก็คือเหตุที่ว่าทำไมเทพชั้นสูงมากจึงพูดว่า ท่านได้มอบบันไดขึ้นสู่สวรรค์อันหนึ่งให้กับคน --- “จ้วนฝ่าหลุน”

ตรงนี้ไม่ได้พูดว่าข้าพเจ้าเทียบกับองค์ศากยมุนีพุทธแล้วเป็นอย่างไร อย่างไร  ข้าพเจ้าไม่มีจิตใจเช่นนี้  ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในฉิง(อารมณ์  ความรักความผูกพัน)ของคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ในโลก  ในเมื่อข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดสิ่งนี้ออกมา  ข้าพเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน  ข้าพเจ้าจึงต้องอธิบายหลักการนี้ให้ท่านเข้าใจอย่างชัดเจน  ข้าพเจ้าไม่เรียกร้องเอาอะไรจากท่าน  ข้าพเจ้าจะไม่เรียกเก็บเงินท่านแม้แต่สตางค์แดงเดียว  ข้าพเจ้าเพียงแต่สอนให้ท่านมุ่งสู่ความดีงาม  มีคนถามข้าพเจ้าว่า ท่านอาจารย์  ท่านสอนสิ่งต่างๆมากมายเช่นนี้ให้พวกเรา  ให้พวกเรามากมายออกอย่างนี้  ท่านต้องการอะไรหรือ  ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไร  ข้าพเจ้ามาเพื่อช่วยเหลือท่าน  ข้าพเจ้าต้องการจิตใจที่ใฝ่ดีนั้นของท่าน  สามารถยกระดับขึ้นไปได้ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นว่าคนนั้นหนา  การเป็นคนนั้นมันไม่ใช่เป้าหมาย คนปัจจุบันล้วนหลงใหลในสภาพภววิสัยจอมปลอมของสังคมคนธรรมดาสามัญ เข้าใจว่า  การเป็นคนก็ต้องทำกันอย่างนี้  โดยเฉพาะคือทัศนคติของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันลื่นไถลลงไปอย่างร้ายแรงมาก  ทุกท่านต่างก็ลื่นไถลลงไปตามกระแสใหญ่นี้  สังคมกำลังลื่นไถลลงไปพร้อมกันหมด  ดังนั้นใครๆต่างก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังลื่นไถลลงไปแล้ว  บางคนรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นอยู่หน่อยหนึ่ง ก็รู้สึกว่าฉันเป็นคนดี    ที่แท้ท่านใช้มาตรฐานที่ตกต่ำลงไปนี้มาประเมินตนเอง  ล้วนแต่ดีกว่าผู้อื่นสักหน่อยในแวดวงคนที่ไม่ดีด้วยกัน  หากท่านสามารถจะบำเพ็ญ  ท่านหวนกลับไปที่เขตแดนนี้ของสังคมมนุษย์แต่เดิม (เขตแดน)ไม่ต้องสูงนัก ท่านหันกลับมองดูคน สังคมมนุษย์ในวันนี้ก็จะพบว่ามันน่ากลัวมาก น่ากลัวจริงๆ ท่านดูมนุษยชาตินี้ช่างสารพัดเลวจริงๆ

เหล่าผู้รู้แจ้งบนสวรรค์ ไม่ว่าพระพุทธก็ดี  เต๋าก็ดี  เทพก็ดี  พวกท่านต่างไม่ได้มองคนทุกวันนี้ว่าเป็นคนแล้ว  คำพูดนี้คล้ายกับว่าจะเด็ดขาดเกินไปบ้าง  แน่ละยังคงมีคนดีอยู่บ้าง  แต่สิ่งที่พวกเขาหมายถึงคือมนุษยชาติโดยรวม วงกว้าง เป็นเช่นนี้จริงๆ  เมื่อก่อนคนไปที่วัด  ไปโบสถ์สารภาพบาปนั้น  รู้สึกว่าพระเยซูเอย  คนบนสวรรค์กำลังฟังเขาพูดอยู่  และในสมองจะมีเสียงสะท้อนตอบกลับ เหมือนกันกับการตอบคำถามของเขา  ทว่าคนทุกวันนี้จะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้  ผู้ที่กราบไหว้พระพุทธก็จะมองไม่เห็นการคงอยู่ของพระพุทธ เพราะอะไรหรือ  เพราะคนในสังคมมนุษย์ยิ่งนานมาก็ยิ่งรับรู้ไม่ได้  คนในสังคมมนุษย์ยิ่งเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ ดังนั้นเทพจึงไม่สนใจแล้ว   เพราะคนยุคนี้กรรมหนักมาก  ยิ่งนานก็ยิ่งไม่รับรู้  เวลาที่ทำเรื่องไม่ดีแล้วเขาได้รับกรรมสนอง เขาเข้าใจว่าเป็นความบังเอิญ  ข้าพเจ้ามองเห็น  แม้ว่ามาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์ลื่นไถลอย่างร้ายแรงมาก  แต่ผู้คนล้วนแต่ลื่นไถลลงไปตามกระแสนี้โดยไม่รู้ตัว  หลายคนยังคงมีจิตพุทธ  ธาตุแท้เดิมอยู่  เมื่อผ่านการถ่ายทอดพลังของข้าพเจ้าในหลายปีนี้  มีบางคนได้บำเพ็ญขึ้นมาแล้ว  และระดับชั้นที่บำเพ็ญก็สูงมาก  บ้างก็ไคอู้(เปิดการรู้แจ้ง)  บ้างก็อยู่ในช่วงค่อยๆเปิดการรู้แจ้ง(เจี้ยนอู้)  บางคนกำลังบำเพ็ญอยู่ในมรรคผลแล้ว  ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก  เรื่องนี้ของข้าพเจ้าไม่ได้ทำโดยสูญเปล่า  ข้าพเจ้ารับผิดชอบต่อคน  รับผิดชอบต่อสังคม  ความลับสวรรค์นี้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เปิดเผยโดยสูญเปล่า  สามารถทำให้คนบำเพ็ญขึ้นมาได้แล้ว

เรื่องที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ คือ จุดประสงค์ของการดำรงชีวิตของคนไม่ใช่เพื่อจะเป็นคน  พูดออกมาแล้วคนจำนวนมากอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ  เขาเข้าใจว่าคนก็ควรจะดำรงชีวิตอย่างนี้กัน  ใช่  คนนั้นเมื่อคลอดออกมาจากครรภ์มารดาทุกคนก็เป็นเช่นนั้นทั้งนั้น  มองไม่เห็นว่ายังมีมิติอื่นคงอยู่  เช่นนั้นจึงไม่เชื่อ  และคนยุคนี้ก็เชื่อวิทยาศาสตร์ยุคนี้จนเกินเลย  ทว่าวิทยาศาสตร์ยุคนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์  ไม่ครบถ้วน  ในจักรวาลนี้ระดับการรับรู้ของเขานั้นตื้นเขินมาก  และต่ำมากด้วย  เป็นเรื่องอย่างนี้ ดังนั้นเมื่อคนเชื่อมันอย่างเกินเลยจึงทำให้คนต้องเผชิญกับอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดประการหนึ่ง  นั่นคือศีลธรรมของคนจะถูกทำลายอย่างถึงที่สุด  ดังนั้นโลกเบื้องบนจึงไม่มองคนที่ไม่มีทัศนด้านศีลธรรมเป็นคนอีกแล้ว  เพราะชีวิตที่มีรูปร่างภายนอกเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่เพียงแค่คนหนา  ผีเอย  ลิงเอย  ชะนีเอย  นี่ล้วนแต่มีสมองอันหนึ่ง  มีมือเท้าทั้งสี่(ระยางค์?)   ดังนั้นที่เรียกว่าคนเพราะคนมีชีวิตอยู่บนโลกเขาก็ต้องมีกฎเกณฑ์ด้านศีลธรรมของคน  มีมาตรฐานศีลธรรมของคนอยู่  มีรูปแบบการดำรงชีวิตของคน  หากพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้เทพก็จะไม่ถือว่าคนเป็นคน  แต่คนล้วนแต่รู้สึกว่าตนเองควรจะดำรงชีวิตอย่างไรจึงจะดี   ควรจะพัฒนาไปอย่างไร  แต่สังคมมนุษย์นั้นถูกชีวิตชั้นสูงควบคุมอยู่  มนุษย์ไม่สามารถอาศัยเทคโนโลยี บรรลุถึงเขตแดนของพระพุทธได้ตลอดกาล หาไม่แล้วก็จะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างดวงดาวแล้ว  ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้เทคโนโลยีของมนุษย์ ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยจิตต่อสู้แย่งชิง  จิตอิจฉา  อารมณ์ทั้งเจ็ดกามคุณทั้งหก  บรรลุถึงมาตรฐานที่สูงยิ่งขึ้นได้

เจ็ดสิบกว่าเปอร์เซนต์ของสมองคนนั้นใช้การไม่ได้  การแพทย์ยุคนี้ก็รับรู้ได้ถึงจุดนี้แล้ว  เหตุใดหรือ  เพราะปัญญาของคนนั้นถูกควบคุมไว้   เช่นนั้นเหตุใดพระพุทธท่านจึงมีปัญญาญาณยิ่งใหญ่  มีอิทธิฤทธิ์มากละ  เหตุใดท่านจึงสามารถล่วงรู้ในทุกสิ่งละ  มีปัญญาญาณยิ่งใหญ่ละ  ก็คือเหตุผลนี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป  บางคนบอกว่าหนังสือเล่มนี้ของข้าพเจ้าเกี่ยวพันกับวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง  ท่านอาจารย์มีความรู้มากมายใช่หรือไม่  เคยเรียนมหาวิทยาลัยหลายแห่งหรือ   ข้าพเจ้าไม่มี  เพราะอะไรหรือ ความแตกต่างของข้าพเจ้ากับทุกท่านก็คือสมองของข้าพเจ้านั้นได้เปิดออกทั้งหมด  แต่พวกท่านไม่ใช่  เนื่องจากการอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ก็ดี  นักดาราศาสตร์ก็ดี  ฟิสิกส์  เคมี  ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ  เป็นต้น  ผู้คนต่างรู้สึกว่าสลับซับซ้อนมาก  ที่จริงมันเรียบง่ายมาก  ล้วนแต่เป็นสิ่งเล็กน้อยนั้นที่อยู่ในขอบเขตของพุทธธรรมที่อยู่ในระดับชั้นที่ต่ำที่สุดของมนุษย์  ซึ่งล้วนเป็นหลักการเดียวกัน  ก็คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากคุณสมบัติพิเศษของจักรวาลนี้กับรูปแบบของสสารที่คงอยู่ในระดับชั้นนี้ ก็คือจุดนี้ แต่สติปัญญาของมนุษย์นั้นบรรจุ(รับ)มันไม่ไหว  เพราะสมองใหญ่ของคนนั้นถูกปิดคลุมไว้  รับเข้าไปไม่ได้  แล้วจะทำอย่างไรดีละ  หากคิดจะรู้ให้มากยิ่งขึ้น  สมองใหญ่ของคนก็ใส่ลงไปไม่ได้  เช่นนั้นท่านไปเรียนฟิสิกส์  ท่านเรียนเคมี  ท่านเรียนดาราศาสตร์  ท่านเรียนฟิสิกส์พลังงานสูง  ท่านเรียนปรัชญา  ท่านเรียนประวัติศาสตร์  ท่านเรียนวิชานี้ ท่านเรียนวิชานั้น  ก็เป็นความรู้ในแขนงนี้   คนเองยังไม่อาจยึดกุมไว้ได้หมดในชีวิตนี้  ดังนั้นความรู้ของมนุษย์นั้นน่าเวทนามาก

เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  ท่านศึกษาความรู้มากเท่าไร  ท่านเป็นศาสตราจารย์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัย  มีชื่อเสียงเพียงไร แต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ  เพราะความรู้ของท่านไม่ได้อยู่เหนือระดับชั้นนี้ของคนธรรมดาสามัญ  และวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันนี้ของมนุษย์เราในปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์ครบถ้วน  อย่างเช่น วิทยาศาสตร์ปัจจุบันมันไม่สามารถพิสูจน์การคงอยู่ของเทพได้  มันไม่อาจพิสูจน์การคงอยู่ของมิติอื่น มันมองไม่เห็นชีวิตและรูปแบบการคงอยู่ของสสารในมิติอื่น   มันก็ไม่รู้ว่ามนุษย์มีศีลธรรม  สสารชนิดนี้ปรากฏอยู่ในร่างกายคน  มันก็ไม่รู้ว่ามนุษย์ยังมีกรรม  สสารชนิดนี้ปรากฏอยู่รอบๆร่างกายคน ในเมื่อผู้คนล้วนเชื่อวิทยาศาสตร์ยุคนี้  แต่วิทยาศาสตร์ยุคนี้พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย  และเมื่อพูดถึงเรื่องศีลธรรมความดีความเลว ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์ก็เห็นกันว่าเป็นเรื่องงมงายทั้งนั้น  ที่จริงแล้วนี่มิใช่การกวัดแกว่งกระบองนี้ของวิทยาศาสตร์ยุคนี้ขึ้นมา  ตีสิ่งที่เป็นแก่นสารที่สุดของมนุษย์เรา---ศีลธรรมของมนุษย์หรอกหรือ  เป็นอย่างนี้ใช่ไหม  เนื่องจากมันไม่ยอมรับและพิสูจน์การคงอยู่ของศีลธรรมไม่ได้  มันจึงบอกว่ามันเป็นเรื่องงมงาย  ทัศนด้านศีลธรรมของมนุษย์ถูกตีจนสูญสิ้นไปแล้ว  ดังนั้นคนจึงไม่มีจิตธรรมะคอยควบคุม  ไม่มีกฎเกณฑ์ด้านศีลธรรม  คนจึงกล้าทำทุกอย่าง เรื่องชั่วอะไรก็กล้าทำ จึงกระตุ้นให้ศีลธรรมของมนุษย์ลื่นไถลลงไปไม่มีหยุด  นี่คือผลกระทบของความบกพร่องที่สุดของวิทยาศาสตร์

ข้าพเจ้าเคยพูดถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง  เขาไม่เหมือนหลายๆคนที่ดื้อรั้นที่อาศัยความรู้สึกแทนที่สติสัมปชัญญะแบบนั้น  กำหนดให้วิทยาศาสตร์ยุคนี้จำกัดอยู่ในกรอบที่ตายตัว  เข้าใจว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันล้วนแต่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์  ทุกท่านคิดดู  สิ่งที่มนุษย์ไม่รู้จัก  เมื่อเราใช้วีธีการทางวิทยาสตร์รับรู้ได้แล้ว มันเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่  มันก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์ไปแล้วใช่ไหม  มนุษย์ไม่หยุดที่จะทำให้ตนเองสมบูรณ์แบบ  ไม่หยุดที่รู้จักตัวเองใหม่  ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงสามารถพัฒนาได้  สุดท้ายไปรู้จักจักรวาลได้อย่างแท้จริง  วิธีการพัฒนาของวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันในปัจจุบันนั้นงุ่มง่ามมาก เชื่องช้ามาก  เหมือนคนตาบอดคลำช้าง  เขาไม่อาจรับรู้ถึงรูปแบบการคงอยู่ของสสารทั้งหมดในจักรวาล  ไม่อาจรับรู้ถึงการคงอยู่ของคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล ดังนั้นพอเขาคลำได้จุดหนึ่งก็เข้าใจว่าเป็นส่วนทั้งหมด  พวกเขาเพียงคลำขาช้างนี้ เขาก็บอกว่า อ้อ วิทยาศาสตร์คืออย่างนี้  นี่คือการรับรู้ชีวิต วิทยาศาสตร์แห่งวัตถุสสารที่แท้จริง  เขามองไม่เห็นช้างทั้งตัวนี้เป็นอย่างไร  ดังนั้นไม่อาจรับรู้ได้ว่าจักรวาลประกอบขึ้นมาจากมิติกาลเวลาที่แตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วน  ไม่อาจรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของมิติอื่นและชีวิตกับรูปแบบของสสารอื่นๆ  ครั้นแล้วก็ถูกคนเหล่านั้นที่ความคิดตื้นเขินอีกทั้งดื้อรั้นพูดว่าเป็นเรื่องงมงายทั้งหมด  นี่คือสาเหตุสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ทำให้ศีลธรรมของมนุษย์เราตกต่ำ  คนจำนวนมากจึงชูกระบองวิทยาศาสตร์ไปตีคุณธรรมของคนที่เก่าแก่ที่สุด  เป็นแก่นสารที่สุด  ช่างอันตรายนัก  เมื่อคนไม่มีคุณธรรม เทพจึงไม่มองคนว่าเป็นคนแล้ว  หากในเวลาที่สวรรค์ไม่มองว่าคนเป็นคน  เช่นนั้นคนก็จะถูกกวาดทิ้ง เริ่มต้นการพัฒนาใหม่

บางคนคิดว่า  มนุษย์เรานั้นก้าวหน้า  จากมนุษย์วานรพัฒนามาถึงวันนี้ได้นั้นช่างรุ่งเรืองมากแล้ว  แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ประวัติศาสตร์ของยุคก่อนประวัติศาสตร์  หนึ่งแสนปีก่อนหรือนานกว่านั้น  นานกว่านั้นก่อนหน้า  จนถึงนับร้อยล้านปี  บนโลกใบนี้เคยมีอารยธรรมชั้นสูงดำรงอยู่  เพียงแต่ถูกทำลายไปในช่วงเวลาที่ต่างกัน  ทำไมจึงถูกทำลายทิ้งละ  เพราะว่ามันพัฒนาทางวัตถุเร็วมาก  เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก  แต่ศีลธรรมของมันตามไม่ทันหรือถูกทำลาย  ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้มันคงอยู่อีกต่อไป  ทำลายทิ้งไป เมื่อพูดโดยใช้การรับรู้ของวิทยาศาสตร์ยุคนี้  การเคลื่อนไหวของวัตถุสสารนั้นมีกฎเกณฑ์ เมื่อมันเคลื่อนไหวจนถึงรูปแบบหนึ่งที่แน่นอน มันย่อมปรากฏรูปแบบอีกชนิดหนึ่ง อย่างเช่น ในขณะที่โลกโคจรอยู่ในจักรวาลนี้  ก็ไม่แน่ว่าจะถูกดาวดวงไหนชนเสียหาย  ถึงอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุใด   ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่า  ในดวงดาวของเราเคยมีซากวัตถุโบราณของอารยธรรมเก่าแก่คงอยู่  และซากวัตถุโบราณของอารยธรรมเหล่านี้ห่างไกลค่อนข้างมากกับช่วงเวลาปัจจุบัน  บ้างก็เป็นหลายแสนปีก่อน หลายร้อยล้านปีก่อน  ยังมีหลายสิบล้านปีก่อน  อารยธรรมที่คงอยู่ในแต่ละช่วงเวลานั้น  ซากวัตถุโบราณที่เหลือเอาไว้ล้วนแตกต่างกัน  ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในยุคเดียวกัน  ดังนั้นจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนกำลังใคร่ครวญปัญหานี้นักวิทยาศาสตร์บางคนได้เสนอข้อถกเถียงเช่นนี้ขึ้นมาว่า มีอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์คงอยู่  มีวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์  นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พูดกัน  เช่นนั้นวงการบำเพ็ญเรามองเห็นยิ่งชัดกว่า  ที่จริงก่อนหน้ารอบอารยธรรมของมนุษย์เรายุคนี้  มีอารยธรรมมนุษย์คงอยู่หลายต่อหลายครั้ง  เนื่องจากศีลธรรมของมันเสื่อมทรามแล้ว แน่ละที่เรามองเห็นก็เป็นเช่นนี้  ต่อมาอารยธรรมนี้ก็ไม่คงอยู่อีก  วัฒนธรรมกรีกโบราณที่ถูกทำลายไปนั้นสามารถมองเห็นซากวัตถุโบราณของมนุษย์ที่เสื่อมโทรมและตกต่ำลง

บางคนพูดว่า  คนเราวิวัฒนามาจากมนุษย์วานร  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  คนไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานรแต่อย่างใด  ทฤษฎีที่ชาร์ล  ดาร์วินตั้งขึ้นมาว่า คนวิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานร  ในเวลาที่เขานำทฤษฎีนี้ออกมานั้น  เขานำมันออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ  ทฤษฎีของเขามีช่องโหว่มากมาย  ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์  แต่กลับได้รับการยอมรับจากคน  เรื่อยมาจนทุกวันนี้  ทุกท่านคิดดู  ที่เขาเสนอขึ้นมาว่าจากมนุษย์วานรวิวัฒนาการจนเป็นคน ขั้นตอนระหว่างการวิวัฒนาการนี้  เป็นขั้นตอนหลายๆล้านปีอย่างนี้  ค้นไม่พบ ไม่มี ทำไมไม่มีคนชนิดนี้ที่อยู่ระหว่างคนกับมนุษย์วานรคงอยู่ละ วัตถุอื่นไม่เพียงแต่คน   บรรดาการวิวัฒนาการของสัตว์ที่เขาพูดถึงไม่มีขั้นตอนระหว่างกลาง  และสัตว์ชนิดที่คงอยู่ในทวีปออสเตรเลียกับชนิดของสัตว์ที่คงอยู่ในทวีปอื่นทำไมไม่เหมือนกัน  เขาก็อธิบายไม่ได้เลย  ทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีช่องโหว่มากมายนี้กลับได้รับการยอมรับจากคน นี่จึงเป็นเรื่องแปลก

ที่จริงเรามองเห็นว่าคนไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานรอย่างแน่นอน   เพียงแต่ในแต่ละช่วงเวลามีสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดคงอยู่  โลกที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้น แผ่นดินใหญ่ของทวีปนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้าย  ปรับเปลี่ยนใหม่ นักธรณีวิทยาเรียกแผ่นดินของทวีปเอเซีย  ทวีปยุโรป  ทวีปอเมริกา  ทวีปอเมริกาใต้  ทวีปอเมริกาเหนือว่าแผ่นดินทวีปใหญ่   แผ่นดินทวีปใหญ่มักจะปรับเปลี่ยนใหม่  อารยธรรมบนนี้(บนแผ่นดิน)ย่อมจะจมลงไปใต้น้ำ  เช่นนั้นผืนแผ่นดินในมหาสมุทรอื่นอาจจะลอยขึ้นมาผืนหนึ่ง  ก็คือมีการปรับเปลี่ยนใหม่อย่างนี้ไม่หยุดหย่อน  ปัจจุบันผู้คนก็ค้นพบว่า ในปัจจุบันมหาสมุทรแปซิฟิกเอย  มหาสมุทรอินเดียเอย  ใต้พื้นมหาสมุทรหลายแห่งมีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สูงใหญ่ เคยมีวัฒนธรรมคงอยู่  แต่เมื่อตรวจสอบขึ้นมาพบว่า เป็นสิ่งที่คงอยู่เมื่อหลายแสนปี หลายล้านปีก่อน หรือยุคสมัยที่ยาวนานยิ่งกว่า  อย่างน้อยที่สุดคนเราในปัจจุบันรู้ว่า  ในระหว่างช่วงหลายแสนปีนี้แผ่นดินทวีปใหญ่ไม่ได้เกิดการปรับเปลี่ยนแปลงเลย  อย่างนั้นมันจมลงไปใต้น้ำเมื่อไรละ  มันแน่นอนว่าต้องนานมาก หลายแสนปีก่อน หรือจมลงไป
นานยิ่งกว่านั้นในอดีต  ดังนั้นในเวลาที่แผ่นดินใหญ่ทวีปกำลังปรับเปลี่ยนใหม่  เผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างบนนั้นย่อมจะต่างกัน  หาได้วิวัฒนาการมาแต่อย่างใด  มีบ้างที่คล้ายคลึงกัน  แต่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชนิดเดียวกัน  ไม่ใช่อย่างแน่นอน

แน่ละข้าพเจ้ากำลังบรรยายฝอฝ่า  ดังนั้นย่อมไม่เหมือนกับทฤษฎีในหมู่คนธรรมดาสามัญ  การรับรู้(ความเข้าใจ)ของพวกเรานั้นสูงกว่า  เข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริง   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่า คนหาใช่วิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานรแต่อย่างใด  แต่ถือกำเนิดขึ้นในท่ามกลางจักรวาล  ทุกท่านทราบว่าประเทศจีนมีทฤษฎีไท่จี๋(ไท่เก๊ก)ของสายเต๋า  ทฤษฎีไท่จี๋นี้พูดถึงอากาศธาตุสองชนิดคือ อิน-หยาง  เมื่อยังไม่เกิดอากาศธาตุสองชนิดอิน-หยางนั้นเป็นสภาพที่ขมุกขมัว มันเรียกว่าอู๋จี๋ (ไร้ขั้ว)  หลังจากนั้นจึงเกิดไท่จี๋  มีอากาศธาตุสองชนิดแล้ว  จากนั้นอินหยางจึงก่อให้เกิดสรรพสิ่งนานา  นี่คือทฤษฎีของสายเต๋า ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์มาก  ที่จริงข้าพเจ้าพบสภาพการณ์อย่างหนึ่ง  แน่ละนี่ยังไม่ใช่เพียงการค้นพบของข้าพเจ้าเท่านั้น  ในท่ามกลางจักรวาลนี้สสารมากมายมหาศาลที่เคลื่อนไหวอยู่ก็สามารถก่อเกิดชีวิตได้  พวกเรามองไม่เห็นสสารนี้  มันไม่แน่ว่าจะไม่คงอยู่  อาทิเช่นอากาศนี้  ตาของคนมองไม่เห็นมัน มันก็ไม่คงอยู่หรือ  มันก็คงอยู่  สสารที่เล็กยิ่งกว่าอากาศมีอยู่หรือไม่  มีอยู่มากมาย  และยังเป็นสสารที่เล็กยิ่งกว่าสสารที่เล็กยิ่งกว่านั้น  และยังมีอยู่มากมาย  สสารมากมายมหาศาลเหล่านี้ทำไมมันจึงคงอยู่อย่างนี้ละ  ที่จริงล้วนเป็นการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิต  วัตถุสสารใดๆล้วนมีชีวิต  เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏในมิตินี้ของคนธรรมดาสามัญเรา  ท่านจึงมองไม่เห็นการคงอยู่ของชีวิตมัน  อีกสักครู่ข้าพเจ้าจะบอกว่าเพราะอะไร  วัตถุสสารใดๆล้วนมีชีวิต  ในระหว่างการเคลื่อนไหวของสสารมากมายมหาศาลชนิดนี้จึงก่อเกิดชีวิตขึ้นมา  และชีวิตชนิดนี้ในมิติที่สูงยิ่งกว่า มีมากมายที่ไร้รูป  มีจำนวนน้อยที่เป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์  หรือรูปลักษณ์ของสัตว์ หรือรูปลักษณ์ของวัตถุสสาร หรือรูปลักษณ์ของพืช

ถ้าเช่นนั้นเหตุใดที่สุดแล้วจึงมาถึงคนตรงนี้ละ  เพราะตั้งแต่ต้นนั้นไม่มีคนที่ตรงนี้  ชีวิตที่เกิดขึ้นจากผลของการเคลื่อนไหวของสสารของจักรวาลนี้ล้วนแต่กลืนกลายเข้ากับคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล  หรือพูดว่ามันกลืนกลายเข้ากับหลักธรรมนี้ของจักรวาล  กลืนกลายเข้ากับ เจิน ซั่น เหยิ่น  เพราะมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาในท่ามกลาง เจิน ซั่น เหยิ่น   ดังนั้นชีวิตนี้เมื่อเกิดขึ้นมากๆในมิติชั้นสูง  สภาพแวดล้อมที่เขาคงอยู่จึงเปลี่ยน มีความสลับซับซ้อนมาก เขามีรูปแบบการคงอยู่ของสังคมของพวกเขา ก็เหมือนสังคมของมนุษย์เรา  คนจะคงอยู่อย่างไร  เขาก็มีรูปแบบการคงอยู่ของสังคมของเขา   ในเมื่อเขามีรูปแบบการคงอยู่ของสังคมของเขา  ชีวิตเหล่านี้จึงค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลง  เปลี่ยนแปลงจนสลับซับซ้อน  บ้างก็เกิดความคิดเห็นแก่ตัว  เบี่ยงเบนไปจากคุณสมบัติพิเศษของจักรวาลที่เป็นข้อกำหนดต่อชีวิตในระดับชั้นนั้น   ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถอยู่ในเขตแดนนี้ได้แล้ว  ดังนั้นจึงได้แต่ตกลงไป  ตกสู่ระดับชั้นต่ำลงมา  เช่นนั้นเมื่อเขาอยู่ในระดับชั้นต่ำยังเปลี่ยนแปลงยิ่งไม่ดีอีก  เขาจึงได้แต่ตกลงไปอีก  ก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตนี้อยู่ในท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไม่ดีไปเรื่อยๆ  จึงค่อยๆตกลงจากมิติระดับชั้นทีละชั้น ทีละชั้น  จึงตกลงมาสู่มิติระดับชั้นของมนุษย์นี้  ครั้นแล้วก็ดำรงชีวิตด้วยปัญญาระดับต่ำ(ความสามารถต่ำ) ขยายเผ่าพันธ์และเลี้ยงดูลูกหลานด้วยวิธีของปัญญาระดับต่ำ(ความสามารถต่ำ)

แต่เมื่อตอนเริ่มต้นนั้นไม่มีมิติระดับชั้นนี้ของมนุษย์   เช่นนั้นผู้รู้แจ้งเหล่านี้  ชีวิตระดับชั้นสูงเหล่านี้จึงคิดสร้างมิติหนึ่งให้กับคนอีกครั้ง  สร้างมิติที่อยู่ในวังวนที่สุด  ดูว่าธาตุแท้นี้ของคนจะสูญหายไปหรือไม่  ดูว่าเขายังจะสามารถหวนกลับคืนมาได้ไหม  ก็เป็นอย่างนี้จึงสร้างมิติเช่นนี้ขึ้นมามิติหนึ่ง  ในเวลานั้นก็คือสร้างให้กับคน  ให้โอกาสสุดท้ายแก่ชีวิต  ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใคร่ครวญปัญหามากนัก  แต่ต่อมากลับพบว่ามิตินี้ช่างพิเศษนัก  เนื่องจากสิ่งมีชีวิตในมิตินี้ต่างมองไม่เห็นมิติอื่น    มองไม่เห็นชีวิตในมิติอื่น แต่ในมิติอื่นของจักรวาลสามารถมองเห็นทัศนียภาพของมิติอื่น  ชีวิตของมิติใดๆ ร่างกายของเขาล้วนสามารถบินอยู่ในมิตินั้นได้  ลอยมาลอยไป  ชีวิตในมิติระดับชั้นใดๆเขาล้วนสามารถเปลี่ยนร่างกายให้ใหญ่หรือเล็กได้  ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า  ความคิดของคนเป็นสสาร  เหมือนกระแสไฟฟ้า   แน่นอนว่าท่านยอมรับว่ากระแสไฟฟ้านั้นเป็นสสาร  แต่ในมิติอื่นพบว่า มันไม่ใช่เรียบง่ายอย่างนี้  ความคิดของคนสามารถก่อเกิดสิ่งที่ท่านจินตนาการ  สิ่งที่ท่านคิดสามารถกลายเป็นจริง  เพราะคนไม่มีพลังงาน ดังนั้นพอมันก่อเกิดขึ้นมาได้ครู่หนึ่งมันก็สลายไป แต่สิ่งที่ผู้รู้แจ้ง ชาวสวรรค์  ชีวิตระดับชั้นสูง ซึ่งมีพลังงานคิดออกมา  ก็จะคงอยู่จริงๆ  ดังนั้นท่านคิดจะได้อะไร ก็จะก่อเกิดสิ่งนั้นออกมาตามที่คิด  ดังนั้นในอดีตผู้คนจึงพูดว่า  พระพุทธนั้น คิดอยากจะได้อะไรก็ได้อะไร   มีอิสระเสรี ชีวิตเหล่านั้นล้วนคงอยู่กันอย่างนี้ แต่มนุษย์ถูกผลักมาถึงมิตินั้จึงกลายเป็นคงอยู่กันอย่างนี้

ทุกท่านต่างออกมาจากครรภ์มารดา  รู้สึกว่าตนเองไม่เลวนัก  บางคนทำการค้าได้ดีมาก  บางคนเป็นข้าราชการตำแหน่งใหญ่  บางคนดำรงชีพอย่างอิสระเสรี  จึงรู้สึกว่าดีกว่าคนอื่น  ที่จริงท่านนั้นทุกข์มาก  เพราะท่านไม่ทราบว่าเมื่อก่อนดำรงชีพอย่างไร  อาทิเช่น  เพราะในศาสนาพูดกันว่า คนมีชีวิตอยู่ก็คือทุกข์  เพราะอะไรหรือ  เมื่อท่านออกมาจากครรภ์มารดานั้น ท่านก็มีร่างกายหนึ่งที่เป็นสสารซึ่งประกอบขึ้นจากโมเลกุลอย่างนี้แล้ว ในมิติอื่น เขาไม่มีร่างกายชั้นนี้ที่ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล  ร่างกายชั้นผิวที่สุดของเขาประกอบขึ้นมาจากอะตอม และมิตินี้สร้างขึ้นโดยสสารชั้นผิวที่ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล รวมทั้งกายเนื้อของคนก็ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุลนี้  ร่างกายนี้ที่ประกอบขึ้นมาโดยสสารชั้นนี้  พอเกิดมาท่านก็มีกายเนื้อนี้แล้ว  ให้ดวงตาคู่หนึ่งที่ประกอบขึ้นมาโดยโมเลกุลอย่างนี้แก่ท่าน    ท่านมองไม่เห็นมิติอื่น  ดังนั้นท่านจึงอยู่ในวังวนนี้   ในเมื่อท่านอยู่ในวังวนซึ่งมองไม่เห็นภาพจริงของจักรวาล   ท่านว่าที่ท่านอยู่นี้ใช่หรือไม่ว่าเหมือนกับนั่งอยู่ในบ่อมองดูท้องฟ้า  โดยตัวมันเองก็คือมีชีวิตอยู่อย่างน่าเวทนายิ่งแล้ว           อีกทั้งบวกเข้ากับการที่คนมีร่างกายนี้แล้ว ร่างกายที่กลัวเจ็บปวด  หนาวก็ไม่ได้  ร้อนก็ไม่ได้  กระหายน้ำก็ไม่ได้  ท่านเดินพอเหนื่อยก็ไม่ไหว  ถึงอย่างไรก็ให้ท่านมีความไม่สบายต่างๆนานา  มีความทุกข์ทรมานต่างๆนานา  โดยเฉพาะคือยังมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คงอยู่ด้วย  เจ็บป่วยบ่อยๆ   แต่ท่านรู้สึกว่าท่านอยู่อย่างสุขสบาย  ที่จริงท่านก็เพียงแต่ดีกว่าคนอื่นนิดหน่อยในท่ามกลางความทุกข์ทรมานนั้น   ทุกข์ทรมานน้อยกว่าหน่อย  ท่านก็รู้สึกว่าท่านสุขสบายมากแล้ว  คนก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้  ดังนั้นคนซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงค่อยๆสูญเสียธาตุแท้ของคนไป  ยิ่งไม่เชื่อการคงอยู่ของเทพมากขึ้นเรื่อยๆ  บวกกับความไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ของวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยัน  คนจึงสูญเสียมาตรฐานศีลธรรมของคน  เขาจึงตกลงสู่สภาพที่อันตรายที่สุดแล้ว

แต่ สังคมมนุษย์ก็มีข้อดีมากอยู่ข้อหนึ่ง  เนื่องจากเขาทุกข์ยาก  ดังนั้นเขาจึงสามารถจะบำเพ็ญ  ทำไมพระพุทธเขาจึงเป็นพระพุทธในโลกของพระพุทธอยู่เสมอ  ทำไมเขาไม่สามารถยกระดับสูงยิ่งขึ้นละ   พระโพธิสัตว์นั้นเหตุใดไม่สามารบำเพ็ญเป็นพระพุทธละ  เขาคิดจะทนทุกข์สักหน่อยก็ไม่มีที่ที่จะค้นหาได้    เนื่องจากเขา(คน)อยู่ในวังวนและสามารถยืนหยัดในจิตพุทธนี้ของเขา  เขาจึงสามารถบำเพ็ญได้  พูดถึงเขา(พระพุทธ)ที่นั่น เขาไม่มีวังวน  ไม่ว่าอะไรเขาก็มองเห็น อะไรก็มองเห็นหมด เมื่อบำเพ็ญขึ้นมาก็ไม่นับแล้ว  ดังนั้นการบำเพ็ญต้องมาก่อน  การรับรู้(อู้)ต้องมาก่อน  มองเห็นภายหลัง   บางคนพูดว่า ถ้าฉันมองเห็นแล้ว ฉันค่อยไปบำเพ็ญ  ถ้าฉันมองไม่เห็น ฉันก็ไม่ไปบำเพ็ญ  หากให้ทุกท่านต่างมองเห็นแล้ว  สังคมคนธรรมดาสามัญนั่นก็จะไม่ใช่สังคมมนุษย์แล้ว  ก็เป็นสังคมของเทพ  ร้อยทั้งร้อย  จะไม่มีสักคนหนึ่งตกหล่น  ใครก็จะไปบำเพ็ญกันหมด  คนที่ทำชั่วไม่ละเว้น  คนที่เลวลงไปอีก ก็จะไปบำเพ็ญกันหมดแล้ว ท่านลองคิดดูมันยังเป็นสังคมมนุษย์อยู่หรือ  ก็คือคนเปลี่ยนแปลงจนไม่ดีแล้วจึงตกลงมาในสภาพแวดล้อมแห่งนี้  ท่านคิดจะหวนคืนกลับไปก็ต้องเพียบพร้อมด้วยองค์ประกอบสองอย่างนี้  หนึ่งคือการทนทุกข์  อีกหนึ่งคือการรับรู้(อู้)  การรับรู้นั้นหนา  พระเยซูพูดถึงการเชื่อ  ในทางตะวันพูดถึงการอู้   หากท่านสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป  ท่านก็บำเพ็ญไม่ได้แล้ว   แต่เมื่อเริ่มบำเพ็ญเหตุใดคนจึงมักจะรู้สึกว่าบำเพ็ญยากมากหนา  ที่แท้การบำเพ็ญนั้นไม่ยากเลย  ที่ยากก็คือยากอยู่ที่ใจของคนธรรมดาสามัญนั้นปล่อยวางไม่ได้   ในประวัติศาสตร์ อะไรคือฝอฝ่า(พุทธธรรม) ล้วนไม่บอกให้กับคน   ผู้คนต่างถือว่าสิ่งที่องค์ศากยมุนีทรงสอนคือฝอฝ่าที่เป็นระบบแล้ว ทุกท่านคิดดูนะ  จักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้มันครบถ้วนบริบูรณ์มาก  เปี่ยมด้วยสติปัญญา  องค์ศากยมุนีพุทธเพียงแต่บรรยายหลักการของพุทธเพียงเล็กน้อยส่วนหนึ่ง  โดยเฉพาะคือองค์ศากยมุนีพุทธก็ไม่ได้นำทุกสิ่งที่ทรงทราบบอกกับคน  พระองค์เพียงแต่ตรัสสิ่งที่คนสมควรรู้ให้เท่านั้น   ดังนั้นปัจจุบันฝอฝ่าที่เหลือไว้ให้สังคมมนุษย์จึงเป็นเพียงส่วนน้อยนิดส่วนหนึ่งของฝอฝ่า  นิดเดียวเท่านั้น  เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  สิ่งที่ข้าพเจ้าเหลือไว้ให้กับสังคมมนุษย์นั้นมากมายเหลือเกิน  ข้าพเจ้าได้ทำเรื่องที่คนแต่ก่อนไม่เคยทำมาก่อน  หนังสือเล่มนี้ “จ้วนฝ่าหลุน”ที่ข้าพเจ้าเขียน ภาษาไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์  เนื่องจากการใช้กฎเกณฑ์ภาษาในปัจจุบันไม่อาจครอบคลุมความหมายในระดับชั้นที่สูงกว่า ใหญ่กว่า  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงใช้รูปภาษาพูดเขียน

ได้พูดมากมายเช่นนี้แล้ว  เพราะวันนี้ดูเหมือนเวลาจะมีมากพอ  ข้าพเจ้าจึงคิดจะบรรยายให้กับทุกท่านมากสักหน่อย  แต่ว่าหลายคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่  หากข้าพเจ้าบรรยายสูงเกินไปบางทีจะรับไม่ได้  อย่างเช่นบางคนไม่เคยศึกษามาก่อนเลย  แต่รู้สึกว่าดีก็มาลองฟังดู   หลายคนอาจจะอยากได้สิ่งของอะไรสักหน่อย  หรือมาดูว่าข้าพเจ้าจะแสดงอะไรบ้าง  พกพาเอาจิตใจนานาชนิดมา   หากวันนี้ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แสดงให้ท่านดู  ท่านหัวเราะพออกพอใจ  ก็เหมือนชมมายากล  ชมปาหี่  ท่านจะไม่เห็นข้าพเจ้าและฝ่าเป็นเรื่องสำคัญ  การถ่ายทอดฝอฝ่าก็ไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าได้แต่บรรยายฝอฝ่านี้ให้กับท่าน  เชื่อหรือไม่เชื่อแล้วแต่ท่าน  แต่พลานุภาพของเขายิ่งใหญ่มาก  ข้าพเจ้านำสิ่งที่ข้าพเจ้าจะมอบให้กับคน ให้สิ่งที่คนสามารถจะบำเพ็ญได้ ล้วนหลอมเข้าไปในฝ่าชุดนั้นแล้ว   วิดีทัศน์ เทปบันทึกเสียงของข้าพเจ้ากับหนังสือเล่มนี้ที่ข้าพเจ้าเขียน  ท่านเพียงแต่ไปอ่าน  ท่านก็จะรู้สึกได้  ท่านเพียงแต่ไปอ่าน ร่างกายท่านก็จะได้รับการชำระ  ทำให้ท่านบรรลุถึงสภาพที่ไร้โรค  ท่านเพียงไปบำเพ็ญ  ท่านก็จะสามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น   ท่านเพียงไปบำเพ็ญ  ท่านก็จะสัมผัสได้ในสิ่งที่คนธรรมดาสามัญไม่อาจสัมผัสได้  นับวันเขตแดนก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ   นับวันยิ่งมหัศจรรย์ขึ้นเรื่อยๆ  ล้วนแต่อยู่ในหนังสือเล่มนั้น   แต่หากท่านไม่บำเพ็ญท่านก็จะมองไม่เห็น   ท่านว่าฉันอ่านหนึ่งรอบก็อยากจะมองเห็นได้หมด  เป็นไปไม่ได้  ท่านเพียงอยู่ในเขตแดนนี้ของท่าน  มองเห็นสิ่งที่อยู่ในระดับความเข้าใจของท่านนี้  ส่วนสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น ท่านต้องบำเพ็ญขึ้นไปเท่านั้น  ท่านต้องศึกษาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยไป  บำเพ็ญให้ลึกซึ้ง  อ่านให้ลึกซึ้ง  จึงจะสามารถสัมผัสได้  จึงจะมองเห็นได้  จึงจะรู้ได้ 

ข้าพเจ้าบรรยายสูงเกินไป  คนจำนวนมากก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจได้  ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้  สองปีมานี้ข้าพเจ้าไม่ได้บรรยายฝ่าอย่างเป็นระบบแล้ว   เพราะฝ่าที่ข้าพเจ้าเหลือไว้ให้กับคนก็ได้เหลือไว้ให้ทั้งหมดแล้ว  กระทั่งในเวลาที่ข้าพเจ้าบรรยายจะไม่อนุญาตให้ใครบันทึกเสียง   เพราะอะไรละ  มีหลายคนเขากำลังแสวงหาความแปลกใหม่  อาจารย์พูดอะไรอีกแล้ว  พูดอะไรอีกแล้ว  เขาแสวงหาสิ่งเหล่านี้   แต่ไม่ได้บำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆ  สิ่งที่ข้าพเจ้าให้ท่านบำเพ็ญคือ “จ้วนฝ่าหลุน”หนังสือเล่มนี้คือฝ่าที่เป็นระบบ สิ่งอื่นที่ข้าพเจ้าพูดล้วนเป็นการอธิบาย “จ้วนฝ่าหลุน”เป็นส่วนเสริมทั้งสิ้น หลังจากบันทึกเสียงแล้ว ไปเผยแพร่ในสังคม  จะก่อให้เกิดการรบกวนต่อผู้ที่บำเพ็ญจริง  “จ้วนฝ่าหลุน”เล่มนั้น ล้วนเป็นระบบตั้งแต่ระดับต่ำถึงระดับสูง   แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายในขณะนี้เพียงแต่บรรยายเจาะจงต่อคนในขณะนี้   

ข้าพเจ้ายังคิดจะเน้นปัญหาหนึ่ง ก็คือผู้บำเพ็ญเราเน้นเรื่องแน่วแน่หนึ่งเดียว  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  การเลือกเอาสิ่งที่ดีของคนเขา คำพูดนี้ เป็นคำพูดในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ไม่ใช่คำพูดในวงการบำเพ็ญ    การศึกษาวิทยาการ  วิทยาการของใครดีก็ศึกษาของคนนั้น  นี่ไม่มีปัญหา  แต่อยู่ในระดับชั้นสูงมองหลักการของมนุษย์จะกลับกัน  ที่มนุษย์คิดว่าดี อาจจะไม่ดี  ล้วนกลับกันหมด   ท่านเห็นว่าพวกเราฝั่งนี้เป็นเวลากลางวัน  แต่ฝั่งนั้นจะเป็นเวลากลางคืน   ท่านเข้าใจว่าถูก  ก็อาจจะไม่ถูก  เพราะอะไรหรือ  ข้าพเจ้าจะบอกหลักการง่ายๆข้อหนึ่งให้กับทุกท่าน   ทุกท่านต่างรู้ว่าคนที่ทุกข์ทรมานรู้สึกว่าไม่ดี  หรือใครรังแกท่านแล้วท่านจะรู้สึกไม่สบายใจ  ท่านก็จะรู้สึกว่าไม่ดี   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ว่า คนทนทุกข์สักหน่อย  ประสบกับเคราะห์กรรมสักหน่อยนั้นเป็นเรื่องดี   ท่านดู ที่ข้าพเจ้าบอกให้ท่านก็ไม่เหมือนกัน  เพราะอะไรละ   เพราะเมื่อไปถึงมิติระดับชั้นสูง หลักการนี้จะกลับกันทั้งหมด  เขาเข้าใจว่า  คนไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อเป็นคน  ท่านอยู่ในสังคมมนุษย์ประสบกับเคราะห์กรรมสักหน่อย  ชดใช้กรรมที่ติดค้างในชาติก่อนของท่านไป  ท่านจึงจะสามารถหวนคืนกลับสู่มิติระดับชั้นสูง   กระทั่งหวนคืนกลับที่ที่ท่านถือกำเนิด  ที่ที่งดงามที่สุด  แม้ว่าจะไม่สามารถจะยกระดับได้  ชาติถัดไปทุกข์ภัยก็จะน้อยเพราะกรรมน้อยลงแล้ว  

แต่กรรมที่ท่านติดค้าง ถ้าท่านไม่ชดใช้  ท่านก็ไปสู่เขตแดนระดับสูงไม่ได้  ก็เหมือนหลักการนี้ที่ข้าพเจ้าพูด ในขวดใบนี้หากบรรจุสิ่งสกปรกไว้เต็ม  ท่านปิดฝาขวดนี้ให้แน่น  แล้วทิ้งลงไปในน้ำ  ตูม ประเดี๋ยวเดียวก็จมลงไปแล้ว หากท่านเทสิ่งสกปรกในนี้ออกไปนิดหนึ่ง  มันก็จะลอยขึ้นมาได้นิดหนึ่ง  เทออกไปนิดหนึ่งก็ลอยขึ้นมานิดหนึ่ง เทออกไปยิ่งมาก  ท่านปิดปากขวดเอาไว้หลังจากนั้นท่านลองดู  ถึงท่านจะกดมันก็จะกดไม่ลง  มันจะลอยขึ้นมาได้เอง ก็เหมือนคนเราที่บำเพ็ญ  ร่างกายท่านแต่ละภพแต่ละชาตินั้น  หรือพูดได้ว่า ในแต่ละชาติ แต่ละภพท่านอาจจะเคยรังแกคนไว้  เคยหลอกลวงคนไว้  หรือเคยทำร้ายคน  เคยฆ่าชีวิต เป็นต้น  ไม่แน่ว่าอาจเคยทำเรื่องที่ไม่ดียิ่งกว่านี้  ดังนั้นกรรมที่ติดค้างไว้ท่านก็ต้องชดใช้ จักรวาลนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง เรียกว่า  ไม่เสียก็จะไม่ได้  เมื่อจะได้ก็ต้องเสีย   สิ่งที่ติดค้างต้องชดใช้  ชาตินี้ไม่ชดใช้ชาติต่อไปต้องชดใช้  ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน  ดังนั้นคนปัจจุบันที่ประสบความทุกข์ยาก เขาเข้าใจว่าเป็นความบังเอิญ คนอื่นไม่ยุติธรรมกับเขา  คนอื่นไม่ดี  ขอบอกทุกท่านว่า ล้วนไม่ใช่ความบังเอิญ  ล้วนเกิดจากกรรมที่เคยติดค้างไว้เมื่อก่อน  หากคนๆหนึ่งไม่มีกรรมเลย  เมื่อเดินอยู่บนถนนใหญ่ใครเห็นท่านก็ต้องยิ้มให้   คนที่ไม่เคยรู้จักก็จะยินดีรับใช้ท่าน  ท่านจะปลอดโปร่งโล่งสบายแน่นอน   แต่คนอย่างนี้ รับรองว่าเขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ในมิติของมนุษย์ได้  เขาจึงควรจะกลับไปอยู่บนสวรรค์  คนก็เป็นเช่นนี้  เพราะคนมีกรรม  หากความคิดไม่ชำระให้สะอาด ก็จะบำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้ตลอดไป   ก็เหมือนกับหลักการที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่

คนทนทุกข์สักหน่อย  ประสบเคราะห์กรรมสักนิด หาใช่เรื่องที่ไม่ดี  เมื่อท่านประสบเคราะห์กรรม จึงสามารถชดใช้กรรมได้  ท่านก็จะไปที่ที่งดงามยิ่งอย่างแท้จริงได้  ไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไปชั่วนิรันดร์   ท่านอยู่ในสังคมมนุษย์รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเท่าไร   ครอบครัวท่านมั่งคั่งสมบูรณ์  ตำแหน่งหน้าที่ของท่านสูงเพียงไร ก็แค่ไม่กี่สิบปี  ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ทุกท่านคิดดูเมื่อกลับชาติมาเกิด  ท่านมาตัวเปล่า  จากไปตัวเปล่า  ท่านนำอะไรติดตัวไปได้ไหม  ท่านนำอะไรไปไม่ได้เลย  ท่านทิ้งไว้ให้ใครละ    ท่านรู้สึกว่าก็ให้กับคนรุ่นหลังสิ  แต่ครั้งต่อไปที่ท่านกลับชาติไปเกิดอีก  เขาไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร  ท่านไปทำงานกับเขาที่นั่น  กวาดบ้าน  ไม่แน่ว่าเขาจะดีต่อท่าน  และไม่แน่ว่าจะให้เงินทองแก่ท่าน  เป็นอย่างนี้จริงๆ  คนจึงลุ่มหลงอยู่ในนี้

พวกเราที่นี่พูดถึงหลักการของธาตุแท้ของชีวิตคน  โดยเฉพาะคือผู้บำเพ็ญ  ทุกท่านคิดดู  ในเวลาที่เราประสบกับความทุกข์ยาก  เมื่อคนอื่นรังแกท่าน  คนอื่นสร้างความยุ่งยากให้กับท่าน  เมื่อท่านสูญเสียผลประโยชน์ทางวัตถุ  หากให้ข้าพเจ้ามอง นั่นไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีอะไร  เพราะในจักรวาลมีหลักการหนึ่ง  คือไม่เสียก็จะไม่ได้  อยากจะได้ก็ต้องยอมเสีย ยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกข้อหนึ่ง  ท่านได้โดยไม่เสีย  มันก็จะบังคับให้ท่านเสีย  นี่คือคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล  ในจักรวาลอันมหึมานั้นสสารทั้งปวงล้วนคือชีวิต  สสารทั้งปวงล้วนประกอบขึ้นโดย เจิน ซั่น เหยิ่น  ดังนั้นวัตถุใดๆ หินเอย  เหล็กกล้าเอย  อากาศเอย  วัตถุ ผลิตภัณฑ์ใดๆที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น  สสารในระดับจุลทรรศน์ที่ประกอบขึ้นมาล้วนประกอบขึ้นจาก เจิน ซั่น เหยิ่น  คุณสมบัติพิเศษนี้   จักรวาลอันมหึมานี้ก็ประกอบขึ้นจาก เจิน ซั่น เหยิ่น  เขาได้สร้างดุลยภาพให้กับทุกสิ่งในจักรวาล   ในเวลาที่มีคนตีคน  ด่าคน  รังแกคน สร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่นแล้ว รู้สึกว่าตนเองพอใจมาก  เขาก็เท่ากับเป็นฝ่ายที่ได้  คนธรรมดาสามัญจะพูดกับเขาว่า  คุณเก่งจริง  ใช้ได้  คุณไม่เสียเปรียบ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเสียเปรียบมากเหลือเกิน  เพราะอะไร  ในเวลาที่เขาทำเรื่องไม่ดี  นับว่าเขาเป็นฝ่ายที่ได้  เขารังแกคนอื่นแล้ว  นับว่าเขาได้แล้ว  เช่นนั้นเขาก็ต้องเสีย   เพราะสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามได้รับคือความเจ็บปวด ดังนั้นจึงเท่ากับเขาสูญเสียความสุขสบาย   ดังนั้นคู่กรณีก็ควรจะได้รับ  ได้รับอย่างไรหรือ  ท่านชกเขาหนึ่งหมัด  ด่าเขาหนึ่งคำ  เช่นนั้นตามที่ท่านด่าเขาแรงเพียงไร  ตีหนักเพียงไร  จากบริเวณรอบๆร่างกายท่านก็จะมีสสารสีขาวก้อนหนึ่งขนาดเท่าเทียมกันลอยออกไป  สสารชนิดนี้เรียกว่ากุศล  ตกไปให้ฝ่ายตรงข้าม  ตกไปที่ร่างกายของฝ่ายตรงข้าม  ฝ่ายตรงข้ามเขาก็เป็นคนหนา  เขาอาจไม่เข้าใจเหตุผลนี้  คุณตีฉันแล้ว  โกรธจนเหลือทน   ในเวลาที่เขาโกรธ  เท่ากับเขาผลักกุศลนี้กลับคืนไป  หันกลับมาชกเขาคืนหนึ่งหมัด  ด่าเขาคำหนึ่ง  ดังนั้นเขาจึงเอากุศลโยนกลับไป  ทั้งสองคนต่างไม่เสียและไม่ได้  ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น   หลักธรรมของจักรวาลนั้นยุติธรรม

หากในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ใจของเขาสามารถปล่อยวางได้  คือ เธอตีฉัน  เธอด่าฉัน ใจของฉันไม่สะทกสะท้าน  ฉันไม่ถือสา  เพราะฉันเป็นผู้บำเพ็ญ  เธอเป็นคนธรรมดาสามัญ  ฉันไม่อาจเป็นอย่างเดียวกับเธอ เช่นนั้นทุกท่านคิดดู  มาตรฐานศีลธรรมของคนๆนี้ได้ยกระดับเหนือคนทั่วไปแล้วใช่หรือไม่ เวลาที่คนอื่นตีเขา  คือให้กุศลแก่เขาใช่ไหม  และกุศล สสารชนิดนี้สามารถผันแปรเป็นพลังได้   พลังของท่านมาจากไหนหรือ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ก็คือสิ่งที่ผันแปรมาจากกุศล  ยังมีสสารต่างๆที่รวบรวมมาจากจักรวาลซึ่งเพิ่มให้กับกุศลของท่าน  จึงผันแปรออกมาเป็นพลัง ท่านไม่มีกุศลนี้  ท่านก็บำเพ็ญพลังนี้ออกมาไม่ได้ เช่นนั้นในเวลาที่เขาตีท่าน  เขาเอากุศลของเขาให้กับท่าน  ท่านได้กุศลเพิ่มขึ้น  ท่านยังบำเพ็ญสูงขึ้นได้อีก  คือหลักการเช่นนี้ใช่ไหม   สิ่งที่ท่านได้รับยังมากกว่าการชดเชยนี้ที่คนธรรมดาสามัญได้สร้างความเจ็บปวดให้กับท่านใช่ไหม  ดังนั้นขณะที่เขาตีท่าน  หรือด่าท่าน สร้างความยุ่งยากอะไรให้กับท่าน  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงประสบกับความเจ็บปวด  ในขณะที่ท่านเจ็บปวดกรรมที่ติดตัวท่านอยู่  สสารสีดำชนิดนั้นที่ติดค้างไว้ในภพก่อน  ซึ่งเรียกว่ากรรมนั้น  มันยังจะผันแปรเป็นกุศล  มันยังจะให้กุศลส่วนหนึ่งโดยสัมพันธ์กัน  ในฐานะคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง  ทุกท่านคิดดู ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เธอสร้างความเจ็บปวดให้ฉันหน่อยหนึ่ง  ฉันกลับได้รับการชดเชยสองส่วนแล้ว

แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญเขาจะได้รับสี่อย่าง  เมื่อประสบกับทุกสิ่งนี้  ท่านไม่เป็นเหมือนเขา  จิตใจสงบเยือกเย็น ก็คือถูกตีไม่ตีตอบ  ถูกด่าไม่ด่าตอบ  จิตใจสงบเยือกเย็นมาก  ทุกท่านคิดดู  ซินซิ่งของท่านมิใช่บำเพ็ญขึ้นมาแล้วหรือ  ถ้าเขาไม่สร้างความยุ่งยากนี้ให้กับท่าน  เขาไม่สร้างความเจ็บปวดให้ท่าน  ท่านจะไปบำเพ็ญอย่างไร  ท่านนั่งอยู่ตรงนั้นสบายๆ  ดื่มน้ำชา  ดูทีวีก็บำเพ็ญขึ้นมาแล้ว คิดจะขึ้นไปได้สูงเท่าไรก็ได้เท่านั้น  นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ก็คือในท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อน  ล้มลุกคลุกคลาน  อยู่ในทุกข์ภัย ท่านจึงจะยกระดับจิตดวงนั้นของท่านได้  ท่านจึงจะสามารถบรรลุถึงมาตรฐานที่สูง  เขตแดนที่สูง  ในเมื่อซินซิ่งของท่านไม่เป็นเหมือนอย่างของเขา ซินซิ่งของท่านก็บำเพ็ญขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่  ท่านได้ทีเดียวสามอย่าง  ในเมื่อท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ระดับชั้นของท่านก็ยกระดับขึ้นมา หยวนหมั่นเร็ววันขึ้นใช่หรือไม่  ในเมื่อซินซิ่งของท่านบำเพ็ญขึ้นมาแล้ว  พลังของท่านก็เพิ่มขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่  แน่นอนทีเดียว  มีเหตุผลเช่นนี้อยู่ข้อหนึ่ง เรียกว่า ซินซิ่งสูงเพียงใด  พลังสูงเพียงนั้น หากพูดว่าซินซิ่งของคนนี้สูงเพียงเท่านั้น  มีแต่พลังเพิ่มขึ้นกระนั้นหรือ  นั่นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  ไม่มีเรื่องอย่างนี้อยู่  เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  บางคนรู้สึกว่า  ผู้บำเพ็ญบางคน เห็นว่าซินซิ่งของเขายังไม่ดีเหมือนฉันนะ  ทำไมเขามีพลังละ   ในด้านนี้เขาไม่ดีเท่ากับท่าน  เขาอาจมีบางด้านที่ดีกว่าท่าน  เพราะในระหว่างการบำเพ็ญของคนนั้น เป็นการละจิตไปทีละอย่าง ละอย่าง  จิตบางอย่างที่ไม่ได้ทิ้งไปปรากฏออกมา เขาก็ยังเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ  แต่จิตที่ละทิ้งไป ไม่มีแล้วจึงย่อมจะแสดงออกมาไม่ได้แน่นอน  ในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ในเวลาที่ท่านได้รับความเจ็บปวด  ท่านจะได้ทีเดียวสี่อย่าง  พูดเล่นๆว่า  ท่านจะไปหาของราคาถูกอย่างนี้ได้ที่ไหนกัน

มีคนตีฉัน  ด่าฉันแล้ว  ตนเองก็โกรธเหลือทน  จิตใจร้อนรุ่ม หรือคนอื่นเอาเปรียบฉัน  ได้เงินที่ฉันควรจะได้  ทนไม่ไหวแล้ว   คนนั้นมักเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้เหลือเกิน  กระทั่งผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันก็ไม่อาจสูญเสียไป   ทุกท่านคิดดู  คนๆนี้มีชีวิตอยู่อย่างน่าเวทนาเพียงไร  พอเขาได้เปรียบนิดหนึ่ง  เขาก็ดีอกดีใจเหลือเกิน เพียงเพราะการได้เปรียบเล็กน้อยเพียงแค่นั้น   คนทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนี้  เขาหาได้รู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาสูญเสียไปจริงๆคืออะไร  คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  กุศลนี้ทำไมจึงสำคัญมากอย่างนี้ละ  ทุกท่านทราบ  ผู้สูงอายุชาวตะวันออกต่างพูดว่า เมื่อมีกุศล จึงจะมีโชคลาภ  โชคลาภนี้ครอบคลุมหลายด้านคือ  ได้เป็นข้าราชการชั้นสูง  ร่ำรวย   มีบ้าน มีที่ดิน มีความสุขสบายเป็นต้น  ล้วนแต่แลกมาด้วยกุศลนั้น มันติดตามชีวิตคนไป  และเมื่อคนตายไปมันก็ตามไปกับจิตหลัก  ท่านกลับชาติไปเกิดมันก็ยังตามท่านกลับชาติไปเกิดด้วย  ไม่ใช่แค่กุศล  สสารสีดำหรือกรรมที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่  กรรมชนิดนี้ก็ติดตามชีวิตคนไป   สสารสองชนิดนี้ล้วนติดตามคนไป  ในอดีตคนชราพูดกันว่า  หากทำเรื่องไม่ดีต้องถูกลงโทษ  ใครลงโทษท่านหรือ  ใครจดบัญชีนั้นไว้ให้ท่านหรือ  ไหนเลยจะมีคนสนใจเรื่องเหล่านี้  แต่กุศลนี้มันกลับอยู่บนตัวท่าน  มันก็ติดตัวท่านอย่างเหนียวแน่น ชาติหน้าก็ดูที่กุศลนี้  เมื่อกรรมมาก ชีวิตนี้ของท่านก็จะเจ็บปวดมาก  โรคมาก  ทุกข์ภัยมาก  หากกุศลมาก ชีวิตนี้ท่านก็มีเงินทองมาก  มีโชคลาภมาก  ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต   ก็คือเกิดจากสิ่งนี้   ฉะนั้นในฐานะผู้ฝึกพลัง  กุศลนี้จึงยิ่งมีค่าแล้ว  มันสามารถผันแปรเป็นพลัง  ก็คือเหตุผลอย่างนี้

วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันมองไม่เห็นจุดนี้  เป็นเพราะวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่สามารถค้นคว้าวิจัยได้ถึงมิติระดับชั้นนี้   มนุษย์เราอาศัยอยู่ในมิติที่มีรูปแบบอย่างไรนะ  ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน   มิติระดับชั้นนี้ที่มนุษย์เราอาศัยอยู่นั้น อยู่ระหว่างอณูของสสารสองชนิด  อณูนี้  พวกเราที่เคยเรียนวิชาฟิสิกส์ทราบว่า   โมเลกุลเอย  อะตอมเอย  นิวเคลียสอะตอมอะไรเอย  ควาร์กเอย  นิวทริโนเอย  พวกมันล้วนเป็นอณูระดับชั้นหนึ่ง  มันประกอบเป็นสสารมูลฐานของอณูที่ใหญ่กว่า   คนเราอาศัยอยู่ในระหว่างอณูระดับชั้นไหนหรือ  สิ่งที่ใหญ่ที่สุดที่เราเห็นได้โดยใช้ตาคือดวงดาว   สิ่งที่เล็กที่สุดที่เห็นได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์คือโมเลกุล   ที่จริงคนเราก็อาศัยอยู่ในมิติชั้นนี้ที่อยู่ระหว่างดวงดาวกับโมเลกุล   เรารู้สึกว่ากว้างใหญ่มหึมามาก  ไกลโพ้นมาก   ใหญ่อย่างไร้ที่เปรียบ  ข้าพเจ้าว่าวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่ก้าวหน้า  ยานอวกาศของท่านบินไปไกลเพียงไร  ท่านก็บินไปไม่พ้นมิติสสารนี้ของเรา  คอมพิวเตอร์จะก้าวหน้าเพียงไรก็เทียบไม่ได้กับสมองคน  สมองคนในขณะนี้ยังคงเป็นปริศนา   ดังนั้นวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ยังคงตื้นเขินมาก

ทุกท่านลองคิดดู   มนุษย์เราอาศัยอยู่ระหว่างดวงดาวกับโมเลกุล อณูสองชนิดนี้   ในเมื่อโมเลกุลประกอบขึ้นด้วยอะตอม  เช่นนั้นมิติที่อยู่ระหว่างโมเลกุลกับอะตอมคืออะไรละ  วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันเพียงแต่รู้จักอะตอมเพียงจุดเดียว  โครงสร้างเล็กๆอันหนึ่งของมัน    ที่จริงที่ที่อะตอมคงอยู่ก็เป็นระนาบหนึ่ง   มิติสสารที่ประกอบขึ้นจากระนาบนี้ก็ใหญ่มหึมามาก   เพียงแต่ที่ท่านค้นพบนั้นคือจุดๆหนึ่ง  เช่นนั้นในระนาบระดับชั้นนี้  มิตินี้ใหญ่โตเพียงไรหรือ   เกณฑ์ในการประเมินระยะทางของเรา   มักจะไปประเมินทุกสิ่งโดยยืนอยู่ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันของมนุษย์เอง ท่านต้องกระโดดออกไปจากกรอบและแนวคิดของวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยัน   ท่านจะเข้าไปในมิตินั้น  ท่านก็ต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของมิตินั้น  ท่านจึงจะเข้าไปได้   ระยะห่างจากอะตอมถึงโมเลกุลนี้ที่วิทยาศาสตร์รู้จักคือประมาณสองล้านอะตอมเรียงกันเข้าจึงสามารถไปจากอะตอมถึงโมเลกุลได้   ก็คือระยะห่างที่เขาสามารถรับรู้ได้นี้ก็กว้างใหญ่มากแล้ว    ท่านไม่อาจยืนอยู่ในสภาพการณ์ภายในกรอบของวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันนี้ไปรับรู้มัน   เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  ระหว่างอะตอมถึงนิวเคลียสอะตอมมันคือมิติชั้นหนึ่งใช่หรือไม่  เช่นนั้นระหว่างนิวเคลียสอะตอมกับควาร์กมันมีระยะห่างของมิติใหญ่เท่าไรละ  เช่นนั้นระหว่างควาร์กถึงนิวทริโนละ  แน่ละวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในปัจจุบันเพียงแต่รับรู้ได้ถึงนิวทริโนเท่านั้น  จะมองก็มองไม่เห็นแล้ว  ได้แต่ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดได้  รู้ได้ถึงการคงอยู่ของมัน  ที่จริงยังห่างจากสสารที่เป็นสสารต้นกำเนิดไม่รู้ว่าไกลเท่าไร

ที่ข้าพเจ้าพูดทั้งหมดนี้เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุดของการคงอยู่ของมิติ   สสารทั้งปวงของมนุษย์เรา  รวมทั้งสสารทั้งปวงที่อยู่ในอากาศนี้ที่ท่านมองไม่เห็นกับสสารที่เราสามารถมองเห็นได้  อาทิ  เหล็กนี้เอย  ซีเมนต์เอย  สัตว์ พืช  วัตถุ  ยังมีร่างกายคน   ล้วนประกอบด้วยโมเลกุล   มนุษย์ก็อาศัยอยู่ในระนาบของโมเลกุลนี้  ก็เหมือนกับภาพวาดสามมิติภาพหนึ่ง  ท่านก็อาศัยอยู่ในระนาบนี้  วิ่งออกไปไม่ได้  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก็จำกัดอยู่ในมิติกระจิดริดนี้ มันไม่อาจทะลวงไปพ้นเลย   ยังจะพูดว่าวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแค่ไหน  ปฏิเสธทฤษฎีทั้งปวง  เทคโนโลยีของมนุษย์บรรลุไม่ถึงการรับรู้ต่อจักรวาลที่สูงยิ่งกว่า  หากเขาสามารถทะลวงผ่านมิตินี้ได้จริง  เขาก็จะมองเห็นรูปแบบการคงอยู่ของชีวิตในมิติอื่น  รูปแบบการคงอยู่ของสสาร  โครงสร้างที่ประกอบขึ้นภายในกาลมิติ  แต่ว่า ผู้บำเพ็ญเราสามารถมองเห็นได้ พระพุทธจึงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สูงที่สุด

ในขณะที่ข้าพเจ้าบรรยายเรื่องตาทิพย์ก็เคยพูดถึงปัญหานี้   ในเวลาที่คนหลับตามองสิ่งของ   มองจากตาทิพย์ นี้ของเรา  ซึ่งอยู่ตรงหว่างคิ้ว  หรือที่สายเต๋าเรียกว่า ซานเกิน  (สันเขา)  ตรงโคนดั้งจมูกตรงนี้เปิดช่องทางช่องหนึ่งออก  เชื่อมต่อตรงไปที่ต่อมไพเนียล  วงการแพทย์เรียกว่าต่อมไพเนียล   ผู้ฝึกพลังสายเต๋าเรียกมันว่าหนีหวานกง  ซึ่งหมายถึงมัน  แต่ครึ่งหนึ่งส่วนหน้าของต่อมไพเนียลนี้  วงการแพทย์ค้นพบแล้วว่า เพียบพร้อมด้วยระบบโครงสร้างทั้งหมดของตาคน  วงการแพทย์ปัจจุบันรู้สึกประหลาดใจมาก  เหตุใดในนี้จึงมีตาดวงหนึ่งละ พวกเขาเข้าใจว่าเป็นดวงตาที่เสื่อมถอยไปแล้ว  เขายังคงใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการมาอธิบายเรื่องเหล่านี้  ที่จริงมันก็คงอยู่อย่างนี้เอง  ไม่ได้เสื่อมถอยแต่อย่างใด  ในเวลาที่คนหลีกเลี่ยงใช้ตาเนื้อมองสิ่งของนั้น  แน่ละในเวลาที่บำเพ็ญตาเนื้อนี้สำเร็จแล้ว ตาเนื้อก็สามารถมองทะลุได้  ก็เพียบพร้อมด้วยความสามารถพิเศษ(กงเหนิง)นี้   พุทธธรรมนั้นไร้ขอบเขต  โดยทั่วไปเมื่อหลีกเลี่ยงดวงตา  หลีกเลี่ยงดวงตาที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุลไปมองดู   ก็สามารถทะลวงผ่านมิตินี้มองเห็นทัศนียภาพของมิติอื่น  ก็คือเหตุผลนี้   ดังนั้นผู้บำเพ็ญจึงสามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น    แน่ละคนธรรมดาสามัญบางคนนั้น  บางครั้งในชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังใจลอยอยู่  บังเอิญมองเห็นปรากฎการณ์ที่ไม่ชัดเจนบางอย่างได้  เช่นว่า มีคนอยู่ตรงหน้าสักครู่หนึ่งก็หายไป  หรือมองเห็นอะไร  ได้ยินเสียงอะไร   นั่นเป็นไปได้ว่าได้มองเห็นจริงๆในขณะที่ใจลอยอยู่  ได้ยินสภาพการณ์ของมิติอื่น   เพราะตาทิพย์ของคนที่ถูกปิดไว้ไม่สนิทนัก  หรือหูถูกปิดไว้ไม่สนิท  โดยความบังเอิญก็จะสามารถได้ยินเสียงมิติอื่น หรือมองเห็นปรากฎการณ์บางอย่างในมิติอื่น

เมื่อครู่นี้ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า มิตินี้ที่มนุษย์อาศัยอยู่  ที่จริงดาวเคราะห์ดวงนี้ที่มนุษย์อาศัยอยู่ไม่ใช่อณูที่ใหญ่ที่สุด  หรือวัตถุที่ใหญ่ที่สุด  นอกเหนือจากดวงดาว ยังมีวัตถุที่ใหญ่กว่านะ   ดังนั้นตาขององค์ศากยมุนีพุทธสามารถมองเห็นได้ในระดับจุลทรรศน์วัตถุที่เล็กมากๆ  และในระดับมหภาคสามารถมองเห็นสิ่งที่ใหญ่มากๆ  สสารที่ใหญ่อย่างยิ่ง  แต่สุดท้ายองค์ศากยมนีพุทธก็ยังมองไม่เห็นว่าจักรวาลนี้ที่แท้แล้วใหญ่เพียงไร  ดังนั้นพระองค์จึงตรัสไว้ประโยคหนึ่งว่า  ใหญ่จนไม่มีข้างนอก  เล็กจนไม่มีข้างใน  จักรวาลนี้มีความกว้างใหญ่เพียงไรละ ทุกท่านคิดดูสลับซับซ้อนเพียงไร ไม่เหมือนอย่างที่มนุษย์เข้าใจ ก็คือมิติของเรานี้ รูปแบบชนิดนี้ มันสลับซับซ้อนอย่างมาก นอกจากรูปแบบมิติของมันแล้ว  ยังมีรูปแบบมิติในแนวดิ่งคงอยู่   และภายในมิติในแนวดิ่งยังมีโลกเอกเทศมากมาย ซึ่งสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง     บรรดาโลกเอกเทศนี้ ที่ข้าพเจ้าพูดถึง ก็หมายถึงสวรรค์เป็นต้น    แต่ละมิติก็มีกาลมิติที่ต่างกันคงอยู่   ท่านคิดว่ามิตินี้ที่ประกอบด้วยอะตอม  เวลาของมันจะเหมือนกับเวลาในฝั่งนี้ของเราที่เวลาของมิติที่ประกอบด้วยโมเลกุลนี้หรือไม่  แนวคิดเรื่องเวลาของมัน  เรื่องระยะทางของมันกับของเรานั้นไม่เหมือนกัน  ทุกสิ่งล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว  จานบินของมนุษย์ต่างดาวUFOทำไมมันจึงไปมาไร้ร่องรอย  มันบินเร็วอย่างนี้เชียวหรือ ก็คือมันเดินทางอยู่ในมิติอื่น  ก็ง่ายๆแค่นี้เอง  มนุษย์ยืนอยู่บนมุมมองของวิทยาศาสตร์ของตนเองในปัจจุบันไปรับรู้ปรากฎการณ์ของจักรวาลที่ไม่ชัดเจน หรือใช้วิธีการนี้ไปวิจัยเรื่องการบำเพ็ญ  หรือศาสนา  ย่อมไม่อาจค้นคว้าวิจัยจนเข้าใจได้   เขาต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเขา  เขาต้องไปรับรู้ โดยยืนอยู่ในอีกมุมมองหนึ่ง ในประวัติศาสตร์มนุษย์  วิทยาศาสตร์ก็หาใช่เพียงวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันนี้ที่ค้นพบและประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวยุโรปเท่านั้น  ไม่ใช่เพียงเส้นทางนี้เท่านั้น  ยังมีเส้นทางอื่นอีก   บรรดาสิ่งที่ค้นพบบนโลกนั้น  ในประวัติศาสตร์เคยมีขั้นตอนการพัฒนาของอารยธรรมเก่าแก่ซึ่งเป็นเส้นทางการรับรู้ต่อชีวิต วัตถุ ต่อจักรวาลอีกเส้นทางหนึ่ง วิทยาศาสตร์ของจีนโบราณนั้นเดินบนอีกเส้นทางหนึ่ง  แน่ละวัฒนธรรมจีนนี้เนื่องด้วยระดับชั้นที่มันเกี่ยวพันถึงนั้นสูงมาก แต่เพราะศีลธรรมของคนไม่ไหวแล้ว  และได้ถูกจำกัดควบคุมไว้แล้ว  ดังนั้นจึงไม่ได้ถ่ายทอดต่อมา   ส่วนรูปแบบที่ต่ำที่สุดของวิทยาศาสตร์ตะวันตกชนิดนี้ กลับตกทอดลงมาให้กับคน  ดังนั้นมันจึงมีความบกพร่องอย่างมาก

เมื่อครู่ได้บอกว่าคนไม่ได้ก่อเกิดอยู่ในมิติวัตถุของเรานี้ กับเรื่องเป้าหมายของการเป็นคน   หากคนยังคงลื่นไถลต่อไปก็จะเผชิญกับการดับสลาย  ดับสลายอย่างถึงที่สุด    ซึ่งเรียกว่า  ดับสลายทั้งกายและจิต  มันน่ากลัวมาก  ดังนั้นพระพุทธจึงต้องการช่วยคน   ก็คือไม่ให้ท่านเผชิญกับจุดจบเช่นนี้    ช่วยท่านจากท่ามกลางความทุกข์ยากของคนไปสู่สวรรค์  นั่นเป็นการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของคนโดยแก่นแท้ อย่างแท้จริง  จุดฐานของความเชื่อในพระพุทธของคนปัจจุบันนี้กับจุดฐานของความเชื่อในพระพุทธของคนโบราณไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง  คนในอดีตที่เชื่อในพระพุทธ คือกราบไหว้พระพุทธ  บำเพ็ญพุทธะ  เคารพบูชาพระพุทธ  ไม่มีจิตใจอะไรอื่นทั้งสิ้น   คนปัจจุบันที่เชื่อพระพุทธนั้นคือเพื่อขอพระพุทธ  และจิตที่วอนขอต่อพระพุทธนั้นสกปรกที่สุด  เป็นจิตที่สกปรกที่สุดจิตหนึ่ง ดังนั้นทุกท่านคิดดูนะ   พระพุทธนั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือท่าน  ท่านวอนขอความสุข ความสบายในหมู่คนธรรมดาสามัญ   หากให้ท่านมีความสุขสบายจริงๆในหมู่คนธรรมดาสามัญ  มีชีวิตอยู่อย่างสบายมาก ท่านก็ไม่คิดจะเป็นพระพุทธแล้วจริงๆ  ท่านจะเป็นพระพุทธเดี๋ยวนี้  นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน  กรรมที่คนติดค้างในแต่ละภพแต่ละชาติ  ท่านไม่ชดใช้เรื่องไม่ดีที่เคยทำไว้  ท่านเอาแต่จะแสวงหาความสุข  มันจะขอมาได้อย่างไรกัน  ท่านมีเพียงวิธีเดียว  ไปบำเพ็ญ  จึงจะสามารถสลายกรรมที่ค้างไว้ทั้งหมดไปได้   บอกว่าท่านไม่คิดจะเป็นพระพุทธ  ท่านก็ต้องเป็นคนดีคนหนึ่ง  ทำเรื่องดีไว้ให้มาก  ทำเรื่องไม่ดีแต่น้อย   ในอนาคตท่านจึงจะสามารถสุขสบายได้  ยืดชีวิตของตัวท่านเองให้ยืนยาวยิ่งขึ้น  แต่ก็ไม่แน่ว่า ในเวลาที่คนกลับชาติไปเกิดนั้นหลังจากถูกล้างสมองแล้ว  กลับชาติไปเกิดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีอาจจะไหลไปตามกระแสจนกระทั่งใกล้จะถูกทำลายไปแล้วก็ได้

เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงองค์ศากยมุนีพุทธะตรัสเรื่องจักรวาลนี้ใหญ่จนไม่มีข้างนอก  เล็กจนไม่มีข้างใน  อาจมีบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดนี้  ก็คือองค์ศากยมุนีพุทธะท่านทรงเห็นปัญหาอะไรอย่างหนึ่งแล้วหรือ  ท่านตรัสถึงทฤษฏีตรีสหัสโลกธาตุ  องค์ศากยมุนีพุทธตรัสว่า คนที่มีร่างกายที่เป็นวัตถุเหมือนกับคนเรานี้  ยังไม่ใช่เพียงแต่คนที่อาศัยอยู่ในมิติอื่น  ท่านตรัสว่ามีโลกที่เหมือนสังคมมนุษย์เราอย่างนี้อยู่สามพันใบ  ในทางช้างเผือกนี้  มีดวงดาวอย่างนี้อยู่สามพันใบ   และพระองค์ยังตรัสอีกประโยคหนึ่ง  ท่านตรัสว่า  ในเม็ดทรายเม็ดหนึ่งมีโลกอยู่สามพันใบ  ท่านตรัสว่าข้างในเม็ดทรายเม็ดหนึ่งนั้นมีมิติที่เหมือนกับที่มนุษย์เราอาศัยอยู่นี้สามพันมิติ  แต่อัตราส่วนความใหญ่เล็กของคนข้างในนั้น  ท่านไม่อาจเข้าใจได้โดยใช้แนวคิดการรับรู้ของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน  เพราะเขานั้นอาศัยอยู่ในรูปแบบอื่นของกาลมิติ

ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ บางคนอาจรู้สึกแปลกใจ  ไม่เข้าใจ  ทุกท่านลองคิดดู  โลกโคจรเป็นกฎเกณฑ์อย่างมาก เช่นนั้นในขณะที่อะตอมหมุนรอบนิวเคลียสอะตอมนั้น มีอะไรแตกต่างจากที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ละ  เป็นรูปแบบเดียวกัน  หากท่านสามารถขยายภาพอะตอมให้ใหญ่เท่ากับโลกมาดูได้  ท่านดูซิว่าบนนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่  วัตถุชนิดใดที่อยู่อาศัยบนนั้น  องค์ศากยมุนีตรัสว่า  เล็กจนไม่มีข้างใน  พระองค์ทรงเห็นได้ถึงระดับไหนละ สสารระดับจุลทรรศน์นั้น พระองค์ทรงเห็นได้จุลทรรศน์มากแล้ว พระองค์ตรัสว่า ในหนึ่งเม็ดทรายมีโลกใหญ่อยู่สามพันใบ  ในหนึ่งเม็ดทรายมีโลกใหญ่สามพันใบ  เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  หากสิ่งที่องค์ศากยมุนีพุทธะตรัสไว้เป็นจริง   ในเม็ดทรายนั้น ในโลกนั้นก็มีแม่น้ำ ลำธาร  ทะเลสาบ  ทะเล ด้วยใช่ไหมละ  ถ้าเช่นนั้นบนฝั่งแม่น้ำ ลำธาร  ทะเลสาบ  ทะเล ย่อมมีเม็ดทรายด้วยใช่หรือไม่  เช่นนั้นในเม็ดทรายนั้นยังมีโลกใหญ่สามพันใบใช่หรือไม่ละ  เช่นนั้นข้างในเม็ดทรายของทรายนั้น ก็ยังมีโลกใหญ่สามพันใบ  เมื่อได้ตรวจสอบตามลงไปแล้ว องค์ศากยมุนีพุทธพบว่า ไม่มีที่สิ้นสุด   ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า เล็กจนไม่มีข้างใน  พระองค์มองไม่เห็นว่าต้นกำเนิดที่สุดของสสารคืออะไร  แน่ละสสารต้นกำเนิดที่สุดนี้ ที่ผ่านมาเราเคยพูดแล้ว  ที่นี่ข้าพเจ้าจะไม่พูดมากอีก  เนื่องจากหากพูดสูงเกินไป  ลึกเกินไป  เนื่องด้วยมีหลายคนฟังภาษาจีนไม่ค่อยเข้าใจนัก  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ขอพูดด้านนี้มาก  ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าพูดเพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน  ต่อไปทุกท่านสามารถถามคำถามต่างๆในการบำเพ็ญ ในการศึกษาฝ่า  ข้าพเจ้าจะตอบให้ฟัง


ศิษย์  “จ้วนฝ่าหลุน”เล่มหนึ่ง กับสอง เราอ่านแล้ว ในนั้นมีประโยคหนึ่งไม่ค่อยเข้าใจ   เพราะเมื่อก่อนผมเป็นศิษย์นิกายมี่จง ในนั้นมีปัญหาหนึ่ง ดูเหมือนพูดว่า ปัจจุบันระดับชั้นของพระโพธิสัตว์กับพระยูไลกำลังประสบกับภัยพิบัติ

อาจารย์   ปัญหานี้ถามเสียสูงมาก  เพียงแต่ในเวลาที่ท่านบำเพ็ญสูงขึ้นไป  ท่านจึงจะสามารถมองเห็นได้ รับรู้ได้  แน่ละข้าพเจ้าเพียงแต่บอกท่านอย่างง่ายๆคร่าวๆ   หลักธรรมในระดับชั้นของคนนี้ไม่บังเกิดผลตามที่ตั้งใจแล้ว เป็นเพราะว่าศีลธรรมของสังคมมนุษย์ตกต่ำลงไปพร้อมกันทุกด้าน   ทัศนคติทางศีลธรรมในใจคนเสื่อมทรามไปแล้ว  ไม่มีความคิดที่ถูกต้องแล้วหลักธรรมจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์  ในเวลาที่หลักธรรมในสังคมมนุษย์ไม่บังเกิดผลตามที่ตั้งใจแล้วนั้น  มนุษย์ก็ลื่นไถลลงไป  ถ้าหากหลักธรรมนี้ไม่ใช่ไม่บังเกิดผลตามที่ตั้งใจในสังคมมนุษย์นี้   เช่นนั้นในมิติชั้นที่สูงมากเขาเกิดการเบี่ยงเบนไปแล้ว  สสารของชีวิตก็จะตกลงสู่เบื้องล่าง  เขาไม่ดีแล้ว  เขาตกลงสู่เบื้องล่าง   ฉะนั้นหากเขาเกิดปัญหาเป็นวงกว้างมากดังว่าแล้ว  ก็จะไม่เป็นแค่ปัญหาของมนุษย์   อย่างเช่นต้าฝ่านั้นเชื่อมโยงต่อๆลงมา  พอข้างบนเบี่ยงเบนเล็กน้อย  ข้างล่างก็จะกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว ก็เหมือนกับการยิงปืน  ท่านเฉออกไปเพียงเล็กน้อย  ลูกกระสุนที่ยิงออกไปนั้นก็ไม่รู้ว่าไปยิงถึงที่ไหนแล้ว  เหตุใดข้างล่างจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตอย่างนี้  สังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัวมาก  ยาเสพติดอะไรเอย  การค้าสิ่งเสพติดเอย  ไม่มีความชั่วอะไรที่คนทำไม่ได้   มีคนมากมายได้ทำเรื่องชั่วไว้มาก  กลุ่มอิทธิพลมืดอะไรเอย  รักร่วมเพศเอย  มั่วเพศเอย เป็นต้น  ล้วนแต่ไม่ใช่มาตรฐานของคนแล้ว  พระพุทธมองปัญหาเหล่านี้อย่างไรละ รัฐบาลของท่านยินยอม  กฎหมายยินยอม  นั่นเป็นการยินยอมของคนเอง  แต่กฏสวรรค์ไม่ยินยอมหนา   ในอดีตสิ่งที่งดงามคือเป้าหมายที่มนุษย์แสวงหากัน   แต่เดี๋ยวนี้ท่านดูซิ ของเล่นที่ขายเอย  ภาพที่วาดเอย  ล้วนแต่ทำกันมั่วๆ วาดกันมั่วๆ  นี่ก็คือผลงาน เป็นของอะไร  ใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน  ทัศนคติทั้งหลายของคนล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม   ขยะกองหนึ่งกองไว้ตรงนั้นก็ถือเป็นผลงานแกะสลักของอาจารย์ใหญ่  ปรากฎการณ์ทั่วทั้งสังคมล้วนเป็นเช่นนี้  ของเล่นในร้านค้าจนกระทั่งอุจจาระก็ทำเป็นรูปของเล่นออกมาขาย  เมื่อก่อนตุ๊กตานั้นทำได้สวยงามมากคนจึงจะอยากซื้อ  เดี๋ยวนี้หัวกระโหลกเอย  พวกวายร้ายของคนเอย  ภูติผีปีศาจอสูรกายล้วนทำเป็นของเล่น  ยังขายได้เร็วมาก  คนที่ไม่มีความคิดที่ดีงามชอบซื้อ นี่บอกให้เห็นชัดในปัญหาอะไรอย่างหนึ่งหรือ  คือทัศนคติของคนลื่นไถลลงไปร้ายแรงมากนะ  ในอดีตการร้องเพลง เสียงร้องจะไพเราะงดงาม  สำเร็จการศึกษาออกมาจากโรงเรียนสอนดนตรี   มีกิริยา  ท่าทางงดงาม  เนื่องจากดนตรีของท่านที่ให้ความรู้สึกที่งดงามแก่คน  เดี๋ยวนี้ชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิง  ไว้ผมยาวมาก  ฮา ฮา  ร้องตะเบงเสียง  พอออกทีวีได้ก็กลายเป็นดารานักร้อง   ทุกสิ่งล้วนแต่เสื่อมทราม  อะไรๆของมนุษย์ล้วนลื่นไถลลง  ยังมีปรากฎการณ์มากมาย  ช่างน่ากลัวยิ่งนัก  หากท่านไม่บำเพ็ญท่านจะมองไม่เห็น การรับรู้เรื่องศาสนาของคนก็ต่างกันแล้ว  เขาถือว่าเป็นการเมืองแล้ว  บางคนพอเอ่ยปากก็ด่าพระพุทธ  ในเมนูอาหารยังมี “พระกระโดดกำแพง”อะไร   นี่เป็นการลบหลู่พระพุทธหนา  สังคมมนุษย์เดี๋ยวนี้เป็นอะไรไปแล้ว  ท่านไม่บำเพ็ญท่านก็ไม่ทราบ  พอบำเพ็ญแล้วหันกลับไปมองก็จะตกใจ  ทุกท่านคิดดู  มนุษยชาตินี้เสื่อมทรามจนถึงระดับนี้แล้ว  มันไม่ใช่เป็นเอกเทศอยู่โดดๆ   เนื่องจากหลักธรรมนี้ในมิติที่แน่นอนหนึ่งได้เกิดปัญหาแล้ว เกิดขึ้นการเบี่ยงเบนจากหลักธรรม ของสสาร/วัตถุมากมาย  ชีวิตมากมาย  ข้าพเจ้าได้แต่บอกกับท่านอย่างนี้   หากบรรยายลึกเกินไปแล้ว เนื่องจากคนที่กำลังนั่งอยู่มีหลายคนจะไม่สามารถเข้าใจได้  ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ท่านก็น่าจะเข้าใจ

ศิษย์  เดิมทีผมรู้สึกเกรงใจ  แต่ถ้าผมไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ก็กลัวว่าจะพลาดได้  ปัญหานี้หลายๆคนก็ตอบผมไม่ได้  วันนี้ท่านอาจารย์ได้มาแล้ว   โอกาสนี้ช่างยากจะพานพบ  ก็คือหลายปีก่อน มีอยู่วันหนึ่ง เวลาเที่ยงคืนกว่าผมนั่งสมาธิแบบนิกายมี่จง  เมื่อก่อนผมบำเพ็ญนิกายมี่จง  แต่ผมคล้ายกับลอยขึ้นไปตัวหมุนเป็นเกลียว เร็วจนผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ลอยขึ้นไปอย่างนี้  ผมลอยขึ้นมาสูงเท่านี้  ออกมาจากกระหม่อม  ตอนที่ออกมาจากกระหม่อมรู้สึกเจ็บอย่างรุนแรง  ตอนที่เจ็บอยู่ผมก็ลอยขึ้นไปอีก  ผมกลัวมาก  ผมคิดว่าอาจเป็นวิญญาณของผมที่ออกไปแล้ว  ดังนั้นผมจึงมองไม่เห็นร่างตัวเอง  วันที่สองเกิดปรากฏการณ์ประหลาด  ตอนกลางวันขณะที่ผมนั่งอยู่ในบ้าน  ผมมองเห็นวงแสงสีเงิน  แสงสีเงิน  ห้านาทีหลังจากนั้นก็ไม่เห็นแล้ว   วันที่สามผมมองเห็นฝ่าหลุน  เรื่องเป็นอย่างไร

อาจารย์   ที่ผ่านมาแม้ท่านจะฝึกนิกายมี่จงแล้ว  แต่ไม่บังเกิดผล  เหตุใดท่านจึงเห็นฝ่าหลุนละ  เพราะเราดูแลท่านตั้งแต่ท่านยังไม่ได้บำเพ็ญ  ผู้ฝึกพลังจะลอยขึ้นมานั้นง่ายมาก  วิทยาศาสตร์ปัจจุบันอธิบายไม่ได้  ที่จริงในเวลาที่ชีพจรที่มีอยู่ทั้งหมดทั่วร่างกายคนเปิดโล่งตลอดแล้ว   เขาก็สามารถลอยได้   หากเขาไม่ได้ลอยขึ้นมา  เวลาเดินเขาก็จะตัวเบา ปีนภูเขาเอย   เดินขึ้นตึกเอย ล้วนจะไม่รู้สึกเหนื่อย  นี่ก็คือชีพจรเปิดโล่งแล้ว  ก็จะเป็นเช่นนี้  พูดถึงว่าจิตหลักออกมา  บางคนจิตหลักออกจากร่างได้ง่าย  บางคนออกมาได้ยาก  หลังจากออกมาแล้ว ฝ่าหลุนนำพาร่างของท่านให้ลอยขึ้นมา  จึงหมุนเร็วมาก  พูดถึงว่าท่านไม่กล้าขึ้นไปสูงเพียงนั้น  ก็เพราะในเวลานั้นท่านมีพลังงานสูงแค่นั้นเอง  ครั้งแรกที่ท่านพบกับปัญหาอย่างนี้จะกลัว   ใครก็เป็น(กลัว)  ที่จริงผู้ที่ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา ลอยขึ้นมามีเป็นจำนวนมาก  เป็นเรื่องปรกติมาก  ผู้บำเพ็ญเมื่อเข้าสู่การบำเพ็ญ  ชีพจรก็เริ่มเปิดโล่ง  จากนั้นเมื่อโจวเทียนใหญ่เปิดโล่งแล้ว  ตอนนั้นคนก็สามารถลอยขึ้นมาได้

            ที่ข้าพเจ้าพูดออกมานั้น ข้าพเจ้ายังต้องกำชับ  กำชับทุกท่าน  ใครก็อย่าได้มีความคิดเช่นนี้  คือหากฉันลอยขึ้นมาได้จะดีแค่ไหนนะ  พอท่านเกิดทัศนคติที่จะแสวงหา  ถึงท่านสามารถจะลอยขึ้นมาได้  ก็ลอยขึ้นมาไม่ได้แล้ว  เพราะผู้ฝึกพลังนั้นพูดถึงเรื่องอู๋เหวย(ไร้ความหมายมั่น)  พูดถึงเรื่องความว่าง  มีใจบำเพ็ญ ไม่มีใจที่จะได้  มีใจที่จะฝึกบำเพ็ญ ไม่มีใจที่จะได้พลัง  ล้วนมีสภาพจิตใจเช่นนี้ไปบำเพ็ญ  ทั้งวันคิดแต่จะเป็นพระพุทธ  นั่นคือจิตยึดติดที่รุนแรง   ใจดวงนี้ไม่ทิ้งไปจะไม่สำเร็จตลอดไป  ดังนั้นการบำเพ็ญก็คือการทิ้งใจคนไป  ท่านอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญการยึดติดในสิ่งใดล้วนเป็นจิตยึดติด  พูดว่าแสวงหาสิ่งนี้  แสวงหาสิ่งนั้น ท่านยิ่งแสวงหามัน ยิ่งจะไม่ได้  ท่านมีแต่ปล่อยวางจิตดวงนี้มันจึงจะมีได้  ทุกท่านต้องจำหลักการนี้ไว้เสมอ  ในหมู่คนธรรมดาสามัญท่านคิดจะได้อะไร  ท่านอาจไปแสวงหา ท่านอาจไปศึกษา  ขยันแล้วจึงได้มา  แต่สิ่งที่เหนือคนธรรมดาสามัญ  มีแต่ต้องปล่อยวางจึงจะได้มา  เรียกว่าอะไรหรือ  เรียกว่า ไม่แสวงหาแล้วจะได้เอง

            เรื่องความกลัวนี้ที่ท่านพูดที่จริงไม่มีอะไรน่ากลัว  ลอยขึ้นมาก็ลอยขึ้นมาแล้ว  เพราะขณะนั้นไม่มีคนบอกท่าน ไม่มีอาจารย์ในหมู่คนธรรมดาสามัญสอน  เพราะว่าการลอยขึ้นมานั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ปรกติ  มันถูกควบคุมโดยความคิดของคน ท่านพูดว่าฉันลงมา  เพียงท่านคิดเท่านั้น  เขาก็ลงมาได้  ท่านพูดว่าขึ้นมาก็ขึ้นมาได้  หากในเวลาที่ท่านยิ่งกลัวก็เป็นจิตยึดติดอีก  เขาก็ตกลงมาได้ง่าย  ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้กลัว  ในอดีตมีคนบำเพ็ญสำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว พอดีใจเขาก็ตกลงมาแล้ว  เพราะอะไรหรือ ดีใจ  ความดีใจชนิดนี้ของคนก็เป็นการแสดงออกของฉิง  และเป็นการยึดติดเช่นกัน  ในฐานะผู้ที่บำเพ็ญสำเร็จ ท่านด่าฉัน  ท่านพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังกับฉัน  ฉันไม่ไหวหวั่น  ท่านบอกว่าฉันดี  ใจฉันก็ไม่กระเพื่อม  ท่านบอกว่าฉันไม่ดี   ฉันก็ไม่เอามาใส่ใจ  ดังนั้นพอเขาดีใจ เขาก็ตกลงมาแล้ว   การบำเพ็ญสำเร็จเป็นอรหันต์ก็ไม่ง่ายเลย  สุดท้ายคนๆนี้ยังบำเพ็ญต่ออีก  ผ่านไปหลายปีเขาก็บำเพ็ญเป็นอรหันต์แล้ว  ครั้งนี้ในใจเขาคิดว่า  ฉันไม่อาจจะดีใจแล้ว  พอฉันดีใจก็ยังต้องตกลงมา  ในใจเขาก็กลัวตนเองจะดีใจ   แต่พอเขาดีใจ  เขาก็ตกลงไปแล้ว  เพราะความกลัวนี้ก็เป็นจิตยึดติด  การบำเพ็ญพุทธเป็นเรื่องที่เข้มงวดอย่างยิ่ง  ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ  ดังนั้นทุกท่านจะต้องระวังปัญหานี้

            ก่อนที่ทุกท่านจะถามปัญหา ข้าพเจ้าจะพูดเรื่องหนึ่ง  พวกเราฝึกพลังจะต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว  ข้าพเจ้าทราบว่าหลายคนที่กำลังนั่งอยู่ เมื่อก่อนเคยศึกษามี่จง   มีหลายคนเชื่อในศาสนาพุทธ  หลายคนเชื่อในศาสนาคริสต์  ศาสนาโรมันคาทอลิก  ข้าพเจ้าถือว่า  การบำเพ็ญต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว เหตุใดต้องยึดมั่นหนึ่งเดียวละ  นี่เป็นสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ปัจจุบันคือยุคธรรมะปลาย คนไม่สามารถบำเพ็ญสำเร็จแล้ว  นี่เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง  มีสาเหตุหลายประการที่ก่อให้เกิด  ได้แก่ ไม่อาจเข้าใจฝ่า  อีกอย่างคือบำเพ็ญปะปนกัน  การบำเพ็ญปะปนกันเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง  ท่านฝึกพลังนี้แล้ว ท่านก็จะฝึกพลังอย่างอื่นอีกไม่ได้ ทำไมจึงบอกท่านอย่างนี้ละ  ก็เพราะ “เลือกสิ่งที่ดีของคนเขามา”คำพูดนี้คือสิ่งที่คนธรรมดาสามัญพูดกัน  แสวงหาเทคนิกความรู้ของคนธรรมดาสามัญ คือหลักการนี้   แต่หลักการของการบำเพ็ญนั้นต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว  ในพุทธศาสนาเรียกว่าไม่ยึดสองแนวทาง  ท่านว่าฉันก็บำเพ็ญพุทธ  และบำเพ็ญเต๋า  เช่นนั้นอะไรก็บำเพ็ญไม่สำเร็จ  ใครก็ไม่ให้พลังแก่ท่าน  เพราะ “การบำเพ็ญขึ้นอยู่กับตนเอง  พลังขึ้นอยู่กับอาจารย์”ทุกท่านคิดดู  ฝึกๆชี่กงก็สามารถบำเพ็ญเป็นพระพุทธได้แล้วหรือ มี่จงท่องคาถา  เสริมกับการเคลื่อนไหวความคิด   ผสานกับท่านรำมือไม่กี่ท่าก็สามารถเป็นพระพุทธได้หรือ  ความนึกคิดของคนไม่ใช่อะไรทั้งนั้น   เป็นเพียงความปรารถนา  แต่ที่บังเกิดผลได้จริงคืออาจารย์  บางคนจึงคิดว่า ล้วนแต่เป็นสายพุทธด้วยกัน  เราก็บริกรรมพุทธและศึกษามี่จง  ยังฝึกชี่กงสายพุทธด้วย  นี่ไม่ดีหรือ  นั่นเป็นความเข้าใจของคน  เทพไม่เข้าใจกันอย่างนี้    ทุกท่านคิดดู  พระยูไลพุทธ  พระอาหนีถอฝอ(อมิตตพุทธ) นั้นบำเพ็ญสำเร็จได้อย่างไรละ  คือหยวนหมั่นโดยปฏิบัติตามวิธีการบำเพ็ญของตน  พลังของพระองค์เป็นไปตามรูปแบบการผันแปรของตนเอง  หยวนหมั่นโลกของพระองค์   บำเพ็ญพระองค์เองจนสำเร็จ  ทุกสิ่งของพระองค์ล้วนเกิดจากปัจจัยของรูปแบบการบำเพ็ญชนิดนั้นของพระองค์เองในขั้นตอนการบำเพ็ญของพระองค์

            วิธีการหยวนหมั่นขององค์ศากยมุนีพุทธเรียกว่า “ศีล สมาธิ  ปัญญา”ต้องบำเพ็ญฌาณ ๔ สมาธิมรรค ๘ ดำเนินตามวิธีการบำเพ็ญนั้นของพระองค์  บำเพ็ญสำนักนี้พลังของท่านก็ต้องเป็นพลังการบำเพ็ญขององค์ศากยมุนีพุทธ  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญถึงที่นั่น(สวรรค์)ของพระองค์  หากท่านจะบำเพ็ญมี่จง  ท่านก็ต้องทำตามข้อกำหนดของมี่จงคือ กาย วาจา  ใจ   ท่านจึงจะบำเพ็ญไปถึงสวรรค์ที่ต้ายื่อยูไลปกครอง   ถ้าอะไรๆก็ฝึก  ท่านก็จะไม่ได้อะไร  ท่านบำเพ็ญจิ่งถู่  บริกรรมอมิตตพุทธ   พอหันกลับมาท่านก็ศึกษาทฤษฎีของฉันจง(เซน)ด้วย  ท่านก็จะไม่ได้อะไรเช่นกัน คนก็มีร่างกายนั้นร่างเดียว  จะเปลี่ยนร่างกายให้เป็นร่างพุทธะ  ร่างของพระพุทธ  ทุกท่านทราบว่า นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายตัวท่านเองทำไม่ได้แน่  ต้องให้พระพุทธมาทำให้  หากจะเปลี่ยนร่างกายของท่านเป็นร่างพุทธะ  นั่นเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง   สลับซับซ้อนยิ่งกว่าอุปกรณ์ที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์เสียอีก  พระองค์จะใส่สิ่งของชุดหนึ่งเข้าไปในร่างกายท่าน ซึ่งเรียกว่า จีจื้อ(กลไกบังคับ)  ยังต้องใส่เมล็ดพันธุ์มากมายที่จะทำให้อิทธิฤทธิ์ฝอฝ่านานาชนิดสำเร็จสมบูรณ์ให้แก่ท่าน  ฝังเข้าไปภายในตานเถียน  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งของในแนวทางนั้นของพระองค์ ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญอยู่ในแนวทางนี้ของพระองค์   จึงจะสามารถบำเพ็ญไปถึงโลกพระพุทธนั้นของพระองค์  หากไม่ยึดมั่นหนี่งเดียว  ท่านมีเพียงร่างเดียว  จะให้ท่านคนหนึ่งบำเพ็ญสำเร็จไปสู่โลกพระพุทธสองแห่งได้อย่างไร  จะบำเพ็ญออกมาสององค์ได้อย่างไร  พอพระพุทธทรงเห็นว่าท่านเป็นอย่างนี้  ก็จะไม่ให้สิ่งของแก่ท่าน  พระองค์ถือว่าซินซิ่งท่านไม่ดี  หากพูดให้ชัดแล้ว  ท่านคือผู้ที่คิดสร้างความวิบัติให้กับพุทธธรรม ก็ร้ายแรงถึงเพียงนี้   แต่พระสงฆ์และมนุษย์ในปัจจุบันที่กำลังทำลายพุทธธรรม เขากลับไม่ทราบ  แน่ละ ท่านไม่ทราบก็ไม่โทษท่านทั้งหมด  ไม่โทษท่านก็ไม่โทษท่านได้ แต่ก็ให้อะไรกับท่านไม่ได้ทั้งนั้น  ไม่อาจยอมให้คนๆหนึ่งสร้างความวิบัติให้กับพุทธธรรมตามอำเภอใจ   พุทธธรรมสองสำนัก  ปล่อยให้ท่านสร้างความวิบัติแก่หลักธรรมของพระยูไลพุทธสององค์แล้ว  นี่เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด  ดังนั้นหากเพียงท่านบำเพ็ญปะปนกัน  ก็จะไม่อาจได้  ไม่ใช่พูดว่าฉันบำเพ็ญแต่สายพุทธ  ฉันไม่บำเพ็ญสายเต๋า ฉันล้วนแต่บำเพ็ญสายพุทธก็ใช้ได้แล้ว  นิกายเซนของสายพุทธก็บำเพ็ญ  มี่จงก็บำเพ็ญ  จิ่งถู่  ฮว๋าเอี๋ยน  เทียนไถ ท่านก็บำเพ็ญหมด  ท่านบำเพ็ญจนยุ่งเหยิง  นั่นเรียกว่า ก่อความวุ่นวาย  อะไรก็จะไม่ได้เลย  อะไรก็จะไม่ได้จริงๆ  ดังนั้นท่านจะต้องยึดมั่นไปบำเพ็ญหนึ่งสำนัก  ท่านจึงจะสามารถหยวนหมั่น

            ณ ที่นี่สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักเหตุผลอันหนึ่ง  ไม่ใช่บอกว่าจะต้องให้ท่านบำเพ็ญแต่ฝ่าหลุนต้าฝ่านี้ของข้าพเจ้า หลี่ หงจื้อให้ได้  ฝ่าหลุนต้าฝ่าเรานั้น ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งเคยอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วยเหลือคนในวงกว้างเหมือนกับพุทธศาสนาขององค์ศากยมุนีพุทธ ในอารยธรรมของมนุษย์ยุคนี้ ไม่เคยทำมาก่อน   หลังจากมนุษย์ในครั้งนี้เกิดขึ้นแล้ว  เราได้นำออกมาอีกเป็นครั้งแรก  และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นำออกมาถ่ายทอดให้คน  แต่จะไม่เสื่อมตลอดไป  แน่ละ เรามีโลกฝ่าหลุน  ศิษย์ที่หยวนหมั่นสามารถไปโลกฝ่าหลุน  แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องให้ท่านบำเพ็ญฝ่าของข้าพเจ้าให้ได้   ท่านสามารถไปบำเพ็ญหลักธรรมใดๆ  เพียงแต่เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง  หากท่านสามารถได้รับการถ่ายทอดจริงในสำนักนั้น  ท่านรู้สึกว่าท่านอยู่ในสำนักนั้นสามารถหยวนหมั่นได้  ท่านก็ไปบำเพ็ญ แต่ข้าพเจ้าแนะนำท่านว่าต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว

            และข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  พระพุทธไม่อาจมาช่วยท่านด้วยโฉมหน้าที่แท้จริงของพระองค์ได้โดยตรง แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์อย่างยิ่งใหญ่  พระพุทธมานั่งอยู่ที่นี่  บรรยายธรรมให้ท่านฟัง  นั่นไม่ใช่การช่วยเหลือคน  นั่นเรียกว่าการทำลายหลักธรรม  คนที่ทำความชั่วสารพัดก็จะไปศึกษากันหมดแล้ว ไม่มีการรับรู้แล้ว  พอเห็นพระพุทธองค์จริงอยู่ตรงนี้แล้ว  ใครละที่จะไม่ศึกษา  มนุษย์ทั้งหมดต่างจะไปศึกษา  ใช่เช่นนี้หรือไม่  ดังนั้นจึงมีแต่อาจารย์ที่กลับชาติมาเกิดในหมู่คนธรรมดาสามัญจึงจะสามารถสอนได้  จึงจะสามารถช่วยเหลือคน  ข้างในนี้มีปัญหาเรื่องการรับรู้   จะเชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่านแล้ว แต่หลักธรรมนั้นท่านเองสามารถไปพินิจพิเคราะห์   ถึงอย่างไรต้องรับผิดชอบต่อท่าน ข้าพเจ้าจึงได้พูดหลักเหตุผลนี้ให้ท่านฟัง  เพราะท่านคิดจะบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าจึงบอกท่าน  หาไม่แล้วเท่ากับว่าข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบต่อท่าน ท่านมีโอกาสแห่งวาสนาเช่นนี้  นั่งอยู่ที่นี่  ข้าพเจ้าจึงบอกท่าน  ไม่ว่าสำนักใดๆเวลานี้ล้วนแต่บำเพ็ญสำเร็จได้ยากมากแล้ว  ไม่มีใครดูแลแล้ว  ที่สำคัญคือล้วนแต่บำเพ็ญยุ่งเหยิงไปหมด  แน่ละหากท่านสามารถยึดกุมไว้ได้แล้ว ท่านเองไปบำเพ็ญ  ท่านรู้สึกว่าสามารถบำเพ็ญหยวนหมั่นได้  จะบำเพ็ญในสำนักไหนก็ได้  ก็คือหลักเหตุผลอย่างนี้  ก็เพราะพระพุทธนั้นหวังดีต่อคน   ดังนั้นข้าพเจ้าต้องบอกทุกท่าน  หากท่านคิดจะบำเพ็ญท่านก็ต้องยึดมั่นหนึ่งเดียว  ไม่เพียงแต่ในการฝึกท่าไม่อาจฝึกสิ่งอื่นๆ  ท่านก็ไม่อาจอ่านคัมภีร์ของสำนักนั้นด้วย    ในความนึกคิดของท่านก็ไม่อาจก่อเกิดสิ่งของๆสำนักนั้น  แม้แต่ความคิดก็ต้องทิ้งไปให้หมด  เพราะในการฝึกพลังมีสิ่งต่างๆมากมายต้องอาศัยความนึกคิด  พอความคิดของท่านออกมาก็คือการแสวงหา  ท่านก็อยากจะได้สิ่งนั้น  สิ่งนั้นก็จะมา  เช่นนั้น พลังบนตัวท่านก็จะยุ่งเหยิงแล้ว  ฝ่าหลุนจะเปลี่ยนรูป  ไร้ผล  ท่านก็บำเพ็ญโดยสูญเปล่า

            ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ฝ่าหลุนนี้ล้ำค่ายิ่งนัก  ท่านอย่าเห็นว่าข้าพเจ้ามอบให้ท่านแล้ว  ก่อนหน้านั้นที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ถ่ายทอดสิ่งนี้   ผู้บำเพ็ญเต๋านับพันปีล้วนอยากจะได้เขาแต่ไม่อาจได้   เมื่อได้แล้ว คนๆนี้สามารถพูดได้ว่าเขาบำเพ็ญสำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง  พลังก็จะถูกฝ่าหลุนแปรผันโดยอัตโนมัติ  เพียงบำเพ็ญจิตของท่าน ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น  ยกระดับขึ้นมาได้  เขาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง   หรือพูดได้ว่า  เขายังสูงชั้นกว่าชีวิตท่าน  ท่านอย่าเห็นว่าข้าพเจ้าให้ท่านแล้ว  เป็นเพราะท่านจะบำเพ็ญ  คือจิตพุทธปรากฏออกมาแล้ว มีความคิดนี้ออกมาจึงช่วยท่าน  จึงทำเช่นนี้แล้ว  สิ่งที่ท่านได้รับนั้นล้ำค่ายิ่งนัก  การบำเพ็ญพุทธเป็นเรื่องที่เข้มงวดอย่างยิ่ง  เราก็ไม่อาจยอมให้ท่านสร้างความวิบัติแก่เขา  ทำลายเขา  หากท่านจะปะปนสิ่งอื่นในการบำเพ็ญ  เช่นนั้นพวกเราได้แต่นำกลับคืนมา  ไม่อาจยอมให้ท่านทำลายชีวิตนี้  ชีวิตชั้นสูงนี้  บางคนคิดว่า เช่นนั้นสิ่งอื่นที่เราศึกษาแล้ว  ฝ่าหลุนนี้มีพลานุภาพมหาศาลอย่างนี้  ทำไมเขาไม่ดูแลละ  เพราะในจักรวาลนี้ยังมีอีกหลักการหนึ่ง  ก็คือท่านคิดจะเอาอะไรขึ้นอยู่กับตนเอง  ท่านเองคิดจะได้  ท่านคิดจะได้ของที่ชั่วร้าย  สิ่งชั่วร้ายนั้นไม่มีช่องว่างไหนที่มันจะไม่เข้ามา    ท่านไม่เอามันยังจะทะลวงเข้ามานะ  พอท่านจะเอามัน  มันจึงรีบมาทันที  ยังไม่ทันถึงหนึ่งวินาทีมันก็มาถึง  เช่นนั้นทำไมฝ่าหลุนไม่ดูแลละ  เพราะท่านต้องการได้   ดังนั้นทุกท่านต้องระวังจุดนี้ไว้ให้ดี   การบำเพ็ญของคนนั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง  เป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก

            ในเวลาที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดพลังอยู่ในประเทศจีน  มีหลายคนที่ตาทิพย์เปิดที่ระดับชั้นที่ค่อนข้างสูง  ตาทิพย์เปิดแล้วก็บำเพ็ญไม่ง่าย   เทพเซียนทั้งสูงทั้งใหญ่ที่มองเห็นนั้น  เพราะชีวิตในมิติอื่น  สามารถแปลงตัวให้ใหญ่มาก  และสวมใส่ชุดสีเหลือง  ทั้งสูงทั้งใหญ่   มนุษย์รู้สึกว่ามีอิทธิฤทธิ์ใหญ่หลวง   พอพูดกับท่านว่า  ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ละกัน  มาเรียนกับข้าละกัน  ใจดวงนั้นของคนขึ้นมาแล้ว  จึงไปเรียนกับเขาทันที  ในเวลานั้นก็โดนทำลายแล้ว ท่านอย่าเห็นว่าเขาทั้งใหญ่ทั้งสูง  เขาก็ไม่ได้ออกจากตรีภูมิ   เขาไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  เขาเพียงแต่ไม่อยู่ในมิตินี้  เขาสามารถแปลงร่าง  ดังนั้นทุกท่านต้องระวังเรื่องเหล่านี้ให้ดี  ยังจะมีมารมารบกวนท่านนะ   ไปเรียนกับข้าเถอะ  ข้าจะสอนอะไรให้ท่านสักหน่อย   บางคนพอนั่งลงตรงนั้น  โดยเฉพาะคือผู้ที่ฝึกพลังอย่างอื่น  เป็นการง่ายที่จะเกิดพลังที่ออกท่าเองประเภทนั้น รำมือคล้ายกับสวยงามมาก  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน มารก็ทำอย่างนี้ได้ ท่านไม่ทราบว่าใครให้กับท่าน  ดังนั้นเพียงแต่ท่านฝึกตามเขา  เขาก็ใส่ของเพิ่มเข้าไปในร่างกายท่าน  ร่างกายท่านก็จะยุ่งเหยิง  ข้าพเจ้ามองเห็นว่ามีหลายคน  เห็นว่าท่านดูเหมือนว่าศึกษาสิ่งนี้  ศึกษาสิ่งนั้น  ภายในร่างกายท่านนั้นยุ่งอีรุงตุงนัง  อะไรก็มี  ท่านก็จะบำเพ็ญไม่ได้อย่างแท้จริงแล้ว   เราพูดถึงวาสนา  หากท่านพบกับข้าพเจ้า ก็คือวาสนาของท่าน  หากท่านคิดจะบำเพ็ญจริงๆ  เราก็จะชำระล้างให้กับท่านอย่างถึงที่สุด   สิ่งที่ดีก็เหลือไว้ให้ท่าน  สิ่งที่ไม่ดีก็ขจัดทิ้งไปให้กับท่าน  ปรับร่างกายท่านให้เป็นระเบียบ  ชำระล้างให้  หลังจากบรรลุถึงภาวะร่างขาวน้ำนมแล้ว  ท่านจึงจะก่อเกิดพลังออกมา ยกระดับชั้นได้อย่างแท้จริง

ศิษย์  ท่านมีฝ่าเซิน(ธรรมกาย)มากมายสามารถชี้นำผู้บำเพ็ญ  แต่พวกเราอยู่ที่ออสเตรเลีย  ใครจะมานำพาเรา  จะยึดถือใครเป็นอาจารย์

อาจารย์   ในคำถามนี้เขา ได้กล่าวถึงปัญหาที่สำคัญมากข้อหนึ่ง  ทุกท่านทราบ  คนๆหนึ่งบำเพ็ญ นี่เป็นเรื่องที่เข้มงวดอย่างยิ่ง  เพราะในแต่ละภพแต่ละชาติของคนนั้นมีกรรมอยู่   ในชาติก่อนภพก่อนเคยทำเรื่องที่ไม่ดีไว้  จึงมีเจ้ากรรมนายเวรในมิติอื่น  หากเขารู้ว่าท่านบำเพ็ญแล้ว  ฉะนั้นเขาจะมาแก้แค้นท่าน  ดังนั้นผู้ที่เริ่มต้นบำเพ็ญ  จึงเผชิญกับอันตรายของชีวิต  ดังนั้นข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  หากไม่มีอาจารย์  ท่านก็ไม่อาจบำเพ็ญได้อย่างแน่นอน  บำเพ็ญไม่สำเร็จอย่างแน่นอน  มีแต่อาจารย์มาคอยดูแลท่าน  คุ้มครองท่าน  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จ  ไม่ให้ท่านเกิดปัญหาใหญ่ใดๆ  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จ  ผู้บำเพ็ญในอดีตนั้นมีอยู่ทุกหนแห่งในโลก อยู่ในประเทศจีนค่อนข้างมาก  ผู้บำเพ็ญเต๋าหลายคนนำพาลูกศิษย์  ท่านอย่าเห็นว่าต่อมาเกิดศาสนาเต๋า  มีศิษย์มากมาย  แต่เขาถ่ายทอดให้อย่างแท้จริงมีเพียงหนึ่งคน   เขาจึงสามารถรับประกันว่าศิษย์คนนั้นจะไม่มีปัญหา  เขาสามารถคุ้มครองเพียงหนึ่งคน  เพราะสายเต๋าเขาไม่มีความปรารถนาในการช่วยเหลือสรรพชีวิต

            ทำไมข้าพเจ้าสามารถถ่ายทอดธรรมช่วยเหลือคนมากมายอย่างนี้ละ  ในประเทศจีนขณะนี้มีคนนับสิบล้านกำลังศึกษาอยู่  ยังไม่นับในต่างประเทศ  เพราะอะไรทุกท่านจึงไม่เกิดปัญหาละ  พวกเราที่นั่งอยู่นั้นมีบางคนเคยถูกรถชนครั้งหนึ่ง  ทำเอารถเสียหายไปเลย  เขาเองกลับไม่เป็นอะไร และไม่เจ็บปวด  ไม่กลัว  ไม่ว่าส่วนไหนก็ไม่บาดเจ็บ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  ก็คือเจ้าหนี้เหล่านั้นมาทวงหนี้กับท่านแล้ว  แต่เราไม่อาจให้ท่านประสบกับอันตรายจริงๆ  แต่ว่า หนี้นี้ก็ต้องชดใช้  หากไม่มีอาจารย์คุ้มครอง  นั่นก็ต้องเสียชีวิตในทันที  ตายแล้วจะบำเพ็ญได้อย่างไรละ ข้าพเจ้ามีฝ่าเซินนับไม่ถ้วน  มีรูปลักษณ์เหมือนกับข้าพเจ้า  เขาอยู่ในอีกมิติหนึ่ง  แน่ละจึงสามารถแปลงร่างให้ใหญ่และเล็กได้ แปลงได้ใหญ่มาก  แปลงได้เล็กมาก  ปัญญาญาณของเขานั้นเปิดออกทั้งหมด  มีพลังฝ่าเหมือนพระพุทธ  ร่างหลักอยู่ที่ข้าพเจ้านี้  พวกเขามีความสามารถทำสิ่งต่างๆตามลำพัง   พวกเขาจะดูแลท่าน  คุ้มครองท่าน  ช่วยท่านผันแปรพลัง  ทำเรื่องต่างๆ   ที่แท้เขาก็คือร่างที่แปลงขึ้นจากปัญญาญาณของข้าพเจ้า  ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสามารถคุ้มครองท่านได้  ตัวข้าพเจ้าไม่อยู่ในออสเตรเลีย  แต่ต้าฝ่านั้นได้ถ่ายทอดให้กับพวกท่านแล้ว  สามารถยึดถือฝ่าเป็นอาจารย์ 

ศิษย์ ฝ่าเซินสามารถชี้นำการบำเพ็ญของพวกเรา และคุ้มครองพวกเราได้ไหม

อาจารย์   ในเวลาที่ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งกำลังจะพบกับเรื่องยุ่งยากนั้น  ฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะช่วยท่านสลายสิ่งเหล่านี้  ไม่ให้เกิดขึ้นได้ และจะสะกิดเตือนท่าน  ในเวลาที่ท่านรับรู้(อู้)ไม่ได้เลยจริงๆ  แต่ท่านก็บำเพ็ญได้ไม่เลว  เขาก็อาจจะปรากฎต่อหน้าท่านบอกอะไรกับท่าน  หรืออาจให้ท่านได้ยินเสียง   เนื่องจากระดับชั้นของการบำเพ็ญของท่านไม่สูงพอ  จึงไม่อาจให้ท่านเห็นเขา  เขาจะให้ท่านได้ยินเสียง  แต่ส่วนใหญ่จะให้ท่านเห็นในขณะที่ท่านหลับอยู่  เช่นนี้เท่ากับท่านฝันไปอย่างนั้น   เป็นจริงหรือเท็จ  ยังมีเรื่องการรับรู้คงอยู่  ดังนั้นส่วนมากสามารถเห็นได้ในความฝัน  หากแรงสมาธิท่านสูงมาก  ในขณะนั่งสมาธิก็สามารถเห็นได้   แต่หากท่านคิดแต่จะเห็นข้าพเจ้าอยู่เรื่อย  ก็เป็นการแสวงหา  เป็นจิตยึดติดอย่างหนึ่ง   ดังนั้นจึงไม่อาจให้ท่านเห็น  ในเวลาที่ท่านไม่สนใจ   ในอนาคตเพียงแต่ท่านบำเพ็ญ  ย่อมได้เห็นแน่นอน

ศิษย์   อาจารย์คุ้มครองผม  แต่หนี้กรรมของผมหนักมาก  จะคุ้มครองได้อย่างไร

อาจารย์   นี่ก็เป็นคำถามหนึ่งที่สำคัญมาก  เนื่องจากสังคมมนุษย์ทุกวันนี้  คนได้มาถึงขั้นนี้ที่กรรมพอกพูนกรรม  กรรมใหญ่หลวงมากแล้ว  ไม่ใช่แต่เพียงคนที่มีกรรมหนักอย่างนี้  เนื่องจากชีวิตคนนั้นสามารถกลับชาติไปเกิดใหม่ได้  กลับชาติไปเกิดเป็นสัตว์  วัตถุ  พืช  ชีวิตของมิติชั้นสูง  ชีวิตของมิติชั้นต่ำ  วัฏสงสารหกทางใช่ไหม  ล้วนสามารถกลับชาติไปเกิดใหม่ได้   ในเมื่อคนนำกุศลกับกรรมติดไป  คนปัจจุบันสัดส่วนของกุศลมีน้อย  กรรมหนัก  ฉะนั้นดูไปแล้วไม่เพียงแต่คนที่มีกรรม  แม้แต่โคลน ดิน ก็มีกรรมทั้งนั้น  ในอดีตทุกท่านทราบว่า  ในประเทศจีน ชาวนาทำงานอยู่กับดินหากมือเป็นแผลแล้ว  หยิบจับผิวดินมาโรยใส่มันก็หายได้  โรยผิวดินสักหน่อยก็หายได้   เดี๋ยวนี้ท่านกล้าแตะถูกดินไหม ท่านไม่แตะถูกยังจะเป็นบาดทะยัก  ทุกหนแห่งล้วนคือกรรม  ในสสารมีกรรม  ในพืชมีกรรม  สัตว์ คน ทุกหนแห่งล้วนคือกรรม  ดังนั้นเมื่อมองจากมิติชั้นสูง  จะเห็นสังคมมนุษย์เป็นคลื่นสีดำหมุนวนไปมา  เหตุใดจึงมีโรคระบาด  โรคระบาดที่ร้ายแรง  ก็คือคลื่นสีดำนั้น   กลุ่มกรรมที่มีความหนาแน่นสูงมากนั้น  หมุนกลิ้งไปมา  พอกลิ้งมาถึงสถานที่นี้   มันก็เกิดโรคระบาด   เดี๋ยวนี้กรรมของมนุษย์ใหญ่หลวงขนาดนี้แล้ว  จะทำอย่างไรละ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  หากท่านคิดจะบำเพ็ญ  ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่  ติดค้างชีวิตเอาไว้กี่ชีวิต  ชดใช้หมดแล้วค่อยบำเพ็ญ  เกรงว่าเวลาผ่านพ้นไปสถานการณ์ก็จะเปลี่ยงไปแล้ว  ท่านก็ไม่ได้พบข้าพเจ้าแล้ว

            เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี  คนในจักรวาลนี้ไม่ใช่เพื่อที่จะเป็นคน    แต่เพื่อบำเพ็ญกลับไป  กลับไปที่ที่ให้กำเนิดท่านอย่างแท้จริงนั้น  บางคนพูดว่า ฉันอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ฉันปล่อยวางฉิงของคนธรรมดาสามัญนี้ไม่ได้หรอก  เมื่อบำเพ็ญแล้ว ลูกเมียของผม  พ่อแม่พี่น้องของผมจะทำอย่างไรละ  เช่นนั้นผมมีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมายละซิ  นั่นคือการรับรู้โดยยืนอยู่บนจุดยืนของท่าน  ไปคิดบนพื้นฐานที่มีอยู่ขณะนี้   พอท่านยกระดับถึงพื้นฐานใหม่ หลังจากระดับชั้นยกสูงขึ้นแล้วท่านจะไม่คิดอย่างนี้  ท่านอยู่ในอีกเขตแดนหนึ่งท่านจะไม่คิดอย่างนี้  แต่ข้าพเจ้าจะบอกเหตุผลข้อหนึ่งให้กับท่าน  ใครเป็นญาติที่แท้จริงของท่านละ ตรงนี้ไม่ใช่ข้าพเจ้าจะรบกวนความสัมพันธ์ในครอบครัวของพวกท่านหรอกหนา  เนื่องจากในเวลาที่คนอยู่ในวัฏสงสารหกทาง  ชาตินี้ท่านเป็นคน  ชาติต่อไปเป็นสัตว์ เป็นพืช  ชาติแล้วชาติเล่า แต่ละชาติแต่ละภพท่านมีพ่อแม่มากเท่าไร  มีภรรยาและลูกมากเท่าไร  พี่สาวน้องสาวพี่ชายน้องชายอีกละ  ในสายธารชีวิตที่ยาวนานของท่าน  ท่านก็นับได้ไม่หมด  ยังมีบ้างที่เป็นคน  บ้างที่ไม่ใช่คน  คนไหนที่เป็นจริง   ก็คือคนลุ่มหลงลึกจนเกินไปแล้ว  พ่อแม่ที่แท้จริงของท่านอยู่ในสถานที่นั้นในจักรวาลที่ให้กำเนิดท่าน   ที่นั่นจึงจะมีพ่อแม่ของท่าน   เนื่องจากชีวิตมีที่มาสองชนิด  หนึ่งคือชีวิตที่ก่อเกิดจากการเคลื่อนไหวของสสารมากมายมหาศาล  อีกหนึ่งคือการเคลื่อนไหวของสสารในจักรวาลก่อเกิดชีวิตที่มีรูปลักษณ์  เขาเองเหมือนกับคนตั้งครรภ์  ก่อเกิดเป็นชีวิต  ชีวิตอย่างนี้ เขาจึงจะมีพ่อแม่  ดังนั้นพ่อแม่ที่แท้จริงของท่าน กำลังอยู่ที่นั่นเฝ้าดูท่าน  รอคอยให้ท่านกลับไป แต่ท่านไม่กลับไป  ลุ่มหลงอยู่ที่นี่  และยังรู้สึกว่าที่นี่ล้วนแต่เป็นญาติสนิท

            การเป็นคนนั้นไม่ใช่เป้าหมาย   หวนกลับสู่ความจริงแท้ดั้งเดิมจึงเป็นเป้าหมาย  คนๆหนึ่งเมื่อเกิดความคิดที่จะบำเพ็ญพุทธนี้  แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสแห่งวาสนาที่จะบำเพ็ญ  เขาก็ได้ปลูกดอกผลที่ดีงามของการบำเพ็ญพุทธแล้ว  เหตุใดจึงพูดอย่างนี้ละ  ก็คือความคิดนี้ที่เขาคิดออกมานั้นมีค่าอย่างยิ่งแล้ว  คนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกข์ยากเช่นนี้  ในสภาพแวดล้อมแห่งวังวนนี้  เขายังมีจิตที่จะหวนคืนกลับไป  ยังมีจิตที่ใฝ่ดีอยากบำเพ็ญพุทธเช่นนี้ หากท่านคิดจะบำเพ็ญ   ก็จะคิดหาทางช่วย เปิดไฟเขียวให้ท่าน   คนเมื่อมีความคิดเช่นนี้  ก็จะสะเทือนไปทั่วทศทิศ  เปล่งประกายสว่างไสวราวกับทองคำ   ใครก็มองเห็นได้ทั้งนั้น  คนๆนี้คิดจะบำเพ็ญ  ก็เป็นเช่นนี้  กรรมหนักขนาดนี้แล้ว  จะทำอย่างไรละ  เช่นนั้นก็ต้องเลือกวิธีที่จะสลายกรรมให้ท่าน   การสลายกรรมนั้นไม่อาจทำได้โดยไร้เงื่อนไข  และไม่อาจสลายให้กับท่านทั้งหมด  คนอื่นสามารถทำได้ถึงขั้นไหนละ  ข้าพเจ้าไม่ไปดู  แต่พุทธศาสนากล่าวว่า  ในภพหนึ่งท่านบำเพ็ญไม่สำเร็จ   เวียนว่ายตายเกิดหลายครั้งจึงจะบำเพ็ญสำเร็จ   คือพูดว่าไม่สามารถสลายกรรมมากมายอย่างนั้นได้หมดในทันที   แต่หากท่านบำเพ็ญจริง    ในชาตินี้ภพนี้เราก็จะคิดหาวิธีให้ท่านบำเพ็ญสำเร็จ  ก็คือหยวนหมั่นในภพนี้ หากท่านอายุมากแล้วจริงๆ  หรืออายุขัยชีวิตสั้นมากไม่ทันการณ์แล้ว  ท่านก็สามารถนำฝ่าหลุนไปสู่สิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ กลับชาติไปเกิดใหม่  พอเกิดมาก็นำสิ่งนี้เชื่อมต่อกับความสัมพันธ์แต่ชาติปางก่อนในครั้งต่อไป

            คนๆหนึ่งที่บำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง  ข้าพเจ้าจะสลายกรรมของท่านจนท่านสามารถจะบำเพ็ญ  ท่านสามารถจะแบกรับผ่านไปได้   สลายให้กับท่านจนถึงระดับนี้   จะสลายให้จนหมดไม่ได้  ไม่ชดใช้เลยแม้แต่น้อยไม่ได้  เช่นนั้นส่วนที่ต้องชดใช้นั้น จะชดใช้อย่างไรละ  เราจัดวางมันไว้บนเส้นทางการบำเพ็ญของท่าน  ล้วนเป็นกรรมของท่านเอง ก็จัดวางไว้ตามความต้องการของการยกระดับในระดับชั้นที่ต่างกันในการบำเพ็ญของท่าน  มันจะกลายเป็นด่านและความยากลำบากในเวลาที่ท่านจะยกระดับซินซิ่ง  ในเวลาที่จำเป็นต้องยกระดับชั้น  ท่านจะประสบกับเรื่องยุ่งยากบางอย่าง  หรือร่างกายรู้สึกว่าตรงไหนเจ็บปวดเอย  ฉะนั้นนี่ล้วนแต่ต้องการให้ท่านอู้ (รับรู้)ให้ได้  ในเวลานี้จะสามารถปฏิบัติตนในฐานะผู้ฝึกพลังได้หรือไม่ จะปฏิบัติต่อปัญหาเหล่านี้เหมือนกับคนธรรมดาสามัญหรือไม่  จะสามารถปล่อยวางมันได้หรือไม่  มองมันให้จืดจาง  ในทันทีที่ท่านสามารถปล่อยวางโดยมองด่านและความยากลำบากนี้ว่าเป็นโอกาสดีสำหรับการยกระดับ   ท่านก็จะสามารถข้ามด่านนี้ได้  หลายคนที่บำเพ็ญเขารู้สึกว่าความยากลำบากนั้นใหญ่หลวงมาก  ที่จริงกลับไม่ใหญ่อะไร    ในเวลาที่ท่านยิ่งรู้สึกว่ามันใหญ่มันก็จะเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่  ท่านก็ยิ่งเล็กลง  ถ้าท่านไม่ใส่ใจ  ไม่เอามันมาใส่ใจ  ตราบใดที่เขาเขียวยังอยู่ ไม่กลัวว่าจะไม่มีฟืนใช้  มีอาจารย์อยู่ มีฝ่าอยู่  จะกลัวอะไรกัน  อย่าไปสนใจมัน  พอปล่อยวางได้แล้ว  ท่านจะพบว่าความยากลำบากนั้นเล็กลงแล้ว  ท่านกลับใหญ่ขึ้นมาแล้ว   เพียงหนึ่งก้าวท่านก็ข้ามไปได้แล้ว  ความยากลำบากนั้นจะเปลี่ยนเป็น ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  รับรองว่าเป็นเช่นนี้   ที่ผ่านไปไม่ได้  ที่แท้คือเขาปล่อยวางจิตยึดติดนั้นไม่ลง  ล้วนแต่มีเหตุจากการปล่อยวางจิตใจไม่ลงจึงทำให้เขาข้ามไปไม่ได้  เพราะเขาถอยออกมาจากก้าวนั้นของคนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงข้ามไปไม่ได้

ศิษย์     ดิฉันมีปัญหาข้อหนึ่ง  ดิฉันบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่านานมากแล้ว  ดิฉันอ่านหนังสือของท่านอาจารย์อย่างหิวกระหาย  ดูวิดิทัศน์ของท่านอาจารย์   แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ดิฉันไม่เข้าใจ   ก็คือท่านอาจารย์มีคำพูดประโยคหนึ่งว่า   ฝ่าหลุนนั้นอาศัยพวกท่านฝึกเอง ก็ไม่อาจจะฝึกออกมาได้    ต้องให้อาจารย์มอบฝ่าหลุนหนึ่งองค์ให้พวกท่านด้วยตนเอง  ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจึงคิดไปประเทศจีนไปขอเชิญให้อาจารย์ใส่ฝ่าหลุนให้หนึ่งองค์  นี่คือปัญหาหนึ่ง  อีกข้อหนึ่ง  ถ้าหากมีฝ่าหลุนแล้ว  จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าตนเองมีฝ่าหลุน  ก็คือปัญหาสองข้อนี้

อาจารย์   คนจำนวนมากกังวลกับปัญหาข้อหนึ่ง  พวกเราจะศึกษาฝ่านี้  ไม่เคยฟังการบรรยายของท่าน  ไม่เคยพบหน้าท่าน  พวกเราสามารถจะมีฝ่าหลุนได้ไหม   บ้างก็ไม่รู้สึกอะไร  ใช่หรือไม่ว่าอาจารย์ไม่สนใจพวกเราหนา   ปัญหานี้หลายคนต่างก็มีได้   ที่จริงข้าพเจ้าได้เขียนในหนังสือแล้ว   ท่านสามารถมีฝ่าหลุนได้  เพราะข้าพเจ้ามาช่วยเหลือสรรพชีวิต  หากข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบต่อท่าน  ท่านอ่านสิ่งเหล่านี้แล้วก็จะนำอันตรายมาสู่ตัวท่านได้  ดังนั้นข้าพเจ้าต้องดูแลท่านอย่างแน่นอน  ถ้าท่านบำเพ็ญจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ดูแลท่าน  ก็เท่ากับข้าพเจ้ากำลังทำร้ายคน  วางคนไว้ในที่อันตราย  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็ต้องรับกรรม  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้  แม้ข้าพเจ้าได้ทำอย่างนี้แล้ว      ข้าพเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน  คนที่เกินจี(รากฐาน)ดีมากหลายคนต่างมองเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ แต่ละตัวอักษรล้วนเป็นฝ่าหลุน  เนื่องจากมิตินั้นไม่เหมือนกัน  มองในมิติที่อยู่ในระดับชั้นที่ลึกลงไป จะเห็นว่าแต่ละตัวอักษรล้วนคือธรรมกายของข้าพเจ้า  ล้วนเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ  ทุกขีดทุกเส้นของตัวอักษรล้วนเป็นพระพุทธองค์เดี่ยวๆ   ทุกท่านคิดดู  พลานุภาพของพระพุทธองค์หนึ่งนั้นยิ่งใหญ่มาก   ในขณะที่ท่านถือหนังสือเล่มนี้อ่านอยู่  ทำไมโรคจึงหายได้ละ ตาของท่านไม่ดี  ทำไมเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้  ยิ่งอ่านตัวอักษรก็ยิ่งโตละ  ตาก็ไม่เมื่อยล้า  ทำไมท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างปาฏิหารย์ละ  เพราะตัวอักษรนั้นประกอบขึ้นด้วยฝ่า  เขาสามารถทำทุกเรื่องให้กับท่านได้  เขาจึงสามารถใส่ฝ่าหลุนให้ท่านได้  ข้าพเจ้ายังมีฝ่าเซินดูแลท่านอยู่  เรื่องทั้งหมดนี้พวกเขาสามารถทำได้ทั้งสิ้น  ดังนั้นท่านไม่ได้พบกับตัวข้าพเจ้าก็สามารถจะได้รับ

พูดถึงความรู้สึกนะ  บางคนเขารู้สึกไว  จะรู้สึกว่าท้องน้อยกำลังหมุน  ยังไม่เพียงแค่ที่ใดที่หนึ่งหมุนนะ  ทั่วทั้งตัวทุกแห่งล้วนหมุนอยู่   พวกเราที่นั่งอยู่บางคนเคยพูดผิดๆ  ต่อไปต้องระวัง คือพูดว่าพวกเราฝ่าหลุนต้าฝ่าฝึกฝ่าหลุนเก้าองค์   ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ฝ่าหลุนที่ข้าพเจ้าให้กับท่านอย่างแท้จริงนั้นมีแค่หนึ่งองค์  ฝ่าหลุนหนึ่งองค์นี้ก็มีพลานุภาพไม่มีอะไรเปรียบได้แล้ว  เขาสามารถแบ่งร่างออกได้อย่างไม่จำกัด  การบำเพ็ญตอนแรกเริ่มของท่านนั้น  เพื่อที่จะปรับร่างกายของท่าน  ฝ่าหลุนที่ข้าพเจ้าใส่ไว้นอกร่างกายท่านนั้นไม่รู้ว่ามีกี่ร้อยองค์  ทุกหนแห่งล้วนหมุนอยู่ บางคนบอกว่าตรงนี้หมุน  ตรงนั้นหมุน  โอ้ทั่วทั้งตัวกำลังหมุนอยู่   ทุกแห่งหนต่างหมุนอยู่  เพราะร่างกายของท่านนั้นต้องชำระล้างให้กับท่าน  กลืนกลายให้   ข้าพเจ้าใช้พลังกงที่พิเศษชนิดนี้ปรับร่างกายให้ท่านอยู่  ดังนั้นท่านสามารถรู้สึกได้ว่าทุกที่ล้วนมีฝ่าหลุนหมุนอยู่  มากจนท่านนับไม่ไหว  ท่านอาจรู้สึกว่ามีเก้าองค์  ท่านจึงพูดว่ามีเก้าองค์   ดังนั้นข้าพเจ้าจะใช่ฝ่าหลุนมากมายที่ใช้กับภายนอกปรับร่างกายให้ท่าน  บางคนความรู้สึกไว  บางคนความรู้สึกไม่ไว  ความรู้สึกไม่ไวจะไม่รู้สึก  คนที่ความรู้สึกไวจึงจะสามารถรู้สึกได้ แต่ไม่ว่าจะรู้สึกได้หรือ รู้สึกไม่ได้  นี่ล้วนเป็นแค่ระยะแรก  คนที่รู้สึกได้ รอจนเขาปรับเข้ากันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายท่านแล้ว  ท่านก็จะไม่รู้สึก   เนื่องจากหัวใจของท่านที่กำลังเต้นอยู่นั้น ตามปกติท่านรู้สึกว่ามันเต้นอยู่หรือไม่ละ  เมื่อท่านใช้มือคลำท่านจึงจะรู้  กระเพาะของท่านกำลังขยับขยุกขยิกอยู่  ท่านทราบไหมว่ามันกำลังขยุกขยิกอยู่  เลือดของท่านกำลังไหลหมุนเวียนอยู่ ท่านทราบหรือไม่ละ  ในเวลาที่เขากลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายท่านก็ไม่รู้สึกแล้ว  ก็รู้สึกไม่ได้แล้ว  ระยะแรกที่ไม่มีความรู้สึกนั้นก็มี  ระยะแรกมีคนจำนวนมากไม่มีความรู้สึก  แต่ต่อมาในระหว่างการบำเพ็ญ  ท่านจะมีความรู้สึกต่างๆ  เพียงท่านบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าจะดูแลท่านอย่างแน่นอน

ที่ชัดเจนที่สุดคือร่างกายของท่านจะถูกชำระล้างอย่างรวดเร็ว   ในประเทศจีนมีคนจำนวนมากต่างทราบกัน  การบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าช่างน่าอัศจรรย์จริง  พอฝึกโรคก็หาย  เพราะอะไรหรือ  คนจำนวนมากเขาไม่ได้แสวงหาการรักษาโรค   เขารู้สึกว่าต้าฝ่าดี  เขาจึงฝึกนะ  ผลลัพธ์คือโรคหายแล้ว  แต่มักจะมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ผล  ทำไมไม่ได้ผลนะหรือ  เขาได้ยินว่าฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าสามารถขจัดโรคได้  เขาจึงมาฝึกโดยมีเป้าหมายจะขจัดโรค  ดังนั้นโรคของเขาจึงขจัดไม่ได้   “ไม่แสวงหาจะได้เอง”  ท่านคิดจะขจัดโรคก็เป็นการแสวงหาใช่ไหม  ร่างกายคนนั้นควรที่จะชดใช้กรรม  จึงควรมีโรค  ท่านก็ควรมีจิตที่จะบำเพ็ญ  ละทิ้งจิตที่อยากจะรักษาโรคไป   ท่านมีแต่ไม่คิดจะขจัดโรค  ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้  ท่านสนใจแต่ไปฝึกพลัง  อะไรๆท่านก็จะได้  แต่หากท่านมีใจที่จะรักษาโรค  อะไรๆก็จะไม่ได้  ที่ผ่านมาโดยตลอดเราไม่ให้คนที่เป็นโรคจิตกับคนที่ป่วยหนักเข้ามาในสนาม  หรือพูดได้ว่า  คนป่วยหนักเช่นนี้ ท่านจะบอกให้เขาปล่อยวางจิตดวงนั้นลงได้อย่างไรละ  เขาก็ปล่อยวางไม่ได้  ร่างกายของเขาจวนจะสิ้นสุดแล้ว  เขาสามารถที่จะไม่คิดถึงโรคของเขาได้หรือ  ตอนกลางคืนเขานอนไม่หลับคิดแต่เรื่องโรค  ดังนั้นท่านบอกให้เขาปล่อยวางอย่างไรเขาก็ปล่อยวางไม่ลง บางครั้งปากของเขาบอกว่าปล่อยวางแล้ว  ในสมองยังคงคิดอย่างหนัก  ดังนั้นเราจึงทำอะไรให้ไม่ได้เลย  ทำไมทำให้ไม่ได้นะหรือ  เพราะการถ่ายทอดฝ่าถูกต้องช่วยคนนั้นมีข้อกำหนดอยู่  เป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดมาก หาไม่แล้วเราก็กำลังถ่ายทอดธรรมนอกรีต    ท่านจำเป็นต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดนี้  เราจึงจะสามารถช่วยทำให้ท่านได้  ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงความคิดนี้  พวกเราก็ทำอะไรให้ไม่ได้  เปลี่ยนแปลงความคิดนี้ได้แล้ว ท่านก็ไม่ใช่คนฯ   ถ้าเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ไม่ได้  ท่านก็คือคนฯ  ก็ต่างกันอยู่ตรงนี้    ดังนั้นจึงมีแต่ไม่แสวงหาจะได้เองเท่านั้น  หลายคนไม่ได้มาโดยมีความนึกคิดอะไร  รู้สึกว่าดีทีเดียว  มาฝึกดูสักหน่อย  ล้วนเห็นว่าผู้คนเขาฝึกชี่กงกัน  อย่างเหนือความคาดหมายเขาก็มาฝึกด้วย  เขากลับ(โรค)อะไรก็หายหมดด้วยซ้ำไป  แน่ละเราไม่ได้กำหนดคนเขาไว้สูงนักในทันที   มีขั้นตอนของการรับรู้อยู่  นี่สามารถยอมได้  แต่อย่าได้มีจิตแสวงหาใดๆมาบำเพ็ญ

ศิษย์  ท่านอาจารย์  ขออภัยอย่างยิ่ง  ผมมีสามปัญหาอยากจะถาม  ปัญหาข้อที่หนึ่ง  ก็คือผมอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” ข้างในบอกว่าหลักพลังฉีเหมินนั้น เขาไม่ตัดทอนพลังที่ท่านฝึกลงมา  มีบางหลักพลัง หลังจากท่านฝึกแล้วจะตัดทอนลงมา8ใน10ส่วนเพื่อเสริมสร้างโลกใบนั้น  เช่นนั้นพวกเราฝึกต้าฝ่านี้ก็จะต้องตัดทอนลงมาด้วยไหม

อาจารย์   เนื่องจากคนบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนฯ  คนก็จำเป็นต้องฝึกสิ่งทั้งปวงที่ในอนาคตเมื่อเป็นพระพุทธควรมีอย่างเพียบพร้อมออกมา  ทุกท่านทราบ  พระพุทธนั้นต้องการอะไรก็ได้อะไร  และมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่  โชคลาภของเขานั้นไร้ที่เปรียบ  เขามาจากไหนละ  เขาต้องทนทุกข์เพียงไร  เขาก็จะได้โชคลาภมากเพียงนั้น   ฉะนั้น พลังนี้ที่โตขึ้นมาของเขาจึงต้องบรรลุถึงระดับที่สูงมากจึงจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธ  ในอดีตนี่เป็นสิ่งที่ในวงการบำเพ็ญเราต้องอยู่ในระดับสูงมากของการบำเพ็ญจึงจะพูดกัน  ในอดีตเป็นสิ่งที่ไม่พูดกันในหมู่คนฯ  ผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ต้องบำเพ็ญได้สูงมากจริงๆ ท่านจึงจะสามารถหยวนหมั่น  เพราะอะไรละ  ท่านมีแต่พลัง ท่านขึ้นไปแล้ว ท่านอยากได้อะไร ก็จะไม่มีอะไร  โชคลาภทั้งปวงท่านล้วนไม่มี  อย่างนี้ไม่ได้ ท่านอยู่ในขั้นตอนการบำเพ็ญ  ท่านก็ต้องบำเพ็ญมันออกมาทั้งหมด   บรรดาความทุกข์ที่ต้องทนรับในขั้นตอนทั้งหมดของการบำเพ็ญ  ก็คือธรรมานุภาพของท่าน  ทนทุกข์แล้วพลังจึงโต  ซินซิ่งยกระดับแล้วเขาก็มีพลังเพิ่มขึ้น  ดังนั้นในอนาคตหลังจากบำเพ็ญถึงระดับชั้นที่สูงล้ำลึกมาก  ยังต้องตัดทอน 8 ใน10 ส่วนของพลังลงมาหยวนหมั่นโชคลาภของมรรคผลอันไร้ขอบเขตนั้นของท่าน  เสริมสร้างโลกใบเล็กของท่าน  นั่นคือการบำเพ็ญออกมาด้วยการทนทุกข์ของท่าน    แม้แต่มาตรฐานซินซิ่งที่ท่านบำเพ็ญออกมาก็ต้องตัดทอนลงมา  เสริมสร้างเข้าไปข้างใน  จึงจะเป็นโชคลาภของท่าน  นั่นคือได้มาจากการทนทุกข์  และส่วนที่เหลือ 2 ใน 10  นั่นจึงจะเป็นมรรคผลของท่าน  หากบรรลุถึงมาตรฐานพระโพธิสัตว์ก็เป็นพระโพธิสัตว์   บรรลุถึงมาตรฐานของพระพุทธก็เป็นพระพุทธ  บรรลุถึงมาตรฐานอรหันต์ก็เป็นอรหันต์   บรรลุถึงเขตแดนยิ่งสูงขึ้นไปอีกท่านก็เป็นพระพุทธที่สูงยิ่งขึ้น  ส่วนวิธีบำเพ็ญของหลักพลังฉีเหมินค่อนข้างซับซ้อน  แต่ก็ต้องให้เขาตัวเองใช้พลังมาหยวนหมั่นโชคลาภ

ศิษย์    ผมขอถามคำถามที่สองสักหน่อย  ซินซิ่งของเราไม่สูงพอ  ดังนั้นผู้คนจึงด่าผม หรือรังแกผม ในใจผมโกรธเหลือทน  หากตามที่อาจารย์บอกว่า ที่คนเขาตีท่าน  ด่าท่าน  รังแกท่านล้วนแต่ให้กุศลกับท่าน  ดังนั้นในใจท่านยังจะโกรธไม่ได้  ใช่หรือไม่ว่าพอโกรธแล้วพลังก็ไม่โต

อาจารย์   เนื่องจากการเป็นผู้ฝึกพลังคนหนึ่ง  ในเวลาที่ท่านโกรธคนฯนั้นก็เหมือนกับคนฯแล้ว  ในขณะที่โกรธท่านก็กำลังผลักออกข้างนอกไป  เพียงแต่ท่านไม่ได้ผลักกลับไป  ไม่ได้ผลักกลับไปเพราะท่านสูญเสียไปแล้วจริงๆ  เพียงแต่ท่านปฏิบัติเหมือนกับเขาก็สามารถผลักมันกลับไป  บางคนคิดว่า หมอนี่รังแกฉันจนเหลือทน  หลอกเอาเงินฉันไปมากมาย  ฉันยังต้องดีใจขอบใจเขา  คุณตีฉันหนึ่งที   ฉันยังต้องถูกด่า  ฉันไม่เพียงแต่ด่าไม่ได้  ฉันยังต้องขอบใจเขา  ผู้คนพูดว่านี่ท่านมิใช่อาคิวแล้วหรือ  อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง   ไม่ใช่ ทุกท่านคิดดู  ท่านไม่มีซินซิ่งสูงเพียงนั้น  ท่านก็ทำไม่ได้นะ  นั่นเป็นการแสดงออกของปณิธานที่แข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญ  คนฯจะทำได้หรือ   เขาไม่มีปณิธานที่แข็งแกร่งเช่นนั้นเขาย่อมทำไม่ได้  นั่นไม่ใช่ความอ่อนแอ  แน่ละท่านต้องดีใจแล้ว  ทุกท่านคิดดู  ถ้าเขาไม่รังแกท่าน  ท่านยังจะไม่ได้กุศลเพิ่มมาก้อนหนึ่งนะ   ท่านได้กุศลเพิ่มขึ้นก้อนหนึ่งท่านก็บำเพ็ญพลังออกมาได้ก้อนหนึ่ง  ในขณะที่เขารังแกท่าน  กรรมของท่านก็กำลังจะสลายไป  ตัวท่านเองมีกรรมแล้วจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธได้หรือ  ท่านต้องสลายให้เกลี้ยง เขารังแกท่าน ให้กุศลแก่ท่าน  ท่านยังสลายกรรมได้  ท่านไม่ปฏิบัติตนเช่นเดียวกับเขา  จิตใจสงบมาก มาตรฐานซินซิ่งของท่านสูงแล้ว  ซินซิ่งนั้น จะมีมาตรวัดอยู่บนศีรษะ   มาตรวัดที่อยู่บนศีรษะนี้สูงเพียงไร  พลังก็สูงเพียงนั้น  ท่านมีซินซิ่งสูง พลังก็สูง   กรรมของท่านก็ผันแปรเป็นกุศลแล้ว  เขายังให้กุศลแก่ท่านอีก  ท่านได้ทีเดียวสี่ต่อ  ท่านยังไม่ขอบคุณเขา  ต้องขอบคุณเขาจากใจจริง    เพราะเมื่อครู่ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า  หลักการที่สังคมนุษย์เข้าใจว่าดีกับชั่วนั้นกลับกัน   เมื่อถึงระดับชั้นสูงจะพบว่า สิ่งที่คนยึดติดล้วนแต่ไม่ดี

ศิษย์  ปัญหาข้อที่สาม คือ ในหนังสือพูดถึงเรื่องการฆ่าชีวิต  การฆ่าชีวิตเป็นบาปกรรมหนักมากอย่างหนึ่ง  หากคนๆหนึ่งฆ่าตัวตายจะถือเป็นบาปหรือไม่

อาจารย์   ถือเป็นบาป  ปัจจุบันสังคมมนุษย์ไม่ดีแล้ว  เรื่องแปลกประหลาดร้อยพันล้วนเกิดขึ้นแล้ว  พูดกันเรื่องตายอย่างสงบสุขอะไร  ฉีดยาให้คนนั้นตาย   ทุกท่านทราบว่า  ทำไมถึงฉีดยาให้เขาตาย  รู้สึกว่าเขาทุกข์ทรมาน  แต่เรากลับรู้สึกว่า  การเจ็บปวดทรมานของเขาคือการสลายกรรมนะ  เขากลับชาติไปเกิดใหม่  ตัวเบาหวิว  ไม่มีกรรม  เขาจะมีความสุขอย่างมากรอเขาอยู่  ในขณะที่เขาสลายกรรมอยู่ในความทนทุกข์ทรมาน   เขาย่อมรู้สึกทรมานแน่นอน  ท่านไม่ให้เขาสลายกรรม ฆ่าเขาเสีย  นั่นไม่ใช่การฆ่าคนหรือ เขานำกรรมติดตัวจากไป   ชาติต่อไปเขาต้องชดใช้กรรม  ท่านว่าอย่างไหนถูกต้องละ  ฆ่าตัวตายยังมีบาปอย่างหนึ่ง  เพราะชีวิตของคนนั้นมีการจัดวางไว้  ท่านทำลายลำดับสถานการณ์ทั้งหมดของเทพ  ผ่านหน้าที่ที่ท่านทำต่อสังคม ระหว่างคนด้วยกันมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน  เมื่อตายแล้ว  การเรียงลำดับทั้งหมดนี้คือการทำให้การจัดวางของเทพยุ่งเหยิง  ท่านทำให้เขายุ่งเหยิงเขาก็จะไม่ปล่อยท่านนะ  ดังนั้นการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาป 

ศิษย์  พระพุทธคิดจะทำอะไรก็ทำอะไร  พระพุทธไม่ใช่จิตไร้ซึ่งตัณหาหรอกหรือ  พระองค์ยังจะเสพสุขอีกหรือ

อาจารย์  บางคนพูดว่าพระพุทธไม่รับประทานอาหาร  พระพุทธก็ไม่มีร่างกายของคน  คำพูดนี้ฟังดูแล้วผู้คนล้วนเข้าใจว่าพระพุทธเป็นอย่างนี้  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  คำพูดที่คนในวงการบำเพ็ญพูดออกมานั้นไม่อาจใช้แนวคิดของคนฯไปรับรู้  พระพุทธไม่มีร่างกายของคน  คือไม่มีร่างกายของคนที่สกปรกซึ่งประกอบด้วยโมเลกุล สสารระดับชั้นอนุภาคนี้ อณูที่หยาบที่สุดของร่างกายเขานั้น  ชั้นผิวคืออะตอม  แต่อณูที่จุลทรรศน์ที่สุดคือสสารที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าในจักรวาล  สสารของเขายิ่งจุลทรรศน์ พลังงานของเขาที่แผ่กระจายออกมายิ่งแรง แสงพระพุทธสาดส่องไปทั่วใช่ไหม  บางคนพูดว่าพระพุทธไม่รับประทานอาหาร  พระพุทธไม่รับประทานอาหารของคน  เขารับประทานสสารในระดับชั้นนั้นของเขา  เขาก็ไม่เรียกว่า “อาหาร ตามภาษามนุษย์  ดังนั้นท่านไม่สามารถเข้าใจความหมายของภาษาในเขตแดนของพระพุทธได้  เข้าใจพวกเขาไม่ได้  คนก็มีวิธีคิดของคน

            คนฯบางคนพูดว่าเมื่อเป็นพระพุทธแล้ว  ไม่มีความหมายอะไรเลย (ช่างน่าเบื่อ) อะไรก็ไม่มีแล้ว  นั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนท่อนไม้  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  พระพุทธคือธรรมราชาของโลกสวรรค์นั้นของเขา  พวกเราเรียกพระยูไล นั้นหมายถึงวิธีเรียก ระดับชั้นของมาตรฐานซินซิ่งที่ปรากฏออกมาของเขา  ที่แท้เขาเป็นธรรมราชาของสวรรค์นั้นของเขา ในโลกนั้นมีสรรพชีวิตนับไม่ถ้วนที่เขาควบคุม  แน่ละไม่ใช่คนฯเราที่ใช้กฎหมายบังคับควบคุม  เขาใช้จิตเมตตาที่ดีงามในการควบคุมทั้งหมด  ทุกท่านล้วนแต่อยู่ในมาตรฐานเขตแดนนั้น  ดีงามอย่างไร้ที่เปรียบ  เขาไม่มีฉิงของคนฯ  แต่เขามีความเมตตา  เขตแดนที่สูงกว่า  สิ่งที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า สิ่งที่มีอยู่อย่างพร้อมมูลในหมู่คนฯนั้นเขาจะไม่มีทั้งหมด  นี่ก็คือชีวิตชั้นสูง  ยังมีที่ชั้นสูงยิ่งขึ้น สูงยิ่งขึ้น  สูงยิ่งขึ้น ถ้าล้วนน่าเบื่อก็ตายให้จบสิ้นไปเลย  เขานั้นดีงามยิ่งกว่า  ไปถึงเขตแดนนั้นจึงจะทราบว่าอะไรคือความผาสุก  เขา(เขตแดน)นั้นดีงามกว่า  แต่สิ่งเหล่านี้ของคนฯนั้นหากท่านปล่อยวางไม่ลง  ทิ้งไปไม่ได้  ท่านก็ไม่อาจได้เขา

ศิษย์   เหตุใดหลักพลังฉีเหมินจึงไม่ตัดทอนพลังนั้นลงละครับ

อาจารย์  หลักพลังฉีเหมินไม่ตัดทอนพลังลงไป  ใครพูดกันละ  ล้วนต้องใช้พลังที่บำเพ็ญออกมาไปหยวนหมั่นมรรคผลของพวกเขา   การบำเพ็ญฉีเหมินไม่ใช่มีเพียงหนึ่งชนิด ที่พิลึกพิลั่น  ที่แปลกและมหัศจรรย์  ในการบำเพ็ญของเขา บ้างก็บำเพ็ญไปพลางหยวนหมั่นสิ่งนี้ไปพลาง การทุ่มเทนั้นเหมือนกัน  พลังของเขาไม่ได้โตขึ้นที่ตรงนี้  ดังนั้นเขาไม่ต้องตัดทอน  ผู้ที่ต้องตัดทอนนั้นพลังของเขาก็โตเร็ว  เขาไม่ตัดทอน เขาบำเพ็ญไปพลางโดยหยวนหมั่นโชคลาภและคุณธรรมไปพลาง  พลังของเขาจะโตช้ามาก  แต่การทุ่มเทนั้นเหมือนกัน

ศิษย์  มีสองปัญหา  ปัญหาข้อหนึ่งคือ วันแรกที่ผมเริ่มนั่งสมาธิ มองเห็นฝ่าเซินของอาจาย์นั่งอยู่ข้างๆ อยู่ทางซ้ายของผม แต่ชุดที่สวมใส่สีดำ  ใบหน้ายิ้มแย้ม  ต่อมาผมได้อ่านข้อมูลที่เขียนว่า  เนื่องจากเป็นครั้งแรก ที่ผมมองเห็น วันนี้ใคร่ขอคำแนะนำสักหน่อย  ไม่ใช่สีอย่างบนภาพทีวี

อาจารย์  นี่เนื่องจากมิติที่ต่างกันย่อมจะมีความแตกต่างกัน  อาทิเช่น เต๋านั้นเขาชอบสีอะไรละ คือสีม่วง ดังนั้นเขาจึงพูดถึงพลังชี่สีม่วงมาจากทิศตะวันออก เขาถือว่าสีม่วงนั้นสูงที่สุด  สายพุทธชอบสีเหลือง สีเหลืองทอง แต่มันเป็นสีหนึ่งสี  มันอยู่ในมิตินี้คือสีม่วง ในมิตินั้นคือสีเหลืองทอง ดังนั้นสิ่งของสีดำที่เห็นในมิติของเรานี้ ในมิติอื่นจะเห็นเป็นสีขาว  ที่ฝั่งนี้เห็นเป็นขาวๆ ที่ฝั่งนั้นจะเห็นเป็นดำๆ  ที่ฝั่งนี้เป็นสีเขียว  ที่ฝั่งนั้นจะเป็นสีแดง  สีทั้งหมดนั้นมันล้วนมีการแสดงออกที่ไม่เหมือนกันอย่างนี้ในมิติที่ต่างกัน  ดังนั้นพอดีท่านมองเห็นอยู่ในสภาพการณ์เช่นนั้นจึงเป็นสีชนิดหนึ่งอย่างนั้น ทุกท่านต้องระวังจุดหนึ่ง เพราะบางครั้งมารนี้รบกวนอย่างร้ายแรงมาก  ส่วนมากฝ่าเซินของข้าพเจ้ามักสวมใส่จีวรของพระพุทธ ผมสีน้ำเงิน ขดเป็นวงๆสีน้ำเงิน  สีน้ำเงินมากๆ  น้ำเงินอมเขียว  บางครั้ง ในสถานการณ์ที่พิเศษจริงๆจึงสามารถเห็นฝ่าเซินของข้าพเจ้าที่สวมเสื้อผ้าอย่างนี้  พิเศษอย่างยิ่ง พิเศษอย่างยิ่ง  พบเห็นน้อยมาก ดังนั้นทุกท่านต้องแยกแยะเรื่องนี้ให้ดี  หากเขาเป็นข้าพเจ้าดังว่า  ในใจท่านจะรู้สึกว่าเขาคือข้าพเจ้า มีความมั่นใจ  หากเขาไม่ใช่ข้าพเจ้าท่านจะเกิดคำถามขึ้นในใจ 

ศิษย์   ผมศึกษาฝ่านี้ได้สองเดือนแล้ว  ในสองเดือนนี้รู้สึกว่าโรคที่เป็นมาหลายสิบปีหายหมดแล้ว  จุดประสงค์ในการศึกษาฝ่าของข้าพเจ้าคือต้องการละทิ้งหนี้กรรมของผม  สองเดือนนี้ ผมสบายดีมากเลย  ยาสักนิดก็ไม่ได้กิน  นี่คือจุดหนึ่ง  อีกจุดหนึ่ง ในขณะที่นั่งสมาธิสิ่งที่เห็นนั้นคือฝ่าหลุนใช่หรือไม่ ขอให้อาจารย์กรุณาแนะนำ ที่ผมเห็นคือสิ่งที่หมุนเป็นเกลียว และหมุน แต่ว่า สีนั้นเป็นสีดินอย่างนี้  เหมือนกับสีดินโคลน  ทั้งองค์ที่หมุนนั้นมหัศจรรย์มากเหลือเกิน แต่มองไม่เห็นโครงสร้างข้างใน

อาจารย์ -  เนื่องจากฝ่าหลุนนั้นนอกจากสัญลักษณ์อันนั้นแล้ว  สีพื้นของมันนั้นสามารถเปลี่ยนได้ แดง ส้ม เหลือง เขียว  ฟ้าอ่อน  น้ำเงิน  ม่วง  มีสี ไม่มีสี  มันสามารถแปรเปลี่ยนได้  ดังนั้นฝ่าหลุนไม่แน่ว่าจะเป็นสีอย่างนี้  นอกจากนี้ฝ่าหลุนที่กำลังปรับร่างกายของท่านอยู่นั้นก็หมุนเร็วมาก  ดูไปเหมือนใบพัดของพัดลม  เหมือนกับพายุทอร์นาโดนั้น  บางครั้งหมุนช้ามาก  จึงสามารถมองเห็นโครงสร้างข้างในได้ชัด  ในเวลาที่หมุนเร็วมากก็ไม่ง่ายที่จะมองเห็น  ในระยะแรกการปรับร่างกาย  เขาเองรู้ดีว่าควรจะเร็วหรือช้า  ควรจะหมุนอย่างไร  นี่ล้วนไม่เป็นไร  ล้วนปกติ

ศิษย์   สามารถรำมือเหลียนฮวาชุดใหญ่ให้เราดูได้หรือไม่ครับ

อาจารย์  ท่ามือเหลียนฮวาใหญ่เป็นท่าที่คงที่ท่าหนึ่ง  ก็คือท่ามือที่คงที่  นี่คือท่ามือเหลียนฮวาใหญ่(ทำท่ามือ) ในเวลาที่เราฝึกพลังไม่จำเป็นต้องทำ  เมื่อจะเชิญให้อาจารย์เบิกเนตรให้พระพุทธรูปในบ้าน หรือเหลาจื่อของสายเต๋าเอย  ปฐมเทพเอย  พระพุทธรูปอื่นๆ ค่อยทำ  ดีที่สุดคือท่านเอาหนังสือเล่มนั้นของข้าพเจ้า  ไม่ใช่มีภาพถ่ายอยู่ข้างในหรือ  ท่านก็ทำเหมือนกับพูดกับข้าพเจ้าว่า “ท่านอาจารย์ครับ ขอให้ท่านช่วยเบิกเนตรให้สักครั้ง” ใช้มือตั้งท่าเหลียนฮวา ประคองหนังสือเล่มนี้ไว้  สามวินาทีก็ทำเสร็จแล้ว  ฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะเชิญฝ่าเซินของเทพมาองค์หนึ่งที่เหมือนกับพระพุทธรูปนั้น หากท่านจะเบิกเนตรให้กับพระอมิตตพุทธ  ฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะเชิญฝ่าเซินของพระอมิตตพุทธขึ้นไปบนพระพุทธรูปนี้ นี่เรียกว่าการเบิกเนตรที่แท้จริง  เดี๋ยวนี้พระสงฆ์ที่ไม่ได้บำเพ็ญจริงในศาสนา  ยังมีอาจารย์ชี่กงปลอม  เขาเบิกเนตรไม่ได้ เขาไม่มีธรรมานุภาพนั้นที่จะอัญเชิญพระพุทธมา  นั่นเป็นพระพุทธนะ  ไม่ใช่ว่าใครเรียกก็จะมา   แน่ละหลายคนใช้กระจกเงาส่องที่พระพุทธรูปแล้วก็บอกว่าเบิกเนตรแล้ว  ยังมีการใช้สารชินนาบาร์แต้มบนพระเนตรของพระพุทธรูป  พระเนตรเป็นสีแดงฉาน เขาก็บอกว่าเบิกเนตร ล้วนแต่มั่วเอา

ศิษย์  เมื่อครู่ที่พูดไปแล้วว่า  คนเองนั้นตกลงมาจากสวรรค์ที่ต่างกัน  ตกลงมาจากระดับชั้นที่ต่างกัน  ดังนั้นหากพูดตามเหตุผลแล้วเขาเองควรที่จะกลับไปสู่สวรรค์เดิมที่เขาตกลงมา  แต่ดูเหมือนในระดับชั้นนี้ของคน  เขาไม่รู้ว่าที่ไหนคือสวรรค์ที่เขาเคยอยู่แล้วตกลงมา  ดังนั้นในขณะบำเพ็ญ วิธีการที่เขาเลือกอาจไม่เหมือนกัน  ก็ดูเหมือนเขาอาจมีวาสนาได้ศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่า

อาจารย์  ท่านยังคิดที่จะกลับไปโลกเดิมนั้นของท่าน  สถานที่ที่ให้กำเนิดชีวิตท่าน  ความมุ่งหวังนั้นดี  ขณะนี้ก่อนอื่นที่ท่านต้องแก้ไขคือท่านจะคืนกลับไปได้อย่างไร  บำเพ็ญกลับไป  นี่จึงจะสำคัญที่สุด  ไม่มีช่องทางอื่นให้เลือก ล้วนไม่มีแล้ว  ไม่ใช่พูดว่าล้วนแต่วางอยู่ตรงนั้น คือ พระพุทธนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น ท่านอยากจะได้องค์ไหนก็ให้ท่านองค์นั้น  พูดถึงว่าท่านบำเพ็ญขึ้นไป  และท่านบำเพ็ญได้สูงมากจริงๆ สามารถบำเพ็ญกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมของท่าน  ท่านอยู่ในโลกนั้น  ท่านสามารถไปเยี่ยมญาติสนิทในโลกนั้นได้หมด  ไปเดินๆดู  กระทั่งว่าท่านอยู่โลกใบไหนก็ไม่เป็นไร  ท่านอาศัยอยู่ในซิดนีย์ หรืออยู่ที่บริสเบน

ศิษย์  ในเขตเอเซียอาคเนย์มีพวกที่เรียกว่าเทียนเต้า เผยแพร่กว้างขวางมาก เรื่องมันเป็นอย่างไร

อาจารย์   ขอบอกทุกท่านปัจจุบันคือยุคปลายกัลป์  ยุคธรรมะปลายที่องค์ศากยมุนีพุทธตรัส  หมื่นมารจะปรากฏบนโลก  ในปีนั้นที่องค์ศากยมุนีพุทธยังทรงอยู่ในโลก  มารพูดกับพระองค์ว่า  เวลานี้ข้าทำให้หลักธรรมของท่านวุ่นวายไม่ได้   รอให้หลักธรรมของท่านเข้าสู่ยุคธรรมะปลาย  ข้าจะส่งศิษย์ของข้าเหล่าสมุนของข้า ออกบวชเข้าไปในวัดของท่าน  ข้าจะดูว่าท่านจะทำอย่างไร  ในเวลานั้นองค์ศากยุมนีก็หลั่งน้ำตาแล้ว องค์ศากยมุนีย่อมไม่มีทางทำอะไรอย่างแน่นอน  ถึงช่วงธรรมะปลายแล้ว  ก็วุ่นวายแล้ว  ยุคธรรมะปลายที่พระองค์ตรัสนั้นไม่ใช่เพียงคนเท่านั้น   ไม่ใช่เพียงวัดนะ  ทุกหนแห่งของสังคมมนุษย์ล้วนมีเรื่องที่ทำลายการงานของมนุษย์คงอยู่  มีคนอย่างนี้คงอยู่  มีศาสนานอกรีตดาษดื่น  โดยเปลือกนอกมันก็บอกให้คนใฝ่ดี  แต่แก่นแท้ของมันกลับไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้  ถ้าเขาไม่ทำเพื่อชื่อเสียง ก็ทำเพื่อเงิน  หาไม่แล้วก็เพื่อกลุ่มอิทธิพลมืดกลุ่มหนึ่ง  ล้วนเป็นสิ่งนี้  ฉะนั้นท่านดูซิว่าสิ่งที่เขาแสวงหาคืออะไร พุทธธรรมถ่ายทอดออกมาเพื่อช่วยคน  หากใช้เขามาหาเงินเขาก็ก่อบาปกรรมที่หนักอย่างยิ่ง  แน่ละมารนั้นมันไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้  มันชูธงศาสนาหรือชูธงบอกให้คนใฝ่ดีเพื่อมาทำลายมนุษยชาติ  ทำลายจิตใจคน  ทำลายจิตธรรมะของคน  นี่คือสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด  ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่า  แน่ละมีคำพูดบางอย่างข้าพเจ้าไม่อยากพูด  สิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ชั่วร้ายนั้น ท่านสามารถแยกแยะออกมาได้  ไปแยกแยะด้วยตนเองดีแล้ว  ข้าพเจ้าไม่อยากพูดว่าใครนอกรีต  ใครไม่ใช่นอกรีต

            แต่ข้าพเจ้าได้แต่บอกท่านว่า  คนๆหนึ่งที่คิดจะมาอยู่ในสังคมคนฯช่วยเหลือคน  เรื่องนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก  เทพทั่วจักรวาลล้วนต้องพยักหน้าเห็นด้วย  เพราะมันเกี่ยวพันกับทุกๆด้าน เกี่ยวพันกับแต่ละชนชาติในสังคมมนุษย์ที่สอดคล้องกันระหว่างข้างบนกับข้างล่าง(สวรรค์กับโลก) เกี่ยวพันกับปัญหานานับปการ  ไม่ใช่ใครร้อนวิชาขึ้นมาอยากจะทำก็ทำได้  เหตุใดพระเยซูจึงถูกตรึงบนไม้กางเขน ข้าพเจ้าทราบ   องค์ศากยมุนีพุทธ ทำใมจึงต้องเดินบนหนทางนิพพาน การถ่ายทอดฝ่าที่ถูกต้องไม่ง่ายเลย  การถ่ายทอดหลักธรรมนอกรีตกลับไม่มีใครสนใจดูแล  แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีคนสนใจดูแล  เวลาที่ถ่ายทอดหลักธรรมที่ถูกต้องนั้น  หลักธรรมที่นอกรีตก็มักจะมีมากด้วย  ก็ดูว่าท่านจะเข้าไปสู่สำนักไหน  หากเป็นสำนักเดียวทั้งหมด   บอกว่าที่ถ่ายทอดอยู่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นหลักที่ถูกต้อง  บนโลกไม่มีหลักธรรมนอกรีต   ล้วนถูกกำจัดทิ้งไปหมดแล้ว  เช่นนั้นคนก็บำเพ็ญได้ง่ายเกินไป  หลักธรรมนี้จะได้รับกันอย่างไร ใครๆล้วนจะมาบำเพ็ญกับท่านหมด  มีแต่สำนักนี้ของท่าน  ศิษย์จะแน่วแน่ในหลักธรรมนี้หรือไม่จะทดสอบได้อย่างไรละ ดังนั้นในขณะที่ถ่ายทอดหลักธรรมที่ถูกต้อง  หลักธรรมนอกรีตก็มักจะถ่ายทอดด้วย  ก็ดูว่าคนจะเข้าสู่สำนักใด  เป็นการวัดการรับรู้ของคน  คือท่านอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญก็จะมีคนมาหาท่าน  โอ้ไปฝึกสิ่งนี้กับข้าเถอะ  ไปฝึกสิ่งนั้นกับข้าเถอะ   โอ้ เดี๋ยวนี้ฉันกำลังฝึกพลังที่ดีอะไรอยู่ เป็นต้น  จะมาลากท่าน ทดสอบท่าน  รับรองว่าจะมี  ในขั้นตอนการบำเพ็ญของท่าน  ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนจะมีปรากฏการณ์นี้  ลากท่านออกไป  ทำไมเราไม่ดูแลเรื่องเหล่านี้ละ  อะไรๆฝ่าเซินก็สามารถดูแลได้  ทำไมไม่ดูแลสิ่งนี้ละ  ก็เพราะกำลังใช้มารมาทดสอบจิตใจคน  ดูว่าท่านแน่วแน่ในหลักธรรมนี้อย่างแท้จริงหรือไม่  การบำเพ็ญพุทธก็เข้มงวดอย่างนี้เอง  ดังนั้นจึงมีเรื่องแบบนี้คงอยู่

            ไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดีข้าพเจ้าจะพูดทั้งหมดแล้ว  ศาสนาที่ถูกต้องในขณะนี้ยากมากที่จะช่วยคนได้ นับประสาอะไรกับศาสนานอกรีต  บ้างก็มีคนๆนั้นแต่งตัวเหมือนนายแบบ/นางแบบถูกคนอุปโลกน์ขึ้นมา โฆษณาไปที่ต่างๆหาเงิน  ผู้คนยังเชื่อหล่อนกันทั้งนั้น  คนช่างเลอะเลือนนัก  เมื่อยังไม่ได้หลักธรรมจึงง่ายที่จะถูกหลอก  

ศิษย์   กรรมทางความคิดเป็นอย่างไร

อาจารย์  ในสมองของบางคนจะก่อเกิดความคิดที่ไม่ดีอย่างไม่รู้ตัว  พวกเราเป็นการบำเพ็ญหลักธรรมที่ถูกต้อง  ข้าพเจ้านั้นรับผิดชอบต่อสังคม  รับผิดชอบต่อมนุษยชาติ  รับผิดชอบต่อคน ทำเรื่องนี้ด้วยหลักการอย่างนี้  เขาก็รู้ว่าดี  แต่ในสมองของเขาจะด่าข้าพเจ้า และยังบอกให้เขาไม่ต้องเชื่อ นี่ล้วนเป็นของปลอม เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  เนื่องจากว่าคนนั้นนอกจากมีกรรมในร่างกายของตนคงอยู่  เขายังมีกรรมทางความคิดอยู่ด้วย  สสารใดๆล้วนแต่มีชีวิต  กรรมทางความคิดก็มีชีวิตด้วย  ท่านจะฝึกพลังแล้ว  ก็ต้องชำระล้างความคิดของท่าน  นำเอาความคิดที่ด่าว่าคน ทัศนคติที่ก่อเกิดขึ้นมา  กรรมนานาชนิดที่เกิดขึ้นในแต่ละชาติแต่ละภพเหล่านี้ทิ้งไปให้หมด  ต้องทิ้งมันไป  ธาตุแท้(คุณสมบัติดั้งเดิม)ของท่านจึงจะสามารถปรากฎออกมาได้ พอท่านบำเพ็ญจะสลายมันไป จะสลายทัศนคติทางความคิดที่ด่าว่าคนเหล่านี้  มันย่อมจะไม่ยอม มันจะตายมันจะยอมได้หรือ  มันจึงสะท้อนออกมาในสมองของท่าน  นี่ล้วนแต่เป็นของปลอม  ด่าเขา  ด่าคน  ท่านยิ่งฝึกพลังมันก็จะยิ่งด่าคน  ในสมองจึงเกิดคำด่าคนขึ้นมา  เป็นคำพูดที่สกปรกมาก  ที่แท้แล้วข้าพเจ้าขอบอกท่าน  มันไม่ใช่ท่าน มันคือกรรม มันคือกรรมทางความคิด ต้องผลักไสมันไป  หลักพลังชุดนี้ของเราจะให้ท่นบำเพ็ญตัวท่านเอง  หากสำนึกทางความคิดของท่านเองไม่แจ่มชัด  พอเกิดคำพูดด่าคนแล้ว ในใจไม่แน่วแน่  จิตสำนึกหลักของท่านเองก็คล้อยตามมันไป ไม่ฝึกแล้ว  ไม่แน่วแน่แล้ว  เช่นนั้นเราก็ไม่ดูแลท่าน  เพราะผู้ที่เราช่วยคือท่าน  ท่านใช้ไม่ได้แล้ว เราก็จะไม่ช่วยเหลือแล้ว

ที่ผ่านมาสภาพการณ์อย่างนี้มีมาก ในประเทศจีนความคิดของบางคนสะท้อนออกมารุนแรงมาก ด่าว่าอย่างรุนแรง  เขาพยายามผลักไสก็ผลักไม่ไป  สุดท้ายเขาจึงพูดว่า  ผมขอโทษท่านอาจารย์ครับ  ยังด่าอาจารย์  กรรมของผมนี้หนักมากเหลือเกินแล้ว  ผมไม่มีชีวิตต่อไปดีกว่า  เอามีดมาเชือดคอเสีย แน่ละ ท่านอย่าได้ไปลองทำ  เขาเชือดก็เชือดไม่เข้า และไม่เจ็บ  และเฉือนไม่มีเลือดออก พอเขาโกรธ  เขาก็วิ่งออกไปหาผู้ช่วยฝึกสอนไปถาม  เขาบอกว่าในสมองของผมเอาแต่ด่าอาจารย์ ผมจะทำอย่างไรดีละ  ผู้ช่วยฝึกสอนคนนี้พอมองเขา  ก็อ่านฝ่าให้เขาฟัง เขารู้สึกว่าดีมาก  ต่อมามาถามข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขา  ที่แท้คือกรรมของท่านที่ด่า  ไม่ใช่ท่านที่ด่า  ท่านไม่ต้องหนักอกหนักใจอะไร  เพราะไม่ใช่ท่านที่ด่าข้าพเจ้า  เป็นกรรมที่ด่า  แต่จิตสำนึกหลักของท่านต้องแจ่มแจ้ง  ผลักไสมัน  พยายามผลักไสมัน  อย่าให้มันด่า ผลักไสมัน  ยับยั้งมัน  เช่นนี้ฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็จะรู้  เพราะไม่ว่าท่านทำอะไรเขาจะรู้หมด  เขายังไม่ทันที่จะด่าก็รู้แล้ว  นี่ก็เป็นการทดสอบท่านด้วย  ทดสอบว่าจิตสำนึกหลักของท่านแน่วแน่หรือไม่  ท่านแน่วแน่แล้ว  เช่นนั้นเมื่อผ่านไประยะหนึ่งฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็จะสลายกรรมนี้ไปให้ท่าน  เพราะกรรมทางความคิดชนิดนี้จะรบกวนการบำเพ็ญของท่านโดยตรง  กระทบต่อการรับรู้ของท่านโดยตรง  ดังนั้นเราจะสลายมันทิ้งไป  ปัญหานี้ทุกท่านต้องจำไว้  เมื่อเกิดปัญหานี้ต้องแยกแยะให้ออก

ศิษย์  ขอเรียนถามคำถามข้อหนึ่ง   ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกพลัง  คือความสัมพันธ์ระหว่างท่าเคลื่อนไหวกับซินซิ่ง ใช่หรือไม่ว่าการฝึกท่าเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้นจะสามารถยกระดับซินซิ่งได้

อาจารย์  ไม่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง  แต่ท่าเคลื่อนไหวก็เป็นด้านหนึ่งที่สำคัญของการหยวนหมั่น(สู่ความสำเร็จสมบูรณ์)  และมีความสำคัญมาก  พลังของเรานี้คือฝ่าฝึกคน  ท่านไม่ได้ฝึกพลัง  ท่านนอนหลับอยู่ ทำงานอยู่  รับประทานอาหารอยู่  ฝ่าก็กำลังฝึกท่านอยู่  ฝึกท่านอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง  ย่อเวลาของการฝึกพลังในชีวิตของท่าน  ให้ท่านหยวนหมั่นโดยเร็ว  หาไม่แล้วเมื่อครู่จะพูดได้อย่างไรว่า ชาตินี้จะให้ท่านหยวนหมั่น  จึงต้องทำอย่างนี้ แต่ว่านะ  ท่าเคลื่อนไหวในการฝึกพลังของเรา  ที่แท้แล้วไม่เหมือนกับหลักพลังชนิดอื่นคือ เมื่อฉันฝึกพลังจึงจะโตขึ้น  ไม่ฝึกเขาก็หยุด(โต)แล้ว  ที่เราฝึกเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลไกบังคับทั้งหมดที่ข้าพเจ้าใส่ให้ท่าน กลไกบังคับทั้งภายนอกและภายในร่างกาย  ท่านกำลังเสริมสร้างกลไกบังคับเหล่านี้  ทำไมข้าพเจ้าบอกว่ามือนี้ไม่ใช่ลักษณะเหมือนท่ากรอกลงบนศีรษะ  ไม่ใช่ส่ง ไม่ใช่ปล่อย  แต่คือหันฝ่ามือเข้าหาตัว เคลื่อนไปตามร่างกายละ

เนื่องจากกลไกชี่ชนิดนั้นที่ข้าพเจ้าใส่ไว้นอกร่างกายท่าน  เมื่อท่านประคองกลไกชี่เคลื่อนไป  มือของท่านในขณะฝึกพลังมีพลังงานแรงมาก  กำลังเสริมพลังกลไกชี่  ก็คือท่านกำลังเสริมพลังกลไกลบังคับให้แข็งแกร่ง  เตี๋ยโคว่เสี่ยวฝู่ (ประสานมือหน้าท้องน้อย)  เสริมพลังกลไกบังคับของตานเถียน  ในขณะที่ท่านเหยียดคือการเสริมพลังกลไกบังคับของการเคลื่อนไหว  ดังนั้นการฝึกพลังของเราคือการเสริมพลังที่จะทำให้ท่านฝึกพลังได้ในระยะยาว  เสริมพลังกลไกบังคับชนิดนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่มีหยุด  เสริมพลังให้มันอยู่  การฝึกพลังเป็นวิธีการที่สำเร็จสมบูรณ์ แต่มันไม่ใช่เรื่องตายตัว มันเป็นวิธีการเสริมอย่างหนึ่งของการหยวนหมั่น(สำเร็จสมบูรณ์)  แต่การฝึกพลังก็สำคัญมาก  สิ่งที่บำเพ็ญออกมาจากสำนักนี้   มันไม่ผิดรูป  และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งของชุดนี้และท่าเคลื่อนไหวของท่าน  เพราะเรายังมีสิ่งที่เป็นศาตร์ความสามารถ  ยังมีสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตทำให้คนอายุคนยืนอยู่ข้างใน เสริมสร้างความสามารถพิเศษ เป็นต้น ท่าการเคลื่อนไหวจะบังเกิดผลในระดับหนึ่ง  บำเพ็ญก่อน ฝึกภายหลัง  การบำเพ็ญเป็นอันดับหนึ่ง การฝึกเป็นอันดับสอง  แต่หากท่านคิดจะหยวนหมั่นในสำนักนี้ ก็ต้องทั้งบำเพ็ญและฝึก

ศิษย์  เวลาผมฝึกพลัง มองไม่เห็นปรากฏการณ์อะไร มองเห็นแต่แสงสีขาว  พอคิดอยากเห็นภาพอาจารย์ก็มองเห็นเลย  เป็นจินตนาการหรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าจะแบ่งเป็นสองคำถามในการอธิบาย  คนที่ตาทิพย์มองไม่เห็น  ก็อาจจะมีองค์ประกอบหนึ่งเช่นนี้ที่จะทะลวงสู่ระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น เพราะมีการรับรู้สูงมาก   คนที่สามารถบำเพ็ญได้สูงมาก ยิ่งไม่ให้เขามองเห็น เขาจะยิ่งบำเพ็ญได้เร็ว เพราะเขาหลงอยู่ในความทุกข์ยาก  รับรู้ในท่ามกลางวังวน ดังนั้นการทนทุกข์ที่เหมือนๆกัน  เขาสามารถยกระดับขึ้นเป็นทวีคูณ  นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน  อาจจะเป็นการบำเพ็ญสู่ระดับสูง

            ยังมีอีกข้อหนึ่ง  ท่านบอกว่าท่านมองไม่เห็น  ที่จริงท่านมองเห็นแล้ว  ท่านมองเห็นแสงสีขาวในเวลาที่ไม่รู้ตัว  ยังมีอีกนะ  บางครั้งท่านอยากจะเห็นก็เห็นได้แล้ว  ที่จริงคือท่านเห็นได้จริงๆแล้ว  ท่านถือว่ามันเป็นภาพลวงตา   บางคนในเวลาที่สามารถมองเห็นเขาเข้าใจว่าเป็นจินตนาการ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ในเวลาที่ตาคนมองเห็นสิ่งของนั้น  ท่านเคยชินแล้ว  รู้สึกว่านี่คือที่ตามองเห็น แต่ท่านคิดถึงหรือไม่ว่า  สิ่งของอะไรที่ท่านมองเห็นนั้นผ่านการส่งต่อจากเส้นประสาทตาไปที่สมองใหญ่ของท่านสะท้อนออกมาเป็นภาพ   คือสมองใหญ่สะท้อนวัตถุอะไรที่มองเห็น  ส่วนตาของท่านเป็นเพียงเลนส์กล้องถ่ายรูป  ตัวมันเองไม่สามารถวิเคราะห์ สะท้อนสิ่งของ  สมองใหญ่ต่างหากที่สะท้อนภาพ แม้ว่าจะเป็นสมองใหญ่ที่สะท้อนภาพ  สิ่งที่เรามองเห็นผ่านตาทิพย์กับจินตนาการทางความคิดของคนนั้น ล้วนสะท้อนอยู่ในสมองใหญ่  ไม่ว่าจะคิดอะไรท่านก็คิดอยู่ในสมองใหญ่  เมื่อมองเห็นสิ่งของแล้วท่านก็เกิดภาพอยู่ในสมองใหญ่  ดังนั้นบางคนที่มองเห็นแล้วเขาจึงคิดว่าเป็นจินตนาการ  แต่ไม่เหมือนกัน  เนื่องจากที่ท่านเห็นโดยจินตนาการนั้นมันไม่ชัดแจ้งอย่างนั้น มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มันเป็นภาพนิ่งๆ  แต่สิ่งที่ท่านมองเห็นจริงๆนั้นเคลื่อนไหวได้   เมื่อท่านเคยชินกับสิ่งเหล่านี้  ท่านค่อยๆดูต่อไป ค่อยๆเคยชินนานเข้าแล้ว  ท่านก็จะค่อยๆพบว่าท่านมองเห็นได้จริงๆแล้ว  และอาจจะสามารถพลิกแพลงใช้ได้ดีสักหน่อย

        ในอดีตเวลาที่พวกเต๋าฝึกลูกศิษย์อยู่   จะจงใจบอกให้เขาคิด  เพราะเขารู้ถึงความสัมพันธ์นี้  ฝึกความสามารถของเขาใช่ไหม  ข้างหน้าไม่มีลูกแอปเปิ้ล  แสร้งบอกว่ามีแอปเปิ้ลหนึ่งลูกวางอยู่ข้างหน้าท่าน เป็นแอปเปิ้ลหน้าตาอย่างไร  อาจารย์บอกกับเขา ที่จริงไม่มีแอปเปิ้ล  ฝึกให้ท่านดมได้กลิ่นของมัน  จากนั้นท่านจึงรู้สึกว่าเห็นแอปเปิ้ลลูกนี้ มีลักษณะอย่างไร  ก็คือฝึกเขาอย่างนี้  เพราะล้วนเกิดภาพอยู่ในสมองใหญ่  บางคนจึงอธิบายปัญหานี้ได้ไม่กระจ่าง  อย่างไรเสียคือสิ่งที่ท่านคิดมันจึงไม่เคลื่อนไหว  แต่ที่ท่านมองเห็นนั้นมันเคลื่อนไหวได้

ศิษย์   มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนกลางคืนฝันไป  มองเห็นสิ่งที่น่ากลัวมาก  ไม่ได้นึกถึงท่าน  ที่ข้าพเจ้านึกถึงคือมี่จง  แต่ผมนั้นบำเพ็ญต้าฝ่าด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง  อย่างนี้ใช่หรือไม่ว่าอาจจะมีวันหนึ่งพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นผมก็จบสิ้นแล้ว  ใช่หรือไม่ว่าแม้แต่จิตหลักก็ไม่เอาแล้ว

อาจารย์  เพราะท่านไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ  ตอนนี้แม้ว่าบำเพ็ญต้าฝ่า  แต่สิ่งที่เป็นของมี่จงยังคงมีอยู่ในความนึกคิดของท่าน   ดังนั้นสิ่งที่นึกถึงในความฝันจึงเป็นมี่จงไม่ใช่ต้าฝ่า  บางคนถามกับข้าพเจ้าว่า  เกี่ยวกับว่าเมื่อพบกับเรื่องที่อันตรายถึงชีวิตจะทำอย่างไร  ข้าพเจ้าว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญของท่าน  จะไม่ให้ท่านได้พบทั้งสิ้น     รับรองว่าจะไม่พบ  สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน  เช่นนั้นก็สามารถจะพบได้ วันนี้หากท่านบอกว่าสูญเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ   ก็เห็นชัดว่าสำนักใดๆล้วนไม่ดูแลท่าน   ท่านไม่ได้บำเพ็ญเลย  พูดถึงว่าศาสนามันเน้นการชดใช้ชีวิต  พูดว่าชาติหนึ่งบำเพ็ญไม่สำเร็จ  หลังจากชดใช้ชีวิตแล้ว  ชาติถัดไปบำเพ็ญต่อ  มันพูดเช่นนี้  แต่เราที่นี่ไม่พูด  เราที่นี่พูดว่าไม่อาจให้ท่านเกิดปัญหาเหล่านี้ หากเป็นศิษย์ของข้าพเจ้าอย่างแท้จริง  จะไม่ให้ท่านพบกับอันตรายถึงชีวิตอย่างเด็ดขาด 

ศิษย์   ในเวลานั้นตัวเองไม่รู้ว่าเป็นความฝัน

อาจารย์   ในเวลานั้นคือท่านฝึกมี่จง   และไม่ได้บำเพ็ญอย่างแท้จริง  ก็คือไม่บังเกิดผล  ดังนั้นจึงไม่มีคนดูแล  บ้างพูดว่า ในความฝันมองเห็นบนพื้นมีเงิน ตัวเองจึงเก็บมันขึ้นมา  ที่จริงความฝันเหล่านี้ล้วนเป็นการทดสอบคน  ดูว่าซินซิ่งของท่านเข้มแข็งหรือไม่  ผู้บำเพ็ญบางคนพูดว่าตอนกลางวันเขาสามารถทำได้ดีมาก  แต่ในความฝันทำไม่ได้  นั่นคือในส่วนลึกของความคิดของเขายังไม่แน่นแฟ้น  การทดสอบเขาในความฝันก็ดูว่าเขาแน่นแฟ้นหรือไม่  ดังนั้นจะเกิดปัญหานี้  เกิดขึ้นแล้ว และทำได้ไม่ดีก็อย่าเสียใจ  เมื่อเห็นความสำคัญแล้วก็จะทำได้ดีแน่  ในอนาคตก็จะดีได้

ศิษย์    ท่านอาจารย์หลี่เปิดสอนในประเทศจีน ได้ให้ฝ่าหลุนกับพวกเขาแล้ว  อย่างเช่นวันนี้ผมฟังการบรรยายของท่าน  ก็ใส่ฝ่าหลุนให้ผมแล้วใช่หรือไม่  ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง  คนที่มีจิตใจไม่ปรกติไม่รับเขามาบำเพ็ญ  คนที่มีปัญหาทางจิตเล็กน้อยจะมีวิธีอย่างไรบ้าง

อาจารย์   ข้าพเจ้าขอพูดถึงปัญหาที่หนึ่งก่อน  เพราะข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  ข้างในหนังสือนี้แต่ละตัวอักษรล้วนมีฝ่าเซินของข้าพเจ้า  แต่ละตัวอักษรล้วนเป็นรูปลักษณ์ฝ่าเซินของข้าพเจ้า  แต่ละตัวอักษรล้วนเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ   ข้าพเจ้ามีฝ่าเซินนับไม่ถ้วน  ฝ่าเซินของข้าพเจ้าไม่อาจใช้ตัวเลขมาคำนวณได้  ทุกท่านทราบ  องค์ศากยมุนีพุทธเคยตรัสว่า พระอมิตตพุทธมีฝ่าเซินสองล้านองค์  ฝ่าเซินของข้าพเจ้ามากจนไม่อาจเอาตัวเลขมาคำนวณได้   นับได้ไม่หมด  คนมากเท่าไรข้าพเจ้าก็ดูแลได้  มนุษยชาติทั้งหมดข้าพเจ้าก็ดูแลได้ แน่ละเราจะทำให้กับผู้บำเพ็ญเท่านั้น  ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญ หรือเรื่องของสังคม  เราไม่สนใจ  ดังนั้นเมื่อท่านบำเพ็ญ  เพียงแค่เกิดความคิดขึ้นมา   ฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็จะรู้  ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง  ท่านมองเห็นร่างของข้าพเจ้าในขณะนี้ เป็นกายเนื้อของคนฯ  ก็ใหญ่เพียงแค่นี้  แต่เมื่อผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง  ท่านดูร่างกายของข้าพเจ้าจะเห็นว่าสูงกว่าข้าพเจ้ามาก  แต่ละมิตินั้นร่างกายของข้าพเจ้าร่างหนึ่งจะสูงกว่าอีกร่างหนึ่ง  ร่างหนึ่งใหญ่กว่าอีกร่างหนึ่ง  ร่างหนึ่งใหญ่กว่าอีกร่างหนึ่ง  ร่างกายของข้าพเจ้าที่ใหญ่ที่สุดนั้นก็ใหญ่จนไม่มีทางที่จะบรรยายได้แล้ว  มีผู้ฝึกหลายคน เคยเห็นร่างที่ใหญ่มากของข้าพเจ้าแว่บหนึ่ง เขาพูดว่า ท่านอาจารย์ ผมยืนอยู่ใต้นิ้วเท้าของท่าน  ก็มองไม่เห็นด้านบนหัวนิ้วเท้าของท่าน  ดังนั้นร่างกายที่ใหญ่อย่างนี้ ท่านคิดดู  โลกทั้งใบก็อยู่ที่นี่หมด  ท่านอยู่ที่ไหนก็จะดูแลได้  ฝ่าหลุนนั้น ข้าพเจ้าต้องอยู่ต่อหน้าจึงจะใส่ให้ได้หรือ  ข้าพเจ้าไม่อยู่ต่อหน้าก็ใส่ให้ได้   ข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่านตรงนี้ก็เท่ากับอยู่กับท่านตรงนี้

            ปัญหาที่สองของท่านคือจิตวิปลาส จะเล็กน้อยก็ดี  รุนแรงมากก็ดี  เราได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่แนะนำให้เขาฝึกพลัง  หลักพลังของเรานี้กับหลักพลังอื่นไม่เหมือนกัน  เราช่วยเหลือคนๆนี้  ช่วยคนๆนี้ไม่ได้  ก็จะไม่ให้กับผู้ใด  พลังของเรานั้นใส่ให้กับร่างกายของคนๆนี้  มุ่งช่วยเหลือจิตหลักของท่าน มุ่งช่วยเหลือตัวท่านเอง  แต่ไหนแต่ไรมาในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้  ในประวัติศาสตร์ไม่ว่าท่านจะเป็นมี่จงก็ดี  ศาสนาอื่นก็ดี ล้วนแต่ช่วยเหลือจิตรอง นี่ข้าพเจ้าได้เปิดเผยปริศนาหนึ่งที่เก่าแก่นับพันๆปี  ปริศนานี้เมื่อเปิดเผยออกมา  นั่นจะเป็นอุปสรรคอย่างมากจริงๆ  แต่ในอนาคต  เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงดีงามแล้ว  จะมีพระพุทธหลายองค์เกิดมาช่วยคนใหม่  ไม่ใช่เพียงข้าพเจ้า  ในเวลานั้น พวกเขาก็จะช่วยจิตหลักของคนเช่นกัน  เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงให้แล้ว   พลิกกลับมาแล้ว เพราะการช่วยเหลือจิตหลักของคน  จะมีประโยชน์โดยตรงต่อความมั่นคงของศีลธรรมในสังคมมนุษย์   การช่วยจิตรอง ตัวคนนั้นเองไม่อาจบำเพ็ญ บำเพ็ญไม่ได้  ถึงแม้ท่านเข้าไปในศาสนาแล้ว  สังคมยังคงเป็นเช่นนี้ จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากนัก ดังนั้นการช่วยจิตหลักนั้น เขาจะบำเพ็ญก็ดี ไม่บำเพ็ญก็ดี  เขาจะเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคมได้  เป็นประโยชน์ต่อสังคม  ผู้ป่วยโรคจิต   จิตสำนึกของเขาเองไม่แจ่มชัด  เราจึงช่วยไม่ได้  เรานั้นช่วยจิตสำนึกที่แจ่มแจ้ง  ที่ไม่แจ่มแจ้งสิ่งที่เราให้ไปพรุ่งนี้ก็จะถูกคนอื่นเอาไป  เขาอาจจะฝึกหรือไม่ฝึก   ยิ่งกว่านั้นเขาอาจไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของเรา  เช่นการไม่บำเพ็ญสองวิชา ไม่ฝึกสิ่งนี้  ไม่ฝึกสิ่งนั้น  เพราะการบำเพ็ญพุทธเป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก  เขาก็จะทำไม่ได้  ดังนั้นจึงไม่มีทางช่วย  บางคนจะต้องให้เขาเรียน  แต่หากเกิดปัญหาท่านเองต้องรับผิดชอบ ขณะที่เขาฝึกพลังอยู่  เขาเกิดปัญหาขึ้นมา  ถึงเวลานั้นเขาบอกว่าเป็นเพราะฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า  ผู้ที่เป็นโรคจิตเราจะไม่สอนเขาโดยสิ้นเชิง  นี่แน่นอน  เนื่องจากเขาเป็นคนฯ  เขาจึงป่วยได้  เขาจึงเกิดปัญหาได้  บางทีเขาอยู่ในสนามฝึกพลัง ในเวลาที่เขาคิดจะฝึกพลังแล้วเขาก็เกิดปัญหาขึ้นมา  นั่นไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะการฝึกพลัง  นั่นเป็นเพราะถึงเวลาสมควรที่โรคของเขาจะกำเริบ

ศิษย์   มนุษยชาติทั้งหมดล้วนเหมือนกัน  ศาสนาพุทธแพร่หลายทั่วตะวันออก  ส่วนศาสนาคริสต์อยู่ทางตะวันตก  แตกต่างกันมากมายเช่นนั้น  ศาสนาพุทธอ่อนแอมากในตะวันตก  เป็นสองระบบใช่ไหม

อาจารย์  เหตุใดทางตะวันตกเป็นศาสนาคริสต์  ส่วนทางตะวันออกคือศาสนาพุทธ  ศาสนาทางตะวันออกหรือศาสนาทางตะวันตก  เพราะอะไรจึงไม่เหมือนกัน แตกต่างกันมากละ  ที่จริงนะ ศาสนาคริสต์ก็เป็นระบบที่อยู่ในขอบเขตของสายพุทธ  เพียงแต่ความแตกต่างของ(สายพันธ์)มนุษย์  วัฒนธรรมต่างกันกับวัฒนธรรมของเทียนถี่(ร่างนภา)ที่ต่างกัน  ก่อให้เกิดรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกัน  รูปแบบความนึกคิดที่ต่างกัน  ก็คือลักษณะพิเศษของมาตรฐานของคนไม่เหมือนกัน  จึงก่อให้เกิดวิธีการบำเพ็ญพุทธของเขา  แนวคิดของการรับรู้ การเข้าใจของเทพในระดับชั้นสูงที่ไม่เหมือนกัน ที่แท้ก็เหมือนกัน ที่แท้ก็เป็นเขตแดนนี้ของพระพุทธ  พระเยซูที่แท้นั้นคือระดับชั้นนี้ของพระยูไล   แต่วัฒนธรรมไม่เหมือนกัน  แนวคิดมโนคติไม่เหมือนกัน  รูปลักษณ์ต่างกัน  เขาไม่เรียกว่าพระพุทธ  ทางตะวันออกเรียกพระพุทธ แน่ละรูปลักษณ์นั้นไม่เหมือนกัน  รูปลักษณ์ต่างกัน  คนบนสวรรค์ของพระเยซู  ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าโดยพันกายด้วยผ้าขาว  แต่คนในโลกของพระพุทธล้วนสวมใส่เสื้อผ้าโดยพันกายด้วยผ้าสีเหลือง ผมก็ไม่เหมือนกัน  สิ่งที่ต่างกันมากที่สุดคือทรงผม  สายเต๋านั้นหวีผมมวย  อรหันต์ของสายพุทธศีรษะโล้น  พระโพธิสัตว์ทรงผมเป็นแบบสาวจีนยุคโบราณ  เพราะอะไรหรือ  เสื้อผ้านี้ของจีนยุคโบราณนั้นเหมือนกับชาวสวรรค์  ที่จริงคือแต่งตัวเหมือนกับคนบนสวรรค์เบื้องบน  ส่วนทางตะวันตกก็เป็นอย่างเดียวกัน  นั่นคือการแต่งตัวชนิดนี้ของโลกสวรรค์ของเขา  คนก็เป็นอย่างนี้  แน่ละเสื้อผ้ายุคปัจจุบันนี้ล้วนเป็นแบบสมัยใหม่  ที่จริงเสื้อผ้าที่คนยุคนี้สวมใส่นั้นไม่ดีที่สุด  ไม่สวยงามที่สุด

            ทำไมโลกของคนผิวขาวไม่มีศาสนาพุทธ  โลกของชาวตะวันออกไม่มีศาสนาคริสต์  พูดอย่างเข้มงวดก็คือไม่มี  ข้าพเจ้าจำได้ว่าใน “ไบเบิ้ล”หรือในหนังสือประเภทนี้  ในเวลานั้นทั้งพระยะโฮวาและพระเยซูต่างเคยตรัสว่า  พวกท่านอย่าไปทางตะวันออก  ยังมีอีก  ข้าพเจ้าจำคำพูดอย่างนี้ได้ว่า  พวกท่านอย่าไปทางตะวันออก  บอกกับลูกศิษย์ของพระองค์ว่า อย่าเผยแพร่ไปทางตะวันออก  ศิษย์ของพระองค์ไม่ฟังคำของพระองค์  จึงติดตามขบวนยาตราทัพมาถึงตะวันออกแล้ว ในนี้จึงเกิดปัญหาอย่างหนึ่ง  เผ่าพันธุ์ของคน  เผ่าพันธุ์ของคนบนโลกนั้นไม่อนุญาตให้ผสมปนเปกัน  เดี๋ยวนี้เผ่าพันธุ์ของคนปนเปกันแล้ว  จึงนำมาซึ่งปัญหาที่รุนแรงอย่างหนึ่ง  หลังจากผสมปนเปกันแล้วจึงไม่สะท้อนการสอดคล้องกันกับข้างบน เขาสูญเสียรากไปแล้ว   คนที่มีสายเลือดผสมได้สูญเสียรากไปแล้ว  ดังนั้นจึงเหมือนว่าในโลกสวรรค์ ไม่มีคนดูแลเขาแล้ว    ไม่สังกัดที่ใด  ไม่มีที่ใดเอา(เขา)แล้ว  ท่านดูบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ที่เชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเซีย  ในอดีตนั้นเป็นทะเลทราย  เป็นที่ที่ไร้ผู้คน  ในเวลาที่ยานพาหนะไม่ก้าวหน้า เป็นการยากที่จะข้ามมาได้  ตามความก้าวหน้าของยานพาหนะสมัยใหม่  สิ่งนี้จึงทะลวงไปได้  ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของคนจึงผสมปนเปกันมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงมาก  แต่ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว  ก็คือว่าเบื้องบนไม่ยอมรับเผ่าพันธุ์ชนิดนี้ของคน

            ปัญหาที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่คือ  เผ่าพันธุ์ของคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับข้างบน  คนผิวขาวนี้ที่อยู่ข้างบน(สวรรค์)  อยู่ในโลกนี้  อยู่ในจักรวาลนี้  คนผิวขาวเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้  ส่วนที่เล็กมาก  นั่นก็คือโลกสวรรค์ของเขา  ส่วนคนผิวเหลืองชนิดนี้กับโลกของพระพุทธ  โลกของเต๋านั้นมีมากมายนัก  ทั่วทั้งจักรวาลแทบจะเต็มไปหมดแล้ว  พระยูไลพุทธนี้มากดุจดั่งเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา  มากเหลือเกิน  ใหญ่เหลือเกิน  รูปลักษณ์ของคนชนิดนี้ที่เหมือนคนผิวเหลืองที่อยู่ในจักรวาลนั้นมีมากเป็นพิเศษ   ดังนั้นจึงพูดว่าเผ่าพันธุ์ของคนข้างบนกับข้างล่างนั้นสอดคล้องกัน ความหมายที่พระเยซูตรัสว่าอย่าไปเผยแพร่ทางตะวันออกนั้นคือ  พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเรา  พระเยซูตรัสไม่ให้ไปเผยแพร่ทางตะวันออก  ข้าพเจ้าพบว่าในสวรรค์ของพระเยซูไม่มีชาวตะวันออกอยู่  ช่างน่าเศร้า เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน  คนก็ไม่ฟังคำสอนของพระเจ้าของเขาแล้ว   คนตะวันออกก็ไม่ฟังคำสอนของพระพุทธ ดังนั้นคนได้ทำให้เรื่องนี้ยุ่งเหยิงหมดแล้ว   ข้าพเจ้าก็พบว่าโลกของพระพุทธในอดีตก็ไม่มีคนผิวขาว  แต่ว่านะ  เหตุใดสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนี้จึงถ่ายทอดให้กับชาวตะวันตกละ  เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั้นคือหลักการของจักรวาล  หลักการของทั่วทั้งจักรวาล คนผิวขาวที่บำเพ็ญออกมาจากในต้าฝ่าของข้าพเจ้า  ในอนาคตเมื่อบำเพ็ญสำเร็จแล้ว รูปกายของเขากับรูปแบบการบำเพ็ญของเขาล้วนเป็นอย่างเดียวกับรูปลักษณ์ชนิดนั้นของคนบนโลกของพระเยซู  เขาบำเพ็ญสำเร็จเป็นอย่างนั้น ส่วนคนผิวเหลืองบำเพ็ญสำเร็จจะเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธทางฝั่งนี้(ตะวันออก)  ดังนั้นคนทั้งสองฝั่งข้าพเจ้าล้วนสามารถช่วยเหลือ  เพราะฝ่าที่ถ่ายทอดนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน..............  แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเปิดประตูที่ใหญ่อย่างนี้มาก่อน  แต่ก็มีมูลเหตุ

ศิษย์   เด็กเลือดผสมที่ท่านอาจารย์พูดถึงนั้นเรื่องเป็นอย่างไร

อาจารย์  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องเด็กเลือดผสม  เป็นการเผยความลับสวรรค์ให้กับมนุษย์  แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไร  ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าได้ทำเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่า  คนเลือดผสมข้าพเจ้าก็สามารถช่วยได้  แต่ว่าก็คือในยุคนี้   ข้าพเจ้าสามารถช่วยเขา  คนตะวันออกและคนตะวันตกแม้ว่าล้วนจะอยู่บนโลก  ระหว่างตะวันออกกับตะวันตกมีสิ่งหนึ่งคั่นอยู่  คนนั้นไม่รู้  ทุกท่านทราบว่าคนตะวันออกนี้พูดกันว่า “จิ่ว”(เก้า) อะไรเอย  เสียงของคำนี้ดี   ฉือจิ่ว (ยืนหยัดยาวนาน)  “ปา”(แปด) เสียงของคำนี้คือ “ฟา” ฟาไฉ (ร่ำรวย)  ที่จริงก็บังเกิดผลได้เล็กน้อย แม้แต่การดูฮวงจุ้ย(ภูมิทัศน์)ที่คนตะวันออกใช้กัน  ดูสถานที่ตั้งเอย สิ่งเหล่านี้เป็นต้น  แต่ถ้าท่านนำไปใช้ทางตะวันตกจะไม่ได้ผล  จะใช้ไม่ได้  ใช้กับคนผิวขาวไม่ได้   ส่วนโหราศาสตร์อะไรเอย นักษัตรอะไรเอยที่คนผิวขาวพูดถึงนั้น   สำหรับคนตะวันออกก็ใช้ไม่ได้ผล  บางคนรู้สึกว่าใช้ได้ผล นั่นเป็นความรู้สึกของท่านว่าใช้ได้ผล  ที่จริงไม่ได้ผล  ทำไมละ เพราะในชีววงของคนขาว  ข้างในของมันนั้นมีองค์ประกอบพิเศษของสสารที่ประกอบขึ้นเป็นมิติของเขาเองคงอยู่ ส่วนชีววงชีวิตของคนตะวันออกนั้นมีสสารที่พิเศษซึ่งประกอบเป็นชีวิตของเขานี้คงอยู่  สิ่งเหล่านี้มีอยู่ภายในโครงสร้างชีวิตของคนโดยตลอด  ดังนั้นทั้งสองฝั่งจึงไม่เหมือนกัน  หลังจากเผ่าพันธุ์มนุษย์มีการผสมกันแล้ว  ท่านจะเห็นว่าลูกของเขาที่เกิดออกมา  เป็นเด็กเลือดผสม  แต่ว่านะ  ตรงกลางของชีวิตเด็กคนนี้มีฉากกั้น  เมื่อแยกจากกันแล้วเขาก็คือร่างอินทรีย์กับสติปัญญาที่ไม่สมบูรณ์แล้ว  ร่างกายไม่สมบูรณ์แล้ว  วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันล้วนรู้ว่า รุ่นหนึ่งแย่กว่าอีกรุ่นหนึ่ง ดังนั้นเขาจะก่อให้เกิดสภาพการณ์อย่างนี้  แน่ละหากคนๆนี้บำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็สามารถทำได้  ข้าพเจ้าสามารถจัดการให้ได้  ไม่อาจทำให้กับคนฯที่ไม่ได้บำเพ็ญ ตามชอบใจ 

ศิษย์  ในขณะที่ผมฝึกพลังพอชูมือขึ้น(ชง)  รู้สึกร้อนที่ฝ่ามือ ผมว่าหลักพลังใดๆล้วนไม่มีอย่างนี้  ในเวลาที่ผมฝึกพลัง  คล้ายกับว่าผมก็คือพระโพธิสัตว์

อาจารย์  ในเวลาที่ท่านฝึกพลังอยู่  อย่าได้เพิ่มเติมความคิดอะไรเข้าไป   นิกายมี่จงนั้นบำเพ็ญกันอย่างนี้คือ ฉันก็คือพระพุทธ    ตัวเขาเองไม่ใช่  กายเนื้อของเขาเปลี่ยนหรือยัง   ยังไม่เปลี่ยน  เมื่อบำเพ็ญสำเร็จแล้วเป็นใครที่จะเปลี่ยนในอนาคตคือใคร   จิตรอง  เนื่องจากในเวลาที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้  ข้าพเจ้าก็ได้บอกท่านแล้วว่า  ผู้ที่ข้าพเจ้าช่วยคือจิตหลัก เช่นนั้นเมื่อจิตรองของท่านบำเพ็ญสำเร็จแล้ว  ท่าน(จิตหลัก)จะต้องเข้าสู่วัฏจักรสงสารหกทาง  เมื่อชีวิตทั้งสองฝั่งแยกออกจากกันแล้ว  ท่านจะไม่รู้อะไรเลย   ฝ่ามือร้อนนั้นเป็นเรื่องปรกติ

ศิษย์   การบำเพ็ญต้าฝ่านั้นจะเพิ่มเติมความคิดเข้าไปแม้แต่น้อยไม่ได้ใช่ไหม

อาจารย์  ไม่มีการเคลื่อนไหวความคิดใดๆ  ความคิดใดๆล้วนคือการยึดติด

ศิษย์   มีสองปัญหา    ปัญหาที่หนึ่งคือเรื่องชาวตะวันตกกับชาวตะวันออกที่อาจารย์เพิ่งพูดไปเมื่อครู่  สมมติว่าเมื่อก่อนมีหลายๆ คนเดิมทีเป็นชาวตะวันออก  พอกลับชาติมาเกิดกลายเป็นชาวตะวันตก  จะทำอย่างไร

อาจารย์   ไม่เป็นไร  อันนี้มีสองสภาพการณ์  หากคนๆนี้มาโดยไม่มีจุดประสงค์  เขานั้นเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนี้   ผู้ที่เราเปลี่ยนแปลงนั้นคือคนๆนี้    ถ้ามาโดยมีจุดประสงค์  นั่นก็เป็นคนละเรื่อง  นั่นเป็นอีกสภาพการณ์หนึ่ง

            ขอบอกทุกท่านอีกเรื่องหนึ่ง  การเผยแพร่ฝ่านี้จะต้องระวังเรื่องวิธีการ   เขาสนใจ เขามาเรียน  เช่นนั้นท่านก็ได้สะสมกุศลผลบุญ  นี่เป็นเรื่องกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่  แต่มีจุดหนึ่ง  คนเขาไม่อยากเรียน ท่านพยายามจะให้เขาเรียนให้ได้  ลากคนเขามาเรียน  ข้าพเจ้าว่าก็ไม่ดี  เพราะเขาไม่คิดจะบำเพ็ญพุทธ  พระพุทธก็หมดปัญญา  คนอยากจะได้อะไร แสวงหาอะไร  ตนเองเป็นผู้กำหนด  ทำได้แต่แนะนำด้วยความหวังดี   แนะนำด้วยความหวังดี   ท่านสามารถบอกเขา  แต่ไม่อาจไปลากคนเขา  จุดนี้ขอบอกทุกท่าน  เราจะไม่ฝืนใจใครให้มาเรียน อีกอย่าง ผู้ช่วยฝึกสอนของเราในอนาคต  หรือผู้รับผิดชอบ  เวลาทำงาน  อย่าเลือกใช้วิธีบริหารจัดการ(ของคนฯ) ทุกท่านต่างเป็นผู้บำเพ็ญ  ดังนั้นต้องโน้มน้าวคนด้วยฝ่า  ทุกท่านต่างกำลังศึกษาฝ่า หากผู้ช่วยฝึกสอนทำไม่ดีที่ตรงไหน  ทำไม่ถูกที่ตรงไหน  เมื่อผู้ฝึกมองเห็นแล้วบอกว่าซินซิ่งของท่านมีปัญหาที่ตรงไหน  ดังนั้นเรื่องที่เขาทำผิด  ทุกท่านอย่าได้ไปทำ  เพราะอะไรละ  เพราะทุกท่านต่างกำลังศึกษาฝ่า  ไม่ใช่ทำตามทัศนคติของตัวท่านเอง  ล้วนทำไปตามข้อกำหนดของฝ่า แน่ละเราก็ปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้  ท่านอยากจะเรียนก็เรียน  ท่านไม่อยากเรียนท่านก็ไปได้  เราจะไม่ทำร้ายใคร ท่านพูดว่า ฉันไม่อยากเรียนแล้ว    ไม่เรียนก็ไม่เป็นไร  หากท่านอยากจะเรียน อยากจะบำเพ็ญ  เช่นนั้นเราก็จะรับผิดชอบต่อท่าน รับรองว่าสามารถทำได้  โดยรูปแบบเป็นการจัดการควบคุมอย่างหลวมๆ  แต่การบำเพ็ญพุทธนั้นเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง เพราะเราไม่อาจทำให้ฝ่าที่ยิ่งใหญ่  เข้มงวดจริงจังเช่นนี้ มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย  แต่ไหนแต่ไรมาในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีการถ่ายทอดสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แก่คน   ขณะนี้ท่านนั่งอยู่ที่นี่  รู้สึกว่าตัวฉันมาเองตามธรรมชาติ  คล้ายกับว่าพอคนเขาบอกฉันก็มาแล้ว  ขอบอกท่าน  เป็นไปได้มากว่าท่านมีวาสนา  ไม่แน่ว่าวาสนานี้ก่อเกิดขึ้นเมื่อใด  ผู้ที่มาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุนั้นน้อยมาก  ข้าพเจ้าคิดว่าทุกท่านถามคำถามต่อไปก็จะไม่มีอะไรแล้ว  สิ่งที่ท่านจะถามล้วนสามารถได้คำตอบจากในฝ่า

ศิษย์   ก็คือปัญหาการไม่บำเพ็ญสองวิชา  ผมคิดว่าถ้าบางคนเรียนฝ่าหลุนต้าฝ่า  อาจจะปะปนสิ่งอื่นที่เรียนเข้าไป  ยังมีงสิ่งที่เป็นศาสตร์ทางเทคนิกต่างๆที่สืบทอดกันมา............

อาจารย์  การบำเพ็ญพุทธเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจัง  ไม่ใช่บอกว่าท่านจะค้นคว้าโจวอี้(คัมภีร์โบราณว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง) ปา กว้า (คัมภีร์เรื่องแผนภูมิ8เอกลักษณ์ซึ่งใช้แสดงปรากฏการณ์ธรรมชาติ)นี้ ไม่ได้   ข้าพเจ้าคิดว่า เวลาในการบำเพ็ญนั้นมีจำกัดมาก   หากมีเวลามากอย่างนั้นถ้าท่านค้นคว้าฝ่าหลุนนี้จนเข้าใจแล้ว   ก็จะยอดเยี่ยมยิ่งแล้ว  อะไรๆก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าเขา(ฝ่าหลุน)   หลักการของปา กว้าที่สังคมคนฯในปัจจุบันรู้จักกันนั้น  และสิ่งที่เป็นศาสตร์ทางเทคนิกมากมาย  ก็ไม่ได้พ้นจากทางช้างเผือก  ส่วนจักรวาลนี้ ใหญ่จนท่านไม่รู้ว่าใหญ่เพียงไร   จักรวาลเหมือนของเรานี้สามพันแห่ง  ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งจักรวาลที่ใหญ่ยิ่งขึ้น  และจักรวาลที่มีขอบเขตที่ใหญ่ยิ่งขึ้นนี้สามพันแห่ง ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งจักรวาลที่มีขอบเขตที่ใหญ่ยิ่งกว่า  เทพ พระพุทธข้างในนั้น มีนับไม่ถ้วน  ทางช้างเผือกจะนับเป็นอะไรละ  เล็กมาก คนที่ศึกษาต้าฝ่า  ท่านคิดดู  ถ่ายทอดฝ่าที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ให้ท่าน  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่ผู้บำเพ็ญจะไปสิ้นเปลืองกำลังวังชา  แต่หากท่านศึกษาในฐานะผู้เชี่ยวชาญ  ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน  เพราะนี่เป็นความรู้ในหมู่คนฯ  เช่นนั้นท่านก็ไปศึกษา หากท่านบอกว่าฉันชอบเป็นงานอดิเรก  ข้าพเจ้าคิดว่าดีที่สุดท่านก็สำรวมใจนี้ไว้   ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อท่าน  การบำเพ็ญพุทธนั้นเข้มงวด  เช่นนั้นดีที่สุดคือนำกำลังวังชาของท่านไปใช้ค้นคว้าฝ่านี้เถิด  ท่านจะได้ประโยชน์เอนกอนันต์  วิชาความรู้ใดๆล้วนไม่อาจเปรียบเทียบ

            พูดถึงว่าคิดจะใช้วิชาเวทมนตร์ในหมู่คนฯ  ข้าพเจ้าว่านั่นก็ยิ่งไม่สมควรแล้ว  เพราะสิ่งมีจิตวิญญานต่ำเหล่านั้นล้วนเป็นผี  ท่านแสวงหาสิ่งนี้  มันห่างไกลจากฝอฝ่าของเรานี้อย่างลิบลับ  พูดอีกที นั่นเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย  เป็นผีใช่ไหม  ยังมีการคำนวณดวงชะตานี้  ในหนังสือข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว   หากคิดจะบำเพ็ญ  ก็เป็นเรื่องที่เข้มงวด   เมื่อคนๆหนึ่งมีพลังงาน  สิ่งที่ท่านพูดออกมา  ล้วนสามารถทำให้เรื่องนั้นแน่นอนตายตัว เนื่องจากเรื่องของคนฯนั้นไม่แน่นอน  ไม่แน่อาจจะไม่ใช่เช่นนี้  ท่านดูให้คนเขาว่าเป็นเช่นนี้  พอท่านพูดออกมา  ก็กลายเป็นจริงแล้ว  ท่านก็ทำเรื่องไม่ดีไปแล้ว  เช่นนั้น ในฐานะผู้บำเพ็ญต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่ามากำหนด  ท่านทำไม่ดีแล้ว  นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปแล้ว  ข้าพเจ้าชำระล้างร่างกายให้ท่าน  เพราะเห็นว่าท่านต้องการจะบำเพ็ญ  เราจึงทำให้  ท่านอยากจะบำเพ็ญ  ท่านก็จงปล่อยวางสิ่งเหล่านี้เสีย  ไปบำเพ็ญอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องจึงจะดีที่สุด

ศิษย์   ผมมีภาระทางความคิดอย่างหนึ่ง  วันนี้มีวาสนาดีอย่างนี้  สามารถศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่า  ผมได้อ่านจ้วนฝ่าหลุนเล่มสองซึ่งพูดไว้ว่า  ภพนี้บำเพ็ญไม่สำเร็จสามารถปฏิญาณบำเพ็ญต่อในภพที่สอง  และจุดประสงค์ที่แท้จริงของผมคืออยากจะบรรลุการบำเพ็ญหยวนหมั่น  แต่ขณะนี้อายุผมมากแล้วจะทำอย่างไร

อาจารย์            คนสูงวัยมีปัญหาเช่นนี้อยู่  คือพูดว่าหลักพลังของเรานี้แม้ว่าจะบำเพ็ญได้เร็วมาก  อายุขัยที่เขามีจะเพียงพอในการบำเพ็ญหรือไม่    หากพูดอย่างจริงจัง ไม่ว่าใครก็พอใช้  อายุมากแค่ไหนก็เหมือนกัน  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  คนทั่วไปเราไม่สามารถยึดกุมได้  ปากท่านว่าทำได้  ที่แท้ท่านยังยึดกุมไม่ได้   เนื่องจากท่านไม่ได้บำเพ็ญถึงเขตแดนที่สูงเช่นนั้น  จิตของท่านไม่ได้บรรลุถึงมาตรฐานที่สูงเช่นนั้น  ดังนั้นท่านยึดกุมไม่ได้ หลักพลังนี้ของเราเป็นการบำเพ็ญจิตและชีวิต  บำเพ็ญไปพลางเปลี่ยนแปลงร่างกายท่านไปพลาง  ยืดชีวิตให้ท่าน  บำเพ็ญจิตและชีวิต  ฝึกไปพลางยืดอายุไปพลาง  ฝึกไปพลางยืดอายุไปพลาง พูดในทางทฤษฏีอายุจะมากแค่ไหน  พูดอย่างจริงจังล้วนจะพอใช้    แต่มีอยู่ปัญหาหนึ่ง  ชีวิตที่ยืดยาวมาทั้งหมดนั้น  ร้อยทั้งร้อยต้องใช้ในการบำเพ็ญ  ไม่ใช่เพื่อการคงอยู่ในหมู่คนฯ ฉะนั้นหากเขาก็ไม่รู้ว่าชีวิตตนเองนั้นยืดยาวออกมา  เขาก็ยึดกุมไว้ไม่ได้  ไม่ได้ไปทำตามข้อกำหนดของผู้ฝึกพลังร้อยเปอร์เซนต์   เช่นนั้นเขาก็จะเผชิญกับอันตรายที่จะจากโลกไปอยู่ตลอดเวลา นี่ก็คือปัญหาที่ผู้สูงอายุเผชิญ แต่ว่านะ หากเขาบำเพ็ญไม่สำเร็จ  ไม่ก้าวหน้า เช่นนั้นเขาจะมีเพียงทางไปสามทาง  หนึ่งคือ บำเพ็ญต่อในภพหน้า   ฝ่าเซินของข้าพเจ้าจะคอยเฝ้าดู  แม้แต่กลับชาติไปเกิดก็จะคอยเฝ้าดู   ให้ไปเกิดในครอบครัวที่สามารถได้ฝ่า  นี่ล้วนแต่ต้องจัดวางให้  อีกทางหนึ่ง คือ  ท่านก็ไม่คิดจะบำเพ็ญแล้ว  มนุษย์นั้นทุกข์ยากเหลือเกิน  ท่านบำเพ็ญถึงระดับชั้นไหนก็ไประดับชั้นนั้น   หากท่านออกจากตรีภูมิแล้ว  ท่านก็เป็นสรรพชีวิตอยู่ในระดับชั้นนั้นที่อยู่นอกตรีภูมิ  หากท่านไม่ได้ออกนอกตรีภูมิ ท่านก็อยู่ข้างในตรีภูมิ  เป็นชาวสวรรค์อยู่ในสวรรค์ชั้นนั้น แต่ข้างในตรีภูมินั้น  ไม่เกินสามร้อย ห้าร้อยปียังต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิด  เพียงแต่จะได้เสวยสุขอยู่ที่นั้นสักกี่ร้อยปี นี่คือประเด็นหนึ่ง  บางคนนั้นบำเพ็ญได้ไม่เลวเลยจริงๆ  แต่ยังไม่บรรลุถึงมาตรฐาน    เพราะความเข้าใจต่อฝ่าเอย หรือคนที่สร้างคุณูปการไว้บางอย่าง   สามารถไปเป็นสรรพชีวิตในโลกฝ่าหลุน  ซึ่งอยู่นอกตรีภูมิไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด   แน่ละนี่เป็นเรื่องที่ดีนะ  กรณีอย่างนี้มีค่อนข้างน้อย  มีข้อกำหนดที่เข้มงวด แต่เขาไม่ใช่พระพุทธและไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์  เขาก็คือสรรพชีวิต พลเมืองของโลกฝ่าหลุน  ดังนั้นทางนี้จึงเป็นอย่างนี้  ที่จริงได้ฝ่าแล้ว  โอกาสแห่งวาสนาในการบำเพ็ญพุทธของท่านนี้ได้ปลูกฝังไว้แล้ว 

ศิษย์  ผมยังมีอีกคำถามหนึ่ง  ระดับชั้นของคนจะแบ่งได้อย่างไร

อาจารย์  เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้  ข้าพเจ้าจะพูดถึง คำที่ว่า คนระดับสูงได้ฟังเต๋า มุมานะปฏิบัติ ข้าพเจ้าเลือกคำพูดของเหลาจื่อ  คนระดับกลางได้ฟังเต๋า  ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง  คนระดับล่างได้ฟังเต๋า  หัวเราะขัน  ความหมายคืออะไรหรือ  คนระดับสูงได้ฟังเต๋า ก็คือ คนๆนี้ พอได้ยินเรื่องการบำเพ็ญ  ก็จะบำเพ็ญทันที  และเขาก็เชื่อ  คนอย่างนี้หาได้ยาก  เขาจะรีบไขว่คว้าโอกาสเอาไว้  บำเพ็ญจนถึงที่สุด  นี่จัดเป็นคนระดับสูง  คนระดับสูงได้ฟังเต๋า  มุมานะปฏิบัติ คนระดับกลางได้ฟังเต๋า  ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง ความหมายคืออะไรหรือ  ก็คือเห็นทุกคนมาศึกษากัน  เราก็ตามมาศึกษาด้วย  และรู้สึกว่าดีมาก   บางทีพอยุ่งขึ้นมาแล้ว พอพบกับเรื่องกวนใจเหล่านี้ในหมู่คนฯ ก็ลืมแล้ว  หากคนเขาไม่ศึกษาแล้ว  เราก็ไม่ศึกษาแล้ว  ศึกษาก็ได้  ไม่ศึกษาก็ได้ นี่เรียกว่าคนระดับกลางได้ฟังเต๋า  ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง  อาจจะบำเพ็ญสำเร็จ หรืออาจจะบำเพ็ญไม่สำเร็จ จะบำเพ็ญสำเร็จหรือไม่ล้วนแต่ตนเองตัดสิน  คนระดับล่างได้ฟังเต๋า   หัวเราะขัน   คนระดับล่างนี้พอได้ฟังเต๋า   การบำเพ็ญอะไรละ  ฮาฮา น่าหัวเราะ  เป็นเรื่องงมงายทั้งนั้น  ไม่เชื่อหรอก  แน่ละเขายิ่งไม่อาจจะบำเพ็ญ  ก็คืออย่างนี้  พูดถึงว่า แต่ละคนจะสามารถบำเพ็ญได้สูงแค่ไหน   ข้าพเจ้าคิดว่าก็ดูใจดวงนั้นของตนว่าสามารถแบกรับได้มากแค่ไหน  เมื่อพบกับเรื่องยุ่งยากหน่อย  ท่านออกจากประตูนี้ไป  ท่านก็ทนไม่ไหวแล้ว  ข้าพเจ้าบรรยายอยู่ที่นี่  ทุกท่านต่างรู้สึกว่าสิ่งนี้ดี   การบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องใช่ไหม   พลังงานที่มีอยู่ล้วนมีความเมตตา  สงบสุข  ดังนั้นทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่จึงรู้สึกสบายมาก  ยินดีฟังข้าพเจ้าบรรยาย  ในอนาคตเมื่อท่านบำเพ็ญก็จะเป็นเช่นนี้  การบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง  ก็คืออย่างนี้  แต่พอท่านออกไปจากประตูนี้ก็ไม่ใช่ตัวท่านแล้ว   สิ่งต่างๆที่คนฯยึดติดก็ขึ้นมาในสมองนี้แล้ว  และรุนแรงมากด้วย บำเพ็ญอะไรกันละ  ก็ลืมแล้ว  ข้าพเจ้าว่าก็ใช้ไม่ได้

ศิษย์    กรุณาอธิบายเกี่ยวกับกรณีเด็กเลือดผสมอีกสักหน่อย

อาจารย์   เรื่องเด็กเลือดผสมนี้ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้ว ข้าพเจ้าเพียงพูดว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขขึ้นในยุคธรรมะปลาย ถ้าท่านเป็นเด็กเลือดผสม แน่นอนเรื่องนี้จะโทษท่านไม่ได้ และไม่สามารถโทษพ่อแม่ของท่าน อย่างไรก็ตามก็คือสภาพความยุ่งเหยิงชนิดหนึ่งที่กระทำโดยมนุษย์ จึงปรากฏสภาพการณ์เช่นนี้ คนผิวเหลืองและคนผิวขาว ยังมีคนผิวดำ บนสวรรค์จะมีชนชาติที่สอดคล้องกัน เช่นนั้นไม่ใช่ชนชาตินั้นของเขา ไม่จัดว่าเป็นคนของเขา เขาจะไม่ดูแล นี่เป็นเรื่องจริง ข้าพเจ้าไม่ใช่กำลังปั้นเรื่องอะไรอยู่ตรงนี้ ที่ข้าพเจ้าบอกทุกท่านล้วนแต่เป็นความลับสวรรค์ เด็กเลือดผสมก็เป็นปรากฏการณ์ในยุคธรรมะปลาย และไม่อาจจะโทษคนได้ ทุกคนล้วนแต่ลื่นไหลไปตามกระแสคลืน ใครก็ไม่รู้ความจริง ก็เป็นมาอย่างนี้แหละ ถ้าท่านบำเพ็ญ ข้าพเจ้าก็มีวิธี พูดถึงว่าท่านจะไปโลกสรรค์ใด เช่นนั้นเราก็ต้องดูสภาพการณ์ของท่าน สิ่งของส่วนใดที่เก็บรักษาไว้ได้มาก ข้าพเจ้าก็จะกลืนกลายให้ท่านข้ามไป(ส่วนนั้น) อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ท่านไม่ต้องสนใจ ให้ท่านสนใจแต่การบำเพ็ญเท่านั้น ได้ฝ่าแล้วยังจะกลัวอะไร ที่ผ่านมาข้าพเจ้าบรรยายฝ่าก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้จะช้าหรือเร็วก็ต้องบอกกล่าวแก่คน

ศิษย์    ถ้ามนุษย์กินเจกันทั้งหมดนั่นไม่ใช่ดีมากหรอกหรือ

อาจารย์   ไม่ใช่  นั่นคือการคิดของท่านเอง  สวรรค์กำหนดมาตรฐานการดำรงชีวิตของคนไว้แล้ว  มีแต่เป็นอย่างนี้จึงจะเป็นคน  เพราะการกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารนี้สามารถเสริมให้ความร้อนกับร่างกายคนได้มากกว่าพืชผัก   จุดนี้แน่นอน  แต่การบำเพ็ญเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ศิษย์   ขอเรียนถามสักหน่อย   เวลาที่เราฝึกสมาธินิ่ง  มีมาตรฐานของการสงบนิ่งอยู่หรือไม่  บำเพ็ญต้าฝ่าจิตหลักของคนมักจะคิดถึงตนเองอยู่เสมอ  ในการบำเพ็ญจะกระทบต่อการเข้าสู่ความสงบนิ่งหรือไม่ 

อาจารย์   จิตหลักกับการเข้าสู่สมาธินิ่งของท่านเป็นสองเรื่อง   เริ่มต้นไม่อาจสงบลงมาได้  ทำไมคนจึงสงบใจลงมาไม่ได้ละ  เพราะจิตยึดติดของคนมากเกินไป  การค้าของท่านเอย  การเรียนของท่านเอย  การงานของท่านเอย  ความขัดแย้งระหว่างคนด้วยกันเอย  ลูกของท่านป่วยเอย  พ่อแม่ของท่านไม่มีคนดูแลแล้ว เรื่องในโลกเอย  ไม่มีเรื่องที่ท่านจะคิดไม่ได้  เรื่องชนิดไหนล้วนมีอัตราส่วนที่หนักมาก  อยู่ในความคิดของท่าน ทุกท่านลองคิดดู  ท่านว่าท่านจะสามารถสงบลงมาได้ไหม ท่านนั่งลงตรงนั้น  ท่านบอกว่าท่านไม่คิด  มันเองจะพลิกออกมา  ดังนั้นวิธีการอะไรก็สงบไม่ได้ทั้งนั้น  เหมือนกับที่พูดในหนังสือของข้าพเจ้า  ท่านว่าปากท่านสวดมนต์สามารถสงบลงมาได้  เพ่งที่ใจสามารถสงบลงมาได้ หรือการนับเลขนี้สามารถสงบลงมาได้   สงบลงมาไม่ได้ทั้งนั้น  มันเป็นวิธีการชนิดหนึ่ง  แต่ไม่บังเกิดผลที่แน่นอน  มีแต่ท่านค่อยๆปล่อยวางจิตยึดติด  จิตยึดติดในหมู่คนฯให้จืดจาง  เมื่อปล่อยวางให้จืดจางได้  ท่านก็จะสามารถสงบลงมาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ   ในเวลาที่ท่านสามารถสงบลงมาได้  ท่านก็อยู่ในเขตแดนที่สูงมากแล้ว   แต่มีอยู่จุดหนึ่งคือ  ใช่หรือไม่ว่าการบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่านั้นเหมือนกับพระสงฆ์ละ  อะไรก็ไม่เอาแล้ว  วัตถุสิ่งของอะไรก็ไม่มีแล้ว  ไม่ใช่ พวกเราไปบำเพ็ญโดยสอดคล้องกับคนฯให้มากที่สุด  เพราะท่านอยู่ในสังคมคนฯ   ท่านไม่อาจเป็นพิเศษได้  โดยเปลือกนอกท่านก็คือคนปรกติคนหนึ่ง  ดังนั้นต้องไปบำเพ็ญให้สอดคล้องกับคนฯมากที่สุด  ที่ควรแต่งงานนั้น คนหนุ่มสาวต้องแต่งงาน   ท่านควรทำการค้าอะไรเอย  เป็นข้าราชการเอย  นี่ล้วนไม่กระทบ  พวกเราพูดถึงหลักการหนึ่ง  คนเรานี้อยู่ในสังคมคนฯนี้ แต่ละระดับจะมีความขัดแย้งของมัน   เราทิ้งกรอบของศาสนาไป สายเต๋ากระโดดออกมาจากไท่จี๋ของเขาไม่ได้  พุทธศาสนาก็กระโดดออกมาจากหลักการของเขาไม่ได้  ดังนั้นเราจึงทิ้งสิ่งที่พูดกันในศาสนา  เรากำลังพูดถึงหลักการของจักรวาลทั่วทั้งหมด

            เราพบว่าไม่ว่าท่านจะเป็นคนในระดับไหน  ไม่ว่าท่านทำเรื่องอะไร  ทำงานอะไร  ท่านล้วนสามารถจะบำเพ็ญ  เพราะอะไรหรือ  คนที่ทำงานทั่วๆไปคนหนึ่ง  เพื่อให้อิ่มท้องและมีนุ่งห่มอบอุ่นของเขา  เขาจะมีความขัดแย้งกับคนด้วยกัน  และกับการงานของเขา  ฉะนั้นในความขัดแย้งนี้  เขาจะเป็นคนดีคนหนึ่งได้อย่างไร  เช่นนั้นคนทำงานคอเสื้อขาวทั่วไป ก็คือพนักงานในสำนักงาน  เขาอยู่ในระดับนั้น  จะเป็นคนดีได้อย่างไร ระหว่างคนด้วยก็เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน ทุกๆด้าน  เขาจะเป็นคนดีได้อย่างไรในท่ามกลางความขัดแย้งนี้   ผู้ที่เป็นนายจ้าง  เขาจะทำการค้าอย่างไรในระดับชั้นนี้ของเขา   ระหว่างนายจ้างด้วยกัน  การขัดสีกันระหว่างคนด้วยกัน  เขาจะเป็นคนดีได้อย่างไร เขาก็มีความขัดแย้งของเขาอยู่   คนที่เป็นประธานาธิบดีก็เช่นเดียวกัน  เขาเป็นประธานาธิบดี  ขณะที่เขาทำงานหนักเพื่อประเทศนี้  บางสิ่งเป็นไปดั่งใจเขา บางสิ่งไม่เป็นไปดั่งใจ  มีสิ่งที่ทำสำเร็จ  มีสิ่งที่ทำไม่สำเร็จ ระหว่างประเทศกับประเทศก็มีความขัดแย้งนะ  ดังนั้นเขาจึงมีเรื่องกังวลใจ  คนมีชีวิตอยู่ก็เป็นเช่นนี้  ดังนั้นในแต่ละเขตแดน  ท่านก็หลุดไม่พ้นโลกียะ  ท่านล้วนหลีกหนีคนไม่พ้น  หลีกหนีสังคมไม่พ้น   ดังนั้นท่านล้วนมีความขัดแย้งอยู่   ท่านอยู่ในความขัดแย้งเหล่านี้  ท่านจะเป็นคนดีได้อย่างไร  ท่านสามารถเป็นคนดีท่านก็อยู่เหนือคนฯแล้ว

ที่เราพูดก็คือหลักการนี้  ไม่ใช่ให้ทิ้งวัตถุสิ่งของอะไรของท่าน  ทว่าให้ทิ้งจิตใจดวงนั้นของคน  ท่านทำการค้าใหญ่โตก็ไม่เป็นไร  และไม่กระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน  ท่านทำการค้าใหญ่โต  แน่ละย่อมจะหาเงินได้มาก  แต่ในใจไม่ได้เห็นแก่เงินดั่งชีวิต   ยึดติดกับผลประโยชน์อันน้อยนิดจนเกินไป  ท่านกลับไม่เป็นอย่างนี้  แม้บ้านของท่านจะสร้างด้วยทอง  แต่ในใจท่านไม่มีมันอยู่  มองอย่างจืดจางมาก  นี่คือมาตรฐานที่เรากำหนดต่อผู้บำเพ็ญนี้  เป็นเช่นนี้ใช่ไหม  เราพูดถึงเรื่องนี้โดยก้าวข้ามศาสนา  เราพูดถึงแก่นแท้ของมัน จะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดก็สามารถบำเพ็ญได้ทั้งนั้น  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  การบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนฯ  ก็เป็นการขัดเกลาจิตใจคนโดยตรง  ดังนั้นเหตุใดข้าพเจ้าจึงพูดว่าช่วยเหลือท่านอย่างแท้จริงละ  ก็เพราะคือตัวท่านเองที่ยกระดับตัวเอง  ทนแบกรับความกดดันของสังคมนี้อย่างแท้จริง  ตัวท่านเองที่ยกระดับตนเองอย่างแท้จริง ดังนั้นพลังนี้จึงควรให้กับท่าน  เราจึงช่วยท่าน

            จิตรองก็สามารถได้พลัง  แต่ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นแค่ผู้พิทักษ์ฝ่าของท่าน  เขาก็สามารถบำเพ็ญสำเร็จติดตามท่าน  ท่านอย่าเห็นว่าวันนี้ข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมา  พวกท่านก็ยังรับรู้ได้ไม่สูงเพียงนั้น  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  บางคนยังคงพูดถึงวิธีการบำเพ็ญอย่างอื่น  หลักพลังนี้เป็นอย่างไร หลักพลังนั้นเป็นอย่างไรๆ  ท่านยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความนัยที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่นี้หนา  การบำเพ็ญทั้งหมดในประวัติศาสตร์ล้วนแต่ช่วยจิตรองของท่าน ไม่ช่วยท่าน  ไม่ได้ช่วยท่าน  ข้าพเจ้าได้เปิดเผยความลับนับพันๆปีนะ  ข้าพเจ้าต้องทุ่มเทอย่างยากลำบากมาก  จึงสามารถพูดเรื่องนี้ออกมาได้ ในอดีต ท่านจะบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่ช่วยท่าน  ที่ท่านบำเพ็ญนั้นคือใครกัน  ท่านบำเพ็ญชั่วชีวิตหนึ่ง  ท่านยังต้องเข้าสู่วัฏสงสารหกทาง  ภพต่อไปไม่รู้ว่าท่านจะไปเกิดเป็นอะไร  ท่านว่าท่านเองน่าเวทนาหรือไม่ละ  เพราะอะไรหรือ  ศาสนาในอดีตก็ดี   วิธีการบำเพ็ญชนิดอื่นก็ดี  ไม่ช่วยจิตหลักนี้  เพราะพวกเขาเข้าใจว่าจิตหลักช่วยได้ยากนัก  ลุ่มหลงเกินไป ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้  ทุกท่านอาจรู้สึกว่าเข้าใจได้   พอออกจากประตู ก็ทำตามอำเภอใจ  ในท่ามกลางผลประโยชน์เฉพาะหน้าในหมู่คนฯ  เขาก็โถมตัวเข้าไปอีก  ต่อสู้แย่งชิงกัน  รับรองว่าเขาจะเป็นเช่นนี้  ดังนั้นปวงเทพจึงเห็นว่าคนนั้นช่วยยากเสียเหลือเกิน แต่ผู้ที่ข้าพเจ้าช่วยคือท่านนะ  จิตรองของท่านก็เรียกชื่อเดียวกับท่าน  คลอดออกมาจากครรภ์มารดาพร้อมกับท่าน  ต่างก็ควบคุมร่างกายนี้อยู่  เพียงแต่ท่านไม่รู้ว่าเขานั้นมีอยู่    ที่ผู้คนช่วยเหลือนั้นคือเขา  ดูเหมือนกำลังพูดกับท่านอยู่  ที่จริงคนเขาพูดกับเขาต่างหากละ  บางครั้งท่านพูดอะไรออกมาอย่างไม่รู้ตัว  แต่ไม่ใช่สมองใหญ่ของท่านที่พูดอยู่     มีหลายคนที่นั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิก็ไม่รู้อะไรแล้ว นั่งคราวหนึ่งๆหลายชั่วโมง  อ้อ เวลาที่เขาออกจากสมาธิยังรู้สึกดีใจมาก  ดูซิฉันฝึกได้ดีจริงๆ  พอนั่งทีก็หลายชั่วโมง  นิ่งสนิทแล้ว  ช่างน่าเวทนานัก  ท่านฝึกพลังแล้วหรือ  ท่านทราบไหม  ทั้งหมดที่ฝึกคือคนอื่น

            ในอดีตนักพรตเต๋าบางคน  เพื่อที่จะทำให้จิตหลักของท่านหมดความรู้สึก  ให้จิตรองสามารถบำเพ็ญได้  จึงบอกให้ท่านดื่มเหล้า   สายเต๋าดื่มเหล้ากันมีมากมาย  ดื่มให้ตนเองหมดความรู้สึก  อะไรก็ไม่รู้แล้ว  หลับไปแล้ว  คนเขานำจิตรองฝึกพลัง  ที่ข้าพเจ้าพูดไปคือความลับนับพันปีนะ  อย่าเห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็พูดออกมาอย่างนี้แล้ว  วิธีการนี้  วิธีการนั้น  เพราะพวกเขาเห็นว่าคนนั้นจะบำเพ็ญไม่สำเร็จ    บางทีเขาหวังดี  มีคนหนึ่งบำเพ็ญออกมาจากร่างกายของท่านแล้ว  ท่านก็นับว่าได้สะสมกุศลแล้ว  ทนทุกข์แล้ว   วัยหนุ่มของท่านได้ทิ้งไว้ในศาสนาแล้ว  จะทำอย่างไรละ  ภพต่อมาก็ให้ท่านกลับชาติไปเกิดใหม่

            จิตรองจิตหนึ่ง  ก็อาจจะเป็นเช่นนี้   ฉันเห็นว่าโอกาสนี้เลือนรางมาก  ต่อไปค่อยให้ท่านบำเพ็ญ   กรณีอย่างนี้ก็มีน้อยมาก แต่บางคนเขาจะได้โชคลาภตอบแทน  ตอบแทนอย่างไรละ  ได้เป็นข้าราชการใหญ่โต  ร่ำรวย  ทำการค้าใหญ่โต  ภพต่อมาก็ทำอย่างนี้    เพราะชั่วชีวิตหนึ่งของเขาก็สะสมกุศลไว้แล้วจริงๆ  สะสมโชคลาภไว้แล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ที่นั่งอยู่ใครก็ไม่อยากเป็นอย่างนี้  แต่ละครั้งที่ข้าพเจ้าบรรยายเรื่องนี้จบ  คนอื่นยังถามข้าพเจ้าอีกว่า หลักพลังนี้เป็นอย่างไร  หลักพลังนั้นเป็นอย่างไร   ศาสนานั้นเป็นอย่างไร  ศาสนานี้เป็นอย่างไร  ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่าการรับรู้ของเขาต่ำเกินไปแล้ว  ทุกท่านสามารถดูจุดเด่นนั้นของฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรา  บน(หนังสือ)นั้นล้วนมีหมด  ผู้คนต่างไม่ใส่ใจ  ถือว่าเขาเป็นคำพูดธรรมดาทั่วไปประโยคหนึ่ง     นั่นเป็นกฎเกณฑ์ของจักรวาล  ในอดีตก็เป็นเช่นนั้น  

บางทีหลังจากท่านเดินออกไปจากห้องนี้  จะรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายมาก  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  เมื่อท่านบำเพ็ญไป  ร่างกายของท่านยังจะรู้สึกไม่สบายได้  เพราะอะไรละ  เพราะทุกๆภพชาติของท่านล้วนมีกรรม  ไม่สามารถผลักออกมาหมดในชาติเดียวภพเดียว  ถ้าผลักออกมาหมดคนก็จะตายทันที  ดังนั้นกรรมนี้เราค่อยๆผลักออกมาให้  ผลักออกมาจากในร่างกาย  ดังนั้นพอผ่านไประยะหนึ่งท่านจะรู้สึกร่างกายทรมานมาก  คิดว่าป่วยเป็นโรคแล้วใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  นั่นไม่ใช่โรค  แต่กลับปรากฏออกมาทรมานมาก  บ้างก็รุนแรง แสดงออกรุนแรงมาก  แต่บางคนรู้ได้  พอเขาทรมานเขาก็ดีใจแล้ว  พูดว่าอาจารย์ดูแลฉันแล้ว  กำลังขจัดโรคให้ฉัน  กำลังขจัดกรรมนี้ให้ฉัน  บางคนไม่ทรมานร่างกายไม่รู้สึกอะไร  เขากลับร้อนใจมาก  อาจารย์ไม่ดูแลฉันเลย  ทำไมไม่ชำระกรรม  แต่ว่า  ผู้ฝึกใหม่บางคนพอร่างกายเขาไม่สบายแล้ว เขามักจะรู้สึกว่านี่คือโรค  กินยาเถอะ  เขาคิดว่าฝึกพลังไปด้วยกินยาไปด้วยยิ่งดี  เพราะเรามองเห็นหลักการข้อหนึ่ง เพราะโรงพยาบาลสลายกรรมให้ไม่ได้  หมอไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ  ดังนั้นเขาไม่มีธรรมานุภาพนี้  เขาเป็นช่างเทคนิกในหมู่คนฯ  เขาเพียงแต่สามารถขจัดทิ้งความเจ็บปวดชั้นผิวนี้ไปให้ท่าน   เหลือโรคนี้ไว้ให้ท่านในระดับลึก  การกินยาคือการกดเข้าไปในร่างกาย   เท่ากับสะสมเอาไว้    ที่ชั้นผิวไม่เจ็บปวดแล้ว  แต่สะสมเข้าไปในระดับลึกของร่างกายแล้ว การผ่าตัดก็เช่นเดียวกัน  อาทิเช่นมีเนื้องอกแล้ว  ตัดเนื้องอกนี้ออกไป  เขาเพียงตัดสสารชั้นผิวนี้ทิ้งไป  แต่มูลเหตุที่ก่อโรคอย่างแท้จริงอยู่ในอีกมิติ  เขากลับไม่ได้แตะต้องเลย  ดังนั้นกรรมแห่งโรคที่ร้ายแรงนี้มันยังสามารถกำเริบ  บ้างคล้ายกับรักษาหายแล้ว  ชาตินี้ไม่เป็น   เช่นนั้นภพต่อมามันก็จะกลับมาอีก  เพราะมันถูกกดไปถึงชั้นที่ลึกข้างใน  จะต้องกำเริบขึ้นมาอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว   กรรมของคนๆหนึ่งถึงอย่างไรก็ต้องชดใช้   ก็คือหลักการเช่นนี้  ที่เราทำที่นี่คือ จากต้นกำเนิดของชีวิตท่าน จะผลักสิ่งสกปรกทั้งหมดของท่านออกไปให้    แต่ไม่มีใครทำเรื่องชนิดนี้  มีแต่การบำเพ็ญจึงสามารถทำได้  เราทำเรื่องนี้ให้ท่าน  แต่ทุกท่านต้องควบคุมซินซิ่งไว้   ไม่ใช่พอร่างกายทุกข์ทรมานแล้ว โอยฉันป่วยอีกแล้ว    ท่านป่วยแล้วท่านก็กินยา  เราก็จะไม่ดูแล  เพราะการบำเพ็ญต้องอาศัยการรับรู้  ไม่มีการบังคับในเรื่องใดๆ  เราไม่ได้พูดว่า  เมื่อท่านรู้สึกไม่สบาย ท่านไม่ต้องกินยา  ไม่มีอย่างนี้

บางคนเขาไม่สามารถปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลัง   เขาเพียงแต่ฝึกท่าฝึกพลังเขาก็ไม่ศึกษาฝ่า  เรื่องอะไรเขาก็ทำทั้งนั้น  ท่านอย่าเห็นว่าเขาฝึกพลังแล้ว    ฝ่าเซินของข้าพเจ้าก็ไม่ดูแลเขา  ไม่ดูแลเขาเพราะเขาเป็นคนฯ  เขาจึงต้องป่วย   หากเราห้ามไม่ให้ท่านกินยา   ท่านเองไม่สามารถทำตามมาตรฐานของผู้บำเพ็ญ  ท่านยังคงเป็นคนฯ  ถึงเวลาย่อมป่วย   ท่านจะพูดว่า หลี่ หงจื้อ ไม่ให้ฉันกินยา  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่พูดว่ากินยาหรือไม่กินยา  ท่านต้องคิดเอาเอง เดิมทีก็เป็นการทดสอบท่าน  ท่านไม่อาจปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลัง  ท่านยังคงมีโรค  ก็เป็นหลักการเช่นนี้  เราได้แต่พูดหลักการของเขา   ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอบอกทุกท่าน  วันหลังท่านคิดจะบำเพ็ญ  เมื่อท่านพบว่าร่างกายไม่สบาย  เป็นไปได้มากว่าคือการผลักกรรมในชาติก่อน ภพก่อนของท่านออกมาแล้ว  ข้าพเจ้าเห็นบางคนเมื่อกลับชาติเกิดแล้ว กี่สิบชาติกี่สิบภพเอย  บ้างก็เป็นนับร้อยภพ  แต่ละชาติแต่ละภพล้วนมีโรคมากมายคงอยู่   ก็ต้องผลักออกไปให้ท่านทั้งหมด  อย่างไรเสียก็ต้องทิ้งไปให้ท่านทั้งหมด  จากอีกมิติหนึ่งได้นำออกไปให้ท่านมากยิ่งกว่าเสียอีก  จำเป็นต้องทิ้งไปให้ท่านส่วนหนึ่ง แต่ไม่อาจนำออกไปทั้งหมดจากในอีกมิติ   เพราะต้องให้ท่านพบกับความเจ็บปวดสักหน่อย  ถ้าไม่ทนรับก็เท่ากับว่าคนๆนี้ทำเรื่องไม่ดีแล้วไม่ชดใช้   รอจนวันนั้นที่ท่านบำเพ็ญสำเร็จ วางท่านให้อยู่ในตำแหน่งพระพุทธ  ท่านจะรู้สึกว่าไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่    คนเขาก็จะรู้สึกว่าเขาขึ้นมาได้อย่างไร   ใช่ไหม   ดังนั้น ท่านต้องแบกรับความเจ็บปวดส่วนหนึ่ง  ฉะนั้นในขณะที่กำลังแบกรับ  การรับรู้ของท่านจะยกระดับขึ้นได้   คือท่านถือว่ามันเป็นโรค หรือว่าเป็นการสลายกรรมของผู้บำเพ็ญละ