การบรรยายธรรมในงานพิธีฉลองการก่อตั้งสมาคมศึกษาพุทธประเทศสิงคโปร์

 

หลี่  หง จื้อ

28 กรกฎาคม ค.ศ. 1996

 

เอาละข้าพเจ้า ยืนอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน  ให้ทุกท่านเห็นชัดๆ  ขอขอบคุณบุคคลฝ่ายต่างๆของสิงคโปร์ที่ให้การสนับสนุนด้านต่างๆต่อสมาคมศึกษาพุทธฝ่าหลุน  และข้าพเจ้าก็ขอแสดงการขอบคุณบุคคลฝ่ายต่างๆของสิงคโปร์แทนทุกท่าน สำหรับการสนับสนุนพวกเราจนสามารถก่อตั้งสมาคมศึกษาพุทธฝ่าหลุน  ขอให้ทุกท่านปรบมือให้(เสียงปรบมือ)  การก่อตั้งสมาคมศึกษาพุทธจะทำให้คนได้รับฝ่ามากยิ่งขึ้น จะทำให้คนที่มีวาสนาจำนวนมากยิ่งขึ้นสามารถศึกษาฝ่านี้ได้  ในความคุ้มครองของกฎหมายประเทศ ได้ให้เงื่อนไขที่สะดวกอย่างหนึ่ง สำหรับการฝึกพลังของทุกท่านนับจากวันนี้ไป และการทำเรื่องที่ดีนี้เพื่อมวลชนอันไพศาลให้ดียิ่งขึ้น  

            ไม่ได้เตรียมอะไรมากนัก  ต่อจากนี้ ข้าพเจ้าขอยืมโอกาสของการประชุมใหญ่ครั้งนี้ คิดได้ถึงไหน ก็พูดถึงนั่นนะ  ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอแนะนำฝ่าหลุนกงสักหน่อย  ประวัติศาสตร์ของเขานั้นยาวนานมาก  คนในวงการบำเพ็ญต่างทราบกันว่าสังคมมนุษย์ไม่เพียงเกิดอารยธรรมขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง  สังคมมนุษย์เคยเกิดอารยธรรมมาก่อนหน้านี้  ในกระแสธารประวัติศาสตร์อันยาวนาน เมื่อศีลธรรมของมนุษย์ค่อยๆเดินสู่ความเสื่อม  เช่นนั้น  มนุษยชาติก็เดินสู่ความเสื่อมโทรม  มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ  และเมื่อพัฒนาไปจนถึงช่วงสุดท้าย  จากความเบี่ยงเบนทางวัตถุ   ความเสื่อมทรามด้านจิตใจบรรลุถึงจุดสูงสุด  เช่นนั้นแล้วก็จะนำมาซึ่งการลื่นไถลลงอย่างมากของทัศนคติด้านศีลธรรมของมนุษย์  ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้  มนุษยชาติก็จะเดินสู่ความเสื่อมโทรม  เคยปรากฏสถานการณ์ชนิดนี้หลายครั้งกับมนุษยชาติแล้ว  ดังนั้นอารยธรรมของมนุษย์จึงไม่ใช่มีเพียงหนึ่งครั้ง  เคยปรากฏอารยธรรมขึ้นหลายครั้งแล้ว ยุคหินที่คนพูดกันนี้ก็ไม่ใช่มีเพียงหนึ่งครั้ง  มนุษยชาติเคยปรากฏยุคหินขึ้นหลายครั้ง  เนื่องจากในเวลาที่มนุษย์กำลังเกิดเรื่องยุ่งยากชนิดนี้ขึ้นนั้น  เครื่องทุ่นแรงทั้งหมดและบรรดาความรู้ที่มีอยู่ก็ถูกทำลายจนหมด

ทุกท่านทราบว่าในช่วงแรกของอารยธรรมครั้งนี้ของมนุษย์ เมื่อสี่ห้าพันปีที่แล้ว บนโลกของเรา เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งหนึ่ง อารยธรรมของชนผิวขาวทั่วทวีปยุโรปได้ถูกทำลายจนหมด แน่ละร่องรอยที่ตกทอดลงมานั้นมีน้อยมาก  ก็คือยังสามารถมองเห็นสิ่งของในอดีตก่อนประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งจากซากวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง  อาทิเช่น ในวัตถุโบราณที่ขุดพบจำนวนหนึ่งของวัฒนธรรมกรีกโบราณที่ตกทอดลงมา สามารถค้นพบเบาะแสที่คงอยู่ของอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่ง ทางด้านตะวันออก  หลังจากน้ำท่วมใหญ่ สิ่งที่เหลือตกทอดลงมา เมื่อเปรียบกันแล้วกลับมีค่อนข้างมาก ทุกท่านทราบนิทานต้าอวี่(ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์เซียะ)ปราบอุทกภัย(น้ำท่วม)  ในเวลานั้นน้ำมากเหลือเกิน  เมื่อน้ำลดแล้ว  ต้าอวี่ได้นำคนไปช่วยกันระบายน้ำออกไปจากพื้นที่ถูกน้ำท่วมขัง ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้อย่างนี้   มนุษย์ในช่วงอารยธรรมโบราณนั้น กับอารยธรรมหนึ่งยุคก่อนหน้านั้นถูกน้ำท่วมทำลายไปแล้ว  แต่บรรพบุรุษของชาวจีนจำนวนหนึ่งรอดมาได้จากน้ำท่วมใหญ่  วัตถุทางอารยธรรมที่เหลืออยู่ก็มีค่อนข้างมาก  ทว่าชาวตะวันตกที่มีชีวิตรอดสืบมามีค่อนข้างน้อย   ดังนั้นวัฒนธรรมตะวันตกในปัจจุบันจึงเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่ใหม่ทั้งหมด  เป็นวัฒนธรรมใหม่หมดที่ไม่มีร่องรอยของประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ใดๆ   เช่นนี้แล้วจึงทำให้อารยธรรมเก่าแก่ของประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ที่ลึกล้ำมากและไม่เหมือนกับเส้นทางเดินของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

ดังนั้นในบรรดาอารยธรรมที่เก่าแก่เหล่านี้   จึงมีสิ่งต่างๆมากมายที่คนในปัจจุบันยังไม่เข้าใจ  ในขณะเดียวกันก็ห่างไกลจากวัฒนธรรมยุคนี้   ดังนั้นมีคนจำนวนมากรวมทั้งชาวตะวันตกก็ทราบว่า ในดินแดนนี้ของประเทศจีน มีสิ่งที่ลึกลับมากมาย สิ่งที่คนยุคนี้ไม่เข้าใจ ชาวจีนเองก็ทราบ ในดินแดนนี้ของประเทศจีนนั้น  ยังมีวัฒนธรรมเก่าแก่ที่คนยุคนี้ยังไม่รับรู้ บางคนได้ยินแล้ว  ได้เห็นแล้ว แต่ก็อธิบายไม่ได้และไม่มีใครนำสิ่งที่เก่าแก่เหล่านี้ออกมาพูดคุยกับผู้คน  เนื่องจากบรรพบุรุษของชาวจีนในเวลานั้นเหลือรอดอยู่ค่อนข้างมากดังนั้นวัฒนธรรมดึกดำบรรพ์จึงตกทอดลงมาส่วนหนึ่ง

ในอดีตในยุคโบราณดินแดนศูนย์กลางชนชาติจีนไม่ใช่ลุ่มแม่น้ำเหลือง(หวางเหอ)  ทว่าเป็นดินแดนในแถบพื้นที่ซินเกียงนี้  ในเวลานั้นยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของชนชาตินี้ก็อยู่ในพื้นที่แถบนี้   เนื่องจากภูเขาคุนหลุนอยู่ใกล้เขตแดนนี้  ลักษณะภูมิประเทศโดยรอบค่อนข้างสูง  ในปีนั้นที่น้ำท่วมใหญ่สูงถึงสองพันกว่าเมตร ท่วมไปทั่วทั้งโลก  ตอนที่น้ำทะลักท่วมอย่างรุนแรงมีคนจำนวนมากหนีไปถึงภูเขาคุนหลุน  มีชีวิตรอดลงมา  สืบทอดวัฒนธรรมยุคดึกดำบรรพ์จำนวนหนึ่งต่อมา  อย่างเช่นประเทศจีนปัจจุบันยังมีสิ่งที่คนไม่น้อยไม่เข้าใจ  เหอถูเอย  ลั่วซูเอย  ไท่จี๋เอย  ปากั้วต้นกำเนิดเอย  เป็นต้น  ยังมีชี่กงเก่าแก่จำนวนหนึ่งที่ผู้คนทุกวันนี้รู้จักกัน

            พูดให้ชัดแล้ว  ชี่กงนี้หนา  มันไม่ใช่สิ่งที่คนเราในปัจจุบันคิดค้นขึ้นมา  มันเป็นวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่ง   ในประเทศจีนนี้ก็มีค่อนข้างมาก  เนื่องจากในอดีตนั้น ชี่กง หาได้เรียกกันว่า ชี่กงแต่อย่างใดไม่   มันเรียกว่าอะไรหรือ เรียกว่าซิวเลี่ยน(การบำเพ็ญ)  แน่ละ  การบำเพ็ญนั้นแบ่งเป็นระดับชั้น  ในระดับชั้นของสังคมคนธรรมดาสามัญนี้   ก็ได้แต่บอกให้คนว่าจะขจัดโรคภัยเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างไร  จะทำให้ร่างกายคนแข็งแรงได้อย่างไร  ดังนั้นอาจารย์ชี่กงส่วนหนึ่งจึงใช้สิ่งนี้มาทำเรื่องที่ดีให้กับคน  หรือพูดว่าสิ่งต่างๆที่ถ่ายทอดอยู่ในสังคม รวมทั้งอาจารย์ชี่กงที่ไปตามประเทศต่างๆ  ก็เพียงแต่ถ่ายทอดสิ่งที่ขจัดโรคภัยเสริมสร้างสุขภาพระดับชั้นนั้น  ที่นี่ไม่ได้พูดว่าชี่กงอย่างอื่นไม่ดี   ข้าพเจ้านั้นบอกทุกท่านว่าสิ่งที่สูงนั้นพวกเขาไม่ได้ถ่ายทอด  เพียงแต่ถ่ายทอดสิ่งที่ขจัดโรคภัยเสริมสร้างสุขภาพ    ในขณะเดียวกันก็มีการแสดงความสามารถพิเศษบางอย่างร่วมด้วย  เนื่องจากเวลาที่ทำการขจัดโรคจำเป็นต้องขจัดไปโดยผ่านความสามารถพิเศษบางอย่างดังนั้นจึงมีการแสดงความสามารถพิเศษบางอย่างออกมา

             “ความสามารถพิเศษ”คำนี้เป็นเพียงคำศัพท์สมัยใหม่  ที่จริงก็คือความสามารถเดิมของสิ่งมีชีวิต  ในขณะนี้ ตามการเพิ่มพูนของวัตถุและ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์  ผู้คนนับวันก็ยิ่งรับรู้แต่สิ่งที่เป็นจริงเฉพาะหน้า ทำให้ละทิ้งความสามารถเดิมแต่กำเนิด  สิ่งที่เก่าแก่ที่สุดไปมากขึ้นเรื่อยๆ   หากเดินกันไปอย่างนี้  อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคตเทคโนโลยีก็จะยิ่งพัฒนา  คนก็จะยิ่งเสื่อมถอย  เดี๋ยวนี้มีรถไฟ รถยนต์  เครื่องบิน  ทุกคนก็ไม่ต้องเดินกันมากนัก  ในอนาคต เมื่อวัตถุยิ่งเจริญก้าวหน้า  คนก็อาจจะเสื่อมถอยอย่างร้ายแรง  ถ้าอนุมานตามทฤษฎีวิวัฒนาการดังว่า  ในอนาคตร่างกายชั้นผิวของคนก็จะเสื่อมถอยทั้งหมด สุดท้ายแขนขาทั้งสี่ก็จะผิดรูป เสื่อมถอย  คงเหลือแต่สมองใหญ่  แน่ละตรงนี้ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดเปรียบเทียบ ก็คือพูดว่าจะมีการละทิ้งสิ่งที่เป็นความสามารถเดิมของคน      สิ่งที่มีมาแต่กำเนิดมากขึ้นเรื่อยๆ 

            ในดินแดนนี้ของประเทศจีน  สังคมเก่าแก่ของมันไม่ใช่พัฒนาในลักษณะนี้  ดังนั้นอาจมีคนคิดว่า  ถ้าพัฒนาต่อไปตามสภาพสังคมเก่าแก่ของประเทศจีน  เช่นนั้นจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือ  แน่ละหากท่านยืนอยู่บนทฤษฎีของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันไปรับรู้วิทยาศาสตร์แนวอื่น ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้ตลอดกาล  ท่านต้องกระโดดออกจากกรอบของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน  ไปรับรู้วิทยาศาสตร์ในแนวทางอื่น  ในวัฒนธรรมอย่างนั้น  ก็เช่นเดียวกัน คนก็จะรู้สึกว่ามันควรจะเกิดสภาพสังคมเช่นนั้น   บางคนพูดว่า “หากพัฒนาไปตามสภาพสังคมเก่าแก่ของชาวตะวันออก เช่นนั้นจะมีรถยนต์ มีเครื่องบินหรือ เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าบินจากฮ่องกงมาสิงคโปร์  สามชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว  ช่างเร็วมากนะ  มนุษยชาติพัฒนาก้าวหน้าไปมากแล้ว  ถ้าเดินตามทางสภาพสังคมเก่าแก่ของประเทศจีน จะเป็นอย่างนี้ได้หรือ”  

ที่จริงทุกท่านล้วนทราบว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ต่างกันสามารถนำมาซึ่งเส้นทางการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ที่ต่างกัน   อาทิเช่น  สมมติว่าพัฒนาไปตามสภาพสังคมเก่าแก่ของประเทศจีนเส้นทางนั้น  เช่นนั้นทุกท่านทราบว่าการฝึกชี่กง  มันสามารถเปิดความสามารถแฝงในร่างกายคนออกมาได้  หรือพูดว่า การบำเพ็ญชี่กงสามารถทำให้สิ่งที่ไร้รูปกลายเป็นมีรูป  สิ่งที่มองไม่เห็นสุดท้ายเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้  และไม่ต้องผ่านเครื่องมืออุปกรณ์ใดๆ  ไม่ต้องผ่านวิธีการทางวิทยาศาสตร์ใดๆของปัจจุบัน ชี่กงนั้น หลังจากนั่งสมาธิเข้าสู่ความสงบแล้ว  เริ่มแรกจะไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก  พอท่านสามารถสงบนิ่งลงมาได้ทั้งหมด  คนจะพบว่าแม้ว่าร่างกายภายนอกไม่เคลื่อนไหว  แต่ภายในร่างกายกำลังเคลื่อนไหว  คนจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ภายใน และการเคลื่อนไหวนี้จะเริ่มจากไม่ชัดแจ้งจนกระทั่งชัดแจ้งมาก   และสุดท้ายชัดแจ้งจนจิตสำนึกของท่านสามารถบังคับมันได้ นี่ก็คือจากไร้รูปถึงมีรูป  สุดท้ายจิตสำนึกและความรู้สึกชนิดนี้ เมื่อผู้ฝึกพลังเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ก็สามารถค่อยๆก่อเกิดสิ่งที่มีรูปขึ้นมาได้   ในจักรวาลยังมีสสารพลังงานที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจรับรู้ได้คงอยู่  เช่นนั้นในเวลาที่พลังงานเหล่านี้เพิ่มความเข้มแข็งให้กับผู้ฝึกเรื่อยไป  สสารไร้รูปที่มองไม่เห็นเหล่านี้ ก็จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นมีรูปขึ้นมาแล้ว   ดังนั้นคนก็สามารถจะมองเห็นได้แล้ว กระทั่งสามารถใช้ประโยชน์ได้   หากเดินต่อไปตามเส้นทางการพัฒนาอย่างนี้  คุณสมบัติดั้งเดิมของคนก็ต้องเกิดการเลื่อนสูงขึ้นอย่างแน่นอน  นักศึกษาในอดีตที่เรียกว่า นักศึกษาหยู(ขงจื้อ) ก่อนจะเริ่มเรียนหนังสือก็จะนั่งสมาธิด้วยกันทั้งนั้น ปรับลมหายใจ  สงบจิตใจ ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ก็จะสามารถทำเรื่องมากมายที่ปกติทำไม่ได้  นี่ก็ใกล้เคียงการบำเพ็ญของชี่กงมากแล้ว   ความคิดและทัศนคติของชาวจีนโบราณเชื่อมโยงโดยตลอดกับวัฒนธรรมชนิดนี้

แน่ละเมื่อครู่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดถึงว่า บางคนคิดว่า การพัฒนาแบบนี้สามารถจะมีเครื่องบินหรือ  สามารถจะมีรถไฟหรือ  ทิศทางการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ที่ต่างกันสามารถนำมาซึ่งสภาพการณ์ของวิทยาศาสตร์ที่ต่างกัน  เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  หากคนสามารถบินขึ้นมา  ลอยขึ้นมา  อย่างนั้นยังต้องใช้เครื่องบิน  รถไฟอีกหรือ  ในประเทศจีน  ในประเทศอินเดียมี  ในอเมริกาล้วนมีคนอย่างนี้  ในหมู่ผู้บำเพ็ญฝ่าหลุนกงก็มีคนอย่างนี้อยู่มาก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ   หลังจากชีพจรทั่วร่างกายของคนๆหนึ่งเปิดโล่งทั้งหมดแล้ว  ไม่มีที่ใดอุดตัน  คนๆนี้ก็สามารถลอยขึ้นบนอากาศได้แล้ว  แน่ละงานวิจัยวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร    ที่จริงโดยแก่นแท้แล้วก็ไม่มีคนกล้าไปวิจัย   เพราะจะถูกนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อหัวเราะเยาะเอา  และเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยเหตุนี้  ทุกท่านทราบว่าช่วงระยะหนึ่งก่อนหน้านี้  มีคนอเมริกันคนหนึ่งมาแสดงที่สิงคโปร์  คนมากมายคงได้เห็นเขาบินขึ้นมาแล้ว  นี่ล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่คงอยู่จริง  คนก็สามารถลอยขึ้นมา  เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  ในอดีตคนจีนพูดเรื่องการไปมาไร้ร่องรอย  มีอาจารย์ชี่กงหลายคนจากที่ตรงนี้ไปถึงที่ตรงนั้น   ห่างไกลกันนับพันลี้ก็เพียงไม่กี่วินาทีก็ถึงแล้ว  ทำไมเขาทำเช่นนี้ได้ละ  แน่ละมีสิ่งที่ไม่ทราบกันมากมาย ที่ต้องพูดวิเคราะห์อย่างละเอียด  วันนี้ข้าพเจ้าจะไม่พูดให้ละเอียด  ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดว่าการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ที่ต่างกันจะนำมาซึ่งสภาพการณ์ที่ต่างกัน  พูดว่าท่านมีเครื่องบิน  ในสามชั่วโมง ท่านบินจากฮ่องกงถึงสิงคโปร์   เช่นนั้นเขานั่งอยู่ตรงนั้นเขาก็ลอยขึ้นมาแล้ว  บางทีแค่สิบกว่านาทีเขาก็ลอยข้ามมาแล้ว  เขาก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องจักรกลที่ทึมทึกอย่างนี้  พูดขึ้นมาเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่นิยายอาหรับราตรีอะไร  มีผู้คนไม่น้อยในเวลานี้ เรื่องราวที่ไม่มีทางจะอธิบายได้นั้นก็ค่อยๆถูกวิทยาศาสตร์พิสูจน์ยืนยันได้แล้ว  ก็คือสามารถบรรลุถึงสภาวะเช่นนี้ได้  ท่านไม่อาจจะยืนอยู่บนวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไปรับรู้วิทยาศาสตร์อีกแนวทางหนึ่งได้

แน่ละชี่กงนั้นหากใช้ศัพท์ของยุคนี้พูดขึ้นมา มันก็คือวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง  และยังเป็นวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ยิ่งกว่า ชั้นสูงยิ่งกว่าด้วย   มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่กล้าออกมายืนยันสรีระศาสตร์  วิทยาศาสตร์เก่าแก่ เพราะว่าพวกเขาต่างมองเห็นปรากฏการณ์ชนิดนี้ของชี่กงที่คงอยู่อย่างแท้จริง 

แน่ละก็มีคนคัดค้านการคงอยู่ของชี่กง  ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงที่กำลังนั่งอยู่นี่  ข้าพเจ้าสามารถบอกทุกท่าน เมื่อท่านแนะนำผู้อื่นมาฝึกฝ่าหลุนกงนั้น  อาจจะมีคนที่ไม่เชื่อหรือกระทั่งต่อต้าน  นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก   เพราะอะไรหรือ  เพราะสังคมมนุษย์ก็มีความขัดแย้งอย่างนี้ดำรงอยู่  ถ้าทุกๆคนต่างเชื่อถือชี่กง  ทุกๆคนต่างเชื่อในพุทธธรรม  ทุกๆคนต่างก็สามารถจะบำเพ็ญได้  เช่นนั้นสังคมมนุษย์ก็จะไม่คงอยู่ต่อไปแล้ว  ล้วนเป็นชาวสวรรค์  ล้วนเป็นเทพแล้ว   ก็เพราะว่ามีผู้ที่ต่อต้าน มีผู้ที่สนับสนุน  มีผู้ที่เชื่อ  มีผู้ที่ไม่เชื่อ  ประกอบกันเป็นสังคมหนึ่งที่ขัดแย้งตามหลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกัน  ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงานอะไร  รวมทั้งเรื่องราวทั้งหมดของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ก็ล้วนมีองค์ประกอบสองด้าน บวกและลบชนิดนี้คงอยู่ในเวลาเดียวกัน  ท่านคิดจะทำเรื่องดีสักเรื่องหนึ่ง  เช่นนั้นก็รับรองได้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่ดีรอคอยท่านอยู่   ท่านต้องทะลวงผ่านความยากลำบากนี้ไปจึงจะสามารถทำเรื่องที่ดีนั้นได้สำเร็จ แน่ละหากคนคิดจะทำเรื่องชั่วสักเรื่องก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน  ก็มีกฎหมายของประเทศ  มีคนดีกำลังรออยู่  ดังนั้นมันจึงคงอยู่อย่างนี้  นี่ล้วนเป็นเรื่องปกติ  เพราะในจักรวาลนี้  มีสสารสองชนิดที่มีธาตุแท้ต่างกันซึ่งเป็นปฏิปักษ์กันคงอยู่  หลังจากพัฒนาลงมาแล้วก็เกิดเป็นทฤษฎีไท่จี๋  หนึ่งอิน หนึ่งหยาง  เมื่อพัฒนาลงมาอีก  จึงปรากฏหลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกัน  หลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกันนี้  ซึ่งปรากฏออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญก็จะโด่ดเด่นที่สุด  ดังนั้นวิทยาศาสตร์เก่าแก่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงเมื่อสักครู่  ก็อาจจะมีคนที่ไม่เชื่อ และมีคนที่เชื่อ  รวมทั้งการบำเพ็ญฝอฝ่านี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดออกมาในวันนี้ มีคนที่สนับสนุนและมีคนที่คัดค้าน  นี่ก็เป็นเรื่องปกติทั้งนั้น  ต่อไปทุกท่านล้วนจะพบกับเรื่องอย่างนี้  ข้าพเจ้าคิดว่า ก็ไม่มีอะไรที่น่าแปลกประหลาดน่าตกใจ

เมื่อครู่ก่อนที่จะพูดถึงประวัติศาสตร์ของฝ่าหลุนกง ข้าพเจ้าก็ได้พูดขยายความไปอีกก้าวหนึ่งเสียมากมาย  บรรดาชี่กงที่ผู้คนรู้จักกันในวันนี้   มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่  รวมทั้งฝ่าหลุนกง  ก็เป็นวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์  ไม่ใช่วันนี้หลี่ หง จื้อ นึกสนุกขึ้นมา จึงแต่งของอะไรหนึ่งชุดออกมาถ่ายทอดให้ทุกท่าน   เช่นนั้นก็คือการทำร้ายคน  ปัจจุบันมีอาจารย์ชี่กงปลอมไม่น้อยหลอกลวงคน  ทำร้ายคน ทำร้ายตัวเอง  เนื่องจากในสภาพการณ์ทั่วไป เมื่อปล่อยพลังออกมามันจะไม่เดินอยู่ในมิตินี้  ตาเนื้อของคนจะมองไม่เห็น  ดังนั้นจึงมีชี่กงปลอมมากมายหลอกลวงคน  ตาปลาและไข่มุกปะปนกัน  จนเกิดสภาพจริงๆเท็จๆ   เดิมทีก็มีผู้ที่ไม่เชื่อชี่กง  จึงยิ่งต่อต้านชี่กง  โดยเฉพาะศีลธรรมของคนยุคนี้ใช้ไม่ได้แล้ว  เรื่องอะไรก็มีทั้งจริงทั้งเท็จ   สินค้าต่างๆก็มีของปลอม  นับประสาอะไรกับชี่กงละ  แน่ละชี่กงนั้นไม่อาจแต่งของอะไรชุดหนึ่งออกมาหลอกลวงคนได้ตามอำเภอใจ  เช่นนี้จะทำร้ายคน  และทำร้ายตนเอง  เพราะผู้ที่หลอกลวงนั้นก็ไม่รู้ว่าข้างในนั้นสามารถฝึกของอะไรออกมาได้  แน่ละ อะไรก็ฝึกออกมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  ถ้าฝึกของอะไรออกมาได้จริงๆ  ไม่แน่ว่า ก็จะทำให้คนตกอยู่ในสภาพที่อันตรายมาก  นี่คืออันตรายที่ชี่กงปลอมนำมาสู่คน

เช่นนั้นฝ่าหลุนกงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร  เกิดขึ้นเมื่อไร  เมื่อสืบสาวเรื่องราวขึ้นมาก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเหลือเกินแล้วจริงๆ  คนธรรมดาสามัญฟังแล้วจะรู้สึกเหลือเชื่อมาก  เรื่องเหล่านี้ในตอนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ขอพูด พวกท่านจะค่อยๆทราบได้  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์  ฝ่าหลุนกงเคยเป็นฝอฝ่าที่สำคัญเคยช่วยเหลือคนอยู่บนโลกมาก่อน  ก็เหมือนกับเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีก่อนที่องค์ศากยมุนีช่วยเหลือคนในเวลานั้น  เคยอยู่บนโลกช่วยเหลือสรรพชีวิตอย่างกว้างขวาง  เป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากไม่ได้เปิดเผยให้แก่คน  ประวัติศาสตร์ช่างยาวนานเหลือเกินแล้ว   โดยเฉพาะคือคนในโลกปัจจุบันก็ยิ่งไม่รู้แล้ว  ประวัติศาสตร์ของฝ่าหลุนกงนั้นยาวนานมาก เนิ่นนานมากแล้ว

วันนี้เหตุใดจึงสามารถถ่ายทอดเขาออกมาได้ละ  แน่ละข้าพเจ้าได้แต่พูดจากสภาพการณ์ชั้นผิวที่สุด ตื้นเขินที่สุด  ข้าพเจ้ามองเห็นสภาพการณ์อย่างหนึ่งแล้ว  สภาพการณ์อะไรหรือ  ก็คือพร้อมกับที่สังคมมนุษย์มีความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุ  กับการก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์  ศีลธรรมของมนุษย์กลับกำลังลื่นไถลอย่างมาก เพราะคนปัจจุบันต่างก็เชื่อในวิทยาศาสตร์  เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันคือสัจธรรม  แต่ผู้คนกลับมิได้คิดถึงปัญหาหนึ่ง  คือวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์แบบ  ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจรับรู้ได้   และยังมีสิ่งต่างๆมากมายล้วนถูกวิทยาศาสตร์ปัดทิ้งไป  และมีคนที่ดื้อรั้นมากมายอาศัยวิทยาศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้มาโจมตีปรากฏการณ์ที่ผู้คนเชื่อถือ แต่ใช้วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้  ในขณะที่ปรากฏการณ์ที่ไม่แจ้งชัดเหล่านี้ที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้  มันกลับสะท้อนมาถึงมิตินี้ของสังคมมนุษย์ที่คงอยู่จริง    วิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่กล้ายอมรับมัน  เนื่องจากวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ คนมากมายที่เชื่อวิทยาศาสตร์จึงยึดถือทัศนคติแบบเดียวกันนี้มาคัดค้าน  แต่วิทยาศาสตร์นี้ไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ  อาทิเช่น  หลายพันปีมาแล้ว ผู้คนต่างพูดถึงเรื่องกุศล  เดี๋ยวนี้คนมากมายต่างรู้สึกว่ากุศลนี้หรือ ก็คือสิ่งที่อยู่ในความนึกคิดของคน  คือจิตสำนึกที่ดีงามอย่างหนึ่งในสมองของคน  เป็นข้อกำหนดด้านจิตใจชนิดหนึ่งต่อคน  ไม่ได้คิดไปไกลกว่านี้  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  สิ่งใดๆในจักรวาลล้วนประกอบขึ้นมาจากสสาร  ดังนั้นจึงมีองค์ประกอบของมันดำรงอยู่ได้  คุณธรรมนี้เป็นสสารที่คงอยู่อย่างแท้จริง  คือการแสดงออกมาของสสารที่คงอยู่อย่างแท้จริง   ในอดีตชาวตะวันออก โดยเฉพาะคือในประเทศจีน  คนเฒ่าคนแก่พูดว่า  สะสมกุศล  สะสมกุศล  คนหนุ่มสาวไม่เข้าใจ  ทำไมต้องสะสมกุศลหรือ  สะสมกุศลอะไรกัน  สิ่งที่ไร้รูปนี้ไปสะสมได้อย่างไร  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  มันมีรูป  เพียงแต่ตาคนมองไม่เห็นมัน  มันคงอยู่ในอีกมิติ  แต่มันกลับอยู่ที่นั่นตลอดเวลา  ท่านทำเรื่องดีท่านก็จะมีกุศลสะสมอยู่  ท่านทนทุกข์แล้ว  ท่านก็จะมีกุศลสะสมอยู่  เช่นนั้นมันจะตามคนไปทุกภพทุกชาติ มันกำหนดผลบุญของท่านในอนาคต  ด้วยเหตุนี้บางคนสามารถเป็นข้าราชการระดับสูง  ด้วยเหตุนี้บางคนจะร่ำรวยมาก  ด้วยเหตุนี้ บางคนจะทำการค้าใหญ่โตได้สำเร็จ  นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนนี้หรือภพก่อนท่านสะสมกุศลไว้แล้ว  ภพนี้ได้รับผลบุญ  เช่นนั้นเหตุใดมีคนมากมายชีวิตเขาไม่ร่ำรวยอย่างนั้นเหมือนกับคนอื่น  เพราะกุศลของเขาไม่ได้มีมากอย่างนั้นเหมือนคนอื่น ไม่ได้สะสมมากอย่างนี้  ก็คือสาเหตุนี้  ดังนั้นกุศลนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง   เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงความไม่สมบูรณ์แบบของวิทยาศาสตร์  ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ทะลวงไม่พ้นมิติวัตถุที่มีอยู่นี้ของมนุษย์  ไม่อาจรับรู้ถึงอีกมิติ  แต่ปัจจุบันก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่พิเศษ ที่น่าทึ่งมากมาย สามารถรับรู้ได้แล้วว่า มีมิติเวลาอื่นคงอยู่  แม้ว่าจะทะลวงไม่พ้น  แต่โดยทฤษฎีก็มีคำอธิบายคร่าวๆแล้ว  และมีการตั้งคำถามอย่างนี้ขึ้นมา  พวกเขาเข้าใจว่ามีมิติเวลาอื่นคงอยู่  เช่นนั้นมิติเวลานั้นมีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือไม่นะ  ชีวิตของมันเป็นอย่างไร  รูปแบบที่คงอยู่เป็นอย่างไร  กาลเวลาในมิติของมันกับกาลเวลาในมิติของเรานี้มีอะไรแตกต่างกันนะ แนวคิดของมิติของมัน  รูปลักษณ์ของชีวิต  รูปแบบของวัตถุเป็นอย่างไร  เรื่องนี้กล่าวสำหรับวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในปัจจุบัน ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่รู้เลย  วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่ยอมรับว่ามีมิติอื่นคงอยู่  วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่ยอมรับว่ามีกุศลคงอยู่  เช่นนั้นทุกท่านคิดดู  มนุษย์เชื่อวิทยาศาสตร์เหลือเกินแล้ว สิ่งที่มันไม่ยอมรับคนก็จะไม่เชื่อ  นี่มันมิใช่กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ศีลธรรมของมนุษย์ลื่นไถลลงไปอย่างมากหรอกหรือ  เนื่องจากพอมนุษย์เอ่ยถึงเรื่องกุศล  ท่านต้องสะสมกุศลนะ เน้นกุศลนะ  คนมากมายที่มีจิตสำนึกแบบปัจจุบันก็จะพูดว่า ท่านพูดเรื่องงมงาย  นั่นเป็นเรื่องงมงายทั้งนั้น  พวกเราเชื่อวิทยาศาสตร์  ไม่เชื่อเรื่องงมงายพวกนี้  ทุกท่านดู  นี่กำลังใช้กระบองวิทยาศาสตร์นี้ ตีสิ่งที่เป็นธาตุแท้ที่สุดของคนแล้ว   เช่นนั้นท่านสามารถพูดได้หรือว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ  เมื่อครู่ได้พูดถึงการดำรงชีพทางวัตถุของมนุษย์นั้นอุดมสมบูรณ์มาก   แต่เหตุใดทัศนคติด้านศีลธรรมกำลังลื่นไถลลงอย่างมากละ  ก็เพราะวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ถึงการคงอยู่ของมิติอื่นกับชีวิตชั้นสูง  พิสูจน์ไม่ได้ว่ามนุษย์มีการเวียนว่ายตายเกิดและกรรมสนอง  พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีกุศลดำรงอยู่    ดังนั้นผู้คนจึงกล้าทำเรื่องชั่ว  คนมากมายยุคปัจจุบันเข้าใจว่า “นี่ล้วนเป็นเรื่องงมงายใช่ไหมละ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์” ไม่เชื่อการคงอยู่ของเทพ  ดังนั้นคนจึงกล้าทำเรื่องชั่ว  ไม่เชื่อว่ามีการกรรมสนอง  คิดว่านี่ล้วนเป็นเรื่องงมงาย   นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดที่นำมาโดยวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ที่ไม่สมบูรณ์แบบ

เพราะข้าพเจ้าคิดถึงไหนก็พูดถึงนั่น  เมื่อครู่พูดถึงความเป็นมาของฝ่าหลุนกง  จึงพูดขยายความไปถึงปัญหานี้

มีสิ่งต่างๆมากมายที่พูดคุยกันอยู่ในวงการบำเพ็ญ  ซึ่งสังคมคนธรรมดาสามัญไม่สามารถพูดได้  แต่ในสังคมคนธรรมดาสามัญก็มีคนมากมาย  รู้จักบางสิ่งจากการได้ยินได้เห็น   มองเห็นโดยบังเอิญหรือรู้สึกได้ถึงปรากฏการณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้  และอาจจะสัมผัสปรากฏการณ์พิเศษบางอย่างได้โดยบังเอิญ  แต่ว่า  ไม่มีใครไปพิสูจน์มัน  ไปวิจัยค้นคว้ามันอย่างเป็นระบบ

เมื่อครู่มีผู้ฝึกได้ขึ้นเวทีพูดแล้วว่าฝ่าชุดนี้มีค่ายิ่งนัก   ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็พูดให้ทุกท่านฟังมากมายอย่างนี้แล้ว คนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่เชื่อท่านลองไปพลิกๆ “จ้วนฝ่าหลุน”เล่มนี้ดูก็จะเข้าใจได้  “จ้วนฝ่าหลุน”คือหลักการของฝ่า  แน่ละฝ่านั้นถ่ายทอดให้กับผู้บำเพ็ญ  เมื่อพูดถึงการบำเพ็ญ  คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่ายากมาก  ที่แท้การบำเพ็ญโดยตัวเองนั้นไม่ยาก  การปล่อยวางจิตมนุษย์  ปล่อยวางจิตยึดติดของคนต่างหากที่ยากที่สุด  อะไรคือจิตของคนธรรมดาสามัญละ  อาทิเช่นในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ก่อนอื่นต้องทำให้ได้ถึงขั้นว่า ถูกตีไม่ตีกลับ  ถูกด่าไม่ด่าตอบ คนธรรมดาสามัญทำไม่ได้  เพราะพวกเขาคือคนธรรมดาสามัญ  ในฐานะผู้บำเพ็ญต้องทำให้ได้  และยังต้องทำให้ได้เมื่อคนอื่นรังแกท่าน ท่านต้องไม่แค้นไม่เคือง  ปฏิบัติต่อด้วยใจที่สงบ  กระทั่งหัวเราะให้หมดสิ้นไปทั้งบุญคุณและความแค้น  กระทั่งเมื่อถูกตีแล้วในใจยังต้องขอบคุณคนที่ตีท่าน  คนธรรมดาสามัญจะรู้สึกว่านี่ไม่อาจจะเข้าใจได้  ทำไมเป็นคนอย่างนี้นะ  ช่างอ่อนแอเกินไปแล้ว  ที่จริง เนื่องจากเมื่อคนอื่นรังแกท่าน เขาก็กำลังให้กุศลแก่ท่าน  ให้กุศลกับท่านจริงๆ  ในจักรวาลนี้มีสสารขนาดมหึมามากมายที่ตาเนื้อของคนมองไม่เห็นคงอยู่  ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถค้นพบ  สสารขนาดมหึมาที่จุลทรรศน์ลงไปอีกจำนวนมากมายนี้  พวกมันนั้นล้วนมีจิตวิญญาณ มีชีวิต  พวกมันกำลังควบคุมชีวิตทั้งปวงที่ต่ำกว่าพวกมัน  ในขณะเดียวกันก็กำลังสร้างดุลยภาพให้กับทุกสิ่งในจักรวาลโดยรวม  และจักรวาลนี้มีหลักการหนึ่งเรียกว่า ไม่เสียก็จะไม่ได้  จะได้ก็ต้องเสีย  ฉะนั้นหากคนอยากจะได้อะไร ก็ต้องแลกเปลี่ยน  นั่นจึงเรียกว่าได้และเสีย  เสียอย่างไรละ  ในมิตินี้    คนธรรมดาสามัญไม่สามารถมองเห็นได้  แต่บางครั้งอาจรู้สึกได้ คนทั่วไปจะได้สิ่งที่ต้องการได้จากการทุ่มเทขยันขันแข็งอย่างยากลำบาก   หากไม่คิดจะทุ่มเทความพยายามแต่ใช้กำลังให้ได้มา เทพก็จะทำให้เขาต้องทุ่มเทความพยายาม  อาทิเช่นบางคนแย่งชิงของๆคนอื่น  บางคนทุบตีคน  นี่คือการที่คนคิดจะใช้กำลังให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่จับต้องได้และทางด้านจิตใจ  จึงไม่คิดจะชดเชยกลับคืนให้  แต่จักรวาลนี้มันจะให้ผู้ที่ใช้กำลังให้ได้มา  ต้องชดใช้คืน  ไม่อยากจะเสียก็ต้องเสีย  เสียอย่างไรหรือ  ที่ฝั่งนี้ท่านตีคนอื่น รังแกคนอื่น หรือครอบครองสิ่งของๆคนอื่น  ดังนั้นท่านได้มามากเท่าไร  ในอีกมิติหนี่ง กุศลภายในขอบเขตของตัวท่านเองจะบินข้ามไปให้ฝ่ายตรงข้ามมากเท่านั้น  และกุศลนี้สามารถเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์กับเงินทอง  หรือพูดได้ว่าเมื่อคนถูกบังคับให้สูญเสียสิ่งของ  ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องชดเชยคืนให้  จุดนี้คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น  ดังนั้นจึงกล้าทำเรื่องไม่ดี  คนมากมายทำการค้าถูกหลอกลวงแล้ว หรือถูกบังคับให้เสียอะไรไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะตนเองทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีแล้วเสียกุศล  ผ่านไประยะหนึ่ง  ยังสามารถได้มาซึ่งการชดเชยที่เท่าเทียมกัน นั่นก็คือผู้ที่ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อผู้อื่น   ถูกบังคับให้ชดใช้คืน  แต่คนมักคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ หรือได้มาจากความขยันของตนเอง  คนมองไม่เห็นสาเหตุที่แท้จริง   ที่นี่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่ากุศลนั้นมีค่าอย่างยิ่ง  มันสามารถผันแปรเป็นสิ่งของต่างๆ  คนยุคนี้ไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้  เพราะวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้  นี่ก็คือสาเหตุประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดการลื่นไถลลงอย่างมากของมาตรฐานศีลธรรมมนุษย์  แต่สสารมากมายมหาศาลของจักรวาลนี้ กับชีวิตชั้นสูง  กำลังจัดความสัมพันธ์ของจักรวาลนี้ให้สมดุลอยู่จริงๆ  ท่านสูญเสียสิ่งที่ไม่ควรสูญเสียท่านก็จะได้รับการชดเชย ผลตอบแทน  คนคิดที่จะไม่ยอมเสียก็ไม่ได้  เพราะเขาอยู่ฝั่งนั้นบังเกิดผลโดยตรง  นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่ง่ายๆ  ที่จริงผู้ที่ถูกทำร้ายยังจะได้รับมากกว่าเสียอีก  ดังนั้นบางครั้งข้าพเจ้าบอกว่าคนทนทุกข์สักหน่อย  ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี  ในอดีตคนแก่นั้น โดยเฉพาะคนแก่ในประเทศจีนล้วนพูดกันว่า  ตอนนี้ทนทุกข์สักหน่อยในอนาคตจะดี  เป็นหลักการอย่างนี้  พระเยซูตรัสว่า เมื่อคนอื่นตบแก้มซ้ายของท่าน ท่านก็หันแก้มขวาให้เขาตบด้วย  บางคนก็ไม่เข้าใจ  ที่จริงปัจจุบันสาวกนิกายโรมันคาธอลิก  กับสาวกคริสเตียนล้วนไม่เข้าใจ หากพูดตามหลักเหตุผล  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  พระเยซูตรัสเพียงเปลือกนอก  หาได้ตรัสถึงความนัยที่ลึกซึ้งลงไปกว่านี้  ก็คือพูดว่า  เมื่อเขาตบแก้มท่านที่ข้างนี้  เขาได้ให้กุศลแก่ท่าน และช่วยท่านสลายบาปกรรม  ดังนั้นคนที่ตบ  ความโกรธยังออกไม่หมด ท่านยื่นแก้มอีกข้างให้เขาตบแก้มข้างนั้น  เขามิใช่ช่วยท่านสลายกรรมและยังให้กุศลท่านอีกด้วยหรอกหรือ  ในท่ามกลางความเจ็บปวดของท่าน กรรมของตัวท่านเองก็จะสลายไป  คนต่างก่อกรรม  บางคนเคยฆ่าชีวิต รังแกคน  ด่าคน  เกลียดชังใครหรือเคยทำเรื่องไม่ดีเป็นต้น  ล้วนเป็นการก่อกรรม  นี่เป็นสสารสีดำอย่างหนึ่ง และคงอยู่รอบตัวคน   มันกำหนดความเจ็บปวดและโรคภัยของคนๆหนึ่ง หรือประสบกับความยุ่งยากอะไร  ทำการค้าไม่สำเร็จ  ถูกคนตีหรือด่าเป็นต้น ความเจ็บปวดต่างๆ นานา  ล้วนเกิดจากกรรม  เวลาที่ใครตีท่าน  รังแกท่าน  คนที่ตีท่านไม่เพียงให้กุศลแก่ท่าน  ในขณะที่ท่านได้รับความเจ็บปวด กรรมสีดำของท่านนี้ก็สามารถผันแปรเป็นกุศล  นี่คือการได้ทีเดียวสองต่อ  ในฐานะคนธรรมดาสามัญเขาสามารถจะได้ทีเดียวสองต่อพร้อมกัน แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญ  นี่คือด่านที่ต้องข้ามไป    ในขณะที่ได้รับความเจ็บปวด หากข้ามด่านไปได้ด้วยดี        ซินซิ่งจะยกระดับขึ้น  และการยกระดับของซินซิ่งก็คือการยกระดับของระดับชั้น  ดังนั้นพลังก็จะเพิ่มขึ้นมา  กุศลก็จะผันแปรเป็นพลัง  หลักการนั้นข้าพเจ้าได้พูดโดยกระจ่างไปแล้ว  แต่ในการบำเพ็ญจริง ยังจะต้องดูตัวพวกท่านเอง

ที่จริงข้าพเจ้าไม่เพียงแต่ถ่ายทอดฝ่า  ข้าพเจ้ายังทำเรื่องหนึ่งที่คนในอดีตไม่เคยทำมาก่อน  ข้าพเจ้าได้ให้บันไดสู่สวรรค์ชุดหนึ่งไว้ให้กับคนอย่างแท้จริง  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญไปตามต้าฝ่าชุดนี้  รับรองว่าท่านสามารถจะหยวนหมั่นได้  ฝ่าชุดนี้คนในอดีตไม่เคยมีใครบรรยายมาก่อน  โดยเฉพาะคือในหมู่มนุษย์   ถ้าไม่เชื่อท่านลองพลิกงานเขียนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันทั้งหมดทั้งในและนอกประเทศ “เต้าเต๋อจิง” “คำภีร์ไบเบิ้ล” “คัมภีร์พุทธ” ล้วนไม่ได้บรรยายฝ่าโดยเปิดเผยความลับสวรรค์ทั้งหมดอย่างนี้

องค์ศากยมุนีเป็นพระพุทธ   ผู้คนเข้าใจว่าองค์ศากยมุนีพุทธทรงเหลือพุทธธรรมไว้ให้ แต่องค์ศากยมุนีเองกลับตรัสว่า  ชั่วชีวิตข้าพเจ้าไม่ได้เหลือหลักธรรมอะไรไว้  คนไม่เข้าใจความหมายที่พระองค์ตรัสว่าคืออะไร  นิกายเซน(ฉันจง)จึงเข้าใจว่าไม่มีหลักธรรม องค์ศากยมุนีไม่ได้เหลือพุทธธรรมไว้ให้เลย  ใครที่พูดออกมาล้วนไม่ใช่พุทธธรรม  ไม่สามารถพูดได้  พอพูดออกมาก็ไม่ใช่พุทธธรรมแล้ว  ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิง  เช่นนั้น คำพูดนี้ที่องค์ศากยุมนีตรัสทรงหมายความว่าอะไรละ องค์ศากยมุนีเป็นเทพ พระองค์จุติลงมาในสังคมคนธรรมดาสามัญเพื่อช่วยเหลือคน  หลังจากหยวนหมั่นก็เป็นพระพุทธ  คำพูดของพระองค์มีความเป็นพุทธ   แม้สิ่งที่พระองค์ตรัสไม่ใช่พุทธธรรมของการบำเพ็ญอย่างเป็นระบบ   ภาษาที่มีความเป็นพุทธก็คือหลักการของธรรม ณ ระดับชั้นนั้น แต่มันก็ไม่ใช่แก่นแท้ของหลักธรรมของจักรวาลที่เป็นระบบ   ที่จริงคัมภีร์ที่คนรุ่นหลังจัดทำก็ขาดหายเป็นห้วงๆ  ไม่เป็นระบบ  เป็นอย่างนี้จริงๆ    สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนองค์ศากยมุนีตรัสให้กับคนในเวลานั้นโดยเฉพาะ และองค์ศากยมุนีพุทธก็ทรงเห็นสภาพการณ์ของมนุษย์ในวันนี้แล้ว   ดังนั้นที่องค์ศากยมุนีพุทธตรัสในเวลานั้นว่า หลักธรรมของพระองค์ในยุคธรรมปลายจะใช้ไม่ได้แล้ว  ที่จริงคนปัจจุบันต่างก็ไม่เข้าใจสิ่งที่องค์ศากยมุนีพุทธตรัสแล้ว

รวมทั้ง “คัมภีร์ไบเบิ้ล” ของศาสนาทางตะวันตก  คนปัจจุบันก็ไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆแล้ว  เพราะความคิดของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนจนสลับซับซ้อนมากแล้ว  คนเข้าใจว่าอย่างนี้  เข้าใจว่าอย่างนั้น  ล้วนใช้ความรู้สึกกับผลประโยชน์ที่เห็นตรงหน้าไปทำความเข้าใจ ความนัยที่แท้จริงนั้นคนปัจจุบันกลับไม่สามารถเข้าใจได้

 ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน “จ้วนฝ่าหลุน” หนังสือเล่มนี้มีค่าจริงๆ  หนังสือใดๆของมนุษย์ล้วนไม่อาจเปรียบเทียบได้  เพราะมันเป็นหนังสือของการบำเพ็ญเล่มหนึ่ง   เป็นฝ่าที่เข้มงวดมาก  ซึ่งสามารถชี้นำคนให้หยวนหมั่นได้  เมื่อครู่มีคนบอกว่า “จ้วนฝ่าหลุน”หนังสือเล่มนี้เมื่อหยิบขึ้นมาอ่าน แต่ละตัวอักษรล้วนพร่างพราวด้วยแสงสีทอง  ข้าพเจ้าคิดว่า หากทุกท่านสามารถยืนหยัดบำเพ็ญต่อไป  สามารถก้าวหน้าตลอดไปจนกระทั่งหยวนหมั่น  เช่นนั้นในระหว่างขั้นตอนที่ท่านก้าวหน้าไป  ในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญของท่าน  ท่านจะเห็นได้  ซาบซึ้งเข้าใจได้  ในสิ่งต่างๆมากมายที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น ซาบซึ้งไม่ได้ในความรู้สึกและทัศนียภาพ  ในเวลานั้นท่านจะพบว่า หนังสือเล่มนี้ที่แท้แล้วคืออะไรนะ  ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่พูดอย่างไรล้วนเป็นการพูดของข้าพเจ้า  พูดมากไปฟังแล้วเหลือเชื่อมาก  ข้าพเจ้าคิดว่า พวกท่านไปอู้(รับรู้)เอง  ไปพิสูจน์เองจะดีกว่า  ข้าพเจ้าเพียงต้องการจะบอกทุกท่าน  ฝ่านี้มีค่าอย่างยิ่ง

    ในเวลานั้นที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าชุดนี้  มีชีวิตชั้นสูง กับผู้รู้แจ้งใหญ่มากมาย ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าถ่ายทอด  พูดว่าศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับนี้แล้ว  ท่านยังนำสิ่งที่ดีเช่นนี้ออกมา  ตอนที่มนุษย์อยู่ในยุคสมัยที่ดีที่สุดท่านก็ไม่นำออกมาถ่ายทอด  ตอนนี้ท่านยังจะนำออกมาถ่ายทอดหรือ  เทพล้วนแต่คิดกันอยู่อย่างนี้

    ทุกท่านคิดดู  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องกรรมกับกุศล กรรมกับกุศลนั้นติดตามคนไปเกิด  ชีวิตคนอยู่ในโลกอะไรก็เอาไปไม่ได้  มีเพียงสิ่งเหล่านี้ที่ติดตามคนไปเวียนว่ายตายเกิด  พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิด  ข้าพเจ้าจะบอกพวกท่าน  ในศาสนาพูดว่าหลังจากคนตายแล้วจะไปสู่มิติอื่น  โดยเฉพาะคือในศาสนาตะวันออก  ล้วนพูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดหกทาง  คนนั้นสามารถกลับชาติไปเกิดได้จริงๆ  นี่คือเรื่องจริง  ในวงการบำเพ็ญนั้นไร้ข้อสงสัย  ทุกท่านต่างเห็นได้ชัดเจน  ทำไมสามารถกลับชาติไปเกิดได้ละ และมีบางคนพูดว่า  คนตายแล้วก็ไม่ใช่ตายไปเลยหรือ  ที่ตายนั้นคือส่วนที่เติบโตจากการกินอาหารของมนุษย์หลังกำเนิด   แต่ชีวิตคนนั้นไม่ได้ตายไป

    หากพูดโดยใช้รูปแบบที่มนุษย์ปัจจุบันสามารถเข้าใจได้  ทุกท่านคิดดู  ร่างกายคนเป็นโครงสร้างของสสารชั้นผิวที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุล  จุดนี้ใครก็ทราบทั้งนั้น  อากาศธาตุที่ล้อมรอบโลก  ไม้ รวมทั้งวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ เหล็กกล้า ล้วนเป็นสสารชั้นผิวที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุลที่ต่างกัน   และโมเลกุลก็ประกอบขึ้นมาจากอะตอม   อะตอมก็ประกอบขึ้นมาจากนิวตรอน อิเลคตรอน  นิวเคลียสอะตอม  เมื่อตรวจสอบนิวเคลียสอะตอมลงไปอีกละ ก็เป็นควาร์กที่ประกอบขึ้นเป็นนิวเคลียสอะตอม  เช่นนั้นนิวเคลียสอะตอมก็ประกอบขึ้นจากนิวทรีโนด้วย  แต่สืบหาลงไปอีก  คนก็ไม่รู้อะไรแล้ว  ที่จริงในเวลาที่คนตายก็เพียงแต่กายเนื้อในมิติสสารชั้นผิวที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุลหลุดลอกไปแล้วเท่านั้น  เหมือนการถอดเสื้อผ้าทิ้งแล้ว   ทว่าร่างกายส่วนที่ประกอบขึ้นจากอะตอม  นิวเคลียสอะตอม หรือสสารที่เล็กกว่าควาร์ก  ไม่ได้ตายไปแต่อย่างใด และไม่อาจตายไปตามการตายของชั้นผิวของคน  ทุกท่านคิดดู  ในเวลาที่นิวเคลียสอะตอมแตกตัว ก็คือระเบิดนิวเคลียร์   เวลาที่คนตายไปจะมีพลังงานมากอย่างนั้นที่สามารถทำให้นิวเคลียสอะตอมแตกตัวได้หรือ    หากวิทยาศาสตร์ปัจจุบันคิดจะทำให้นิวเคลียสอะตอมแตกตัว  จะต้องมีพลังงานความร้อนมหาศาล และพลังปะทะที่รุนแรงมากจึงจะทำให้นิวเคลียสอะตอมแตกตัวได้  ร่างกายของคนธรรมดาสามัญจะมีพลังงานมากขนาดนั้นที่สามารถทำให้มันแตกออกได้หรือ   และอุณหภูมิของไฟในสถานที่เผาศพนั้นย่อมไม่อาจทำให้นิวเคลียสอะตอมแตกตัวได้อย่างเด็ดขาด  หรือพูดว่าสสารที่เล็กยิ่งกว่าที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายคนนั้น  ไฟในเตาเผาศพย่อมไม่อาจทำลายได้เลย ถ้ามันสามารถทำให้นิวเคลียสอะตอมของร่างกายท่านแตกตัวได้จริง นั่นก็คือระเบิดปรมาณู    หากนิวเคลียสอะตอมที่คงอยู่ของร่างกายคนๆหนึ่งระเบิดออกแล้ว  ก็จะทำลายเมืองขนาดใหญ่มากเมืองหนึ่งได้  อะตอมใช่ไหม พลังงานนั้นมหาศาลมาก  เหตุใดไม่เกิดเรื่องชนิดนี้ละ  ก็พูดได้ชัดว่า ส่วนประกอบของอะตอมในร่างกายคนนั้นไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใดเลย

    ทุกท่านทราบว่า กล่าวสำหรับคนแล้ว นิวเคลียสอะตอม กับอะตอมนั้นมีคุณสมบัติของการแผ่รังสีที่รุนแรงมาก  หรือพูดว่ามันเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง  ที่จริงสสารที่เล็กยิ่งกว่า ลักษณะการแผ่พลังงานรังสีของควาร์ก จะมากยิ่งกว่าลักษณะการแผ่รังสีของนิวเคลียสอะตอม  ดังนั้นลักษณะการแผ่รังสีของนิวทรีโน่ ก็ยิ่งมากกว่าควาร์กไม่รู้กี่เท่า  ยิ่งเล็กลงไปพลังงานของอนุภาคยิ่งมาก  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านพลังกงที่พวกท่านฝึกนั้น ข้างในมีอะตอม นิวตรอน เรื่อยไปจนถึงสสารที่เล็กยิ่งกว่าซึ่งมีพลังมาก  พลังที่ฝึกออกมาเหตุใดจึงสามารถรักษาโรคได้ละ เหตุใดจึงสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายคนละ  เหตุใดผู้บำเพ็ญสามารถแสดงปาฎิหารย์มากมายออกมาได้ละ  เพราะพลังกับความสามารถนั้น มันประกอบขึ้นมาจากสสารพลังงานระดับสูงยิ่งกว่าอย่างนี้  และสสารเหล่านี้ในการบำเพ็ญเจิ้งฝ่า(ฝ่าที่ถูกต้อง)ล้วนมีชีวิตและคุณสมบัติดั้งเดิมที่ดีงาม มันถูกจิตสำนึกของร่างหลักของผู้บำเพ็ญควบคุมไว้  ถูกความคิดคนบังคับบัญชา  ไม่เหมือนวิธีการที่วิทยาศาสตร์ใช้ทำให้อะตอมแตกตัวซึ่งก่อให้เกิดลักษณะทำลายล้างในลักษณะที่ชั่วร้าย   พลังงานที่แผ่กระจายออกหลังจากการระเบิดของลูกระเบิดปรมาณูนี้ ในปัจจุบันด้วยการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย  ไร้ทิศทาง  เป็นอันตรายต่อคน ต่อชีวิตอื่นๆทั้งหมด  เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมที่คนดำรงอยู่ก็ร้ายแรงมาก แต่พลังงานที่ปล่อยออกมาจากผู้บำเพ็ญนั้นมีจิตสำนึก  สามารถก่อให้เกิดผลทางบวก  สถาบันค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของจีนก็เคยทำการทดสอบ วินิจฉัยประเมินค่าข้าพเจ้า  ในระหว่างที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าอยู่ สสารพลังงานที่ปล่อยออกมานั้นพวกเขาสามารถวัดได้  สถาบันวิจัยค้นคว้าฟิสิกส์ชั้นสูงของจีนมุ่งค้นคว้าเกี่ยวกับฟิสิกส์ชั้นสูง  พวกเขาได้วางอุปกรณ์ไว้ตามมุมทั้งสี่และตรงกลางห้องประชุม บนโต๊ะที่ข้าพเจ้าบรรยายก็วางอุปกรณ์ไว้ด้วย  ในการตรวจวัดพวกเขาพบว่าพลังงานที่ข้าพเจ้าปล่อยออกมานั้นนอกจากประกอบด้วยอะตอมแล้ว ยังประกอบด้วยนิวตรอนมากมายเหลือเกิน  แน่ละเขาก็ตรวจวัดได้เพียงเท่านี้  สสารที่เล็กลงไปกว่านี้ พวกเขาก็ไม่มีอุปกรณ์ที่จะไปวัด  ที่พวกเขารู้สึกแปลกใจก็คือ  สนามพลังที่ข้าพเจ้าปล่อยออกไปนั้นกระจายเสมอกันไปทั่ว  พลังงานมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ  ในการวิจัยวิทยาศาสตร์ปัจจุบันล้วนทราบว่าสสารปรมาณูที่ออกมานั้นมันไร้ทิศทาง  ไม่รู้ว่าแผ่ออกไปถึงที่ไหน  และที่อยู่ใกล้จะแรง  ที่อยู่ไกลจะอ่อน  ในระหว่างที่แผ่เป็นวงกว้างออกไปจะเป็นอันตรายต่อสิ่งของ  แน่ละวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์แบบ  การหลงงมงายต่อมันมากเกินไปเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อมนุษยชาติ

    เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดว่าชีวิตคนไม่อาจตายไปตามการตายของคน  ดังนั้นจิตหลักของคนสามารถหลุดพ้นออกจากการตายของกายเนื้อในมิตินี้ เดิมทีเขาก็อยู่อีกมิติหนึ่ง  ในเวลาที่เกิดก็รวมเป็นร่างเดียวกับร่างคนในมิตินี้  เมื่อร่างในมิตินี้ตายไป  ฉะนั้นจิตหลักจึงหลุดพ้นออกมา ดังนั้นวัฏจักรตายเกิดหกทางที่พูดกันในศาสนาจึงเป็นเรื่องจริง  ชีวิตสามารถกลับชาติไปเกิดในวัฏจักรตายเกิดหกทาง คนสามารถกลับชาติไปเกิดเป็นคนซ้ำอีก  และสามารถไปเกิดเป็นวัตถุ/สสาร  เกิดเป็นสัตว์ กระทั่งเกิดเป็นชีวิตชั้นสูง หรือเกิดเป็นสิ่งอื่นๆ

พุทธศาสนาพูดถึง ทิพยจักษุเอย  ปัญญาจักษุเอย  ธรรมจักษุเอย  พุทธจักษุเอย  ห้าจักษุ  หากเปิดถึงธรรมจักษุ  โลกที่ปรากฏต่อหน้าท่านก็ไม่ใช่หน้าตาอย่างนี้แล้ว  แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรละ  ท่านจะพบว่าตาของท่านสามารถมองทะลุวัตถุใดๆในระดับชั้นของท่านได้  มองเห็นสสารที่เล็กยิ่งกว่า  และยังจะพบว่าวัตถุใดๆล้วนแต่มีชีวิต  เมื่อวัตถุนั้นพบว่าท่านสามารถมองเห็นเขา  มันก็จะติดต่อสื่อสารกับท่าน  ใช้ภาษาสื่อสาร  ใช้ความคิดนึกสื่อสาร  คนธรรมดาสามัญบางคนจะรู้สึกว่าเป็นนิทานอาหรับราตรี  พูดเรื่องแปลกประหลาดปาฏิหารย์  แน่ละสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องในวงการบำเพ็ญ  เป็นการพูดกับผู้ฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่า  ทุกท่านล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ  ข้าพเจ้าไม่ได้พูดกับคนธรรมดาสามัญ  และไม่อาจพูดกับคนธรรมดาสามัญตามอำเภอใจ  คนธรรมดาสามัญจำนวนมากไม่เชื่อ

    ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นท่านก็จะพบว่า ชีวิตของวัตถุชนิดใดๆ  ก่อนหน้านั้นเขาอาจเป็นคน ต่อมาตายแล้ว  ก็ไปเกิดเป็นวัตถุชนิดอื่น  พูดถึงตรงนี้ข้าพเจ้าจะพูดสักหน่อยว่า  ในการไปเกิดนั้นคนมีกรรมติดไปด้วย  และมีกุศลติดไปด้วยพร้อมกัน  มนุษย์ปัจจุบันเสื่อมทรามลงตามการเสื่อมทรามลงของศีลธรรม กุศล สสารชนิดนี้ก็ยิ่งน้อยลง  แต่กรรมยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  เนื่องด้วยการกลับชาติไปเกิดในรูปแบบของกันและกันของชีวิต ดังนั้นมองไปแล้ว ในปัจจุบันไม่เพียงแต่บนร่างกายคนจะมีกรรมสีดำคล้ำๆ แม้แต่บนวัตถุสสารก็มีกรรมอยู่ด้วยกันทั้งนั้น  เนื่องจากในเวลาที่ชีวิตอยู่ในวัฏจักรตายเกิดหกทาง จะนำกรรมเหล่านี้ไปด้วย  ดังนั้นวัตถุสสารใดๆล้วนจะมีกรรมอยู่  ล้วนสามารถชักนำให้เกิดโรค  เมื่อกรรมสะท้อนมาถึงมิติของมนุษย์นี้  ก็คือเชื้อไวรัสในระดับจุลทรรศน์  ปัจจุบันกรรมมากเสียจนอะไรๆก็ล้วนแต่มีกรรมอยู่   ทุกท่านทราบว่าในอดีต ชาวนาในประเทศจีน  หากระหว่างที่ทำนาอยู่ในท้องนา  เกิดเป็นแผลที่มือ  ก็จะใช้ดินทาที่ปากแผล  แล้วไม่ไปสนใจมันอีก  ไม่ช้าก็จะหายดี  แต่ดินในทุกวันนี้ท่านอย่าได้ไปแตะมันเข้า  คนธรรมดาสามัญแตะถูกมันนิดเดียว ก็ไม่แน่ว่าจะติดเชื้อเป็นหนองได้   ไม่แน่ว่าจะกลายเป็นโรคบาดทะยักตาย  เพราะอะไรหรือ  นี่ก็เห็นได้ชัดว่าดินในปัจจุบันล้วนมีกรรมอยู่  ดังนั้น หากอยู่ในมิติชั้นสูงหันกลับมามอง  จะเห็นทุกหนแห่งล้วนคือกรรม  เป็นคลื่นสีดำหมุนกลิ้งไป  เพราะตาคนมองไม่เห็น ดังนั้นทุกคนต่างรู้สึกว่ายังดีอยู่

    ทุกท่านทราบโรคระบาดไข้หวัดใหญ่นี้กระมัง  การที่โรคไข้หวัดใหญ่ระบาดได้นั้น   ที่จริงก็เกิดจากกลุ่มกรรมที่มีความหนาแน่นมากหมุนกลิ้งผ่านมา  แต่โรคมะเร็ง  โรคเอดส์เหล่านั้น เป็นต้น คือกรรมแห่งโรคที่มีลักษณะร้ายแรงและมีเป้าหมายเฉพาะ   โรคเอดส์นั้นมีเป้าหมายเจาะจงต่อพวกสำส่อนทางเพศกับพวกรักร่วมเพศ  สิ่งเหล่านี้คือกรรมที่มีความหนาแน่นมากยิ่งกว่า   โดยทั่วไปสถานที่ที่มีกรรมมาก คนก็จะเป็นโรค  กรรมที่มีความหนาแน่นสูงหากเกิดขึ้นที่ใด  ที่นั่นก็จะเกิดโรคระบาด  ณ พื้นที่ตรงนั้นมักจะเป็นเพราะคนก่อกรรมหนักเกินไป

    เหตุใดข้าพเจ้าต้องพูดเรื่องนี้   เพราะข้าพเจ้ามองเห็นศีลธรรมของมนุษย์ลื่นไถลลงอย่างร้ายแรงมาก  หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก  คนก็จะเผชิญกับอันตรายที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น   หากในเวลาที่เทพไม่เห็นว่าคนเป็นคนแล้ว นั่นคืออันตรายจริงๆ  คนมีพฤติกรรมของคน  มีรูปลักษณ์ของคนไม่แน่ว่าจะเป็นคน  ลิงก็มีรูปลักษณ์คล้ายคนนะ   เมื่อคนไม่มีเครื่องชี้วัดทางศีลธรรมของคน   ไม่มีมาตรฐานศีลธรรมของคน   เทพก็ไม่ถือว่าคนเป็นคนแล้ว  เช่นนั้นคนก็จะเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงที่สุด  เพราะเทพเป็นผู้สร้างคน  ดูแลคน  วัฒนธรรมดั้งเดิมของมนุษย์เกิดขึ้นภายใต้เจตนารมณ์ของเทพ  หากคนออกห่างจากมาตรฐานของคน  เทพก็จะขจัดท่าน  ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ในความไม่รู้ คนก็ไหลไปตามกระแสและทำให้ทุกสิ่งเลวลง ให้ตัวเองเลวลง และทำให้สังคมเสื่อมทรามลง  โดยเฉพาะคือทำให้ศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมถอยแล้ว  ปัจจุบันสิ่งที่ปรากฏชัดเจนที่สุดคือวัฒนธรรมที่กลายเป็นมาร จนทำให้อุปนิสัยของคนเปลี่ยนจนชั่วร้าย  ดังนั้นในสังคมจึงเกิดกลุ่มอิทธิพลมืดเอย  เสพยาเสพติด การสำส่อนทางเพศกับรักร่วมเพศ  มนุษย์จมปลักอยู่ท่ามกลางการโกหกหลอกลวงอย่างร้ายแรง เป็นต้น มากมายเหลือเกิน  กระทั่งหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลมืด(มาเฟีย)ก็กลายเป็นที่เคารพยกย่อง  เรื่องมากมายนี้  ทุกท่านคิดดู  มันปกติหรือไม่  ทัศนคติของมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเพียงใดแล้ว  ยังไม่ใช่เพียงแค่สิ่งเหล่านี้นะ  ทุกๆด้าน และอาณาจักรต่างๆของความคิดคนล้วนมีลักษณะมารอยู่   จุดประสงค์ของการถ่ายทอดฝ่าชุดนี้ของข้าพเจ้าก็คือให้คนหลุดพ้นจากความน่ากลัวและอันตรายนี้  ทำให้คนสามารถได้รับการช่วยเหลือจากการบำเพ็ญ  หากท่านสามารถบำเพ็ญต่อไปได้จริงๆ  ข้าพเจ้าก็สามารถทำให้ท่านหยวนหมั่นได้จริงๆ

    เมื่อครู่พูดถึงปรากฏการณ์ของสังคมนี้   ในขณะนี้ข้าพเจ้าหาได้คิดทำเรื่องอะไรเพื่อสังคมไม่  และไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้  แต่ว่านะ ฝ่านี้สามารถช่วยคนได้  สอนให้คนใฝ่ดี  สามารถเปลี่ยนแปลงท่านจากธาตุแท้และจิตใจของคน  เช่นนั้นคนมากมาย เขาไม่ได้บำเพ็ญ  แต่คนที่รู้จักฝ่านี้แล้ว  คนก็จะทำตัวเป็นคนดีคนหนึ่ง  คนรู้ว่าทำเรื่องไม่ดีจะทำร้ายตัวเองมากเพียงไร  (เสียงปรบมือ)  เขาก็จะทำตัวเป็นคนดี  ฉะนั้นก็พูดได้ว่า เมื่อฝ่าที่ถูกต้องถ่ายทอดออกมา  เขาต้องมีประโยชน์ต่อสังคมอย่างแน่นอน

    ในระหว่างหลายปีของการถ่ายทอดฝ่าของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็ยึดถือหลักการหนึ่งตลอดมา  คือ ยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อคน รับผิดชอบต่อสังคมในการทำเรื่องนี้   แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่เคยทำสุ่มสี่สุ่มห้า  ทุกท่านทราบว่า ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่า  จากที่ไกลโพ้นนับพันๆ ลี้มาถึงประเทศสิงคโปร์   แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวจากทุกท่าน  อีกไม่นานข้าพเจ้าก็ไปแล้ว ข้าพเจ้าเพียงแต่มอบฝ่านี้ให้กับทุกท่าน  มีผู้ฝึกมากมายถามข้าพเจ้าว่า  ท่านอาจารย์  จักรวาลนี้มีหลักการที่เรียกว่า ไม่เสียก็ไม่ได้  เมื่อจะได้ก็ต้องเสีย   เมื่อเสียก็ต้องได้   เช่นนั้นท่านช่วยเหลือพวกเราเปล่าๆเช่นนี้  ให้สิ่งที่ดีมากมายอย่างนี้กับพวกเรา  ยังแก้ไขปัญหาของพวกเราในระดับชั้นที่ต่างกัน   บำเพ็ญอยู่ที่ตัวเอง พลังอยู่ที่อาจารย์ใช่ไหม  เช่นนั้นแล้วท่านต้องการอะไรละ  ข้าพเจ้าตอบว่าอะไรก็ไม่ต้องการ  ข้าพเจ้าไม่เหมือนกับพวกท่าน  เพราะว่าข้าพเจ้านั้นก็คือมาทำเรื่องนี้ หากพูดว่าข้าพเจ้าต้องการอะไรหรือ  ข้าพเจ้าต้องการเพียงใจดวงนั้นของทุกท่าน  จิตที่บำเพ็ญ  จิตที่ใฝ่ความดี (เสียงปรบมือ)

    ข้าพเจ้าใช้เวลามากเกินไปแล้วหรือไม่ (หัวเราะ) ถ้ายังมีเวลาข้าพเจ้าจะได้พูดอีก  วิธีการบำเพ็ญพุทธมีมากมาย  ทุกท่านทราบว่าฝ่าหลุนกงที่พวกท่านบำเพ็ญ  เป็นหลักการของพุทธ  เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้ภาษาที่องค์ศากยมุนีตรัสในปีนั้น  และไม่อาจใช้ได้  เพราะภาษาทุกวันนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว  ดังนั้นจึงได้แต่ใช้ภาษาปัจจุบันมาบรรยายฝ่า  ใช้ภาษาปัจจุบันมาถ่ายทอดพลัง  ฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดออกมาในวันนี้  กับพุทธธรรมที่องค์ศากยมุนีทรงถ่ายทอดในปีนั้นมีความแตกต่างกัน  เพราะเหตุใดละ  เพราะข้าพเจ้าให้วิธีการบำเพ็ญแก่ผู้บำเพ็ญ  เป้าหมายของการบำเพ็ญล้วนไม่ใช่รูปแบบในอดีต  ข้อกำหนดต่อซินซิ่งกับระดับชั้นของผู้บำเพ็ญนั้นสูงกว่า  มรรคผลสูงกว่า  เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดคือฝ่าที่แท้จริงที่สุดของจักรวาล   คำพูดที่องค์ศากยมุนีตรัสในปีนั้นมีความเป็นพุทธ  และพูดได้ว่าเป็นฝอฝ่า(พุทธธรรม)ของระดับชั้นนั้น  แต่ไม่ใช่ฝ่ามูลฐานที่สร้างจักรวาล  หรือสัจธรรมสูงสุด   สัจธรรมสูงสุดของจักรวาลก็คือ เจิน ซั่น  เหริ่น   สสารชนิดใดๆ เหล็กกล้า  เหล็ก ไม้ หิน อากาศ น้ำ  ดิน สสารระดับจุลทรรศน์ทั้งปวง จากองค์ประกอบต้นกำเนิดของมันจนถึงสสารชั้นผิวของมันล้วนมีคุณสมบัติพิเศษ เจิน  ซั่น เหริ่น อยู่   ชีวิตทั้งปวง วัตถุสสารทั้งปวงทั่วทั้งจักรวาล  ล้วนเชื่อมโยงเข้ากับ เจิน ซั่น เหริ่น นี่คือคุณสมบัติพิเศษที่เป็นธาตุแท้ที่สุดของจักรวาล  ข้าพเจ้าใช้ภาษาปัจจุบันที่ตื้นเขินที่สุดอธิบายหลักการอย่างง่ายๆแล้ว  ต้าฝ่าเหมือนกับปิระมิด ยิ่งสูงขึ้นไปยิ่งเรียบง่าย  ยิ่งต่ำลงมาก็ยิ่งใหญ่โตและสลับซับซ้อน  ด้วยเหตุนี้มนุษย์กับจักรวาลระดับล่างจึงสลับซับซ้อน   เมื่อถึงที่ๆสูงที่สุด  ถึงจุดสุดยอดของฝอฝ่าก็คือ เจิน ซั่น เหริ่น  สามตัวอักษรก็ครอบคลุมแล้ว  วัตถุสสารกับองค์ประกอบที่สูงที่สุดทั้งหมดของจักรวาลล้วนประกอบขึ้นจาก “เจิน ซั่น เหริ่น”  เขาก็คือจิตวิญญาณของจักรวาล  เขาก็คือคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล เขาก็คือรากฐานที่แท้จริงของฝอฝ่า  ในอดีตนี่คือความลับที่สูงที่สุดของสวรรค์  ชีวิตชั้นสูงมากมายต่างก็ไม่ทราบ    แม้ว่าในหนังสือข้าพเจ้าได้เปิดเผยความลับสวรรค์ไว้มากมาย  ทุกท่านต่างก็เห็นแล้ว  แต่ข้าพเจ้าหาได้เปิดเผยความลับสวรรค์ตามอำเภอใจ  หากวันนี้ ข้าพเจ้า หลี่ หง จื้อเปิดเผยความลับสวรรค์ตามอำเภอใจ  พูดอย่างสะเปะสะปะแล้ว ทุกท่านก็ดีอกดีใจก็จบเรื่องแล้วหรือว่าพวกท่านถือว่าเขาเป็นความรู้  เท่ากับว่าข้าพเจ้าก็อยู่ที่นี่ทำลายหลักการของสวรรค์ตามชอบใจ  หากเป็นเช่นนั้น  วันนี้หลี่ หง จื้อก็ไม่อาจยืนอยู่ที่นี่แล้ว  ก็จะถูกลงโทษไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว  ในการถ่ายทอดฝ่าข้าพเจ้านั้นรับผิดชอบต่อทุกท่าน เพื่อให้ทุกท่านสามารถบำเพ็ญขึ้นมา ในทางปฏิบัติข้าพเจ้าก็รับผิดชอบต่อคนตลอดมา  และมีคนมากมายบำเพ็ญขึ้นมาได้แล้วจริงๆ  ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำเรื่องอย่างสะเปะสะปะ  ไม่ใช่นึกสนุกขึ้นมาคิดจะทำก็ทำตามชอบใจ  ที่จริงเรื่องนี้ได้จัดวางไว้นานแล้วในประวัติศาสตร์  ได้จัดเตรียมทำเรื่องนี้ไว้ตั้งนานแล้ว    วันนี้ทุกท่านสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ฟังฝ่า  ก็เพราะพวกท่านมีวาสนานี้  วาสนาของท่านมาถึงแล้ว  ไม่ว่าท่านกลับชาติมาเกิดบนโลกนี้กี่ภพแล้ว  วันนี้วาสนาของท่านมาถึงแล้ว  ดังนั้นท่านจึงสามารถได้ฝ่า

    แม้ว่าองค์ศากยมุนีไม่ทรงทราบว่า  โดยแก่นแท้แล้วจักรวาลนี้ใหญ่เพียงไร  และมองไม่เห็นเล็กลงไปในระดับจุลทรรศน์ถึงระดับไหน  แต่ พระองค์ทรงมองเห็นได้ในระดับจุลทรรศน์ที่เล็กมากๆแล้ว  พระองค์ทรงมองเห็นว่าในหนึ่งเม็ดทรายมี ตรีสหัสโลกธาตุ      ตรีสหัสโลกธาตุนี้หมายถึงอะไรละ  อาทิเช่นในทางช้างเผือกของเรานี้  พระพุทธทรงมองเห็นว่ามีระบบของสิ่งมีชีวิต ๓๐๐๐ ระบบที่เหมือนกับระบบของมนุษย์กับฟ้าดิน และข้างในระบบชีวิตที่มีเทพกับ พระพุทธคงอยู่นั้นก็มีสังคมที่เหมือนกับของมนุษย์คงอยู่  ในแต่ละสหัสโลกธาตุมีชีวิตนับไม่ถ้วน เหมือนระบบที่เทพสวรรค์กับโลกและมนุษย์ดำรงอยู่  พระพุทธตรัสว่าข้างในหนึ่งเม็ดทรายก็มีโลกอย่างนี้สามพันใบอยู่  ทุกท่านคิดดู  สิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัสนั้นเป็นระดับจุลทรรศน์มากเพียงไร  โออ่ายิ่งใหญ่เพียงไร  นี่ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ  อาทิเช่น  โลกโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์  และวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพบว่า อิเลคตรอนก็โคจรอยู่รอบนิวเคลียสอะตอมแบบเดียวกัน  นี่มีอะไรต่างกันกับที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ละ  เหมือนกันนั่นแหละ  ถ้าเช่นนั้นหากเราขยายภาพอิเลคตรอนนั้นให้ใหญ่เท่ากับโลกเรา  ท่านก็จะสามารถเห็นได้ว่าบนนั้นมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่  มีชีวิตมากเท่าไร ชีวิตเหล่านั้นมีลักษณะอย่างไร  ในระดับจุลทรรศน์ลงไปอีกก็มีชีวิตที่เล็กยิ่งกว่าดำรงอยู่ องค์ศากยมุนีตรัสว่าในหนึ่งเม็ดทรายมีตรีสหัสโลกธาตุอยู่  หากเราตรวจสอบลงไปอย่างนี้  ตามหลักการที่องค์ศากยมุนีตรัสไว้ ทรายเม็ดนั้นมีตรีสหัสโลกธาตุ  และตรีสหัสโลกธาตุในเม็ดทรายนั้น ใช่หรือไม่ว่าจะเหมือนกับของมนุษย์ที่มีแม่น้ำ ลำธาร ทะเลสาบ และทะเล  และแม่น้ำ ลำธาร ทะเลสาบ และทะเลของมันก็ยังมีทรายอยู่ใช่หรือไม่  และในเม็ดทรายนั้นใช่หรือไม่ว่ายังมีตรีสหัสโลกธาตุละ  ฉะนั้นหากพิจารณาตามตรรกนี้ต่อไป  เม็ดทรายในเม็ดทรายนี้ใช่หรือไม่ว่ายังคงมีตรีสหัสโลกธาตุละ  ข้าพเจ้าพบว่ามีมากจนนับไม่ถ้วน  ผู้รู้แจ้งใหญ่ในระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น  ล้วนเข้าใจได้ว่าชีวิตและสสารนั้นเล็ก(จุลทรรศน์)อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นนั้นแล้วสสารนั้นมันจุลทรรศน์ถึงระดับไหนละ  พระพุทธ  เทพชั้นสูงมาก       ต่างก็มองไม่เห็นต้นกำเนิดของมัน ต้นตอที่ประกอบขึ้นเป็นสสารอย่างไร   ในด้านนี้วิทยาศาสตร์ของมนุษย์นั้นยังไม่ถึงระดับอนุบาลด้วยซ้ำไป  ไม่มีทางรู้ได้ตลอดกาล  เปรียบไม่ได้กับฝอฝ่า  วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันมันเพียงรับรู้ถึงนิวตรีโน่  ควาร์ก จุดหนึ่งเล็ก ๆนี้  ที่จริงทั้งควาร์กและนิวทรีโน่นั้นวิทยาศาสตร์ยุคนี้เพียงแต่ตรวจวัดการคงอยู่ของมันได้เท่านั้น  แต่มองไม่เห็น  ไม่มีกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายใหญ่เพียงนั้น  ดังนั้นเมื่อครู่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดว่า องค์ศากยมุนีพุทธก็ทรงมองไม่เห็นว่าต้นกำเนิดของสสารคืออะไร  และทรงมองไม่เห็นว่าสสารที่ใหญ่ที่สุดของจักรวาลคืออะไร  ดังนั้นพระองค์จึงตรัสไว้ประโยคหนึ่งว่า “ใหญ่จนไม่มีข้างนอก เล็กจนไม่มีข้างใน”ใหญ่จนจักรวาลนี้ไม่มีขอบ  สสารที่เล็กนั้นหนา มองไม่เห็นก้นบึ้ง  พระยูไลพุทธนั้น  ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเกินแล้ว  ท่านมองเห็นได้เพียงระดับนี้  ท่านก็มองไม่เห็นจนถึงจุดสุดท้าย

    หรือพูดได้ว่าจักรวาลนี้ใหญ่มหึมามาก สสารนั้นใหญ่โตสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง  พูดถึงต้นกำเนิดของสสาร  ที่จริงไม่อาจเรียกว่าสสารได้แล้ว คือพลังแห่งหลักธรรม คุณสมบัติพิเศษ  เจิน ซั่น เหริ่น  นำองค์ประกอบต้นกำเนิดรวมกันเข้าเป็นสสารแรกเริ่ม  จากนั้น ก็โดย เจิน ซั่น เหริ่น ในระดับชั้นต่างๆนั้นอีก ที่ประกอบรวมขึ้นเป็นสสารของระดับชั้นที่ต่างกันที่ใหญ่ยิ่งขึ้น  เรื่อยไปจนถึงสสารที่ใหญ่ยิ่งขึ้นหนึ่งชั้น  เรื่อยมาจนถึงนิวทรีโน่  ควาร์ก  นิวเคลียสอะตอม  อะตอม  โมเลกุล ตลอดจนถึงสสารชั้นผิวที่มนุษย์ในปัจจุบันรู้จักกัน  ล้วนประกอบขึ้นมาโดย เจิน ซั่น เหริ่น คุณสมบัติพิเศษนี้  ดังนั้นหลักการสุดท้ายของจักรวาลนี้ก็คือ“เจิน ซั่น เหริ่น” เขาก็คือมูลฐานของฝอฝ่า

    พูดขึ้นมาแล้ว สามตัวอักษรนั้นเรียบง่ายมาก  ถ้าแผ่ขยายฝ่านี้ออกมา นั่นก็ใหญ่อย่างยิ่งแล้ว  “เจิน” ข้างในนั้นแฝงไว้ด้วยหลักการของระดับชั้นต่างๆมากมาย “ซั่น”กับ “เหริ่น”ก็แฝงไว้ด้วยหลักการของระดับชั้นต่างๆมากมาย พอมาถึงก้าวนี้ของคนธรรมดาสามัญ ใน “เจิน”นั้นข้างในก็รวมถึง ความกรุณา  คุณธรรม  มรรยาท  ปัญญา  ความเชื่อถือ  เป็นต้น หลักการของคนมากมาย “ซั่น”พอมาถึงคนธรรมดาสามัญระดับชั้นนี้  ครอบคลุมฉิงไว้แล้ว นี่ล้วนเป็นหลักการของฝ่าที่แตกแขนงออกมาจาก เจิน ซั่น เหริ่น  หลักธรรมใหญ่มูลฐานที่สุดของจักรวาลอย่างแท้จริง

    พูดถึงฉิง  หากมนุษย์ไม่มีฉิง คนก็จะเกิดสภาพการณ์สองอย่าง อย่างหนึ่งคือเย็นชาเหมือนสิ่งมีชีวิตต่างดาว  หรืออีกอย่างหนึ่งคือเพียบพร้อมไปด้วยความเมตตาเหมือนเทพ   เนื่องจากคนมีฉิง จึงเป็นคน  คนพอใจหรือไม่พอใจ นี่คือฉิง  คนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ท่านโกรธเคืองใคร  เป็นมิตรที่ดีกับใคร  ท่านชอบทำอะไร  ท่านต้องการได้เงินมากเท่าไร  ท่านอยากเป็นข้าราชการใหญ่  ความชื่นชอบทั้งหมดที่ท่านต้องการทำ ท่านอยากอย่างนั้นอย่างนี้.......ทุกสิ่งบนโลกของคนล้วนแต่อยู่ในฉิงนี้   และคนก็ถูกฉิงนี้ชักนำให้แสวงหาด้วยความยึดติด  ฝ่า พอมาถึงสังคมมนุษย์ก้าวนี้ก็ได้สร้างคน  สร้างมิติของคน  ในขณะเดียวกันก็กำหนดสภาพการณ์ที่แน่นอนของคนไว้  การบำเพ็ญนั้น ที่จริงก็คือการก้าวออกมาจากสภาพของคน  ขจัดจิตใจที่ถูกฉิงชักนำทิ้งไป  ในระหว่างการบำเพ็ญ ค่อยๆทำให้จืดจาง  จากนั้นค่อยยกระดับตนเอง  บางคนรู้สึกว่าถ้าไม่มีฉิงก็จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความหมายอย่างมาก  ก็จะไม่ดูภาพยนตร์แล้ว ไม่หาคนรักที่สวยงามแล้ว  ไม่แสวงหาอาหารที่น่ากินแล้ว  เช่นนั้นแล้วช่างไร้ความหมายอย่างมาก   ข้าพเจ้าขอบอกท่านนะ  นี่คือการเข้าใจบนจุดยืนนั้นของคนธรรมดาสามัญ   หากท่านเลื่อนขึ้นไปถึงเขตแดนที่สูงได้  ท่านจะพบว่ามีสภาวะที่งดงามของเขตแดนนั้นอยู่  งดงามยิ่งกว่าทุกสิ่งของมนุษย์นี้  งดงามจนบรรยายไม่ได้  แต่ถ้าท่านต้องการความงดงามนั้น ท่านก็ต้องปล่อยวางจิตใจของคนธรรมดาสามัญที่ถูกฉิงชักนำ  ทำให้ยึดติดต่อผลประโยชน์ของคน ปล่อยวางจิตยึดติดของคน  ท่านจึงจะสามารถได้สิ่งที่งดงามกว่า

    ทุกท่านต่างเป็นผู้ฝึก  ในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ  ข้อกำหนดของข้าพเจ้าต่อทุกท่านอาจจะสูง  ในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ  มีจิตยึดติดมากมายของคนธรรมดาสามัญยังปล่อยวางไม่ได้ในขณะนี้  ไม่ต้องห่วง  หากวันนี้ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าจบแล้ว ทุกๆคนก็ทำได้กันหมด นั่นก็เป็นพระพุทธในทันที (เสียงปรบมือ) แต่ผู้ที่เริ่มศึกษาใครก็ยากที่จะทำได้  หากปล่อยวางทุกสิ่งของคนได้หมดในทันที  นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน  ทุกท่านนั่งอยู่ที่นี่ฟังฝ่ารู้สึกว่าสบาย  ทุกท่านต้องการฟังข้าพเจ้าพูด  เพราะนี่คือธรรมานุภาพของฝ่าที่ถูกต้องทำให้เกิดขึ้น   การบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องนั้นพลังงานที่มีอยู่ด้วยเป็นความเมตตา  สุขสงบ  สามารถขจัดทิ้งและแก้ไของค์ประกอบที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด  ดังนั้นพวกท่านนั่งอยู่ที่นี่จึงรู้สึกสบายมาก   ในอนาคตเมื่อพวกท่านบำเพ็ญได้ในระดับหนึ่งก็จะเป็นเช่นนี้  เพิ่งเริ่มต้นพวกท่านไม่อาจจะบรรลุได้ในทันที  เพราะยังมีจิตยึดติดมากมายไม่ได้ทิ้งไป เจิ้งเนี่ยน(ความคิดที่ถูกต้อง)ยังไม่เข้มแข็ง  ในสังคมคนธรรมดาสามัญเมื่อท่านประสบกับการเสียดสีด้านผลประโยชน์กับความรู้สึกระหว่างคนด้วยกัน ยังจะก่อให้เกิดการรบกวนที่แน่นอนระดับหนึ่ง   ในขณะที่สลายกรรมอยู่  ร่างกายของท่านไม่สบาย ในความทุกข์ยากจะควบคุมตัวเองอย่างไร   หากท่านสามารถยกระดับตนเองขึ้นมา  ปฏิบัติต่อความขัดแย้งใดๆไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ  เช่นนั้นท่านก็ยกระดับได้  เสริมความเข้มแข็งของเจิ้งเนี่ยน  เมื่อผู้อื่นตีท่าน ท่านสามารถคิดได้ว่าฉันเป็นผู้ฝึกพลัง  พวกคุณเป็นคนธรรมดาสามัญฉันจะไม่ทำเหมือนคุณ  ท่านก็กำลังยกระดับอยู่  ท่านสามารถทำได้ถึงขั้น“ถูกตีไม่ตีกลับ  ถูกด่าไม่ด่ากลับ” ในเวลาที่คนอื่นแย่งชิงผลประโยชน์กับท่าน  ท่านสามารถทำให้ใจนี้จืดจาง  แม้ว่านี่เป็นความคิดเพียงแวบเดียว  ท่านก็ห่างไกลจากคนธรรมดาสามัญนับพันลี้แล้ว  แต่ถ้าท่านคิดที่จะทำถึงขั้นนี้  ท่านต้องค่อยๆบำเพ็ญขึ้นมาในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ท่านจึงจะสามารถบรรลุได้ถึง  บอกว่าฉันจะบรรลุให้ได้ในทันที ก็ยากจะทำได้  ต้องทิ้งจิตยึดติดในท่ามกลางการปฏิบัติ  ในท่ามกลางการทดสอบ  บำเพ็ญอย่างนี้ขึ้นมาจึงจะแน่นแฟ้นไม่ฉาบฉวย

    วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ ไม่สามารถบรรลุถึงเขตแดนของพระพุทธได้ชั่วนิรันดร์  เพราะอะไรละ  เนื่องจากสติปัญญาของมนุษย์ถูกชีวิตชั้นสูงจำกัด ควบคุมไว้  เพราะอะไรละ  เพราะคนนั้น เทพเป็นผู้สร้าง  หลักการของคนก็เป็นหลักการที่กลับกัน  อะไรคือ “พระพุทธ”หรือ  พระองค์คือหลักประกันของสรรพชีวิตระดับชั้นนั้น  เป็นผู้คุ้มครองสรรพชีวิต เป็นผู้พิทักษ์สัจธรรมของจักรวาล พวกท่านลองคิดดู  คนมีจิตยึดติดนานาชนิด ชื่อเสียง  ผลประโยชน์  อารมณ์ทั้งเจ็ดตัณหาทั้งหก  จิตอิจฉา  พอไปถึงที่พระพุทธนั่นไม่แน่ว่าจะไปต่อสู้กับพระพุทธ  อย่างนี้จะไหวหรือ  ดังนั้นท่านก็ต้องทิ้งจิตเหล่านี้ของคนในระหว่างที่อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ   ท่านจึงจะสามารถบรรลุถึงเขตแดนและตำแหน่งนั้น  ปัจจุบันพระสงฆ์บางรูปพูดกับคนธรรมดาสามัญว่า “ท่านก็คือพุทธ  ท่านท่องพระพุทธแล้ว  ร้อยปีให้หลัง(เมื่อตายไปแล้ว)ท่านก็เป็นพระพุทธแล้ว ถึงแม้ท่านไม่อยากจะเป็นก็ตาม” นี่คือการลบหลู่พระพุทธ  ลบหลู่หลักธรรม    พระสงฆ์เป็นคน ถ้าสามารถบำเพ็ญได้จริงก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญ  หากบำเพ็ญไม่ดี เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น  ถ้าเขาทำผิดแล้วบาปยังจะหนักกว่าคนธรรมดาสามัญ  นี่เรียกว่า “สวมเสื้อผ้าของพระพุทธทำลายพระธรรม” ดังนั้นอย่าไปงมงายกับนักบวชเหล่านั้นที่ไม่บำเพ็ญจริง   การบำเพ็ญที่แท้จริงก็คือบำเพ็ญจิตนี้ของคน  จิตนั้นของคนไม่ทิ้งไปก็ไม่อาจบรรลุเขตแดนนั้นได้ตลอดไป  หากพูดว่าคนใช้วิธีการวิทยาศาสตร์บรรลุได้ถึงแล้ว  นั่นก็จะเกิดสงครามใหญ่ระหว่างดวงดาว  เกิดสงครามจักรวาลขึ้นจริงๆแล้ว  ดังนั้นพระพุทธจะให้ท่านบรรลุถึงได้อย่างไรละ  มันเป็นเพียงความเพ้อฝันของวิทยาศาสตร์ ไม่มีทางเป็นจริงได้ตลอดกาล  หากคนคิดจะเดินไปสู่ระดับชั้นที่สูงกว่า  รู้จักชีวิตชั้นสูงยิ่งขึ้น  ท่านคิดจะเป็นชีวิตชั้นสูง  ท่านคิดจะรู้จักหลักการที่แท้จริงของจักรวาล  มีเพียงเส้นทางเดียว ก็คือการบำเพ็ญ มีเพียงอย่างนี้  ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน จากวันนี้ไปท่านอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ไม่ว่าท่านจะประสบกับความขัดแย้งอะไร  การเสียดสีทางจิตใจเอย  ใครยั่วให้ท่านโกรธ  ใครเอาเปรียบท่าน  ใครรังแกท่าน  ท่านได้รับความเจ็บปวดอะไรแล้ว  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  มันไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี  ถ้าท่านคิดจะบำเพ็ญจริงๆ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  เส้นทางชีวิตคนของท่านนี้ ก็จะจัดวางให้ท่านใหม่  เหตุใดต้องจัดวางให้ใหม่ละ เนื่องจากคนมีชีวิตหนึ่งของคน  ก่อนที่คนจะบำเพ็ญ อนาคตของเขาก็คือชีวิตของคนธรรมดาสามัญ  ไม่แน่ว่ามีชีวิตถึงวันใดเขาก็ไม่มีชีวิตอีกแล้ว  บางคนอายุยืนหน่อย  แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดเขาจะป่วยหนัก  ป่วยนานกี่ปี  คนอย่างนี้จะบำเพ็ญได้อย่างไรละ  หรือบางคนอาจจะมีทุกข์ภัยอะไรที่หนักหนา  นี่ล้วนไม่อาจบำเพ็ญได้   เส้นทางนี้ข้าพเจ้าต้องชำระล้างให้ท่าน ชำระล้างสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป จัดวางเส้นทางบำเพ็ญเส้นหนึ่งให้  แน่ละนี่ไม่อาจทำให้กับคนธรรมดาสามัญตามชอบใจ  จะทำให้เฉพาะผู้บำเพ็ญเท่านั้น

ถ้าเช่นนั้นเหตุใดผู้บำเพ็ญจึงพิเศษอย่างนี้ละ  เพราะคนมีชีวิตอยู่ มิใช่เพื่อจะเป็นคน  ชีวิตของท่านไม่ใช่มีที่มาจากโลกนี้  ชีวิตของท่านมีที่มาจากมิติชั้นสูงกว่า  การหวนคืนกลับไปนั้นคือเป้าหมายการมีชีวิตอยู่ของท่าน  ดังนั้นจิตที่คิดจะบำเพ็ญนี้เมื่อออกมาแล้ว จึงสว่างยิ่งกว่าทองคำ  พระพุทธทั่วทศทิศจึงมองเห็นได้  พอคนมีความคิดอันนี้  คิดจะบำเพ็ญ  จึงมีค่าอย่างนี้   คนธรรมดาสามัญนั้นไม่อาจไปแตะต้องเขาตามอำเภอใจ  เพราะปกติคนธรรมดาสามัญในชาติก่อนของเขาไม่ได้ทำเรื่องที่ดีไว้  ชาตินี้เขาจึงต้องชดใช้คืน  ท่านขจัดกรรมให้เขาตามอำเภอใจแล้ว  นำทุกข์ภัยของเขาทิ้งไปตามชอบใจแล้ว จึงเท่ากับพูดว่าคนสามารถทำเรื่องไม่ดี แล้วไม่ต้องชดใช้  นี่เป็นการทำลายหลักการของพระพุทธ  ทำลายกฎสวรรค์  ที่ไหนจะมีหลักการอย่างนี้   ไม่มีอย่างเด็ดขาด  พระพุทธ เต๋า เทพ ล้วนปกป้องหลักการของจักรวาลอยู่   ทำงานปกป้อง หลักธรรม เจิน ซั่น เหริ่น  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกว่าในฐานะผู้ฝึกพลังคนหนึ่ง  เมื่อท่านได้รับความเจ็บปวดอะไร  ประสบกับทุกข์ภัยอะไร  ท่านจะได้รับของสี่อย่าง  เวลาที่ผู้อื่นรังแกท่าน เอาเปรียบท่าน  เอาผลประโยชน์ของท่านไป เขาล้วนจะให้กุศลแก่ท่าน  และสิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ที่มากยิ่งกว่าในขณะที่ท่านได้รับความเจ็บปวดนั้น  ท่านถือได้ว่าเป็นฝ่ายสูญเสีย  ในเมื่อท่านเป็นฝ่ายได้รับความเจ็บปวด กรรมของตัวเองยังจะแปรผันเป็นกุศล  มีความเจ็บปวดเท่าไรก็ผันแปรมากเท่านั้น  ในเมื่อท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  ในความขัดแย้งนี้ท่านไม่คิดเหมือนกับคนอื่นทั่วไป    ในใจท่านไม่ได้ปฏิบัติต่อปัญหานี้เหมือนกับเขา  พลังของท่านก็โตขึ้นมาแล้ว    เพราะอะไรละ  เพราะซินซิ่งของท่านยกระดับขึ้นมาแล้ว  ซินซิ่งสูงเท่าไรพลังสูงเพียงนั้น  นี่คือสัจธรรมที่เด็ดขาด  พลังเพิ่มสูงขึ้น ซินซิ่งไม่ยกระดับขึ้นมา นั่นไม่อาจเป็นไปได้   เพราะฝ่าของจักรวาลนี้กำลังควบคุมชีวิตทั้งปวง  สสารทั้งปวงของจักรวาลนี้ล้วนมีชีวิต  พวกเขาล้วนสร้างขึ้นมาจาก เจิน ซั่น เหริ่น  ดังนั้นพวกเขาก็กำลังควบคุมคนอยู่  ท่านไม่สอดคล้องกับมาตรฐานนี้ก็จะไม่ยอมให้ท่านขึ้นมา  ก็เหมือนเหตุผลหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยพูดว่า ขวดใบหนึ่ง ข้างในบรรจุสิ่งสกปรกไว้เต็ม  พอท่านโยนลงน้ำ “ตูม”ทันใดมันก็จะจมลงสู่ก้นบึ้ง  เมื่อท่านเทสิ่งสกปรกออกมานิดหนึ่ง  มันก็จะลอยขึ้นมานิดหนึ่ง  เทออกไปนิดหนึ่งมันก็ลอยขึ้นมานิดหนึ่ง  เมื่อท่านเทสิ่งสกปรกในขวดออกไปทั้งหมด ท่านกดมันก็จะกดไม่ลง  มันก็จะลอยขึ้นมา  มันควรจะอยู่ที่ตำแหน่งนั้นแล้ว  หากท่านบำเพ็ญจริง ท่านก็เหมือนกำลังเทของสกปรกออกไป  เททิ้งไปมากเท่าไร ท่านก็ควรบำเพ็ญถึงที่นั่น  ก็คือเหตุผลนี้

สิ่งที่จะพูดนั้นมากมาย เพราะข้าพเจ้าคิดจะให้ทุกท่านได้ฝ่ามากๆ ดังนั้นพอข้าพเจ้าพูดขึ้นมาก็อยากจะบอกทุกท่านมากมาย  แน่ละสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการพูดนั้นไม่อาจพูดออกมาให้ทุกท่านทั้งหมดในเวลาที่จำกัดมากนี้  หนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน”เล่มนี้ คือในเวลาที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดพลังในประเทศจีนนั้น เนื้อหาที่ข้าพเจ้าบรรยายในชั้นเรียนกี่ครั้ง  ข้าพเจ้านำเขามารวมเข้าด้วยกัน  จากนั้นข้าพเจ้าทำการปรับแก้เขาแล้วพิมพ์ออกมา  ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่าที่ชี้นำการบำเพ็ญอย่างเป็นระบบ    ขณะนี้ยังมีเทปบันทึกเสียง  วิดีทัศน์ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในชั้นเรียน  ทุกท่านสามารถไปฟัง ไปศึกษาปฏิบัติตาม

ยังจะขอบอกทุกท่าน ข้าพเจ้านำพลานุภาพของฝอฝ่า  นำพลังมากมายของข้าพเจ้าเอง  ล้วนบรรจุเข้าไปในหนังสือเล่มนี้แล้ว  บรรจุเข้าไปในฝ่านี้แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นวิดีทัศน์  เทปบันทึกเสียงและหนังสือเล่มนี้ ท่านเพียงแต่อ่าน  ท่านก็จะเปลี่ยนแปลง  ท่านเพียงแต่อ่าน ท่านก็ขจัดโรคไปได้  ท่านเพียงไปบำเพ็ญ  ร่างกายท่านก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงธาตุแท้  ท่านเพียงยืนหยัดบำเพ็ญต่อไป ท่านก็จะมีพลัง  ท่านก็จะมองเห็น  ท่านก็จะได้ยิน  ท่านก็จะรู้สึกได้ถึงบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของต้าฝ่า  ผู้ที่บำเพ็ญจริง ข้าพเจ้าจะให้พลานุภาพทั้งหมดของฝอฝ่าแก่ท่าน  ท่านเพียงไปบำเพ็ญ  ท่านก็จะได้รับ           แน่ละถ้าท่านไม่บำเพ็ญ ท่านก็จะไม่ได้

เนื้อหาข้างในหนังสือนั้นลึกล้ำมาก  อ่านรอบแรกยังไม่เผยออกมา  เพราะว่าต้องการให้ทุกท่านบำเพ็ญทีละก้าวละก้าว   เริ่มก้าวจากระดับชั้นนี้ของคนธรรมดาสามัญนะ  มีฝ่าในระดับชั้นนี้มาชี้นำการบำเพ็ญของท่าน  ฉะนั้นในเวลาที่ท่านบำเพ็ญยกระดับชั้น ยังใช้หลักการนี้ชี้นำท่านบำเพ็ญอีกก็ไม่ได้แล้ว  อาทิเช่น ท่านขึ้นชั้นมัธยมแล้ว  ไปใช้ตำราชั้นประถมชี้นำท่าน  ท่านก็ยังเป็นนักเรียนชั้นประถม  ท่านเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว  ยังใช้ตำราชั้นประถมมาชี้นำท่าน  ท่านก็ยังเป็นนักเรียนชั้นประถม  หรือพูดว่า ท่านบำเพ็ญถึงระดับชั้นไหน เช่นนั้น ก็จะมีฝ่าระดับชั้นนั้นปรากฏออกมาชี้นำท่าน  ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญขึ้นมา“จ้วนฝ่าหลุน”หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้ผนวกหลักการของฝ่าในเขตแดนนี้ของคนธรรมดาสามัญ เรื่อยไปจนถึงเขตแดนสูงสุดของจักรวาล  หลักการของฝ่าของระดับชั้นที่มีอยู่ทั้งหมด  ล้วนบรรจุเข้าในหนังสือเล่มนี้แล้ว   บนชั้นผิวจะมองไม่เห็น เมื่ออ่านรอบแรก ก็คือหลักการที่สอนให้คนเป็นคนดี  เมื่อท่านอ่านรอบที่สอง ท่านจะพบว่าเขาไม่ใช่เรื่องนี้แล้ว  รอบที่สามท่านจะพบว่าเขาเป็นหนังสือของการบำเพ็ญที่แท้จริงเล่มหนึ่ง   ท่านยังอ่านต่อไปท่านจะพบว่าเขาคือคัมภีร์สวรรค์เล่มหนึ่ง  กับคำพูดประโยคเดียวกัน ท่านอยู่ในระดับชั้นที่ต่างกัน  เขตแดนที่ต่างกัน  ท่านจะมีการรับรู้ที่ต่างกัน  ความเข้าใจที่ต่างกัน  เนื้อหาที่บรรจุอยู่ในหนังสือนั้นยิ่งใหญ่มาก  ปัจจุบันมีคนมากมายกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่  บางคนอ่านนับร้อยเที่ยวแล้วก็ยังคงอ่านอยู่อีก  ท่านอ่านหมื่นรอบ  ท่านก็จะไม่รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้อ่านอีก  ตรงกันข้ามท่านยังจะพบว่ายังมีสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจมากมาย  ท่านยังจะมีความเข้าใจที่ใหม่อีกมากมาย  ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีค่าอย่างยิ่ง  ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ไม่อาจจะพูดออกมาได้ครอบคลุมหมดทุกๆด้าน  หากท่านสามารถบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านก็ควรศึกษาเขาอย่างมุมานะต่อไป  อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก  อะไรๆท่านก็จะได้  ปัญหาที่ท่านอ่านพบในรอบแรก  ในเวลาที่ท่านอ่านหนังสือรอบที่สองปัญหาทั้งหมดที่มี ก็จะได้รับคำตอบ  แต่ท่านจะเกิดปัญหาใหม่  เมื่อท่านอ่านรอบที่สาม  ปัญหาทั้งหมดที่ท่านมีก็จะได้รับคำตอบอีก  ฉะนั้นเมื่ออ่านต่อไปก็ยังจะเกิดปัญหาที่สูงยิ่งขึ้น  เพียงท่านไม่หยุดที่จะอ่านหนังสือ  ก็จะตอบให้ท่านได้ทั้งหมด

ไม่ทราบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดถูกใจทุกท่านหรือไม่ (เสียงปรบมือ)     หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะบำเพ็ญขึ้นมาโดยเร็ว  ที่พูดไปค่อนข้างจะสูงสักหน่อย   ถ้าไม่เหมาะสม ทุกท่านสามารถพูดออกมาได้  ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือยาวนาน)