การบรรยายฝ่าที่นิวซีแลนด์

 

หลี่ หงจื้อ

8 พฤษภาคม ค.ศ. 1999

 

 (เสียงฯ) สวัสดีทุกท่าน

พวกเราที่กำลังนั่งอยู่  บ้างก็เพิ่งเคยพบกันที่ฝ่าฮุ่ยออสเตรเลีย  แต่พวกท่านจำนวนมากนั้นเป็นผู้ฝึกจากนิวซีแลนด์  ยังมีผู้ที่มาจากพื้นที่อื่นอีก   ในขั้นตอนการบำเพ็ญของทุกท่าน ย่อมมีปัญหาต่างๆที่อยากจะถาม  ดังนั้นจุดประสงค์ที่ข้าพเจ้ามาที่นี่ ที่สำคัญคืออยากจะพบหน้าทุกท่านสักครั้ง และในขณะที่อยู่ในฝ่าฮุ่ย  ตอบปัญหาต่างๆให้กับทุกท่าน  ผ่านการประชุมนี้จะสามารถทำให้ทุกท่านยกระดับขึ้นได้อย่างแท้จริง ทำให้พวกท่านสามารถสำเร็จสมบูรณ์ประสบความสำเร็จ  ในขณะเดียวกัน  สามารถจะทำให้ทุกท่านค้นพบความแตกต่างระหว่างกันและกัน  ดูว่าคนอื่นบำเพ็ญกันอย่างไร  ตนเองยังมีอะไรที่ทำได้ไม่ดีพอบ้าง  ข้าพเจ้าคิดว่านี่ก็คือเป้าหมายที่ฝ่าฮุ่ยของเราต้องบรรลุ  

ฉะนั้นในระหว่างการบำเพ็ญแน่นอนว่าทุกท่านจะมีปัญหาอย่างนี้ ปัญหาอย่างนั้น  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  พวกเรามีหลายๆ คน  ผ่านการศึกษาฝ่าเป็นเวลานาน ทุกท่านก็อาจมีความเข้าใจและซาบซึ้งด้วยตัวเองอันหนึ่ง  คือพบว่าตนเอง หาได้มีปัญหามากอย่างนั้นไม่  ทำไมไม่มีปัญหามากมายอย่างนั้นอีกแล้วละ  ดูเหมือนว่าพอพบกับข้าพเจ้าก็ไม่มีปัญหาที่จะถามออกมา  ที่จริงสาเหตุสำคัญคือ ในการศึกษาฝ่าของทุกท่าน  ก็ค่อยๆยกระดับการรับรู้ต่อฝ่าได้แล้ว  สามารถยกระดับขึ้นจากในฝ่าได้อย่างแท้จริง  ในเวลาที่ท่านสามารถรับรู้ฝ่าจากในฝ่าได้อย่างแท้จริงนั้น  ท่านจะพบว่าอะไรๆท่านก็จะสามารถเข้าใจได้ทั้งสิ้น  แต่เนื่องจากต้าฝ่ายังคงถ่ายทอดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ   ยังคงมีคนใหม่ๆมาศึกษา  เช่นนี้แล้ว ก็จะมีหลายคนที่ถามคำถามอยู่เรื่อยๆ   และพวกเราก็คงจะรู้สึกได้แล้ว  โดยมากในระหว่างฝ่าฮุ่ยของเรา  ปัญหาที่หลายๆคนถามนั้นมักจะมีลักษณะซ้ำๆกัน  ก็คือว่า ปัญหามากมายที่ถามขึ้นมาในแต่ละครั้งนั้น ในระหว่างฝ่าฮุ่ยที่อื่นก็เคยถามคำถามเหล่านี้กันแล้ว   เพราะอะไรหรือ  เพราะเรามีผู้ฝึกใหม่เข้ามาฝึกโดยตลอด  ดังนั้นจึงมีปัญหาที่ผู้ฝึกใหม่ถาม   ดังนั้นปัญหาที่ถามจึงมักจะซ้ำกับบรรดาปัญหาที่พบในช่วงระยะแรกของการศึกษาฝ่า  แน่ละในนี้ก็รวมทั้งปัญหาที่ผู้ฝึกเก่าบางคนถาม  หรืออยากจะเข้าใจในด้านใดด้านหนึ่งให้มากยิ่งขึ้น  แต่ข้าพเจ้าคิดว่า เพียงแต่ท่านไปอ่านหนังสือ ศึกษาฝ่า  อะไรๆท่านก็จะทราบได้  ท่านเพียงอ่านหนังสือศึกษาฝ่า  ท่านก็จะทราบสิ่งที่ท่านควรทราบเมื่อท่านอยู่ในระดับชั้นที่ต่างกัน  

            แน่ละ  ทุกท่านในระหว่างการบำเพ็ญ เมื่อเข้าใจความนัยของคำพูดหนึ่งแล้ว ที่จริงท่านก็ได้อยู่ในระดับชั้นนั้นแล้ว   เพียงแต่ฝั่งนี้ที่เป็นคนธรรมดาสามัญของพวกท่านยังคงมีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่  ความคิดของคนธรรมดาสามัญหมายถึงอะไรหรือ  ก็คือว่าท่านยังมีอารมณ์ทั้งเจ็ด กามคุณทั้งหกของคนธรรมดาสามัญ  มีจิตยึดติดกับด้านต่างๆของคนธรรมดาสามัญ  ยังมีอารมณ์และความรู้สึกผูกพันของคนธรรมดาสามัญในการใคร่ครวญปัญหา เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ก็คือความคิดของคนธรรมดาสามัญ  ยังมีทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิด  ในนั้นยังรวมถึงกรรม  กรรมทางความคิด  เพราะท่านอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ  แน่นอนว่าจะยังมีสิ่งเหล่านี้คงอยู่  เพียงแต่มากน้อยต่างกัน   ในระหว่างการบำเพ็ญมันอาจน้อยลงเรื่อยๆ  บางคนเขาอาจจะบำเพ็ญระยะเวลาไม่นานสักเท่าไร หรือไม่ก้าวหน้าสักเท่าไร  ดังนั้นความคิดเหล่านี้ของคนธรรมดาสามัญจึงค่อนข้างมาก  หรือพูดว่า  ทุกท่านมีความคิดของคนธรรมดาสามัญมากมายอย่างนี้  ถ้าท่านไม่สามารถใช้ความคิดมาตรฐานที่สูงไปมองปัญหา  ท่านก็จะมีปัญหาที่จะถามมากมาย  ที่จริง มักจะเป็นเพราะเกิดจากทัศนคติของคนธรรมดาสามัญที่ยังมีอยู่มาก   ไม่อาจจะให้ท่านสามารถเข้าใจหลักการของฝ่ามากมายได้ในทันที ณ เขตแดนหนึ่งๆ เข้าใจชัดเจนเหมือนอย่างกับไคกง(เปิดพลัง)ไคอู้(เปิดการรับรู้)แล้ว   เพราะท่านมีความคิดของคนมากมายอย่างนี้  ก็ไม่อาจให้ความคิดของคนรู้เรื่องของพระพุทธได้ หลักการของฝ่าที่แท้จริงในเขตแดนของเทพกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงของเขานั้น ไม่อาจจะเผยให้กับคนได้  ในการบำเพ็ญที่ชั้นผิวของฝ่าสามารถเข้าใจตัวอักษรแถวนั้น หลักการของฝ่าท่อนนั้นใน“จ้วนฝ่าหลุน”ได้แล้ว ที่จริงท่านก็อยู่ในระดับชั้นนั้นแล้ว  ที่ไม่สามารถรู้ได้มากอย่างนั้น  เป็นเพราะท่านมีความคิดของคนธรรมดาสามัญ  จึงไม่อาจให้ความคิดส่วนนี้ที่เหมือนกับคน ซึ่งยังบำเพ็ญไม่สำเร็จได้รู้เรื่องราวของพระพุทธ  ก็คือเหตุผลนี้   แต่ในเวลาที่ท่านเข้าใจความนัยที่แท้จริงของตัวอักษรบรรทัดนั้น หรือในเวลาที่อยู่ในระดับชั้นที่ต่างกัน สามารถมีความเข้าใจที่ต่างกันต่อเขาได้  ที่จริงท่านก็อยู่ในระดับชั้นนั้นแล้ว 

            พวกท่านยังจะต้องบำเพ็ญในสังคมคนธรรมดาสามัญอย่างต่อเนื่อง  ละทิ้งจิตยึดติดของคนธรรมดาสามัญอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นในระหว่างการบำเพ็ญจึงยังไม่อาจทิ้งความคิดของคนธรรมดาสามัญไปได้ทั้งหมดในทันที  ถ้าทิ้งมันไปทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นทุกท่านก็ไม่มีทางที่จะบำเพ็ญได้อีกเลย ข้าพเจ้ามักพูดอยู่เสมออย่างนี้ว่า  ถ้าคนๆหนึ่ง  เขาไม่มีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่  ทุกสิ่งที่คนคิดเขาจะรู้ได้หมด  ยิ่งกว่านั้นการกระทำหนึ่งของคน  แววตาแวบหนึ่ง จะทำอะไร  สุดท้ายเรื่องนี้จะบรรลุถึงระดับไหน  เขาก็สามารถรู้ได้ทั้งหมด  เหตุใดขณะนี้ทุกท่านยังไม่สามารถรู้ได้ละ  เพราะขณะนี้ท่านยังมีความคิดของคนอยู่  ยังปะปนอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ถ้าในเวลาที่ท่านไม่ได้อยู่เขตแดนนี้ของคนธรรมดาสามัญแล้ว  ท่านจะพบว่าเรื่องของคนธรรมดาสามัญนั้นแค่มองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว  แต่ทุกท่านล้วนบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ถ้าท่านไม่ได้บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ท่านก็ยกระดับขึ้นมาไม่ได้   หากว่าวันนี้เอาความคิดทั้งหมดของคนธรรมดาสามัญ และองค์ประกอบที่ไม่ดีทิ้งไปทั้งหมด รวมทั้งทัศนคตินานาชนิดของคนธรรมดาสามัญ เมื่อเปลี่ยนเป็นตัวเองที่บริสุทธิ์ทั้งหมดคนหนึ่งแล้ว  ท่านจะพบว่าท่านก็จะบำเพ็ญไม่ได้แล้ว   เพราะอะไรหรือ  ทุกท่านทราบ  หลังจากเทพสำเร็จสมบูรณ์แล้วก็ไม่อาจบำเพ็ญต่อไปได้อีก  เพราะวังวนทลายสิ้นแล้ว  ถ้าท่านไม่มีความคิดเหล่านี้ของคนธรรมดาสามัญดังว่า   ท่านก็จะไม่อยู่ในสภาพการณ์ของคนแล้ว  วังวนทั้งหมดก็ทลายไปแล้ว  ท่านจะทราบอดีตและอนาคตของตัวท่าน  และจะรู้ถึงผู้อื่น  ดังนั้นนั่นก็ยากที่จะบำเพ็ญแล้ว   แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อทุกท่านสามารถรู้ถึงอดีตและอนาคตก็จะบำเพ็ญไม่ได้แล้ว  เพราะสิ่งที่พวกท่านรู้นั้นมีขีดจำกัด   ส่วนการรู้ชนิดนี้ที่ข้าพเจ้าพูดถึงนั้น เป็นสภาพการณ์ที่ไคอู้(เปิดการรับรู้)ทั้งหมดแล้ว  อะไรก็รู้หมด  ไม่มีอะไรที่ไม่รู้  ดังนั้นมันจึงมีความแตกต่างกันอย่างนี้  ก็คือว่าท่านบำเพ็ญต้าฝ่าอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ก่อนที่จะสำเร็จสมบูรณ์จะไม่มีความคิดของคนธรรมดาสามัญแม้แต่น้อยเลยไม่ได้  แต่ว่า เมื่อมีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่  ก็ไม่อาจให้ท่านรู้ความจริง ของระดับชั้นที่ต่างกันได้มันก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้
  เช่นนั้นในเมื่อท่านมีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่  เช่นนั้นในเวลาที่ทุกท่านไม่ระวังในระหว่างบำเพ็ญ แน่นอนว่าจะต้องใช้ความคิดและทัศนคติของคนธรรมดาสามัญมาประเมินต้าฝ่า  จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน  เช่นนั้นจึงพูดได้ว่าในขณะที่ทุกท่านอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญนั้น  ก็จะมีความขัดแย้ง  ก็จะมีการข้ามด่าน  ก็จะมีเรื่องที่ท่านปล่อยวางความคิดของคนธรรมดาสามัญไม่ลงอย่างนี้เกิดขึ้น   นี่ก็คือการบำเพ็ญ  การบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่านั้น คือการละทิ้งความคิดของคนทีละชั้น ทีละชั้น  ทุกท่านทราบ ก็เหมือนกับหัวหอม ปอกมันออกทีละชั้น ทีละชั้น  สุดท้ายเมื่อปอกจนหมดแล้ว  ก็คือธาตุแท้  การบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่านั้นไม่อาจทิ้งไปได้ทั้งหมดในทันที  เป็นอย่างนั้น ท่านก็ไม่มีทางบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญแล้ว เพราะชั้นผิวของท่านไม่จัดว่าเป็นคนผู้หนึ่งในหมู่คนธรรมดาสามัญแล้ว

            การบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่ายังจะมีปัญหาหนึ่งสะท้อนออกมา  ก็คือทุกท่านจะรู้สึกว่าในระหว่างการบำเพ็ญ   บางครั้งบำเพ็ญได้ไม่เลว  แต่พอพบกับปัญหาบางอย่าง  ในแวบหนึ่งหรือในช่วงเวลานั้นสามารถวางจิตยึดติดได้แล้วจริงๆ  ก้าวข้ามมาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน   แต่ต่อมาพบว่าเมื่อผ่านไปอีกระยะหนึ่งจิตยึดติดก็ออกมาอีกแล้ว  ยังเป็นเรื่องเดิมๆ  ปัญหาเดิมๆ  กลับพบว่าไม่ได้ทิ้งมันไปอย่างแท้จริง  ก็มีอีกแล้ว  ที่จริงไม่ใช่เช่นนี้   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  รูปแบบการบำเพ็ญต้าฝ่าเหมือนกับการขึ้นบันไดที่แบ่งเป็นขั้นๆ  ก็เหมือนกับตัวอย่างที่ข้าพเจ้าเพิ่งยกขึ้นมา  ที่พูดถึงหัวหอมนั้น  ชั้นที่ปอกทิ้งไปแล้วก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว  แต่ส่วนที่ยังไม่ได้ปอกทิ้ง มันก็ยังมีอยู่  ก็คือว่า  มันเป็นการทิ้งไปทีละชั้น ทีละชั้น  ถ้าทิ้งไปหมดแล้วก็จะไม่มีอยู่ทั้งหมด          

            ในระหว่างการบำเพ็ญทุกท่านมักจะเกิดการรับรู้เข้าใจต่อต้าฝ่าไม่ดีพอ  ในเวลาที่ผ่านด่านมีความยากลำบากมาก  ทั้งที่รู้ว่าควรทำไปตามหลักการของฝ่า  แต่บางครั้งก็ทำได้ไม่ดี  ดังนั้นบางคนจึงคิดว่า  ฉันบำเพ็ญอยู่อย่างนี้  ทำไมยังมีจิตยึดติดอยู่  ใช่หรือไม่ว่าตัวฉันนี้ไม่สามารถจะสำเร็จสมบูรณ์ได้หนา มีคนจำนวนมากที่มีความคิดอย่างนี้  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ท่านอย่าได้คิดอย่างนี้   ด่านนี้ของท่าน จะข้ามได้ดี หรือข้ามได้ไม่ดี  จิตยึดติดของท่านปล่อยวางแล้ว หรือเพียงปล่อยวางได้เล็กน้อย  ที่จริงท่านล้วนกำลังอยู่ในการบำเพ็ญแล้ว   นี่ก็คือการบำเพ็ญ  เนื่องจากเมื่อท่านผ่านได้ไม่ดี  ท่านจะรู้สึกเสียใจภายหลัง  ทำไมฉันผ่านได้ไม่ดีนะ  ครั้งต่อไปฉันต้องพยายามทำอย่างไรที่จะผ่านด่านได้ดี   นี่ก็คือการบำเพ็ญ   ถ้าแต่ละด่าน แต่ละทุกข์ภัย  แต่ละการทดสอบล้วนสามารถผ่านได้ดีหมด  ข้าพเจ้าว่าท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว  ท่านก็ควรสำเร็จสมบูรณ์ได้แล้ว  เพราะอะไรก็ขวางกั้นท่านไม่ได้แล้ว  นั่นก็มีแต่ผู้รู้แจ้งหรือคนที่ไคอู้แล้วจึงจะบรรลุถึงสภาพการณ์นี้ได้
  แต่ว่าต้องระวังนะ  บางคนดูเหมือนว่าฟังเข้าใจแล้ว  คือเข้าใจในทางตรงกันข้ามโดยมีจิตยึดติด  คือ เดิมที การผ่านได้ดี หรือผ่านได้ไม่ดีนั้น ก็ล้วนอยู่ในการบำเพ็ญ  ดีละ ต่อไปไม่ต้องร้อนใจแล้ว  ผ่านได้ไม่ดีฉันก็ไม่ร้อนใจแล้ว     ใช้ไม่ได้  ถ้าท่านไม่ไปบำเพ็ญตนเอง  ท่านไม่สามารถก้าวหน้าได้   ก็เท่ากับท่านไม่บำเพ็ญแล้ว  มันก็เป็นความสัมพันธ์ในเชิงวิภาษอย่างนี้    หลักการของฝ่าเรานั้น จากต่ำถึงสูง  ในระดับชั้นที่ต่างกันล้วนเชื่อมโยงกันด้วยวิธีการมองปัญหาและรับรู้หลักการของฝ่าแบบหนึ่งเช่นนี้ ในเวลาที่ท่านรับรู้อยู่ในระดับชั้นนี้  อาจจะถูกต้อง  แต่พอท่านไปรับรู้โดยเปลี่ยนระดับชั้น หรือเปลี่ยนมุมมอง ท่านจะพบว่าไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว   นี่ก็คือทุกท่านกำลังยกระดับอยู่อย่างต่อเนื่อง  บำเพ็ญอยู่อย่างต่อเนื่อง  เข้าใจฝ่าอย่างต่อเนื่อง

            เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดก็คือ  ในระหว่างการบำเพ็ญ ทุกท่านย่อมจะมีปัญหามากมายที่จะถาม  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน   แต่ข้าพเจ้าคิดว่า  ถ้าทุกท่านสามารถยกระดับขึ้นได้ในฝ่าอย่างแท้จริง  ไปรับรู้ฝ่าโดยอยู่ในฝ่า  ย่อมจะยกระดับได้เร็วมาก  และปัญหาทั้งหมดที่ท่านไม่เข้าใจ หรือปัญหาที่ยกขึ้นมาถามนั้น ล้วนจะสามารถได้รับการแก้ไขโดยอยู่ในฝ่า  ฉะนั้นจึงมีอยู่วิธีเดียวคือต้องอ่านหนังสือให้มาก อย่าเพียงแต่ฝึกท่าเคลื่อนไหว   จุดนี้ในหมู่ผู้ฝึกชาวผิวขาวหรือชนชาติอื่น  คนที่รับรู้ได้อย่างนี้มีค่อนข้างมาก  เข้าใจว่าการฝึกชี่กงก็คือการฝึกท่าเคลื่อนไหว   ไหนเลยจะมีอย่างอื่นอีก  อ่านหนังสือไปทำไม  ทุกท่านมักจะมีความคิดอย่างนี้  ที่จริง  นี่ก็คือการรับรู้ที่บกพร่องที่สุดของพวกท่าน  พวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่า  พวกท่านฝึกการเคลื่อนไหวชี่กงนั้น ต่างอะไรกับการฝึกกายบริหารละ   โดยเปลือกนอกนั้นต่างกันน้อยมาก   เช่นนั้นทำไมชี่กงสามารถทำให้คนยกระดับขึ้นได้ละ  ทำให้คนมีสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคได้  แต่การฝึกการบริหารนั้นไม่สามารถบรรลุถึง   ก็เพราะมันคือการบำเพ็ญ  และความนัยของการบำเพ็ญนั้น  หาใช่จะอยู่แต่ในการเคลื่อนไหวเสียทั้งหมด  ทว่าท่าเคลื่อนไหวเป็นเพียงวิธีการเสริมต่อการบำเพ็ญอย่างหนึ่งเท่านั้น   แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ท่านยกระดับขึ้นได้และบรรลุถึงเขตแดนที่ต่างกันนั้นคือความเข้าใจต่อฝ่าของท่าน  ก็คือต้องมีฝ่าชี้นำท่าน จึงจะสามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้นได้   ดังนั้นข้าพเจ้าได้พูดแล้วว่าซินซิ่งสูงเพียงไรพลังของเขาก็จะสูงเพียงนั้น            นี่เป็นสัจธรรมที่แน่นอน
  ในอดีตมักจะมีคนรู้สึกว่าการบำเพ็ญเต๋า การฝึกชี่กงนั้น ใช่ไหมว่าต้องค้นหาทักษะพิเศษหรือเคล็ดลับอะไรหรือเลือกท่าเคลื่อนไหวที่พิเศษอะไรอย่างหนึ่ง  จึงจะสามารถบำเพ็ญขึ้นไปได้   สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนล่วงรู้ได้   แต่สาเหตุที่แท้จริงที่สามารถทำให้คนบำเพ็ญขึ้นไปได้นั้นไม่อาจให้คนรู้ได้  หาไม่แล้วทุกๆคนก็จะกลายเป็นเทพเซียนกันหมดแล้ว  หรือก็คือว่า มันมีวิธีการชี้นำ  และมีทฤษฏีชี้นำท่าน  มีวิธีที่จะให้ท่านบำเพ็ญขึ้นไปได้  วันนี้เราพูดมันให้กระจ่างสักหน่อย  ก็คือมีหลักการของฝ่าชี้นำ     แต่ในอดีตบรรดาวิธีการบำเพ็ญธรรมที่ถ่ายทอดออกมานั้น            มักจะเป็นหลักธรรมสายย่อยบนโลกค่อนข้างมาก
            ในความคิดของคน เข้าใจว่าทางสายใหญ่ที่แท้จริง  นั่นก็คือเหลาจื่อ  พระเยซู  องค์ศากยมุนี  ส่วนอย่างอื่นนั้น ส่วนมากล้วนเป็นทางสายย่อยบนโลก  สิ่งนั้นก็ยิ่งง่าย(พื้นๆ)  มีท่าเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน  แต่หลักการของฝ่านั้นมันไม่รู้สักเท่าไร  ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญขึ้นมาจึงลำบากมาก  มันก็ยึดการบำเพ็ญด้วยการทนทุกข์  ไปบำเพ็ญด้วยการทนทุกข์อย่างยาวนาน  การทนทุกข์สามารถทำให้คนยกระดับได้  สามารถทำให้คนสลายกรรม  แต่การรับรู้ในหลักการของฝ่านั้นช้ามาก  ดังนั้นพอบำเพ็ญขึ้นมาจึงเชื่องช้ามากๆ   ส่วนสิ่งที่เราถ่ายทอดในวันนี้คือต้าฝ่า  คือหลักการของฝ่าของทั่วทั้งจักรวาล ฝ่าชุดหนึ่งที่ใหญ่อย่างนี้ บรรยายเขาออกมาให้คนยกระดับ  เช่นนั้นจึงยกระดับได้เร็วอย่างแน่นอน  หลักการของฝ่านี้ยังสามารถทำลายความโง่เขลา ความผิดพลาดทั้งหมดของคนได้  สามารถปรับใจคนทั้งหมดให้ถูกต้อง  สามารถปรับแก้สภาพการณ์ทั้งหมดที่ไม่ถูกต้อง  ดังนั้นเพียงแต่ท่านไปศึกษาหลักการของฝ่านี้   เพียงแต่ท่านไปอ่าน  ท่านก็กำลังยกระดับอยู่           ดังนั้นการอ่านหนังสือศึกษาฝ่าจึงสำคัญอย่างยิ่งยวด
       บางคนพูดว่าต่อให้อ่านหนังสือให้ดีขึ้นไปอีก  เพียงแต่รับรู้ทางความคิด  มันก็เป็นคนละเรื่องกับการฝึกพลัง  นี่ก็คือพูดถึงการฝึกพลังแล้ว  พวกเราทราบว่ามันสามารถฝึกชี่ออกมาได้  จากนั้นฝึกพลังออกมา  นี่คือสสาร  แต่การรับรู้ทางความคิดของท่าน  นี่ดูเหมือนเป็นเรื่องของจิตใจ   ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสสาร   ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านจิตกับสสารมันเป็นคุณสมบัติเดียวกัน  ในการบำเพ็ญท่านคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรือ เมื่อความคิดของท่านเข้าใจหลักการของฝ่าในระดับชั้นนั้นแล้ว  ท่านมิใช่อยู่ในระดับชั้นนั้นแล้วหรือ  ใน “จ้วนฝ่าหลุน”เคยพูดไปหมดแล้ว  ที่เป็นรายละเอียดนั้น ข้าพเจ้าก็จะไม่พูดแล้ว  ทุกท่านไปอ่านหนังสือเอา ดังนั้นการอ่านหนังสือจึงสำคัญอย่างยิ่ง  นี่ก็คือเรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูดก่อนที่จะบรรยายฝ่าในแต่ละครั้ง  เพราะทุกท่านล้วนเป็นผู้ฝึก   แต่ละคนล้วนคิดจะยกระดับขึ้น  ล้วนคิดจะสำเร็จสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง  ดังนั้นทุกท่านจึงมาถึงที่นี่ศึกษาฝ่านี้  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกท่านสำเร็จสมบูรณ์ยกระดับขึ้น ก็คือหนังสือเล่มนี้  “จ้วนฝ่าหลุน” ทุกท่านต้องไปอ่านให้มากๆ  

หลายวันก่อน มีผู้ฝึกคนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า ผมอ่านไปสองร้อยกว่ารอบแล้ว  ผมวางไม่ลงแล้วจริงๆ ผมยังอ่านอยู่  ก็คือเขายิ่งอ่าน  สิ่งที่อยู่ข้างในก็ยิ่งมาก  ในเวลาที่ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ ในระดับชั้นที่ต่างกัน ท่านจะพบว่าตัวอักษรในบรรทัดเดียวกันนั้น  ภายใต้สภาพการณ์ที่ต่างกัน หรือภายใต้สภาวะที่ต่างกันของจำนวนรอบที่ท่านอ่าน  การรับรู้ต่อตัวอักษรบรรทัดนั้นของท่าน  จะไม่เหมือนกันทั้งสิ้น  เมื่อก่อนท่านอ่านบรรทัดนี้เป็นความหมายอย่างนี้  รอจนท่านยกระดับขึ้นมาแล้ว  ท่านจะพบว่าตัวอักษรบรรทัดนี้ไม่ใช่ความหมายนั้นแล้ว  ยังมีความหมายที่สูงกว่า ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ  ล้วนจะมีปฏิกิริยาอย่างนี้

            ทุกท่านทราบว่าฝ่าชุดนี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดออกมาแล้ว  ข้าพเจ้าไม่ใช่เพียงสอนให้ท่านขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพ  ข้าพเจ้าจะชำระล้างร่างกายให้กับท่าน  บรรลุถึงสภาพที่ปราศจากโรค  จากนั้นยกระดับชั้นของท่านขึ้นอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งสำเร็จสมบูรณ์  หากไม่มีฝ่าระดับชั้นสูงอย่างนั้นมาชี้นำท่าน  ท่านก็จะไม่ทราบเลยว่าข้างบนบำเพ็ญกันอย่างไร  ท่านก็จะไม่ทราบความนัยของหลักการของฝ่าในระดับชั้นนั้นเลย  และก็จะขึ้นไปไม่ได้   ดังนั้นพวกท่านจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้  ในขณะเดียวกับที่อ่านหนังสือ  ยังต้องทำให้เขตแดนของทุกท่านได้รับการยกระดับขึ้น  ทำให้ความคิดของทุกท่าน  ทำให้การรับรู้ของทุกท่านเลื่อนสูงขึ้น   หากใช้ภาษาของคนธรรมดาสามัญพูดคือ  พวกเราจะเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น   ที่จริงไม่ใช่เพียงสิ่งเหล่านี้   เพราะในการบำเพ็ญของท่าน  สิ่งที่จะได้ไม่ใช่เพียงร่างกายที่ดี ไม่ใช่ได้ความสามารถพิเศษเพียงเล็กน้อยแค่นั้น   ท่านต้องบรรลุการสำเร็จสมบูรณ์  บรรลุถึงเขตแดนที่สูงยิ่งกว่า

            หากทุกท่านคิดจะบรรลุถึงเขตแดนนี้  ดังนั้นหากพวกท่านไม่ทราบหลักการของฝ่าในเขตแดนนั้น  ท่านจะยกระดับขึ้นมาได้อย่างไร  ในเวลาเดียวกับที่พวกท่านจะบรรลุถึงเขตแดนที่สูงอย่างนั้น   ยังต้องสามารถปล่อยวางจิตยึดติดนานาชนิดของคนลงได้อย่างแท้จริงในระหว่างการบำเพ็ญ  มันก็เหมือนกับกุญแจลูกแล้วลูกเล่าที่ล็อกอยู่  ประตูบานแล้วบานเล่า  ที่ขวางกั้นทางของท่านไว้  ดังนั้นในเวลาเดียวกับที่ท่านเข้าใจหลักการของฝ่านี้  ในเวลาปรกติที่อยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆของสังคมคนธรรมดาสามัญทุกท่านล้วนต้องทำให้ดียิ่งขึ้นสักหน่อย  อย่างน้อยที่สุดทุกท่านต้องทำตัวเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  บรรลุถึงเขตแดนที่สูง มาตรฐานที่สูงเช่นนั้น  หรือพูดว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  ผู้คนต่างจะพูดว่าท่านเป็นคนดี  เช่นนี้ระดับชั้นของทุกท่านก็จะเลื่อนสูงขึ้นได้  เขตแดนความคิดจะเลื่อนสูงขึ้นได้  เช่นนั้นพลังของพวกท่านมิใช่ยิ่งฝึกก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นหรือ  นี่ก็คือเป็นเวลานานมาแล้ว  ทำไมบางคนที่ฝึกชี่กงจึงฝึกขึ้นไปไม่ได้  เขาฝึกหลายวิธี  ก็บำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้  ยิ่งกว่านั้นตัวเขาเองยังมีโรค  เช่นนั้นท่านมิใช่ฝึกโดยสูญเปล่าหรอกหรือ

            สาเหตุที่แท้จริงที่บำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้  ก็คือเขาไม่มีหลักการของฝ่ามาชี้นำ  ดังนั้นฝ่าชุดนี้ที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้กับทุกท่าน  จึงเป็นสิ่งที่ครบถ้วน เป็นระบบ  สามารถทำให้ท่านสำเร็จสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง  เป็นฝ่าชุดที่ดีที่สุด  ดังนั้นจึงมีคนมากมายเช่นนั้นรู้คุณค่าของเขา   ขณะนี้หนังสือพิมพ์รายงานว่าพวกเรามีกันร้อยล้านคน  ทำไมจึงมีคนมากอย่างนี้นะ  ทุกท่านทราบในสังคมเช่นนั้นของประเทศจีน  โดยเฉพาะคนที่อายุค่อนข้างมาก  พวกเขาได้ประสบกับการรณรงค์ทางการเมืองมาหลายครั้ง โดยเฉพาะคือได้ผ่านการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม  พวกเขาเคยมีความเชื่อ  และเคยมีการเคารพบูชาแบบหลับหูหลับตา  ล้มลุกคลุกคลาน  เคยมีประสบการณ์ ผ่านการรณรงค์ทางการเมืองอย่างนี้ อย่างนั้น  คนอย่างนี้ท่านจะให้เขาเชื่อสิ่งหนึ่งอย่างหลับหูหลับตาจะเป็นไปได้ไหม  เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด   เช่นนั้นทำไมจึงมีปัญญาชนชั้นสูงมากมายอย่างนั้น  คนที่มีความคิด มากมายอย่างนั้นศึกษาฝ่านี้ละ  ก็คือว่าฝ่านี้  สามารถรับผิดชอบต่อคนอย่างแท้จริง  สิ่งที่พูดออกมาเป็นเหตุผล  เป็นหลักการของฝ่า        จูงใจคนด้วยหลักการ

              นิวซีแลนด์สถานที่นี้  มีผู้ฝึกมากมายกำลังศึกษาอยู่   ข้าพเจ้าหลี่ หง จื้อ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง  หรือกำหนดว่าท่านต้องเป็นอย่างไร หรือท่านต้องเป็นอย่างนั้น  แล้วข้าพเจ้าคอยดูท่านศึกษา  ไม่มีนะ  ทำไมทุกท่านจึงสามารถบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้อย่างแน่วแน่  เพราะพวกท่านทราบว่าหลักการของฝ่านั้นดี  เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ของคนนั้นคืออะไร  ในชั่วชีวิตหนึ่งของคน  ใช่หรือไม่ว่าต้องรับผิดชอบต่อตนเองอย่างแท้จริง  นี่จึงจะเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตคน  

สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่  ที่สำคัญคือหวังว่าทุกท่านจะเห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่า  จะอย่างไรก็ต้องเห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่า  ในอดีตบางคนแสวงหาหลักธรรมไปทุกแห่งเพื่อจะบำเพ็ญ  แต่บำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้  ไม่ได้รับหลักธรรม หาใช่ว่าไม่ได้รับท่าฝึกนั้น  หากแต่ไม่ได้รับฝ่า  ไม่มีคนพูดหลักการของฝ่าสำหรับการบำเพ็ญที่แท้จริง  ในเมื่อเขาเป็นต้าฝ่าชุดหนึ่งอย่างนี้ของจักรวาล  ทุกท่านลองคิดดู  ฝ่าของจักรวาล  ได้สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมของการคงอยู่และรูปแบบการคงอยู่ของชีวิตให้กับชีวิตที่ต่างกันในระดับชั้นที่ต่างกันหรือพูดว่าเขาคือมูลฐานของการก่อตั้งจักรวาล  ชีวิตทั้งปวง  สสารทั้งปวงล้วนสร้างขึ้นมาโดยเขา  ที่ผ่านมาหลักธรรมเล็ก  เต๋าเล็ก  หลักการเล็ก วิธีการบำเพ็ญเล็กๆเหล่านั้นที่ทุกท่านรู้จัก ใช่หรือไม่ว่า ก็ล้วนเป็นเพียงเศษเสี้ยวอันน้อยนิดของต้าฝ่าของจักรวาลชุดนี้   และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยแค่นั้นในระดับชั้นที่ต่ำที่สุดที่สามารถเผยออกมาให้กับคน   แต่วันนี้ที่พวกท่านได้รับนั้นเป็นต้าฝ่าของจักรวาล  เป็นสัจธรรมที่พวกท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน  นี่เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยมีคนเคยพูดมาก่อนในประวัติศาสตร์

    ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ที่กำลังนั่งอยู่ล้วนทราบว่า  พวกเราที่เพิ่งเข้ามา  หรือคนที่ยังไม่ได้เข้ามา  ยังไม่ได้ศึกษา  พอได้ฟังอาจจะรู้สึกว่าที่ข้าพเจ้าบรรยายนั้นใหญ่โตเกินไปแล้ว   ที่จริงหากท่านไปลองอ่านหนังสืออย่างเป็นระบบ  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านก็จะเข้าใจได้ว่า  ที่ข้าพเจ้าบรรยายนั้นคืออะไร    เราไม่มีรูปแบบใดๆในการควบคุม ท่านอยากจะเรียน ท่านก็เรียน  ท่านไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน  ไม่มีใครควบคุม  แต่ถ้าท่านอยากจะเรียน  ข้าพเจ้าก็ต้องรับผิดชอบต่อท่าน  แต่วิธีการที่รับผิดชอบต่อท่านนั้น  ไม่ได้ปรากฏออกมาในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ก็เป็นสภาพการณ์ชนิดนี้

    ที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่คือ ทุกท่านต้องเห็นความสำคัญกับการศึกษาฝ่า  ต่อไปข้าพเจ้าจะพูดสักหน่อยเกี่ยวกับสถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมเมื่อเร็วๆนี้ โดยเฉพาะคือในประเทศจีน  คือ มีผู้ฝึกบางคนไปที่จงหนานไห่(ทำเนียบรัฐบาลจีน)สะท้อนปัญหาให้กับผู้นำประเทศ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสพูดเรื่องนี้กับทุกท่าน  ขณะนี้หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงรายงานกันอย่างเลอะเทอะ  หนังสือพิมพ์ของคนจีนในประเทศอื่นล้วนแต่คัดลอกตามหนังสือพิมพ์ในฮ่องกง และคนทั่วโลกคงจะทราบกันว่าฮ่องกงมีคนเพียงหกล้านคน  แต่มีหนังสือพิมพ์มากมายอย่างนั้น วารสารมากมายอย่างนั้น  ซึ่งล้วนแต่แข่งกันขายข่าว ล้วนอยากจะขายเอาเงิน  ดังนั้น เป็นเวลานานมาแล้วที่ได้บ่มเพาะให้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่รับผิดชอบอย่างมากชนิดหนึ่งต่อการรายงานข่าว  มันสามารถกุข่าวลือตามชอบใจ  สามารถแต่งเรื่องตามชอบใจ   สามารถสร้างจินตนาการไปตามปัญหาหนึ่งตามชอบใจ  จากนั้นก็รายงานมันออกมา  ก็เป็นเช่นนี้   ดังนั้นหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีวินัยที่สุดในโลก ก็คือหนังสือพิมพ์จีนในฮ่องกง  ยิ่งกว่านั้นแม้ข่าวลือที่ได้ยินได้ฟังมามันก็กล้ารายงานออกมาเป็นข่าวที่เป็นทางการ

            ตรงนี้ก็จะพูดกับทุกท่านสักหน่อยเกี่ยวกับความเห็นของข้าพเจ้า  ผู้ฝึกเราที่ไปสะท้อนสถานการณ์ให้กับผู้นำประเทศที่จงหนานไห่นั้น   ไม่ใช่การแสดงพลัง และไม่ใช่ไปนั่งสมาธิ  ทุกคนไม่ได้นั่งสมาธิ  บางคนที่นั่งอยู่ที่นั่น คือเขากำลังฝึกพลัง  ไม่มีการตะโกนคำขวัญ  ไม่มีการชูป้าย  ไม่มีการกระทำที่รุนแรง  ไม่ได้ใช้ภาษาที่รุนแรง  ล้วนแต่อยากจะบอกความคิดเห็นที่แท้จริงของพวกเรากับผู้นำประเทศด้วยความคิดที่ดีงาม  ไม่เหมือนกับสถานการณ์นั้นที่หน่วยตำรวจสันติบาลกุข่าวลือ  บางคนมักจะเน้นว่าไปจงหนานไห่เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้  จงหนานไห่มิใช่ที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาลหรือ  ประชาชนไปไม่ได้หรือ  ผู้ฝึกไปที่นั่นทำอะไรแล้วหรือ  ไปต่อต้านรัฐบาลหรือ   มิใช่ไปสะท้อนปัญหาให้กับผู้นำประเทศ ขอร้องให้ผู้นำประเทศเป็นหลักให้ประชาชนเป็นสำคัญหรือ  ทำไมพูดว่ามีการจัดตั้งอย่างนั้นอย่างนี้นะ   ถ้ามีการจัดตั้งสนับสนุนรัฐบาล   รัฐบาลไม่ดีใจหรือ

        แน่ละ  ทุกท่านลองคิดดู  ทำไมคนจึงไปกันมากอย่างนั้น  ที่จริงข้าพเจ้ารู้สึกว่าคนที่ไปน้อยเกินไปด้วยซ้ำ  (เสียงปรบมือ)  ที่นี่ข้าพเจ้าไม่ใช่จะสนับสนุนให้ทุกท่านไป  ข้าพเจ้าหมายถึงอะไรหรือ  มีคนศึกษาต้าฝ่านี้หนึ่งร้อยล้านคน  ทุกท่านคิดดู  เมื่อเทียบแล้ว มิใช่ไปน้อยเกินไปหรือ  เพราะคนที่ศึกษามีมากใช่ไหม  เป็นเหตุผลนี้หรือไม่นะ   เช่นนั้นทำไมทุกท่านจึงไปละ   ทุกท่านทราบ  ตำรวจเทียนจิน(เทียนสิน)จับผู้ฝึกของเราไปแล้ว ตีผู้ฝึกของเรา  พูดว่าพวกเราเป็นลัทธินอกรีต  ทุกท่านต่างกำลังศึกษาเพื่อเป็นคนดีกัน  ถ้าพวกเราเป็นคนชั่วจริงๆ   ถ้าคุณพูดว่าฉันเป็นมาร  คุณว่าอะไรฉัน ฉันก็ไม่ใส่ใจ ใช่หรือไม่  แต่ทุกท่านกำลังเป็นคนดีอย่างแท้จริง   คุณพูดว่าฉันเป็นมาร  คุณมิใช่กำลังทำร้ายจิตใจทุกคนหรือ ท่านไม่มีเหตุผลตรงนี้  พูดให้ท่าน(เจ้าหน้าที่ ที่เทียนจิน)ฟังไม่เข้าใจ  เช่นนั้นพวกเราจึงไปพูดกับผู้นำรัฐบาลกลาง  โดยวิธีการไม่ผิดอะไร (เสียงปรบมือ)  เพราะพวกเราไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองอะไร  และไม่ได้โจมตีรัฐบาล    พวกเราเพียงแต่บอกว่าการกระทำของสันติบาลไม่ถูกต้อง       ดังนั้นในด้านนี้ไม่มีปัญหา

        นักข่าวบางคนที่รายงานข่าว  ไม่รับผิดชอบอย่างมาก  ดังนั้นพอเขาได้ยินเรื่องคาวนิดเดียว  (ข่าวที่ผิดปรกติสักหน่อย) เขาก็ย่อมจะปลุกปั่นข่าว   เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่ให้เขาสบโอกาส  ดังนั้นท่าทีของข้าพเจ้าจึงชัดแจ้งมาก  พวกเราไม่ได้ต่อต้านรัฐบาล  และไม่ได้แสดงพลัง เดินขบวนอะไร  ไม่ได้ทำเรื่องด้วยความรุนแรง  เพียงแต่ไปสะท้อนสถานการณ์  คุณก็คิดจะไป  ฉันก็คิดจะไป  นั่นก็มากขึ้นมาแล้ว   คนร้อยกว่าล้านคนแต่ไปเพียงหนึ่งหมื่นกว่าคน   แม้แต่แค่เศษเสี้ยวหนึ่งก็ยังไม่ถึง  นั่นมิใช่น้อยเกินไปแล้วหรือ ถ้าจะทำเรื่องให้ใหญ่โตกว่านั้น  รุนแรงกว่านั้น  ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่ใช่เพียงหนึ่งหมื่นคนแล้ว  คงจะไปมากกว่านั้น   เช่นนั้นจึงไม่อาจพูดว่าคนที่ไปสะท้อนสถานการณ์มีมากแล้วก็พูดว่ามันไม่ถูกต้อง ไปสะท้อนปัญหาให้กับผู้นำประเทศ  นี่เป็นการกระทำ และภาระหน้าที่ของประชาชนทุกคน เป็นสิทธิของเขา  นี่ยังผิดหรือ  ไม่ผิด  พวกเราไม่ได้ต่อต้านรัฐบาล  ไม่ยุ่งการเมือง  ในเวลาเดียวกันพวกเรายังรู้สึกว่าเป็นการปกป้องกฎหมายบ้านเมือง  เป็นเช่นนี้หรือไม่  พวกเราอยู่ที่ไหนล้วนแต่เป็นคนดี  เกี่ยวกับปัญหานี้ ข้าพเจ้าคิดว่าก็คือ สถานการณ์อย่างนี้ 

        ทุกท่านทราบว่าพวกเราคือการบำเพ็ญ  แม้ว่าจะเป็นการบำเพ็ญ  ในเส้นทางการบำเพ็ญของเรานี้  ย่อมไม่มีเรื่องบังเอิญ   ข้าพเจ้ามักพูดอย่างนี้เสมอ  การต่อต้านกับการสนับสนุนนั้นคงอยู่พร้อมกัน  การเชื่อกับไม่เชื่อคงอยู่พร้อมกัน   คนดีกับคนชั่วคงอยู่พร้อมกัน สิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่เป็นนอกรีตคงอยู่พร้อมกัน นี่ก็คือมนุษยชาติ นี่ก็คือหลักการของการเสริมและต้านซึ่งกันและกัน มีคนต่อต้าน ไม่อาจพูดว่ามันไม่ใช่เรื่องดี  ทุกท่านทราบว่า  ไม่มีมาร  ทุกท่านก็บำเพ็ญไม่ได้   มันต่อต้านท่าน  เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่า เราก็จะดูใจคนของท่านในขณะที่มันกำลังต่อต้าน  ดูว่าท่านแน่วแน่หรือไม่  ดูว่าท่านจะบำเพ็ญได้หรือไม่  เพราะการบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง จะบรรลุถึงเขตแดนของการสำเร็จสมบูรณ์  เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู   หากไม่มีการทดสอบชนิดนั้นต่อท่านอย่างแท้จริง   นั่นจะนับได้หรือ  ดังนั้นจึงมีการทดสอบอย่างนี้  จึงมีเรื่องอย่างนี้

 คนกำลังทำเรื่องที่ไม่ดี  ไม่อาจพูดว่าเขากำลังช่วยพวกเรา  เขากำลังทำเรื่องที่ไม่ดีอยู่จริงๆ  แต่เรากลับอาศัยการทำเรื่องไม่ดีชนิดนี้โดยตัวมันเอง  ให้โอกาสแก่ผู้บำเพ็ญ   เมื่อมีคนต่อต้าน  ท่านยังจะฝึกหรือไม่  บางคนบอกว่าไม่ดี  เช่นนั้นท่านเองคิดว่าเขาดีหรือไม่ดีละ  นี่มิใช่การดูใจคนหรือ  ดังนั้นการบำเพ็ญนั้นเข้มงวดมาก  จุดนี้พวกเราต้องแจ่มชัด  ไม่อาจมีเรื่องบังเอิญใดๆ

โดยผ่านเรื่องนี้  ทุกท่านคิดไหมว่า  ทั่วโลกล้วนทราบว่าต้าฝ่าปรากฏขึ้นแล้ว  (เสียงปรบมือ) เทียบกับการหงฝ่าของพวกท่าน ซึ่งไม่ว่าจะทำสักเท่าไร   จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ย่อมจะทำได้ในขอบเขตพื้นที่ที่กว้างใหญ่กว่า (เสียงปรบมือ) ในเวลาเดียวกันก็เป็นการทดสอบที่รุนแรงมากต่อผู้ฝึกในจีนจริงๆ    แน่ละคำพูดนี้ของข้าพเจ้านั้นพูดให้กับผู้บำเพ็ญ   ในสังคมคนธรรมดาสามัญก็คือรูปแบบชนิดนั้นที่ปรากฏในสังคมคนธรรมดาสามัญ    ท่าทีของข้าพเจ้านั้นเมื่อครู่ได้พูดไปแล้ว  ก็คือท่าทีอย่างนี้   พวกเราล้วนไม่ยุ่งเกี่ยว และไม่ได้ให้ร้ายผู้นำ รัฐบาลหรือกฎหมายใดๆของประเทศ  เพราะทุกท่านก็กำลังทำตัวเป็นคนดี            เพียงแต่ไปสะท้อนสถานการณ์
            เกี่ยวกับปัญหานี้ข้าพเจ้าจึงพูดเรื่องเหล่านี้ เพราะขณะนี้คือฝ่าฮุ่ย        ทุกท่านยังจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์  ซึ่งทุกท่านล้วนจะสามารถมองเห็นตนเอง  ค้นพบข้อด้อย  ทำให้ทุกท่านสามารถยกระดับขึ้นมาได้   วันนี้ทั้งวันพวกเราจะคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์  บ่ายวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาให้ทุกท่าน  การประชุมครั้งนี้ของเรา ทั้งหมดจะเปิดหนึ่งวันครึ่ง   หวังว่าทุกท่านล้วนจะสามารถนั่งลงมา  ในเวลาที่ฟังคนอื่นพูด เงียบสงบกันสักหน่อย  การเห็นคุณค่าของคนอื่นคือการเห็นคุณค่าของตนเอง  เพราะฝ่าฮุ่ยเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์   ที่พวกท่านบำเพ็ญนั้นคือฝ่าของจักรวาล   เอาละ  ข้าพเจ้าก็พูดเพียงเท่านี้ (เสียงปรบมือ )

    ฝ่าฮุ่ยเมื่อวานนี้  ข้าพเจ้าอยู่ในห้องด้านข้างโดยตลอด  ดูไปพลางฟังไปพลาง การพูดของทุกท่าน   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าฝ่าฮุ่ยนี้เปิดได้ดีมาก   สามารถก่อประโยชน์ที่แท้จริงของฝ่าฮุ่ย  ทำให้ทุกท่านได้รับประโยชน์จากฝ่าฮุ่ย  ยกระดับขึ้นได้อย่างแท้จริง  ดีมาก   เวลาช่วงเช้าของวันนี้  ข้าพเจ้าก็จะตอบปัญหาให้กับทุกท่านโดยเฉพาะ   นี่กลายเป็นเรื่องกิจวัตรของฝ่าฮุ่ยเราแล้ว  ฉะนั้นทุกท่านที่มีปัญหาอะไร  สามารถถามได้      จะพยายามตอบให้ทุกท่านตามเวลาของฝ่าฮุ่ย

พูดถึงเรื่องของคนธรรมดาสามัญนั้น  ข้าพเจ้าคิดว่าทุกท่านอย่าได้ถาม  หรือปัญหาบางอย่างที่ท่านรับรู้(อู้)ไม่ได้ในระหว่างการข้ามด่าน   ถ้าท่านคิดจะยกขึ้นมาถามข้าพเจ้า   ด่านนั้นที่จริง คือให้ท่านข้าม  ถ้าตอบให้ท่านแล้ว  ก็ดูเหมือนจะไม่มีที่ท่านจะอู้เองแล้ว ใช่ไหม  ถามเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญของพวกเราให้มาก  เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญให้ถามแต่น้อย  ดีที่สุดคืออย่าถาม  เอาละจากนี้เริ่มต้นได้

ศิษย์     เนื่องจากเป็นฝ่าฮุ่ยครั้งแรกของนิวซีแลนด์   พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกใหม่  หวังว่าท่านอาจารย์จะบรรยายเรื่องต้าฝ่ามากสักหน่อย  ชี้นำการบำเพ็ญของเรา
อาจารย์     เมื่อข้าพเจ้าตอบปัญหาให้  ที่จริงก็คือการบรรยายฝ่าให้กับทุกท่าน  เพราะปัญหาจำนวนมากที่ถาม มีความเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของพวกเรา  ด้านนี้  ข้าพเจ้าจะพยายามพูดกับทุกท่านให้ชัดเจน

ศิษย์     ผมเช่าห้องของคนอื่นอยู่  คนที่อยู่ห้องอื่นมีหนังสือชี่กงและศาสนาหลายเล่ม  ตัวเขาเองอาจมีตัวสิงร่างอยู่   ขอเรียนถามว่าจะกระทบต่อผมหรือไม่  

อาจารย์     พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน  ที่พวกท่านบำเพ็ญนั้นคือต้าฝ่า  คือการบำเพ็ญที่แท้จริง  พูดถึงชี่กงอื่นๆ  มันมีแต่จะถูกพลังงานของการบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องของพวกท่านยับยั้ง  พวกท่านจะไม่ถูกมันรบกวน  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  ถ้าตัวเองควบคุมตัวเองได้ไม่ดี   ไปปะปนกับพวกเขา  หนังสืออะไรก็อ่าน  อะไรๆก็ฝึก  บางทีท่านก็จะพบกับความยุ่งยาก  ถ้าท่านรักษาซินซิ่งของท่านไว้ได้   ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดล้วนจะไม่ได้รับผลกระทบ  ที่จริงเมื่อท่านสามารถทราบว่ามีหลายคนฝึกสิ่งที่ไม่ดี  แต่ท่านเคยคิดหรือไม่  สภาพแวดล้อมที่มีอยู่ทั้งหมดของมนุษย์ทุกวันนี้  ล้วนแต่ไม่บริสุทธิ์  ดังนั้นไม่ว่าผู้บำเพ็ญเราอยู่ที่ไหน  เพียงรักษาซินซิ่งของตนไว้ได้   บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย  อย่ากังวลกับสิ่งเหล่านี้  ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย  เพราะความกังวลของท่านโดยตัวมันเองก็คือจิตยึดติด  ดังนั้นพอท่านยึดติดก็ต้องทิ้งจิตยึดติดของท่านไปจึง ทำให้คล้ายกับว่าถูกคนรบกวน ที่จริงอาจเป็นสิ่งที่เกิดจากใจตนเอง

ศิษย์     ที่ท่านเขียนว่า “ช่วยอาจารย์ขณะเดินท่องในโลก” “ช่วยข้าพเจ้าหมุนฝ่าหลุน”โคลงสองประโยคนี้หมายถึงเหล่าศิษย์         หรือพระพุทธ  เต๋า       เทพ      ที่ช่วยท่านอาจารย์
อาจารย์    มีทั้งนั้น   ทุกท่านลองคิดดู เนื่องด้วยในปีนั้นที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่า  ข้าพเจ้าได้จัดชั้นเรียน  ที่จริงก็คือการบ่มเพาะผู้ฝึกชั้นเยี่ยมของต้าฝ่า  วันนี้เรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกท่านกำลังทำ  ยืนยันความถูกต้องของฝ่าในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ยิ่งกว่านั้นผู้ฝึกใหม่ของเราก็กลายเป็นผู้ฝึกเก่าแล้ว  และกำลังทำการเผยแพร่ฝ่าด้วยกันทั้งนั้น  ให้คนได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น  การบำเพ็ญของพวกท่าน  จิตใจนั้นที่แน่วแน่ต่อต้าฝ่า  แกร่งดุจหินผา  มีพลังในการสร้างความมั่นคงให้ต้าฝ่า  ในขณะเดียวกันในสังคมคนธรรมดาสามัญสามารถทำให้คนได้ฝ่ามากขึ้น    ที่จริงนี่ก็กำลังช่วยอาจารย์อยู่แล้ว  แน่ละนี่ล้วนทำโดยไม่ได้ตั้งใจ   และเป็นสิ่งที่พึงต้องมีในการบำเพ็ญของพวกท่าน  ก็คือเรื่องอย่างนี้  แน่ละข้างบนมีสภาพการณ์ของข้างบน  ก็คืออย่างนี้ 

 

ศิษย์     ที่ท่านเขียนว่า “ใครอวดตนว่าฉลาดปัญญายิ่งใหญ่ ท่ามกลางอารมณ์และความรู้สึกผูกพัน โลดเต้นอยู่ในเฉียนคุน(โลกหล้า/จักรวาล)”สองประโยคนี้จะเข้าใจได้อย่างไร                                                                                       อาจารย์    ในประวัติศาสตร์  มีคนที่มีชื่อเสียงมากมาย  มีนักปราชญ์ที่คนมากมายพูดถึง  มีอยู่หลายคน ที่คนธรรมดาสามัญรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม  รวมทั้งในปัจจุบัน มีคนที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย  พวกเขาล้วนเป็นคนธรรมดาสามัญ  ล้วนไม่หลุดพ้นจากฉิง(อารมณ์และความรู้สึกผูกพัน)  เขาเองรู้สึกว่ามีผลงานอยู่บ้าง  ผู้คนจึงพูดว่าเขายอดเยี่ยม  ปราดเปรื่อง  มีปัญญา   ที่จริง  ข้าพเจ้าเห็นว่าล้วนแต่อยู่ท่ามกลางอารมณ์และ ความรู้สึกผูกพัน โลดเต้นอยู่ในเฉียนคุน(โลกและจักรวาล)  ก็คือความหมายนี้  ล้วนไม่หลุดพ้นจากอารมณ์และ ความรู้สึกผูกพัน  ล้วนอยู่ในสภาพแวดล้อมของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้นพวกเขายังคงเป็นคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์   ลูกของดิฉันอายุ ๒ ขวบ  เขาชอบดูวิดีทัศน์สอนฝึกพลังของท่านอาจารย์  แต่พ่อของเด็กรู้สึกไม่พอใจมาก

อาจารย์     บำเพ็ญต้าฝ่า กลับสู่ความจริงแท้ดั้งเดิม  เป็นเป้าหมายที่แท้จริงในการมาสู่โลกของคนในวันนี้   สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกกับพวกท่านนั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน  วันนี้คนบนโลกทั้งหมด  ที่จริงล้วนไม่ได้มาเพื่อเป็นคน  แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมาได้ฝ่ากัน   เช่นนั้นในเมื่อการที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในหมู่คนนั้นไม่ใช่เป้าหมาย   เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  ไม่แน่ว่าจะมาได้ฝ่ากันทั้งหมด  แต่ล้วนมาเพื่อฝ่า   ในเมื่อการมีชีวิตอยู่ในหมู่คนของพวกเรานั้นไม่ใช่เป้าหมายเพียงประการเดียวของชีวิต   จะหวนกลับคืนไปอย่างไร  นี่เป็นเป้าหมายมูลฐานของชีวิตคน  เป้าหมายมูลฐานของการมีชีวิตอยู่  เช่นนั้นพวกเราทำเช่นนี้ไม่ใช่ดีที่สุดหรือ  ในเมื่อพ่อของเด็กไม่ให้บำเพ็ญ  บางทีเขากำลังช่วยพวกท่านข้ามด่าน   บางทีอาจมีองค์ประกอบอย่างอื่นคงอยู่   เช่นนั้นบางที เป็นการไม่ให้พวกท่านบำเพ็ญจริงๆ  แน่ละจะมองปัญหานี้อย่างไรละ  ท่านรู้สึกว่าทำอย่างไรถูกต้องก็ทำอย่างนั้น       ท่านยึดกุมเอาเอง
 

ศิษย์     อุปนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน     ใช่หรือไม่ว่าบำเพ็ญยิ่งสูงก็ยิ่งไม่มี(อุปนิสัย)แล้ว
อาจารย์     อุปนิสัยของแต่ละคนต่างกัน  แต่ไม่เท่ากับว่าเป็นอุปนิสัยที่เป็นธาตุแท้ของท่าน  อุปนิสัยของแต่ละคนที่แสดงออกมาส่วนมากคือจิตยึดติดที่ไม่ยอมวาง    อุปนิสัยที่เป็นของธาตุแท้เหล่านี้จะไม่เกิดอุปสรรคต่อการบำเพ็ญของเรา   เพราะมีคนมากมายล้วนมีความเป็นมาที่ยาวไกลมาก  มีจุดเด่นที่เป็นธาตุแท้อย่างมาก นี่ก็คือจุดเด่นที่ต่างกันของชีวิต  บ้างชอบทำอะไรเร็วๆ  บ้างก็ชอบทำอะไรช้าๆ   แน่ละสิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงความเคยชินที่ปลูกฝังหลังกำเนิดของเขา  ไม่ว่าท่วงทำนองของชีวิตท่านจะช้าหรือ

เร็ว  สิ่งเหล่านี้กล่าวสำหรับการบำเพ็ญแล้วมันไม่ก่อเกิดเป็นอุปสรรค  
        แต่ในการศึกษาฝ่าทุกท่านจะต้องก้าวหน้า  เพราะเวลาของชีวิตคนมีจำกัดอย่างยิ่ง  คนอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ   ถ้าคิดจะได้สิ่งที่ทำให้ชีวิตตนเองได้รับสิ่งที่เป็นนิรันดร์  อยู่ในโลกมนุษย์ นอกจากบำเพ็ญแล้ว  อะไรอื่นล้วนจะไม่ได้รับ  ทุกท่านไม่ว่าจะมีเงินสักเท่าไร มีตำแหน่งใหญ่โตเพียงไร  มีชีวิตสุขสบายเพียงไร   อะไรๆท่านก็นำติดตัวไปไม่ได้  เวลาที่มาตัวเปล่า เวลาที่จากไปอะไรก็นำติดตัวไปไม่ได้  สิ่งเดียวที่สามารถนำติดตัวไปได้ก็คือสิ่งที่ได้รับในระหว่างการบำเพ็ญของคน   เพราะมันอยู่ในร่างแท้ของคนโดยตรง  ดังนั้นมันจึงล้ำค่าที่สุด  เป็นสิ่งที่ได้มาไม่ง่ายที่สุด  ดังนั้นมันจึงคู่ควรแก่การเห็นคุณค่าที่สุด    เพราะมันจะกำหนดสิ่งที่คนจะได้ชั่วนิรันดร์  กำหนดรูปแบบและสภาพแวดล้อมของดำรงชีวิต ที่จะก่อตั้งให้กับตนเองในระดับชั้นต่างๆ  สถานที่นี้ของคนไม่ดีอย่างมาก  แต่สถานที่นี้ของคนกลับสามารถบำเพ็ญได้  บนสวรรค์นั้นดีมาก  แต่บนสวรรค์บำเพ็ญไม่ง่ายเลย  ก็เพราะสถานที่นี้ของคนนั้นทุกข์ยากลำบาก  คนจึงสามารถบำเพ็ญ

ศิษย์     ถ้าคนมีพื้นฐานอารมณ์ดีมาก  ก็จะบำเพ็ญได้ง่ายใช่หรือไม่  ส่วนคนที่โกรธง่ายก็จะบำเพ็ญได้ยาก
อาจารย์            เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  คนมีจุดเด่นของชีวิตคน  แต่พูดถึงเรื่องอารมณ์โกรธนี้  นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีมาก่อนกำเนิดของคน  ในเวลาที่คนเกิดอารมณ์โกรธนั้น  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ย่อมเป็นจิตมารอย่างแน่แท้  เพราะอะไร  บางคนคิดว่า  ฉันทำด้วยเจตนาที่ดี  เพื่อสอนคนให้ศึกษาฝ่าให้ดี ฉันจึงเกิดอารมณ์โกรธ  เพื่อเรียกให้คนทำงานให้ดีฉันจึงเกิดอารมณ์โกรธ  นั่นก็เป็นจิตมาร และเรียกว่า ใช้ความเลวสู้ความเลว  เพราะท่านอาศัยจิตมารบอกให้คนทำเรื่องที่ดี  หากใช้จิตที่ดีปฏิบัติต่อเขา  ท่านไปพูดกับเขาด้วยจิตใจที่ดีงาม  ท่านบอกเขาว่าควรทำให้ดี  ข้าพเจ้าว่าเขาจะรู้สึกตื้นตันใจ  เขาจะไปทำให้ดีด้วยความเต็มอกเต็มใจจริงๆ  ทว่าไม่ใช่ถูกท่านบังคับให้ทำดี  เช่นนั้นเขาทำจะดียิ่งขึ้น ดังนั้นในการบำเพ็ญของทุกท่านต้องค่อยๆบำเพ็ญเอาอารมณ์โกรธที่เป็นจุดอ่อน(ข้อบกพร่อง)ของตนเองทิ้งไป ทุกท่านมักจะรู้สึกว่าการไม่เกิดอารมณ์โกรธนั้นทำได้ยากมาก  ที่จริงทำได้ไม่ยาก  มีเรื่องมากมายที่ทุกท่านสามารถไปจัดการอย่างมีสติสัมปชัญญะ  จึงจะจัดการได้ดียิ่งขึ้น  ดังนั้นไม่อาจเกิดอารมณ์โกรธได้

ในเวลาเดียวกับที่ท่านโกรธคนอื่น  ท่านก็กำลังให้กุศลแก่คนอื่น  ความโกรธของท่านสามารถลดทอนกรรมของฝ่ายตรงข้ามได้จริงๆ  จุดนี้แน่นอนทีเดียว  เพราะท่านทำตัวเป็นมารต่อเขาครั้งหนึ่ง  ไม่ว่าจะในการดำเนินชีวิตหรือในการบำเพ็ญ  ก็จะสามารถลดทอนกรรมของเขาลงได้  แต่ที่ท่านได้มานั้นจะเป็นกรรมที่เขาโอนมา  ดังนั้นในฐานะผู้บำเพ็ญ  ข้าพเจ้าคิดว่าอย่าทำเรื่องอย่างนี้  ให้เขาไปบำเพ็ญเอง  ไปผันแปรกรรมของเขาเอง

ศิษย์   ในการบำเพ็ญของผมมีทุกข์ภัยและความยุ่งยากมากมาย  เพียงคำนึงถึงการหลุดพ้นของตนเอง  ไม่อาจพูดถึงเรื่องการหงฝ่า  ใช่ไหมว่าจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นแค่อรหันต์
อาจารย์     ก็ไม่ใช่เช่นนี้ นั่นเป็นทฤษฏีของศาสนาพุทธ   ผู้ฝึกต้าฝ่ามีสภาพการบำเพ็ญที่ต่างกัน  ไม่ใช่ว่าทุกๆคนต้องทำเรื่องหงฝ่า  ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าเป็นอย่างไรๆ  ที่จริงหากสามารถคิดถึงการหงฝ่า  ในเวลาปกติก็ทำกับคนที่พบเห็นได้  หรือจัดตั้งกันขึ้นมาทำ  นี่ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของการบำเพ็ญชนิดหนึ่งในระหว่างการบำเพ็ญของผู้ฝึกเอง  เป็นสิ่งที่ดีมาก  ดังนั้นก็เหมือนกับฝ่าฮุ่ย อย่างนี้ที่เราเปิดวันนี้  บางคนก็สามารถพูดถึงความประทับใจของเขาได้ บางคนก็บำเพ็ญอยู่  แต่พูดความประทับใจไม่ออก  ก็คือสภาพการบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน    ก็มีความเกี่ยวข้องกันเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร

ศิษย์     จะเข้าใจการเพิ่มความลำบากด้วยความหมายมั่นได้อย่างไร  ถ้าความลำบากนี้ผ่านไปแล้ว  จะนับว่าเป็นการข้ามด่านของการบำเพ็ญหรือไม่
อาจารย์     ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  บางทีความลำบากที่เพิ่มขึ้นมาด้วยความจงใจนั้น ท่านสามารถจะข้ามไปได้   แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่าน นั่นเป็นความลำบากในการดำรงชีพในหมู่คนธรรมดาสามัญ  เพราะอะไรหรือ  เพราะมันไม่ใช่การจัดวางให้กับท่านบนเส้นทางการบำเพ็ญสายนี้   เพราะการจัดวางแต่ละก้าวนั้น มันเป็นระบบมาก   ควรจะทิ้งจิตดวงไหนของท่านไป  ในขณะเดียวกัน ที่ยกกระดับขึ้นจากความลำบากนี้  ควรจะทำให้ร่างกายส่วนใดของท่านอุดมสมบูรณ์ขึ้น  หรือแก้ไขปัญหาที่ส่วนไหนให้  ควรจะบำเพ็ญอะไรออกมาได้บ้าง  เขตแดนจะอยู่ ณ แห่งใด  นั่นล้วนแต่มีการจัดวางไว้  และเป็นระบบมาก  ดังนั้นตัวท่านเองไปแทรกอะไรที่นอกเหนือจากที่จัดวางไว้ให้ ก็เท่ากับทำให้สิ่งของชุดนี้ ที่จัดวางให้ท่านอย่างเป็นระบบนั้นยุ่งเหยิง

ดังนั้นทุกท่านอย่าได้แสวงหาความทุกข์อย่างจงใจ และอย่าได้คิดให้เป็นอย่างไรด้วยความจงใจ  ให้บำเพ็ญอย่างเป็นธรรมชาติ   อะไรที่ท่านได้พบแล้ว ขอเพียงท่านสามารถข้ามไปได้ด้วยดี  นั่นก็จะดีมาก  หากพบกับความยุ่งยากอะไร  ท่านล้วนแต่สามารถค้นหาตนเอง ค้นหาใจดวงนี้ของท่านเองได้  นั่นก็คือการบำเพ็ญ  ทุกท่านทราบในภูเขาล้วนมีผู้บำเพ็ญอยู่ พวกเขาบางคนบำเพ็ญหลายพันปีแล้ว  ระดับชั้นยกขึ้นช้ามากๆ  พวกเขาเพียงบำเพ็ญด้วยการทนทุกข์  ความทุกข์นั้นสามารถทำให้คนบำเพ็ญได้  สลายกรรมได้  แต่ถ้าไม่ได้บำเพ็ญอยู่ในหลักการของฝ่านั่นก็จะช้า  เพราะเขาไม่รู้หลักการของฝ่าในระดับชั้นสูงอย่างนั้น      เขาเลื่อนชั้นขึ้นไปไม่ถึงเขตแดนนั้น

ทุกวันนี้ทำไมพวกท่านบำเพ็ญได้เร็วอย่างนี้ละ  ณ สภาพการณ์ในขณะนี้ พวกท่านยังคาดคิดไม่ถึงว่าพวกท่านยกระดับได้อย่างเร็วเพียงไร  ข้าพเจ้าเพิ่งจะถ่ายทอดฝ่าชั่วระยะสั้นๆได้เพียงไม่กี่ปี  มีคนมากมายสามารถบรรลุถึงมาตรฐานของการสำเร็จสมบูรณ์แล้ว   นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดได้  เพราะเขากำลังศึกษาต้าฝ่า  ฝ่าของจักรวาลจะหล่อหลอมคนนั้นง่ายดายมาก   ข้าพเจ้าจำได้ว่าข้าพเจ้าเคยยกตัวอย่างหนึ่ง  ถ้าขี้เลื่อย(เศษผง)หรือเศษไม้ชิ้นหนึ่งตกลงไปในเตาหลอมเหล็ก ในทันใดท่านก็จะมองไม่เห็นแม้เงาของมันแล้ว  คนนั้นก็เหมือนกับเศษไม้นั้น   ฝ่าของจักรวาลนี้ก็เหมือนกับเตาหลอมเหล็กนั้น  การหลอมคน  ถ้าจะหลอมคนๆหนึ่งนั้นก็ง่ายเหลือเกิน  แต่ข้าพเจ้าไม่อาจทำเช่นนี้   ข้าพเจ้าจะให้ท่านไปบำเพ็ญเอง    ถ้าทำเช่นนี้แล้วก็เท่ากับสร้างท่านคนนี้ขึ้นมาใหม่  ซึ่งอาจจะมีรูปลักษณ์และจุดเด่นดั้งเดิมของท่าน  แต่ก็อาจจะไม่ใช่ท่านแล้ว  ดังนั้นข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านสามารถบำเพ็ญเอง  สามารถพาตนเองเลื่อนชั้นขึ้นมา  หลุดพ้นออกมา

ศิษย์     จะท่องคำเคล็ดของชุดฝึกเป็นระยะๆในระหว่างการฝึกได้หรือไม่
อาจารย์   อย่าทำอย่างนี้  การฝึกพลังก็คือการฝึกพลัง  เพราะการฝึกพลังกำหนดให้ต้องเข้าสู่สมาธิ  พยายามไม่คิดอะไร   การศึกษาฝ่าก็คือการศึกษาฝ่า  ดังนั้นต้องแยกมันออกจากกัน  รวมทั้งคำเคล็ดสี่ประโยคก่อนการฝึกพลังของเรา  ล้วนแต่ท่องก่อนการฝึกพลัง  ในระหว่างที่ฝึกพลังจะไม่ท่อง  เช่นนี้ก็จะเข้าสู่สมาธิได้ง่าย
 
ศิษย์     ผู้ฝึกใหม่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการของพลัง  แต่ผู้ฝึกเก่าก็อยู่ในสภาพการณ์ที่มีท่าฝึกที่ไม่ถูกต้องแม่นยำ                                                                                                                                                                 อาจารย์  เมื่อไม่ถูกต้องแม่นยำ  ก็บอกให้เขาทำให้ถูกต้องแม่นยำ  หากพูดถึงว่าไม่เข้าใจฝ่า  ก็ให้เขาศึกษาฝ่า  และต้องแยกจากการฝึกพลัง  จะต้องบอกให้คนที่ไม่ศึกษาฝ่า ให้ศึกษาฝ่า  มิฉะนั้นเขาก็ฝึกโดยเปล่าประโยชน์  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่า  ที่น่าเสียดายที่สุดคืออะไร  คือได้ก้าวเข้ามาในฝ่านี้แล้ว  เดินเฉียดแล้วผ่านไป  กระทั่งให้เขา  เขาก็ไม่เอา  นี่จึงจะเป็นสิ่งที่ต้องเสียใจอย่างยิ่งไปชั่วนิรันดร์ของชีวิต  ไม่รู้ว่ามันเป็นความเสียใจที่เจ็บปวดอย่างไรชั่วนิรันดร์     เพราะมีชีวิตมากมายที่เดิมทีเขามาก็เพื่อจะได้ฝ่า อยู่ท่ามกลางเวลาอันยาวนาน  ก็มีชีวิตอย่างนี้  เขาสูญเสียความคิดที่ถูกต้องของตนเองไปแล้ว   เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าตนเองมาทำอะไร     ดังนั้นจึงง่ายที่จะหลงทาง  พอหลงทางแล้ว  นั่นก็เป็น......... แน่ละดีที่หลักการของฝ่าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้  กลัวแต่ว่าท่าน ไม่ไปอ่าน  กลัวแต่ว่าท่านไม่ไปศึกษา  ข้าพเจ้าสามารถชี้ทางสว่างทั้งปวงให้กับท่าน  สามารถจะชำระล้างทุกสิ่งที่ทำให้ธาตุแท้ของท่านถูกกลบฝังนั้นทิ้งไป

ศิษย์     ในเวลาที่นั่งสมาธิอยู่ในใจร้องเพลงที่ใช้ฝึกพลังได้หรือไม่
อาจารย์    อย่าร้อง   ในเวลาที่ทุกท่านฝึกพลังนั้น ทำไมต้องฟังดนตรี  เพราะข้าพเจ้าได้พิจารณาถึงการบำเพ็ญของคนในวันนี้ที่ไม่เหมือนกับสภาพการบำเพ็ญใดๆในอดีต  เพราะทุกท่านต่างมีการงานทำ   การงานและการเรียนของสังคมที่ยุ่งวุ่นวาย เช่นนี้จึงทำให้สมองของคนยากที่จะสงบลงมาได้  จุดประสงค์ที่ให้ท่านฟังดนตรีนี้  ก็คือทำให้ท่านสามารถสงบลงมาได้  ใช้หนึ่งความคิดที่ฟังดนตรี ไม่ให้คิดเรื่องอื่น  ก็คือใช้หนึ่งความคิดไปแทนหมื่นความคิด  แต่การฟังดนตรีโดยตัวมันเองนั้น ก็ง่ายที่จะทำให้คนเกิดจิตยึดติด  แต่ดีที่ในดนตรีของเรานั้นได้เพิ่มพลังงานเข้าไป  มีความนัยของต้าฝ่าเราอยู่  ดังนั้นมันจึงผันแปรเป็นวิธีการชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้ท่านได้รับประโยชน์  ได้รับการยกระดับ ดนตรีของต้าฝ่าบังเกิดผลอันนี้  อย่าพุ่งสมาธิไปที่ท่วงทำนองเพลงที่ชั้นผิวของดนตรี ก็คืออย่ายึดติด

ศิษย์     มองเห็นสัญลักษณ์ที่หมุนอยู่         ใช่หรือไม่ว่าอาจารย์ให้ตราประทับ
อาจารย์            การให้ตราประทับโดยทั่วไปล้วนอยู่ที่หน้าผาก   การมองเห็นได้ในสภาพการณ์อื่นนั้นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์
ของสายพุทธนี้เท่านั้น

ศิษย์     องค์ศากยมุนีพุทธ ลงมาช่วยเหลือคน ได้ทนทุกข์มากมาย  ยังคงอยู่ในระดับชั้นพระยูไลไหม
อาจารย์            องค์ศากยมุนีพุทธ คือพระยูไล  นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน  แต่พระองค์อยู่ในระดับชั้นไหนไม่มีใครพูด  พระพุทธ กับราชาแห่งธรรมในระดับชั้นที่ต่างกันล้วนเรียกว่าพระยูไล  ไม่มีใครพูด  และไม่ให้คนรู้

ศิษย์     ทำไมสายเต๋าก็บริกรรมอมิตพุทธและพระโพธิสัตว์กวนอิน

อาจารย์              มาถึงรัชสมัยหมิงจึงเกิดศาสนาเต๋าที่เป็นระบบอย่างแท้จริง  เต๋าในสมัยก่อนเขาไม่มีศาสนา  มันเป็นเพียงอาจารย์นำพาลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งบำเพ็ญอยู่ที่นั่น  แม้ว่าจะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง   แต่ไม่ได้ก่อรูปเหมือนเป็นศาสนาอย่างเต็มรูปแบบ  หลังรัชสมัยหมิง  รูปแบบนี้โดยพื้นฐานก็เป็นอย่างเดียวกับวัดและรูปแบบของศาสนา   เนื่องจากเต๋านั้นเขาจะบำเพ็ญจิตบริสุทธิ์  บำเพ็ญแต่ลำพัง  บำเพ็ญอยู่ในความสงบ  ดังนั้นมันจึงไม่มีองค์ประกอบของการช่วยเหลือสรรพชีวิต   ดังนั้นหลังจากก่อรูปเป็นศาสนาแล้ว  เป้าหมายของศาสนาคืออะไรละ  ประการหนึ่งคือสามารถทำให้คนบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์    อีกประการหนึ่งคือเมื่ออยู่ในสังคม  ศาสนาสามารถบังเกิดผลทำให้ใจคนใฝ่สู่ความดีงาม  ดังนั้นศาสนาเต๋าจึงทำเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ทำพิธีศาสนาให้คน  หรือมัน(ศาสนาเต๋า)ก็จะต้องช่วยคน  เนื่องจากมีผู้นับถือศรัทธาจำนวนมากเกิดขึ้นแล้ว  มันจึงต้องช่วยคน  เช่นนั้นการช่วยคนก็ไม่อาจพูดว่าจะช่วยเพียงหนึ่งหรือสองคน  นั่นไม่เรียกว่าช่วยคน  นั่นเรียกว่านำพาลูกศิษย์   ดังนั้นมันจึงตั้งชื่อเรียกเป็น พระพุทธ  พระโพธิสัตว์  กระทั่งอรหันต์อย่างนี้ขึ้นมา  นี่ก็คือเต๋าทั่วไปที่ข้าพเจ้าพูดถึง  นี่ไม่จัดเป็นเต๋าใหญ่  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคใกล้ๆนี้        

ศิษย์    เนื่องจากผมฝึกหลักพลังอย่างอื่น จึงมีตัวสิงร่างเข้าสู่ร่างกาย  และยังเข้าสู่ร่างกายของลูกชายและสอนเขาฝึกพลัง    ตัวสิงร่างในร่างกายเขานั้น      ผมเป็นผู้สลายให้ใช่หรือไม่
อาจารย์    ถ้าคนๆหนึ่งเขาเพียงเดินเข้าใกล้(ต้าฝ่า)แล้ว  แต่ไม่ได้เข้าไปในประตูนี้อย่างแท้จริง แค่เฉียดผ่านไป  หรือตลอดมา ได้แต่มองดูอยู่ข้างนอกประตู  นั่นจึงนับว่าน่าเวทนาที่สุด ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายอยู่ที่นี่คือบอกท่านว่า  จะเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งได้อย่างไร  ถ้าท่านวางสิ่งเหล่านั้นที่ท่านยึดติดอยู่ลงไปไม่ได้  ท่านก็ไม่อาจจะเป็นผู้บำเพ็ญได้ตลอดกาล  ท่านได้แต่ตกอยู่ในความเจ็บปวดของท่าน ไปยึดติดกับสิ่งที่เจ็บปวดเหล่านั้นของท่าน  ศิษย์ที่บำเพ็ญจริงนั้นข้าพเจ้าล้วนต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ท่านให้เรียบร้อย แต่ท่านจำเป็นต้องเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง จากวันนี้ไป  ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้เมื่อครู่ที่ว่า  จะจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ท่านให้เรียบร้อย คำพูดนี้ท่านก็ต้องลืมให้หมด  ท่านไม่ต้องไปคิดเลยว่าอาจารย์จะทำอะไรให้ท่าน  ข้าพเจ้าจะไม่ทำอะไรให้ท่าน  ท่านก็ไปศึกษาฝ่า  หล่อหลอมท่านอยู่ในต้าฝ่า  พูดถึงว่าลูกของท่านจะเป็นอย่างไร   ท่านก็อย่าคิดอีกเลย  ท่านยึดติดชั่วชีวิตก็แก้ไขไม่ได้  เมื่อท่านไม่คิดแล้ว  ข้าพเจ้าก็จะจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างเหมาะสมและเรียบร้อย

ไหนเลยจะมีคนๆหนึ่งเมื่อบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์แล้ว   ข้างกายเขายังจะมีเรื่องยุ่งยากมากมายอย่างนี้อีก   จะเป็นไปได้อย่างไรละ  ไม่เพียงแต่ความแค้น และวาสนาที่ท่านผูกไว้ในชาติภพต่างๆ ข้าพเจ้าก็ต้องแก้ไขให้ท่าน   คนๆหนึ่งบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ   หนี้ที่ท่านติดค้างไว้ในชาติภพต่างๆ  ความแค้นที่ท่านคิดจะชำระในแต่ละภพชาติ  มากมายอย่างนั้นแล้ว  ก็ต้องแก้ไขให้ท่าน  ท่านจะต้องเป็นผู้รู้แจ้งคนหนึ่ง ที่สะอาดหมดจดตั้งแต่ข้างในจนถึงข้างนอกเช่นนั้นจริงๆ  ท่านลากจูงเรื่องราวต่างไว้มากมาย  ติดค้างบัญชีไว้มากมาย  ความแค้นมากมายท่านล้วนไม่ชดใช้  แล้วท่านจะสำเร็จสมบูรณ์ได้อย่างไร  แต่ท่านก็ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้  ท่านก็แก้ไขเรื่องเหล่านี้ไม่ได้  ท่านได้แต่ยึดติดด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดชีวิต  ก็แก้ไขไม่ได้  ในเมื่อได้พบต้าฝ่าแล้ว  ยังจะสนใจมันไปทำไม  ปล่อยวางใจลงมา  ขณะนี้มิใช่มีลมหายใจอยู่ มีความคิดที่ถูกต้องอยู่หรือ  ก็จงบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่า  สมมติว่าท่านไม่อาจรักษาส่วนอื่นไว้ได้  แต่อย่างน้อยที่สุดความคิดที่ถูกต้องส่วนนี้ท่านสามารถรักษาไว้ได้นะ  อย่าว่าแต่ท่านจะสำเร็จสมบูรณ์ในอนาคต  แล้วจะไม่ดูแลเรื่องเหล่านี้ได้หรือ  แต่ถ้าท่านยึดติดกับเรื่องเหล่านี้  มีจิตยึดติดอย่างรุนแรง  ข้าพเจ้าจะจัดการให้กับท่านอย่างไรได้ละ  ความคิดใดๆล้วนเป็นจิตยึดติด  จิตยึดติดนั้นไม่ได้ปลูกฝังกันแค่หนึ่งหรือสองวัน  เวลาเนิ่นนานอย่างนั้น  ยึดติดออกอย่างนั้น  หวาดกลัวถึงอย่างนั้น  จะเป็นผู้บำเพ็ญได้อย่างไร  ที่ข้าพเจ้าพูดให้หนักสักหน่อย  จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน

ศิษย์     ความคิดต่างๆที่สร้างขึ้นจากกรรมทางความคิด  ผมรู้ว่านี่เป็นโอกาสอันหนึ่ง  ที่ต้องผันแปรกรรม   ขอเชิญท่านอาจารย์พูดสักนิดว่าควรจะทำอย่างไร
อาจารย์    ปล่อยวางจิตใจนี้ลง  บำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผย  ก็ทำเช่นนี้   ผู้ฝึกที่กำลังนั่งอยู่ หากพวกท่านคนใด ในใจมีสิ่งที่ปล่อยวางไม่ลง  ณ เวลานี้พวกท่านสามารถปล่อยวางลงได้ ข้าพเจ้ารับรองว่าวันนี้ เมื่อท่านก้าวออกไปจากห้องประชุมนี้ จะเป็นอีกความคิดหนึ่งต่อเรื่องนั้น  การบำเพ็ญของคน  ก็คือขั้นตอนของการปล่อยวางจิตยึดติดให้มากที่สุด  ทำไมมองเรื่องนี้สำคัญอย่างนี้นะ  เพราะในสมองของท่าน  สิ่งที่คิดอยู่  ยึดติดอยู่  มองว่าเรื่องนี้สำคัญ เรื่องนี้ก็คือกำแพงหนึ่ง  คือกำแพงที่แยกออกจากคนไม่ได้  ข้าพเจ้าจะให้แต่ละความคิดของท่าน ล้วนค่อยๆถอยห่างออกจากคน  กลายเป็นสภาวะของเทพ   และแต่ละความคิดของท่านล้วนพะวงและผูกมัดอยู่กับที่ตรงนี้ของคน  แยกจากมันไปไม่ได้  ก็เหมือนกับเรือลำนั้น  มันจะแล่นออกไป  เชือกที่ผูกอยู่ที่ท่า  ผูกไว้หลายๆ ปม  ถ้าท่านไม่แก้ออกท่านก็แล่นออกไปไม่ได้  

ศิษย์   ผู้ฝึกบางคนอยู่ในสภาพชำระกรรมแห่งโรคมาเป็นเวลานาน  จากต้นจนปลายหยุดอยู่ที่ระดับชั้นนั้นขึ้นไปไม่ได้
อาจารย์    คือหยุดอยู่ที่ระดับชั้นนั้นเป็นเวลานานเกินไปแล้ว  หรือพูดว่าจิตยึดติดนานเกินไปแล้ว  ในหมู่ผู้ฝึกทั่วไปนั้นมีสองสภาพการณ์  บางคนพูดว่า ช่วงเวลาที่ยึดติดกับโรคของตนนานเกินไปแล้ว   เพราะทุกท่านทราบว่า  การบำเพ็ญของพวกท่านนั้น ไม่ใช่เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายหนึ่งเพียงอย่างเดียว  ต้องอยู่ในเวลาเดียวกับที่ท่านจะยกระดับ  และก็สลายกรรมของท่าน ถ้ายึดติดกับกรรม  จะยกระดับขึ้นมาไม่ได้   ยกระดับซินซิ่งขึ้นไม่ได้  และก็ข้ามด่านนั้นไม่ได้เช่นเดียวกัน   ก็จะทอดเวลายาวนานมาก ก็คือว่า ในระหว่างที่ท่านกำลังบำเพ็ญอยู่นั้นไม่อาจก้าวหน้า  หยุดอยู่ในสภาพการณ์นั้นอยู่เรื่อย   หากท่านกำลังก้าวหน้าอยู่จริงๆ  กำลังยกระดับตนเอง  ด่านนี้ก็จะข้ามไปได้ตั้งนานแล้ว       เสียเวลานานอย่างนั้น  ยังรับรู้ไม่ได้  ตรงกันข้ามยังจะก่อเกิดเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่งต่อโรคนี้โดยตัวมันเอง  สั่นคลอนความเชื่อที่แน่วแน่ต่อการบำเพ็ญต้าฝ่าของท่าน  นี่ก็คือ ทุกข์ภัยหนึ่งยังไม่พ้น อีกหนึ่งทุกข์ภัยยังเพิ่มเข้ามา  แล้วก็อีกหนึ่งทุกข์ภัย  ด่านจึงเปลี่ยนเป็นใหญ่อย่างนี้แล้ว   แน่ละก็ไม่ได้ตัดเรื่องกรรมที่หนักออกไป  การบำเพ็ญนั้นซับซ้อน    แต่ข้าพเจ้าคิดว่าสาเหตุส่วนมากล้วนเกิดจากการที่ระดับชั้นของตนยกสูงขึ้นช้าเกินไป   ทำให้สภาพการณ์นี้ทอดยาวเกินไป

ศิษย์    วีดีทัศน์ที่ท่านพบปะกับผู้ฝึกเฉพาะรายนั้น  เหล่าผู้ฝึกล้อมรอบท่านรายงานสถานการณ์หรือถามปัญหาเป็นต้น            จะเปิดวีดีทัศน์ชนิดนี้ที่ท่านบรรยายฝ่าในสถานที่เฉพาะแห่งจะดีหรือไม่
อาจารย์   ไม่ดี  ไม่ดีมากๆ  ในสถานที่เฉพาะแห่งข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกบันทึกภาพหรือเสียง  บางคนเขาจะต้องเอาเครื่องบันทึกเสียงซ่อนไว้ในกระเป๋าให้ได้ เขากำลังปกปิดข้าพเจ้า  ที่จริงคือการปกปิดตัวเขาเอง  เพราะการบำเพ็ญทั้งหมด  การยกระดับทั้งหมดของท่าน ล้วนเป็นการบำเพ็ญตัวท่านเอง  สิ่งของใดๆที่ซ่อนเอาไว้ก็เหมือนกับของเล่นเด็ก   ปัญหาที่ข้าพเจ้าพูดอยู่ในสถานการณ์เฉพาะจะไม่มีลักษณะทั่วไป  เมื่อไม่มีลักษณะทั่วไป แล้วท่านนำออกมา ใช่ไหมว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่นละ  ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า หลักการของฝ่านี้ใหญ่มาก  ข้าพเจ้าล้วนบรรยายอยู่ในลักษณะภาพกว้าง  ในภาพรวม  ข้าพเจ้าไม่ได้พูดกับท่านอย่างเป็นรูปธรรม  ถ้าได้พูดท่านก็จะบำเพ็ญได้ยาก   ท่านนั้นเป็นสมาชิกหนึ่งที่บำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่า  ท่านรับผิดชอบต่อต้าฝ่าก็คือรับผิดชอบต่อท่านเอง  ต้าฝ่านี้หากเดินเพี้ยนไปก้าวหนึ่ง  ท่านก็กลับไปไม่ได้แล้ว  ถ้าฝ่าไม่เที่ยงตรง  ก็ไม่อาจทำให้ท่านสำเร็จสมบูรณ์

ศิษย์     แม้ผมจะเรียนรู้การค้นหาจากข้างใน  ก็คือในเวลาปกติพึงตระหนักที่จะเอาใจที่ไม่ดีนี้ทิ้งไป  บางทีผมพูดกับคนอื่น  เขาไม่พอใจผม นี่เป็นการก่อกรรมหรือไม่
อาจารย์    ไม่ใช่ก่อกรรม  พวกเราเองที่มีจิตยึดติด  แล้วสามารถรู้สึกออกมาได้เอง นี่ดีมาก  แต่อย่าได้กลายเป็นคนที่หยุมหยิม  

               พูดถึงว่าเมื่อพูดกับคนอื่นแล้ว   พูดด้วยความหวังดี ก็สมควรพูด  ทุกคนที่บำเพ็ญมิใช่เพื่อจะทำดีต่อคนอื่นหรือ  ก่อนอื่นคือคิดถึงคนอื่น   เมื่อเห็นคนอื่นมีข้อบกพร่อง  เพราะเขาก็กำลังบำเพ็ญอยู่ ทำไมไม่บอกเขาละ   ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติตอบอย่างไร  ที่พวกท่านควรบอกเขา ก็บอกเขา  จิตใจของพวกท่านนั้นดีงาม  อาจารย์มองเห็นแล้ว  ท่านไม่ต้องให้คนอื่นดู  พูดถึงว่าเขาไม่ยอมรับ  ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ  ท่านก็ได้แตะถูกจิตนั้นที่เขาสมควรต้องปล่อยวางแล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าล้วนเป็นการกระตุ้นต่อตัวเขา  ในเวลานั้นเขารับรู้ไม่ได้  ต่อไปเขาอาจรับรู้ได้  ถ้าเขายังรับรู้ไม่ได้อีก ข้าพเจ้าจะใช้ปากคนอื่นตีเคาะเขาอีก  และถ้ายังรับรู้ไม่ได้อีกก็จะให้ศีรษะเขาชนจนหัวโนลูกใหญ่ (หัวเราะ)  ที่พูดนั้นพูดเล่นนะ ที่จริงการบำเพ็ญก็คือการขจัดจิตยึดติดของคน แต่ท่านต้องเข้าใจจะไปบำเพ็ญอย่างไรก็ต้องอ่านหนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน” เล่มนี้  อ่านทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อค้นพบจิตยึดติดของตัวเองแล้วยังไม่คิดจะขจัดทิ้ง นั่นก็คือปัญหาของบุคคลแล้ว ถ้าตัวเอง ถ้าตัวเองค้นพบไม่ได้ คนอื่นชี้ออกมาให้ท่านแล้ว ในใจท่านรู้สึกไม่สบายใจ ให้ท่านหยิบหนังสือ     “จ้วนฝ่าหลุน” ขึ้นมาอ่านดู ท่านไม่ต้องมีเป้าหมายที่จะไปอ่าน ท่านหยิบ หนังสือ “จ้วนฝ่าหลุน” ขึ้นมาแบบสบายๆ เรื่อยเปื่อย ไม่ว่าจะเป็นฉบับภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ท่านพลิกหน้าไปตามใจชอบ  รับรองว่าหน้านั้นก็คือพูดให้กับท่าน ท่านไปอ่านรับรองว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ท่านอย่าไปทดลองทำดู ท่านคิดจะไปทดลองดู ใจดวงนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ไม่เข้มงวดต่อฝ่า ดังนั้นเวลาที่ท่านคิดจะไปทดลองทำดูจึงไม่เกิดผล และใช้ไม่ได้

 ศิษย์   ผมศึกษาฝ่าเกือบสองปีแล้ว  ซินซิ่งก็กำลังยกระดับอยู่  แต่ด้านร่างกายกลับไม่มีการชำระทุกข์ภัยใหญ่อะไร            อาจารย์ยังดูแลผมหรือไม่                                                                                                                         อาจารย์    ท่านบำเพ็ญได้สองปีแล้ว  ทุกท่านคิดดู  ถ้าข้าพเจ้าไม่ดูแลท่าน  ท่านก็ออกไปจากประตูนี้นานแล้ว  ที่จริง  พวกเราอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น  คนอื่นประสบกับทุกข์ภัยใหญ่  ถูกรถชน  ชนจนรถเสียหาย  ก็ไม่เป็นไร  ฉันก็ควรเป็นอย่างเดียวกัน   สภาพการณ์บำเพ็ญของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน   ข้าพเจ้าคงจะไม่ได้จัดวางให้ท่านอย่างนั้น   แต่เลือกวิธีอื่นช่วยท่านสลายกรรม ที่จริงถ้าเหมือนกันหมดแล้ว  ท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว ดูทีเดียวก็รู้ ท่านประสบกับอะไรก็เหมือนกับเขา ฉันก็ทำตามอย่างนี้ นั่นก็ไม่ใช่การบำเพ็ญแล้ว ดังนั้นสภาพการณ์ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างมาก

ศิษย์   ลูกเคยชินกับการฟังเทปบรรยายฝ่าของท่านอาจารย์เป็นประจำ  ก่อนเขาเข้านอนก็เปิดให้เขาฟังด้วย   การทำเช่นนี้จะทำให้เมื่อเขาโตขึ้นแล้ว          พอได้ยินฝ่าก็อยากนอนหรือไม่
อาจารย์   ไม่เป็นเช่นนั้น  ทำได้ดีมาก   ที่เด็กชอบฟังนั้นคือธาตุแท้ก่อนกำเนิดของเขาด้านนั้นเข้าใจ  พอเด็กอายุสามขวบไปแล้ว สิ่งที่เป็นของก่อนกำเนิดจะค่อยๆลดน้อยลง  จะถูกปิดคลุม หลังสามขวบถึงก่อนหกขวบ  เด็กจะไร้เดียงสามาก  หลังหกขวบแล้วก็จะเกิดทัศนคติได้ง่าย

ศิษย์     โอกาสแห่งวาสนาของการบำเพ็ญนั้นปลูกไว้อย่างไร                                                                                อาจารย์              ที่ผูกไว้ในระดับชั้นที่ต่างกันก็มี        ที่ผูกไว้ที่ตรงนี้ของคนก็มี

ศิษย์   เวลานี้เอกสารของต้าฝ่าในพื้นที่ของเรายังไม่ได้มีการแจกอย่างเปิดเผยเป็นปริมาณมากในสังคมตลอดมา            (เรื่องนี้)มีสาเหตุอื่นหรือไม่
อาจารย์   พวกท่านทุกคนบำเพ็ญได้ดีมาก  รูปแบบโดยพื้นฐานเป็นรูปแบบการบำเพ็ญของต้าฝ่า  นี่ไม่มีปัญหา  พูดถึงว่า เรื่องเอกสารนั้นบางพื้นที่อาจจะมี  บางพื้นที่ก็ไม่มี  ในจีนแผ่นดินใหญ่บางพื้นที่นั้นหลายสิบคนอ่านหนังสือเล่มเดียว  ขาดแคลนมาก  โดยเฉพาะคือชนบทนั้นยิ่งขาดแคลนมาก  ขาดแคลนหนังสือมาก      ปัญหาเหล่านี้ล้วนสามารถแก้ไขได้

ศิษย์     รับรู้ฝ่าจากในฝ่า          ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำได้ถึงจุดนี้ได้ดียิ่งขึ้น
อาจารย์   ไม่สามารถรับรู้ฝ่าจากในฝ่า  จุดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งคือการใช้ทัศนคติของคนธรรมดาสามัญไปประเมินฝ่า ใช้วิธีพูดของคนธรรมดาสามัญมาพูดเกี่ยวกับต้าฝ่า   เหมือนกับคนนอก   หากรับรู้ฝ่าได้จากหลักการของฝ่าอย่างแท้จริง  สิ่งที่พูดออกมาจะเป็นฝ่า  ด้านพฤติกรรมก็จะเป็นพฤติกรรมของศิษย์ต้าฝ่า   นั่นจึงเป็นการบำเพ็ญอย่างก้าวหน้า   คำพูดที่พูดออกมาจะไม่เหมือนกัน   สิ่งที่พูดคุยคือจะก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้อย่างไรในขั้นตอนของความก้าวหน้า  แต่คนที่ไม่สามารถรับรู้ฝ่าจากในฝ่า  เพียงแต่รับรู้ด้วยความรู้สึก หรือด้วยสภาพจิตใจแบบคนธรรมดาสามัญที่เพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าดี  ใช้ภาษาของคนธรรมดาสามัญไปพูดเกี่ยวกับฝ่า  มักจะเป็นเช่นนี้         ซึ่งต่างกันอย่างมาก

ศิษย์     ในระยะนี้ผมรู้สึกท้อแท้ทำงานโดยไม่มีกะจิตกะใจ    ใช่ความเกียจคร้านหรือไม่                                  อาจารย์   รุดก้าวไปข้างหน้าหนา  ตั้งสติขึ้นมาเถอะนะ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  นี่ก็เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของจิตมาร  นี่เกิดจากกรรมทางความคิด   มันจึงทำให้ท่านอยู่ในสภาพนี้ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้  รับรู้ฝ่าจากหลักการของฝ่า            ก้าวหน้าอย่างแท้จริงก็จะสามารถข้ามไปได้

ศิษย์    หลานอายุสามขวบชอบดูภาพถ่ายของอาจารย์และภาพฝ่าหลุนมาก  และยังพูดว่า “ฝ่าหลุนหมุนอยู่ทั่วฟ้าดิน สำเร็จสมบูรณ์ก็คือกลับบ้าน” แต่พ่อเด็กมักจะรบกวนการศึกษาฝ่าของเขา มีบางเรื่องดิฉันก็ไม่อาจดูแลได้โดยตรง
อาจารย์   ก่อนอื่นให้ค้นหาสาเหตุของตนเอง  ในเวลาที่พ่อเด็กไม่มีเหตุผลก็อย่าเพิ่งแสดงออกมาต่อหน้าเขา  เพราะพ่อของเขาไม่ให้บำเพ็ญ  ทุกท่านคิดดู  การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด  พ่อของเขาไม่เข้าใจ  ท่านก็พูดไม่ชัดเจน  เช่นนั้นค่อยบอกเด็กภายหลัง  ท่านคิดดูเด็กคนนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว  สามขวบใช่ไหม  ไม่ใช่คำพูดที่คนธรรมดาสามัญสามารถพูดออกมาได้

ศิษย์   คำว่า จิตที่แสวงหาความก้าวหน้าของคนธรรมดาสามัญ กับจิตยึดติดที่ท่านพูดถึงนั้นมีความคล้ายกันหรือไม่

อาจารย์    ต้าฝ่าของจักรวาลก่อตั้งสภาพแวดล้อมการคงอยู่ของชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกัน  สร้างชีวิตของระดับชั้นที่ต่างกัน  คนก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่ำที่สุดและเป็นชีวิตที่ต้าฝ่าของจักรวาลสร้างขึ้น  ณ ระดับชั้นนี้(ต้าฝ่า)ได้ก่อตั้งหลักการให้กับคน ที่คนรู้ได้ พูดถึงว่ามีตรงไหนที่คล้ายกับต้าฝ่า  ข้าพเจ้าไม่อาจเห็นด้วยกับวิธีพูดของท่าน “จิตที่แสวงหาความก้าวหน้าของคน”นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคน  แต่นั่นเป็นคนธรรมดาสามัญ  ที่ข้าพเจ้าพูดอยู่ตรงนี้เป็นผู้บำเพ็ญ  ผู้บำเพ็ญสามารถทำการงานและเล่าเรียนให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ไม่ยึดติดกับเรื่องนี้

ศิษย์     การมุมานะบากบั่นให้เป็นที่หนึ่งในโรงเรียนถือเป็นจิตยึดติดหรือไม่
อาจารย์    ปัญหานี้ข้าพเจ้าได้พูดไว้ชัดเจนมากแล้ว   มีเด็กหลายคนไม่เพียงศึกษาฝ่าได้ดี   แต่การเรียนที่โรงเรียนล้วนเป็นที่หนึ่งที่สอง  ล้วนเป็นอย่างนี้กันมากมาย มากเหลือเกิน   แต่พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับผลการเรียน  ทว่าเข้าใจได้จากในการบำเพ็ญต้าฝ่าว่าควรทำอย่างไร  สามารถจัดความสัมพันธ์ได้ถูกต้องระหว่างการเรียนกับฝ่า  เพราะการเรียนเป็นสิ่งที่นักเรียนควรทำให้ดี  คือความเข้าใจต่อฝ่า  ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ควรเป็นคนดี   รู้ว่าตัวเองเป็นนักเรียนก็ควรเรียนให้ดี  เขาก็จะเรียนได้ดีตามธรรมชาติ  เพียงไปเรียนให้ดีๆ  ทำหน้าที่ที่ควรทำให้สำเร็จด้วยดี เขาย่อมสามารถสอบเข้าโรงเรียนที่ดี สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้อย่างแน่นอน  แต่ไม่ใช่จะได้รับเนื่องจากยึดติดกับโรงเรียนที่ดี หรือ ยึดติดกับผลการเรียนที่ดี ยึดติดกับมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้ามักจะพูดถึงประโยคนั้น คือ ในเวลาที่คนพกพาจิตใจที่คิดจะทำอะไร ที่คิดจะได้นั้น มักจะเป็นตรงกันข้าม  แต่เวลาที่เพียงแต่คิดว่าจะไปทำเรื่องนั้นให้ดี  ก็จะได้เองตามธรรมชาติ

ศิษย์     การทุ่มเทเวลาและกำลัง พยายามกลั่นกรองให้ดียิ่งขึ้นในการทำงาน เป็นจิตยึดติดหรือไม่                                                                            อาจารย์   ถ้าในการทำงาน  ท่านเอ้อระเหยลอยชาย ท่านก็ไม่อาจทำงานได้ดี  เมื่อท่านได้รับเงินเดือน  ข้าพเจ้าคิดว่าในใจท่านก็จะรู้สึกไม่สบายใจ   เพราะผู้บำเพ็ญไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ควรเป็นคนดี  ไม่ใช่เป็นคนดีเพื่อการเป็นคนดี  ท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ท่านควรทำทุกสิ่งนี้ให้ดี  ก็คือความสัมพันธ์กันอย่างนี้

ศิษย์    ผมกังวลว่าตนเองจะบำเพ็ญไม่สำเร็จ  และตัดสินใจว่าชาตินี้บำเพ็ญไม่สำเร็จภพหน้าจะบำเพ็ญต่อ                                                                                                                                                                       อาจารย์    ดูไปมีใจมุ่งมั่นมาก  ที่จริงท่านไม่มีใจมุ่งมั่นแม้แต่น้อย  ชาติหน้าหากท่านเกิดสภาวะเช่นนี้อีกละ  เช่นนั้นชาติหน้าผมก็บำเพ็ญต่ออีก ใช่ไหม  ถ้ามีความแน่วแน่ไม่ให้พลาดโอกาสแห่งวาสนาครั้งนี้ไป  ก็จะบำเพ็ญสำเร็จในชาตินี้อย่างแน่นอน


ศิษย์    ตอนนี้ผมทราบแล้ว   มนุษยชาติในภายหน้าจะไม่มีการเผยแพร่ของฝ่าหลุนต้าฝ่า เช่นนั้นผมไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญต่อในภพหน้าแล้ว        ความคิดนี้ถูกหรือไม่
  
อาจารย์   ก็คือชาตินี้บำเพ็ญไม่สำเร็จ  ชาติหน้าจะบำเพ็ญต่อ  แต่ชาติหน้าไม่มีฝ่าหลุนต้าฝ่าแล้ว  เช่นนั้นก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว   แต่ปัญหาของท่านก็ถามขึ้นมาแล้ว  พูดได้ชัดว่าท่านยังมีใจจะบำเพ็ญ จงก้าวหน้า  ปล่อยวางใจลงมา ไปบำเพ็ญอย่างแท้จริง  มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้ละ  ทุกท่านทราบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลนั้นไม่ใช่ความบังเอิญทั้งนั้น  เรื่องที่ใหญ่อย่างนี้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ มันเป็นความบังเอิญหรือ  ข้าพเจ้าไม่อาจพูดถึงเรื่องของมนุษย์ในอนาคตออกมา  ท่านจะมาศึกษาด้วยความยึดติด   นั่นคือมีจิตยึดติดในการมาศึกษา  ข้าพเจ้าคิดว่า สาเหตุที่ท่านไม่อาจก้าวหน้าได้ ก็คือท่านยังมีความเข้าใจต่อฝ่าไม่พอ  วิธีแก้ไขปัญหานี้  ก็คือท่านอ่านหนังสือให้มาก  การอ่านหนังสือก็เสียเวลาของท่านนิดหนึ่งนะ   แต่หาได้ทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  หรือทำให้ใจท่านเป็นทุกข์แต่อย่างใดไม่   อ่านหนังสือมากๆ  แก้ไข แก้ไขปัญหา   หลังจากนั้นท่านดูอีกซิว่าจะสามารถก้าวหน้าได้หรือไม่  สามารถบำเพ็ญต่อไปได้ไหม
 

 

ศิษย์   ผู้ฝึกฮ่องกงขอสวัสดีท่านอาจารย์

            ขณะนี้สื่อที่ฮ่องกงมีการเผยแพร่ข่าวที่ผิดต่อท่านอาจารย์และฝ่าหลุนต้าฝ่า รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างลึกซึ้ง  ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกไปที่สื่อนั้นเพื่อแก้ความผิดพลาดของเขา  และการรายงานข่าวที่บิดเบือนความจริง   ศิษย์ร่วมสำนักแต่ละคนที่อยู่ในซิดนีย์และนิวซีแลนด์ หลังจากได้ฟังอาจารย์บรรยายจบแล้ว จะยิ่งยืนหยัดก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับอาจารย์บนเส้นทางของฝ่าหลุนต้าฝ่า บำเพ็ญจริง        เผยแพร่ฝ่า                                                                                                                                                       อาจารย์  ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือ) ฝ่าหลุนต้าฝ่าไม่อาจให้หนังสือหนึ่งเล่มกับทุกคนทั่วทั้งโลก  และไม่อาจให้กับคนจีนพันกว่าล้านคนๆละเล่ม  จากนั้นค่อยตัดสินว่าท่านควรจะถูกจัดไว้ในตำแหน่งไหน  ในเมื่อคนมีด้านหนึ่งที่เข้าใจ  และมีด้านหนึ่งที่ไม่เข้าใจ  โดยเปลือกนอกไม่เข้าใจ ที่จริงเขาล้วนมีด้านนั้นที่เข้าใจ  เมื่อ เจิน ซั่น เหริ่น ของฝ่าหลุนต้าฝ่า อักษรไม่กี่ตัวนี้สามารถให้คนรู้ได้ เขาก็จะเกิดความคิดขึ้น  ก็ดูว่าในเวลานั้นความคิดของเขาเป็นอย่างไร  อาจจะกำหนดอนาคตของคนได้ กำหนดตำแหน่งของคนได้     ดังนั้นไม่ว่ามันจะรายงานอย่างไรก็ดี ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็ดี  เมื่อวานข้าพเจ้าพูดแล้วว่าแทบจะทุกมุมโลกล้วนทราบกันแล้ว  แต่ละคนอาจจะมีความคิดหนึ่งต่อเรื่องนี้  ไม่ใช่เรื่องธรรมดา  ต้าฝ่าที่เข้มงวดอย่างนี้  ทุกท่านลองคิดดู  นักข่าวเขียนอะไร   เขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำไว้ทั้งหมด  ไม่เพียงแค่สิ่งเหล่านี้  แต่ละคน แต่ละชีวิต ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ในอนาคต ล้วนจะต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขาทำไว้  นี่เป็นสัจธรรมที่แน่นอน  และเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน  การโจมตีต้าฝ่า โดยตัวของมันเอง นี่จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  เพราะชีวิตของคนล้วนก่อตั้งขึ้นโดยฝ่านี้  แม้แต่สิ่งนี้เขายังคัดค้าน  เขาควรไปที่ไหนละ

ศิษย์    หลังจากศิษย์ได้อ่าน “หงอิ๋น”น้ำตาก็ไหลพราก  ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล  เป็นหนังสือล้ำค่าซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้อีกเล่มหนึ่งบนเส้นทางของการบำเพ็ญ
อาจารย์     ในหนังสือเล่มนี้ ที่สำคัญข้าพเจ้าล้วนแต่เขียนเรื่องการบำเพ็ญกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่า  ดังนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าถ้าให้ทุกท่านอ่านดู คงจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับของทุกท่าน จึงพิมพ์เขาออกมา

ศิษย์     สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เป่ยจิง  พวกเราควรอดทนยืนหยัดในต้าฝ่า
อาจารย์   สามารถบำเพ็ญตนเอง  จุดนี้ถูกต้องแน่นอน  หากคนเขาพูดว่าท่านเป็นลัทธินอกรีต  ท่านก็ไม่รู้สึกรู้สา  ข้าพเจ้าว่าก็ไม่ถูกแล้ว  เพราะผู้ฝึกแต่ละคนล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่า  ทราบถึงคุณค่าของต้าฝ่า เห็นคุณค่าของต้าฝ่า โดยตัวมันเองก็คือการเห็นคุณค่าของตัวท่านเอง  ในขั้นตอนการศึกษาต้าฝ่าของพวกท่าน  จะมีการทดสอบอยู่เสมอ  รวมทั้งการทดสอบท่านในความฝันก็ดี  การข้ามด่านในการทำงานที่เป็นจริงก็ดี  การข้ามด่านในการดำเนินชีวิตประจำวันก็ดี  ก็เหมือนกับการทดสอบเล็กๆ  เรียนได้ระยะหนึ่งก็สอบ  ดูว่าท่านหนักแน่นหรือไม่  เรียนได้ดีหรือไม่  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ถึงเวลาสุดท้ายที่ท่านจะสำเร็จสมบูรณ์ในต้าฝ่า จะมีการสอบ

 

ศิษย์   ถ้าคัดยีนส์ที่ถ่ายทอดโรคทางกรรมพันธุ์ออกไปแล้ว  เช่นนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้  เช่นผู้ที่ดำเนินการรวมทั้งเด็กที่คลอดออกมา      รวมถึงสภาพการณ์ที่อยู่ในมิตินี้และในมิติอื่น จะมีเรื่องได้กับเสียไหม
อาจารย์     จะพูดอย่างไรดีนะ   มิติอื่นนั้นท่านแตะต้องไม่ได้   ในอาณาจักรของชีวิตคนไม่หยุดยั้งที่จะค้นคว้า  แต่ทั้งหมดที่สามารถรู้ได้ เป็นเพียงสภาพการณ์ของชั้นผิวนอกสุดของร่างกายที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุลเท่านั้น  แต่สาเหตุที่เป็นธาตุแท้ที่สุดที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตคน  คนจะไม่อาจรู้ได้ชั่วนิรันดร์   ดังนั้นการที่จะตรวจสอบให้ชัดแจ้งว่าชีวิตของคน กับชีวิต ว่าที่แท้คืออะไร   นั่นจะเป็นความลับชั่วนิรันดร์ ชั่วนิรันดร์ของมนุษย์  นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจให้คนรู้ได้  พูดถึงว่าสามารถจะคัดยีนส์ที่ถ่ายทอดโรคทางกรรมพันธุนี้ออกไปได้หรือไม่  คนก็จะไม่เป็นโรคแล้ว ยังไม่ใช่เช่นนี้  ร่างกายคนเองมีองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดโรคคงอยู่    ในขณะเดียวกันคนก็มีสาเหตุของโรคหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า ไม่ใช่เกิดจากแฟคเตอร์(ปัจจัย)ของโรคเหล่านี้          ดังนั้นท่านจะให้คนไม่ป่วยนั้นเป็นไปไม่ได้
   ข้าพเจ้าพูดจากมุมมองของการบำเพ็ญ  ถ้าคนๆหนึ่งไม่ป่วยเลย  ร้อยปีให้หลังเขาต้องลงนรกแน่นอน  เพราะอะไรหรือ  เพราะคนเอาแต่ก่อกรรมแต่ไม่ชดใช้  กรรมของเขาก็จะใหญ่เกินไปแล้ว  ดังนั้นคนจึงมีโรค  มีความทุกข์ทรมาน  ในชีวิตมีเรื่องยุ่งยาก  มีด่านที่ผ่านยาก  จะมีวันคืนที่ทุกข์ระทม  นี่ล้วนแต่สลายกรรมให้คน  ล้วนลดทอนกรรม  โดยเฉพาะขณะที่เป็นโรค  การสลายกรรมนี้ก็ค่อนข้างมาก  เช่นนั้นการเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องดีหรือไม่  แน่ละไม่ใช่เรื่องดี  คนไม่ไปทำเรื่องเหล่านั้นที่ไม่ดี ก็จะป่วยแต่น้อย  เช่นนั้นคนก็ไม่ต้องไปคัดยีนส์อะไรออกมาแล้วใช่หรือไม่  ที่จริงคนคิดอะไรท่านก็ไปทำ  ก็เป็นเรื่องของคน  ข้าพเจ้าเพียงบอกหลักการนั้นแก่ทุกท่าน   เช่นนั้นคนมักจะไปค้นคว้าอยู่เสมอ  มักจะต้องการพัฒนาดังว่า  มักจะมีใจคนที่เบี่ยงเบน  เช่นนั้นท่านก็ไปทำเถอะ  เนื่องจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน สอดแทรกอยู่ทั่วทุกอาณาจักรของการดำรงชีวิต  ทุกอาณาจักรเล็กๆ  ทุกสิ่งดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่เพื่อมัน  คงอยู่เพื่อมัน  ท่านเพียงแต่ไปทำก็พอแล้ว  คนทุกวันนี้ก็ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพอย่างนี้ นั่นเป็นงานของท่าน  ในเมื่อได้ทำแล้วข้าพเจ้าคิดว่าท่านก็พยายามทำมันให้ดี  นี่ไม่มีปัญหา  
             พูดถึงการได้กับเสียเหล่านี้   สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญ  นั่นคืองานของท่าน   งานกับการบำเพ็ญนั้นแยกออกจากกัน  ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน  การงานของท่านแทนที่การบำเพ็ญไม่ได้  แต่ซินซิ่งกับสภาพการณ์ในการบำเพ็ญของท่านสามารถสะท้อนเข้าไปในการงานของท่านและท่าทีที่ท่านมีต่อสรรพสิ่งทั้งหมด

ศิษย์   ถ้าจักรวาลเป็นระบบหนึ่งที่มีระเบียบ พลังงานนั้นไร้ขีดจำกัด  เช่นนั้นทฤษฎีว่าด้วยความไม่เป็นระเบียบในปัจจุบันจะเข้ากันได้อย่างไรกับการจัดวางชนิดนี้ที่เป็นระบบของจักรวาล
อาจารย์   ที่จริงไม่ว่าคนที่นี่จะวุ่นวายอย่างไร(ไม่เป็นระเบียบ)  ทฤษฏีเหล่านี้จะมีมากสักเท่าไร  ในอดีตประเทศจีนยุคโบราณมีนักปรัชญานักคิดสำนักต่างๆ  ยุคใกล้ๆก็มีทฤษฎีปรัชญานานาชนิด ยังมีทฤษฎีศาสนานานาชนิด   ไม่ว่ามันจะพูดไว้อย่างไร หรือทำอย่างไร  ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นนี้  มันไม่อาจรบกวนจักรวาลแต่อย่างใดได้  ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง ซึ่งคล้ายกับการด่าคน  ที่จริงไม่ใช่ ข้าพเจ้าเพียงแต่ยกตัวอย่าง  ในกองขยะกองนั้น มักจะส่งกลิ่นต่างๆนานาออกมา  ท่านไม่ให้มันส่งกลิ่นออกมาก็ไม่ได้  ดังนั้นมันไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับจักรวาล เพียงแต่ปรากฏการณ์ที่วุ่นวายชนิดหนึ่ง ณ ที่ตรงนี้ของคน  ในความวุ่นวายนั้นจะมองเห็นใจคน      ในความวุ่นวายจะดูว่าใครที่ยังมีความคิดที่ถูกต้อง

ศิษย์    มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งขัดสมาธินานถึง ๘ ชั่วโมง ๒๐ นาที  หลังจากนั้นพอเดินก็มักจะเดินกะโผลกกะเผลก แต่ตอนนี้หายแล้ว            หรือว่าผมทำผิดไปแล้วจริงๆ
อาจารย์   แปดชั่วโมงนั้นย่อมจะไม่ใช่การลองทำดูหนา  การฝึกพลังของเรา ถ้ามีกำลังพอจะฝึกมากสักหน่อย  เป็นเรื่องที่ดี  ถ้ามากเกินกว่าขีดจำกัดของท่าน  จะต้องขัดสมาธิให้นานอย่างนั้นให้ได้  จะต้องทำอย่างนั้นให้ได้  แน่ละจิตที่จะบำเพ็ญดวงนี้ ดีมาก  แต่เป็นจิตยึดติดอีกชนิดหนึ่งหรือไม่  ถ้าท่านมีจิตยึดติดชนิดหนึ่งต่อการนั่งขัดสมาธิโดยตัวมันเอง  เช่นนั้นอาจจะก่อให้เกิดองค์ประกอบชนิดหนึ่งที่จะให้ท่านอู้  เป็นองค์ประกอบที่จะให้ท่านเข้าใจ   ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่า ทุกท่านบำเพ็ญก็บำเพ็ญไป  อย่ามีจิตยึดติดใดๆ  เอาแต่จะต้องบรรลุความเป็นที่หนึ่งอะไรให้ได้   ฉันจะต้องนั่งสมาธิได้นานอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้   หรือเกิดจิตอะไรอื่นขึ้นมา   เช่นนั้นรับรองว่าจะเกิดผลตรงกันข้าม  อย่าได้เกิดจิตยึดติดขึ้นมาในการบำเพ็ญต้าฝ่า                       มีแต่จะให้ท่านทิ้งจิตยึดติดไป   
   พูดถึงการบำเพ็ญเป็นเวลายาวนาน  ท่านสามารถขัดสมาธิได้นานอย่างนั้นตามธรรมชาติ  และมีเวลา  ในบ้านไม่มีเรื่องใหญ่อะไร  พอนั่งก็นั่งได้นานอย่างนั้น  ข้าพเจ้าว่าเช่นนั้นท่านก็นั่งเถอะ  แต่ในนี้ยังมีปัญหาหนึ่ง  ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า  ต้าฝ่าของเราไม่ส่งเสริมให้บำเพ็ญอยู่ในความนิ่งเป็นเวลานาน    ให้อ่านหนังสือศึกษาฝ่าให้มาก  ท่านต้องบำเพ็ญจิตดวงนี้ของท่านอย่างแจ่มแจ้ง  ยกระดับขึ้นจากในฝ่า   ส่วนท่าเคลื่อนไหวของการบำเพ็ญโดยตัวมันเองเป็นวิธีเสริมเพื่อบรรลุการสำเร็จสมบูรณ์ชนิดหนึ่ง  ดังนั้นหากท่านจะใช้ ๘ ชั่วโมงนี้มาศึกษาฝ่า ข้าพเจ้าว่าจะยกระดับได้มากยิ่งนัก  ที่จริงข้าพเจ้าเคยพูดกับทุกท่านไว้ว่า  การถ่ายทอดฝ่านี้ ก็ได้พิจารณาตั้งแต่แรกแล้วว่า คนจะบำเพ็ญอย่างไรในสภาพสังคมคนธรรมดาสามัญ  เพราะเวลารีบเร่งมาก        หลายคนที่การงานยุ่งคงจะไม่มีเวลานั่งได้นานอย่างนั้น
             ที่จริงข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องนี้แล้ว  ไหนเลยจะเกรงว่าท่านมีเวลานั่งสมาธิเพียงครึ่งชั่วโมง  ข้าพเจ้าก็จะไม่ให้ท่านตกหล่นอยู่ข้างหลัง  การฝึกพลังในท่าเคลื่อนไหวปัญหาที่ควรจะแก้ไขนั้นล้วนจะไม่ให้ท่านตกหล่นอยู่ข้างหลัง   ก็คือเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้   ทุกท่านหากแต่ละวันล้วนต้องนั่ง ๘ ชั่วโมง  งานในสังคมคนธรรมดาสามัญทั้งหมดก็จะไม่มีคนทำแล้ว  คนเขาก็ไม่อาจเข้าใจพวกเราได้แล้ว  นี่ก็ไม่ถูก  ที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักการข้อหนึ่ง  และไม่ได้พูดว่าไม่ให้ท่านเป็นอย่างนี้  ไม่ให้ท่านเป็นอย่างนั้น  ถ้าท่านมีเวลามาก  และท่านยังสามารถนั่งได้นานอย่างนั้นตามธรรมชาติ 

เช่นนั้นข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้าน ก็คือว่าท่านอย่ามีจิตยึดติดไปทำเรื่องอะไร
             รูปแบบความคิดนี้ของข้าพเจ้า  ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปแบบความคิดของชาวตะวันออก  เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้  คือมักจะพูดแบบวิเคราะห์แยกแยะอย่างนั้น  ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าผู้ฝึกผิวขาวฟังเข้าใจหรือไม่  พวกท่านฟังเข้าใจไหม (เสียงปรบมือ) ดี  เพราะรูปแบบความคิดในการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้า  มักจะเป็นรูปแบบความคิดของชาวตะวันออก  ดังนั้นจึงถามทุกท่าน

ศิษย์     ถ้าชีวิตเกิดขึ้นภายในสามภพ  แล้วคิดจะบำเพ็ญออกนอกสามภพนั้นยากมากใช่หรือไม่                     อาจารย์    ก็ไม่แน่  การบำเพ็ญในอดีตจะยากมาก  อาจพูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย  พูดถึงการช่วยเหลือสรรพชีวิต  ที่จริงคือการช่วยผู้ที่ลงมาจากโลกของพวกเขาเอง   แต่ที่เหมือนกับองค์ศากยมุนีพุทธ  พระเยซูที่ลงมาช่วยคน   คนที่อยู่ในขอบเขตชาติพันธุ์ของพวกเขานั้นก็จะช่วยหมด  แต่ก็ล้วนมีขีดจำกัดที่แน่นอน   ขณะนี้สรรพชีวิตทั้งหมดของจักรวาลล้วนกำลังจัดวางตำแหน่งของพวกเขาใหม่  เช่นนั้นบางทีทางด้านนี้ก็จะมีโอกาสด้วยกันทั้งนั้น  ก็ดูว่าชีวิตนี้จะไปปฏิบัติต่อทุกสิ่งนี้อย่างไร

 

ศิษย์    ต้าฝ่าของเราครอบคลุมหลักการของสายพุทธ  สายเต๋า  และฉีเหมิน   หลักการของฝ่าที่พระยูไลองค์อื่นประจักษ์แจ้งนั้น          จะมีประโยชน์ต่อการชี้นำต่อเราหรือไม่
อาจารย์     ไม่มี   ต้าฝ่าครอบคลุมทุกสิ่ง   แต่ไม่อาจนำหลักการของทางสายย่อย สำนักเล็กใดๆหรือหลักการของพระยูไลองค์ใดเพิ่มเติมเข้ามา   นั่นมีแต่จะทำให้ท่านรับรู้เบี่ยงเบนไป    เพราะมันไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับต้าฝ่าของจักรวาลได้   การรับรู้และมรรคผลในระดับชั้นที่ต่างกัน  ล้วนสร้างขึ้นมาจากฝ่า   ทุกสิ่งที่ท่านบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่านี้   ก็มีองค์ประกอบของการประจักษ์แจ้งต่อฝ่าของพวกท่านเอง   นั่นก็คือมรรคผลที่พวกท่านเองได้รับ 
   เราขอถือโอกาสพูดกับทุกท่านสักหน่อย   พวกเราที่นั่งอยู่  บางคนมาเป็นครั้งแรก  ยังไม่ได้อ่านหนังสือของข้าพเจ้า  หรือผู้ฝึกของเราหรือญาติพามา   ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่อาจจะเนื่องจากบุญวาสนา  แต่  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ปัญหาที่พวกท่านถามนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเวลาตอบให้  เพราะอะไรหรือ   ข้าพเจ้ามาที่นี่สักครั้งไม่ใช่ง่ายเลย   พวกเขาหลายปีจึงจะเปิดฝ่าฮุ่ยครั้งนี้    ในการบำเพ็ญของพวกเขามีปัญหาต่างๆที่จำเป็นต้องให้ข้าพเจ้าตอบให้   ดังนั้นเวลานี้กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญแล้วมีค่าอย่างยิ่ง  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่อาจให้เวลากับพวกท่าน  ขอให้พวกท่านอภัยด้วย  ทำไมนะหรือ  บรรดาปัญหาที่พวกท่านจะถามนั้นมักจะเป็นปัญหาของคนธรรมดาสามัญ   และเรื่องของสังคมมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ใส่ใจ   ยังมีบางคนที่เมื่อครู่ถามออกมาว่าอาจารย์ของพวกท่านมีความสามารถถึงอย่างนั้น ทำไมไม่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นละ   ใครก็ทราบว่าการพัฒนาของสังคมมนุษย์นั้น พัฒนาไปตามกฎเกณฑ์   ถึงก้าวไหนควรจะเป็นอย่างไร  นั่นเป็นสิ่งที่เทพกำหนดให้  พระพุทธ  เต๋า เทพ ล้วนปกป้องทุกสิ่งอยู่  ไม่อาจทำตามอำเภอใจ  หากเทพมากมายอย่างนั้นคิดจะทำอะไรก็จะทำอะไร  เช่นนั้นอย่าว่าแต่ทำให้เศรษฐกิจท่านดีขึ้น  ใต้หล้าก็จะยุ่งเหยิงไปตั้งนานแล้ว

   แต่เมื่อดูจากปัญหาที่ถามขึ้นมานี้  ข้อหนึ่งเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของเรา   ข้อสองมีลักษณะปลุกปั่นยุแหย่   ข้อสามเขาคิดปัญหาโดยยืนอยู่บนจุดฐานของคน   คนอยากจะทำอะไร เทพก็ต้องทำอะไรให้ท่านด้วยหรือ  คนคิดจะทำอะไร เช่นนั้นสวรรค์ก็ต้องทำอะไรให้ท่านหรือ  เทพต้องฟังการบงการของท่านที่เป็นคนหรือ  ท่านรู้สึกว่าการทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นเป็นเรื่องสำคัญ  ท่านทราบไหมว่าเทพมองเรื่องอื่นสำคัญยิ่งกว่าอีก   ท่านทราบไหมว่าคนที่ไม่มีโชคลาภเป็นเพราะศีลธรรมของเขาใช้ไม่ได้   ใจคนเลวร้ายเกินไป   ถ้าใจคนล้วนดีหมด  เขาก็จะมีโชคลาภ  เขาก็จะเจริญรุ่งเรือง  ท่านเข้าใจเหตุผลนี้ไหม        คนเปลี่ยนเป็นเลวร้ายอย่างนั้นแล้ว  ยังคิดจะเอานี่เอานั่น  ใครจะให้ท่านละ  ที่นี่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงชนชาติใด  ประเทศใด   ข้าพเจ้าพูดถึงหลักการทั่วไปของฝ่า  ก็คือหลักการอย่างนี้   หากคิดจะมีโชคลาภ  คนอยากจะมีโชคลาภ  เช่นนั้นก็ต้องลดทอนกรรมให้น้อยลง  มีกุศลมาก  จึงจะร่ำรวยเข้มแข็ง   ก่อนอื่นใจคนต้องมุ่งสู่ความดีงาม  มีกรรมน้อย  หาไม่แล้ว  ยังไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไม่ดี  ภัยพิบัติทางธรรมชาติอะไรก็จะมีอย่างไม่หยุดหย่อน  แต่คนไม่รับรู้  เขาไม่รู้ทุกสิ่งนี้ล้วนแต่มีการจัดวางไว้  เขาก็เข้าใจว่าคนคิดจะทำอย่างไร  ก็จะสามารถทำอย่างนั้นได้

ศิษย์     คนชั่วทั้งหมดบนโลกที่มุ่งแต่ทำเรื่องชั่ว         ก็เป็นลิขิตชีวิต            สามารถให้อภัยได้ไหม
อาจารย์    ไม่ได้  ทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้นั้นหมายถึงชีวิตของคนมีการจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ  ข้าพเจ้าได้พูดไว้ในฝ่าแล้วว่า  มีสภาพการณ์สองชนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตคน  สามารถเปลี่ยนแปลงการจัดวางของคน ชนิดหนึ่งคือคนเดินเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญ  ในรายที่ชั่วชีวิตของท่านเดิมทีไม่มีการบำเพ็ญ  เช่นนั้นชีวิตทั้งหมดของท่านก็จะถูกเปลี่ยนใหม่  ยังมีอีกสภาพการณ์หนึ่งก็คือคนๆนี้ทำแต่เรื่องชั่ว  ก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาได้  เขาทำเรื่องชั่วไม่มีหยุด  จนกระทั่งสามารถเปลี่ยนดวงชะตาของชั่วชีวิตเขา   หากคนไม่ได้ทำเรื่องชั่ว  ก็จะไม่ก่อเกิดกรรม   ดังนั้นในขณะที่คนทำเรื่องชั่วจึงสามารถเปลี่ยนดวงชะตาของเขาได้  สามารถเปลี่ยนการจัดวางไว้ก่อนกำเนิดของเขาได้  แต่สิ่งที่รอคอยเขาอยู่คือในระหว่างที่ชดใช้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำไปนั้น จะถูกดับสลายทีละชั้นทีละชั้น   การบำเพ็ญสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคน  วิธีการอื่นล้วนไม่มีทาง

ศิษย์   เวลาที่ผมอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”มีหลักการชั้นสูงและลึกซึ้งมากมาย  ที่มักจะอ่านแล้วก็ลืม  เวลาที่ผมฟังเทปการบรรยายฝ่า        เมื่อผ่านไปแล้วอะไรก็ลืมหมด
อาจารย์    นี่ก็เป็นเรื่องปกติ   ประการหนึ่งคือเมื่อเพิ่งจะเริ่มต้น เกิดจากสิ่งที่ไม่ดีมากมายในความคิด  อีกประการหนึ่งคือ เพราะด้านที่ได้ฝ่านี้ของท่าน  ท่านจำได้แล้ว  ก็เป็นส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว  เมื่อท่านบำเพ็ญต่อไปไม่หยุด  ความเร็วของการยกระดับจะยิ่งเร็ว   เช่นนั้นด้านนั้นที่ท่านศึกษาได้ดีก็จะแยกออกไปยิ่งเร็ว  พอท่านศึกษาจบก็แยกออกไปทันที  พอแยกออกไปก็จะไม่ติดต่อกับชั้นผิวส่วนนี้ของท่านที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าทำไมลืมไปหมดแล้วละ หมายความว่าส่วนนั้นของท่านได้ข้ามไปแล้ว มันมีคุณสมบัติเหมาะสม ได้มาตรฐานแล้ว เมื่อบรรลุข้อกำหนดของฝ่าจากนั้นก็จะเลื่อนระดับขึ้น      หลังจากเลื่อนระดับขึ้นแล้วส่วนนั้นก็เป็นเทพ  ซึ่งไม่อาจจะปะปนอยู่รวมกับคนได้อย่างเด็ดขาด  แน่ละนี่ก็ไม่ใช่เรื่องตายตัว  เนื่องจากในอดีตคนที่บำเพ็ญอยู่ในป่าเขาลึกก็จะไม่ใช่เช่นนี้  เป็นเพราะเขาไม่ได้สัมผัสกับสังคมคนธรรมดาสามัญ  แต่ศิษย์ต้าฝ่านั้นบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ถ้าส่วนที่เป็นเทพนั้นทำเรื่องเดียวกับคน  นั่นย่อมไม่อาจอนุญาตได้    ดังนั้นจึงต้องแยกออกไป   ท่านที่ฝั่งนี้จะทำดีหรือทำไม่ดี  ด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จจะไม่ขยับ ไม่เข้าร่วมกับเรื่องของคน  นี่ก็จะรับประกันให้ส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วของท่านไม่ตกลงมา      มีแต่ยกระดับสูงขึ้นเรื่อยไปนี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุด
 
            ดังนั้นบางครั้งจะปรากฏออกมาว่ารู้สึกลืมไปแล้ว หรือด่านนี้ผ่านไปแล้ว  พอผ่านไประยะหนึ่งรู้สึกว่าทำไมเดี๋ยวนี้จิตยึดติดนี้ดูเหมือนก็มีอีกแล้ว  ก็คือส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วนั้น  ส่วนที่บรรลุถึงมาตรฐานแล้วนั้น   มันได้แยกออกไปแล้ว  มันเกิดขึ้นอย่างนี้  แต่ก็ไม่ใช่เป็นเช่นนี้โดยสิ้นเชิง  ในเวลาที่ท่านบำเพ็ญจริงอย่างไม่หยุดหย่อน  ชั้นผิวนอกสุดของท่านที่เป็นคนส่วนนี้ จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ  การจดจำฝ่าก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้นนั่นคือในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะเกิดเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องปกติ

ศิษย์     เดี๋ยวนี้ไม่อยากพูดอะไรมากเรื่อยขึ้นๆ   กับเรื่องอะไรก็รู้สึกค่อนข้างจืดจาง  ยิ่งกว่านั้นยังมักจะลืมเรื่องราว  สภาพการณ์ชนิดนี้ ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์    การลืมเรื่องราวยังมีสภาพการณ์อย่างหนึ่ง  พวกท่านดำรงชีพอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  โดยเฉพาะที่ประเทศจีนนั่น  มีคนมากมายล้วนใช้สมองไปกับเรื่องการต่อสู้แย่งชิงระหว่างคนกับคนด้วยกัน  และการเสียดสีระหว่างคนกับคน  เช่นนั้นแล้ว  จึงก่อให้เกิดความคิดกับวิธีคิดที่ไม่ดีมากๆ  ไม่สอดคล้องกับความคิดของผู้บำเพ็ญโดยสิ้นเชิง  คนก็เคยชินเสียแล้ว  พอคิดเรื่องหนึ่งสมองท่านก็จะหันไปทางนั้น  ก็คิดไม่ดี  แล้วจะทำอย่างไรละ   ข้าพเจ้าจึงปิดสมองส่วนนั้นของพวกท่านไว้ก่อน  ให้มันไม่ตื่นตัวนัก  ให้ความคิดที่ดีของท่านส่วนนั้นตื่นตัวขึ้นมา  ฉะนั้นในระหว่างนี้ท่านจึงง่ายที่จะลืม  เป็นการดีต่อท่าน   ความคิดนั้นของท่าน พอออกมาก็คือคิดไม่ดี  เป็นเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  แน่ละไม่ใช่พูดว่ามันไม่ดีอย่างไร  รูปแบบความคิดนั้นก็คือไม่ถูกต้อง  พอทำก็คือรูปแบบความคิดชนิดนั้น  ดังนั้นต้องแก้ไขให้เขา  ในช่วงเวลาหนึ่งจึงง่ายที่จะลืม  นี่คือเพื่อการบำเพ็ญของทุกท่านจึงทำเช่นนี้  แต่จะไม่กระทบต่อการงานและการเรียน  พูดถึง พบว่าตนเองทำงานไม่ค่อยถูกต้อง   นั่นอาจเกี่ยวกับการยกระดับของท่าน   เนื่องจากหลักการของฝ่านั้นจะเลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ  ขณะนี้ที่ท่านอู้ได้นั้นถูกต้อง   พอท่านยกระดับขึ้นอีก ท่านก็จะพบว่าที่ท่านอู้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องตายตัว  พอท่านยกระดับอีก ท่านจะพบว่า ที่เพิ่งอู้ได้นั้นก็ไม่ค่อยจะถูกนัก   อาจเป็นสภาวะนี้  ดังนั้นยิ่งบำเพ็ญขึ้นไปก็ควรถูกต้องยิ่งๆขึ้น

ศิษย์    การบำเพ็ญนั้นเริ่มต้นจากต้นกำเนิดของชีวิต  จนกระทั่งสำเร็จสมบูรณ์   หลักพลังนั้นโตขึ้นเริ่มจากกระหม่อมขึ้นข้างบน  จนกระทั่งสำเร็จสมบูรณ์  ระหว่างกระบวนการสองชนิดนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
อาจารย์     สสารพลังงานสูงที่ผันแปรร่างกายเป็นการเปลี่ยนแปลงร่างแท้  ผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่จะเพียบพร้อมด้วยพลังงานมหาศาล  ในระหว่างการบำเพ็ญปรากฏการณ์ของพลังงานนี้ก็คือหลักพลัง  นั่นคือส่วนหนึ่งของฝ่าของผู้บำเพ็ญที่ปรากฏให้เห็นภายนอก  มันเป็นรูปแบบสองชนิดที่คงอยู่  ทุกสิ่งที่จำเป็นในระหว่างการบำเพ็ญ  รวมทั้งการเปลี่ยนของโมเลกุลในตัวเขา ก็ต้องอาศัยพลังงานนี้  มันสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง  การบำเพ็ญต้าฝ่านั้นเริ่มต้นจากชีวิต ณ ระดับจุลทรรศน์ที่สุด  แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ชั้นผิวของเขาก็กำลังเปลี่ยนแปลงด้วย   เพียงแต่สัดส่วนการเปลี่ยนแปลงจะน้อย  ประมาณร้อยละหนึ่งโดยสัดส่วน 

ศิษย์    การบำเพ็ญคือร่างกายฝั่งนี้ของคนที่มีบทบาท  หลักการของฝ่าก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่แสวงหาจะได้เอง  การรับรู้และความรู้สึกชนิดนี้ถูกต้องไหม

อาจารย์    ถูกต้อง  สภาวะนี้ดีมาก  เวลาที่บรรลุถึงสภาวะนี้จะรู้สึกผ่อนคลายเบาสบาย  ชีวิตเต็มอิ่ม  ควบคู่ไปกับการก้าวหน้าของตนเองเรื่อยไป  เข้าใจหลักการของฝ่ามากขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้นบำเพ็ญขึ้นมาก็ง่ายขึ้นเรื่อยๆ   มีเรื่องมากมายเมื่อมองดู  ก็จะไม่เหมือนกับที่คนมองปัญหาซับซ้อนอย่างนั้น  แค่มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่ง  เมื่อคนธรรมดาสามัญเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้นมา   ต่างก็โต้เถียงกันแบบไม่มีใครยอมใคร  แต่ท่านไม่ได้อยู่ในการโต้เถียงของพวกเขา   ในเวลาที่ท่านมองดูพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ  ท่านสามารถวิเคราะห์พวกเขาได้ว่าใครที่พูดอย่างมีเหตุผล  ถ้าท่านโดยมูลฐานไม่อยู่ในความเป็นคนธรรมดาสามัญ ท่านมองดูเขาโต้เถียงกันอีกที  เขาพูดไปไม่กี่คำ  ท่านก็เข้าใจอะไรได้หมด  จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เรื่องนี้มีอะไรน่าโต้เถียงนะ  มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่ง

ศิษย์     เนื่องจากผมมีอายุมาก  กระดูกแข็งเกินไป  นั่งขัดสมาธิทำได้ยาก  แม้แต่ขัดขาเดียวก็ไม่มีทางทำได้  ได้แต่นั่งขัดหลวมๆฝึกพลัง

อาจารย์     การบำเพ็ญล้วนไม่เป็นปัญหาไม่ว่าคนจะมีอายุเท่าใด  คนที่อายุมาก  โดยตัวมันเองหาได้มีปัญหาของการบำเพ็ญยาก  ไม่มีการแบ่งตามอายุ   เนื่องจากความเข้าใจต่อฝ่านั้นไม่ว่าท่านจะอายุมาก อายุน้อย ก็ล้วนสามารถเข้าใจได้  เช่นนั้นพูดถึงการนั่งขัดขา  แน่ละผู้ที่มีอายุมากนั้น ข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติต่อปัญหานี้อย่างแยกแยะ  ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยนั่งขัดขามาก่อนเลย  ดูเหมือนกระดูก เส้นเอ็นไม่เคยยืดมาก่อน  จะทำอย่างไร  ค่อยๆฝึกไป  ไม่ต้องรีบร้อน  ข้าพเจ้าคิดว่าสุดท้ายยังคงสามารถจะขัดขาได้   เพราะคนอายุ ๘๐กว่า จะ๙๐ ปี ตั้งแต่ยังไม่เคยนั่งขัดขาก็ขัดขึ้นไปได้แล้ว  ลองฝึกๆดู  ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง  ในอดีตผู้บำเพ็ญอายุ ๘-๙สิบปี หรือร้อยกว่าปี ค่อยได้ธรรมะนั่นก็พบเห็นได้บ่อยมาก

ศิษย์   ต่อไปภายหน้าคนจะไม่รู้จักฝ่านี้  แต่ในจิงเหวิน “ฝ่าติ้ง(ฝ่ามั่นคง)”กล่าวไว้ว่า “ตราบนานแสนนานล้วนต้องบำเพ็ญตามเส้นทางนี้ที่ข้าพเจ้ามอบไว้ให้ทุกท่านด้วยตัวเองจึงจะสามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้”
อาจารย์   ที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับพวกท่าน  ได้แต่ใช้ภาษาของคนไปบรรยาย  ฝ่านี้ในทุกเขตแดน ทุกระดับชั้นของจักรวาลล้วนจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล  ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล  ดังนั้น  ต้าฝ่าของจักรวาลของเรานี้  จะตั้งมั่นไม่เสื่อมถอยตลอดกาล  และเขายังมีความสามารถในการซ่อมแซมตนเอง  กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเขาโดยไม่หยุดหย่อน ให้เขาไม่เสื่อมตลอดกาล  ทุกท่านทราบว่า  คนนั้นไม่คู่ควรได้ฟังฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  ไม่ใช่ว่าองค์ศากยมุนีพุทธไม่ได้สอนฝ่าที่แท้จริง  ไม่ใช่ว่าพระเยซูไม่อยากจะพูดให้ทะลุปรุโปร่งอย่างนั้น  หากเป็นคนเองที่ควรได้ฟังมากแค่นั้น  หาไม่แล้ว  หากคนได้รู้หลักการของพระพุทธและเทพ เป็นอย่างนั้นไม่ได้  วันนี้ข้าพเจ้าได้พูดความลับสวรรค์มากมายอย่างนี้ให้กับพวกท่าน   เมื่อพวกท่านสำเร็จสมบูรณ์แล้ว      ข้าพเจ้าก็หาได้พูดให้กับคนไม่            ล้วนพูดให้กับเทพแล้ว   
   ส่วนคนที่ไม่สำเร็จสมบูรณ์  ในอนาคตก็จะลบความจำให้เขาหมด  ล้วนไม่ให้เขารู้   และในต้าฝ่านี้ ในนั้นยังมีคนที่ไปโลกฝ่าหลุน  ยังมีความนัยของสำนักนี้อยู่ข้างใน  ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ต่อไปจะให้กับคนหรือไม่  นั่นเป็นเรื่องในภายหน้า  แต่ต้าฝ่าเองกับข้าพเจ้านั้น  มนุษย์ในภายหน้าจะไม่รู้จัก ผู้คนจะเล่าขานต่อกันไปเป็นเวลานานมาก  ก็เหมือนเทพนิยาย  ผู้คนจะพูดกันเป็นเวลานานมาก  และจะจดจำอย่างลึกซึ้งในบทเรียนที่สำคัญยิ่งที่เหลือไว้ให้กับคน ณ ช่วงสุดท้ายในการจัดวางตำแหน่งให้แก่ชีวิตในระดับชั้นนี้

ศิษย์    ฝ่าหลุนกงสอนเรื่อง ความจริง  ความเมตตา  ความอดทน  เช่นนั้นที่เมืองเทียนจิน เกิดเรื่องที่ไม่เป็นธรรมต่อศิษย์ฝ่าหลุนกง ก็สมควรอดทนใช่หรือไม่
อาจารย์  เรื่องนี้ได้พูดกับทุกท่านไปแล้ว  ไม่อยากจะพูดอีก  ความอดทนนั้นเป็นการแสดงออกของผู้บำเพ็ญในทุกการกระทำ  และไม่ใช่ว่าไม่มีการกระทำ  ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ถูกคนทำลายตามชอบใจก็ไม่ควรไปแสดงความเห็นสักหน่อยหรือ   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านอีกครั้ง ผู้ฝึกในเป่ยจิงไม่ใช่ไปสำแดงพลัง  ไม่ใช่ไปเดินขบวน  ไม่มีการร้องตะโกน ไม่มีคำขวัญ  ไม่มีเจตนาร้าย  ล้วนแต่มีความคิดที่ดีงามเพื่อจะสะท้อนสถานการณ์ที่เป็นจริงต่อผู้นำประเทศ  ข้าพเจ้าคิดว่าสำหรับเรื่องแบบนี้ สมควรทำ  เพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อศิษย์ต้าฝ่า ดูเหมือนเท่ากับว่าไม่ยุติธรรมต่อเขาด้วย        ท่านว่าเขานอกรีต  ก็เท่ากับพูดว่าฉันนอกรีตด้วย  แต่ละคนต่างคิดเช่นนี้  แต่ละคนต่างคิดจะกอบกู้ชื่อเสียงของต้าฝ่า  ไปสะท้อนสถานการณ์ให้ผู้นำประเทศ  ก็คือจิตใจนี้  ซึ่งไม่ผิด  คนที่ไปมากหรือไม่  ข้าพเจ้าว่าคนที่ไปไม่มากเลย  เพราะมีคนร้อยล้านคนฝึกพลัง  ถ้าทุกคนไปกันหมด  นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องน่าตกใจ  เป่ยจิงก็จุไม่ไหว   ทั่วประเทศมีหนึ่งร้อยล้านคน แต่ไปแค่หมื่นกว่าคน  ยังจะมากหรือ  หากท่านตัดสินให้เขาเป็นศาสนานอกรีตจริงๆ  ข้าพเจ้าว่าที่ไปจะไม่เพียงแค่หนึ่งหมื่นคน  การไปสะท้อนสถานการณ์ที่เป็นจริงให้รัฐบาลกลางยังจะผิดด้วยหรือ  ไม่ผิด(เสียงปรบมือ)
    เราพูดแล้วว่าเราไม่ต่อต้านรัฐบาล  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง  ทุกคนต่างเป็นคนดี  นี่ยังจะผิดหรือ  ท่านยังจะกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกชั่วร้ายกระนั้นหรือ  ถ้าทุกท่านล้วนทำเหมือนกับเรื่องของคนธรรมดาสามัญ  ท่านว่าอะไรเขา  เขาอาจจะไม่ถือสา  เขาเป็นคนดีจริงๆ  ท่านยังกล่าวหาว่าเขาชั่วร้าย  เช่นนั้นเขาจะไม่เจ็บปวดใจหรือ

ศิษย์    คนๆหนึ่งจะมีจิตใจดีงามมากหรือน้อย  กำหนดโดยชีวิตก่อนกำเนิด(ของเขา)ที่อยู่ ณ  ระดับสูงหรือต่ำใช่หรือไม่
อาจารย์    จิตใจดีงามที่จริงเป็นธาตุแท้ก่อนกำเนิด  ในโลกนี้ได้แต่พูดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดีงามก่อนกำเนิดของคน  ซึ่งมีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่กลับชาติมาเกิดเป็นคน  กล่าวสำหรับคน  จิตที่ดีงามนั้นแต่ละคนล้วนมีกัน   เพราะแต่ละชีวิตในขณะก่อเกิดขึ้นเป็นชีวิตในเขตแดนที่ตนอยู่   ล้วนสอดคล้องกับมาตรฐานในระดับชั้นนั้น  เพียงแต่ทัศนคติแต่ละชนิดที่ก่อเกิดหลังกำเนิด  อยู่ท่ามกลางในหมู่คนธรรมดาสามัญ เพื่อที่จะยืนอยู่ได้ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  จึงปกป้องตนเอง ปกป้องผลประโยชน์เล็กน้อยนั้นของตนอยู่เสมอ  ทำร้ายผู้อื่นไม่หยุดหย่อน  จิตที่ดีงามจึงยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ

ศิษย์    พระพุทธอยู่ ณ ระดับชั้นสูงที่สุด  มนุษย์อยู่ ณ ระดับชั้นต่ำที่สุด  ระหว่างพระพุทธจนถึงคนมีกี่ระดับชั้น
อาจารย์   ดูแล้วท่านไม่ได้ศึกษาฝ่า   โครงสร้างของจักรวาลนั้นข้าพเจ้าเคยพูดกับผู้ฝึกของข้าพเจ้าหลายครั้งแล้ว   ท่านหาหนังสืออ่านดู  เพราะพูดขึ้นมาก็ใหญ่เหลือเกิน  และยาวเหลือเกิน  พูดไม่จบในครั้งเดียว   พระพุทธก็ไม่ใช่สูงที่สุด  ไม่เหมือนกับที่ท่านจินตนาการอย่างนั้น  ที่ผ่านมาเทพชั้นสูงที่สุดนั้นไม่มีรูปลักษณ์  เขาไม่มีรูปร่าง  ส่วนเทพที่มีรูปร่าง  จากมุมมองของทั้งจักรวาล ล้วนอยู่ในระดับกลางและล่าง  จากระดับบนขึ้นไป  เทพที่ใหญ่โตมโหฬารไร้ที่เปรียบล้วนไม่มีรูปลักษณ์  ก็เหมือนกับสสารที่มีอยู่เต็มไปหมด  แต่เขามีความคิด  มีชีวิต  ระดับชั้นยิ่งสูง พลังงานก็ยิ่งมาก  พลังอำนาจยิ่งใหญ่  ระดับชั้นยิ่งสูง  ปัญญาญาณก็ยิ่งใหญ่

ศิษย์    ฝึกพลังมาเพียงครึ่งปี  ยังไม่มีปฏิกิริยาหรือสภาวะใดๆของการฝึกพลัง  ใช่ไหมว่าอาจารย์ไม่ดูแล  บางครั้งคิดว่าผมอาจเป็นคนที่มีรากฐานยอดเยี่ยม     คิดอย่างนี้ได้ไหม                                                                อาจารย์    ท่านอาจจะมีความคิดเช่นนี้  ความคิดเช่นนั้นได้ ไม่เป็นไรทั้งนั้น  แต่อย่าเอาความคิดเหล่านี้มายึดติด  เคยคิดก็เคยคิดไป   เส้นทางการบำเพ็ญของแต่ละคนล้วนมีการจัดวางที่แน่นอน  สนใจแต่บำเพ็ญไป  ต้าฝ่านั้นเปิดให้กับสรรพชีวิต  ในฐานะศิษย์  ถ้าข้าพเจ้าไม่ดูแลท่านก็เป็นปัญหาของข้าพเจ้า   ที่จริงท่านสามารถมองเห็นหลักการของฝ่า  สามารถบำเพ็ญอยู่ในฝ่า แต่ไม่รู้สึกถึงส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลง  นี่ไม่เท่ากับว่าท่านไม่ได้บำเพ็ญ  เนื่องจากบางคนนั้นความรู้สึกไวมากจริงๆ   บางคนความรู้สึกไม่ไวเลย  ดังนั้นสภาพการบำเพ็ญของคนจึงไม่เหมือนกัน  และอาจเป็นคนที่มีรากฐานยอดเยี่ยม  หรืออาจไม่ใช่  ดังนั้นสภาพการณ์ชนิดไหนก็มีทั้งนั้น


ศิษย์    คนที่บำเพ็ญไปถึงแค่ระดับชั้นของชาวสวรรค์ ใช่ไหมว่าต้องรอกายเนื้อตายแล้วจึงจะสามารถไปสู่ตำแหน่งที่เขาควรไป

อาจารย์   ชาวสวรรค์ในสามภพ  เขาไม่มีร่างกายที่ประกอบจากโมเลกุลชั้นที่ใหญ่ที่สุดนี้   ทว่าเป็นร่างกายที่ประกอบขึ้นจากอณูที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าอณูของระดับชั้นของคนนี้   ดังนั้น  เขาจึงไม่อาจมีร่างกายของระดับชั้นนี้  แต่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าภายในสามภพไม่มีเรื่องการสำเร็จสมบูรณ์  ไม่ออกไปจากสามภพไม่นับว่าสำเร็จสมบูรณ์  ที่จริงมีบางคน  ทำได้ค่อนข้างดีหน่อย  ก็คือว่าเขาเป็นคนดีในหมู่คนธรรมดาสามัญ  กรรมค่อนข้างน้อย  หรือชั่วชีวิตนี้ของเขาทำเรื่องดีไว้มากมาย  แต่คนๆนี้ไม่บำเพ็ญ ก็จะเลื่อนขึ้นไปเป็นชาวสวรรค์ในระดับชั้นสวรรค์ที่ต่างกันภายในสามภพ  นี่ไม่ต้องบำเพ็ญ  แต่ เมื่อผ่านไปหลายๆปีเขาต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิด พูดถึงการบำเพ็ญทางสายย่อย  ที่เขาออกไปนอกสามภพไม่ได้นั้น  ยังมีสาเหตุอื่น  ก็คือเรื่องของทางสายย่อย เราไม่สนใจเรื่องของพวกเขา

ศิษย์   ในการจัดการสิ่งต่างๆ ไม่มีข้อคิดเห็น จึงถูกคนอื่นชักนำได้ง่าย  สภาพการณ์ชนิดนี้คือตัวเองไม่ก้าวหน้าใช่ไหม                                                                                                                                                     

อาจารย์    เป็นปัญหาของการมีเหตุผล  ในฐานะผู้บำเพ็ญทำอะไรต้องมีข้อคิดเห็นที่กำกับด้วยความคิดที่ถูกต้อง

ศิษย์     การทำงานให้ดีเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญหรือไม่                                                                                     อาจารย์    เวลาที่ท่านทำงานอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ควรทำอย่างไรที่จะทำงานได้ดี และไม่เกี่ยวโยงกับปัญหาซินซิ่งของพวกท่าน  เป็นเพียงปัญหาทางเทคนิก  ข้าพเจ้าคิดว่านั่นไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญของท่าน  ถ้าปัญหาที่ท่านเผชิญ มีเรื่องซินซิ่งอยู่ด้วย  ก็คือว่าเรื่องที่ท่านทำอาจมีเรื่องที่ดีกับเรื่องที่ไม่ดี ข้าพเจ้าคิดว่า  ท่านก็พยายามทำตามมาตรฐานของผู้บำเพ็ญก็ถูกต้องแล้ว

ศิษย์  ร่างกายที่ถูกสสารพลังงานสูงผันแปรแล้วหรือผันแปรบางส่วน   ยังจะถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์ทางภววิสัยของสสารในมิตินี้หรือไม่                                                                                                                อาจารย์    ถ้าถูกผันแปรทั้งหมดแล้วจะไม่เป็น   เพียงแต่ส่วนที่ยังไม่ถูกผันแปรจะได้รับผลกระทบจากมิติของมนุษย์เขาก็อาจจะถูกมิตินี้ควบคุม

ศิษย์    ทานอาหารที่ให้พลังความร้อนจะร้อนใน  จะเป็นหวัดและไอ  ถ้าทานมากเกินไปแล้วจะอ้วนได้
อาจารย์   นี่เหมือนคนธรรมดาสามัญถามปัญหา  นี่เป็นคนละเรื่องกับผู้บำเพ็ญ   เพราะในฐานะที่ท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  พลังงานที่ส่งออกมาจากตัวท่านเอง  จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ล้วนสามารถแก้ไขสภาพร่างกายได้ ดังนั้นจึงต่างจากคนธรรมดาสามัญ  ผู้บำเพ็ญกลัวทานอาหารที่ให้พลังความร้อนแล้วจะร้อนใน  นั่นเป็นจิตยึดติดอย่างหนึ่ง พูดอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น  ในฐานะผู้บำเพ็ญ ต้องรับรู้ฝ่าจากในฝ่า  ต้องใช้หลักการเหนือสามัญธรรมดามาประเมินตนเอง    ดังนั้นถ้าท่านมัวแต่ใช้หลักการของคนธรรมดาสามัญมาประเมินตนเอง  ข้าพเจ้าว่านั่นก็ไม่ถูกแล้ว  ใช่ไหม  นั่นก็เป็นปัญหาซินซิ่งแล้ว   คือกลัวเป็นหวัด  ไอ นี่เป็นคนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าทราบว่าท่านยังไม่ได้บำเพ็ญ  พวกเราผู้บำเพ็ญ  ร่างกายนี้สุดท้ายเข้าสู่สภาวะร่างใสกระจ่าง  จากนั้นออกนอกสามภพ  เป็นร่างกายที่ประกอบด้วยสสารพลังงานสูง เช่นนั้นในขั้นตอนของการบำเพ็ญพวกเราไม่ต้องใช้มาตรฐานชั้นสูงมากำหนดตนเองหรอกหรือ  หากพูดว่าก่อนที่ฉันจะบรรลุถึง  ฉันก็ใช้ทัศนคติของคนธรรมดาสามัญมาประเมินและกำหนดตัวเอง  นั่นก็จะเป็นคนตลอดไป  เพราะท่านจะบรรลุหรือไม่บรรลุถึงนั้น    ท่านเองจะไม่ทราบ     ฉะนั้นท่านต้องใช้มาตรฐานชั้นสูงมากำหนดตนเอง 

ถ้าจะบำเพ็ญท่านก็ลองดู  ผู้ฝึกบางคน ที่ผ่านมาไม่กล้าดื่มน้ำเย็น  เดี๋ยวนี้ดื่มก็ไม่เป็นไร  เมื่อก่อนไม่กล้าอย่างนี้ อย่างนั้น  เดี๋ยวนี้ล้วนไม่มีปัญหา  และที่คนเข้าใจกันนั้น  นั่นเป็นเพียงทัศนคติของคน  เมื่อวานข้าพเจ้ายกตัวอย่างหนึ่ง  เมื่อผู้ฝึกพูดกับข้าพเจ้า  ผมถูกรถยนต์ชน  ไหล่ทั้งสองข้าง  กระดูกตามตัว  กระดูกเชิงกรานถูกชนแตกหมดแล้ว  ขณะหมดสติเขาถูกส่งไปโรงพยาบาล  โรงพยาบาลบอกว่าคนๆนี้ยากจะฟื้นเป็นปรกติได้แล้ว  คนก็กลายเป็นอย่างนี้แล้ว  แย่หมดแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมงานศพได้เลย แต่ว่า วันที่สองเขาลงจากเตียงเดินได้แล้ว  โรงพยาบาลไม่อาจเข้าใจได้  หมอบอกว่าคนๆนี้จะรอดได้อย่างไร  เขากลับบ้านไปแล้ว  ต่อมาโรงพยาบาลต้องการจะรู้ว่า ตอนนี้เวลานี้คนๆนี้เป็นอย่างไรบ้าง  ถามเขาว่ายังเดินได้ไหม   ความหมายนั้นคือยังสามารถเดินได้หรือ  คนเขาบอกเขาว่าตอนนี้ไม่เดินแล้ว “คุณดู” หมอคนนั้นพูด “ผมว่าไม่ไหวละมั้ง”แต่คนเขาบอกหมอต่อในทันทีว่า “ตอนนี้วิ่งได้แล้ว”(เสียงปรบมือ)  แน่ละ ทัศนคติของคนนั้นไม่อาจเข้าใจได้   จึงพูดว่า ผู้บำเพ็ญนั้น  ตัวท่านเองกำลังทำอะไรท่านต้องรู้  ท่านอย่าเอาแต่นำตัวเองไปปะปนเข้ากับคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์     ท่านอาจารย์เปิดประตูกว้างอย่างนั้นช่วยเหลือคน   ทำไมจึงกระทบต่อเทพในมิติต่างๆมากมายได้ละ

อาจารย์   เพราะข้าพเจ้ากำลังปรับฝ่าให้ถูกต้อง  พวกเขาล้วนเป็นเป้าหมายของการถูกปรับ  ทุกชีวิตล้วนกำลังจัดวางตำแหน่งของชีวิตในอนาคตของตนเองกันใหม่

ศิษย์     ร่างบทความมักจะมีคัดลอกข้อความคำพูดเดิมในหนังสือของอาจารย์ ควรจัดการอย่างไรดีอาจารย์     เผาทิ้งก็ใช้ได้แล้ว  เพราะท่านเป็นศิษย์ที่บำเพ็ญอยู่  ท่านไม่มีเจตนาในทางที่ไม่เคารพ  และไม่มีที่ที่จะเก็บรักษาไว้  โดยเฉพาะเวลาที่พวกเราคัดหนังสือ  มีคนถามว่าคัดเสียไปแล้วจะจัดการอย่างไรดี   ล้วนสามารถเผามันทิ้ง  ไม่มีปัญหา  ฝ่านั้นอยู่ในตัวหนังสือของอีกมิติ  ไฟในโลกมนุษย์เผาไม่ถูกเขา   ที่เผาทิ้งไปเป็นเพียงหมึกที่ชั้นผิวกับกระดาษที่ประกอบขึ้นจากอณูในชั้นที่ใหญ่ที่สุด

ศิษย์   เวลาที่ฝึกสมาธิในความสงบจะไม่ขยับ เคลื่อนไหว  หากโดยไม่รู้ตัว  ท่วงท่าเปลี่ยนไป ไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด       จะสามารถปรับให้สอดคล้องกับตำแหน่งที่กำหนดได้หรือไม่
อาจารย์  ได้  ไม่กระทบแม้แต่น้อย  เมื่อพบว่าไม่ถูกต้องแล้ว  จะต้องแก้ให้ถูก  หาไม่จะเคยชิน กลไกนั้นก็จะคลาดเคลื่อนได้  จะต้องแก้ไขกลับมา   แต่ก็ไม่ใช่บอกว่าท่าเคลื่อนไหวของเราแต่ละคนไม่อาจต่างกันได้แม้แต่นิดเดียว เหมือนกับหล่อออกมาจากพิมพ์เดียวกันทั้งหมด  นั่นเป็นไปไม่ได้  เป็นไปไม่ได้แน่นอน  โดยพื้นฐานทุกท่านทำให้สอดคล้องกับข้อกำหนดก็พอแล้ว  พยายามทำเป็นกลุ่ม  เวลาที่ฝึกต้องพร้อมเพรียงเป็นระเบียบ

ศิษย์    ถ้านั่งสมาธิสองชั่วโมง  จะจัดวางเวลาเป็นอย่างนี้ได้ไหม  ท่าที่เสริมความแข็งแกร่งทรงกลม(วางสองมือไว้ด้านข้าง) กับทรงกระบอก(วางมือใต้คางและบนตัก) สองมือเปลี่ยนสลับกัน  แต่ละท่าๆ ละครึ่งชั่วโมง จากนั้นเข้าสู่สมาธินิ่งอีกครึ่งชั่วโมง            จัดอย่างนี้ดีหรือไม่
อาจารย์     ถ้าหากไม่มีการรบกวนหรือท่านมีเวลามาก  และท่านสามารถนั่งนานอย่างนั้น  ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน  แต่อย่าให้กระทบกับการดำรงชีวิตตามปกติ  ไม่ให้กระทบการงาน  การเรียน  ในเวลาเดียวกันยังต้องถือการศึกษาฝ่าเป็นอันดับหนึ่ง  เรื่องเหล่านี้ท่านไปยึดกุมเอาเอง  ไม่อาจพูดว่าท่านผิด  แต่ละคนต่างมีการจัดวางเวลาต่างกัน  แต่อย่างไรเสียก็ต้องถือการศึกษาฝ่าเป็นอันดับแรก

ศิษย์     ดิฉันอายุ ๕๗ ปี บำเพ็ญต้าฝ่าได้สองปีเศษ แต่ประจำเดือนยังไม่มา

อาจารย์    สภาพการณ์ของแต่ละคนต่างไม่เหมือนกัน   ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้กันทั้งหมด แต่โดยทั่วไปเป็นอย่างนี้  รายที่เป็นกรณีเฉพาะข้าพเจ้าไม่อาจไปพูด วันนี้ที่ข้าพเจ้าพูดจะมีลักษณะทั่วไป  แต่ละคนต่างมีสภาพการณ์ไม่เหมือนกัน  ในฐานะผู้บำเพ็ญ  อย่าให้ความสำคัญกับมันนัก  ถ้าท่านมัวแต่คิดเรื่องอย่างนี้อยู่   เช่นนั้นก็จะก่อเกิดเป็นจิตยึดติดชนิดหนึ่ง  บางทีควรจะมี  แต่ก็อาจจะไม่มา แม้ว่าจะมีแต่ก็ไม่ให้ท่านมองเห็น  ก็ผันแปรอยู่ในร่างกายท่านแล้ว  ดังนั้นอย่าถือมันเป็นเรื่องจริงจัง  มีก็มี  ไม่มีก็ไม่มี  อย่างไรเสียสภาพการณ์ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน  ไม่ใช่พูดว่า เมื่อมีแล้วท่านจึงจะบำเพ็ญได้  ไม่มีแล้วท่านก็ไม่อาจบำเพ็ญ   ไม่ใช่แนวคิดนี้

ศิษย์     ตัวอยู่ในนิวซีแลนด์   หากไม่อาศัยเงินอุดหนุนของรัฐบาลก็ไม่มีทางจะยังชีพต่อไป  เช่นนี้จะเสียกุศลไหม  หรือว่าควรกลับไปบำเพ็ญที่แผ่นดินใหญ่จะดีกว่า
อาจารย์    บำเพ็ญอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน  นี่ข้าพเจ้าไม่สนใจ  พูดถึงปัญหาการยังชีพ  ถ้าตัวเองสามารถจัดการได้ ก็ดีที่สุด   ถ้าจัดการไม่ได้  ก็ไม่อาจพูดว่าท่านผิด  เพราะประเทศนี้  มันก็มีสวัสดิการอย่างนี้   แต่ข้าพเจ้าคิดว่า  ไม่ว่าจะสามารถจัดการได้หรือไม่  หรือบำเพ็ญอยู่ที่ไหน  ถ้าเป็นสภาพการณ์เหมือนท่านอย่างนี้  ก็อย่าจริงจังกับมันเกินไป  บำเพ็ญอยู่ที่ไหนก็สามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้   ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าให้บำเพ็ญโดยสอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  ซึ่งความนัยที่แฝงอยู่นั้นกว้างใหญ่มาก แต่หากท่านพูดว่า  ขณะนี้รู้สึกว่าบำเพ็ญอยู่ที่นี่ค่อนข้างดี  เช่นนั้นท่านก็อยู่ที่นี่บำเพ็ญ   แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าท่านร่างกายแข็งแรงมีกำลัง ก็พยายามแก้ไขปัญหานี้  ถ้าอายุมากแล้ว  เช่นนั้นก็อย่าจริงจังกับมัน  มีเรื่องมากมายก็ไม่เหมือนกับที่ชั้นผิวนี้   สภาพการณ์ที่พิเศษย่อมจะมีการปฏิบัติต่ออย่างเป็นพิเศษ  เนื่องจากเรื่องนี้ไม่มีลักษณะทั่วไป  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อยากพูดมาก

ศิษย์  ในจิงเหวินของท่าน “กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว”คำว่า “สละสิ้น”โดยรูปธรรมหมายถึงอะไร                                                                                                                                                                 อาจารย์  ก็คือสละสิ้นจิตยึดติดทั้งหมดของท่าน  มีจิตยึดติดอยู่อย่างหนึ่ง  มันก็เหมือนกุญแจลูกหนึ่ง  เหมือนด่านหนึ่ง  เหมือนเชือกเส้นหนึ่งที่ผูกไว้ ไม่ให้ท่านแล่นเรือออกเดินทาง  ล้วนต้องตัดมันทิ้งไป  แน่ละ  ในการบำเพ็ญ  ทุกท่านจะบำเพ็ญกันอย่างไร  จะทิ้งจิตยึดติดนี้อย่างไร  ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้ว  ไม่ใช่พูดว่าปล่อยวางจิตยึดติด ก็คือการปล่อยวางสิ่งที่เป็นวัตถุอะไรทั้งหมด   แล้วพวกเราก็ไปขอทาน  ไม่ใช่ความหมายนี้   ปัญหานี้ข้าพเจ้าจะไม่พูดซ้ำแล้ว  ผู้ฝึกใหม่  ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ  พวกท่านไปอ่านหนังสือเถอะ 

 

ศิษย์     ในช่วงการปรับฝ่าให้ถูกต้อง  สรรพชีวิตในระดับชั้นสูงจำนวนหนึ่ง เดิมคิดจะร่วมมือกับต้าฝ่าทำเรื่องดีสักหน่อย   แต่กลับกลายเป็นอุปสรรค  และกำลังอยู่ในระหว่างการชำระล้าง

อาจารย์   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เป็นเพราะสรรพชีวิตล้วนเบี่ยงเบนจากต้าฝ่า จึงปรับฝ่าให้ถูกต้อง  เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  ในเวลาที่เขาจะช่วยทำเรื่องที่ดีนั้น   เขายังคงมีทัศนคติอย่างเดิมอยู่    ดังนั้นมาตรฐานของเขา  ก็คือมาตรฐานเดิมใช่หรือไม่ละ   ดังนั้นที่เขาทำ ยังไม่สู้ไม่ทำดีกว่า  บางทียังจะเพิ่มความยุ่งยากอีก   ยิ่งดึงดันก็คือการทำลาย  ก็คือหลักการนี้  ใครก็ช่วยไม่ได้  แต่ถ้าทำไปตามที่ข้าพเจ้าบอกให้พวกเขาทำอย่างเคร่งครัดย่อมไม่มีปัญหา       นั่นจึงจะยิ่งใหญ่ที่สุด

ศิษย์    ในหนังสือ “หงอิ๋น”อาจารย์เขียนว่า “มหภาค จุลภาค ทศทิศมองดูท้องนภา”จะเข้าใจได้ไหมว่าอาจารย์มองดูร่างนภาอยู่ในระดับจุลทรรศน์อย่างยิ่งยวด  
อาจารย์    ใช่ คือความหมายนี้  “หงเวย คำว่า หงนั้นหมายถึงอณูที่ใหญ่ที่สุด   เกินเลยอย่างลิบลับจากอณูที่พวกท่านสามารถรับรู้ได้  ที่จริงหากจะพูดให้ชัด จักรวาลที่มีขอบเขตใหญ่มากนั้นมันมิใช่ลูกบอลขนาดใหญ่หรือ  และก็เป็นอณู   วิธีการมองสรรพชีวิต และสภาพการณ์ของจักรวาล กับวิธีการที่คนมองวัตถุนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ไม่ใช่วิธีการมองแบบนี้   เวย(จุล)ก็คือ จุลทรรศน์อย่างยิ่งยวด  ส่วน “หงเวย”(
มหภาค จุลภาค)นั้นก็มีความหมายอยู่ชั้นหนึ่งก็คือ จุลทรรศน์ที่สุด  หง (มห) โดยตัวเองก็แทนความหมายว่า ใหญ่มหึมา   คำว่า“มหภาค จุลภาค ทศทิศ” หมายความว่าคนต้องมองเห็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดและยังต้องมองเห็นสิ่งที่เล็กที่สุด  ในขณะเดียวกันก็ยังต้องมองเห็นสิ่งที่กว้างที่สุด   แนวคิดต่อโลกทศทิศของสายพุทธนี้  ก็คือ บนและล่าง สี่ด้านแปดทิศรวมอยู่ข้างใน  ก็คือทศทิศ  ก็คือความหมายนี้  มองปราดเดียวก็เห็นหมด   “มหภาค จุลภาค ทศทิศมองดูท้องนภา”นั้น  หากท่านคิดจะมองให้เข้าใจร่างนภา  ท่านก็ต้องมองอย่างนี้ แน่ละสามารถจะเข้าใจอย่างไรก็ได้  จะไม่อธิบายให้มากแล้ว

ศิษย์    มีคนหนึ่งเผยแพร่ฝ่าให้กับเพื่อนร่วมงาน   เพื่อนร่วมงานพูดว่าถ้าโรคของคุณหายแล้ว  พวกเขาก็จะศึกษาต้าฝ่า            ผู้รับผิดชอบคนนี้จึงไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลแต่ผลตรวจไม่ดี รู้สึกงุนงงมาก
อาจารย์    เรื่องนี้ต้องค้นหาจากซินซิ่งของท่าน  ดูจากปัญหานี้ก็รู้ว่า ขณะนี้การศึกษาฝ่าของท่านยังไม่เพียงพอ   ปัญหาที่ท่านถาม โดยเปลือกนอกนั้นง่ายมาก  ฝึกมานานเพียงนี้แล้ว  เดิมทีเป็นการทำเรื่องที่ดี   ทำไมไม่สามารถให้เขายืนยันความเป็นจริงนะ  ไม่ใช่ง่ายๆอย่างนี้  การบำเพ็ญ  การยกระดับของท่าน  การทิ้งจิตยึดติดของท่านเป็นเรื่องอันดับแรก   พูดถึงว่า ท่านบอกให้คนได้ฝ่า นั่นล้วนเป็นเรื่องของคนอื่น  นั่นล้วนเป็นเรื่องอันดับสอง    การยกระดับของท่านจึงเป็นเรื่องอันดับแรก   ไม่ว่าท่านจะทำเรื่องอะไร ล้วนไม่อาจออกห่างจากการยกระดับของตัวท่านเอง  เช่นนั้นเมื่อท่านประสบกับเรื่องเหล่านี้ ท่านก็ต้องค้นหาที่ซินซิ่งของตนเอง ท่านไม่มีอาการของโรค  และไม่ได้กินยามาหลายปีแล้ว  รู้สึกดีมาโดยตลอด  เช่นนั้นการมีโรคเป็นอาการอย่างไรนะ  มีโรคก็จะกระทบต่อการงาน การดำรงชีพ การเรียนของท่าน ปกติจะรู้สึกไม่สบาย  นี่ไม่ใช่มีโรคอยู่หรือ   ใช่ไหมว่ายังคงไม่วางใจตลอดมา  หรือเวลาที่ไปทำด้วยจิตยึดติดที่รุนแรงอะไรสักอย่าง  ก็อาจจะวินิจฉัยออกมาเป็นภาพลวงให้กับท่าน  เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเช่นนี้  การบำเพ็ญนั้นเข้มงวดมากจริงๆ   เพราะมันเป็นเรื่องที่เข้มงวดที่สุด    มองจากอีกจุดหนึ่ง  คนเหล่านั้นดูว่าท่านหายจากโรคจึงมาศึกษา  นี่เดินเข้ามาด้วยจิตใจชนิดไหนนะ  ที่พวกเราต้องการคือ  มาศึกษาต้าฝ่าเพื่อบำเพ็ญ

ศิษย์                 ผมคิดจะสอนฝ่าหลุนต้าฝ่าให้กับเด็กๆที่มาเรียนภาษาจีนกับผม  แต่ผมก็กังวลว่าอาจเกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น                                                                                                                                                  อาจารย์     จะไม่เกิดอันตรายอย่างเด็ดขาด  มีแต่จะดีต่อคน  เด็กไม่มีเรื่องกรรมชนิดนั้นเหมือนกับผู้ใหญ่และปรากฏการณ์ของการข้ามด่านเหล่านั้น  เด็กมีสภาพการณ์ของเด็ก  จะไม่มีเรื่องเหล่านี้โดยเด็ดขาด

ศิษย์     ผู้บำเพ็ญจะอุดฟันใส่ฟันได้ไหม                                                                                                           อาจารย์    นี่ไม่มีปัญหา  ร่างกายส่วนที่อยู่ชั้นผิวเหล่านี้ของท่าน เมื่อยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น  ท่านรู้สึกฟันที่เสียไม่น่าดู  ก็อุดมันเสีย  ไม่มีปัญหา  ก็เหมือนพวกเราที่สวมเสื้อผ้า  สวมให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย  เป็นหลักการเดียวกัน

ศิษย์     เรียนถามท่านอาจารย์ที่เคารพ  เกี่ยวกับเรื่องมีความหมายมั่นกับไร้ความหมายมั่น
อาจารย์     ปัญหานี้ข้าพเจ้าเคยพูดแล้ว   การบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าของเรา การมีความหมายมั่น(โหย่วเหวย) กับไร้ความหมายมั่น(อู๋เหวย) นั้นไม่เหมือนกับการบำเพ็ญในอดีต   ในอดีตถือว่าการกระทำทั้งหมดล้วนมีความหมายมั่น  เขาถือว่าการกินข้าว เดินบนถนนล้วนมีความหมายมั่น   ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่สมาธินิ่งไม่เคลื่อนไหวเลย  ก็นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น   เขาก็เข้าใจว่าไร้ความหมายมั่นแล้ว   แต่ไร้ความหมายมั่นที่ข้าพเจ้าพูดนั้น เป็นวิธีการบำเพ็ญของต้าฝ่าในวันนี้   แต่ละคนต่างดำรงชีพอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ท่านจะไม่ทำงาน ไม่ได้  ดังนั้นเราพูดถึงวิธีการยกระดับที่ใหญ่ที่สุดก็คือการยกระดับใจคน  นี่เป็นมูลฐานที่สุด  ที่จริง ไร้ความหมายมั่นที่พวกเขาพูดก็ดี  การบำเพ็ญอย่างทุกข์ยากก็ดี  เป้าหมายสุดท้ายของเขาคือยกระดับจิตใจคน  แต่วันนี้ข้าพเจ้ามุ่งที่ใจคนโดยตรงยกระดับใจคนโดยตรง            ดังนั้นการบำเพ็ญต้าฝ่าจึงเร็วที่สุด

ไร้ความหมายมั่น ที่ต้าฝ่าพูดถึงก็คือ   ท่านเองอย่ามีความหมายมั่นไปจัดวางหาความทุกข์ยากให้กับตนเอง   จัดวางรูปแบบการบำเพ็ญ   หรือตัวท่านจะต้องไปทำเรื่องบางอย่างที่ท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องดีให้จงได้   หาความลำบากให้ตัวเองสักหน่อย  หรือจะต้องทำอย่างไร อย่างไรให้ได้  นี่ล้วนมีความหมายมั่น  และในปัญหาเหล่านี้  ทุกท่านพยายามรักษาการไร้ความหมายมั่น   บำเพ็ญอย่างเป็นธรรมชาติ     ท่านควรทำงานก็ทำงาน  ควรอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือ   ควรฝึกพลังก็ฝึกพลัง เมื่อเกิดปัญหาท่านต้องรู้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนออกมาในระหว่างการบำเพ็ญ เพื่อให้ตัวเองยกระดับ ยกระดับตัวเองขึ้นอย่างต่อเนื่อง อ่านหนังสือไม่หยุดหย่อนนี่ก็คือการก้าวหน้า  สิ่งอื่นทั้งหมดที่หาให้กับตนเอง เพราะคิดว่าเป็นเรื่องดี  คิดว่ามีประโยชน์หรือเป็นเรื่องอะไรอื่นนั้น  ไม่แน่ว่าก็คืออุปสรรค    ดังนั้นสำหรับเรื่องเหล่านี้        ข้าพเจ้าคิดว่า ในฐานะผู้บำเพ็ญต้าฝ่า   ไม่พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด            ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ    ก็คือไร้ความหมายมั่น

ศิษย์     เวลาที่ศึกษาฝ่าบางครั้งรับรู้ได้ว่า ทำไมอาจารย์ต้องใช้รูปแบบนี้ในการบรรยาย  ปฏิกิริยาตามธรรมชาติชนิดนี้เป็นปกติหรือไม่
อาจารย์     เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสภาพปกติในการบำเพ็ญ   โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นได้  เวลาที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่า จะมีจุดเด่นข้อหนึ่ง  คือในเวลาที่ตอบคำถาม ถ้ารู้สึกว่า คำถามไม่มีลักษณะเจาะจงต่อคนจำนวนมาก  เพียงมุ่งต่อเฉพาะบุคคลหรือไม่รีบด่วน   คำตอบต่อคำถาม มักจะเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับที่ถาม ที่จริง  คือข้าพเจ้ากำลังบรรยายฝ่า  ไม่อาจพูดจาเหลวไหล  สิ่งที่พูดออกมาจะต้องเหลือตกทอดเอาไว้ให้คน   สรรพชีวิตล้วนต้องการฟัง  ดังนั้นไม่อาจสาธยายปัญหาที่เข้าใจกันแล้ว จะต้องตอบคำถามนี้ ข้าพเจ้าจะอาศัยปัญหานี้ของท่าน พูดถึงปัญหาอื่น  ต้องให้คนหรือชีวิตมากยิ่งขึ้นได้ทราบถึงปัญหา  และเวลาที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่า  หากข้าพเจ้าพบว่าในระหว่างที่ตอบปัญหาอยู่นั้น ท่านเข้าใจได้แล้ว  แต่คำถามนี้ของท่านยังอ่านไม่จบ  ในเมื่อท่านเข้าใจได้แล้ว  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะไม่อ่าน  ข้าพเจ้าก็จะยืมใช้ปัญหานี้พูดถึงปัญหาอื่นต่อไป   มักจะเป็นเช่นนี้  ดังนั้นวิธีการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้าจะไม่เหมือนกับวิธีการตอบปัญหาของคนธรรมดาสามัญ

ศิษย์     บางครั้งรู้สึกและรับรู้ถึงหลักการคงอยู่และกฎเกณฑ์การเคลื่อนไหวของสสารและชีวิตในร่างนภาของจักรวาล            ความเข้าใจชนิดนี้กับมรรคผลในอนาคตมีอะไรต่างกันโดยแก่นแท้
อาจารย์     นี่เป็นปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่ผุดออกมาในความนึกคิด  และมักจะมีบ่อยๆ  ในขณะที่ศึกษาฝ่า มีผู้ฝึกมากมายที่เข้าใจหลักการของฝ่าที่ปรากฏออกมาในระดับชั้นที่ต่างกันของฝ่า  แต่พูดออกมาไม่ได้  พอพูดออกมาก็จะไม่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นแล้ว  ก็เกือบจะเป็นหลักการของคนธรรมดาสามัญ  เพราะฝ่าในระดับชั้นสูง ภาษาของคนนั้นไม่อาจจะบรรยายได้ ที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับพวกท่านนั้นเป็นเพียงการบรรยายอย่างคร่าวๆ  แต่การปรากฏของหลักการของฝ่าที่แท้จริงก็ไม่ใช่เช่นนี้แล้ว  ดังนั้นบางครั้งเวลาที่พวกท่านสามารถรับรู้ได้จริงๆถึงหลักการของระดับชั้นนั้น  พวกท่านจะเข้าใจแบบฉับพลัน  นั่นจึงเป็นการยกระดับที่แท้จริง      คือเข้าใจแล้วก็เลื่อนระดับขึ้นเลย

ปัญหามากมายที่พวกท่านมักจะรับรู้ได้จากหลักการของฝ่านั้นล้วนถูกต้อง  การไปรับรู้โดยไม่มีจิตยึดติด ย่อมถูกต้องทั้งหมด   แต่มีบางสภาพการณ์  คือท่านมีจิตยึดติดที่ไม่ยอมวาง  ฝืนค้นหาหลักการที่ตัวท่านยึดติดอยู่     เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่า จิตยึดติดของท่านจะทำให้กรรมทางความคิดสร้างของปลอมให้ปรากฏขึ้นมา   หาใช่การปรากฏออกมา จากในหลักการของฝ่าแต่อย่างใดไม่  ดังนั้นนั่นเป็นของปลอม   หากไม่มีจิตยึดใดๆ  ไม่มีทัศนคติใดๆ  จึงจะสามารถมองเห็นหลักการที่แท้จริงของฝ่า   อาทิเช่น ท่านมีจิตยึดติดอย่างหนึ่งอย่างใดในการประเมินต้าฝ่า  คือ ท่อนนี้พูดได้ถูกต้อง  ท่อนนั้นพูดไม่ถูกต้อง  ท่อนนี้ฉันเห็นด้วย  ท่อนนั้นยังมีข้อคิดเห็น(ยังไม่เห็นด้วย)   ท่านก็จะไม่เห็นอะไรเลย  เพราะฝ่านั้นเข้มงวด  หลักการของฝ่า  หลักการของพระพุทธนั้นไม่อนุญาตให้คนมาประเมิน  ดังนั้นท่านจึงมองไม่เห็น  พูดถึงรูปธรรมหรือสิ่งที่ท่านรับรู้ได้   เป็นไปได้มากว่า ยังคงมีความแตกต่างกับสภาพที่ท่านสัมผัสรับรู้ ณ ระดับชั้นที่ต่างกัน หรือกับมรรคผลสุดท้ายของท่าน  หาไม่แล้ว  วันนี้ท่านจะไม่ถาม ท่านจะเข้าใจได้หมด  ดังนั้น มันจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เป็นรูปธรรมของหลักการของฝ่าที่รู้ได้ในเขตแดนที่ต่างกัน ในระดับที่ต่างกัน

ศิษย์    เรียนถามท่านอาจารย์ทำไมเทปดนตรีฝึกพลังที่อัดใหม่  ผู้ฝึกผิวขาวรู้สึกว่าปรับตัวเข้าด้วยไม่ค่อยได้(ไม่คุ้นหู)
อาจารย์    นี่เนื่องมาจากมาสเตอร์เทปของดนตรีที่อัดไว้แต่เดิม  เล่นจนสึก ใช้ไม่ได้แล้ว  ดังนั้นจึงทำขึ้นมาใหม่  เพราะมาสเตอร์เทปทั้งหมดไม่ไหวแล้ว  อัดสำเนากันมากเกินไป  ดังนั้นคุณภาพจึงใช้ไม่ได้แล้ว   ดังนั้นหลังจากทุกท่านได้รับไป ย่อมจะแย่ลงเรื่อยๆจึงมีปัญหานี้อยู่จึงอัดขึ้นมาใหม่
  ถ้าปรับตัวเข้าด้วยไม่ค่อยได้   ข้าพเจ้าว่าท่านไปฟังเทปม้วนเก่าก็ได้  ไม่มีปัญหา  ใช้ของใหม่ก็ได้  แต่ทุกท่านล้วนรู้สึกว่าใช้ของใหม่ดูเหมือนชัดเจนกว่า   เพราะมันอัดขึ้นใหม่  มาสเตอร์เทปชัดเจน  ดังนั้นจึงฟังชัดเจน ก็คืออย่างนี้   แต่เมื่อฝึกพลังขึ้นมา นอกจากตัวเองรู้สึกว่าแตกต่างแล้ว  โดยแก่นแท้ไม่มีความแตกต่างในการบำเพ็ญ

ศิษย์     ขอเชิญท่านอาจารย์พูดถึงอภิสสาร                                                                                                       อาจารย์      อันนี้พูดให้ไม่ได้  ถ้าข้าพเจ้าพูดมันออกมา  ในอนาคตคนอาจจะเปิดมิตินี้ออกได้  นี่ไม่อนุญาตให้คนเปิดมิตินี้ออก  ไม่อนุญาตให้คนรู้ได้

ศิษย์      เนื่องจากผมไม่รู้ภาษาจีน  ไม่ทราบว่าจะแปลได้ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์      ไม่รู้ภาษาจีน ท่านก็ถามผู้ฝึกที่รู้ภาษาจีน  ว่ามันหมายความว่าอะไร  แต่จะยากมาก  เนื่องจากการบรรยายทั้งเก้าบทนั้น ยากจะให้คนอื่นแปลให้ท่านทั้งหมด   แต่ดีที่เทปบันทึกเสียงนี้ อเมริกาทำออกมาแล้ว   เป็นการแปลควบคู่กับการบรรยายของข้าพเจ้า  จึงแก้ไขปัญหานี้ได้

 

ศิษย์    ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาล   ทุกวันทักทายกับคนไข้พวกนั้น  กรรมของพวกเขาจะกระทบต่อผมหรือไม่
อาจารย์       คนไข้บางคน  เวลาที่กรรมของเขาสะท้อนอยู่ที่ตำแหน่งไหนค่อนข้างแรง  ปรากฏให้เห็นเป็นโรคที่ตำแหน่งนั้นของเขา  ที่จริงมีคนมากมายที่กรรมหนักมาก  แต่มันไม่ได้สะท้อนออกมาทางโรค  แต่สะท้อนออกมาในชีวิตประจำวันที่ไม่เป็นสุข  ไม่สบาย  สะท้อนอยู่ในด้านนี้ก็มาก   หรือพูดว่า ที่จริงมีกรรมอยู่ทุกหนแห่ง    แต่สิ่งนี้ไม่กระทบการบำเพ็ญของพวกท่าน  และไม่กระทบต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานของโรงพยาบาล  เพราะที่ท่านบำเพ็ญคือพลัง แต่กรรมเหล่านี้ไม่อาจรบกวนพวกท่านได้

ข้าพเจ้าจำได้ว่าในอเมริกามีผู้ฝึกคนหนึ่ง    ดูเหมือนเขาทำงานในห้องปฏิบัติการทางพยาธิ  เพาะเลี้ยงเชื้อแบคทีเรีย  เขาพบว่าแผ่นสไลด์ที่เขาเคยจับถือ(แผ่นกระจกสำหรับนำเชื้อไปส่งกล้องขยาย)  เชื้อแบคทีเรียนั้นตายหมด   ก็คือว่าพลังงานที่ปล่อยออกมาจากมือของเขา  ฆ่าเชื้อแบคทีเรียนั้นตายไป  จะเกิดสภาพการณ์อย่างนี้ได้   เพราะพลังงานของพวกเราก็คือพลังกง   พลังกงคือสิ่งที่ตัวท่านบำเพ็ญ  ซึ่งมีรูปลักษณ์และความนึกคิดของตัวท่าน   เพียงในความคิดของท่านคิดว่าฉันกำลังทำงานวิเคราะห์ อย่าฆ่ามัน  เช่นนั้นพลังกงนี้ก็จะไม่ไปฆ่า   ผู้ฝึกบางคน(พอได้ฟังอย่างนี้)ใจก็เกิดความคิดแล้ว  วันๆท่านอย่าเอาแต่คิด  เจ้าไวรัสเอ๋ย ถ้ามาฉันจะฆ่าแก  อย่าได้คิด  นี่จะเกิดเป็นจิตยึดติด  ท่านไม่ต้องไปสนใจมัน  มันจะรู้จักคุ้มครองท่านเองโดยอัตโนมัติ  เพราะมันออกมาจากการบำเพ็ญของท่าน

ศิษย์      เวลาปกติโดยพื้นฐานสามารถกำหนดตนเองได้ตามมาตรฐานของผู้ฝึกพลัง    แต่ในความฝันมักจะทำเรื่องบางอย่างที่ซินซิ่งไม่ดีทะเลาะกับคน
อาจารย์     เวลาปกติพวกเรามีสติแจ่มแจ้ง  สามารถควบคุมตนเอง   สามารถทำได้ดี   แต่การควบคุมชนิดนี้มักจะ ไม่ใช่ว่าซินซิ่งผ่านด่านได้แล้ว  ก็มีที่เห็นแก่หน้าตา   และบ้างก็รู้สึกว่าโดยเหตุผลควรทำอย่างนี้  ที่จริงในความคิดยังทำไม่ได้  แต่เหตุผลชั้นผิวสามารถควบคุมตนเองได้อย่างมีสติ แต่รายที่ยังบรรลุไม่ถึงอย่างแน่นแฟ้นก็จะเป็นพฤติกรรมอย่างนี้  ดังนั้นในเวลานี้จึงเกิดการทดสอบในความฝันกับทุกท่าน    ที่จริงก็เป็นการชี้ชัดให้กับท่าน ว่ายังต้องพยายามทางด้านนี้   ก็คือความหมายนี้ ความฝันไม่ใช่การบำเพ็ญ  แต่เป็นทดสอบอย่างหนึ่งต่อทุกท่าน เป็นการทดสอบอย่างหนึ่งของการบำเพ็ญ

ศิษย์      คนมักจะพูดว่า พระพุทธ  เต๋า  เทพ  ผี เป็นเรื่องงมงาย  ในการเผยแพร่ฝ่าของเราจะอธิบายอย่างไรดี  
อาจารย์       ท่านไม่จำเป็นต้องไปพูดสิ่งเหล่านี้กับเขา   เพราะท่านเผยแพร่ฝ่าคือ คิดจะให้คนได้ฝ่า  ท่านมิใช่จะผลักคนออกไป  ท่านทราบว่า เวลาที่ท่านพูดสูงอย่างนั้น  เท่ากับผลักคนเขาออกไป  เมื่อตอนท่านเริ่มต้น ท่านก็เข้าใจจากหลักการชั้นต่ำที่สุดของฝ่า   เพราะแน่นอนว่าต้าฝ่าเริ่มสอนจากการเป็นคนดีได้อย่างไร  ท่านก็พูดจากตรงนี้   คือฝ่านี้สามารถทำให้คนไม่มีโรคสุขภาพแข็งแรง  สามารถทำให้คนกลายเป็นคนจิตใจสูงส่ง  ก็ไปพูดจากหลักการเหล่านี้  ปัญหาที่เหลือ  ในระหว่างที่เขายกระดับขึ้นก็จะเข้าใจได้   ท่านพูดสูงมากในคราวเดียว  เขาก็ไม่ฝึกแล้ว  เขารู้สึกว่ารับไม่ไหว

ศิษย์     รับรู้ได้แต่ทำไม่ได้   ใช่หรือไม่ว่าทำผิดทั้งๆที่รู้

อาจารย์      นั่นก็คือไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญ    แต่มีหลายๆคนเวลาที่กำลังข้ามด่านนั้น รับรู้ไม่ได้  แต่ต่อมาสงบใจลงมาได้จึงเข้าใจ  นี่ก็นับว่าท่านเข้าใจแล้ว   เพียงแต่ตอนนั้นท่านทำไม่ได้   แต่หลังจากที่เข้าใจแล้ว หากท่านยังทำไม่ได้อีก  นั่นก็พูดได้ชัดว่าท่านบำเพ็ญได้ไม่แน่นแฟ้น   หากเกิดปัญหาขึ้นอีกแล้วท่านสามารถทำได้    นั่นจึงนับว่าผ่านไป  ถ้าท่านเข้าใจแล้วยังข้ามไปไม่ได้  เช่นนั้นก็ควรพยายามปฏิบัติให้แน่นแฟ้นอย่างแท้จริงได้แล้ว

 

ศิษย์     บำเพ็ญได้สี่ห้าปีแล้ว   จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองบำเพ็ญถึงขั้นไหนแล้ว
อาจารย์      ที่ไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างนี้ก็มี    ที่สำคัญคือต้องถือว่าตนเองเป็นผู้ฝึกพลังคนหนึ่ง  อย่าได้รู้สึกว่าชีวิตตนเองยังมีเวลาอีกมาก   สามารถบำเพ็ญอย่างช้าๆได้   ตนเองก็กำลังบำเพ็ญ  และทิ้งต้าฝ่าไปไม่ได้  กำลังบำเพ็ญอยู่จริงๆ   แต่ไม่ค่อยตั้งใจเท่าที่ควร   หรือพูดได้ว่าไม่ก้าวหน้า  นี่ใช้ไม่ได้นะ   เพราะต้าฝ่านั้นเข้มงวด  ไม่อาจปฏิบัติต่อ(ต้าฝ่า)ด้วยจิตชนิดนั้น  แม้แต่การบำเพ็ญทางสายย่อย  ท่านก็ไม่อาจปฏิบัติต่อมันด้วยจิตใจชนิดนี้ เพราะนี่คือต้าฝ่า  ทุกท่านต้องเห็นคุณค่าของเขา  สิ่งที่เขาให้ท่านนั้นเป็นสิ่งที่การบำเพ็ญทางสายย่อยไม่มีทางจะให้ท่านได้ ดังนั้นท่านจึงสมควรใช้จิตใจระดับเดียวกันไปปฏิบัติต่อเขาอย่างสัมพันธ์กัน

ศิษย์     จิตมารรุนแรงมาก       สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ไม่ดี ควรแก้ไขอย่างไร
อาจารย์      ข้าพเจ้าคิดว่านี่ล้วนเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน   หากไม่ใช่เป็นการช่วยท่านให้ชำระกรรมก็เป็นการช่วยท่านให้ยกระดับซินซิ่ง  ดังนั้นท่านต้องปฏิบัติต่อให้ถูกต้อง   บางคนเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก   เนื่องจากพวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญ ดังนั้นรับรองว่าล้วนเป็นประโยชน์ต่อพวกท่าน   ดังนั้นที่พวกท่านคิดว่าไม่เป็นผลดีต่อท่านนั้น  เกิดขึ้นเพราะท่านยังปล่อยวางด้านที่เป็นมนุษย์ลงไม่ได้  ท่านรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่อท่าน   ท่านรู้สึกว่าเขาไม่ควรปฎิบัติต่อท่านอย่างนี้   ควรปฏิบัติต่อท่านดีกว่านี้   แต่หากยืนอยู่ในมุมมองของผู้ฝึกพลัง  ถ้าทุกคนล้วนดีต่อท่านดังว่า   ท่านจะบำเพ็ญอย่างไรละ  ใจของท่านจะเผยออกมาได้อย่างไร   ท่านจะยกระดับขึ้นอย่างไร    ท่านจะสลายกรรมได้อย่างไร  ไม่ใช่ปัญหานี้หรือ   ดังนั้นความทุกข์ยากเหล่านี้ที่ท่านประสบ  ท่านอย่าได้มีใจที่คิดจะต่อต้าน  ท่านต้องปฏิบัติต่อให้ถูกต้อง   เพราะพวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  ไม่เหมือนกับข้าพเจ้า  ถ้าใครปฏิบัติอย่างนี้ต่อข้าพเจ้า ต่อต้าฝ่า   นั่นคือมารร้ายที่ขัดขวางทำลายการปรับฝ่าให้ถูกต้อง

ศิษย์      สามีของดิฉันข้ามด่าน  ชำระกรรม เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ๙๗  มีอาการคล้ายเส้นเลือดในสมองแตก   เขายืนหยัดดูวีดีทัศน์บรรยายฝ่า   ยี่สิบเอ็ดวันให้หลังสามารถลงพื้นยืนหยัดฟังฝ่า  ต้นปี ๙๘  สามารถเอาชนะการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวกทางร่างกาย  ไปฝึกพลังที่ศูนย์ฝึก

อาจารย์      เมื่อก่อนในการศึกษาฝ่าไม่บรรลุถึงความก้าวหน้าเท่าที่ควร   ดังนั้นจึงเกิดเรื่องนี้ได้ แต่ในเมื่อบำเพ็ญแล้ว  ข้าพเจ้าจึงต้องปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้บำเพ็ญ   ตนเองไม่อาจก้าวหน้า  แต่ในฐานะอาจารย์จะปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้บำเพ็ญ   อย่างไรเสียเขากำลังศึกษา  กำลังบำเพ็ญอยู่  หลังจากเส้นเลือดสมองแตกอาการที่ตกค้างนั้นมักจะรุนแรง   มีจำนวนมากจะเป็นอัมพาตครึ่งตัว  แต่ที่ปรากฏกับตัวเขานั้นเบามาก   ถ้าสามารถปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความคิดที่ถูกต้อง  ไม่ควรปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนป่วย  ข้าพเจ้าคิดว่าก็ไม่ควรเป็นสภาพนี้แล้ว  ถ้าสามารถทำได้ก็จะยิ่งดี    อีกสภาพการณ์หนึ่ง เป็นไปได้มากว่ามีกรรมทางด้านนี้หนักสักหน่อย  จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ชำระมันทิ้งไป  พร้อมกับดูว่าเมื่อท่านอยู่ในสภาพนี้จะแน่วแน่ได้หรือไม่   และอาจมีปัญหาอย่างนี้อยู่  สภาพการณ์ที่ต่างกันจะมีสภาพการบำเพ็ญที่ต่างกัน   แต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน   แต่ที่ข้าพเจ้าเป็นห่วงมากที่สุดคือสามารถจะปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญได้หรือไม่  เมื่อมองผ่านสภาพการณ์นี้  เขาก็กำลังศึกษา   กำลังบำเพ็ญอยู่            แต่ยังคงมีจิตใจที่เขาควรทิ้งไป

ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง  ถ้าญาติของเขาก็เป็นลูกศิษย์ และมองเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง  ก็เป็นจิตยึดติดหนึ่ง  ก็จะทำให้เรื่องยืดยาวออกไปได้   เนื่องจากการบำเพ็ญนั้นจะพิจารณาถึงการสำเร็จสมบูรณ์ของพวกท่าน  รับผิดชอบต่อการยกระดับของท่าน  ไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อเขา  ต้องสลายกรรมให้เขา และต้องขจัดจิตของพวกท่าน  ท่านต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง  ก้าวหน้าอย่างแท้จริง  ถ้าเรื่องอะไรก็สามารถปล่อยวางได้  เช่นนั้นท่านลองดูจะเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าท่านปล่อยวางมันไม่ได้จนเกินไปก็จะก่อให้เกิดจิตยึดติดที่ใหญ่   ในทางกลับกันก็กระทบต่อผู้อื่น   เรื่องเหล่านี้ก็ต้องระวัง  แน่ละเรื่องเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดอาจจะไม่มีอยู่ก็ได้   เช่นนั้นก็อาจจะเป็นอีกสภาพการณ์หนึ่ง  หรือพูดได้ว่าท่านอย่ายึดติด  ที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักการของฝ่า

ศิษย์       ในการบำเพ็ญจะทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ตนเองสอดคล้องกับข้อกำหนดที่ต่างกันที่ต้าฝ่ากำหนดต่อตนเองในระดับชั้นที่ต่างกัน
อาจารย์      ผู้ฝึกมากมายล้วนมีความคิดเช่นนี้   การที่ท่านจะสามารถบรรลุถึงข้อกำหนดต่อตนเองในสภาวะนั้นได้  สามารถสอดคล้องกับมาตรฐานในเขตแดนนั้นได้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก  เพราะข้าพเจ้าได้เหลือส่วนนั้นที่เป็นคนไว้ให้ท่าน เพื่อให้ท่านสามารถบำเพ็ญต่อไปได้ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  พวกเราเริ่มจากการละทิ้งจิตใจที่ไม่ดีที่สุดไป  จากนั้นค่อยทิ้งไปทีละอย่าง ทีละอย่าง  บางอย่างนั้นค่อยๆทิ้งไปทีละชั้น ทีละชั้น   เช่นนั้นเมื่อทิ้งชั้นนี้ไปแล้ว ยังมีชั้นนั้นอยู่   อย่างไรเสียก็มุ่งสู่ชั้นผิวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  หากทิ้งไปหมดก็สำเร็จสมบูรณ์แล้ว    ก่อนที่ยังไม่ได้ทิ้งไป  ก็ยังมีพฤติกรรมของคน  สภาวะของคนอยู่      นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าให้พวกท่านสามารถดำรงชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้ และยังเป็นวิธีเดียวที่ดีที่สุดที่จะสามารถบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้   เมื่อมีของๆคนธรรมดาสามัญ   ใช่ไหมว่าจากนี้ไปพวกเราก็สามารถจะผ่อนคลายตนเองได้แล้ว  ไม่ได้  ที่ข้าพเจ้าบอกกับท่านคือหลักการ   แต่ท่านควรก้าวหน้าไปไม่หยุดหย่อน  กำหนดตนเองอย่างเข้มงวด    นี่จึงจะเป็นการบำเพ็ญ   หากท่านย่อหย่อนแล้ว  ท่านก็ไม่ใช่การบำเพ็ญแล้ว  อย่างน้อยที่สุดคือไม่ก้าวหน้า  ก็เป็นความสัมพันธ์ชั้นหนึ่งอย่างนี้  เพราะของๆคนธรรมดาสามัญที่ต้องทิ้งไปในแต่ละระดับชั้นนั้น   ต้องให้ท่านไปบำเพ็ญเอง  ไปบากบั่นมุมานะเอง

ศิษย์      ในเวลาที่ทำงานหงฝ่า  จะทำอย่างไรจึงจะไม่สอดแทรกของๆคนเข้าไปในต้าฝ่าของอาจารย์      

อาจารย์      เนื่องจากมีใจคนอยู่จึงอาจจะสะท้อนออกมาได้   ที่สำคัญคือเมื่อพวกท่านพบว่ามีจิตยึดติดแล้ว  มีใจของคนธรรมดาสามัญอยู่  จะทิ้งมันไปได้อย่างไร   นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด   หากพวกท่านพบว่ามีปัญหาอยู่  และสามารถทิ้งมันไปได้  เช่นนั้นเรื่องที่ทำออกมาจึงจะดีที่สุด  ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

ศิษย์      หลังจากจักรวาลให้กำเนิดชีวิตแล้ว   ผู้ที่ไม่ตกลงมานั้นจัดอยู่ในระดับชั้นไหน  และสังกัดในสวรรค์ชั้นไหน

อาจารย์        จักรวาลที่กว้างใหญ่นี้  ที่ครอบคลุมทุกสิ่ง ล้วนคือฝ่า  ล้วนเป็นโลกที่ฝ่าสร้างสรรค์ขึ้นมา   และยังมากยิ่งกว่าฝุ่นละอองและเม็ดทรายที่ท่านมองเห็น  และยังมากกว่าสิ่งนั้นอย่างเหลือคณานับ   ไม่มีทางจะนับได้  ในหนึ่งเม็ดทรายยังมีแฝงไว้นับไม่ถ้วน   ร่างนภาแต่ละชั้นล้วนสามารถสร้างชีวิตขึ้นได้   การเกิดขึ้นของชีวิตไม่ได้แบ่งตามระดับชั้นและสวรรค์   ชีวิตที่ข้าพเจ้าบอกว่าตกลงมานั้น  เป็นสภาพการณ์หนึ่งที่ยังมีไม่ถึงหนึ่งในหลายๆล้านล้านส่วน  และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยาวนานมาแล้ว   ชีวิตบนสวรรค์มีมากจนนับไม่ถ้วนถึงเพียงนั้น  ส่วนบนโลกมีกี่คนละ   ไม่ใช่สิ่งที่ความคิดคนจะสามารถคิดได้ 

ศิษย์        มีพระพุทธ ก็มีมาร   มีมารจึงจะสามารถบำเพ็ญเป็นพระพุทธได้   มารที่มาเกิดเป็นคนแม้จะไม่ทำชั่วก็จะถูกดับสลายด้วยใช่ไหม
อาจารย์       จักรวาลนี้มีราชาแห่งมาร  มีราชาแห่งธรรม  ราชาแห่งธรรมก็คือพระยูไลพุทธ  ดังนั้นในระดับชั้นหนึ่ง  มันก็คงอยู่อย่างนี้   เป็นรูปแบบชนิดหนึ่งที่คงอยู่ในลักษณะที่เสริมและต้านซึ่งกันและกัน  แต่มาร ไม่มีมากอย่างนั้น  ที่มีอยู่ทั่วไปหมดล้วนเป็นเทพที่ถูกต้อง  เพราะสิ่งที่เป็นด้านลบไม่อาจเอาชนะสิ่งที่เป็นด้านบวก   แต่มีการคงอยู่ของมัน(สิ่งที่เป็นด้านลบ)   เช่นนั้นจึงพูดได้ว่า  มารก็เป็นผลิตผลของจักรวาล  ถ้าไม่มีมารท่านก็บำเพ็ญไม่ได้จริงๆ  ทุกท่านทราบ  ท่านนั้นบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ    คนจึงสามารถใช้จิตมารของคนสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับท่านได้ไม่น้อย   ถ้าท่านยกระดับขึ้นก้าวหน้าขึ้นเรื่อยไป  และเมื่อถึงระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น  คนก็จะสร้างความยุ่งยากให้ท่านไม่ได้แล้ว   เพราะเมื่อคนมองเห็นท่าน   สิ่งเล็กน้อยอันนั้นของคนก็ไม่บังเกิดผล  เพราะมันอ่อนแอมาก  ท่านก็บำเพ็ญอยู่ในระดับชั้นที่แน่นอนหนึ่งแล้ว    ดังนั้นผู้ที่รบกวนท่านนั้นคล้ายกับเป็นคน  ที่จริงเขานั้นถูกมารควบคุมชักนำอยู่   ดังนั้นจึงมีมารระดับชั้นที่ต่างกันมาควบคุมชักนำคน  สร้างอุปสรรคในการบำเพ็ญให้กับท่าน ไม่ให้ท่านบำเพ็ญ   แต่การที่ไม่ให้ท่านบำเพ็ญ โดยตัวมันเองนั้น  มันกลับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดให้ท่านสลายกรรมและยกระดับ   ก็มองปัญหานี้ได้อย่างนี้ 

            พูดถึงว่ามันเกิดขึ้นในจักรวาลนี้แล้ว  และยังทำชั่วสารพัด  ทุกท่านทราบ  การบำเพ็ญอยู่ในนิกายลามะนั้น  เขาก็มีการบำเพ็ญมาร  มารทำไมยังต้องบำเพ็ญละ   เพราะจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นราชาแห่งมาร  ก็ต้องบำเพ็ญอารมณ์ทั้งเจ็ดกามคุณทั้งหก  จิตยึดติดนานาชนิด และการยึดติดต่อคนบำเพ็ญทิ้งไปทั้งหมด    ท่านจึงจะสามารถบำเพ็ญถึงเขตแดนนั้นได้  แล้วทำไมกลายเป็นมารละ เขาไม่บำเพ็ญความดีงาม(ซั่น)  ดังนั้นเขาจึงเป็นราชาแห่งมาร  และบรรลุถึงมาตรฐานนั้น  บรรลุถึงเขตแดนนั้นแล้ว   แต่เขากลับเป็นราชาแห่งมาร   ถ้าอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญทำชั่วสารพัด  เช่นนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นเทพ หรือเป็นมารมาก่อน  ล้วนจะเผชิญกับการดับสลาย  ก็คือเรื่องอย่างนี้  ถ้ามารกลับชาติมาเกิดเป็นคน  ไม่ได้ทำเรื่องที่ทำลายมนุษย์   ก็ไม่อาจดับสลายเขา  ถ้าสามารถได้ฝ่า  เหมือนกันก็สามารถจะบำเพ็ญ  จนกระทั่งสำเร็จสมบูรณ์

ศิษย์   “หลังจากเปิดพลังแล้วก็จะบำเพ็ญอีกไม่ได้” ใช่ไหมว่าไม่ต้องฝึกพลังแล้ว  และไม่ต้องยกระดับซินซิ่งแล้ว
อาจารย์      เนื่องจากท่านประจักษ์แจ้งในมรรคผลของท่านแล้ว  หลังจากไคอู้(เปิดการรู้แจ้ง)แล้วก็ไม่ใช่ความคิดของคนแล้ว  กลายเป็นความนึกคิดอีกชนิดหนึ่งโดยสิ้นเชิง  เป็นรูปแบบการคงอยู่อีกชนิดหนึ่งแล้ว   เขตแดนทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่าท่าน  ท่านจะมองเห็นได้ทั้งหมด  แต่ละระดับชั้นท่านก็เห็นได้ทั้งหมด เป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่ท่านคิดอยู่ในขณะนี้   ท่านได้ประจักษ์แจ้งมรรคผลของท่านแล้ว  การบำเพ็ญจบสิ้นแล้ว  ชีวิตไม่ใช่คงอยู่ในรูปแบบของการบำเพ็ญตลอดกาล  หากเป็นขั้นตอนของการกลับขึ้นไปจากตรงนี้ของคนไปสู่ตำแหน่งเดิม   ไม่ใช่ขั้นตอนชั่วนิรันดร์ของชีวิต

ศิษย์      การเปิดพลังในระดับชั้นต่ำนั้น  ทำอย่างไรจึงสามารถรักษาให้คงอยู่ในระดับชั้นนี้ได้  ในชาตินี้ยังสามารถจะบำเพ็ญขึ้นไปได้ไหม

อาจารย์     ทำไมจะเปิดพลังอยู่ในระดับชั้นต่ำละ  ภายในสามภพนั้นไม่มีมรรคผลแต่อย่างใด  แต่เพื่อที่จะให้ทุกท่านสามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง   ขณะนี้ผู้ที่บรรลุถึงสภาวะไคอู้นั้นมีไม่น้อย   แต่ข้าพเจ้าไม่ได้เปิดให้กับท่านสักคนเดียว   ไม่มีสักคนเดียวที่ไคอู้   เพราะเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีการจัดวางอย่างเป็นเอกภาพ   การจัดวางการบำเพ็ญของทุกท่านโดยพื้นฐานคือจัดวางอย่างเป็นระบบตามที่ท่านสามารถจะแบกรับได้และสิ่งที่ท่านมีอยู่ทั้งหมด ซึ่งแม่นยำมาก  ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ความคิดของคนรับรู้ได้   หากท่านเป็นเหล็กกล้า ก็จะไม่ให้ท่านกลายเป็นเหล็กธรรมดา

ศิษย์       ประมุของค์ที่หกของนิกายฉานจง(เซน)เป็นพระโพธิสัตว์ใช่ไหม   การถกเถียงกับเสินสิ้วของเขาเป็นจิตยึดติดหรือไม่
อาจารย์    เป็นอรหันต์มรรคผลขั้นต้น   นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของพวกเรา   ข้าพเจ้าสอนหลักธรรมใหญ่ หลักเต๋าใหญ่ให้กับท่าน   แต่ท่านมัวแต่ถามเรื่องเหล่านั้นในทางสายย่อย   เนื่องจากต๋าหมอ(ตั๊กม้อ)เองก็ไม่ใช่พระพุทธ    หากเป็นอรหันต์มรรคผลถูกต้อง  ดังนั้นศิษย์ของเขาที่สูงที่สุดนั้น แน่นอนก็คืออรหันต์   เช่นนั้นในเมื่อเขาไม่ใช่พระพุทธ  ฉะนั้นหลักการที่เขาพูดจะเป็นหลักการของพระพุทธได้ไหม  แน่ละก็ไม่ใช่  ที่จริงไม่ว่าต๋าหมอก็ดี หรือห้าประมุขรุ่นหลังเขาก็ดี   ที่จริงก็มีพระพุทธดูแลอยู่ทั้งนั้น   หาไม่แล้ว  แม้แต่ระดับอรหันต์เขาก็จะบำเพ็ญไม่สำเร็จ  สิ่งที่ต๋าหมอพูดไม่ใช่พุทธธรรม   เป็นเพียงหลักการของมรรคผลอรหันต์ในเขตแดนนั้นที่เขาเองรับรู้ได้  

   พูดถึงการถกเถียงกับเสินสิ้วนั้น   เป็นการแสดงออกของใจคนในระหว่างการบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าคิดว่า  ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบำเพ็ญแบบค่อยๆรับรู้หรือรับรู้ได้ในฉับพลัน โดยตัวมันเองล้วนถูกต้อง  ในสภาพการณ์นั้นของพวกเขา ข้าพเจ้าคิดว่าก็เป็นเรื่องอย่างนั้น   พูดให้ชัดแล้ว  มิใช่หรือว่า ฉันเข้าใจได้ในทันที กับฉันค่อยๆเข้าใจได้   ก็คือสำเร็จสมบูรณ์ในทันทีกับค่อยๆสำเร็จสมบูรณ์   เพียงท่านสามารถบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์  การบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องจะบำเพ็ญอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น  ไม่ใช่หลักการเดียวกันหรือ   มันเป็นการถกเถียงในวิธีการบำเพ็ญ    ก็เหมือนกับที่คนปกป้องศาสนา  อยู่ ณ ที่ตรงนี้ของคนพูดก็ถูกต้อง   แต่ถ้าพูดอยู่ที่ตรงนั้นของเทพกับพระพุทธ  มองทีเดียวก็รู้ว่านี่ล้วนเป็นจิตยึดติด  การปกป้องศาสนาโดยตัวมันเองสามารถบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์ได้ไหม   สามารถละทิ้งใจอะไรของท่านได้บ้างไหม   อะไรก็ทิ้งไปไม่ได้   ตรงกันข้ามกลับเพิ่มการยึดติดต่อการปกป้องสิ่งนั้นโดยตัวมันเอง   ดังนั้นองค์ศากยมุนีพุทธจึงตรัสว่าหลักธรรมที่มีความหมายมั่นจึงเหมือนภาพลวงตาที่เลือนหายไป เพราะล้วนเป็นความหมายมั่น   ไม่ใช่ว่าเมื่อท่านปกป้องศาสนาแล้ว ท่านก็ปกป้องพระพุทธแล้ว   ไม่ใช่แนวคิดนั้นโดยสิ้นเชิง  นั่นคือการที่คนใช้ความคิดของคนคิดออกมา

ศิษย์     พวกเรามีผู้ที่อยู่ในสภาพกึ่งเปิดพลังไหม                                                                                            อาจารย์   ที่อยู่ในสภาพค่อยๆรับรู้นั้นมี   ที่จริงมันจัดเป็นสภาวะกึ่งเปิดพลัง เพียงแต่ระดับไม่เท่ากันมีอยู่มากมาย

ศิษย์      ผมเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจเกี่ยวกับฝ่าหลุนต้าฝ่าน้อยมาก  ผมไปบำเพ็ญโดยมีใจปรารถนาจะสำเร็จเป็นพระพุทธในอนาคต            นับเป็นจิตยึดติดหรือไม่
อาจารย์      แน่ละคือจิตยึดติด   หน้าที่ของนักเรียนก็คือการเรียน  ท่านต้องเรียนให้ดี  ท่านก็จะมีผลการเรียนดีตามธรรมชาติ   สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามธรรมชาติ   ในการทำงานถ้าท่านทำได้ดี   ท่านก็จะมีความสำเร็จได้ตามธรรมชาติ  การคิดจะบำเพ็ญ  โดยตัวมันเองไม่อาจพูดได้ว่าผิด  การคิดจะเป็นพระพุทธ โดยตัวมันเองนั่นคือการหวนกลับคืนสู่ความจริงแท้ดั้งเดิม   สู่ที่พักพิงสุดท้ายของชีวิตในจักรวาล    นี่จะผิดได้หรือ   ก็เหมือนคนที่อยากกลับบ้าน นั่นจะผิดได้หรือ   นี่ไม่ผิด   แต่ในสมองท่านคิดอยู่เสมอว่า ฉันจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธ  เมื่อไรฉันจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธได้นะ  ฉันจะต้องเป็นพระพุทธ   หากมีความคิดที่รุนแรงอย่างนี้     นี่ก็คือจิตยึดติด
            ในศาสนาพุทธ  มีหลายสิ่งที่ผู้คนไม่ทราบกันแล้ว  พระสงฆ์แก่ในศาสนาพุทธเสียชีวิตไปแล้ว  พระสงฆ์ใหม่ในช่วงปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม ก็สึกคืนสู่ฆราวาสเป็นเวลานานอย่างนั้น  หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมก็กลับไปเป็นพระสงฆ์  เป็นเจ้าอาวาส  ระหว่างกลางจึงมีช่องว่างที่ใหญ่   ทุกสิ่งของการบำเพ็ญในอดีตก็ไม่รู้แล้ว  โดยเฉพาะหลังจากศาสนาพุทธได้ผ่านภัยพิบัติของธรรมะหลายครั้ง  สิ่งที่เป็นของดั้งเดิมที่สุดก็ไม่รู้กันเลย   เขาก็ไม่เข้าใจแล้ว  ที่จริงนิกายเซนในแต่ละรุ่น ล้วนถูกมองว่ามุดเขาควาย       ต๋าหมอก็ยอมรับว่ามีเพียงหกรุ่น   ก็จะไม่มีอีกแล้ว  ธรรมะของเขาก็จะไม่อาจถ่ายทอดอีกแล้ว   และไม่สามารถบังเกิดผลในหมู่คนธรรมดาสามัญ  แต่คนปัจจุบันยังกอดเอาไว้แน่นไม่ยอมวาง   ประมุขรุ่นที่หกฮุ่ยเหนิงมรณภาพไปพันกว่าปีแล้ว   ถ่ายทอดต่ออีกก็ไม่เป็นที่ยอมรับกันแล้ว  ปัจจุบันผ่านไปหกสิบรุ่นแล้ว  คนก็ยังไม่วาง   ที่ต๋าหมอพูดก็คือธรรมะของพระอรหันต์   ธรรมะของพระอรหันต์นั้นอยู่ใกล้สามภพมากที่สุด  มันจึงต่ำที่สุด  หลักการของธรรมะที่ต่ำที่สุดจึงใกล้เคียงกับทฤษฎีปรัชญาของคน  คนก็ยอมรับได้ง่าย  คนจำนวนมากจึงเหมือนกับได้รับหลักการที่สูงที่สุดของปรัชญา เข้าใจมันโดยถือเป็นหลักการในหมู่คนธรรมดาสามัญ  เดี๋ยวนี้จึงเป็นเรื่องอย่างนี้

ศิษย์    เหตุใดจึงยอมให้สรรพชีวิตรู้จักต้าฝ่าที่เป็นมูลฐานของจักรวาล

อาจารย์   เพราะหลังจากพวกเขาสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ล้วนเป็นเทพ  ส่วนผู้ที่ไม่สามารถสำเร็จสมบูรณ์  ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ล้วนต้องจัดวางตำแหน่งกันใหม่หรือปรับเปลี่ยนใหม่หรือถูกประวัติศาสตร์กวาดทิ้ง   ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  พวกท่านอย่าเห็นว่าข้าพเจ้าได้พูดความลับสวรรค์ไปมากมายอย่างนั้น  บรรยายฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ให้กับพวกท่าน  ที่จริงข้าพเจ้าใช้ภาษาของมนุษย์บรรยายอย่างคร่าวๆ   แต่แก่นแท้ของหลักการที่แท้จริงของฝ่า ตอนนี้พวกท่านจะไม่ทราบ   ส่วนที่พวกท่านเข้าใจ ล่วงรู้ได้  คือส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว    และเป็นส่วนหนึ่งของหลักการของฝ่า ที่ควรให้ท่านทราบได้ในระดับชั้นนั้นที่ท่านอยู่  และไม่ใช่แน่นอนตายตัวที่จะเผยทุกสิ่งในระดับชั้นนั้นให้แก่ท่าน  เนื่องจากความจริงนั้นไม่อนุญาตให้ชาวโลกรู้ได้   ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของจักรวาลล้วนเป็นเช่นนี้  ดังนั้นพวกเขาก็เพียงรู้สิ่งที่ควรเขาควรรู้เท่านั้น

 

ศิษย์     ชีวิตที่ตกลงไปนั้น      ใช่ไหมว่าไม่ได้บำเพ็ญถึงมาตรฐานชั้นนั้น
อาจารย์       ไม่ใช่เช่นนี้เลย  ท่านบำเพ็ญไปไม่ถึงมรรคผลนั้น   ท่านก็จะไปไม่ถึงที่นั่นเลย   ส่วนชีวิตที่เกิดในเขตแดนนั้นโดยตรง   นั่นเขาก็สอดคล้องกับมาตรฐานของเขตแดนนั้น  หากเกิดความคิดที่เขาไม่ควรมีในระดับชั้นนั้น  ทำเรื่องที่เขาไม่ควรทำในระดับชั้นนั้น  อาจจะเพราะสิ่งเหล่านี้จึงตกลงมา  ที่จริงก็ไม่ใช่ง่ายๆอย่างนั้น ความคิดคนนั้นโลดแล่น  ความคิดอะไรก็ล้วนจะเคลื่อนไหวได้  เป็นเพราะทัศนคติที่สับสนปนเปมากมาย ที่เกิดขึ้นหลังกำเนิดของท่านกับกรรมนานาชนิดกำลังแสดงบทบาท  ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ท่านจะพบว่าความคิดของคนจะใสบริสุทธิ์   เมื่อบรรลุถึงเขตแดนของพระพุทธจะไม่มีของชั้นต่ำเหล่านี้อยู่เลย  จะเป็นของสูงส่งทั้งหมด  อะไรก็รู้หมด  แม้แต่ความคิดของวัว ม้า เขาก็รู้หมด   แต่โดยมูลฐานเขาไม่ใส่ใจเลย  คิดก็ไม่อยากคิด  ไม่ต้องไปคิด  แต่พวกเขาล้วนรู้หมด

ศิษย์       ทำอย่างไรจึงจะทราบว่าตนเองจะหยุดนิ่งอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง  และทำอย่างไรจึงสามารถที่จะทะลวงผ่านมันไปได้
อาจารย์    ที่จริงสาเหตุที่การบำเพ็ญของพวกท่านช้าลงมา ที่สำคัญคือไม่ค่อยตั้งใจในการศึกษาฝ่าของตน  ไม่ค่อยเข้มงวดกับการกำหนดตนเอง  มักจะเกิดจากสาเหตุนี้  จิตใจที่ก้าวหน้าไม่อาจถอย  ทุกท่านต้องจำไว้  ต้องบำเพ็ญจนถึงที่สุด  การใช้ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้เพื่อให้คนบำเพ็ญ  เวลาจะไม่ลากยาวนานอย่างแน่นอน  ดังนั้นจะต้องก้าวหน้า

ศิษย์     ในเมื่อฝ่าหลุนกงจะสูงกว่าฝอฝ่า(พุทธธรรม)  ทำไมยังเรียกว่าฝ่าหลุนฝอฝ่า
อาจารย์       ข้าพเจ้าทราบว่าท่านหมายถึงอะไร  ที่จริงท่านไม่เข้าใจ  ข้าพเจ้าบรรยายไว้ชัดแจ้งแล้ว   สูงกว่าฝอฝ่า  ใครคือฝอฝ่าละ   ฝอฝ่าที่องค์ศากยมุนีตรัสเป็นฝอฝ่า  องค์ศากยมุนีเคยตรัสว่าก่อนหน้าพระองค์ยังมีพระพุทธบุพกาล ๖ องค์   ดังนั้นฝ่าที่พระพุทธบุพกาลทั้งหกบรรยาย เป็นฝอฝ่าใช่หรือไม่  พระพุทธในอนาคต   ฝ่าที่พระพุทธหมีเล่อ(พระอริยเมตไตรย์พุทธ)บรรยายเป็นฝอฝ่าใช่หรือไม่ละ  เช่นนั้นยังมีฝ่าที่พระยูไลจำนวนมากมายเหมือนทรายในแม่น้ำคงคา ใช่ฝอฝ่าหรือไม่ละ  ที่แท้ใครคือฝอฝ่าละ  องค์ศากยมุนีพุทธสามารถเป็นตัวแทนพระยูไลทั้งหมดได้ไหม  เป็นตัวแทนไม่ได้  องค์ศากยมุนีพุทธสามารถเป็นตัวแทนฝอฝ่าทั้งหมดได้ไหม  เป็นตัวแทนไม่ได้          เดิมทีคำถามนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจ
  ทำไมเรียกว่าฝ่าหลุนฝอฝ่า  และเรียกฝ่าหลุนต้าฝ่า  ฝ่าหลุนฝอฝ่านั้นง่ายที่จะแบ่งแยกออกจากศาสนาพุทธ  ก็คือวิธีเรียกที่แบ่งแยกมันออกมาอย่างนี้   ที่จริงนี่ล้วนเป็นชื่อในหมู่คนธรรมดาสามัญ  รวมทั้งฝ่าหลุนต้าฝ่า  ล้วนเป็นชื่อที่เผยออกมาให้กับคนในสังคมมนุษย์ ที่จริงเขาเป็นมูลฐานของจักรวาล  สร้างสรรค์สรรพชีวิตของจักรวาล  รวมทั้งเป็นมูลฐานของสรรพสิ่งทั้งปวง

ศิษย์     แนวทางการบำเพ็ญพุทธธรรมมีมากเหลือเกิน  เฉพาะสำหรับคนที่ต่างกันจะมีแนวทางการบำเพ็ญที่ต่างกันหรือไม่
อาจารย์     ไม่มีการพูดอย่างนี้  เฉพาะสำหรับท่านคนที่ต่างกัน  ยังจะต้องให้แนวทางที่ต่างกันโดยเฉพาะต่อท่าน  เป็นความหมายนี้หรือไม่   พุทธธรรมไม่เข้มงวดถึงอย่างนั้นหรือ   พุทธธรรมไม่ใช่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อท่าน  ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือคน     เป็นเพราะพระพุทธเมตตาต่อคนจึงได้ทำเช่นนี้ องค์ศากยมุนีพุทธตรัสว่าพระยูไลพุทธมีมากประดุจทรายในแม่น้ำคงคา  แต่มีเพียงองค์ศากยมุนีพุทธที่มา  ท่านคิดว่าถ้าพระพุทธไม่ช่วยท่าน ก็จะไม่สบายใจ  มีความอยากอย่างนั้นหรือ   พระพุทธเกิดขึ้นไม่ใช่เพื่อคน  ไม่ใช่หลักการนี้นะ

ศิษย์       หนังสือฝ่าหลุนกงเล่มเดียวก็สามารถให้คนทั้งหมดที่บำเพ็ญ   บำเพ็ญสำเร็จได้หรือ

อาจารย์     ข้าพเจ้าทราบว่าทำไมท่านมาที่นี่   แต่ข้าพเจ้าก็ยังจะบอกให้ท่านฟัง   ในเวลาที่องค์ศากยมุนีอยู่ในโลก ทรงบรรยายฝ่าให้ผู้คน   ในเวลานั้นก็ไม่มีคัมภีร์  ต่อมา  องค์ศากยมุนีไม่ทรงอยู่ในโลกแล้ว   ผู้คนจึงเขียนคัมภีร์โดยหวนคิดถึงคำพูดที่องค์ศากยมุนีตรัสไว้  ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมาก   ไม่มีลักษณะพิเศษด้านเวลา  สถานที่  สภาพแวดล้อมในเวลานั้นแล้ว  แม้จะเป็นเช่นนี้  อาศัยตามคัมภีร์ลักษณะนี้ ก็ยังคงมีคนมากมายสามารถบำเพ็ญออกมาได้   ท่านไม่ยอมรับจะได้หรือ  ก็คือคัมภีร์เล่มนั้น  ท่านคิดว่าคนจะบำเพ็ญอย่างไรได้บ้างละ

ศิษย์      ฝ่าหลุนต้าฝ่าเป็นหลักธรรมใหญ่ของจักรวาล   เช่นนั้นต้าฝ่าทำไมยังเป็นแนวทางหนึ่งใน ๘๔,๐๐๐            แนวทางละ
อาจารย์       คนสามารถรับรู้ได้มากเพียงเท่านี้  ถ้าจะพูดสูงยิ่งขึ้นให้กับเขา  เขาก็ฟังไม่เข้าใจ  ที่จริงทุกท่านเคยคิดบ้างไหม  ฝอฝ่า(พุทธธรรม)ทั่วทั้งจักรวาล  ไม่ใช่เพียง ๘๔,๐๐๐ แนวทางเท่านั้นนะ   พระยูไลพุทธเหล่านั้นมีมากประดุจทรายในแม่น้ำคงคา   พระยูไลพุทธแต่ละองค์ต่างมีหลักการของฝ่าที่ตัวเองประจักษ์แจ้ง  แต่ก็จัดเป็นของในเขตแดนนั้นทั้งสิ้น  ตัวเลข ๘๔,๐๐๐ นั้นจะสามารถครอบคลุมได้หมดหรือ  ๘๔๐ ล้านก็ยังครอบคลุมไม่ได้   มีมากเหลือเกิน  แนวทางการบำเพ็ญมีมากเหลือเกิน  เช่นนั้นวิธีการเหล่านี้ ใช่หรือไม่ว่า   ล้วนคือต้าฝ่าของเรา   หลักธรรมใหญ่ของจักรวาลที่สร้างสรรค์แนวทางการบำเพ็ญที่ต่างกันให้กับสรรพชีวิตในระดับชั้นนั้น ทำให้พวกเขาที่อยู่ในเขตแดนที่ต่างกันประจักษ์แจ้งส่วนหนึ่งของฝ่าจากในต้าฝ่าหรือไม่  เช่นนั้นในนี้ได้ครอบคลุมสิ่งที่พวกเราบรรยายให้กับคนในวันนี้ ซึ่งเป็นเพียงส่วนนั้นที่คนสามารถเข้าใจได้หรือไม่ละ  เป็นฝ่าของระดับชั้นนั้นหรือไม่ละ ใช่หรือไม่ละ    ข้าพเจ้าก็ได้แต่ใช้วิธีการนี้ แนวคิดนี้  ที่คนสามารถรู้ได้  บอกให้กับคน   ที่จริง ๘๔,๐๐๐ แนวทาง ๘,๐๐๐ ล้าน  ๘๐,๐๐๐ ล้าน  ๘ แสนล้านก็ครอบคลุมไม่หมด  มีมากเหลือเกิน   แต่ล้วนเป็นการประจักษ์แจ้งจากในต้าฝ่าทั้งสิ้น ต้าฝ่าของเราก็มีส่วนที่ต่ำที่สุดที่เผยให้กับคน   ดังนั้นทุกสิ่งที่ครอบคลุมนี้มิใช่ทั้งหมดหรือ  ข้าพเจ้าจึงใช้ ๘๔,๐๐๐ แนวทางนี้ที่องค์ศากยมุนีเหลือไว้ให้คน  แนวคิดนี้ที่ชาวโลกควรจะรู้ กล่าวสรุปเป็นหลักการอย่างนั้นที่คนสามารถรู้ได้ จากนั้นจึงเปิดความสว่างให้กับความคิดที่ถูกต้องของคนเท่านั้นเอง

ศิษย์     หลังจากการปรับฝ่าให้ถูกต้องครั้งนี้   จักรวาลยังจะเกิดการเบี่ยงเบนอีกหรือไม่                                                      อาจารย์      เรื่องเหล่านี้  ไม่ใช่เรื่องที่ท่านควรถาม  และไม่อาจใช้ความคิดของคนจินตนาการได้   ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ต้าฝ่าครั้งนี้เพียบพร้อมด้วยความสามารถที่จะหยวนหรง(กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว)  ซ่อมแซมทุกสิ่ง ดังนั้นจึงเป็นฝ่าที่ไม่มีวันเสื่อม

ศิษย์     บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกว่าสมองว่างเปล่า ไม่รู้ว่าคนอื่นพูดอะไร ที่แท้เป็นเรื่องอะไร

อาจารย์        ที่จริงเป็นสภาวะที่ดีมาก  บางครั้งพวกเราอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ความคิดเปลี่ยนจนเฉียบแหลมมากจริงๆ    คนเขาพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเกี่ยวกับท่านสักหน่อยหรือพูดอะไรที่ท่านไม่ชอบ ทันใดท่านก็ตื่นตัวขึ้นมา  ก็ค้นหาความคิดอย่างหนึ่งที่ปกป้องตนเองและโต้ตอบผู้อื่น  นี่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ของผู้บำเพ็ญ  แล้วจะทำอย่างไรละ            เช่นนั้นก็ต้องปรับแก้ความคิดเหล่านี้ในระหว่างการบำเพ็ญของท่าน   ในระหว่างที่ปรับแก้ก็ไม่ให้ท่านใช้ความคิดที่เคยชินเหล่านั้น ที่ปกป้องตนเอง และสามารถทำร้ายผู้อื่น   ดังนั้นความคิดนั้น  ในเวลาที่จะคิดใช้ก็จะพบว่าไม่มีอยู่แล้ว  ก็ว่างเปล่าแล้ว  มักจะเป็นเช่นนี้   ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญ  ให้ความคิดที่ถูกต้องของท่านเข้มแข็งขึ้นมา  ในเวลานั้นท่านก็จะควบคุมตัวเองได้  เป็นปรากฏการณ์ที่ดีในการบำเพ็ญ

ศิษย์       จักรวาลเคยเกิดการดับสลายหลายครั้ง   ชีวิตระดับชั้นสูงและสรรพชีวิตเหล่านั้นที่ถูกดับสลายกับการดับสลายทั้งกายและจิตนั้นเป็นลักษณะอย่างไร
อาจารย์      แนวคิดของจักรวาลที่ท่านพูดคืออะไร   ความคิดของท่านไม่อาจรองรับได้ว่าที่จริงจักรวาลนั้นใหญ่เพียงไร   ดังนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าจักรวาลที่ท่านหมายถึงนั้นใหญ่เพียงไร   ก็คือว่าถึงท่านจะสามารถขยายความคิดของท่านให้ใหญ่ขึ้น  สามารถจินตนาการให้ใหญ่ยิ่งขึ้น  ก็ยังเล็กอย่างยิ่ง เล็กอย่างยิ่ง   แต่  ไม่ว่าจะใหญ่เพียงไร   หากจักรวาลในขอบเขตที่แน่นอนหนึ่ง เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น  เช่นนั้นชีวิตทั้งปวงในระดับชั้นนั้นล้วนจะถูกดับสลายไป  อะไรก็ไม่มีเหลือ   ซึ่งแตกต่างจากชีวิตหนึ่งๆที่ไม่ดีซึ่งถูกดับสลายเพียงลำพัง  ชีวิตที่ถูกดับสลายเพียงลำพังนั้นจะถูกดับสลายทีละชั้นๆ ในระหว่างชดใช้กรรม  ดังนั้นแม้พวกเขาตายก็ต้องชดใช้กรรม  ก็ต้องชดใช้สิ่งที่เขาติดค้าง  แต่การระเบิดชนิดนี้(ในจักรวาล)คือในฉับพลันอะไรทั้งหมดก็จะสลายไปสิ้น   ทั้งหมดไม่มีเหลือแล้ว  แน่ละน่ากลัวมาก  น่ากลัวอย่างยิ่ง

ศิษย์        ทำอย่างไรจึงจะสามารถยึดกุมให้แต่ละความคิดที่ส่งออกมาล้วนแต่อยู่บนพื้นฐานของฝ่าได้ดีและยังต้องทำให้อยู่ในทางสายกลางไม่เดินสุดขั้ว
อาจารย์        ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   พวกท่านอย่าได้เข้าใจปัญหากันอย่างนี้  ทุกท่านสามารถอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญ  ในการดำรงชีวิตตามปกติของท่าน เมื่อพบกับปัญหาอะไร  หรือความยุ่งยาก  ท่านสามารถค้นหาความบกพร่องของตนเอง จากนั้นทำให้ดียิ่งขึ้น  นี่ก็คือการบำเพ็ญ   พูดถึงว่า ฉันจะทำอย่างไรให้สิ่งที่พูดออกมาสอดคล้องกับฝ่า  ฉันจะทำอย่างไรให้แต่ละคำพูดและการกระทำล้วนได้มาตรฐานของฝ่า   สิ่งเหล่านี้จะออกมาได้ตามการยกระดับอย่างเป็นธรรมชาติ  ความสูงต่ำของซินซิ่งของท่านก็คือคำพูดและการกระทำของท่าน  ถ้าไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่าแล้วพยายามทำด้วยเจตนานั้นจะทำไม่ได้
   ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรอยู่  คิดอะไร ทำอะไร  เมื่อเกิดความขัดแย้ง  พอมองเห็นปัญหาที่มีอยู่ทั้งหมดของตนเอง  ท่านสามารถไปบำเพ็ญตนเอง   สามารถทำได้ดียิ่งขึ้น  นี่ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องบอกให้พวกท่านทำ  และเป็นวิธีที่มูลฐานที่สุดของการบำเพ็ญของผู้ที่บำเพ็ญต้าฝ่า  การงานไม่ใช่การบำเพ็ญ  แต่ทุกสิ่งที่สะท้อนออกมาในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ล้วนเป็นความคิดที่แสดงออกมาของผู้บำเพ็ญ  พฤติกรรมในการบำเพ็ญล้วนจะสะท้อนอยู่ในการงาน       หรือพูดได้ว่าการดำเนินชีวิตของท่านไม่ใช่การบำเพ็ญ  แต่สภาพการณ์ของท่านในระหว่างการบำเพ็ญจะสะท้อนอยู่ในคำพูดและการกระทำและอากัปกิริยา  กับในสภาพการดำรงชีวิตของท่าน พูดถึงทางสายกลาง  นั่นก็คือเวลาข้าพเจ้ากำลังบรรยายหลักการของฝ่า  สิ่งที่กำหนดให้ทุกท่านทำในสถานการณ์ที่พิเศษ  อาทิเช่น พวกเราบอกว่าทำอย่างนี้ไม่ดี  เสียหายต่อต้าฝ่า  เช่นนั้นเขาก็วิ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่งในทันที   ท่านบอกเขาว่าอย่างนี้ไม่ถูก  เช่นนั้นเขาก็วิ่งไปสู่อีกสุดขั้วหนึ่ง  เป็นการบรรยายเจาะจงต่อสภาพการณ์ชนิดนี้

ศิษย์       บางครั้งเสนอความคิดบางอย่างแก่ผู้ช่วยฝึกสอน  พวกเขาจะอาศัยข้ออ้างต่างๆไม่ยอมรับข้อเสนอของผม
อาจารย์     อาจจะมีสองสาเหตุ   หนึ่งคือเขาคิดว่าตัวเองถูก  อีกหนึ่งคือ เขาอาจมีสิ่งยึดติดอย่างอื่นขัดขวางอยู่  แต่ไม่อาจเป็นด้วยเหตุนี้ก็พูดว่าเขาไม่ดี   เพราะเป็นไปได้มากว่าเขามีจิตมากมายที่ทิ้งไปได้แล้ว   แต่เขายังอยู่ในระหว่างบำเพ็ญ  ยังมีจิตของคนธรรมดาสามัญที่ยังไม่ได้ทิ้งไป  ดังนั้นเขาจึงยังยึดติดอยู่  เขาก็จะมีทัศนคติของคนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นในเวลาทำงาน หรือกระทั่งในเวลาที่ทำงานของต้าฝ่า  เขาก็อาจจะมีใจของคนธรรมดาสามัญแสดงออกมา  นี่เป็นเรื่องแน่นอน        ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่า   พวกเขาทำงานของต้าฝ่าก็คือการบำเพ็ญ  การทำงานของต้าฝ่าต้องเชื่อมโยงกับการบำเพ็ญ  เขาก็กำลังบำเพ็ญอยู่   อีกอย่างท่านเองก็อย่าได้เกิดทัศนคติอะไรขึ้น  การทำงานอะไรจะทำได้ดีล้วนต้องเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของต้าฝ่า  อีกข้อหนึ่งท่านเองก็ต้องมองตัวเองก่อนว่ามีใจอะไรอยู่หรือเปล่า  เวลาที่เขาไม่ยอมรับข้อเสนอของท่าน สิ่งที่ท่านคิดขึ้นมาก่อนคือคู่กรณีมีปัญหา  หรือว่ามองดูตัวเองก่อน

ศิษย์     สามศาสนาที่เขียนในหนังสือ“หงอิ๋น”คือสามศาสนาใด                                                           อาจารย์       ที่ประเทศจีนนั้นมักหมายถึง ขงจื้อ  พุทธ  เต๋า  สามศาสนา  โดยหลักนี่คือพูดถึงสภาพแวดล้อมนั้นของประเทศจีน

ศิษย์       หากศิษย์แต่ละคนต่างสำเร็จสมบูรณ์โดยนำฝ่าหลุนติดตัวไป   แล้วจะเข้าใจอย่างไรกับปรากฏการณ์ชนิดนี้ที่ว่าโลกของพระพุทธ  เทพที่ต่างกันของทั่วทั้งจักรวาล ล้วนมีฝ่าหลุน

อาจารย์       ปัญหานี้ข้าพเจ้าได้พูดให้กับพวกท่านตั้งนานแล้ว  ผู้ฝึกคนนี้ยังอ่านไม่ถึง  ไม่ได้ยิน  มีหลายคนจะไม่ไปโลกฝ่าหลุน  ส่วนฝ่าหลุนที่ข้าพเจ้าให้กับท่าน  เป็นเพียงการนำทุกสิ่งที่ท่านมีก่อนกำเนิดกลืนกลายเข้ากับสิ่งที่ดีที่สุดของจักรวาล   หลังจากการปรับฝ่าแล้ว  ใครมาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น  เคยเป็นอะไรจะยังคงเป็นอะไร  ไม่ว่าท่านเป็นพระพุทธ  เต๋า เทพ  พูดถึงว่าไปโลกฝ่าหลุน  มีจำนวนน้อยมาก  ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าทำนั้นคือกลืนกลายพวกท่านเข้ากับฝ่าของจักรวาล

ศิษย์     ศาสนาเข้าใจว่าพวกเขาถูกต้อง  แต่ไม่มีหลักฐาน  ฝ่าหลุนกงก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าพวกคุณถูกต้อง  คุณเรียกร้องให้เชื่อในทฤษฎีของคุณ         แต่ไม่สามารถเชื่อสิ่งอื่น
อาจารย์     ไม่ใช่เช่นนี้  แม้ท่านจะไม่ใช่ผู้ฝึกของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้านที่ท่านถามปัญหาอย่างนี้  เนื่องจากในเวลาที่แต่ละคนไม่เข้าใจฝ่า  ย่อมจะมีความคิดอย่างนี้  อย่างนั้นได้  ที่จริงข้าพเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้คนเชื่อแต่ข้าพเจ้า  สิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับผู้คนคือหลักการของฝ่า  ล้วนแต่เป็นหลักการ  วันนี้ท่านออกจากประตูไปอยากทำอะไร  ก็ไปทำอะไร  ไม่มีใครสนใจท่าน  ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าคิดแต่จะให้คนมาเรียน  ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกผู้คนถึงสภาพการณ์จริงของการบำเพ็ญที่แท้จริง       พูดถึงว่าใครคิดจะบำเพ็ญอะไรนั่นเป็นเรื่องของตนเอง  ก็เกรงว่าสำหรับหลักการของฝ่านี้  แม้แต่อ่านท่านก็ยังไม่ได้อ่านเลย  นี่เป็นโอกาสที่ยากจะพานพบในเวลานับพันปี หมื่นปี   ในอดีตไม่มีใครพูด  ในอดีตก็ไม่อนุญาตให้บอกความลับสวรรค์ให้คนฟัง  ดังนั้นข้าพเจ้าเพียงแต่ให้คนได้เข้าใจ  คิดจะบำเพ็ญอะไร  นั่นเป็นเรื่องของตัวเอง  ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็บอกกับผู้คนว่าแต่ละศาสนานั้นไม่มีเทพดูแล   ในอดีตเวลาที่พวกท่านสารภาพบาป  รู้สึกได้จริงๆว่ามีเทพองค์นั้นกำลังฟังท่านอยู่ กระทั่งบางองค์สามารถตอบท่านได้ในความคิด    เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว  ดังนั้นข้าพเจ้าหวังว่าผู้ที่ถามคำถามจะอ่านหนังสือสักหน่อย   ทำความเข้าใจสักหน่อย  ว่าเรื่องเป็นอย่างไร  คนเราล้วนมีความคิด  ทุกท่านล้วนมีความรู้   หลังจากอ่านหนังสือแล้ว  ท่านก็จะทราบว่าเขาถูกหรือไม่ถูก

ศิษย์     ผมควรช่วยสอนฝึกพลัง          หรือว่ามุ่งแต่ศึกษาฝ่าฝึกพลังของตนเอง         หรือทำทั้งสองอย่าง
อาจารย์       การยกระดับกับการบำเพ็ญของท่านจึงจะสำคัญที่สุด  แน่ละเมื่อพวกท่านมีเวลา  สามารถช่วยคนอื่นให้ได้ฝ่า  นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด  คนไม่รู้ว่ามนุษยชาตินั้นพัฒนาไปถึงจุดที่อันตรายแล้ว   ท่านคิดจะให้คนรู้  ให้คนเปลี่ยนเป็นคนดีทั้งหมด   แม้ว่าไม่บำเพ็ญก็อย่าเดินไปสู่สภาพที่จะถูกกวาดทิ้งไป   ข้าพเจ้าว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี  แน่ละถ้าสามารถบำเพ็ญก็ยิ่งดี  เพราะนั่นเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการเป็นคน

ศิษย์       ใช่หรือไม่ว่า ความคิดยิ่งเรียบง่าย  ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งง่ายที่จะทำลายเปลือกชั้นนี้ได้   ส่วนความคิดที่ยิ่งห่างไกลจากคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล  เปลือกของคนก็ยิ่งยากจะทำลาย

อาจารย์      เป็นเช่นนี้   ข้าพเจ้าพบว่าคนผิวขาวมากมาย มีความคิดที่บริสุทธิ์เรียบง่าย  โดยเฉพาะคนผิวขาวในชนบทหลายคนนั้นบริสุทธิ์จริงๆ   เขาไม่มีทัศนคติอย่างนี้ ทัศนคติอย่างนั้น  ถึงมีก็น้อยมาก  อุปสรรคที่ขัดขวางเขาให้ได้ฝ่าจึงน้อยมาก   ดังนั้นคนผิวขาวหลายๆคน หลังจากบำเพ็ญ คนที่ตาทิพย์เปิดจึงมีมากเป็นพิเศษ

ศิษย์     บางครั้งไม่รู้จริงๆว่าการอยู่ในโลกยังมีความหมายอะไร
อาจารย์     พวกเราต้องเห็นค่าการบำเพ็ญในโลก  ก้าวหน้าเรื่อยไปในหลักการของฝ่า  ทุกสิ่งของคนธรรมดาสามัญล้วนไม่เป็นที่สนใจสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว  เพราะเขตแดนของผู้บำเพ็ญสูงกว่าของคนธรรมดาสามัญ   จึงไม่คิดอาศัยอยู่ที่ตรงนี้ของคน  รู้สึกไม่มีความหมาย สามารถจะเกิดสภาพการณ์เช่นนี้ได้   ถ้าท่านรับรู้ได้ว่าเวลานี้เป็นโอกาสที่ล้ำค่าเพียงไรของการบำเพ็ญ  เป็นโอกาสที่จะกลับขึ้นไป  ให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญต้าฝ่าให้มากสักหน่อย  ก็จะไม่มีความรู้สึกนี้

            ก็ตอบปัญหาเพียงเท่านี้   เดิมทีเป็นการประชุมหนึ่งวันครึ่ง  แล้วเพิ่มเวลาในตอนบ่าย  ได้ตอบปัญหาให้ทุกท่านเพิ่มมากขึ้นบ้าง   การประชุมของเราครั้งนี้  เมื่อมองโดยรวม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าประสบความสำเร็จมาก ผ่านการประชุมนี้  ทุกท่านย่อมล้วนมีการยกระดับที่ต่างกัน  หลังจากการประชุมนี้จบลง ให้ถือมันเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่ง  ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทำได้ดียิ่งขึ้น  นี่คือเป้าหมายที่ฝ่าฮุ่ยต้องการจะบรรลุ  สามารถทำให้ทุกท่านได้รับการยกระดับ   จึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการประชุมใหญ่นี้ของเรา  หาไม่แล้ว  พวกเราจะต้องไม่ยึดถือแต่รูปแบบใดๆ  รูปแบบใดๆล้วนไม่สามารถให้คนบำเพ็ญได้     รูปแบบใดๆล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงใจคน
  เมื่อผ่านการศึกษาฝ่าระหว่างกันของทุกท่าน  ทุกท่านล้วนจะสามารถค้นพบความอ่อนด้อยของตนเอง  ในระหว่างการบำเพ็ญให้ดูว่าคนอื่นบำเพ็ญอย่างไร  ตนเองบำเพ็ญอย่างไร  ก็อาศัยแรงผลักดันนี้  หวังว่าทุกท่านจะยิ่งก้าวหน้า          สำเร็จสมบูรณ์โดยเร็ววัน
          เนื่องจากข้าพเจ้าอยู่ที่นี่  สิ่งที่ตอบให้กับท่านล้วนเป็นปัญหาในการบำเพ็ญ   สิ่งที่พูดคุยล้วนเป็นปัญหาในระดับชั้นที่ต่างกัน   กล่าวสำหรับคนธรรมดาสามัญเมื่อฟังแล้วก็ค่อนข้างสูงไปบ้าง  แน่ละความสามารถในการยอมรับของพวกท่านก็มีจำกัด  มีบางอย่างไม่แน่ว่าจะสามารถรับได้  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม   ทุกท่านล้วนก้าวเข้ามาในห้องประชุมนี้แล้ว  เป็นไปได้ว่าคือวาสนาอย่างหนึ่ง  หากไม่เชื่อทุกท่านลองไปอ่านดู  นำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา  ไปอ่านโดยไม่มีทัศนคติใดๆ  ท่านย่อมจะมองเห็นสิ่งต่างๆมากมาย  ทำไมจึงมีคนมากมายอย่างนั้นบำเพ็ญละ   จากจุดนี้ก็ควรไปอ่านดูว่าแท้จริงแล้วทำไม  คนนั้นมีความคิด มีสติสัมปชัญญะ  ยิ่งกว่านั้นคนปัจจุบันก็มีความรู้  ดีหรือไม่ดี  จริงหรือปลอม  พวกท่านไปอ่านเอาเอง  ไปวิเคราะห์เอาเอง  รวมทั้งทุกท่าน  ผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่นั่งอยู่  ไม่มีใครบังคับพวกเขาให้มาเรียน  ล้วนเป็นตัวเขาเองที่อยากบำเพ็ญ   สามารถบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าได้อย่างแท้จริง  ดังนั้นจึงสามารถทำให้ฝ่าฮุ่ยของเราในวันนี้เปิดประชุมขึ้นได้   ฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสำเร็จสมบูรณ์มาก  หวังว่าทุกท่านกลับไปแล้ว จะก้าวหน้ายิ่งขึ้น ขอบใจทุกท่าน (เสียงปรบมือ)