การบรรยายฝ่าปี ค..1999 ณ ฝ่าฮุ่ย ภาคพื้นตะวันตกสหรัฐอเมริกา

 

หลี่ หงจื้อ

21-22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1999 ณ นครลอสแองเจอลีส

 

            สวัสดีทุกท่าน (เสียงปรบมือ)

            เดิมทีการประชุมครั้งนี้ ตั้งใจจัดขึ้นสำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เฉพาะในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา จุดประสงค์คือ เอื้ออำนวยให้ผู้ฝึกในพื้นที่นี้ สามารถบำเพ็ญได้ดียิ่งขึ้น มีสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการบำเพ็ญนี้คือจุดประสงค์ เนื่องจากมันเป็นเรื่องของพื้นที่นี้ ที่สำคัญคือเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกกล่าวให้คนจำนวนมากรู้ และไม่ได้แจ้งข่าวไปยังพื้นที่อื่นๆทั่วโลก เหตุผลที่สำคัญกว่าคือ ข้าพเจ้าอยากให้พวกเรามีสภาพแวดล้อมที่สงบ สามารถบำเพ็ญด้วยจิตใจที่สงบ ไม่ถูกสิ่งใดรบกวน ปัจจุบันนี้มีสมาคมและศูนย์ช่วยฝึกสอนในที่ต่างๆมากมาย กิจกรรมก็มาก หากทุกครั้งข้าพเจ้าไปที่ใด พวกเราก็พากันตามไป เช่นนั้นพวกท่านก็จะไม่มีเวลาบำเพ็ญท่านก็จะไม่มีสภาพแวดล้อมที่สงบในการบำเพ็ญไม่มีประโยชน์สำหรับการบำเพ็ญของท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อยากให้คนแห่ตามไปทุกที่กันเป็นจำนวนมากๆ แน่นอนพวกเราก็คงเข้าใจความหมายนี้ แต่ทว่าทุกคนต่างก็อยากจะได้พบอาจารย์ อารมณ์ความรู้สึกนี้ข้าพเจ้าเข้าใจดี อันที่จริงหากท่านบำเพ็ญได้ดี เรื่องจะพบข้าพเจ้าก็จะง่ายมากขึ้น

            ในเมื่อพวกเราก็มากันแล้ว ก็ขอให้สงบจิตสงบใจฟังกัน ดูซิว่าในระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ฝึกทางฝั่งตะวันตกมีการยกระดับกันอย่างไรและเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง จากบทความและประสบการณ์ของพวกเขา ย่อมสามารถมองเห็นความแตกต่างของตนเอง ย่อมทำให้พวกเรายกระดับตนเองได้ดียิ่งขึ้นในการบำเพ็ญพวกเราก็จะได้ข้อสรุปของตนเอง ค้นหาความแตกต่างระหว่างกัน และกระตุ้นเตือนซึ่งกันและกัน นี้ก็คือจุดประสงค์มูลฐานของการจัดประชุมฝ่าฮุ่ยของเรา หากการประชุมฝ่าฮุ่ยของเราไม่สามารถบังเกิดผลเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องจัดประชุม เป็นการสูญเปล่า ก็จะไร้ความหมาย รูปแบบวิธีการบำเพ็ญทั้งหมดของต้าฝ่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งหมด ล้วนเพื่อให้พวกเราสามารถยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้ ไม่อาจบรรลุเป้าหมายนี้ ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำในสิ่งเหล่านี้ แน่นอนท่ามกลางรูปแบบวิธีการบำเพ็ญของพวกท่านในปัจจุบันนี้ นอกจากการฝึกพลังกงแล้ว ก็ยังมีรูปแบบการหงฝ่า นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ฝากเอาไว้นับแต่ปีที่ข้าพเจ้าเริ่มถ่ายทอดฝ่ามาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง สามารถบังเกิดผลอย่างดียิ่งจริงๆ ดังนั้นการประชุมฝ่าฮุ่ยของพวกท่านในแต่ละพื้นที่จึงควรจัดต่อไป แต่ข้าพเจ้าคิดว่าดีที่สุดควรจะจัดเป็นการเฉพาะสำหรับแต่ละพื้นที่ จัดประชุมฝ่าฮุ่ยระดับเล็กสักหน่อยจะดีกว่า ถ้าหากจะจัดระดับใหญ่ก็ให้จัดปีละครั้ง สองครั้งก็พอแล้ว ไม่ต้องจัดบ่อยจนเกินไป ไม่เน้นแต่รูปแบบ ต้องทำอย่างแข็งขันจริงๆ เพื่อยกระดับพวกเรา ให้สามารถบังเกิดผลนี่จึงจะใช้ได้

            พวกเรารู้ไหม ฝ่าอันนี้ ข้าพเจ้าได้พูดไว้สูงมาก จาก “จ้วนฝ่าหลุน”หนังสือเล่มนี้ พวกเราเข้าใจฝ่าได้ค่อนข้างง่าย ฝ่าเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าพูดในระยะหลัง ถ้าท่านไม่อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”   แต่ไปอ่านฝ่าที่ข้าพเจ้าพูดไว้ในที่ต่างๆ โดยตรง ก็สามารถจะเข้าใจ แต่เขาไม่อาจจะชี้แนะการบำเพ็ญอย่างต่อเนื่องกัน เพราะฝ่ามีความประสานกลมกลืน เขาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันทั้งหมด ท่านจะอ่านเขาอย่างไรก็สามารถจะเข้าใจ อ่านจากข้างหน้า อ่านจากข้างหลัง หรือจากตรงกลาง ไม่ว่าจะใช้วิธีใด จะอ่านต้าฝ่าชุดนี้อย่างไร เขาก็สามารถเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สามารถเข้าใจซึ่งกันและกัน สามารถบังเกิดผลในการเชื่อมประสานในลักษณะหนึ่ง นี้จึงเป็นองค์ประกอบของความประสานกลมกลืนไม่ขาดตอนของต้าฝ่า ฉะนั้นฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยาย ณ ที่ต่างๆล่ะ ความจริงล้วนแต่พูดให้ตรงกับแต่ละพื้นที่ แต่ละสภาพการณ์ที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาข้าพเจ้าอยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือประเทศต่างๆในยุโรป ได้พูดถึงโครงสร้างของจักรวาลไว้มากสักหน่อย แน่นอนสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่พ้นไปจากเรื่องการบำเพ็ญของพวกท่าน พวกเราบำเพ็ญมีจุดประสงค์อะไร เมื่อพวกท่านหยวนหมั่น(สำเร็จสมบูรณ์)แล้ว ก็ไม่อยู่ในมิตินี้อีกต่อไป มันย่อมเกี่ยวพันกับมิติอื่น เกี่ยวพันกับโครงสร้างของจักรวาล ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่การพูดให้แก่ผู้ฝึกในแต่ละท้องที่ แต่ละสภาพการณ์ที่ต่างกัน ข้าพเจ้าก็จะบรรยายฝ่าจากแง่มุมและรูปแบบที่ต่างกัน นี่ก็คือจุดเด่นของการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้า

            เพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตัวเองยึดติด ทุกคนต่างรู้สึกว่าอยู่ในสังคมมนุษย์ เขาก็มีสัจธรรมที่ตัวเองรู้จักรับรู้ เขาจึงยึดมั่นอยู่กับสิ่งนี้ ประคับประคองชีวิตของเขาไว้ จริงๆแล้วข้าพเจ้าขอบอกกับพวกเรา ท่านอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญไม่ว่าจะรับรู้ถึงหลักการอะไร สำหรับชีวิตที่อยู่สูงจากระดับชั้นทั้งหมดของมนุษย์ ล้วนเห็นว่าไม่ถูกต้องทั้งสิ้น เพราะสังคมมนุษย์ทั้งหมดล้วนกลับตาลปัตร ฉะนั้นเพื่อจะทะลวงอุปสรรคนี้ของท่าน ซึ่งก็คือบรรดาทรรศนคติที่พวกท่านก่อขึ้นมา ขัดขวางท่านไม่ให้ได้รับฝ่าอย่างรุนแรง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลือกบรรยายฝ่าที่ไม่เหมือนกันให้กับแต่ละกลุ่มคนในแต่ละพื้นที่ที่ต่างกัน เพื่อทะลวงอุปสรรคที่อยู่ในสมองท่าน อุปสรรคที่มีต่อการได้รับฝ่า มีคนจำนวนมากจากประเทศจีนมาที่สหรัฐอเมริกา ล้วนแต่ประสบความสำเร็จ ล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้สูง เป็นปัญญาชน คนจำนวนมากล้วนมีวุฒิการศึกษาสูง พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ ค่อนข้างจะมีความเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ท่านเข้าใจเป็นอย่างดีโดยตัวเองก็คืออุปสรรคอันหนึ่ง เนื่องจากวิทยาศาสตร์ที่ว่านี้ ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้ว โดยตัวมันเองไม่เป็นวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด มันเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวยัดเยียดให้กับคน มันแทรกซึมไปทั่วสังคมแล้ว ทั่วทุกปริมณฑลล้วนถูกแทรกซึมด้วยสิ่งนี้ ในเมื่อท่านก็อยู่ท่ามกลางสิ่งนี้ ท่านย่อมแยกไม่ออกว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ถ้าเช่นนั้นเหตุใดข้าพเจ้าจึงบรรยายฝ่าโดยเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ยุคนี้ล่ะ เพราะวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนทรรศนคติและพฤติกรรมของคนไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป บรรดาวัฒนธรรมของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป เว้นแต่วัฒนธรรมที่อยู่นอกกรอบวิทยาศาสตร์ รวมทั้งวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ คนทุกวันนี้ต่างไม่เข้าใจกันแล้ว การใช้รูปแบบวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมาอธิบายสภาพการณ์ของจักรวาลนี้ จึงจะสามารถทำให้คนปัจจุบันเข้าใจ รู้ถึงมูลเหตุของสสารที่แท้จริงของจักรวาล มูลเหตุแท้จริงของชีวิต มูลเหตุแท้จริงของจักรวาลว่าคืออะไร ทำเช่นนี้จึงจะสามารถทะลวงสิ่งที่พวกท่านเข้าใจว่าคือสัจธรรมซึ่งท่านได้มาในหมู่คนธรรมดาสามัญ ทะลวงสิ่งเหล่านี้ไปแล้วก็จะช่วยให้พวกท่านได้รับฝ่า – สัจธรรมที่แท้จริง เมื่อท่านพบว่ามันไม่ใช่สัจธรรมที่แท้จริงแต่อย่างใด เช่นนี้จึงง่ายที่พวกท่านจะได้รับฝ่า ฉะนั้นนี่ก็คือจุดเด่นประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่านี้ให้กับผู้คนที่ต่างกัน ในสภาพการณ์ต่างกัน ในพื้นที่ต่างกัน อธิบายฝ่าโดยประยุกต์เข้ากับทรรศนคติที่ผิดเพี้ยนไปแล้วของคนยุคนี้ แน่นอนพวกเราจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ค่อนข้างสูง ซึ่งได้บ่มเพาะมานานจนมีความคิดความเคยชินอย่างหนึ่งที่ชอบค้นคว้าวิจัยวิทยาศาสตร์ ครั้นสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ เขาก็อยากจะไปค้นคว้าวิจัย อยากจะไปทำความเข้าใจ เขาได้ปลูกฝังการแสวงหาต่อความรู้ บวกกับผลอันเกิดจากจิตใจที่ไม่รู้จักพอของคน เขาจึงชอบที่ค้นหาอยู่เป็นนิจ แท้จริงแล้วจักรวาลนี้ หากจะใช้ความคิดของคนเรา ทรรศนคติของคนเรา ระดับที่คนมีในปัจจุบัน หรือระดับในกาลข้างหน้า ท่านก็ไม่อาจจะหยั่งได้ว่า ถึงที่สุดแล้วจักรวาลคืออะไร ไม่สามารถหยั่งรู้ได้โดยสิ้นเชิง เพราะความนึกคิดของคน ภาษาของคน เพียงแต่สามารถบรรยายสิ่งที่อยู่ในขอบเขตที่กำหนดเท่านั้น นอกเหนือไปจากขอบเขตอันนี้ มนุษย์ก็ไม่มีภาษาที่จะบรรยายได้ ไม่เพียงแต่ไม่มีภาษาที่สามารถจะบรรยาย กล่าวคือท่านไม่มีศัพทานุกรมเช่นนั้น ศัพทานุกรมที่มีในปัจจุบันมีความหมายไม่ตรงกับมันโดยสิ้นเชิง ท่านจะบรรยายอย่างไรก็ทำไม่ได้ นี่ก็คือเหตุผลที่บางครั้งข้าพเจ้าอธิบายฝ่าให้พวกเราฟัง จึงไม่อาจจะอธิบาย

            อีกข้อหนึ่งคือความคิดของคนนั้นมีลำดับขั้นตอน ทว่าขั้นตอนเหล่านี้ล้วนไม่เหมาะในการใช้ ท่านไม่อาจจะพูดเรื่องของจักรวาลได้กระจ่างชัด บ่อยครั้งรวมทั้งเวลาที่ผู้ฝึกอ่านฝ่า ต่างก็ซาบซึ้งได้ด้วยใจแต่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูด บรรดาผู้ฝึกต่างรู้สึกกันเช่นนี้ สามารถเข้าใจเขา(ฝ่า) แต่พูดออกมาได้ไม่ชัดเจน ก็คือ เขา(ฝ่า)ไม่ใช่เป็นดั่งความคิดเช่นนี้ของคนธรรมดาสามัญ และก็ไม่ใช่จะสามารถพูดให้ชัดเจนได้ด้วยภาษาคน แต่ข้าพเจ้ายังคงพยายามใช้ภาษาคนบรรยายเขา(ฝ่า) พยายามทำให้พวกเราสามารถเข้าใจแจ่มแจ้ง คราวก่อนเมื่อข้าพเจ้าบรรยายฝ่าให้แก่พวกเราที่เจนีวา ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าลำบากมากแล้ว ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่าพูดได้ไม่ชัดแจ้ง

            เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าได้ออกหนังสือมา 6 เล่ม  ก็คือฝ่าที่ได้บรรยายเมื่อปีกลายที่สิงคโปร์  เจนีวา แฟรงเฟิร์ต ฝ่าฮุ่ยครั้งแรกที่อเมริกาเหนือ และการประชุมฝ่าฮุ่ยสำหรับผู้ช่วยฝึกสอนครั้งนั้นที่ฉางชุน ยังมีอีกเล่มหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเขียนให้กับผู้ฝึกเป็นตอนๆ ละ 4 ประโยค จะเรียกว่าบทกวีก็ได้ ซึ่งก็คือเล่มนี้ รวมแล้ว 6 เล่ม ตีพิมพ์ออกมาทั้งหมดแล้ว จุดประสงค์เพื่ออะไรหรือ ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดในที่ต่างๆ เพียงแต่เหมาะที่จะฟังภายใต้สภาพการณ์นั้นๆ ครั้นนำเอามาฟังในสภาพแวดล้อมอื่น ก็สามารถเกิดประโยชน์ เพราะเป็นฝ่า แต่ว่าไม่ตรงกับประเด็น ทำให้เข้าใจผิดเพี้ยนได้ง่ายสำหรับผู้ที่ไม่ได้ฟังฝ่าอย่างเป็นระบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อชดเชยข้อบกพร่องนี้ ข้าพเจ้าจึงเรียบเรียงเขาให้เป็นระเบียบ เวลานี้ก็ได้พิมพ์ออกมาแล้ว เมื่อท่านได้หนังสือแล้ว ให้พวกเราทำลายเทปวิดิทัศน์ที่เผยแพร่อยู่ ณ ที่ต่างๆทิ้งไปเสีย พวกเราทราบอยู่แล้วว่าเทปวิดิทัศน์นี้มีจุดเด่นมากๆ อยู่ประการหนึ่ง เวลาพวกท่านฟังข้าพเจ้าตอบคำถามอยู่นั้น บ่อยครั้งจะเป็นการตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถาม เพราะเหตุใดหรือ เป็นเพราะว่าเวลามีจำกัดมาก คำถามที่บางคนถาม เมื่อข้าพเจ้าอ่านออกมา พวกเราก็เข้าใจกันหมดแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงถือโอกาสพูดถึงปัญหาอื่น เทปที่บันทึกคำตอบที่ไม่ได้ถามนี้ หากนำไปฟังข้างนอกก็จะไม่เข้าใจกัน พวกเราต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นจึงออกหนังสือมาหลายเล่ม ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดเมื่อสักครู่ คือจะบอกว่าข้าพเจ้าจะพูดเรื่องราว ณ แต่ละพื้นที่ตามสภาพการณ์ในแต่ละพื้นที่ต่างกัน

            ครั้งก่อนข้าพเจ้าอยู่ในประเทศจีน คือช่วงก่อนหน้าที่จะมาสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าบอกกับพวกเขาว่า การนำศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กับนักศึกษาที่ทำวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และยังผู้รับผิดชอบของต้าฝ่ามารวมกัน ฟังข้าพเจ้าบรรยายในด้านวิทยาศาสตร์โดยละเอียด ผลปรากฏว่าไม่สามารถบรรลุในสิ่งที่คาดอย่างสมบูรณ์ มีผู้ฝึกอื่นๆ พากันมาเป็นจำนวนมาก คำถามที่ถามไม่สอดคล้องกับเนื้อหาที่ข้าพเจ้าอยากจะพูด ดังนั้นจึงอธิบายลำบาก ข้าพเจ้าไม่คัดค้านที่พวกเราอยากจะมาฟังฝ่าหรือมาพบหน้าข้าพเจ้า แต่แต่ละพื้นที่ก็มีสภาพการณ์ต่างกัน วันนี้ข้าพเจ้าไม่คิดจะพูดอะไรมาก เพราะนี่คือฝ่าฮุ่ย ดังนั้นพวกเรามีบทความจะต้องพูด พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะตอบคำถามพวกเรา

            เพราะพวกเรานั่งกันอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะถือโอกาสพูดถึงปัญหา 2 – 3 ประเด็นให้ฟัง

            ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการหงฝ่า อันที่จริงท่านทั้งหลายก็ทำกันอย่างขยันขันแข็งแล้ว ทว่ามีอยู่ปัญหาหนึ่ง พวกเราพบว่าในช่วงระยะหลังๆ นี้ ผู้ฝึกใหม่เข้ามาค่อนข้างน้อย เพราะเหตุใดจึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเดิมที เรื่องนี้ทั้งหมดได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเป็นระบบ แต่การจัดเตรียมนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากข้าพเจ้า เพราะนี่เป็นการจัดเตรียมของอิทธิพลเก่าในอดีตในจักรวาลซึ่งได้ทำไว้ภายใต้สภาพการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่รู้และไม่เห็นด้วย พูดโดยสรุปได้เพียงเท่านี้ เพราะการเจิ้งฝ่า(ปรับฝ่าให้ถูกต้องเที่ยงตรง) สิ่งที่ปรับคืออะไร สิ่งที่ปรับคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เก่าซึ่งได้เบี่ยงเบนจากฝ่า สิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงตรงในอดีตได้ก่อรูปเป็นอิทธิพลแบบหนึ่ง ก่อเกิดเป็นระบบๆ หนึ่ง สิ่งนี้บังเกิดผลด้านลบตั้งแต่ข้างบนลงมาข้างล่าง เช่นนั้นในขั้นตอนของการถ่ายทอดฝ่า ข้าพเจ้าอยากให้คนจำนวนมากได้ฝ่า เนื่องจากอิทธิพลเก่าได้จัดแบ่งเรื่องนี้ไว้เป็นขั้นตอนไว้แล้ว พวกเขาคิดว่าจำนวนคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีเพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงได้จำกัดควบคุมเอาไว้ เพราะในเวลานั้นข้าพเจ้ากำหนดให้ 200 ล้านคนได้ฟังฝ่า ผลปรากฏว่าอิทธิพลเก่าชั่วร้ายเหล่านี้ได้จำกัดไว้เพียง 100 ล้านคน ดังนั้นในการเดินหน้าเรื่องการหงฝ่าจึงมีความยากลำบาก แต่ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้คนจะไม่สามารถได้ฝ่ากันแล้ว ต่อไปคนจะทยอยรู้จัก ได้ฝ่า ท่านทั้งหลายควรทำอะไรก็ไปทำเถอะ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็ไม่ต้องไปลากใครให้มาได้ฝ่า การบำเพ็ญเป็นความสมัครใจของตน ไม่บำเพ็ญก็ตามแต่ใจเขา อย่าปล่อยให้การก้าวก่ายของอิทธิพลเก่าทำให้พวกเราเปลี่ยนแปลงสิ่งใดของเรา พวกท่านสามารถทำให้คนที่ไม่รู้จักได้รู้จักฝ่า คนที่ไม่รู้ ได้รู้ นี่ก็ถือว่าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ก็คือเช่นนี้ ความหมายที่ข้าพเจ้ากล่าวไปเมื่อครู่ก็คือบอกพวกเราว่ามันมีเหตุปัจจัยคงอยู่ ทำให้เกิดเป็นสภาพการณ์เช่นนี้ แต่พวกท่านอย่าได้เข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดคลาดเคลื่อนไป อ้อ ราวกับเข้าใจอะไรอีกแล้ว พวกท่านก็เลยจับเอาใจความบางตอนแล้วนำไปพูดโดยยึดถือทรรศนคติและจิตยึดติดของตนเป็นที่ตั้ง ทำเช่นนี้ไม่ได้ ให้เป็นปกติสักหน่อย ข้าพเจ้าเพียงจะบอกท่านว่า มันเป็นสภาพการณ์เช่นนี้

            แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าทำในวันนี้คือได้นำท่านเชื่อมโยงเข้ากับฝ่า การบำเพ็ญของพวกท่านเหตุใดจึงได้รวดเร็วอย่างนี้ ตรงนี้มีองค์ประกอบหลายอย่าง นี่เป็นมูลเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังถ่ายทอดฝ่านี้ ตลอดเวลาของการเจิ้งฝ่า สรรพชีวิต ณ ระดับชั้นต่างๆ ก็กำลังฟังฝ่ากันอยู่ ระดับชั้นต่ำสุดที่ได้ฟังฝ่า ผู้บำเพ็ญในโลกก็คือพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจึงเชื่อมโยงอยู่กับต้าฝ่าอันนี้ แม้ว่าผู้ที่ฟังฝ่าอยู่ ณ ระดับชั้นต่ำที่สุดจะเป็นพวกท่าน พวกท่านไม่ใช่จะอยู่ ณ ระดับชั้นต่ำสุดนี้ตลอดไปในอนาคต พวกท่านจะต้องสำเร็จสมบูรณ์(หยวนหมั่น) จะต้องไปสู่อาณาจักรเขตแดนต่างๆ ระดับชั้นต่างๆ ทั้งหมดนั้นเชื่อมต่อโยงใยลงมา ในอนาคตเมื่อเรื่องนี้ยุติแล้ว คนที่จะมาบำเพ็ญอีก ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเจิ้งฝ่าในวันนี้แล้ว เขาจะเข้าสู่การบำเพ็ญตามแบบปกติ

            ข้าพเจ้าถ่ายทอดต้าฝ่าแห่งจักรวาลในวันนี้ก็เป็นการให้โอกาสครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งแก่คน เพราะการใช้ต้าฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้มาบำเพ็ญ ในอดีตแน่นอนย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้ ดังนั้นพวกท่านสามารถได้ฝ่าในเวลานี้ สามารถได้ฟังฝ่าที่ข้าพเจ้าพูดให้แก่พวกท่านด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับเรื่องการเจิ้งฝ่า ณ เวลานี้พวกท่านยังคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่เพียงใด! มีบางครั้งที่ผู้ฝึกไม่สามารถก้าวรุดไปข้างหน้า เป็นเพราะไม่รับผิดชอบต่อตนเอง ถึงยังไงก็คือคน มีความคิดของคนอยู่ ยังไม่สำนึกในสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นได้เพียงเท่านี้ จริงๆแล้ว คือไม่อาจจะพูดออกมาด้วยคำพูด ในวันข้างหน้าพวกท่านจะรู้สึกว่าพวกท่านโชคดีเพียงใด! (เสียงปรบมือ)

            นอกจากนี้ การบำเพ็ญพวกเราต่างทราบว่าสภาพแวดล้อมอันนี้ของเรานั้นดีมากๆ ณ ศูนย์ฝึกพลังกงพวกเราสามารถพูดอย่างเปิดใจในสิ่งที่อยากจะพูด สิ่งนี้ที่ใดๆ ในสังคมมนุษย์ก็ไม่สามารถจะทำได้ ดังนั้นผู้ฝึกทุกคนต่างรู้สึกได้ เพียงมาถึงศูนย์ฝึกพลังกงของต้าฝ่าก็จะรู้สึกว่าได้เข้าสู่ในดินแดนบริสุทธิ์ เดินเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่ง ผู้คนต่างเป็นเช่น เธอเอื้อเฟื้อฉัน ฉันเอื้อเฟื้อเธอ สิ่งนี้จะไม่มีให้พบเห็นในสภาพแวดล้อมอื่นใดของมนุษย์ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ คือศิษย์ต้าฝ่าทุกคนต่างกำลังบำเพ็ญตัวเอง เมื่อเกิดปัญหา เกิดความขัดแย้ง ทุกคนต่างค้นหาสาเหตุที่ตัวเอง ว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่จึงเกิดปัญหา พวกเราต่างรู้ว่าต้องทำเช่นนี้ แต่ก็มีบางคนที่ไม่สามารถยืนหยัดศึกษาฝ่าจึงยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ ฉะนั้นเมื่อพูดถึงปัญหาที่ว่านี้ ก็ต้องพูดกันสักหน่อย แน่นอนในสภาพแวดล้อมอื่นๆข้าพเจ้าเคยพูดกับพวกเราหลายครั้งแล้วว่า เวลาประสบกับความขัดแย้ง ล้วนต้องค้นหาจากภายใน แต่บางคนเวลาพบความขัดแย้ง เขาก็ยังคงไม่สามารถค้นหาจากภายใน บางคนรู้สึกได้ บางคนแม้แต่คิดก็ไม่ยอมคิด กระทั่งลืมอย่างสิ้นเชิงว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ข้าพเจ้าว่านี่คือปฏิบัติได้ไม่ดีพออย่างยิ่ง ไม่ว่าระหว่างท่านกับผู้ฝึก ท่านอยู่ในสภาพแวดล้อมของที่ทำงาน อยู่ในสภาพการณ์ใดๆ ในสังคมมนุษย์ ระหว่างผู้ฝึกด้วยกัน หรือระหว่างผู้ฝึกกับผู้ช่วยฝึกสอน มีความขัดแย้งอะไร ท่านต่างไม่คิดจะค้นหามูลเหตุที่ตัวเอง

            ข้าพเจ้าเคยพูดกับพวกเราถึงกรณีเช่นนี้บ่อยๆ คือเวลาที่คนสองคนเกิดความขัดแย้ง ให้หามูลเหตุของแต่ละคน: ฉันมีปัญหาอะไรที่ตรงนี้หรือ ให้ตัวเองลองค้นหาว่าตัวเองมีปัญหาอะไร ถ้าหากบุคคลที่ 3 มาเห็นว่าเขา 2 คน มีความขัดแย้งกัน ข้าพเจ้าว่า บุคคลที่ 3 นั้น ก็ไม่ใช่ให้ท่านมาเห็นโดยความบังเอิญ แม้แต่เธอก็ต้องลองคิดดู: เพราะเหตุใด จึงให้ฉันมาพบเห็นความขัดแย้งของพวกเขา ตัวฉันเองยังบกพร่องที่ตรงไหนใช่หรือไม่ อย่างนี้จึงจะใช้ได้ แต่พวกท่านเมื่อพบกับความขัดแย้งล้วนแต่ผลักไสไปให้พ้นตัว ค้นหาจุดอ่อน จุดบกพร่องของผู้อื่น เช่นนี้ท่านก็ทำไม่ถูก ท่านทำให้งานของต้าฝ่าเสียหาย ท่านทำให้ต้าฝ่าได้รับความเสียหาย ท่านไม่ได้คิดว่าพวกท่านกำลังใช้ต้าฝ่า ทำงานของต้าฝ่าอย่างขอไปทีในความบกพร่องของตัวเอง ปิดบังจิตยึดติดของตัวเอง เมื่อท่านรู้สึกว่าผู้อื่นทำไม่ดี ท่านทำใจไม่ได้ ท่านก็ต้องคิดๆดู เพราะเหตุใดฉันจึงทำใจไม่ได้ เขามีปัญหาจริงๆหรือ หรือว่าในใจฉันเองมีปัญหา ต้องคิดดูอย่างละเอียด หากตัวเองไม่มีปัญหาจริงๆ แท้จริงแล้วเขามีปัญหา เช่นนั้นท่านก็พูดกับเขาด้วยความเมตตา เช่นนี้ก็จะไม่มีความขัดแย้ง รับรองว่าเป็นเช่นนี้ ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเข้าใจ นั่นคือปัญหาของเขา ท่านพูดไปแล้วก็แล้วกัน

            ไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีการยกระดับ บางคนรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมอันนี้สงบเรียบร้อยดีมาก พวกเรารู้สึกว่าบำเพ็ญได้ดีอย่างยิ่ง จริงๆแล้วข้าพเจ้าขอบอกท่าน นั่นกลับไม่ดี ข้าพเจ้าก็จะจัดให้ท่านมีความขัดแย้งบ้าง ท่านไม่มีเลยก็ไม่ได้ เพราะเมื่อตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง จิตใจชนิดนั้นของท่านจึงจะปรากฏออกมาให้ตัวท่านได้เห็น และให้คนอื่นมองเห็นมันด้วย แล้วขจัดมันทิ้งไป ฉะนั้นหากไม่มีความขัดแย้งอันนี้ก็ไม่สามารถขจัดจิตใจของคนธรรมดาสามัญนั้นทิ้งไป ดังนั้นต้องระลึกไว้เสมอ พวกท่านไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพการณ์ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ย่อมตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง  ย่อมตกอยู่ภายใต้การรบกวนทางซินซิ่ง จึงจะสามารถยกระดับซินซิ่ง ในการอธิบายฝ่าของข้าพเจ้าทุกครั้งก็ต้องพูดถึงปัญหานี้ ในเวลาที่ท่านนั่งฟังฝ่าอยู่ที่นี่ก็เข้าใจกันดี แต่พอก้าวพ้นออกไปก็ใช้ไม่ได้ ก็ลืมเสียแล้ว

            ในช่วงเวลาที่ผ่านไปไม่นาน โดยเฉพาะใน 1-2 ปีมานี้ การยกระดับของผู้ฝึกก้าวหน้าอย่างมาก ความเข้าใจต่อฝ่านับวันก็ยิ่งสุกงอม ดีอย่างยิ่ง ต้าฝ่าหลังจากเผยแพร่ออกมา เพราะข้าพเจ้านำพาพวกท่านเดินไปบนหนทางการบำเพ็ญที่ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด ไม่ว่าจะจากวิธีถ่ายทอดฝ่า หรือจะเป็นรูปแบบของการเผยแพร่ในสังคม รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าสอนให้พวกเราทำ ล้วนเป็นการเดินไปบนหนทางที่ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด เพราะพวกเราถูกต้องเที่ยงตรง ฉะนั้นทุกสิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงตรงอาจมีความคิดเห็นต่อพวกเรา ทุกสิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงตรงก็จะปรากฏออกมาเมื่ออยู่เบื้องหน้าต้าฝ่า ดังนั้นพวกเขาย่อมส่งผลกระทบด้านลบต่อต้าฝ่าบ้าง และหันกลับมาว่าต้าฝ่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องแน่นอน

            แต่กล่าวในแง่ตรงกันข้าม หากไม่มีปัจจัยด้านลบ การถ่ายทอดต้าฝ่านี้เป็นไปอย่างราบรื่นมั่นคงแล้ว ข้าพเจ้าบอกพวกเราได้เลยว่า นั่นก็คือสิ่งที่มีมาตรฐานเดียวกับศีลธรรมของมนุษย์ในปัจจุบัน มนุษย์ทุกวันนี้ไม่มีข้อตำหนิต่อมันแล้ว เป็นเพราะว่าพวกเราเดินได้ถูกต้องเที่ยงตรงอย่างยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงตรงจึงปรากฏออกมา จึงสามารถขจัดสิ่งที่ไม่ถูกต้องเที่ยงตรงของพวกท่านทิ้งไป และปรับแก้ความไม่ถูกต้องเที่ยงตรงทั้งปวงในสังคมคนธรรมดาสามัญ  เรื่องราวในสังคมแน่นอนไม่ใช่ให้พวกท่านไปทำ เมื่อสิ่งที่ไม่ดีปรากฏออกมา คนธรรมดาสามัญตัวเขาเองก็จะมองเห็นได้เอง คนยังคงมีจิตที่ดีงามอยู่ ยังคงมีจิต(คุณลักษณะ)ดั้งเดิมที่ดีงาม คนมองเห็นความบกพร่องกับความผิดพลาด ตัวมนุษย์เองก็รู้ว่าจะทำอย่างไร ย่อมบังเกิดผลในการปรับจิตใจคนในสังคมให้ถูกต้องเที่ยงตรง พวกท่านอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญจุดสำคัญคือตัวเองจะมานะบากบั่นให้ก้าวรุดหน้าได้อย่างไร อย่าสนใจว่าสังคมคนธรรมดาสามัญจะเป็นเช่นไร อย่าสนใจว่าพวกท่านต้องทำอะไรให้สังคม พวกท่านไม่มีภาระหน้าที่อันนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกให้พวกเราทำเช่นนี้ พวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญจะยกระดับซินซิ่งของตัวเองอย่างไร จึงจะเป็นพื้นฐานของการบำเพ็ญ

            พวกเราทราบดีว่าปัจจุบันมีคน 100 ล้านคนกำลังศึกษา กำลังบำเพ็ญต้าฝ่า คนจำนวนนี้โดยตัวมันเองได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการปรับจิตใจคนแบบหนึ่งในสังคม มันย่อมเป็นเช่นนี้ แต่นี้หาใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนของการเผยแพร่ต้าฝ่าย่อมต้องมีความยากลำบาก มีการตำหนิจากคนธรรมดาสามัญ พวกเราจะปฏิบัติต่อปัญหานี้อย่างไร ผู้ฝึกไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญที่เลือกใช้การกระทำที่รุนแรงป่าเถื่อนแบบนั้น หรือใช้วิธีเช่น เธอทำกับฉันเช่นนี้ ฉันก็จะทำเช่นนี้กับเธอ รวมทั้งมีแต่ทำเลยเถิด ไม่มีน้อยกว่า พวกเราไม่ทำเช่นนี้ พวกเราล้วนแต่ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ด้วยจิตเมตตา เช่นนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้าฝ่าพัฒนาไปอย่างแข็งแกร่ง แน่นอนความยากลำบากทั้งหลายที่พวกเราประสบ  ก็เป็นการสร้างเวยเต๋อ(ธรรมานุภาพ)ของพวกท่านและต้าฝ่า

            พวกเราเห็นกันแล้วว่า คนมากมายเช่นนี้จะหยวนหมั่นในวันข้างหน้า บำเพ็ญจนหยวนหมั่น เทพบนสวรรค์จะถามว่าท่านหยวนหมั่นอย่างไร ท่านบำเพ็ญขึ้นมาอย่างไร ท่านใช้ฝ่าอะไรบำเพ็ญขึ้นมา แน่นอน พวกเรารู้ดีว่าวิชาเต๋าเล็กไม่สามารถช่วยคน วิธีการทั่วไปก็ไม่สามารถช่วยเทพให้หลุดพ้นตรีภูมิ มีฝ่าที่ใหญ่เพียงใด สูงเพียงใด จึงจะสามารถช่วยให้สำเร็จเป็นเทพที่สูงเพียงนั้น จึงจะสามารถช่วยคนระดับชั้นสูงเพียงนั้น ในอนาคตเมื่อผู้คนเห็นท่านขึ้นมาได้อย่างไร พอมองดูเห็นว่าไม่น่าอายเพราะบำเพ็ญขึ้นมาตามต้าฝ่า เวยเต๋อ(ธรรมานุภาพ)ซึ่งต้าฝ่านี้ก่อตั้งขึ้นมาด้วยตัวของมันเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกท่านคนหนึ่งทำได้ดี นั่นเป็นเรื่องการบำเพ็ญส่วนบุคคล คนในพื้นที่หนึ่งทำได้ดี นั่นคือผู้ฝึกในพื้นที่นี้ของท่านทำได้ดี ถ้าหากพวกเราทั้งโลกหรือทั่วทุกที่ศิษย์ต้าฝ่าของพวกเราทำได้ดีมาก เช่นนั้นก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่งแล้ว เป็นต้าฝ่าทั้งหมดที่ทำได้ดี คือต้าฝ่าเดินไปได้ถูกต้องเที่ยงตรง

            จากนี้ข้าพเจ้าจะพูดถึงอีกปัญหาหนึ่ง แน่นอนว่าในอเมริกาก็มีผู้ฝึกเช่นนี้ แต่มีน้อยมาก ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่มีค่อนข้างมาก บางคนแต่ก่อนเป็นอุบาสกอุบาสิกาในพุทธศาสนา มีความสนใจต่อพุทธศาสนาหรือมีความสนใจต่อศาสนาอื่นมาก ผ่านกงเหนิง(ความสามารถเหนือธรรมชาติ)หรือโดยคำบอกเล่าของผู้อื่น บางคนมองเห็นหรือรู้จากการเผยแพร่ในสังคมว่าต้าฝ่าสามารถช่วยคน ปัจจุบันนี้มีเพียงต้าฝ่านี้เท่านั้นที่สามารถจะช่วยคน พวกเขารู้แล้วและเข้าใจถึงสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงศาสนา พวกเขารู้ว่าแท้จริงศาสนาไม่สามารถจะช่วยคน เพราะเทพไม่ดูแลคนแล้ว คัมภีร์เล่มใดๆ ก็ไม่มีความนัยแฝงอยู่เบื้องหลัง และไร้ผลอย่างแท้จริงในอันที่จะช่วยคนแล้ว ฉะนั้นหลังจากที่คนเหล่านี้เข้าใจแล้วก็มาศึกษาต้าฝ่า แต่ทว่าโดยแท้จริงแล้วพวกเขามิได้ปล่อยวางของเดิมเหล่านั้นและความยึดติดนั้นต่อศาสนา พวกเขาโอบอุ้มของเดิมเอาไว้ คิดอยากจะใช้ต้าฝ่า ใช้ประโยชน์จากต้าฝ่าเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา จิตใจชนิดนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง แน่นอนบางคนตั้งใจทำอย่างนี้ ทำเช่นนี้ด้วยความเข้าใจแจ่มแจ้ง ข้าพเจ้าผลักไสพวกเขาออกไปโดยตลอด ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้อะไรไปอย่างเด็ดขาด เพราะพวกเขากำลังอาศัยประโยชน์จากต้าฝ่า สิ่งนี้โดยตัวเองพูดสำหรับคนนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างยิ่ง เป็นจิตใจที่ไม่ดีอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีเจตนา ชั้นพื้วผิวของคนไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ได้สติ สำหรับกรณีนี้ข้าพเจ้าจะพยายามปรับแก้พวกเขา ให้พวกเขาเข้าใจปัญหา ข้าพเจ้าพูดออกมาวันนี้ก็เพื่อให้พวกเขารู้: จะทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด

            พวกเราทราบ สิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดคือฝ่าแห่งจักรวาล หลักธรรมวิชาใด สำนักใดทั้งหมดผนวกอยู่ในจักรวาลนี้ และครอบคลุมภายใต้ฝ่าอันนี้ทั้งหมด ชีวิตในแต่ละระดับชั้นล้วนจัดสร้างขี้นโดยต้าฝ่าแห่งจักรวาล โลกแต่ละใบในจักรวาล โลกของเทพแต่ละองค์ โลกพระพุทธ จักรวาลแต่ละชั้น เทียนถี่(ร่างจักรวาล)แต่ละชั้น ล้วนจัดสร้างขึ้นโดยต้าฝ่านี้ ฝ่ามิครอบคลุมทั้งหลายทั้งปวงแล้วหรือ ท่ามกลางต้าฝ่าหลายคนในอดีตเคยเป็นสรรพชีวิตในสำนักพุทธ ชีวิตของหลายคนเป็นเต๋า หลายคนเป็นเทพแบบชาวตะวันตก เป็นชีวิตในโลกของพวกเขา ยังมีที่ท่านไม่รู้ มนุษย์ไม่รู้ว่าชีวิตจำนวนมากมายในโลกของเทพต่างๆ มาได้ต้าฝ่า เหตุใดต้าฝ่าสามารถทำให้เขากลับไปได้ล่ะ เหตุที่ข้าพเจ้าสามารถทำให้เขากลับไปได้อย่างแท้จริง เป็นเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั้นเป็นมูลฐานของต้าฝ่าจักรวาล ทว่าฝ่าใดๆ ของโลกไหนๆ ล้วนแต่เป็นหลักการที่ตัวเขาเองได้รับรู้ประจักษ์จากระดับชั้นต่างๆ ในจักรวาล ล้วนไม่สามารถจะเปรียบกับต้าฝ่า

            เหตุใดข้าพเจ้าไม่ให้พวกท่านฝึกของๆ วิชาอื่น ให้บำเพ็ญแต่เฉพาะต้าฝ่า เพราะต้าฝ่าได้ผนึกสภาพการณ์ของระดับชั้นต่างๆ และสภาพการณ์ของชีวิตต่างๆ เอาไว้  เป็นวิธีเดียวที่พวกท่านจะสามารถหวนกลับไปได้อย่างแท้จริง อีกทั้งไม่เปลี่ยนแปลงของๆพวกท่านที่มีมาแต่กำเนิด ในขณะเดียวกันยังสามารถช่วยให้ท่านกลับไปได้ พวกเราทราบ หลายๆ คนในหมู่ผู้ฝึกมองเห็นด้วยตนเองแล้วว่าตัวเขาเป็นเต๋า บางคนมองเห็นตัวเองเป็นเทพที่มีรูปลักษณ์แบบชาวตะวันตก แล้วยังมีที่เป็นรูปลักษณ์ของสายพุทธ ล้วนบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่า และข้าพเจ้าจะไม่ทำให้สิ่งใดๆของพวกเขาสูญหายไปหรือยุ่งเหยิง ไม่ว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะบำเพ็ญวิชาอะไร ข้าพเจ้าก็สามารถช่วยให้เขากลับไป นี่เป็นวิธีเพียงหนึ่งเดียว มีเพียงฝ่าแห่งจักรวาลเท่านั้นจึงจะทำได้ นี่คือข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างต้าฝ่ากับวิธีบำเพ็ญใดๆในอดีต รวมทั้งศาสนา

            โดยแท้จริงคนล้วนไม่รู้ คนมากมายต่างพูดว่าเชื่อถือพระพุทธเอย เชื่อถือเทพเอย แท้จริงแล้วหากท่านไม่ใช่คนในโลกของเทพองค์นั้น เขาก็จะไม่ช่วยท่าน ข้าพเจ้าเคยพูดประโยคหนึ่ง ข้าพเจ้าพูดว่าศาสนาคริสต์ก็ดี โรมันคาทอลิกก็ดี ในโลกของพวกเขาไม่มีชาวตะวันออก นี่เป็นสัจธรรมที่แน่นอน แต่คนไม่เข้าใจ แต่ศาสนาติดตามไปกับกองทัพที่กรีธาทัพทางไกล การมาโดยตัวเองก็คือไม่ดี เพราะพระเยซูและยะโฮวาในอดีตต่างเคยพูดไว้ ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์เผยแพร่ไปสู่ตะวันออก นั่นคือไม่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยุ่งเหยิง พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้น ที่ผ่านมาข้าพเจ้าพูดว่า ข้าพเจ้าพูดว่าพระเยซูมีรูปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย แต่พวกท่านไม่ใช้ กลับไปเอารูปลักษณ์ที่ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนมาทำเป็นสัญลักษณ์ นี่ไม่คล้ายกับว่าคนเคียดแค้นจนอยากจะให้พระเยซูถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนตลอดไปหรอกหรือ คนยังรู้สึกว่าตัวเองทำในสิ่งดี แท้จริงแล้วสิ่งที่คนอยากจะทำ สิ่งที่คนทำกลับไม่แน่ว่าจะดีเสมอไป เหตุใดเทพยังดูแลคนอยู่ล่ะ  เพราะคนยังมีจิตใจที่เชื่อถือเทพ คนอยู่ในวังวนอะไรก็ไม่รู้

            ต้าฝ่าสามารถทำให้ชีวิตทั้งหมดหวนกลับสู่ที่ๆให้กำเนิดเขามา นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน ในภาคปฏิบัติของการเจิ้งฝ่า ไม่ว่าชีวิตจะมีระดับชั้นสูงเพียงใดก็ถูกกระทำแล้ว ศิษย์จำนวนมากเช่นนี้ของข้าพเจ้า หลายปีมานี้คนที่บำเพ็ญออกมามีเป็นจำนวนมากมาย คนที่หยวนหมั่นและใกล้จะหยวนหมั่นก็มีมาก เนื่องจากโดยภาพรวมเรื่องนี้ยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นจึงควบคุมพวกเขาไว้ก่อน พวกเขาสามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อิทธิฤทธิ์ พลังแห่งฝ่าของพวกเขา ไม่ให้พวกเขาแสดงออกมา เพราะโลกใบนี้ทนรับไม่ไหว แน่นอนผู้ฝึกต่างทยอยกันเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ผ่านการปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน นับวันก็ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการที่ข้าพเจ้าพูดเรื่องเหล่านี้กับพวกเรา ก็คือ ท่านไม่ใช่คนในเผ่าพันธุ์นั้น ท่านไม่ใช่คนในโลกของเขา เขาก็จะไม่รับท่าน

            องค์ศากยมุนีกล่าวว่าพระยูไลมีมากดั่งจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เมื่อชีวิตในโลกต่างๆ เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีก็จะตกลงมา ตกลงมาที่ใดล่ะ ก็ตกลงสู่ใจกลางของจักรวาล มันคือที่ที่ต่ำที่สุด ใจกลางที่สุดนั้นก็คือโลกใบนี้ของเรา มันเป็นสภาพแวดล้อมที่พิเศษแห่งหนึ่ง ต่างตกลงสู่ที่นี่ เช่นนั้นจึงตกลงมา เพราะพระพุทธมีความเมตตากรุณา จึงคิดช่วยเหลือชีวิตในโลกของตนที่ตกลงไป ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อย ฉะนั้นความจริงคนที่เหล่าเทพต้องการจะช่วยล้วนแต่เป็นคนในโลกของพวกเขาเอง โดยมูลฐานเขาไม่สามารถไปแตะต้องชีวิตของโลกอื่น เพราะเหตุใด เพราะปัจจัยที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตเหล่านั้นล้วนเป็นปัจจัยในโลกของเขา เมื่อขจัดปัจจัยเหล่านี้ของท่านออกไปชีวิตนี้ก็จะแยกสลาย ใครก็ไม่สามารถแตะต้องตามอำเภอใจ ในอดีตผู้คนต่างเชื่อถือพระพุทธ กราบไหว้พระพุทธ กราบไหว้เทพองค์นั้น แท้จริงแล้วเขาก็เพียงแต่มีเจิ้งเนี่ยน(ความคิดถูกต้อง)แบบหนึ่งในการเชื่อถือต่อเทพเท่านั้น โดยแท้จริงพระพุทธก็ไม่มีปัญญาจะช่วยเขา อยากจะดูแลเขาก็ไม่สามารถจะดูแล แน่นอนเทพที่ลงมาช่วยคนอย่างเช่น องค์ศากยมุนี พระเยซู เขาถือว่าเป็นกรณีที่พิเศษ นั่นแน่นอนต้องเกี่ยวโยงถึงปัญหามากมาย จึงไม่ขอพูด จึงพูดว่าต้าฝ่าสามารถบังเกิดผลเช่นนี้ คนเหล่านั้นที่ในก้นบึ้งของจิตใจยังไม่สามารถปล่อยวางของเดิมที่เขามี การที่ข้าพเจ้ากล่าวออกมาในวันนี้ก็เป็นการให้โอกาสแก่เขาสักครั้ง หากยังไม่ปล่อยวางอีกก็จะไม่มีโอกาสแล้ว ต้าฝ่าเป็นสิ่งที่เข้มงวดจริงจัง การบำเพ็ญเป็นสิ่งที่เข้มงวดจริงจัง

            จากนี้ข้าพเจ้าจะพูดถึงอีกประเด็นหนึ่ง คือสิ่งที่ผู้ฝึกพูดได้ไม่แจ่มชัดตลอดมาในระหว่างการบำเพ็ญคือ “ท้องฟ้า” วิทยาศาสตร์ยุคนี้พูดว่า ยานอวกาศบินขึ้นไปถึงนอกอวกาศ บินไปถึงดวงดาวต่างๆ มากมาย ไม่เห็นมีคน ไม่เห็นมีโลกของเทพ และก็ไม่เห็นบรรดาสภาพการณ์ของสวรรค์ชั้นต่างๆ ในตรีภูมิที่คนเขาพูดถึงกัน ดังนั้นคนยุคนี้จึงใช้ทฤษฎีนี้มาโต้แย้งศาสนา ตอบโต้คำเล่าขานแต่เก่าก่อน ปฏิเสธสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของคน แท้จริงแล้ว “สวรรค์” ที่เทพหมายถึงกับสิ่งที่คนมองเห็นว่าเป็น ”ท้องฟ้า” โดยแท้จริงแล้วไม่ใช่แนวความคิดเดียวกัน ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า โมเลกุลประกอบขึ้นมาเป็นสสารทั้งหมดในมิตินี้ และสสารระดับจุลทัศน์คือมูลเหตุที่ประกอบขึ้นเป็นโมเลกุล และสสารเป็นชั้นๆ ที่จุลทัศน์ลงไปอีกก็เป็นมูลเหตุที่ประกอบขึ้นมาเป็นอนุภาคในระดับชั้นต่างๆ  เทพอยู่ในโลกที่จุลทัศน์มากๆ  แต่มันกลับเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง เป็นมิติที่กว้างใหญ่ไพศาล ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าพูดกับพวกเราถึงโลกจุลทัศน์ มิตินั้นที่ประกอบขึ้นจากจุลทัศน์คือที่ที่เทพอยู่ พวกเราลองคิดดู เทพ ข้าพเจ้าพูดเมื่อวันนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในมิติของคนนี้ อากาศ สสาร ดิน หิน เหล็กกล้า ทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านมีในมิตินี้ รวมทั้งร่างกายของท่านล้วนประกอบขึ้นจากโมเลกุล แต่โมเลกุลคือสสารที่หยาบที่สุด ชั้นพื้นผิวที่สุด สกปรกที่สุดในจักรวาลนี้ ก็คือโมเลกุลนี้ ในสายตาของเทพ บรรดาโมเลกุลที่มีอยู่ล้วนถูกเห็นว่าเป็นดิน ถือว่าเป็นดินเป็นโคลนในจักรวาล นี่ยังคงเป็นความเข้าใจของพระยูไล ระดับชั้นนี้ ดังนั้น ในอดีตพูดกันว่ายะโฮวา หรือ หนี่วา ใช้ดินเหนียวปั้นเป็นมนุษย์ก็เป็นเรื่องจริง เพราะว่าเนื้อหนังของท่านล้วนเป็นโมเลกุล ในสายตาของเทพล้วนเห็นเป็นดินเป็นโคลน ล้วนเป็นดิน เป็นสิ่งที่หยาบที่สุด ถ้าเช่นนั้นพวกเราลองคิดดู ยานอวกาศของท่านต่อให้บินสูงเพียงใด ท่านบินออกจากอาณาจักรเขตแดนของโมเลกุลแล้วหรือ บอกว่าเครื่องบินบินอยู่บนท้องฟ้า ท่านบินจากทวีปเอเซียไปถึงทวีปอเมริกา ท่านรู้สึกว่าบินสูงบินไกลยิ่งนัก อันที่จริงท่านก็เพียงแต่เดินอยู่ท่ามกลางโมเลกุลกองนี้ เดินอยู่บนพื้นดิน นี่โดยมูลฐานไม่ใช่ท้องฟ้า ในสายตาของเทพ มันก็เป็นเพียงระยะทางใกล้ไกลระหว่างสสารระดับชั้นเดียวกันเท่านั้นเอง แต่มิติที่ประกอบขึ้นจากโลกจุลทัศน์ นั่นจึงจะเป็นสวรรค์ที่เทพพูดถึง สสารยิ่งละเอียด ยิ่งจุลทัศน์ ชั้นพื้นผิวที่มันประกอบขึ้นมาก็ยิ่งยอดเยี่ยมประณีต

            สสารทั้งหมดล้วนมีพลังงานคงอยู่ รวมทั้งโมเลกุลก็มีพลังงาน เพียงแต่ร่างกายของคนกับสิ่งต่างๆ โดยรอบล้วนประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล อุปกรณ์ตรวจวัดพลังงานของท่านนั้นล้วนประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล ดังนั้นท่านจึงตรวจวัดไม่ถึงพลังงานของโมเลกุล ฉะนั้นสสารยิ่งจุลทัศน์พลังงานของมันจะยิ่งมาก ลักษณะกัมมันตภาพรังสียิ่งใหญ่ ยิ่งจุลทัศน์จะยิ่งใหญ่ นี่ก็คือเหตุใดพลังงานของเทพ รูปลักษณ์ของเทพจึงเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นข้าพเจ้าจะพูดกับท่านให้กระจ่างชัดอีกสักหน่อย มนุษย์โลกมองดูดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวพระศุกร์ ดาวอังคาร รวมทั้งสิ่งที่ท่านมองเห็นเป็นทางช้างเผือก อวกาศชั้นนอกจนถึงเทียนถี่(ร่างจักรวาล)ที่ไกลออกไปเป็นต้น ว่าคือท้องฟ้า แต่ถ้าท่านอยู่บนดาวอังคารมองดูโลก ท่านว่ามันก็อยู่บนฟ้า ใช่หรือไม่ ก็อยู่บนฟ้า นี่คือการเปิดทะลวงความเข้าใจในรูปแบบความคิด(แนวคิด)ของคนธรรมดาสามัญ

            แต่ความเข้าใจที่ลึกขึ้นไปอีกชั้นล่ะ พวกเราลองคิดดูอะไรคือสวรรค์ ท่านเพียงแต่เข้าไปในมิติจุลทัศน์ นั่นก็คือสวรรค์ ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างง่ายที่สุด มีนิทานเล่าว่า ในอดีตมีผู้บำเพ็ญเต๋าคนหนึ่ง ขณะอยู่บนถนน เดินไปพลาง ดื่มเหล้าไปพลาง ทันใดนั้นก็มองเห็นคนๆหนึ่ง คนๆ นี้เป็นคนที่เขากำลังค้นหาอยู่พอดี คนที่สามารถจะบำเพ็ญเต๋า เขาจึงอยากจะช่วยคนๆนี้ อยากจะรับเขาเป็นศิษย์ เขาถามคนๆ นี้ว่า “อยากจะไปบำเพ็ญเต๋ากับข้าไหม” คนๆ นี้มีอู้ซิ่งและเกินจีดีมาก เขาตอบว่า “ข้าอยากไป” “เจ้ากล้าตามข้าไปไหมล่ะ” เขาตอบ “ข้ากล้า!” “ข้าไปไหน เจ้าจะกล้าตามข้าไปไหม” “กล้า” “ดีล่ะ” “เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา” เขาพูดพลางแล้ววางกาเหล้าขนาดเท่าฝ่ามือลงบนพื้น เปิดฝาแล้วกระโดดเข้าไปในกาเหล้าทันที เขาเห็นอาจารย์กระโดดเข้าไปแล้ว ก็เลียนแบบอาจารย์กระโดดเข้าไป ก็เข้าไปในกาเหล้า ผู้คนที่เฝ้าดูต่างรุมล้อมเข้ามามุงดูที่ปากของกาเหล้า โอ้ พลันมองเห็นภายในเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ใหญ่โตมากจริงๆ กาเหล้าใบเล็กขนาดนั้น ใช้ความคิดของคน คนตัวใหญ่ขนาดนั้นสามารถกระโดดเข้าไปข้างในได้อย่างไร เพราะในเวลาที่ท่านคิดจะเข้าไปในมิตินั้น สภาวะร่างกายของท่านทั้งหมดจะต้องสอดคล้องกับสภาพการณ์ของมิตินั้น ท่านจึงจะสามารถเข้าไปได้ ในขณะที่ทะลวงช่องว่างระหว่างมิติ ร่างกายจะต้องเข้าไปสู่สภาวะนั้น เนื่องจากอนุภาคของสสารที่ยิ่งอนุภาค ระนาบของระดับชั้นนั้นจะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล อนุภาคระดับจุลทัศน์ที่อยู่ในระดับชั้นเหล่านั้น รูปแบบของกาเหล้าที่ปรากฏจึงมิใช่สภาพการณ์เช่นที่คนเรามองเห็น บรรดาอนุภาคทั้งหลายล้วนเชื่อมต่อถึงกัน ความใหญ่เล็กที่คนมองเห็นเป็นเพียงรูปแบบที่ปรากฏแบบหนึ่งของมิติอวกาศ ที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคระดับเดียวกัน ฉะนั้นจึงพูดได้ว่า ชั้นพื้นผิวของกาใบนี้คือ สิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล ท่านจึงมองเห็นมันในสภาพ(รูปแบบ)นั้น แต่ในระดับจุลทัศน์กาใบนั้นมิได้เป็นอย่างนั้น ตัวมันกับจักรวาลในอาณาจักรเขตแดนนั้นเชื่อมต่ออยู่ด้วยกัน ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดเข้าใจกันไหม(เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าจึงพูดในความหมายนั้น นี่คือสิ่งที่คนไม่อาจจะเข้าใจ ไม่สามารถจะเข้าใจด้วยความคิดของคน

            เช่นนั้นพูดถึง มีคนขึ้นไปบนสวรรค์ ข้าพเจ้าขอบอกพวกเรา ทันทีทันใดที่ท่านมุดเข้าไปในก้อนหิน เป็นการขึ้นสวรรค์ไปแล้วใช่หรือไม่ ท่านมุดเข้าไปข้างในชั้นพื้นผิวที่ประกอบขึ้นจากสสารของก้อนหินก้อนนั้น นั่นไม่ได้ ท่านมุดเข้าไปถึงอาณาจักรเขตแดนของอนุภาคของจุลทัศน์ ที่ก่อเกิดอนุภาคโมเลกุล เป็นการขึ้นสวรรค์ไปแล้วใช่หรือไม่ ตัวท่านหดตัวเข้าไปในระดับจุลทัศน์ชั้นนั้นของร่างกายท่าน ท่านก็ขึ้นไปสวรรค์ใช่หรือไม่ พวกท่านทะลวงเข้าไปในอนุภาคชั้นพื้นผิวของมิติชั้นใดของอนุภาคระดับจุลทัศน์ ก็คือเล็กกว่าชั้นอนุภาคนั้นของมัน ท่านก็อยู่บนสวรรค์แล้ว ไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงระดับชั้นของสวรรค์แตกต่างกัน ระดับของจุลทัศน์แตกต่างกัน เมื่อถึงระดับจุลทัศน์ ท่านจะเห็นว่าเข้าไปในก้อนหินแล้ว ท่านเห็นว่าเข้าไปในร่างกายแล้ว เข้าไปในสิ่งของสิ่งหนึ่งแล้ว แท้จริงแล้วท่านได้เข้าไปในมิติที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นแล้ว จึงพูดว่า นี่ไม่ใช่วิธีคิดของคน ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า ทิศเหนือ ใต้ ออก ตก บน ล่าง ในและนอกตามที่คนเข้าใจนั้น ในจักรวาลไม่คงอยู่ ไม่ใช่เป็นอย่างแนวคิดของคน ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้พวกเราเข้าใจกันแล้ว อ้อ ใช้ความคิดของคนไปคิดโดยแท้จริงเรื่องไม่ใช่เป็นเช่นนั้น วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนั้นตื้นเขินยิ่งนัก มันมองไม่เห็นและไม่เข้าใจสวรรค์อย่างแท้จริง เป็นเพราะมันเพียงแต่วนเวียนอยู่ในมิติวัตถุนี้เท่านั้น ซึ่งจำกัดมันเอาไว้ แต่วิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ต่างดาวยัดเยียดให้กับคน ก็ถูกจำกัดอยู่ที่นี่ด้วย มนุษย์ต่างดาวก็เป็นชีวิตในมิตินี้ เขาก็ไม่เข้าใจความจริงของจักรวาล

            คนไม่เชื่อถือเทพ ไม่ใช่ปัญหาธรรมดาทั่วไป เพราะคนกำลังบ่อนทำลายศีลธรรมของคน เมื่อคนเชื่อในเรื่องกรรมตามสนอง เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำสิ่งใดล้วนมีเทพเฝ้าดูอยู่ คนก็ไม่กล้าทำชั่ว คนรู้ว่า ทำดีจะสะสมบุญกุศล ในอนาคตย่อมได้สิ่งดีตอบแทน นี่คือสิ่งจริงแท้แน่นอน คนไม่เชื่อถือสิ่งเหล่านี้แล้ว วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ มันเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย นี่คือการแกว่งไม้กระบองวิทยาศาสตร์มาตีเจิ้งเนี่ยน(ความคิดถูกต้อง)ของคน เป็นการตีสิ่งที่เป็นแก่นแท้ที่สุดของคนหรือไม่ ศีลธรรมของคน ความเชื่อถูกต้อง เมื่อเจิ้งเนี่ยน(ความคิดถูกต้อง)ทั้งหมดถูกตีจนไม่เหลือแล้ว คนก็จะทำทุกสิ่งที่เขาอยากทำโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เพื่อจะบรรลุเป้าหมายของเขาก็จะไม่คำนึงถึงวิธีการใดๆ นี่คือมูลเหตุประการหนึ่งที่ทำให้สังคมมนุษย์เสื่อมทราม ในสังคมตะวันตกดูคล้ายกับว่าพวกเขาเชื่อถือเทพ แต่พวกเขาไม่ใช่เชื่อถือเทพอย่างแท้จริง สิ่งที่พวกเขาเชื่อโดยแท้จริงคือ วิทยาศาสตร์ เทพก็ไม่เหมือนเช่นที่พวกเขาคาดคิด คล้ายกับชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึกเยี่ยงคน เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าได้ช่วยแก้ไขแนวคิดที่สำคัญยิ่งให้พวกเรา นั่นคือความเข้าใจในเรื่องสวรรค์ เทพกับคนเข้าใจในเรื่องสวรรค์ไม่เหมือนกัน

            หลายๆคนในขณะที่บำเพ็ญบางครั้งมองเห็นคล้ายตัวเองเข้าไปในร่างตัวเอง ข้างในร่างกายคล้ายท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ตัวเองกำลังหมุนอยู่ในท้องฟ้า เดินอยู่ในเทียนถี่ ประตูนั้นถูกเปิดออกทีละบาน ทีละบาน ตัวเองพุ่งไปข้างหน้า ดูให้ละเอียดอีกที ขยายความคิดกว้างออกไปอีกขั้นหนึ่ง โอ้! ที่แท้คือจุดชีพจรของร่างกายตัวเองกำลังเปิดออก พวกเราลองคิดดู เวลาที่พวกเราบำเพ็ญจะเปลี่ยนแปลงร่างกายท่านจากระดับจุลทัศน์ที่สุด ระดับจุลทัศน์ที่สุดคืออะไร ร่างกายอีกร่างของท่านนั้นไม่ใช่อยู่ในสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรเขตแดนนั้นหรอกหรือ เพียงแต่เพราะว่าคนตกลงมาอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ พร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็ตกลงมาอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ กระทั่งส่วนที่อยู่ในระดับจุลทัศน์ที่สุดนั้นก็ตกลงมาในคนธรรมดาสามัญแล้ว แต่ถ้าท่านบำเพ็ญกลับไป ทั้งหมดนี้ก็จะปรับคืนให้ถูกต้องแก่ท่าน จึงปรากฏสภาวะเช่นนั้น ในประวัติศาสตร์มีผู้บำเพ็ญมากมาย มองเห็นปรากฏการณ์แบบนี้ แต่เขาไม่สามารถพูดออกมา บางครั้งคนในศาสนาพุทธบอกว่า พระพุทธอยู่ในใจ เต๋ากล่าวว่าร่างกายของคนก็คือจักรวาลน้อย อย่างนั้นอย่างนี้ พวกเขาก็มองเห็นปรากฏการณ์แบบนี้

เมื่อข้าพเจ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์ ข้าพเจ้าพูดว่าวิทยาศาสตร์ก็ส่งผลกระทบที่ไม่ดี มันไม่เพียงก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ทำลายระบบโครงสร้างของร่างกายคน สุดท้ายมนุษย์ต่างดาวยังจะเข้าแทนที่คน สิ่งต่างๆ ของมันได้แทรกซึมเข้าไปในทุกปริมณฑลของสังคมมนุษย์เรียบร้อยแล้ว มนุษย์ก็หลีกหนีวิทยาศาสตร์ไม่พ้น ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่มันสร้างขึ้นมา ฉะนั้นพวกเราศิษย์ต้าฝ่าไม่ว่าจะทำการงานอะไร ท่านก็ทำไปเถอะ ทำงานของท่านให้ดีเป็นใช้ได้ สำหรับเรื่องที่พูดมาทั้งหมดนี้ ท่านไม่ต้องสนใจ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ไปต่อต้านวิทยาศาสตร์นี้ และก็ไม่ได้สอนให้พวกเราไปขจัดมันอย่างไร ไม่ใช่ความหมายเช่นนี้ ข้าพเจ้าบอกพวกท่านว่าวิทยาศาสตร์มันคืออะไร วิทยาศาสตร์มีความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆตื้นเขินเกินไป แม้แต่ความเข้าใจต่อสรรพสิ่งในมิตินี้ก็ไม่ดีพอ เพราะมันเข้าใจไม่ถึงการคงอยู่ของเทพ ดังนั้นมันจึงจำกัดการพัฒนาของตัวเอง ตัวอย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันต่างพูดว่า มลภาวะจากอุตสาหกรรมของมนุษย์ร้ายแรงมาก อย่างเช่นการพูดถึงน้ำยาทำความเย็นสารฟรีออน (CFC) เป็นต้น มันสามารถทำลายบรรยากาศชั้นโอโซน บอกว่าที่ขั้วโลกใต้มีการทำลายชั้นโอโซน เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ แท้จริงแล้ว มันไม่อาจล่วงรู้การกระทำของเทพ ดังนั้นเขาจึงพูดว่าชั้นโอโซนถูกทำลายจนเกิดเป็นรูโหว่ มันเป็นความจริงที่มลภาวะจากอุตสาหกรรมในปัจจุบันได้ทำให้อากาศของมนุษย์เป็นมลพิษในขั้นที่แย่มากแล้ว

            แต่จักรวาลอันกว้างใหญ่ ณ ระดับจุลทัศน์ ทั้งที่มีรูปและที่ไร้รูปนับจำนวนไม่ถ้วนล้วนเป็นเทพ ซึ่งอยู่ในระดับจุลทัศน์ที่มนุษย์มองไม่เห็น อากาศประกอบขึ้นจากอนุภาคระดับโมเลกุล และอนุภาคโมเลกุลก็ประกอบขึ้นจากอนุภาคที่จุลทัศน์ลงไปอีก ข้างในอากาศนี้ เป็นชั้นๆ ชั้นๆ ณ ระดับจุลทัศน์ลงไปตามลำดับ (ลดหลั่นลงไป) นับไม่ถ้วน ไม่รู้เป็นจำนวนชั้นมากเท่าใด ล้วนเป็นเทพ พวกเขาเห็นแล้วว่า สิ่งแวดล้อมของคนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว จึงเปิดหน้าต่างให้หนึ่งบาน เปิดประตูให้หนึ่งบาน เพื่อระบายอากาศเสียในโลกออกไป เป็นเทพที่ทำเช่นนี้ ตั้งใจเปิดให้ แล้วปิดเข้าหากันใหม่ หากเทพไม่ได้คุ้มครองคน คนก็ไม่มีทางอยู่รอด คนไม่เพียงแต่ไม่เชื่อถือเทพ แต่ยังกล้าลบหลู่เทพ เช่นนั้นเราขอยกตัวอย่างที่ธรรมดาที่สุด พวกเรารู้ว่าที่ที่มีมลภาวะจากอุตสาหกรรมรุนแรงที่สุดคือที่ที่มีคนอาศัยอยู่มากที่สุด – เช่นเมืองใหญ่ ทำไมในชั้นบรรยากาศที่นั่นจึงไม่เกิดรูโหว่ที่ชั้นโอโซนล่ะ เป็นเทพที่รู้สึกว่าการเปิดช่องตรงบริเวณขั้วโลกใต้จะปลอดภัยต่อคน มันควรเป็นพื้นที่ใดที่ผลิตอากาศเสียมาก ชั้นบรรยากาศตรงนั้นน่าจะเกิดรูโหว่ แต่ทำไมไม่เป็นเช่นนี้ โดยแท้จริงมันไม่ใช่อย่างเช่นที่คนคาดคิด ประเทศจีนบนที่ราบสูงทิเบตก็มี ล้วนเป็นบริเวณที่มีผู้คนอยู่น้อยที่ปรากฏมีรูโหว่ใหญ่ ไม่แต่เพียงชั้นโอโซนที่พวกเรามองเห็น เพราะข้างในสสารมีองค์ประกอบสสารที่จุลทัศน์ชนิดนั้นอยู่มากมาย ต่างต้องเปิดทางให้หนึ่งเส้นจึงจะสามารถระบายมันออกไป แน่นอนนี่คือสิ่งที่เทพทำเพื่อคน

            ยังมีปัญหามลภาวะของมนุษย์ที่ร้ายแรงกว่า พวกเรารู้ไหมปัจจุบันน้ำจืดในโลก แทบจะไม่มีความสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่อยู่ใต้ดินหรือน้ำบนดิน ไม่ว่าคนจะทำการกรอง ทำให้น้ำนี้สะอาดอย่างไร ก็ไม่ได้น้ำที่บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นมนุษย์ใช้น้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับวันก็ยิ่งปนเปื้อน เพราะน้ำที่มนุษย์ใช้นั้น มันเป็นการหมุนเวียน น้ำจืดเป็นสสารที่หมุนเวียน น้ำจืดจะไม่ปะปนกับน้ำทะเล เพราะมันไม่ใช่สสารชนิดเดียวกัน สสารต่างๆ สิ่งต่างๆ ล้วนมีชีวิตคงอยู่ ท่านดูชั้นพื้นผิวมันคือน้ำ แต่อยู่ฝั่งนั้นมันมีชีวิต เมื่อดิน น้ำ อากาศ เป็นต้น มีความปนเปื้อนรุนแรงมากขึ้นมากขึ้น การทำร้ายต่อมนุษย์ก็จะมากขึ้นมากขึ้น การพัฒนาของสังคมมนุษย์ในวันนี้เป็นการซ้ำรอยการพัฒนาของสังคมมนุษย์ในครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเป็นการทดลองเพื่อครั้งนี้ พัฒนาเช่นนี้ต่อไปอีก คนก็จะมีรูปร่างพิกลพิการ เนื่องจากอากาศเสีย น้ำเสียจากอุตสาหกรรม ทำให้คนมีรูปร่างพิกลพิการ อัปลักษณ์อย่างมาก คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง พัฒนาต่อไปอีกก็จะเป็นอย่างนี้ ยังมีการเสื่อมถอยของศีลธรรมเป็นปัจจัยนำมาซึ่งพฤติกรรมชั่วร้ายของคน

            พูดถึงตรงนี้ข้าพเจ้าจะพูดอีกปัญหาหนึ่ง พวกเรารู้แล้วว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวนำมาให้แก่มนุษย์ มันเข้ามาเมื่อทางตะวันตกเริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม มันเริ่มจากคณิตศาสตร์ เคมี เริ่มจากความรู้ตื้นๆในระยะแรกสุด สอดแทรกเข้ามาจนถึงเครื่องจักรอุปกรณ์สมัยใหม่ สุดท้ายพัฒนามาจนถึงคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้ พัฒนาต่อไปอีก เป้าหมายสุดท้ายของมันคือการแทนที่คน จะแทนที่อย่างไร ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ปัจจุบันนี้ร่างกายมนุษย์แทบทุกคนก็มีร่างกายหนึ่งชั้นที่มนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้นมา เพราะเหตุใด เพราะวิทยาศาสตร์ที่มันกรอกใส่เข้าไปในความคิดของท่านได้ก่อให้เกิดเป็นความคิดของมนุษย์ที่เบี่ยงเบนไป ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมของมนุษย์ในยุคใดต่างก็ไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อมีความคิดเช่นนี้ก็มีร่างกายเช่นนี้ พวกเรารู้แล้วว่า เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายท่านก็คือตัวท่าน สมองของท่านสัมพันธ์กับสมองที่อยู่ข้างในเซลล์ทุกเซลล์ เช่นนั้นความคิดของเซลล์ทุกเซลล์นับไม่ถ้วนในร่างกายท่านทั้งหมดก็เป็นความคิดของคนที่เบี่ยงเบน เป็นเช่นนี้ทั่วทั้งร่างกายแล้ว เทพจึงไม่เห็นว่าคนเป็นคน ก็มีมูลเหตุเช่นนี้ประการหนึ่งอยู่ภายใน คนไม่ใช่คนเสียแล้ว เทพยังจะช่วยมันไปทำไม

            พวกเรารู้ไหมคนตายแล้วเขาไม่ได้ตายไปจริงๆ เปลือกนอกของอนุภาคโมเลกุลชั้นที่ใหญ่ที่สุดหลุดลอกออกไปแล้ว แต่อนุภาคระดับจุลทัศน์ที่เล็กกว่าโมเลกุลลงไปซึ่งประกอบเป็นร่างกายส่วนนั้นไม่ได้ตายไป มันก็จากไป ก็เหมือนคนถอดเสื้อผ้าออก 1 ชิ้น มันไม่ใช่การตายอย่างแท้จริง แต่ในมิตินี้คนๆ นี้ได้สูญสลายไปแล้ว เพราะร่างกายจะต้องถูกเผาหรือฝังลงดิน ร่างกายจะต้องเน่าเปื่อยต้องแยกสลายไป ในมิตินี้ไม่มีมันแล้ว ก็คืออนุภาคในชั้นนี้สูญสลายไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อสักครู่วัฒนธรรมของมนุษย์ต่างดาวที่ข้าพเจ้าพูดถึงนั้น มันก็ใช้ความคิดของตัวคนเองสร้างร่างกายในชั้นนี้ที่พวกมันต้องการโดยที่คนไม่รู้สึกตัว ถ้าเช่นนั้นสุดท้ายมันแทนที่คนได้อย่างไร พวกเรารู้ไหม ชั้นเปลือกนอกที่สุดของคนนี้ยังต้องมีวิธีที่จะเข้าแทนที่ ก็คือวิธี “โคลนนิ่ง” ซึ่งมนุษย์ทุกวันนี้ใช้ เทพดูแลคนอยู่ ถ้าเทพไม่ดูแลคนแล้ว ก็จะไม่ใส่องค์ประกอบแห่งชีวิตเข้าไปในคน

            จึงพูดว่า ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ มิใช่เพราะท่านมีกายเนื้อนี้ ไม่ใช่มารดาของท่านให้กายเนื้อนี้แก่ท่าน ท่านจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เป็นเพราะท่านมีหยวนเสิน(จิตหลัก)ของท่าน ท่านมีจิตวิญญาณอื่นๆ คงอยู่จึงสามารถทำให้ท่านมีชีวิตขึ้นมาได้ ถ้าเช่นนั้นคนตายแล้วร่างที่วางอยู่ตรงนี้ ก็เป็นร่างกายนี้เหตุใดจึงไม่มีชีวิตล่ะ เป็นเพราะหยวนเสินทั้งหมดต่างก็จากไปแล้ว จึงพูดว่าคนๆ นี้เมื่อเกิดมา หากไม่ให้จิตวิญญาณแก่เขา ไม่ให้เขาเข้าไปจุติในครรภ์ แม้เขาคลอดออกมาก็ตายเหมือนกัน จะทำอย่างไรล่ะ มนุษย์ต่างดาวก็จะเข้าไป นี่ก็คือวิธีที่มันเข้าแทนที่คนในที่สุด นี่ก็คือมนุษย์โคลนนิ่ง คนตัวเองกำลังถูกมนุษย์ต่างดาวใช้ให้ทำลายตัวเอง ตัวเองกลับไม่รู้ ยังปกป้องวิทยาศาสตร์นี้ ทำลายมนุษยชาติ มนุษย์โคลนนิ่งที่ออกมาในอนาคต เมื่อออกมาเป็นจำนวนมาก ล้วนเป็นมนุษย์ต่างดาวจุติเข้าไปในร่างคน จากนั้นคนก็จะหมดไป แน่นอนข้าพเจ้าสามารถพูดออกมาแล้วในวันนี้ ปัญหาเหล่านี้ล้วนอยู่ในระหว่างการแก้ไข หลายสิ่งหลายอย่างก็ได้รับการแก้ไขแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าพูดออกมาเป็นการบอกถึงข้อเท็จจริงบางประการซึ่งมนุษย์พัฒนามาถึงเวลานี้

            โครงสร้างของโลกใบนี้ก็ไม่เหมือนอย่างที่พวกเรามนุษย์คาดคิด ว่าโลกใบนี้ก่อเกิดขึ้นมาจากทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ (Big Bang) อะไร แท้จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น แล้วก่อเกิดอย่างไรล่ะ พื้นฐานความเข้าใจต่อสสาร พื้นฐานความเข้าใจต่อชีวิต ความเข้าใจต่อจักรวาลของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้นั้นผิดทั้งหมด เทพได้สร้างโลกใบนี้ สร้างขึ้นมาอย่างไร พวกเรารู้ไหม โลกใบนี้มีซ้ำมาหลายครั้งแล้ว ทุกๆ ศาสนาล้วนกล่าวถึงเรื่องภัยพิบัติ ถ้าหากบนโลกใบนี้เกิดภัยพิบัติ เมื่อมนุษย์ไม่ดีแล้วก็ทำลายทิ้งเสีย ทำลายทิ้งไปบนโลกใบนี้ นี่คือมหัตภัย ยังมีมหัตภัยที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้อีก ซึ่งก็คือโลกทั้งใบนี้ไม่เอาแล้ว เนื่องจากคนอยู่ท่ามกลางการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร 6 ทาง นำพากรรมติดตัวไปด้วย ยิ่งทำเรื่องไม่ดีไว้มาก ก็ยิ่งมีกรรมมาก เขาไปเกิดเป็นพืช พืชนั้นก็จะปกคลุมด้วยกรรม ตาคนมองไม่เห็น กรรมนั้นคงอยู่ในมิติที่ต่ำกว่าระดับชั้นของโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุด ฉะนั้นคนไปเกิดเป็นพืช วัตถุ สัตว์ ท่ามกลางการเวียนว่ายตายเกิด กระทั่งอาจจะไปเกิดเป็นดิน ก้อนหิน ทุกแห่งหนก็จะมีแต่กรรม ถ้าเช่นนั้นโลกใบนั้นคืออะไร มองดูก็คือโลกแห่งกรรมใบหนึ่ง ความหมายของผลแอปเปิลเน่าที่ข้าพเจ้าพูดถึงก็คือหลักการนี้ บอกว่าสิ่งที่เน่าเปื่อยอย่างนี้แล้ว ในจักรวาลที่บริสุทธิ์ผุดผ่องยังจะต้องการมันเพื่ออะไร ไม่เอาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าไม่เอาแล้วจริงๆ

            พระพุทธเมตตากรุณาต่อคนหมายถึงพระพุทธที่อยู่ใกล้โลก เขาจะพูดถึงความเมตตากรุณา สำหรับเทพ ณ ระดับชั้นสูงๆ : “ความเมตตากรุณาคืออะไร” เขาพบว่าความเมตตากรุณาก็เป็นการยึดติด ถามว่าเขามีความเมตตากรุณาหรือไม่ เขาก็มีความเมตตากรุณา แต่อาณาจักรเขตแดนของความเมตตากรุณาของเขา เป็นแนวความคิดที่ต่างกัน ก็เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูด มีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน เขามีความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตที่อยู่ใกล้กับเขาที่สุด เขาเห็นเทพในระดับต่ำๆ ก็เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนกัน แล้วมนุษย์จะนับเป็นอะไรได้ล่ะ ยังเปรียบไม่ได้กับจุลินทรีย์ เชื้อแบคทีเรีย คนเดินบนถนนเหยียบเชื้อแบคทีเรียตาย ใครถือว่านั่นคือการฆ่าชีวิตล่ะ ใช่ไหม สิ่งที่ไม่ดีแล้ว เหมือนกับอุจจาระนั่น เหมือนก้อนขี้นั่น โยนทิ้งไปเลย ไหนเลยจะมีความคิดว่าเมตตากรุณา หรือไม่เมตตากรุณาอยู่ล่ะ ไม่มีอย่างแน่แท้  คนรู้สึกว่าตนเองเลิศเลอ ในสายตาของเทพชั้นสูงขึ้นไปอีกมันไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ รูปแบบการดำรงอยู่ของชีวิตในอาณาจักรเขตแดนที่ต่างกันนั้นมีความเข้าใจแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อข้าพเจ้าพูดให้พวกท่านฟังถึงอาณาจักรเขตแดนที่ใหญ่และสูงเช่นนั้น พวกท่านหวนคิดดูสักที ระดับชั้นของจักรวาลที่ใหญ่กระไรเช่นนี้ ยังคงเป็นเพียงละอองธุลีเม็ดหนึ่งท่ามกลางเที่ยนถี่อันใหญ่มหึมา เช่นนั้นโลกจะนับเป็นอะไรล่ะ คนนับเป็นอะไรล่ะ ใช่หรือไม่ ก็คือคนเห็นว่าตนเองเลิศเลอ รู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก โลกใบนี้ถูกเปลี่ยนใหม่มาหลายครั้งหลายหนแล้ว ก็คือสภาพการณ์แบบนี้

            ในประวัติศาสตร์ของจักรวาลที่กว้างใหญ่ โลกใบนี้ถูกเปลี่ยนไปแล้วหลายครั้ง แต่มันเปลี่ยนกันอย่างไรล่ะ เนื่องจากชั้นพื้นผิวที่สุดของโลกประกอบขึ้นมาจากสสารในชั้นนี้ เป็นโครงสร้างของสสารซึ่งประกอบขึ้นมาจากโมเลกุลของมิตินี้ ฉะนั้นจึงต้องใช้สสารของมิตินี้ไปสร้าง ในจักรวาลเทียนถี่ต่างๆ ของมิตินี้ล้วนมีการเปลี่ยนใหม่ ล้วนมีสภาวะของการทดแทนของเก่าด้วยสิ่งใหม่ ผงธุลีหรือกากของเทียนถี่ที่กำหนดหลังจากสลายตัว เทพใหญ่มหึมาในจักรวาลจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาแบ่งเป็นชนิด หลังจากนั้นก็สร้างโลกใหม่ขึ้นมา ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ค้นคว้าประวัติศาสตร์ วิจัยภูมิศาสตร์ บอกว่าสสารชนิดนั้นๆ เกิดขึ้นมาในโลกเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ปี โลกมีประวัติความเป็นมายาวนานเพียงใดแล้ว แท้จริงแล้ววิธีการแบบนี้ไม่สามารถจะวัดได้ เนื่องจากสสารบางชนิดก่อนที่จะถูกนำมาใช้สร้างโลกมันก็คือก้อนหินขนาดมหึมา ก็คือเทียนถี่ที่ใหญ่มากชิ้นหนึ่ง นำมาถึงตรงนี้ ก่อนที่จะสร้างเป็นโลก มันก็คงอยู่แล้ว ดังนั้นโดยแท้จริงก็ไม่สามารถค้นคว้าวิจัยออกมาว่าโลกใบนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาเพียงใด มีสิ่งต่างๆ มากมายพูดออกมาแล้ว ฟังดูเหมือนเทพนิยาย ข้าพเจ้ากำลังบรรยายฝ่าให้กับผู้บำเพ็ญของข้าพเจ้า พวกเราสามารถรับฟัง เพราะฝ่าไม่ใช่พูดให้กับคนธรรมดาสามัญฟัง ไม่ได้พูดให้กับสังคมคนธรรมดาสามัญ

            เมื่อครู่พูดถึงเรื่องน้ำ ได้พูดถึงน้ำทะเล ที่จริงแล้วน้ำทะเลนั้นคืออะไร แนวความคิดของน้ำทะเลกับน้ำโดยแท้จริงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน น้ำจืดเท่านั้นจึงจะใช่น้ำ ขณะที่น้ำทะเลนั้นคนเรียกมันเป็นน้ำ แท้จริงแล้วมันเป็นสสารอีกชนิดหนึ่ง น้ำคือปัจจัยสร้างสรรค์ชีวิต พวกเรารู้ไหม โลกอยู่ในจักรวาล เมื่อดูจากระดับชั้นเล็กมันก็เหมือนผงธุลีเม็ดหนึ่ง เทพที่ใหญ่มหึมาเช่นนั้น ปริมาตรของเขาใหญ่โตมโหฬาร ถ้าหากหลั่งน้ำตาหนึ่งหยดก็สามารถจะทำให้โลกจมมิดไป แท้จริงแล้วน้ำทะเลนั้นก็คือน้ำตาหยดหนึ่งของเทพ ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ ฟังดูเหมือนเทพนิยาย พวกท่านไปวิเคราะห์ทางเคมีดูว่าน้ำทะเลนั้นมีองค์ประกอบเช่นเดียวกับน้ำตาคนหรือไม่ เป็นอย่างเดียวกันอย่างแน่นอน ถ้าหากน้ำตาของท่านสามารถขยายให้ใหญ่เท่ากับปริมาตรของน้ำทะเลเมื่อใด ท่านลองดูข้างในว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรบ้าง พูดไปไม่แน่ข้างในอาจจะมีวาฬ ฟังดูเหมือนพูดเล่น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องจริงทีเดียว ต้นกำเนิดของสสารทั้งหมดและมนุษยชาติบนโลกนี้ข้าพเจ้าสามารถพูดได้ชัดเจนทั้งหมด เพราะไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของพวกท่าน ข้าพเจ้าจึงไม่อยากพูด แท้จริงแล้วสิ่งต่างๆ ทั้งหมดบนโลกล้วนมีที่มาของมัน

            พวกเรารู้ไหมดินสีเหลืองที่ปกคลุมพื้นผิวของโลกนั้นคืออะไร แท้จริงแล้วคืออุจจาระของชีวิตในชั้นที่สูงกว่ามิติของคนธรรมดาสามัญ ฉะนั้นในอดีตเทพไม่ใช่เคยพูดหรือว่า คนอยู่ในโลกที่สกปรก ก็คือความหมายนี้ เพราะชีวิตในระดับชั้นสูง สสารของเขาจะบริสุทธิ์สะอาด ดังนั้นสำหรับคนแล้ว อุจจาระของเขาก็เป็นของสะอาด สิ่งที่ต่ำกว่ามนุษย์ คนจึงรู้สึกว่ามันสกปรก ดังนั้นสิ่งที่สูงกว่ามนุษย์ คนจึงรู้สึกว่ามันเป็นของสะอาด แต่ในมิติที่สูงกว่ามนุษย์จะไม่มีสารบำรุง เนื่องจากมันไม่สกปรกจึงไม่มีสารบำรุง ดังนั้นใช้ดินสีเหลืองเพาะปลูกอะไรจึงไม่งอกงามอย่างง่ายๆ ดินดำนั้นเนื่องจากมีซากเน่าเปื่อยของพืชปะปนอยู่ข้างใน จึงสามารถทำให้พืชเจริญงอกงาม ซากเน่าเปื่อยของพืชทำให้ดินเหลืองกลายเป็นสีดำ มีสารบำรุง มีอินทรีย์ธาตุอยู่ข้างใน มนุษย์ใช้มันทำการเพาะปลูก สิ่งของที่สูงกว่าระดับมนุษย์ สำหรับพืชมันจึงไม่มีสารบำรุง

            อันที่จริงมีหินหลายชนิดกับดินเป็นสิ่งเดียวกัน พูดโดยทั่วไปก็คือ ตอนที่สร้างโลกสิ่งที่ถูกบีบอัดจนแน่นมันก็คือหิน ที่ไม่แน่นมันก็คือดิน แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด ดินแดงและหินสีแดงนั้นอันที่จริงคือเลือดของชีวิตมหึมา พวกเราที่นั่งอยู่นี้มีไม่น้อยที่เป็นนักฟิสิกส์ นักเคมี หากไม่เชื่อท่านก็ลองไปวิเคราะห์ดู รับรองว่าข้างในของมันมีส่วนประกอบเช่นเดียวกับเลือด เพียงแต่เป็นเลือดที่แข็งตัวมาเป็นเวลานานแล้ว ดินแดงมีส่วนประกอบของธาตุเหล็กจำนวนมาก เลือดของคนก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นจึงขอบอกกับพวกเรา เลือดสีแดงในจักรวาลโดยทั่วไปล้วนเป็นเลือดของชีวิตที่ดี ถูกต้อง เลือดของมารเป็นสีขาว ดังนั้นหินปูนขาวแท้จริงแล้วมันคือเลือดของมาร แน่นอนมันเป็นสสารที่ตายแล้ว ไม่บังเกิดผลใดๆ ในมิตินี้แล้ว ถูกระเบิดทิ้ง ถูกทำลายทิ้งกลายเป็นหิน ทราย ดิน – สิ่งเหล่านี้ ดังนั้นมันจึงไม่มีคุณสมบัติของมาร ฉะนั้นมนุษย์นำมาฉาบผนังเอย ทำเป็นวัสดุย้อมเอย ก็ไม่เป็นไร

            ปัจจุบันวงการวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าถ่านหินเกิดจากพืชจำนวนมหาศาล นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถรู้ จะไปหาพืชจำนวนมากมายขนาดนั้นที่กลายเป็นถ่านหินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ได้ที่ไหนล่ะ นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ปัจจุบันวงการวิทยาศาสตร์รู้ว่าน้ำมันเกิดมาจากซากสัตว์ อันนี้เขารู้ ไหนเลยจะมีซากสัตว์มากมายขนาดนั้นที่กลายเป็นน้ำมันจำนวนมากมายเช่นนี้ล่ะ อันนี้พวกเขาไม่รู้ คิดกันร้อยตลบก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นปัจจุบันนี้มีคนคิดจะหักล้างทฤษฎีนี้ บอกว่าทำไมจึงมีซากสัตว์มากมายเช่นนี้ จะไปหามีสิ่งมีชีวิตมากมายอย่างนั้นได้ที่ไหน ช่างมีน้ำมันมากมายอะไรเช่นนี้ แท้จริงแล้ว จักรวาลอันใหญ่มหึมาในกาลเวลาอันยาวนาน ชีวิตจะดำเนินไปเป็นรอบๆ และขณะสร้างโลกใบนี้นั้น ก็จงใจเอาสิ่งต่างๆ จำพวกนี้ในจักรวาลมาไว้ในโลกใบใหม่ เอาไว้เป็นแหล่งพลังงานต่อไป ดังนั้นมันจึงมีมากมายอย่างนั้น มันไม่ใช่ชีวิตในรอบนี้ ชีวิตบนโลกก็เป็นรอบๆ เช่นกัน ไม่ใช่ยุคสมัยเดียว การค้นคว้าวิจัยของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มันไปไม่พ้นจากประวัติศาสตร์ที่มีในปัจจุบัน และความเข้าใจของวิทยาศาสตร์ต่อประวัติศาสตร์ที่มีในปัจจุบัน มีข้อผิดพลาดในหลายสิ่งหลายอย่าง วิทยาศาสตร์เห็นว่าจากยุคหินมาจนถึงปัจจุบัน ต่อให้มนุษย์ฆ่าสัตว์ต่างๆ ทั้งหมดที่มีก็จะไม่ได้น้ำมันมากมายเช่นนั้น! แล้วยังมีถ่านหินมากมายเช่นนั้น พืชเอย มันไม่ใช่รอบเดียว ไม่ใช่มีชีวิตยุคเดียว แน่นอนยังมีอีกมากมาย พูดไปแล้วมากมายเหลือเกิน

            ยังมีเพชร ยังมีทอง เงิน สิ่งเหล่านี้เป็นต้น แน่นอนยังมีโลหะธาตุจำพวกหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต้องมีในการประกอบเป็นจักรวาลระดับชั้นต่างๆ สิ่งเหล่านั้นยังแตกต่างกับบรรดาส่วนประกอบของโลกที่ข้าพเจ้าได้พูดไป แต่ทองและเงินนั้นไม่ใช่โลหะธาตุในจักรวาล ทอง พวกเรารู้ว่าร่างกายของพระพุทธเป็นทอง เมื่อบรรลุถึงระดับของพระยูไล เทพในอาณาจักรเขตแดนนี้ ร่างกายจะเป็นทอง จึงพูดได้ว่าทองนั้นก็คือ ซากร่างกายมหึมาของชีวิตที่ดี ถูกต้อง เมื่อจักรวาลอันกว้างใหญ่แยกสลายตัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา ข้าพเจ้ายังเคยพูดว่าทองนั้นมีระดับชั้น อนุภาคใหญ่เล็กต่างกัน ข้าพเจ้าเคยพูดถึงประเด็นนี้ เงินนั้นต่ำกว่าระดับชั้นของพระพุทธ เป็นซากร่างกายของพระโพธิสัตว์ ชีวิตในระดับชั้นนี้

            คนจำนวนมากรู้ว่าเพชรมีความสามารถแบบหนึ่ง สิ่งชั่วร้ายจะกลัวเพชร คือสิ่งที่ไม่ดี มีพลังงานน้อยกลัวเพชร เพราะเพชรจะดูดพลังงานของมัน ดังนั้นจึงมีคนพูดว่า เพชรสามารถป้องกันสิ่งชั่วร้าย สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายนั้นยังไม่แน่ แต่เพชรเป็นพลังงานที่แตกกระจาย ก็คล้ายสิ่งที่เป็นพลังกง แน่นอนมันเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่บังเกิดผลแล้ว แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นสิ่งของประเภทนั้น ดังนั้นมันจึงมีพลัง

            สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดไป พวกท่านอย่าได้มีจิตยึดติดใดๆ กลับบ้านไปซื้อเพชร สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดคือฝ่า สิ่งของอะไรในมิตินี้ล้วนนำติดตัวไปไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้บำเพ็ญทำไมระเบิดมันทิ้งไปล่ะ ก็เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูด แม้ว่ามันจะเป็นทอง มันก็ไม่ใช่ทองบริสุทธิ์เสียแล้ว ดังนั้นจึงระเบิดมันทิ้งไป ทำไมจึงระเบิดพลังกงนี้ทิ้งไปล่ะ มันไม่บริสุทธิ์แล้ว ท่านเห็นว่าชั้นพื้นผิวของมันยังบริสุทธิ์มาก ถ้าตรวจสอบมัน ณ ระดับจุลทัศน์ ณ ระดับจุลทัศน์มากๆ  มันไม่บริสุทธิ์แล้ว วันนี้ข้าพเจ้าไม่ขอพูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว จากนี้จะฟังผู้ฝึกพูดบ้าง

            พรุ่งนี้พวกเราสามารถตั้งคำถาม จากนั้นข้าพเจ้าจะตอบคำถามให้แก่พวกเรา แต่ผู้ฝึกที่เข้ามาใหม่ จะเป็นการดีหากท่านจะไม่ตั้งคำถาม เพราะเวลามีค่า คนจำนวนมากเช่นนั้น หากตั้งคำถามกันทุกคน คงตอบให้ไม่ไหว พวกเราที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนที่บำเพ็ญมาถึงระดับชั้นหนึ่งแล้ว ดังนั้นคำถามที่พวกเขายกขึ้นมา มีความสำคัญต่อการยกระดับของการบำเพ็ญของพวกเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดประสงค์ในการจัดฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ ในขณะที่คำถามของผู้ฝึกที่เข้ามาใหม่ ท่านไม่ต้องถามข้าพเจ้า ท่านถามผู้ฝึกเก่าที่นั่งอยู่ข้างตัวท่าน ก็สามารถจะตอบให้ท่านได้ ดังนั้นขออย่าให้ท่านใช้เวลาช่วงนี้ นี่คือปัญหาข้อหนึ่ง นอกจากนี้ สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญพวกเราพยายามถามให้น้อยหน่อย เช่นคำถามประเภทที่สืบเสาะหาความรู้เป็นต้น ท่านอย่าเห็นว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดไปเมื่อสักครู่ นี่ไม่ใช่การเพิ่มพูนความรู้วิชาการอะไรให้แก่ท่าน หากเพราะมันเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน เอาล่ะ ข้าพเจ้าพูดเพียงเท่านี้ (เสียงปรบมือ) จากนี้ไปขอให้พวกเราสงบใจนั่งฟังเหล่าผู้ฝึกพูด ข้าพเจ้าก็ไม่ไป ข้าพเจ้าก็จะอยู่ฟัง แต่ท่านไม่ต้องมาหาข้าพเจ้า ท่านหาข้าพเจ้าไม่พบหรอก (เสียงปรบมือ)

 

สวัสดีทุกท่าน! เมื่อวานช่วงเปิดการประชุม ข้าพเจ้าได้พบกับทุกท่าน และได้พูดถึงปัญหาบางประการ ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า เนื่องจากการประชุมครั้งนี้โดยหลักเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของภาคพื้นตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่จัดการประชุมสำหรับทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา หรือการประชุมใหญ่สำหรับคนจำนวนมาก เพราะพวกเขาเองยังมีปัญหาบางประการต้องแก้ไข ข้าพเจ้าจึงมาด้วยจุดประสงค์เช่นนี้ ดูจากสภาพการณ์เมื่อวาน ยังมีผู้ฝึกมาจากประเทศอื่นๆ อาจจะมีผู้ฝึกจากพื้นที่อื่น หรือผู้ฝึกใหม่ของพื้นที่นี้จำนวนหนึ่ง หรือผู้ที่มีความสนใจต่อพวกเราบางคนแต่ยังไม่ใช่ผู้ฝึก วันนี้ก็มาด้วย ทุกท่านอาจอยากจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับต้าฝ่า ในเมื่อทุกท่านมากันแล้ว ฉะนั้นข้าพเจ้าก็จะตอบปัญหาที่เกี่ยวกับต้าฝ่าบางประการให้กับทุกท่าน ซึ่งก็เป็นการบรรยายฝ่าในการประชุมฝ่าฮุ่ย จากนี้ก็จะตอบปัญหาให้กับทุกท่าน (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ท่านอาจารย์กล่าวว่า หากในก้นบึ้งของจิตใจ ผู้ฝึกบำเพ็ญยังยึดอยู่กับธาตุแท้ที่สุดในผลประโยชน์ของตัวเอง นั่นคือการบำเพ็ญจอมปลอม

อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย บำเพ็ญคือต้องบำเพ็ญที่จิตใจของคน นี่คือการบำเพ็ญจริง สมมติว่า ปัจจุบันมีกฎหมาย มีข้อกำหนดข้อบังคับต่างๆ สำหรับคน ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงคน สมมติว่า ณ ภายนอก สามารถเปลี่ยนแปลง สามารถควบคุมท่าน ณ ภายนอกท่านไม่ไปละเมิด ไม่ทำความผิด สามารถทำได้ดีพอควร แต่ในความเป็นจริงล่ะ ในสภาพการณ์ที่มองไม่เห็น ในสภาพการณ์ที่ผลประโยชน์ของท่านถูกคุกคาม ท่านยังคงไปทำเรื่องไม่ดี เพราะใจของท่านไม่ได้เปลี่ยนแปลง ถ้าเช่นนั้นจึงพูดว่า การบำเพ็ญต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจคนอย่างแท้จริง ท่านต้องการบรรลุสู่อาณาจักรเขตแดนที่สูง บรรลุสู่อาณาจักรเขตแดนของเทพองค์นั้น ท่านก็ต้องบรรลุถึงอาณาจักรเขตแดนของความคิดนั้นของเทพ หากเปลี่ยนแปลงแต่เพียงเปลือกนอกของท่าน แต่ธาตุแท้ของท่านไม่เปลี่ยน นั่นก็เป็นเรื่องจอมปลอม เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ถึงยามวิกฤติ มันยังจะสะท้อนออกมา ดังนั้นไม่เปลี่ยนแปลงจิตใจคน จึงเป็นเพียงการกลบเกลื่อนด้วยภาพปลอมแบบหนึ่ง จักต้องเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างแท้จริง จึงพูดว่า ท่านบำเพ็ญก็ต้องรับผิดชอบต่อตนเอง ท่านต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง จากส่วนลึกในจิตใจท่าน ปล่อยวางสิ่งไม่ดีที่ท่านยึดติด นั่นจึงจะเป็นการปล่อยวางจริงๆ เปลือกนอกท่านทำเป็นสูงส่งสง่างาม ทว่าในส่วนลึกของจิตใจ ท่านยังคงเก็บรักษา ยึดอยู่กับสิ่งที่ตนเองปล่อยวางไม่ได้ เป็นเช่นนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด ท่านทั้งหลายรู้ไหม พระพุทธ เทพ เขาสามารถสละชีวิตของเขา เพื่อประโยชน์ของสรรพชีวิตและจักรวาล อะไรก็สามารถสละได้ ยิ่งกว่านั้นจิตใจยังเยือกเย็นไม่หวั่นไหว ฉะนั้นการจะพาท่านขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้น ท่านสามารถบรรลุได้ถึงจุดนั้นไหม ทำไม่ได้ แน่นอน ข้าพเจ้าว่า พระพุทธ เต๋า จะไม่พบกับเรื่องเช่นนี้จริงๆ แต่มีอาณาจักรเขตแดนนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง จึงสามารถบรรลุสู่อาณาจักรเขตแดนนี้

            ในอดีตในวงการศาสนามีคนมากมายพูดกัน เพียงท่านมีความเชื่อในศาสนา ท่านก็สามารถจะขึ้นสวรรค์ ไปสวรรค์ เพียงท่านมีความเชื่อในศาสนา ท่านก็จะสามารถสำเร็จเป็นพุทธะ ข้าพเจ้าว่านั่นเรียกว่าหลอกคน อะไรเรียกว่าสำเร็จเป็นพุทธะ อะไรเรียกว่าไปสวรรค์ แต่ละระดับชั้นล้วนมีข้อกำหนดต่อชีวิตไม่เหมือนกัน ก็เหมือนพวกท่านไปโรงเรียน ท่านอยู่ชั้นประถมปีที่ 1 ท่านต้องมีความรู้ระดับชั้นประถมปีที่ 1 ท่านอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 ต้องมีความรู้ระดับชั้นประถมปีที่ 2 ถึงขั้นมัธยมก็มีความรู้ระดับชั้นมัธยม ท่านเอาแต่อ่านหนังสือเรียนของชั้นประถม อยู่ในระดับของชั้นประถมปีที่ 1 ท่านไปเข้ามหาวิทยาลัย ท่านยังคงเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม ดังนั้นจึงเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ จึงพูดในความหมายนี้ นี่คือการพูดจากชั้นพื้นผิว สิ่งที่เราพูดคือ ต้องบรรลุถึงมาตรฐานนี้จากส่วนลึกของจิตใจอย่างแท้จริง ท่านจึงสามารถไปสวรรค์ ท่านจึงสามารถหยวนหมั่น มีคนเชื่อในศาสนา ขณะสารภาพบาปสวดภาวนาด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง “ฉันทำผิดแล้ว...” แต่เมื่อออกพ้นประตูไปเขายังคงทำผิดเช่นเคย การสารภาพบาปของเขาไม่เกิดประโยชน์ ใจของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เขาเข้าใจว่าฉันเชื่อ ฉันสารภาพบาปแล้ว ก็สามารถจะขึ้นสวรรค์ ให้ท่านสารภาพบาปตลอดไป อยู่ในระดับนี้ตลอดไป ท่านก็ไม่สามารถจะขึ้นสวรรค์ตลอดไป พระเยซูตรัสว่า “ท่านเชื่อข้า ก็สามารถจะไปสวรรค์” นี่ไม่ได้บอกว่า ท่านสารภาพบาปกับข้าที่นี้แล้ว จิตใจของท่านเชื่อข้า ยึดอยู่กับรูปแบบอย่างนี้ก็สามารถจะขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่ ท่านสารภาพบาปแล้วแต่ละครั้ง ท่านไม่ทำผิดอย่างเคยอีก ท่านปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้น ท่านปฏิบัติได้ใกล้เคียงมากยิ่งขึ้นกับข้อกำหนดของสวรรค์ของพระเยซู ท่านจึงสามารถบรรลุมาตรฐานของสวรรค์ นั่นจึงเรียกว่าเป็นการเชื่ออย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้ว พระเยซูตรัสคำสอนมากมายเช่นนั้นเพื่ออะไร จุดประสงค์ไม่ใช่บอกให้พวกท่านทำตามที่พระองค์ตรัส ให้ทำดีมากยิ่งขึ้นหรอกหรือ ข้าพเจ้าพูดก็คือความหมายนี้ ปัจจุบันในวงการศาสนา รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย ผู้คนล้วนแต่ไม่บำเพ็ญที่ข้างในจิตใจ ต่างยึดที่รูปแบบ นี่ล้วนเป็นของปลอม ปัญหานี้ก็พูดเพียงเท่านี้

ศิษย์           หยวนเสิน(จิตหลัก)ของคนออกจากร่างไป ไม่กลับมานานเท่าใด จึงจะทำให้กายเนื้อตาย

อาจารย์      หยวนเสิน(จิตหลัก)ของคนจากร่างไป ไม่กลับมานานเท่าใด นี้ไม่มีกำหนดไว้เป็นมาตรฐาน พูดกันอย่างนี้ ในความนึกคิดของท่านบอกว่า: “ฉันไม่อยากกลับมาอีกแล้ว พอมีความคิดนี้ขึ้นมา กายเนื้อนั้นก็อาจจะตายไปเลย เพราะท่านไม่คิดจะกลับมาแล้วนี่ แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ ในต้าฝ่าไม่มี นอกจากคนที่บำเพ็ญต้าฝ่าพร้อมๆ กับบำเพ็ญสิ่งอื่น ไม่สามารถยึดมั่นในวิชาเดียว ไม่สามารถบรรลุถึงการไม่บำเพ็ญ 2 สองวิชาได้จริงๆ จึงอาจเกิดอันตรายเช่นนี้ได้ สำหรับคนที่ไม่บำเพ็ญจริงจำพวกนี้ เหยียบเรือสองแคม ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ เป็นการยากที่บอกว่าเขาจะเกิดปัญหาอะไร

ศิษย์           เมื่อผมอ่านเรื่องเกี่ยวกับศากยมุนีที่ท่านอาจารย์พูดที่นิวยอร์กครั้งแรก แล้วอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ในใจเรียกหาท่านอาจารย์ ตัวเองไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด

อาจารย์      มูลเหตุคือวาสนา ข้าพเจ้าจะพูดอีกปัญหาหนึ่ง ผ่านการศึกษาต้าฝ่าพวกเราหลายคนรู้อย่างลึกซึ้งแล้วว่า บรรดาศาสนาต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนไม่สามารถจะสอนคนแล้ว หนึ่งคือมาตรฐานใช้ไม่ได้แล้ว สองเป็นเพราะเทพไม่สนใจคนแล้ว เทพไม่สนใจคนมีสาเหตุหลายประการ หนึ่งคือความคิดของคนปัจจุบันเป็นความคิดของมนุษย์เปลี่ยนสภาพ(กลายพันธุ์)ที่มนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้นมา ในประวัติศาสตร์ แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีคนเหมือนอย่างคนในทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์จะเดินย้อนรอย มีการปรากฏของมนุษย์ต่างยุคสมัยกันหลายครั้ง แต่ทุกครั้งมนุษย์ก็ไม่เคยเหมือนอย่างมนุษย์ในทุกวันนี้ พระเยซู พระพุทธ เต๋า เคยตรัสว่า ถึงเวลาเมื่อคนประสบทุกข์ภัย จะมารับคน มาช่วยเหลือสรรพชีวิต แต่ว่า ในสายตาของพวกเขา คนเหล่านี้(คนทุกวันนี้)ไม่ใช่คนแล้ว เขาจึงไม่รับท่าน คนที่เขารับคือคนที่ยังสามารถจะเป็นคน แน่นอน นี่เป็นการพูดโดยสรุป ยังมีอีกหลายๆด้านที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนสภาพ(กลายพันธุ์)ไป เทพจึงไม่เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์ นี้คือสิ่งที่อันตรายที่สุด

            คนที่ทำตัวเป็นนักการเมืองในวงการศาสนา แสวงหาผลประโยชน์ พวกเราไม่ไปพูดว่าเขาเป็นอะไร ข้าพเจ้าจึงพูดว่าในวงการศาสนา ยังคงมีคนที่มีใจอยากจะบำเพ็ญ ฉะนั้นมีคนส่วนหนึ่งให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญ พวกเขารู้ว่าต้าฝ่าของพวกเรานี้ หรือมีเทพอื่นๆ จะชี้แนะเขาภายในสภาวะที่เฉพาะ บอกว่ามีเพียงฝ่าหลุนต้าฝ่าที่สามารถสอนท่านให้กลับไปได้ หลายๆคนได้รับฟังข่าวเช่นนี้ เข้าใจเรื่องเช่นนี้แล้ว ฉะนั้นเขาก็มาศึกษาต้าฝ่าด้วย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังยึดมั่น ไม่ปล่อยวางของเดิมที่เขามี จุดประสงค์ของเขาคือต้องการจะเก็บรักษาของเดิมของเขาเอาไว้ ขอยืมต้าฝ่าของข้าพเจ้าไปใช้ เพื่อช่วยให้เขากลับไป ข้าพเจ้าว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เป็นการหลอกทั้งตัวเองและผู้อื่น ท่านไม่ละทิ้งของเดิมของท่าน ท่านก็ไม่อาจจะได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน ท่านได้แต่หลอกตนเองเท่านั้น

            ท่านทั้งหลายทราบไหม ในมิติอื่น ดูเวลาจากในมิตินั้น จะเห็นกาลเวลาในมิติของมนุษย์ตรงนี้ผ่านไปช้ามาก ในความคิดของท่าน ท่านกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ มองดูท่านจากในมิตินั้น ล้วนเป็นขั้นตอนที่เชื่องช้า ท่านจะคิดอะไร ท่านยังไม่ทันคิดออกมา ก็รู้แล้วว่าท่านจะคิดอะไร ท่านจะทำอะไร มองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง คนรู้สึกว่าในความคิดของตน คนอื่นไม่อาจจะล่วงรู้ ก็หลอกลวงได้แต่คนธรรมดาสามัญเท่านั้น หลอกเทพไม่ได้ จึงหมายความว่า ท่านไม่รับผิดชอบต่อตนเองในการที่จะปฏิบัติกับเรื่องที่เข้มงวดเช่นนี้ด้วยความคิดที่บริสุทธิ์ ท่านจึงไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยเหลือ ท่านจึงกลับไปไม่ได้ ในต้าฝ่าของข้าพเจ้า มีหลายต่อหลายคนเป็นศิษย์ของศากยมุนีในอดีต และมีศิษย์ของสายพุทธนิกายอื่น ศิษย์ในศาสนาอื่นๆก็มี ยิ่งกว่านั้นพวกท่านที่นั่งอยู่ในหมู่ผู้ฝึกเหล่านี้ มองดูท่านคือคนผิวขาว หรือเป็นคนผิวเหลือง หรือเป็นคนเชื้อชาติอื่นๆ ท่านอาจจะไม่ใช่เป็นคนประเภทนั้นจริงๆ หมายความว่า ท่านอาจจะไม่ได้มาจากสวรรค์แห่งนั้นก็ได้ ท่านกลับชาติไปเกิดเป็นคนในชนชาติไหน ชนชาตินั้นอาจจะไม่ใช่ชนชาติแท้จริงของท่านก็ได้ ไม่สามารถดูที่ชั้นพื้นผิว ยิ่งกว่านั้นในการกลับชาติมาเกิด มนุษย์อาจจะกลับชาติไปเกิดในชนชาติใดก็ได้ แต่ว่าข้าพเจ้าก็สามารถทำให้ท่านหยวนหมั่น กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมของท่านอย่างแท้จริง

            ข้าพเจ้าไม่ใช่จะช่วยพวกท่านไปยังโลกฝ่าหลุนทั้งหมด เป็นเพราะข้าพเจ้าบรรยายฝ่าแห่งจักรวาลโดยยืนอยู่ ณ จุดฐานของฝอฝ่า(พุทธธรรม) บรรยายฝ่าที่ใหญ่ยิ่งเช่นนี้ วิชาใดๆ ในจักรวาลหรือการบำเพ็ญแบบหนึ่งแบบใด รูปแบบการบำเพ็ญที่สืบทอดอยู่บนโลก ล้วนเป็นสิ่งที่เทพบนสวรรค์แห่งนั้นในระดับชั้นต่างๆที่สืบทอดลงมา (นี่หมายถึงวิธีบำเพ็ญซึ่งเทพที่แท้จริงทิ้งไว้ให้กับมนุษย์) ถ้าเช่นนั้นเทพเหล่านี้ในระดับชั้นต่างกันที่ช่วยเหลือมนุษย์ ก็คือชีวิตระดับชั้นต่างๆ ในจักรวาล ให้ข้าพเจ้าดู พวกเขาล้วนเป็นสรรพชีวิตของระดับชั้นต่างๆ ในจักรวาล ฉะนั้นต้าฝ่าแห่งจักรวาลนี้เขาได้สร้างสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตให้แก่สรรพชีวิตในระดับชั้นต่างๆ และสร้างมาตรฐานของการดำรงชีวิตในอาณาจักรเขตแดนของพวกเขา จึงเป็นฝ่าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ชีวิตทั้งหมดล้วนถูกโอบล้อมไว้ภายใน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสามารถแก้ไข(จัดการ)ปัญหาของพวกท่าน ใช้ต้าฝ่าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ช่วยให้ท่านกลับไป ท่านอยู่ในสายใดก็สามารถทำให้ได้ ในประวัติศาสตร์ศาสนาใดๆ รูปแบบบำเพ็ญในวิชาใดๆ ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาเพียงแต่บำเพ็ญสิ่งที่อยู่ในวิชาของตัวเอง ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในวิชาอื่น เพราะเป็นสิ่งของในชั้นนั้นที่ตัวเขาเองประจักษ์แจ้งจากในต้าฝ่าแห่งจักรวาลนี้ และสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในวันนี้คือต้าฝ่าแห่งจักรวาล นี้ต่างจากบรรดาวิธีบำเพ็ญที่คนในอดีตรู้จัก แต่หากท่านไม่เคารพต่อต้าฝ่า ท่านยังยึดมั่นอยู่กับสิ่งใด เช่นนั้นนี่ก็เป็นปัญหาที่ร้ายแรง

ศิษย์           ระดับชั้นของจักรวาลและระดับชั้นของการบำเพ็ญเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่

อาจารย์      เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าต้าฝ่าได้สร้างสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่ต่างกันให้แก่ชีวิตต่างๆ ของจักรวาล จึงกล่าวได้ว่า ในสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่ต่างกัน ต้าฝ่ามีข้อกำหนดมาตรฐานต่อพวกเขาแตกต่างกัน ฉะนั้นในการบำเพ็ญ ท่านจะไประดับชั้นนั้นๆ ก็ต้องทำตัวให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของต้าฝ่าในระดับชั้นนั้นๆ ฉะนั้นการยกระดับการบำเพ็ญ การยกระดับอาณาจักรเขตแดน เลื่อนขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ก็คือการทะลวงระดับชั้น และเป็นการทะลวงระดับชั้นของจักรวาล ในการบำเพ็ญวันนี้ท่านบรรลุมาตรฐานของสวรรค์ชั้นที่ 1 ผ่านไปสักระยะหนึ่งท่านบรรลุมาตรฐานของสวรรค์ชั้นที่ 2 นี่ก็คือการทะลวงระดับชั้นของจักรวาล และก็เป็นการทะลวงระดับชั้นของการบำเพ็ญด้วย ท่านบำเพ็ญต่อไปอีก ทะลวงตรีภูมิออกสู่ข้างนอกตรีภูมิ ก็จะไม่เข้าสู่วัฏสงสาร 6 ทาง บำเพ็ญสูงขึ้นไปอีกก็เข้าสู่อาณาเขตของเทียนถี่(ร่างสวรรค์)ที่ใหญ่ขึ้นไปอีก บำเพ็ญขึ้นไปมากเท่าใด มาตรฐานของระดับชั้นของการบำเพ็ญจะสูงมากเท่านั้น หรือสภาพการณ์ที่ปรากฏออกมาจะมากกว่าสักหน่อย

ศิษย์           ทุกสิ่งในอดีตไม่อาจจะย้อนกลับมาคงอยู่ สิ่งเหล่านั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของสรรพชีวิตหรือไม่ หรือเหลือเอาไว้เป็นบทเรียนที่ลึกซึ้ง

อาจารย์      คำถามที่ท่านยกขึ้นมานี้เป็นเรื่องใหญ่มาก บ้างอาจจะรู้ บ้างอาจจะไม่รู้ เหตุใดข้าพเจ้าจึงเผยแพร่ต้าฝ่าแห่งจักรวาล เพราะชีวิตทั้งหมดในระดับต่างๆ ของจักรวาลต่างเบี่ยงเบนจากต้าฝ่า จึงต้องเจิ้งฝ่า(ปรับฝ่าให้ถูกต้อง) เช่นนั้นจักรวาลก็จะหวนคืนสู่สภาวะที่ดีที่สุด ท่านทั้งหลายต่างก็รู้ว่ามีนักพยากรณ์หลายสำนักทายเอาไว้ว่า ปีนั้นปีนี้จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ ผู้คนรู้แต่ว่าจะมีภัยพิบัติ มันจะเกิดขึ้นเพราะเหตุใดล่ะ เพราะมนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับนี้แล้ว ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า สังคมปัจจุบันมีทั้งอิทธิพลมืดเอย รักร่วมเพศ ยาเสพติด การปลดปล่อยทางเพศ การส่ำส่อนทางเพศ ยุ่งเหยิงสับสนไปหมด คนที่ทำเรื่องแบบนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ ส่วนคนที่ไม่ได้ทำเรื่องเช่นนี้ก็ถูกแปดเปื้อน เฉยชาจนไม่มีความเป็นมนุษย์ไปด้วย ล้วนแต่ถูกแช่อยู่ในอ่างย้อมใบใหญ่นี้ โดยปริยาย ทรรศนคติของท่านก็สอดคล้อง คล้อยตามไปด้วย นับวันก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น แต่ความเสื่อมทรามของมนุษย์ที่ปรากฏออกมานี้ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญ เหตุใดเทพจึงไม่สนใจดูแลล่ะ เหตุใดเขาจึงปล่อยให้เสื่อมทรามถึงระดับนี้ล่ะ เพราะชีวิตในระดับชั้นต่างๆ ล้วนแต่เบี่ยงเบนออกจากรากฐานของฝ่าแห่งจักรวาลแล้ว เมื่อระดับชั้นหนึ่งเบนออกไป ระดับชั้นที่ต่างกันสามารถมองเห็นการเบี่ยงเบนของมัน เมื่อชีวิตหนึ่งไม่ดี สามารถตีเขาลงมา ให้ตกลงมา แต่ถ้าหากทั่วทั้งจักรวาลเกิดการเบนออกท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน เช่นนั้นชีวิตในนั้นก็มองไม่เห็นความเสื่อมทรามของมัน จึงเป็นเช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่รู้ว่ามนุษย์ทุกวันนี้เสื่อมทรามจนถึงระดับนี้ มีเพียงพวกเราคนที่บำเพ็ญต้าฝ่า ณ ระดับชั้นที่กำหนดเมื่อหันกลับไปดู จะเห็นว่ามันช่างน่ากลัวยิ่งนัก มนุษย์เปลี่ยนแปลงมาจนมีสภาพอย่างทุกวันนี้

            จะต้องนำทุกสิ่งทุกอย่างหวนคืนสู่สภาพเดิมที่ดีที่สุด ไม่ให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นในจักรวาล หมายความว่าไม่ปล่อยให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ เวลานี้อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง มนุษย์จำนวนมากต่างก็เปลี่ยนเป็นคนดีแล้ว ปัจจุบันมีร้อยล้านคนกำลังบำเพ็ญต้าฝ่า แต่ละคนต่างกำหนดตนเองให้ทำตัวเป็นคนดี เป็นคนดีมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นเมื่อในโลกนี้มีคนทำเช่นนี้มากขึ้น คนมีจิตใจกำลังใฝ่ดี ศีลธรรมกำลังเลื่อนสูงขึ้น ภัยพิบัตินั้นจะเกิดขึ้นหรือ มันไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน! ไม่มีปรากฏการณ์ที่เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนมีการจัดเตรียม ที่กล่าวกันว่า “ความบังเอิญ” นั้นไม่มี เพียงแต่คนไม่เชื่อในเทพ สิ่งที่ไม่เข้าใจก็ทึกทักว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ สิ่งที่อธิบายไม่ได้ก็พูดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แท้ที่จริงไม่มีเรื่องของธรรมชาติ ทุกๆชั้นมีเทพดูแลอยู่ แต่เมื่อมาตรฐานของชีวิตในทุกๆชั้นต่างก็เบนออกไป ก็เหมือนอย่างการยิงปืนของคนๆหนึ่ง เวลาที่ท่านเล็งเป้าหมาย หากคลาดเคลื่อนไปเพียงเล็กน้อย ลูกปืนที่วิ่งออกไปก็ไม่รู้ว่ามันไปถึงไหนแล้ว พูดอีกนัยหนึ่ง ชั้นบนผิดเพี้ยนไปเพียงนิดเดียว ฝ่านี้เมื่อลงมาถึงข้างล่างก็จะผิดเพี้ยนไปไม่รู้จะมากเท่าใดแล้ว ที่ปรากฏออกมา ณ ที่มนุษย์ ก็คือความเสื่อมทรามของมนุษย์ในระดับนี้ ฉะนั้นจึงต้องฟื้นฟูให้มันกลับไปสู่สภาพเดิม

            ขณะที่ทำเรื่องนี้ บางคนอาจมาจากระดับชั้นต่างๆ เมื่อเขาหวนกลับไปก็จะพบว่า มิติที่เขาคงอยู่เดิมนั้น สภาพแวดล้อมไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ท่านอาจจะรู้อย่างคร่าวๆ ว่ามันยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมนั้น ยังคงเป็นโลกใบนั้น แต่มันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ดีงามยิ่งกว่าเมื่อตอนท่านกำเนิดอยู่ที่นั่น เพราะสรรพชีวิตจำนวนมากถือกำเนิดหลังจากที่สรรพชีวิตเบี่ยงเบนออกจากฝ่า เป็นเวลายาวนานมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่า จักรวาลเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร

            พูดถึงการทิ้งเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งเอาไว้ สำหรับผู้สำเร็จธรรมที่หยวนหมั่นแล้ว ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นบทเรียนอะไร เมื่อท่านบำเพ็ญถึงอาณาจักรเขตแดนนั้นแล้ว ล้วนแต่ดีงาม แต่จะรู้ว่าในจักรวาลเคยเกิดเรื่องอะไร ก็เท่านั้นเอง ในกาลข้างหน้ามนุษย์จะทำอย่างไร คนจำนวนมากต่างกำลังบำเพ็ญ เป้าหมายของการบำเพ็ญคือเพื่อจะหยวนหมั่น สมมติว่าพวกท่าน ศิษย์จำนวนมากต่างก็หยวนหมั่นแล้ว เช่นนั้นคนไม่ดีที่เหลืออยู่ คนที่ยังไม่ได้ฝ่า ถ้าคนเหล่านี้ยังคงเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร ย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาเน่าเปื่อยต่อไปเช่นนี้! ในจักรวาลย่อมไม่อนุญาตให้มีกองอุจจาระที่เรียกว่าสรรพชีวิต ปล่อยไว้ให้ชีวิตชั้นสูงไปดม ดังนั้นจึงต้องกำจัดทิ้ง แน่นอน ข้าพเจ้าไม่พูดถึงภัยพิบัติ ภัยพิบัติประเภทนั้นตามที่คนพูดกันในอดีตนั้นไม่มีแล้ว ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ภัยพิบัติพวกนั้นที่ผู้คนพูดกันว่าจะเกิดในปีนั้นปีนี้นั้น ไม่มีแล้ว นักพยากรณ์ทั้งหลายก็รู้ว่า ในปีนั้นๆ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คำพยากรณ์ของพวกเขาก็ไม่ตรงแล้ว เพราะวันนี้มีการเผยแพร่ต้าฝ่า มีคนจำนวนมากมายขนาดนี้ที่มีจิตใจใฝ่ดี ถ้าหากเกิดปัญหานั้นขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นคนดีเหล่านี้จะทำอย่างไร ก็คือปัญหานี้ แต่คนที่สามารถเหลือเอาไว้ให้เข้าสู่ศักราชใหม่ จะสามารถจดจำบทเรียนที่ลึกซึ้ง ณ ช่วงเวลาสุดท้ายนั้น

ศิษย์           พวกเราหลายๆคนทำงานด้านวิทยาศาสตร์ ควรจะปฏิบัติต่อปัญหานี้อย่างไรดี

อาจารย์      คนที่ศึกษาต้าฝ่า หลายๆคนเป็นปัญญาชนชั้นสูง พูดอีกนัยหนึ่งคือ มีหลายๆคนเป็นผู้ผลิตผลจากวิทยาศาสตร์ แท้จริงแล้วคนในปัจจุบันนี้เพียงแต่ท่านเข้าโรงเรียน ท่านก็คือผลิตผลของวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ได้สอดแทรกไปทั่วทุกปริมณฑลของสังคมแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านใช้ ทุกสิ่งที่สัมผัสแตะต้อง ทุกสิ่งที่ท่านมองเห็นด้วยดวงตา ทั้งหมดล้วนเป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์นี้ ดังนั้นท่านสลัดไม่ออก ฉะนั้นปัญหาที่ท่านยกขึ้นมาถามเมื่อสักครู่จึงไม่มีแล้ว เพราะสังคมมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้ ขอให้ท่านทำงานของท่านให้ดีก็พอแล้ว พูดถึงการบำเพ็ญ นั่นเป็นคนละเรื่องกับการทำงาน แต่อาณาจักรเขตแดนในการบำเพ็ญของท่าน สภาพการบำเพ็ญของท่านจะสะท้อนอยู่ในการงานของท่าน (ท่าน)จะทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะให้ท่านอยู่ตรงไหนก็จะเป็นคนดีคนหนึ่ง หลายๆคนทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ หลังจากเขาศึกษาต้าฝ่าจึงพบว่านี้จึงจะเป็นสัจธรรมแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบันของมนุษย์ โดยแท้แล้วก็ไม่อาจจะเปรียบเทียบกับต้าฝ่าได้เลย ศิษย์ต้าฝ่าที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ สภาพการณ์ของจักรวาลและสัจธรรมที่ท่านทราบนั้นห่างไกลอย่างลิบลับจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบันของมนุษย์ ต่อให้สูงสุดยอดที่สุดก็ไม่สามารถจะเปรียบเทียบกับพวกท่าน คนธรรมดาสามัญจะไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ในสิ่งที่อยู่สูงกว่ามนุษย์ตลอดไป พวกเขาก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ถึงสภาพการณ์เกี่ยวกับจักรวาลนี้ที่ข้าพเจ้าพูดให้พวกท่านฟังตลอดไป ไม่ว่าท่านทำงานอะไร ท่านก็สามารถบำเพ็ญต้าฝ่า เมื่อท่านเข้าใจต้าฝ่าลึกซึ้งอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้นมากขึ้น ความคิดของตัวท่านเองก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใครที่อยู่ต่อหน้าสัจธรรมก็จะเชื่อ แต่มีปัญหาข้อหนึ่งต้องพูดให้เข้าใจ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะหยวนหมั่นโดยมีจิตยึดติดของคนธรรมดาสามัญ กับวิทยาศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน พวกท่านสามารถเข้าประตูมาโดยมีจิตใจต่างๆ ของคนธรรมสามัญ แต่ในระหว่างการบำเพ็ญต้องสลัดทิ้งไปทั้งหมด

ศิษย์           อุปนิสัยของคนธรรมดาสามัญจะแสดงออกมาในชาตินี้เท่านั้น ใช่หรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรเขตแดนมากเท่าใดในขณะที่ฝ่าสร้างชีวิต

อาจารย์      ถ้าหากชีวิตของคนๆหนึ่งมาจากระดับชั้นสูง เช่นนั้นเขาก็จะมีคุณสมบัติพิเศษในระดับชั้นสูงของเขานั้นติดมาด้วยแรงมาก จุดนี้คนธรรมดาสามัญสังเกตออกได้ยากมาก สิ่งต่างๆ ที่ท่านทำส่วนใหญ่เป็นการแสดงออกของคนธรรมดาสามัญ ล้วนเป็นการแสดงออกในชาตินี้ ล้วนเป็นรูปแบบพฤติกรรมของท่าน กิริยากับวิธีคิดของท่าน ซึ่งเกิดจากความเข้าใจของท่านต่อ ชีวิต สสาร/วัตถุ โลกแห่งภววิสัย ในชาตินี้ แต่ในความรู้สึกลึกๆ สิ่งที่ท่านมีอยู่เดิมแต่กำเนิด จะสามารถปรากฏออกมาภายใต้สภาวะที่ดีงามมากๆเท่านั้น ในเวลาที่ท่านยึดติดกับเรื่องของคนธรรมดาสามัญมากๆ เวลาโกรธ คิดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันจะไม่เผยออกมาแม้แต่น้อย

            พูดถึงส่วนนั้นที่ท่านบรรลุมาตรฐานในระหว่างบำเพ็ญนั้น ก่อนที่ท่านจะหยวนหมั่นมันยากที่จะปรากฏออกให้เห็นในหมู่คนธรรมดาสามัญ

ศิษย์           พระพุทธนอกจากจะมีจิตเมตตาอันกว้างใหญ่แล้ว ยังต้องเพียบพร้อมด้วยพลังความสามารถที่จะช่วยเหลือคน พลังความสามารถประเภทนี้จะปรากฏออกมาในขั้นตอนของการบำเพ็ญไหม

อาจารย์      พวกเราศึกษาต้าฝ่า ควรต้องปล่อยวางจิตยึดติดเหล่านี้ เทพองค์หนึ่ง เพียงแต่เป็นชีวิตที่สูงจากสังคมมนุษย์เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงชีวิตชั้นต่ำภายในตรีภูมิ ก็มีความสามารถจะควบคุมคน พระพุทธ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่อยู่นอกตรีภูมิ ล้วนสามารถช่วยเหลือคน เพราะเขาเป็นเทพ เขาจึงเพียบพร้อมด้วยพลังความสามารถประเภทนี้ ก็เหมือนคนที่มีพฤติกรรมหลายอย่างติดตัวมาแต่กำเนิด เขาเป็นเทพ เขาจึงมีพลังความสามารถนี้ นี่ไม่ใช่เหมือนกับที่พวกท่านคิดว่าจะปรากฏอะไรออกมาในขั้นตอนบำเพ็ญ ในใจพวกท่านไม่ควรจะคิดสิ่งเหล่านี้ เช่นฉันบำเพ็ญสำเร็จแล้วก็จะไปช่วยใครต่อใคร ช่วยคนในบ้านเอย ช่วยเพื่อนสนิทมิตรสหายเอย ช่วยสรรพชีวิต ข้าพเจ้าว่านั่นเป็นความคิดเพ้อเจ้อ นั่นเป็นการยึดติด เป็นอุปสรรคใหญ่ จะทำให้ท่านบำเพ็ญไม่สำเร็จ ปล่อยวางทรรศนคติทั้งหมดเสีย ปล่อยวางสิ่งยึดติดทั้งหมดเสีย ท่านจึงจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้โดยไร้ซึ่งสิ่งขวางกั้นใดๆ บนหนทางแห่งการบำเพ็ญของท่าน

            มีคนในวงการศาสนาปฏิญาณว่า เมื่อฉันบำเพ็ญสำเร็จแล้วฉันก็จะมาช่วยคน แท้จริงแล้วนี่เป็นจิตโอ้อวดของเขา เป็นการแสดงออกของคนธรรมดาสามัญซึ่งจิตที่สับสนวุ่นวายต่างๆนานาแบบหนึ่งในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไม่รู้ว่าพระพุทธมีสภาวะเป็นอย่างไรโดยแท้ ท่านมีจิตใจแบบนี้ ท่านก็จะบำเพ็ญไม่สำเร็จ เพราะท่านยึดติดกับการช่วยคน พระพุทธจะช่วยหรือไม่ช่วยคนนั้น มันจะเป็นสภาวะที่เป็นไปในลักษณะของธรรมชาติ ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปี มีพระพุทธสักกี่องค์มาช่วยคน ทางตะวันตกมีพระเยซูหนึ่งองค์ ทางตะวันออกมีองค์ศากยมุนีหนึ่งองค์ เหตุใดจึงมีเพียงสององค์นี้ในช่วงเวลายาวนานเช่นนี้ เพราะพระพุทธองค์ใดจะลงมาช่วยคนในโลกมนุษย์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเหล่าเทพโดยทั่วกัน จึงจะลงมาได้ เพราะปัญหาที่เขาจะต้องเผชิญ สัมผัส จะเป็นไปในลักษณะทั่วไปซึ่งอาจเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธองค์อื่นๆ เทพองค์อื่นๆ แม้กระทั่งเรื่องของเต๋า มันซับซ้อนยิ่งนัก ไม่ใช่เป็นอย่างที่คนคิด ร้อนวิชา เกิดจิตยึดติดขึ้นมา ท่านก็พูดว่า ฉันอยากจะช่วยคน มันเป็นจิตของคน จิตโอ้อวด เป็นผลของจิตยึดติด

ศิษย์           ผมรู้สึกว่า หลักการของฝ่าที่รับรู้(อู้) จากใน “จ้วนฝ่าหลุน” ไม่มากเท่ากับที่อู้จากได้ฟังท่านอาจารย์บรรยาย

อาจารย์      “จ้วนฝ่าหลุน” เป็นหนังสือต้าฝ่าที่เป็นระบบ เป็นความลับสวรรค์ สามารถจะทำให้คนหยวนหมั่น แต่ฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยาย นอกจาก วิดิทัศน์การบรรยายฝ่า คือการบรรยายฝ่า ณ จี้หนาน ต้าเหลียนและกว่างโจว ที่คล้ายกับจ้วนฝ่าหลุน ซึ่งข้าพเจ้านำออกวางจำหน่ายต่อสาธารณชนแล้ว การบรรยายฝ่า ณ ที่อื่นๆ นั่นเป็นเพียงการบรรยายเฉพาะด้าน ในอาณาจักรเขตแดนที่ต่างกัน หรือพูดให้กับผู้ฝึกในพื้นที่ต่างกัน ในสภาพการณ์ที่ต่างกัน ไม่มีลักษณะที่ครอบคลุมทั่วไป หลายคนมีจิตยึดติด อยากได้สิ่งนี้ อยากได้สิ่งนั้น ราวกับว่าเป็นอย่างเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถบำเพ็ญได้อย่างถึงอกถึงใจ ล้วนแต่เป็นการยึดติด หากพวกท่านไม่บำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆ พวกท่านกำลังเสียเวลาของตนเองไปเปล่าๆ ถ้าหากประวัติศาสตร์ไม่จัดวางการเผยแพร่ต้าฝ่าในครั้งนี้ ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งหลายลองคิดดู การพัฒนาของมนุษย์ยังจะมีทางอื่นอีกไหม พวกท่านอย่าล้อเล่นกับชีวิตตนเอง ถ้าพลาดโอกาสไป... หากต้าฝ่าของข้าพเจ้าในวันนี้ไม่สามารถจะช่วยท่าน ใครก็ไม่สามารถจะช่วยท่านได้อีก และก็ช่วยท่านไม่ได้

            พวกท่านยังไม่ทราบ ในปีที่ข้าพเจ้าเผยแพร่ต้าฝ่าออกมา สิ่งที่ข้าพเจ้าห่วงมากที่สุดคืออะไร   เพราะมนุษย์มีทฤษฎีต่างๆ มากมาย คนต่างก็ไม่เชื่อ รวมทั้งสิ่งที่กล่าวกันในศาสนา มีสักกี่คนที่เชื่อในองค์เยซูและพระพุทธอย่างแท้จริง มีคนจำนวนมากในวงการศาสนา สิ่งที่พวกเขาปกป้องคือศาสนา ไม่ใช่คิดจะบำเพ็ญอย่างแท้จริง ความศรัทธาต่อพระเยซู(รวมทั้งพระพุทธ) จิตใจเช่นนั้นยังมีไหม มีสักกี่คนที่สามารถจะบำเพ็ญล่ะ ต้องอ่านหนังสือ! เพราะข้าพเจ้าได้คำนึงถึงปัญหานี้แล้วในปีนั้น เบื้องหน้าของข้าพเจ้าคือ ประชาชนจำนวนมาก มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าพเจ้าจะสามารถไปชี้แนะท่านบำเพ็ญอย่างไร โดยตรงแบบตัวต่อตัวในวันข้างหน้า

            เช่นนั้นเพื่อให้ท่านสามารถบำเพ็ญ สามารถหยวนหมั่น เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อท่าน ข้าพเจ้าจึงทิ้ง “จ้วนฝ่าหลุน” เอาไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย  โดยผ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” จะสามารถทำให้ท่านหยวนหมั่น ข้าพเจ้าได้บรรจุสิ่งที่ท่านควรจะได้ทั้งหมดไว้ในฝ่าเล่มนี้ ดังนั้นเมื่อท่านอ่านฝ่าเล่มนี้ ก็จะทำให้ท่านรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ท่านจะมีความรู้สึก รับรู้(อู้)หลักการของฝ่าในระดับชั้นต่างๆ ท่านจะสามารถยกระดับสูงขึ้นในต้าฝ่า ฝ่าเล่มนี้จึงมีค่าอย่างยิ่งจริงๆ ไม่ว่าข้าพเจ้าจะบรรยายฝ่าด้วยตัวเอง หรือพวกท่านคิดว่าข้าพเจ้าบรรยายได้เฉพาะเจาะจงมากเพียงใดก็ตาม ข้าพเจ้าล้วนพูดสิ่งที่มีอยู่ใน “จ้วนฝ่าหลุน” ทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ ใน “จ้วนฝ่าหลุน” ทั้งหมดก็ได้ครอบคลุมอยู่ในลุ่นอวี่

ศิษย์           ให้ฝอเซวี๋ยฮุ่ย(ชมรมพุทธศึกษา)จัดกลุ่มศิษย์ขึ้นมา ดำเนินการแปลหนังสือที่ท่านบรรยายฝ่าในต่างประเทศได้หรือไม่

อาจารย์      นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก ทำได้ พูดถึงการจัดผู้ฝึกเป็นกลุ่ม พูดได้แต่ว่า ท่านทั้งหลายต้องมีใจอยากจะทำ พวกเราคนที่มีความสามารถอย่างนี้ก็สามารถจะทำได้ แต่ต้องพูดกับผู้รับผิดชอบในพื้นที่ของพวกท่านให้เข้าใจ ประสานงานให้ดี เช่นนี้ก็จะเป็นการสะดวกสำหรับกลุ่มค้นคว้าวิจัยที่จะทำการติดต่อ ตรวจสอบกับพวกท่าน

ศิษย์           เอกสารแนะนำต้าฝ่ามีคำพูดของท่านอาจารย์ เอกสารแนะนำเหล่านี้อาจจะถูกทิ้ง การทำเช่นนี้ดีหรือไม่

อาจารย์      การทำเรื่องเช่นนี้นอกประเทศจีน ปัจจุบันข้าพเจ้าได้แต่พูดว่าอนุญาตให้ท่านทำได้ สามารถจะทำเช่นนี้ได้ แต่สำหรับในประเทศจีน ไม่อนุญาตให้ทำ เพราะเกือบจะทุกคนต่างรู้จักต้าฝ่ากันแล้ว ไม่ต้องให้ท่านทำเรื่องอย่างนี้อีกแล้ว บำเพ็ญหรือไม่เป็นเรื่องส่วนบุคคลของเขา ในต่างประเทศพื้นที่หลายๆ แห่ง คนยังไม่เข้าใจต้าฝ่า ยังไม่รู้จัก ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอนุญาตให้ท่านทำเช่นนี้ สำหรับคำพูดของข้าพเจ้าที่อยู่ในนั้น ถ้าหากไม่มีองค์ประกอบของเขาอยู่เบื้องหลัง ไม่มีความหมายข้างในอยู่เบื้องหลัง นั่นก็เป็นเพียงกระดาษขาวและตัวอักษรสีดำเท่านั้น จึงไม่มีผลอะไร จุดนี้ให้ท่านทั้งหลายวางใจ แต่ตัวพวกท่านเองต้องรู้จักทะนุถนอมต้าฝ่า ทะนุถนอมทุกๆ ตัวอักษร ท่านเองต้องรู้ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ด้วยความเข้มงวด

ศิษย์           มีผู้ฝึกบางคนคิดจะใช้การแต่งงานของตนเพื่อให้คนศึกษาฝ่า ฝ่าเซินของท่านอาจารย์จะจัดเตรียมอย่างไร

อาจารย์      เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย อย่าได้นำเรื่องการดำรงชีพของท่านมารวมกับการบำเพ็ญ และก็อย่านำการงานของท่านมารวมกับกับการบำเพ็ญ การบำเพ็ญเป็นสิ่งที่เข้มงวดจริงจังอย่างยิ่ง ต้าฝ่าก็เป็นสิ่งที่เข้มงวดจริงจังอย่างยิ่ง ไม่ใช่จะต้องขอให้ใครมาได้ พวกเขาไม่อยากจะได้ก็แล้วกันไป แน่นอน ผู้ฝึกมีความตั้งใจดี: ฉันยอมหยิบยื่นการแต่งงาน เรื่องใหญ่ในชีวิตของฉันเพื่อให้ท่านได้ฝ่า ข้าพเจ้ามองเห็นจิตใจดวงนี้ดีมาก แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนี้ให้จงได้ เพราะฝ่า การบำเพ็ญเป็นสิ่งที่เข้มงวดจริงจังอย่างยิ่ง ค่าตอบแทนที่ท่านให้แก่เขา สำหรับเขากล่าวได้ว่าเป็นการแสวงหาที่จะได้ฝ่า เขาได้สิ่งนี้เขาจึงมาศึกษาฝ่า สำหรับเขานี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ประการที่หนึ่งเขาก็ไม่เข้าเกณฑ์แล้ว ต้าฝ่าไม่ใช่ว่าจะต้องให้เขาได้ให้จงได้ มีคนพูดว่า อาจารย์ ฝ่าของท่านนี้ ควรจะบรรยายอย่างนี้ พระพุทธช่วยคนทำไมไม่ช่วยอย่างนั้นล่ะ ท่านคิดว่าพระพุทธกินอิ่มจนพุงกางจะต้องช่วยท่านให้จงได้หรือพระพุทธมีความเมตตากรุณาต่อคน แต่เขาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่สง่างาม! และความเมตตากรุณาก็ไม่เหมือนกับความเมตตากรุณาของคนในจินตนาการของคน และความเมตตากรุณาตามที่คนพูด ตามที่จินตนาการในทรรศนคตินั้นเป็นเพียงความเมตตาในลักษณะหนึ่ง พระพุทธนั้นมีความเมตตาจุดนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน แต่ว่าความเมตตากรุณาแบบนั้นเป็นปรากฏการณ์ของพลังแห่งฝอฝ่าซึ่งยิ่งใหญ่สง่างามแบบหนึ่ง ต่อให้ท่านไม่ดีอย่างไร ของที่เสื่อมทรามอย่างไร เหมือนสิ่งของที่เป็นเหล็ก โลหะ ต่อหน้าอานุภาพแห่งความเมตตากรุณาของฝอฝ่า ก็ต้องถูกหลอมละลายไปสิ้น ฉะนั้นเมื่อมารเห็นก็จะหวาดกลัว มันขวัญหนีดีฝ่อจริงๆ มันจะถูกละลายทิ้ง สลายทิ้งไป ไม่เหมือนอย่างที่คนจินตนาการ

ศิษย์           อาณาจักรเขตแดนความดีงามของ เจิน ซั่น จะสังเกตได้ก่อน แต่ใน เหยิ่น มีแต่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเท่านั้นหรือ

อาจารย์      นี่คือความเข้าใจตามความคิดของคนธรรมดาสามัญ เช่นเดียวกับเหตุผลที่ข้าพเจ้าพูด เพื่ออะไรบางอย่างที่ท่านยึดติด เมื่อไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย ท่านจะโกรธมาก แต่ท่านสะกดเอาไว้เพื่อหน้าตา สะกดกิริยาและหน้าตาเอาไว้ ท่านไม่กล้าจะระเบิดออกมา ข้าพเจ้าว่านั่นคือเหยิ่นของคนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่เหยิ่นของผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง ท่านเข้าใจผิดทั้งหมด เหยิ่น ของพวกเราไม่มีความยึดติดอย่างแท้จริง ไม่โกรธอย่างแท้จริง  ที่ท่านทั้งหลายต้องการคือ        เหยิ่นแบบนี้ นี่จึงจะเป็นเหยิ่นที่ได้มาตรฐาน ต่อหน้าสิ่งเหล่านี้ ใจของท่านไม่หวั่นไหวอย่างแท้จริง คนอื่นเห็นท่านสามารถอดทน แท้จริงคือจิตใจต้องไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด นี้จึงจะเป็นเหยิ่นของการบำเพ็ญ

            มีคนพูดว่าในระยะแรกที่ได้ฝ่า พอได้อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” อ้อ เจิน ซั่น อันนี้ฉันสามารถทำได้ แท้จริงแล้ว เจิน ซั่น ท่านก็ทำไม่ได้ ท่านเพียงแต่ใช้มาตรฐานที่เสื่อมถอยแล้วมาวัดตัวเอง เมื่อท่านเข้าสู่การบำเพ็ญอย่างแท้จริง ท่านจะพบว่าท่านยังห่างไกลเหลือเกิน ต่อเมื่อท่านยกระดับชั้นของท่านอย่างต่อเนื่อง ท่านจะพบว่า ณ แต่ละระดับชั้นก่อนหน้านี้ ความเข้าใจต่อ เจิน ซั่น เหยิ่น ของท่านนั้นยังไม่สูงพอ เมื่อระดับชั้นของการบำเพ็ญของท่านสูงขึ้นๆ เจิน ซั่น   เหยิ่น ในระดับชั้นที่ต่างกัน ก็จะมีปรากฏออกมาต่างกัน มีข้อกำหนดต่างกัน สภาวะต่างกัน นั่นก็คืออาณาจักรเขตแดน คือกั่วเว่ย(มรรคผล) เหยิ่นสามารถนำมาซึ่งอาณาจักรเขตแดนอันงดงาม ได้แต่เข้าใจอย่างนี้ เวลาที่ท่านกระทำสิ่งหนึ่งแล้วไม่บรรลุเป้าหมาย ท่านเจาะเข้าในโพรงเขาควาย(ท่านยึดอยู่กับมัน) ท่านทานไม่ได้ นอนไม่หลับ โดยแท้จริงคือท่านถูกคนควบคุมอารมณ์ ถูกคนอื่นผลักดันในวิถีชีวิต ท่านดำเนินชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยโดยไม่รู้จักตื่น ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น หากว่าท่านสามารถถอยหลังมาหนึ่งก้าว ท่านสลัดมันทิ้งเสีย เก็บภูเขาเขียวเอาไว้ ไม่ต้องกลัวไม่มีฟืนใช้ แม้ว่านี่จะเป็นคำพูดของคนธรรมดาสามัญ แต่เมื่อท่านสามารถถอยหลังมาก้าวหนึ่ง ท่านจะพบท้องทะเลกว้าง ท้องฟ้าใหญ่ ท่านยอมเสียโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดสลัดมันทิ้งไป อาณาจักรเขตแดนก็เปลี่ยนแปลงทันที ภายใต้สภาวะนี้ท่านจะเบาสบายทั้งตัว นี่คือเหยิ่น และที่ข้าพเจ้ากำหนดให้ท่านศึกษาฝ่าให้มาก นั่นยังจะบรรลุอาณาจักรเขตแดนที่สูงกว่านี้

ศิษย์           เส้นแบ่งเขตระหว่างผู้บำเพ็ญและคนธรรมดาสามัญ บางครั้งไม่สามารถแยกได้ชัดเจน

อาจารย์      ปัญหานี้ไม่ต้องให้ข้าพเจ้าพูดกับท่านมาก เพียงแต่ท่านบำเพ็ญพัฒนาไปเรื่อยๆ ท่านก็เข้าใจทุกสิ่ง ท่านกำลังบำเพ็ญ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะสามารถปล่อยวางจิตใจทั้งหมดได้ในทันที เหมือนอย่างคำพูดประโยคนั้นของข้าพเจ้า อาณาจักรเขตแดนของการบำเพ็ญจะปรากฏออกมาในสภาพแวดล้อมทั้งหมด ในหน้าที่การงานของท่าน ในชีวิต ในบ้าน ในสังคม ผู้คนต่างจะบอกว่าท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง เพราะเหตุใด เพราะสภาวะการบำเพ็ญของท่านจะปรากฏในการดำเนินชีวิตของท่าน ไม่ใช่ทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจ การทำด้วยความตั้งใจนั่นเป็นการฝืน แต่พวกเราเป็นคนบำเพ็ญ ควรต้องควบคุมตนเอง รักษาสภาวะจิตที่อ่อนโยนเอาไว้ ทำสิ่งใดก็ต้องทำด้วยจิตเมตตา นี่คือสิ่งที่พวกเราสมควรทำ ไม่อาจเรียกว่าความยึดติด นี่คือการที่พวกเรายับยั้งจิตมาร เพื่อบรรลุมาตรฐานของจิตเมตตา เป็นวิธีที่ใช้เพื่อบรรลุมาตรฐานของข้อกำหนดในอันที่จะยกระดับอาณาจักรเขตแดนให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ไม่ใช่ความยึดติด

ศิษย์           เข้าใจฝ่าด้วยเหตุผล สามารถสละทิ้งทรรศนคติของคนธรรมดาสามัญได้โดยตรง อย่างนี้บำเพ็ญได้ผลเร็ว

อาจารย์      คือเมื่อพวกท่านเข้าใจฝ่า ล้วนมีขั้นตอนของความเข้าใจเช่นนั้นในระยะแรก หลายๆคนอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” แล้วล้วนแต่บอกว่าดี ดีจริงๆ แต่ดีอย่างไร ถ้าท่านถามเขาดูจริงๆ ก็ยังคงพูดได้ไม่ชัดเจน เช่นนั้นนี่ก็คือความเข้าใจด้วยความรู้สึกแบบหนึ่ง รู้สึกว่าดี ถามว่าแล้วโดยแท้จริงมันดีที่ตรงไหน เมื่อท่านเข้าไปบำเพ็ญจริงๆ ท่านค่อยพบว่า เขา(ฝ่า)ดีจริงๆ นี่จึงเลื่อนขึ้นสู่ความเข้าใจด้วยเหตุผล ฉะนั้นหากในการดำเนินชีวิตของท่าน พฤติกรรมทั้งหมดของท่านสามารถบรรลุมาตรฐานของคนบำเพ็ญคนหนึ่ง ความเข้าใจต่อฝ่าโดยไม่ใช้ความคิด ทรรศนคติของคนไปเข้าใจ ท่านเข้าใจต้าฝ่าด้วยเหตุผลอย่างมีสติสัมปชัญญะมากๆ รับผิดชอบต่อตนเอง

ศิษย์           สามารถจะใช้สิ่งที่เป็นของบำเพ็ญ ไปคืนให้กับสิ่งที่เป็นของคนธรรมดาสามัญหรือไม่

อาจารย์      ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ท่านทำเช่นนี้ เพราะว่าสิ่งที่เป็นของบำเพ็ญนั้นไม่อาจจะตีเป็นมูลค่า สิ่งที่อาจารย์ทำเพื่อให้ท่านหยวนหมั่น ท่านกลับไม่รู้จักทะนุถนอมอย่างนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านบำเพ็ญเท่านั้น ในนั้นมีสิ่งที่อาจารย์แบกรับเพื่อท่าน ทำเพื่อท่าน แม้แต่คิดก็ไม่ควรคิดเช่นนี้ ไม่มีหลักการอันนี้

ศิษย์           ศิษย์ที่การรับรู้กึ่งเปิดสามารถมองเห็นหลักการของฝ่าในมิติอื่น ใช่หรือไม่

อาจารย์      เรื่องนี้อย่าได้ไปสืบเสาะค้นหา พวกเรามีผู้ฝึกกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ได้ฝ่าก่อน ผู้ฝึกกลุ่มใหญ่ในรุ่นแรกๆ ได้เข้าสู่สภาวะนั้นแล้ว อะไรเขาก็รู้ อะไรก็เห็น อะไรก็สามารถเข้าใจ แต่ ณ ระดับชั้นของเขาไม่สามารถจะพูดออกมาด้วยคำพูด ดังนั้นเขาจึงไม่พูด ไม่พูดอะไรเลย ทว่าอะไรเขาก็รู้ มีจุดเดียวคืออิทธิฤทธิ์ของเขา พลังของเขาไม่สามารถจะใช้ เพราะพวกท่านล้วนแต่กำลังบำเพ็ญ ถ้าพวกเขาใช้อิทธิฤทธิ์ขึ้นมา โลกจะรับไม่ไหว คนเช่นนี้มีเป็นจำนวนมาก

ศิษย์           บางคนมีความเชื่อมั่นสูงมากกับการบำเพ็ญฝอฝ่า จนกระทั่งไม่อยากใช้รูปแบบของคนธรรมดาสามัญไปจัดการปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย ในระหว่างบำเพ็ญพวกเราจะมีสภาวะแบบหนึ่งอย่างนี้ บางคนบอกว่า ในเมื่อฉันได้ฝ่าแล้ว ฉันก็ไม่อยากจะทำสิ่งนี้ ไม่อยากจะทำสิ่งนั้น งานการก็ไม่อยากจะทำ การค้าก็ไม่ทำแล้ว ข้าพเจ้าขอบอกท่าน การกระทำที่แสดงออกมาดูคล้ายกับท่านจัดวางฝ่าไว้ในตำแหน่งที่สำคัญอันดับแรก บำเพ็ญเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูจากอีกด้านหนึ่ง ท่านไม่ได้เข้าใจฝ่าอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย ท่านต้องบำเพ็ญโดยปฏิบัติให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด ผู้คนมักจะไม่เห็นความสำคัญในคำพูดประโยคนี้ของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายลองคิดดู พวกเรามี 100 ล้านคนกำลังบำเพ็ญ ในอนาคตยังจะเพิ่มมากขึ้นอีก หากใครๆ ก็ไม่ทำอะไรเลย แล้วสังคมจะทำอย่างไร เช่นนั้นผู้คนจะมองต้าฝ่าเป็นเช่นไร นี่ไม่ใช่ทำให้ต้าฝ่าแปดเปื้อนหรอกหรือ แน่นอนล่ะ หากบรรลุสภาวะในอาณาจักรเขตแดนชั้นสูงนั้นแล้ว อย่างนั้นข้าพเจ้าจะไม่พูด ที่พูดคือลักษณะทั่วไปที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน พวกเราคนที่ยังไม่บรรลุสภาวะนั้น ท่านอยากจะให้เป็นอย่างนั้นอย่างจงใจ(เหรินเหว๋ย) อย่างนี้ไม่ถูกต้องแล้ว สำหรับในยามปกติท่านประสบปัญหาอะไร ท่านปฏิบัติกับมันอย่างไร นั่นเป็นเรื่องในระหว่างการบำเพ็ญของท่าน ปัญหาที่เป็นรูปธรรมข้าพเจ้าจะไม่ตอบท่าน ท่านจะปฏิบัติกับมันอย่างไร ท่านจะยกระดับอย่างไร นั่นคือปัญหาของตัวท่านเอง

ศิษย์           ท่านอาจารย์กล่าวว่า ได้ฝ่าหลุนแล้วก็เท่ากับบำเพ็ญสำเร็จครึ่งหนึ่งแล้ว มีผู้ฝึกบางคนเข้าใจว่าบำเพ็ญสำเร็จครึ่งหนึ่ง คือสำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง

อาจารย์      เรื่องการบำเพ็ญ เพราะเหตุใดคนจีนในวันนี้จึงมีความคิดเช่นนี้ คือจากอดีตจนถึงวันนี้เป็นการสร้างรูปแบบวิธีคิดของพวกท่าน ให้พวกท่านสามารถใช้วิธีคิดเช่นนี้จึงจะสามารถเข้าใจฝ่า บำเพ็ญ   ได้ให้ “จ้วนฝ่าหลุน” แก่พวกท่านแล้ว ใส่ฝ่าหลุนให้แก่พวกท่าน อาจารย์ใช้ฝ่าหลุนใหญ่ทำการชำระทุกสิ่งทุกอย่างของท่านให้บริสุทธิ์ จัดการปัญหาในระหว่างบำเพ็ญให้ท่านครึ่งหนึ่งแล้วจริงๆ นี่เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน แต่ยังไม่ใช่เพียงเท่านี้ เพราะตัวของต้าฝ่านี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก ฉะนั้นจึงทำให้คนบำเพ็ญได้เร็วยิ่งขึ้น เรื่องที่ว่าอาจารย์ใส่ฝ่าหลุนให้ฉันแล้วฉันก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว วันนี้ไม่บำเพ็ญแล้ว ฉันก็สำเร็จแล้วครึ่งหนึ่งนั้น ไม่ใช่แนวคิดเช่นนี้

ศิษย์           ท่านกล่าวว่า มีครั้งหนึ่งที่อยู่กับผู้สำเร็จธรรมชั้นสูง เต๋าใหญ่ 4-5 ท่านด้วยกัน ผมอู้ไม่ได้ว่าเหตุใดจึงพูดเรื่องนี้

อาจารย์      เป็นเพราะท่านมีอุปสรรคในความคิด ฝ่าไม่อาจจะนำมาพูดให้ตรงตามที่ใจท่านคิด! ที่อู้ไม่ได้นั้น เห็นได้ชัดว่าในใจท่านมีอุปสรรคใหญ่ของการยึดติด ท่านต้องไม่ตั้งใจไปวงที่ตัวอักษร ถ้อยคำแต่ละประโยค ตัวหนังสือแต่ละบรรทัด ถ้าท่านตั้งใจไปขีดไปวงเพื่อจะรู้ความหมายของมัน นั่นก็เป็นสิ่งผิด ผิดอย่างยิ่งแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าจะบอกท่านทั้งหลาย เวลาอ่านจ้วนฝ่าหลุน ต้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ว่าท่านต้องรู้ว่าท่านกำลังอ่านอะไรอยู่ เมื่อถึงเวลาที่ท่านควรจะอู้ถึงชั้นใด พุทธ เต๋าเทพก็จะชี้แนะให้แก่ท่าน ท่านก็จะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ทันที ยังไม่สมควรให้ท่านอู้ได้ ก็จะไม่ชี้แนะให้แก่ท่าน ต่อให้ท่านวงแล้ววงอีกก็ไม่เข้าใจ ท่านบอกว่า ฉันอยากจะเข้าใจหลักการในอาณาจักรเขตแดนชั้นสูงนั้นจากข้างในตัวหนังสือนี้ ท่านก็กำลังฝืนให้เป็นไปตามนั้น การบำเพ็ญอยู่ที่ตัว พลังกงอยู่ที่อาจารย์ ตนเองคิดจะหาวิธีอย่างไร ท่านก็ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ความหมายเป็นเช่นนี้ ใน“จ้วนฝ่าหลุน” มีอยู่หลายหน้า ที่บางคนรู้สึกไม่อยากอ่าน อยากอ่านแต่เฉพาะส่วนที่พูดถึงซินซิ่ง ข้าพเจ้าขอบอกท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดแม้ว่ามีหลายแห่งที่ท่านอ่านแล้วเห็นว่าเป็นการพูดถึงกงเหนิง(ความสามารถ) หรือพูดถึงสิ่งอื่นๆ ล้วนมีหลักการต่างๆ สอดแทรกอยู่ข้างใน สอดแทรกข้อกำหนดของสภาวะต่างๆ ที่บรรลุถึงในระหว่างบำเพ็ญอยู่ข้างใน ท่านต้องอ่านติดต่อกัน ทุกครั้งที่ท่านอ่านต้องไม่ข้ามแม้แต่หน้าเดียว หรืออักษรแม้แต่ตัวเดียว ท่านต้องอ่านอย่างนี้ การเรียงลำดับของหนังสือจะบังเกิดผลแนบแน่นอย่างยิ่งยวดกับการบำเพ็ญของคน

            ฝ่าท่อนนี้ที่ข้าพเจ้าพูด ไม่ใช่พูดแบบตามใจชอบ หรือเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้พวกท่านฟัง อย่างผิวเผินข้าพเจ้าบอกพวกท่านว่า ในอาณาจักรเขตแดนนั้น การเข้าสู่ความสงบมีสภาวะเป็นเช่นไร ข้าพเจ้าเชื่อมต่อความรู้สึกกับพวกเขา เนื่องจากข้าพเจ้ายังคงมีเรื่องที่ต้องทำในหมู่คนธรรมดาสามัญ มีร่างกายของคนธรรมดาสามัญ ต้องช่วยพวกท่าน หาไม่แล้วความสงบของพวกเขาอาจจะ ไม่ใช่ความสงบในอาณาจักรเขตแดนของข้าพเจ้า ถ้าหากเป็นพวกท่าน คนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเชื่อมต่อกับพวกเขา ในทันทีความคิดอะไรของท่านก็จะไม่มี ความคิดของคนธรรมดาสามัญทั้งหมดจะถูกกำจัดหมดสิ้นไป ความคิดของเขาจึงมีอานุภาพมากเช่นนี้เอง ในพริบตาท่านสามารถบรรลุถึงข้อกำหนดในอาณาจักเขตแดนที่สูงมากแล้ว แต่ว่านั่นไม่ใช่ท่านบำเพ็ญ ในนั้นมีความหมายข้างในที่ลึกซึ้งมาก อย่าประเมินฝ่าด้วยความคิดของคน

ศิษย์           ในจักรวาล สสารสองชนิดในระดับจุลทัศน์มากๆ มีความแตกต่างอย่างไรกับคุณลักษณะพิเศษ เจิน ซั่น เหยิ่น เพราะเหตุใดยิ่งต่ำลงมา สสารทั้งสองชนิดยิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

อาจารย์      อันที่จริง ถามสิ่งเหล่านี้ด้วยความคิดอย่างคนของพวกท่าน ไม่เป็นการเคารพอย่างแท้จริง ถ้าหากพวกท่านสามารถจะเป็นอย่างเทพ ก็ไม่กล้าจะถามปัญหาอย่างนี้โดยแน่นอน นี่คือสิ่งที่ต้าฝ่าแห่งจักรวาลจัดสร้างให้แก่ชีวิต สสารสองชนิดนี้ก็จัดสร้างขึ้นโดยต้าฝ่า ข้าพเจ้าบอกท่านได้เท่านี้ ชีวิตหนึ่งดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมหนึ่งควรมีจะสีสันหลากหลาย พูดถึงคนก็แล้วกัน คนถ้าไม่มีความสนุกสนานในแบบของคน คนจะมีชีวิตอยู่อย่างหงอยเหงา ไม่มีความหมาย ก็คือความรู้สึกอย่างนี้ นั่นย่อมจะต้องให้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย ต้าฝ่าสามารถสถาปนาสังคมที่รุ่งเรืองให้แก่ชีวิตของระดับชั้นต่างๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตามที่คนคิด ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดโดยคร่าวๆว่า การดำรงอยู่ของสสารสองชนิดนั้นก่อให้เกิดการเป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกัน และอินหยาง ได้พูดถึงที่มาของอินหยาง และการเป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกัน จึงพูดถึงสสารสองชนิดนี้ แต่ในจักรวาล องค์ประกอบที่สลับซับซ้อนมีมากมายไปหมด ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบำเพ็ญของพวกท่านในปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็จะไม่พูด ข้าพเจ้าจึงเลือกสรรสิ่งที่สามารถทำให้ท่านอู้ในหลักการได้โดยสังเขป สิ่งที่สามารถยกระดับให้สูงขึ้นมาพูด หากรู้มากเกินไป ท่านมักจะวนเวียนกับความคิดเช่นนี้ ก็จะกระทบการบำเพ็ญของพวกท่าน

ศิษย์           ระยะหลังนี้มีผู้ฝึกจำนวนมากไปบำเพ็ญที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หากกระจายตัวไปฝึกพลังกงในสวนสาธารณะหลายๆแห่ง จะเป็นประโยชน์ต่อการหงฝ่า(เผยแพร่ฝ่า)มากกว่าหรือไม่

อาจารย์      นี้ล้วนเป็นเรื่องที่ตัวพวกท่านเองจะทำเป็นรูปธรรมอย่างไร พวกท่านรู้สึกว่าทุกคนฝึกพลังกงด้วยกัน คนมากจะมีสนาม(พลัง)ใหญ่ อาจจะได้ผลสะท้อนมาก ผู้คนมองดู โอ้ ฝึกฝ่าหลุนกงมีคนมากมายเช่นนี้ พลังงานแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! พวกเราก็ไปฝึกด้วย เช่นนั้นบางคนก็คิดว่า: คนที่นี่รู้จักแล้ว คนที่อื่นยังไม่รู้จัก พวกเราก็แยกย้ายไปที่อื่นกันบ้าง เพื่อกระตุ้นคนในที่อื่นๆ ให้มาได้ฝ่า นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมของตัวพวกท่าน อยากจะทำอย่างไร พวกท่านก็ทำกันเอง เรื่องอย่างนี้ไม่ควรจะให้ข้าพเจ้ามากำหนดให้พวกท่าน ต่างสถานที่ ต่างสภาพการณ์ และยังมีสภาวะความเข้าใจต่อฝ่าในระดับชั้นที่ต่างกัน นี่ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญของพวกท่าน พวกท่านพิจารณาดูว่าสมควรจะทำอย่างไร รู้สึกว่าทำอย่างไรดีก็ให้ทำไป

ศิษย์           บางคนเข้าใจว่า หงฝ่าก็คือฝึกพลังกงกับมีหนังสือของต้าฝ่า การฝึกพลังกงเป็นกลุ่มใหญ่ หรือการเปิดวิดิทัศน์บรรยายฝ่านั้นไม่มีความจำเป็น

อาจารย์      รูปธรรมควรทำอย่างไร เป็นเรื่องของพวกท่าน สิ่งนี้เหมือนกับการบำเพ็ญของพวกท่าน ขอบอกท่านทั้งหลาย การดูวิดิทัศน์ ศึกษาฝ่าร่วมกัน ฝึกพลังกงร่วมกัน และการประชุมอย่างในวันนี้ของพวกเรา เหล่านี้คือรูปแบบการบำเพ็ญเพียงประการเดียวที่ข้าพเจ้ามอบไว้ให้แก่พวกท่าน สิ่งอื่นๆ ล้วนแต่ให้เป็นไปอย่างอิสระ รวมทั้งพวกท่านจะมาหรือไม่มา ก็ไม่มีการเช็คชื่อบอกให้ท่านต้องมา ทุกคนล้วนแต่มาด้วยความสมัครใจ การบำเพ็ญต้องอาศัยจิตใจดวงนั้นของตน ท่านไม่อยากมา ไม่อยากบำเพ็ญ ก็แล้วแต่ท่าน

ศิษย์           ผู้ฝึกที่เป็นคนผิวขาวมีความกระตือรือร้นช่วยเหลืองานสังคมและงานในท้องถิ่นกันมาก เข้าใจว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความเมตตากรุณา การเป็นคนดี

อาจารย์      นี่เป็นได้เพียงการกระทำด้วยใจรักของคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน เพราะข้าพเจ้าก็กำหนดให้คนเป็นคนดีในทุกๆสภาพการณ์ แต่หากให้ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านี้มากว่าการศึกษาฝ่า มากกว่าการบำเพ็ญ ข้าพเจ้าว่านั่นก็ผิด การยึดติดกับเรื่องอะไรก็ตามล้วนอาจจะเป็นการยึดติดในแบบหนึ่ง แต่ในทางกลับกันหากท่านปฏิบัติไม่ดีไม่ว่าจะในสภาพการณ์ใดก็ตาม เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้มาตรฐานของคนบำเพ็ญ หมายความว่า เมื่อท่านพัฒนาในฝ่าต่อไปเรื่อยๆ ปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข ท่านก็จะรู้ว่าจะทำอย่างไร

ศิษย์           ยืนหยัดฝึกพลังกงอยู่ข้างนอกในช่วงตลอดฤดูหนาว การชำระกรรมด้วยวิธีนั้นจะสามารถทดแทนการชำระกรรมด้วยการนั่งสมาธิเพชรไหม

อาจารย์      ไม่มีทฤษฎีอย่างนี้ ตัวเองคิดหาวิธีจัดการกับความทุกข์ยากให้กับตัวเอง คิดอยากจะเดินบนเส้นทางที่ไม่ต้องทนทุกข์ หนทางบำเพ็ญที่ทนทุกข์แต่เพียงเล็กน้อย ทำอย่างนี้ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า การบำเพ็ญก็คือการยกระดับ จะไม่หยุดอยู่ ณ สภาพใดสภาพหนึ่ง กลัวการนั่งสมาธิเพชรมิใช่จิตยึดติดแบบหนึ่งหรอกหรือ

ศิษย์           ถึงแม้จิตสำนึกรองบำเพ็ญสำเร็จเป็นเทพ จิตสำนึกหลักอาจยังต้องเข้าสู่หกทาง(วัฏสงสาร) ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้อยู่ในร่างเดียวกัน

อาจารย์      ปัญหานี้ข้าพเจ้าได้พูดไว้ชัดเจนมากแล้ว เมื่ออยู่ในโลกกล่าวสำหรับท่านแล้ว จิตสำนึกหลักและจิตสำนึกรองล้วนแต่เป็นท่าน ท่านจะไม่ยอมรับจิตใดจิตหนึ่งก็ไม่ได้ เขาก็มีชื่อเดียวกับท่าน ทำสิ่งเดียวกันกับท่าน ควบคุมสมองของท่าน ล้วนแต่เป็นท่าน แต่ผู้ที่ควบคุมคนอย่างแท้จริงในเวลาที่ท่านมีสติสัมปชัญญะแจ่มแจ้งอย่างที่สุด สำนึกทั้งหมดของท่าน หยวนเสิน(จิตหลัก)เป็นผู้ควบคุม เพราะเหตุใด เพราะเมื่อฟู่หยวนเสิน(จิตรอง)บำเพ็ญหยวนหมั่น(สำเร็จสมบูรณ์)ท่านจะไม่ทราบ เขาจะเหมือนกับท่าน มีหน้าตาเหมือนกัน บำเพ็ญสำเร็จแล้วจากไป แต่ท่านยังต้องเข้าสู่หกทาง(วัฏสงสาร)เช่นเดิม จิตสำนึกหลักของท่านบำเพ็ญสำเร็จ ตัวท่านจะรู้เอง โอ้ ฉันบำเพ็ญสำเร็จแล้ว ฉันจะหยวนหมั่นแล้ว แต่จิตสำนึกรองเขาเป็นส่วนหนึ่งของท่านด้วย ดังนั้นท่านบำเพ็ญ เขาก็บำเพ็ญตามไปกับท่าน ท่านหยวนหมั่น เขาก็หยวนหมั่นตามไปกับท่านด้วย ความสัมพันธ์เป็นเช่นนี้

ศิษย์           เมื่อก่อนผมเป็นเภสัชกร รู้จักวิธีนวด เวลานี้ผมยังจะช่วยนวดให้แก่พวกเขาโดยไม่คิดค่าตอบแทนได้ไหม

อาจารย์      ตรงนี้ท่านเน้นว่านวดให้โดยไม่คิดเงิน เป็นการทำสิ่งดีใช่หรือไม่? ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจังมากๆ ข้าพเจ้าชำระร่างกายให้ท่านอย่างต่อเนื่อง ท่านไม่ควรทำให้สกปรกอีก ความหมายเป็นเช่นนี้ เพราะเมื่อผิวหนัง กายเนื้อของคนสัมผัสซึ่งกันและกันก็จะทำให้สนามเชื่อมต่อถึงกัน เหตุใดเมื่อพวกเราฝึกพลังกงด้วยกัน สนามพลังงานจึงแรงมาก เพราะว่าสนามของพวกท่านทั้งหมด สนามที่ดีเช่นนี้เชื่อมต่อถึงกัน จึงก้าวหน้าได้เร็วมาก ท่านทั้งหลายจะรู้สึกสบายอย่างยิ่ง เช่นนั้นคนธรรมดาสามัญเขาไม่บำเพ็ญ สนามของเขามีแต่กรรม เมื่อข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ หลายๆคนอาจจะคิด โอ้ถ้าอย่างนี้! คนในบ้านฉัน ฉันก็ไม่ควรจะอยู่ด้วยซินะ ใช่หรือไม่! ท่านเป็นคนบำเพ็ญ ข้าพเจ้าได้จัดการปัญหานี้ให้แก่ท่านแล้ว ท่านจึงไม่ต้องไปคิด และก็ต้องไม่มีจิตกลัวอะไร ก็คือว่า ท่านตั้งใจจะไปทำอะไร นั่นเท่ากับท่านตั้งใจไปรับอะไร ขณะที่ท่านนวดให้เขา ท่านมีความคิด ฉันอยากให้โรคของเขาหาย เพราะท่านไม่ได้ใช้วิธีการรักษาในแผนปัจจุบัน ไม่ได้ใช้ยารักษาโรคให้เขา ท่านใช้ร่างกายท่านรักษาโรคให้เขา ฉะนั้นก็อาจจะทำให้ท่านสกปรก ความหมายเป็นเช่นนี้ พูดถึงว่าพวกเราผู้ฝึกบางคน ประกอบอาชีพเป็นหมอนวด ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่อาจจะหาอาชีพอื่นทำจริงๆ ข้าพเจ้าสามารถปิดกั้นร่างกายท่านเอาไว้เพื่อแก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตของท่าน แต่ถ้าท่านไม่ได้ประกอบอาชีพแบบนี้ ท่านอย่าทำเป็นดีที่สุด ก็พูดในความหมายนี้ พูดถึงการฝังเข็ม ฉันเป็นแพทย์จ่ายยาฉีดยาให้ผู้คน นี่ไม่ส่งผลกระทบ นี่เป็นวิธีการ

ศิษย์           ในตระกูลมีคนเคยเป็นโรคประสาท แต่ตัวเขาเองไม่เคยเป็นโรคประสาทมาก่อน เขาฝึกพลังกงได้หรือไม่

อาจารย์      ข้าพเจ้าพูดแล้ว ไม่ใช่แน่นอนเสมอไปว่าในตระกูลมีคนเป็นโรคประสาท ท่านก็จะเป็นโรคประสาท จะต้องดูกันอย่างนี้หรือไม่ ให้ดูกันสองด้าน คือ คนที่มีสติสัมปชัญญะดี จิตสำนึกหลักเข้มแข็ง ย่อมไม่มีปัญหาในการฝึกพลังกง ถ้าหากในบ้านมีประวัติการเป็นโรคประสาท เช่นนั้นพวกท่านต้องระวัง หากท่านเป็นโรคประสาทก็ฝึกพลังกงไม่ได้ เพราะว่าคนเป็นโรคประสาท จิตสำนึกหลักของเขามักไม่แจ่มชัด จะโทษว่าข้าพเจ้าไม่สอนท่านไม่ได้ ฝ่าของข้าพเจ้านี้ต้องให้กับจิตสำนึกหลัก ช่วยคนๆนี้ แต่คนๆนี้ ท่านมีสติไม่แจ่มชัด เราเอาฝ่าให้ใครล่ะ เมื่อโรคประสาทของท่านกำเริบ มันคือกรรมของท่าน ความคิดที่ไม่ดี ชีวิตจากภายนอก พวกเราสามารถให้มันได้หรือ ไม่ได้ นี้คือเหตุผล ดังนั้นคนที่ในตระกูลมีประวัติเป็นโรคประสาทจะต้องระวัง! รู้สึกว่าตนเองควบคุมตนเองไม่ได้ ท่านก็อย่าเข้ามาร่วม คนที่ตัวเองเป็นโรคประสาท ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ท่านมาที่ศูนย์ฝึกพลังกง และไม่ต้องการให้มาฟังฝ่าในที่ประชุมฝ่าฮุ่ย

ศิษย์           เด็กอายุ 12 ปี เขาบำเพ็ญสัปดาห์ละครั้ง ตอนกลางคืนก่อนนอนฟังการบรรยายฝ่า การฝึกพลังกง ศึกษาฝ่าของเขาถือว่าปกติหรือไม่

อาจารย์      เด็กจะมีสภาวะของเด็ก ถ้าหากเขาได้สัมผัสฝ่าแล้ว ศึกษาและฝึกพลังกงอยู่ อันที่จริงเขาก็บำเพ็ญอยู่ นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน พวกเราปฏิบัติต่อเด็กกับผู้ใหญ่มีความเข้มงวดต่างกัน เพราะเด็กไม่มีทรรศนคติในแบบของผู้ใหญ่ สิ่งที่ประกอบจากความคิดสลับซับซ้อน เขามีความเรียบง่ายมาก ดังนั้นได้ฝ่าแล้วก็ไปเร็ว

ศิษย์           ในเวลาที่สมองของผมคิดในสิ่งที่ไม่ดี ในมิติอื่นอาจจะก่อเกิดสสารที่ไม่ดี เช่นนั้นจะทำอย่างไร

อาจารย์      ท่านพยายามไม่คิดในสิ่งที่ไม่ดี ท่านกำลังบำเพ็ญอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคิดแล้วก็อย่าไปสนใจมัน และไม่ต้องไปกลัว เมื่อท่านกลัว “นี่จะทำอย่างไรดี” นี่ก็คือยึดติด ดังนั้นพวกเราต้องพยายามศึกษาฝ่า อ่านหนังสือให้มาก ให้คงสภาวะจิตที่บริสุทธิ์ของตนเอาไว้จะดีกว่า แต่จะไม่คิดเรื่องที่ไม่ดีเสียทีเดียวทั้งหมด เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่ท่านยังไม่หยวนหมั่น ท่านก็ทำไม่ได้ พูดถึงว่ามันก่อเกิดสิ่งใด ท่านเป็นผู้บำเพ็ญแล้ว ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง สวรรค์ไม่ดูพวกท่านว่าเป็นคน พวกเขาถือว่าท่านเป็นเทพ เมื่อหยวนหมั่นแล้ว พวกท่านก็จะเป็นเทพในระดับชั้นต่างๆ ดังนั้นในวันที่ท่านอยู่เหนือคนธรรมดาสามัญ เมื่อร่างกายของท่านมีสิ่งที่เหนือคนธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบำเพ็ญในช่วงเวลาแห่งการเจิ้งฝ่า(ปรับฝ่าให้ถูกต้อง) ไม่เพียงแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ดูแลท่านอยู่ รอบตัวท่านมีมังกรสวรรค์แปดกลุ่มคอยปกป้องฝ่าอยู่จริงๆ เพียงแต่ตัวท่านเองไม่รู้ มีคนจำนวนมากทันทีที่ฝึกพลังกง ก็มีความใจกล้ามากขึ้น เพราะเหตุใด ไม่เฉพาะแต่เป็นองค์ประกอบของตัวท่านเอง เพราะพวกท่านมีด้านที่รู้แล้ว ดังนั้นใจจึงแกร่งกล้าขึ้นมา

ศิษย์           เป็นคนขี้อายมากตั้งแต่เล็ก เป็นจิตยึดติดที่รุนแรงใช่ไหม

อาจารย์      เป็นคนหากไม่มีความละอาย ข้าพเจ้าว่าเขาก็เป็นคนไม่ดีมากๆ การเป็นคนบำเพ็ญคนหนึ่ง ถ้าท่านยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ นั่นท่านก็เป็นคนๆหนึ่ง แต่ที่ผ่านมามีคนจำนวนมากหลังจากฝึกพลังกงแล้ว ก็ไม่สนใจเรื่องการแต่งตัวเลย มอมแมมไม่เรียบร้อย สกปรก ศิษย์ต้าฝ่าถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าว่าท่านก็ทำให้ต้าฝ่ามัวหมอง ท่านทั้งหลายทราบไหม เวลาข้าพเจ้าไปบรรยายฝ่าให้แก่พวกท่าน ไม่ว่าจะในโอกาสใด เปรียบเทียบกันแล้วรู้สึกว่าข้าพเจ้าจะแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อยสักหน่อย แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าตั้งใจแต่งตัวให้พวกท่านได้เห็น ยิ่งกว่านั้นมีคนกำลังเลียนแบบวิธีการพูดของข้าพเจ้า เลียนแบบวิธีการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้มาก ไม่สามารถทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่พวกท่าน เพราะว่าพวกท่านดำเนินชีวิตอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ต้องระมัดระวังกันบ้าง

            ข้าพเจ้ามองเห็นสภาพการณ์แบบหนึ่ง คนจีนไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งของ ณ ชั้นพื้นผิว ค่อนข้างปล่อยตัวตามสบาย ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดเล่นเมื่อคราวก่อน คนจีนเน้นภูมิความรู้ข้างใน ในสมองมีสิ่งต่างๆ อุดมสมบูรณ์มาก มีทีเด็ดอยู่ในตัวมากมาย ทำอาหารก็น่ารับประทาน แต่ภายนอกเขาดูสกปรกมอมแมม แล้วคนผิวขาวล่ะ ให้คิดว่าข้าพเจ้ากำลังพูดเล่นกับพวกท่านก็แล้วกัน คนผิวขาวทำอาหารไม่อร่อยเท่าคนจีนทำ แต่ว่ามีดเอย ส้อมเอยวางเรียงกันอย่างเรียบร้อย จะรับประทานอะไร ใช้มีดใช้ส้อมอันไหน จะดื่มอะไร ใช้แก้วแบบไหน พิถีพิถันกับเปลือกนอก มีมารยาทมาก นี่คือความแตกต่างระหว่างคนผิวขาวกับคนจีน แต่ข้าพเจ้าคิดว่า หากสามารถจะผสมผสานเข้าด้วยกันสักหน่อย ให้คนจีนเน้นความมีอารยธรรมสักนิด คนผิวขาวมีภูมิความรู้ข้างในสักหน่อย เช่นนั้นก็จะดีมาก (เสียงปรบมือ)

            คนผิวขาวให้ความสำคัญกับกิริยาของความมีอารยธรรมของพวกเขา นี่คือวัฒนธรรมของพวกเขา เหตุใดบางครั้งคนผิวขาวจึงโกรธพวกท่าน บางคนยังรู้สึกว่าโกรธพวกท่านโดยไม่มีเหตุผล ถ้าบ่อนทำลายวัฒนธรรมของพวกเขา ต่อให้เป็นเรื่องที่เล็ก พวกเขาก็จะโกรธกันอย่างมากจริงๆ คนจำนวนมากไม่ระวังในเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นเวลาที่เข้าไปในร้านค้า ข้างหลังพวกเรามีคนเดินตามเข้ามา พอท่านเปิดประตูแล้วก็ไม่สนใจ “โครม” ปิดแล้วท่านก็เดินไปเลย ถ้าเขาเป็นคนผิวขาว เขาจะโกรธมาก ท่านกำลังบ่อนทำลายวัฒนธรรมของเขา เขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย คำพูด การกระทำ กิริยาที่ไม่มีมารยาทของท่าน เขาจะโกรธมาก พวกท่านดำรงชีวิตอยู่ในสังคมของคนเขา ดังนั้นจึงต้องระวังทางด้านนี้กันบ้าง

ศิษย์           ดิฉันเป็นผู้ฝึกที่มาจากประเทศจีน ได้พบท่านอาจารย์ครั้งนี้ น้ำตาไหลไม่หยุด ไม่ทราบจะพูดอย่างไร

อาจารย์      พวกท่านเห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ในระยะครึ่งปีมานี้ดูเหมือนจะได้พบกับท่านทั้งหลายอีกแล้ว รู้สึกว่าพบกันง่ายเหลือเกิน แต่ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่มีผู้ฝึกเป็นจำนวนมากกลับไม่ได้พบข้าพเจ้า พวกเขาคิดถึงอาจารย์มาก ข้าพเจ้าก็คิดถึงพวกเขาเช่นกัน เป็นเช่นนี้

ศิษย์           แต่ละมิติมีฉันหนึ่งคนคงอยู่ แต่ละมิตินี้อยู่ข้างในสามภพไหม?

อาจารย์      เป็นเช่นนี้ อยู่ข้างในสามภพ มิติข้างในสามภพก็มีความสลับซับซ้อนที่สุด ในอนาคตเมื่อมีโอกาสข้าพเจ้าจะอธิบายโครงสร้างของสสาร ความซับซ้อนนั้นอยู่ในระดับที่น่าตกใจ แต่ก็ไม่มีคำพูดสามารถจะบรรยายมัน จะวาดก็วาดออกมาไม่ได้ ฉะนั้นบางครั้งเวลาข้าพเจ้าบรรยายฝ่าให้กับพวกท่าน ใช้คำพูดของคนจนจะหมดสิ้นยังยากที่จะบรรยายความยิ่งใหญ่ของจักรวาล

ศิษย์           ได้ข่าวว่าองค์กรศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์จีนผลิตหมีแพนด้าเลียนแบบ

อาจารย์      ก็คือโคลนนิ่ง ใช่ไหม พวกท่านไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งเหล่านี้ มนุษย์กำลังบ่อนทำลายตัวเอง เมื่อวันก่อนข้าพเจ้าพูดแล้วว่า มนุษย์ผลิตเลียนแบบสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อใดที่มนุษย์ผลิตมนุษย์เลียนแบบ เมื่อนั้นก็คือการเริ่มต้นยินยอมให้มนุษย์ต่างดาวมาแทนที่มนุษย์ เพียงเพราะคนมองไม่เห็นด้านที่เทพคงอยู่ คนจึงรู้สึกว่าการแสวงหาอย่างไร้ขีดจำกัด นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการค้นหา ช่างเป็นคำพูด(คำศัพท์)ที่น่าฟัง แท้ที่จริงกำลังบ่อนทำลายมนุษย์ มนุษย์กำลังบ่อนทำลายตัวเอง

ศิษย์           มีบางคนในพุทธศาสนา โจมตีต้าฝ่าว่าไม่ใช่ธรรมะที่ถูกต้อง

อาจารย์      เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจ พวกเขาได้มาถึงช่วงสุดท้ายของปลายธรรมะแล้ว เรื่องเหล่านี้หากพวกเราใช้วิธีการเดียวกับที่พวกเขาทำ พวกเขาโจมตีต้าฝ่า พวกท่านก็แจกจ่ายเอกสารโจมตีพวกเขา เช่นนั้นต้าฝ่ามิเหมือนกับพวกเขาหรอกหรือ ต้าฝ่าของเราคือต้าฝ่าแห่งจักรวาล ท่านอย่าเห็นว่าพวกเขากำลังให้ร้ายป้ายสี แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่อะไรเลย ในครั้งนั้นเมื่อองค์ศากยมนีปรากฏ ศาสนาพราหมณ์ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน

ศิษย์           การผันแปรจากส่วนของจุลทัศน์ไปสู่ส่วนของมหภาค นี้ก็คือขั้นตอนการแปรผันของเปิ๋นถี่(ร่างแท้) ใช่หรือไม่

อาจารย์      ท่านสามารถจะเข้าใจเช่นนี้ บำเพ็ญได้เร็วเท่าใดก็จะแปรผันได้เร็วเท่านั้น

ศิษย์           เหตุใดมิติอื่นๆมากมายภายในอาณาเขตที่กำหนดในจักรวาล ในเวลาเดียวกันมีเขาหนึ่งคน

อาจารย์      จักรวาลก็เป็นโครงสร้างที่สลับซับซ้อนอย่างนี้ ในเวลาที่ท่านถือกำเนิด ในมิติมากมายก็มีท่านหนึ่งคนถือกำเนิด มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน ทำในสิ่งที่คล้ายกันและมีชื่อเดียวกับท่าน เกิดเวลาเดียวกันและตายเวลาเดียวกัน แต่คุณภาพของการดำรงชีพจะต่างกัน เกี่ยวข้องอย่างไรกับท่านนะหรือ เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า เกิดเวลาเดียวกันและตายเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากนัก เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดว่า ถึงแม้จะเกิดเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่เกิดกันทั้งหมด ท่านอยากจะเกิดก็ไม่สามารถจะเกิด พวกเขาไม่ตายกันทั้งหมด ท่านอยากตายก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ฉะนั้นเหตุที่พูดว่าผีโดดเดี่ยวผีไร้ญาติไม่มีทางจะไปเกิดใหม่ เป็นเพราะเขาทั้งหมดยังไม่ตาย ถ้าแม้นมีคนเดียวในนั้นที่ฆ่าตัวตาย ต้องการจะตายให้ได้ ฉะนั้นคนที่ตายไปก็จะไม่มีที่ไป ต้องรอจนกว่าคนที่มีชีวิตอยู่เดินจบขั้นตอนของชีวิตทั้งหมดจึงจะสามารถพากันไปหาที่พักพิงด้วยกัน สำหรับหยวนเสิน เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า หยวนเสินก็คือท่าน จิตหลักก็คือตัวท่านเอง แหล่งที่มาของความคิดของท่านก็คือท่าน สำหรับหยวนอิง นั่นคือร่างพุทธะที่ถือกำเนิดจากสติปัญญาและฝ่าของท่านในระหว่างบำเพ็ญ ฝ่าชุดนี้ของเรายังสามารถทำให้ร่างกายของคนเกิดการเปลี่ยนแปลงของธาตุแท้ ร่างกายนี้ก็สามารถแปรผันเป็นร่างพุทธะ

ศิษย์           ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า: บางทีเมื่อท่านได้ธรรมะ ในอนาคตคนจำนวนมากจะได้รับประโยชน์

อาจารย์      ใช่ มันเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายลองคิดดู คนๆหนึ่งหากบำเพ็ญสำเร็จเป็นพุทธะ พ่อแม่ พี่น้องของเขา พูดถึงพ่อแม่ที่ให้กำเนิดบุตรธิดาที่ดีอย่างนี้ พวกเขาจะไม่มีบุญกุศลหรอกหรือ ต้องมีอย่างแน่นอน ถามว่าจะมีบุญกุศลมากเท่าใด จะจัดวางพวกเขาไว้ ณ ที่ใด แน่นอนก็จะจัดการไปตามแต่ว่าบุญกุศลของเขามากน้อยเท่าใด เมื่อเขาหยวนหมั่นเป็นพุทธะ พ่อแม่ไม่บำเพ็ญก็เป็นพุทธะ นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาไม่ได้บำเพ็ญ ต้องกำหนดโดยดูที่บุญกุศล ซินซิ่ง กรรมมีมากหรือน้อยก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เช่นนั้นตรงนี้จึงไม่เพียงแต่พ่อแม่ พี่น้องเท่านั้น ยังรวมไปถึงคนและชีวิตตลอดจนความสัมพันธ์แห่งความแค้นที่เขาติดต่อสัมผัสด้วยในโลกนี้ ท่านเคยฆ่าชีวิต ท่านสำเร็จเป็นพุทธะแล้ว สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นที่ท่านฆ่าจะทำอย่างไรล่ะ ท่านต้องช่วยมัน แน่นอนสิ่งเหล่านี้ในเวลาที่ท่านบำเพ็ญสำเร็จหยวนหมั่น อาจารย์ก็จะทำให้แก่ท่าน และถือว่าท่านเป็นคนช่วย เพราะต้องช่วยให้ไปยังโลกของท่าน จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ให้แก่พวกท่านเช่นนี้ แล้วยังมีคนอีกมากมายที่เคยทำประโยชน์แก่ท่าน เช่นนั้นคนพวกนี้ก็ไม่อาจจะไม่ดูแล องค์ประกอบเหล่านี้ในทุกๆด้าน การบำเพ็ญจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่ตัวท่านเองไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขความสัมพันธ์แต่ชาติปางก่อนในลักษณะต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจารย์ก็ทำให้

ศิษย์           ท่านอาจารย์ให้โอกาสผู้ฝึกบางส่วนของแต่ละพื้นที่เข้าพบ ทุกคนต่างไม่อยากจะพลาดโอกาส เป็นความยึดติดหรือไม่?

อาจารย์      วันนี้อาจมีปรากฏการณ์เช่นนี้ เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าในประเทศจีน ผู้ฝึกต่างก็รู้ พวกท่านก็อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง ในชั้นเรียนวันแรก ทุกๆคนต่างพากันหาที่นั่งในแถวหน้าๆ อยู่ใกล้กับอาจารย์จะได้รับพลังงานมากสักหน่อย เมื่อจบชั้นเรียนในวันที่สามก็ไม่มีใครพยายามที่จะหาที่นั่งในแถวหน้าๆ ทุกคนต่างสละที่นั่งดีๆ ให้แก่ผู้สูงอายุหรือให้คนอื่น ไม่มีใครจับจองที่นั่ง ก่อเกิดเป็นสภาพของความสุขสงบไปทั่วทั้งหอประชุม คนล้วนมีขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลง แน่นอนวันนี้พวกเรามีจำนวนมากที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่นอย่างเร่งด่วน หรือไม่ได้พบกับข้าพเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว ทุกคนอยากขึ้นมานั่งข้างหน้าเพื่อจะได้มองเห็นอาจารย์ได้ชัดเจน จิตใจเช่นนี้ข้าพเจ้าเข้าใจ สำหรับการจับจองที่นั่งดีๆ เรื่องอย่างนี้คนผิวขาวจะไม่ทำ โดยสรุป เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งของในชั้นพื้นผิว

ศิษย์           ผู้ฝึกเก่าซินซิ่งยกระดับสูงขึ้น มีแรงพลังกงมากยิ่งขึ้นนับวัน คำพูดและการกระทำของพวกเขาจะส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกใหม่อย่างมาก ผู้ฝึกใหม่และเก่าควรจะปฏิบัติตนให้ดีอย่างไร

อาจารย์      ผู้ฝึกเก่าส่วนใหญ่บำเพ็ญได้ดีมาก แต่ไม่อาจจะบอกได้ว่าผู้ฝึกเก่าทุกคนทำได้ดีอย่างนั้นกันทั้งหมด ข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะบอกว่า ท่านไม่ได้มาตรฐานไม่ให้ท่านมาฝึกพลังกง จะทำอย่างนี้ได้ไหม ทำไม่ได้ ฉะนั้นคำพูดและการกระทำต่างๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่น แต่มีฝ่าอยู่ไม่ต้องเป็นห่วง แม้แต่ผู้ฝึกใหม่คนหนึ่งหลังจากได้ศึกษาฝ่าหลายครั้งก็จะปฏิบัติโดยยึดฝ่าเป็นบรรทัดฐาน ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้ฝึกเก่าเขาก็รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่ไม่ถูกต้อง คนนั้นมีความคิด และมีฝ่าอยู่ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา ท่านทั้งหลายก็ล้วนแต่ดำเนินกันมาเช่นนี้ สำหรับผู้ช่วยฝึกสอน ผู้ฝึกเก่าอาจจะกังวลกับปัญหานี้ ล้วนเป็นจุดเริ่มต้น เป็นความคิดที่ดี หากพวกท่านมองเห็นและอยากคิดหาวิธีแก้ไข ก็พยายามบอกให้ทุกคนพึงระวัง ฉะนั้นผู้ฝึกเก่าเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกใหม่ โดยแท้จริงท่านก็สมควรต้องระวังตัวเองบ้าง แม้จะไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อตัวเอง ท่านก็ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อต้าฝ่า ณ ที่นี้คือดินแดนที่บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ค้นหาจากภายในตัวเองเมื่อประสบกับความขัดแย้ง จนกลายเป็นสถานที่ทำงานในสังคมแบบหนึ่ง ให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้

ศิษย์           ก่อนบำเพ็ญ มีอยู่คืนหนึ่งดิฉันรู้สึกหนาวมาก ไม่สามารถขยับเขยื้อน

อาจารย์      สภาวะส่วนบุคคลข้าพเจ้าว่าอย่ายกขึ้นมาถามจะเป็นการดีที่สุด สภาวะนับพันนับหมื่น นับร้อยๆล้านแบบ เพียงท่านคนเดียวก็มีมากเท่านี้แล้ว ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาท่านอย่างไรข้าพเจ้าขอบอกท่าน เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น เมื่อวานข้าพเจ้าพูดถึงปัญหาหนึ่งว่า ไม่ว่าตัวท่านเองจะรู้สึกว่าดีหรือรู้สึกไม่ดี อันที่จริงท่านไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน มีจุดหนึ่งข้าพเจ้าจะบอกท่านให้รู้ ให้ท่านถือว่ามันเป็นเรื่องดีเป็นใช้ได้ (เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่าง ท่านทั้งหลายลองคิดดู ดินของสังคมมนุษย์นั้นเป็นอุจจาระของชีวิตชั้นสูง มนุษย์อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สกปรกอย่างนี้ ก็เหมือนมนุษย์กระโดดลงมาในบ่ออาจม ก็อยู่ในบ่ออาจมแล้วยังจะคิดว่าอย่างนี้ค่อยสบายกว่าสักหน่อย อย่างนั้นไม่สบาย ท่านยังจะพิถีพิถันไปทำไมอีก ให้ท่านบำเพ็ญโดยเร็ว พบกับสิ่งใดท่านก็ให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดี ก็เป็นเรื่องที่ดีจริงๆต่อให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างไรเมื่อสะท้อนออกมาในร่างกายของท่าน ท่านก็จะรู้สึกไม่สบาย เพราะสิ่งใดที่มีพลังกงและพลังงานล้วนมีประจุไฟฟ้า เมื่อสะท้อนออกมาในร่างกายท่าน พลังกงที่แรงกล้าอย่างนั้น ท่านยังมีร่างกายของคน (มัน)เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในร่างกาย แน่นอนร่างกายคนย่อมต้องรู้สึกไม่สบาย รอให้ท่านบำเพ็ญสำเร็จก็จะไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น มีบางคนเวลาลอยขึ้นมา ขณะอยู่กลางอากาศจะมีสภาวะบางอย่าง ก็ไม่ต้องไปสนใจ เป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น ยิ่งหวาดกลัวก็จะให้ท่านต้องประสบสักหลายๆครั้ง เพราะท่านมีจิตหวาดกลัวก็ไม่ถูกต้องแล้ว

ศิษย์           คงอยู่เพื่อตัวเองและยังต้องไร้ความเห็นแก่ตัว ไร้ตัวฉัน (อู๋ซืออู๋หว่อ) จะเข้าใจอย่างไร

อาจารย์      ท่านทั้งหลายลองคิดดู มนุษย์เป็นชีวิตเฉพาะตัว(ปัจเจกชน) ท่านไร้ความเห็นแก่ตัว ไร้ตัวฉัน(อู๋ซืออู๋หว่อ) จนกระทั่งตัวเองไม่อยากจะบำเพ็ญแล้ว กลับสู่ต้นกำเนิดดั้งเดิมแท้จริงก็ไม่มีแล้ว ท่านก็ไร้ตัวฉันจริงๆท่านสามารถจะเข้าใจอย่างนี้ไหม ฉะนั้นท่านบำเพ็ญไม่ใช่บำเพ็ญให้ตัวท่านเองหรอกหรือ แต่ในระหว่างขั้นตอนบำเพ็ญ พวกท่านต้องบำเพ็ญตัวเองให้มีความเมตตา(ซั่น)มากขึ้นมากขึ้น ซั่นถึงระดับที่คิดเรื่องอะไรก็ล้วนแต่คิดเพื่อคนอื่น บำเพ็ญจนกลายเป็นชีวิตที่ไร้ความเห็นแก่ตัว บำเพ็ญก็เป็นการที่ตัวท่านเองบำเพ็ญให้ตัวท่านเอง เมื่อท่านบำเพ็ญจนหยวนหมั่น ในเวลาเดียวกันท่านก็บำเพ็ญจนกลายเป็นคนที่คิดเพื่อคนอื่น เป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่สง่างามอะไรเช่นนี้ที่สามารถทุ่มเทเพื่อคนอื่น ชีวิตเฉพาะตัว(ปัจเจกชน)จะต้องคงอยู่ตลอดไป ทุกคนบำเพ็ญไปบำเพ็ญมาสุดท้ายแม้แต่ความเป็นเฉพาะตัว(ปัจเจกชน)ของตัวเองก็ไม่มี ให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ! ฉะนั้นข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน หากท่านกลับขึ้นไป หากท่านหยวนหมั่น พูดจากอีกด้านหนึ่ง การทุ่มเทของท่านจะนำความสุขให้แก่ท่านอย่างไร้ขีดจำกัด นั่นเป็นสิ่งที่ได้มาจากการที่ตัวท่านทุ่มเท หวนกลับไปสู่อาณาจักรเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น สวยงามยิ่งขึ้นแห่งนั้น นั่นคือใฝ่หาความดี(ซั่น) ใฝ่ความก้าวหน้า มีบางคนเข้าใจคำว่าอู๋เหวยเป็นไม่มีตัวเองแล้ว ไม่มีตัวฉันเองคงอยู่แล้ว อันที่จริงโดยมูลฐานไม่ใช่เช่นนั้น จักรวาลมีระดับชั้น พูดอย่างเข้มงวด ชีวิตมีระดับชั้น นั่นเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากกั่วเว่ยและเวยเต๋อ(มรรคผลและอานุภาพแห่งคุณธรรม)ที่ท่านได้ประจักษ์จากการบำเพ็ญ

ศิษย์           ขาแข็งเกิดจากกรรม ใช่หรือไม่

อาจารย์      เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยพูดแล้ว บางคนเนื่องจากมีกรรมทำให้ปวดขา บางคนเป็นเพราะไม่เคยนั่งพับขาอย่างนี้มาก่อน จึงรู้สึกว่าขาแข็ง นี่คือสภาพสรีระชั้นพื้นผิวของร่างกาย แต่ไม่ว่าจะมีกรรมมากก็ดี เป็นเหตุปัจจัยจากทางด้านสรีระก็ดี ล้วนแต่สามารถจะขัดขาได้ สำหรับเรื่องที่ว่าไม่ปวด มีน้อยรายมาก

ศิษย์           ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ได้ฝ่าเป็นจำนวนมากกว่าร้อยล้านคนแล้ว เรื่องหงฝ่ายังมีความสำคัญเหมือนอย่างที่ผ่านมาหรือไม่

อาจารย์      สำหรับท่าน เรื่องหงฝ่าเป็นสิ่งที่ท่านไม่อยากทำมากนักหรือ ทุกท่านทราบ ทุกท่านบำเพ็ญซั่น(ความเมตตา)ในระหว่างบำเพ็ญ พอเห็นคนเขาตกอยู่ในทุกข์ภัยก็อยากจะช่วยเขาให้ได้ฝ่า นี่คือสิ่งที่พวกท่านจะต้องมีอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระหว่างบำเพ็ญ ให้อะไรคนอื่นก็ไม่ดีเท่ากับให้ฝ่าแก่คน ต่อให้สิ่งที่ดีแก่เขาเพียงใด ให้เงินทองแก่เขามากเท่าใด เขาก็มีความสุขเพียงชั่วขณะในหนึ่งชาติเท่านั้น หากแต่ท่านให้ฝ่าแก่เขา จะเป็นความสุขชั่วนิรันดร์ของชีวิต จะมีอะไรดียิ่งไปกว่าฝ่าเล่า(เสียงปรบมือ) ฉะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าการแนะนำฝ่าให้แก่ผู้อื่น โดยตัวมันเองก็คือการหงฝ่า เป็นเรื่องที่ดี แต่ท่านต้องไม่ฝืนหรือบังคับ เขาไม่อยากศึกษา พวกท่านก็จะให้เขาศึกษาให้จงได้ เป็นอย่างนี้ไม่ได้ พวกท่านทำได้แล้ว บอกให้เขารู้ว่ามีฝ่าก็เพียงพอแล้ว เขาจะบำเพ็ญหรือไม่นั่นเป็นเรื่องของตัวเขาเอง มีคนจำนวนมากทำงานหงฝ่าเป็นปริมาณมาก ใช้เวลาไปมาก ไม่อาจจะบอกว่าไม่มีความหมาย เวลาที่ท่านเสียไปจะชดเชยคืนมาให้แก่ท่านในระหว่างบำเพ็ญ ว่ากันถึงแก่น ท่านกำลังทำงานเพื่อต้าฝ่า กำลังทำสิ่งที่ดี แน่นอนมีข้อหนึ่งที่พวกท่านพึงต้องระวังต่อแต่นี้ไป พวกท่านท่านต้องไม่ไปคะยั้นคะยอ ลากคนมา พวกท่านบอกเขาให้รู้ตามแต่วิธี โอกาสจะเอื้ออำนวยเป็นใช้ได้ เมื่อรู้แล้วแต่ไม่อยากศึกษาก็แล้วไป

ศิษย์           ในบทความจิงเหวิน [สติปัญญาแจ่มชัด] กล่าวไว้ว่า จะต้องแยกแยะกรรมแห่งความคิดและความคิดที่ไม่ดีตามปกติได้ชัดเจน

อาจารย์      ใช่ การรบกวนของกรรมแห่งความคิด คนธรรมดาสามัญแยกแยะไม่ออก คนบำเพ็ญที่ไม่ขยันขันแข็ง ไม่ค้นหาเจตนามูลฐานของกรรมแห่งความคิดของตนเอง ก็ยากที่จะแยกแยะได้ชัดเจน เหตุใดบางคนกรรมแห่งความคิดของเขานี้ เป็นเวลายาวนานมากๆก็ขจัดมันทิ้งไปไม่ได้ล่ะ ก็คือไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจนว่าคนไหนคือตัวเอง เหตุใดจึงบอกให้ท่านบำเพ็ญล่ะ ก่อนอื่นท่านต้องบำเพ็ญความคิดที่ไม่ดีทิ้งไป ท่านสามารถขจัดสิ่งไม่ดีเหล่านั้นทิ้งไปเพราะท่านไม่ยอมรับว่ามันเป็นท่าน นี่เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะท่านไม่ยอมรับว่ามันเป็นท่าน ฉะนั้นจึงสามารถขจัดมันทิ้งไป โดยแท้จริง มันไม่ใช่ท่านจริงๆมันเป็นทรรศนคติต่างๆนานาที่ก่อเกิดจากการทำงานภายหลังท่านกำเนิด ยิ่งกว่านั้นยังเป็นกรรมซึ่งก่อเกิดขึ้นมา คือสิ่งเหล่านี้ แต่โดยมากคนมักจะคิดว่ามันคือตัวเอง: ความคิดของฉันนี้ฉลาด ไม่มีใครในสังคมทำอะไรฉันได้ ฉันเก่งกาจกว่าคนอื่นในทุกๆด้าน เขาจึงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ซึ่งก่อเกิดขึ้นมาภายหลังกำเนิดเป็นตัวเอง ยังเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คนอยากจะได้อะไร ตัวเองเป็นผู้ตัดสิน ท่านต้องไม่อยากได้เท่านั้นจึงจะสามารถขจัดทิ้งให้ท่าน

            เหตุใดคนเป็นโรคประสาทจึงยากที่จะช่วยเหลือล่ะ เพราะโดยมูลฐานเขาแยกแยะไม่ออกแล้ว สามารถจะแยกแยะกรรมแห่งความคิดได้ชัดเจน สามารถจะแยกแยะได้ชัดเจนว่าความคิดเหล่านั้นไม่ใช่ฉัน สำหรับผู้ฝึกใหม่จึงทำได้ยาก ทำได้จึงเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ประเมินด้วยต้าฝ่า ความคิดที่ไม่ดีทั้งหมดแท้จริงแล้วล้วนไม่ใช่ท่าน ท่านสามารถทำได้ถึงจุดนี้ก็สามารถจะแยกแยะได้ชัดเจนแล้ว: อ้อ ความคิดอันนี้ไม่ดี ควรจะสลายมันไป ขจัดมันทิ้งไป ฉันไม่สมควรจะคิดอย่างนี้ เช่นนี้ก็เป็นการสลายมันแล้ว พวกท่านคิดว่าคนที่ทำเรื่องไม่ดีเหล่านั้น คนที่ฆ่าคนวางเพลิง แม้กระทั่งคนที่รักร่วมเพศ ท่านคิดว่าเขายินยอมทำเช่นนี้ เกิดมาเพื่อจะทำอย่างนี้หรือ เพราะเมื่อทรรศนคติอันไม่ถูกต้องที่ก่อเกิดภายหลังกำเนิดของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นมากขึ้น รุนแรงมากขึ้นมากขึ้น ทรรศนคติของเขาก็จะหันกลับมาควบคุมคนๆนี้ จึงกลายเป็นอย่างนี้

ศิษย์           ผู้สำเร็จธรรมที่ช่วยเหลือคนโดยปกติคือพระยูไล จะผันแปรพลังกงให้ผู้บำเพ็ญโดยเริ่มจากจุดกำเนิดของสสารได้อย่างไร

อาจารย์      ตลอดมาข้าพเจ้าไม่เคยบอกท่านอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าองค์ศากยมุนีทำอย่างนี้นี่ ฝ่าของพระยูไลไม่อาจจะเปรียบเทียบกับต้าฝ่า เทพทั่วๆไปในอนาคตก็ไม่สามารถทำได้ถึงจุดนี้ ในอดีตก็ไม่มีเทพองค์ใดทำได้ ฝ่าที่ช่วยเหลือคนในอดีตเป็นฝ่าที่เล็ก ช่วยเหลือคน เขาทำโดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระยูไลองค์อื่นๆ หรือเทพที่สูงขึ้นไปอีก เขาก็ต้องกราบไหว้สวรรค์ เคารพเทพที่สูงขึ้นไปอีก ไม่เหมือนอย่างที่คนจินตนาการว่าพระยูไลเป็นพระพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสวรรค์ มันไม่ใช่อย่างนั้น ฝ่าที่เล็กช่วยคนตลอดชีวิตยังไม่สามารถจะช่วยคนๆนี้ได้ ต้องช่วยกันหลายชาติจึงจะสามารถช่วยคนๆนั้นให้ออกมาได้ แต่ต้าฝ่าทำได้ (เสียงปรบมือ) เพราะเขาคือต้าฝ่าแห่งจักรวาล สูงเกินฝ่าใดๆ ฝ่าทั้งมวลล้วนเป็นผู้สำเร็จธรรมที่บำเพ็ญประจักษ์รับรู้ออกมาจากต้าฝ่าแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ความสัมพันธ์อันนี้ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกท่านฟังเข้าใจหรือไม่ผู้สำเร็จธรรมที่ช่วยเหลือคนทั้งหมดหรือพระยูไลทั้งหมดบนสวรรค์ก็ดี พระพุทธก็ดี เทพก็ดี เอกลักษณ์ของโลกของตัวพวกเขาเองหรือกั่วเว่ยที่เขาได้ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาประจักษ์รับรู้ออกมาจากข้างในต้าฝ่า (เสียงปรบมือ) ไม่ใช่พวกเขายกออกมาจากต้าฝ่าแห่งจักรวาลทั้งดุ้น เพราะในอดีตต้าฝ่าแห่งจักรวาลโดยแท้จริงนั้นไม่อนุญาตให้พวกเขารู้ พวกเขารู้แต่ว่าชีวิตในระดับชั้นต่างๆ ต้องบรรลุถึงมาตรฐานของอาณาจักรเขตแดนต่างๆนั้น รู้แต่เพียงเท่านี้ ฉะนั้นพวกเขาจึงสามารถประจักษ์รับรู้ถึงความเข้าใจของตนเอง จะบรรลุมาตรฐานนี้อย่างไร นี่คือสิ่งที่พวกเขาประจักษ์รับรู้ สิ่งที่องค์สัมมาพุทธเจ้าศากยมุนีประจักษ์รู้แจ้งเรียกว่า “ศีล สมาธิ ปัญญา” ปัญหานี้ข้าพเจ้าอธิบายชัดเจนแล้วนะ (เสียงปรบมือ) พวกเขาอาศัยฝ่าแห่งจักรวาล อาศัยเทพที่สูงขึ้นไปคอยช่วยเหลือพวกเขา ตัวพวกเขาเองทำไม่ได้

            นอกจากนี้ พระยูไลบางองค์ก็ต่างกัน อย่างเช่นองค์สัมมาพุทธเจ้าศากยมุนีไม่ใช่เป็นเพียงพระยูไลธรรมดาทั่วไปองค์หนึ่งตามที่พวกท่านคิด ณ อาณาจักรเขตแดนนี้ พระองค์คือพระยูไล แท้จริงแล้วพระองค์ยังมีสภาพที่ยิ่งจุลทัศน์ซึ่งพระพุทธองค์อื่นๆไม่รู้ พระองค์มาจากระดับชั้นที่สูงมาก พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งในสี่(ธาตุ)ใหญ่ “ดิน น้ำ ลม ไฟ” พวกท่านบางคนอาจเคยอ่านพบคำศัพท์คำนี้มาแล้วในพระสูตร นั่นเป็นระดับชั้นที่สูงมากทีเดียว สูงเกินอย่างยิ่งจากเทียนถี่ที่ชีวิตธรรมดาทั่วไปคงอยู่ ก็คือพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งได้สูงมากๆแล้ว จึงทรงเห็นได้ชัดว่าพระองค์มีที่มาสูงมาก เพียงแต่พระองค์นำพลังฝ่าของอาณาจักรเขตแดนของพระยูไลมาช่วยเหลือคนเท่านั้น

ศิษย์           มูลเหตุประการหนึ่งที่สังคมมนุษย์เปลี่ยนสภาพไปเป็นเพราะโมเลกุลของเซลล์ของคนธรรมดาสามัญส่วนใหญ่ถูกมนุษย์ต่างดาวเปลี่ยนแปลงไป ใช่หรือไม่

อาจารย์      ชีวิตและสสารในร่างกายมนุษย์ที่คนพูดถึง ก็คือโครงสร้างของร่างกายนี้ ความคิดที่เปลี่ยนสภาพสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและรูปแบบการดำรงชีวิตของคน และรูปแบบการดำรงชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของอณูในร่างกายคน การเปลี่ยนสภาพหากเป็นการถูกกระทำ เป็นการถูกกระทำโดยสิ่งมีชีวิตอะไรชนิดหนึ่ง เช่นนั้นสำหรับคนพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เหมือนเช่นเหตุใดคนจึงสามารถก่อเกิดทรรศนคติภายหลังกำเนิด และทรรศนคติอันนี้ก็สามารถหันกลับมาควบคุมคนอีก หากท่านไม่กำจัดมันทิ้งไป ในชีวิตนี้มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของท่าน ยิ่งกว่านั้นยังจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะควบคุมท่าน หมายความว่า วัฒนธรรมส่วนนี้ที่มนุษย์ต่างดาวยัดเยียดให้แก่มนุษย์โลก ได้ก่อเกิดเป็นรูปแบบของการดำรงชีวิตและความเข้าใจต่อโลกของสสารโดยสิ้นเชิงในความคิดของท่าน มันเป็นเช่นนี้แล้ว ฉะนั้นเมื่อมีสิ่งนี้แล้วมันจึงสามารถพัฒนาเป็นร่างกายอย่างนี้ จะขับรถยนต์คันนี้อย่างไรหรือ ท่านต้องใช้วิธีของเขา เครื่องจักรเครื่องนั้นสร้างกันอย่างไรล่ะ สิ่งที่จัดสร้างออกมา ท่านจะจัดการกับมันอย่างไรล่ะ สิ่งต่างๆเหล่านี้สอดแทรกอยู่ในรูปแบบการดำรงชีวิตทั้งหมดของคน กลายเป็นร่างกายอย่างนี้ กลายเป็นความคิดอย่างนี้ กลายเป็นสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไปครั้งที่แล้ว คนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกคน มนุษย์ต่างดาวได้ใส่รหัสให้กับท่าน นั่นเป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน แต่ศิษย์พวกเราไม่มีปัญหานี้ ข้าพเจ้ากำจัดมันทิ้งหมดแล้ว และมนุษย์ต่างดาวนี้ก็อยู่ในช่วงสุดท้ายของการกำจัดทิ้งไป แต่ยังมีพวกที่แอบซ่อนอยู่ซึ่งพบเห็นน้อยมากแล้ว ที่ผ่านมาพวกมันควบคุมคนโดยซ่อนตัวอยู่ในมิติของสิ่งที่เหนือกว่าสสาร(เชาอู้จื้อ) เมื่อครั้งที่แล้วข้าพเจ้าพูดถึงสิ่งที่เหนือกว่าสสาร(เชาอู้จื้อ) ซ่อนตัวอยู่ในนั้น ตรวจพบได้ยาก คนเข้าใจแต่ว่าโมเลกุลในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่เป็นสสารที่สุด อันที่จริงยังมีสิ่งที่เป็นสสารมากยิ่งกว่าโมเลกุล มันฝังตัวอยู่ตรงนั้นคอยควบคุมคน มิตินั้นพวกเราจัดการเสร็จแล้ว ตรงนั้นกำจัดสะอาดทั้งหมดแล้ว

ศิษย์           ฝ่านอกภพ(ชูซื่อเจียนฝ่า)มิใช่มรรคผล(กั่วเว่ย)อรหันต์หรือ แล้วเหตุใดยังเป็นสรรพชีวิต

อาจารย์      ท่านยังไม่ได้อ่านฝ่าให้ละเอียด ไม่ได้เข้าใจฝ่าให้ละเอียด คนบางคนเขาบำเพ็ญ เขาบำเพ็ญไม่สำเร็จ ได้แต่อยู่ในสามภพ บรรลุระดับชั้นใดก็จะดำรงชีวิตอยู่ในระดับชั้นนั้นในสามภพ คนบนสวรรค์ เทวดา สำหรับคนก็คือเทพ หากคนๆนี้หลุดพ้นสามภพแล้ว กั่วเว่ยอันแรกที่จะบรรลุก็คืออรหันต์ ยังมีสภาพการณ์ที่พิเศษแบบหนึ่ง ก็คือคนๆนี้เขาไม่ได้บำเพ็ญ เขาก็บรรลุมาตรฐานดีมาก แต่เขาไม่มีกั่วเว่ย เป็นไปได้อย่างมากที่เขาอาจจะมีวาสนากับพระพุทธองค์นี้ หรือมีวาสนากับพวกท่าน ท่านใดที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ซึ่งจะบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธในอนาคต อาจจะกลายเป็นสรรพชีวิตในโลกของท่าน ก็คือกลายเป็นประชากรในโลกของท่าน ในโลกของพระพุทธไม่ใช่มีแต่พระพุทธและพระโพธิสัตว์ แต่เป็นโลกของความอุดมสมบูรณ์หลากหลาย พระพุทธเป็นราชาแห่งฝ่า มีความเมตตา เป็นสภาพการณ์เช่นนี้ หากท่านใช้ความคิดของมนุษย์ไปทำความเข้าใจกับเรื่องของสวรรค์ท่านจะไม่สามารถเข้าใจตลอดไป ถ้าในสมองของท่านเต็มไปด้วยสิ่งนี้ ท่านก็จะไม่สามารถจะบำเพ็ญ เทียนถี่ที่ใหญ่ขนาดนั้นที่ข้าพเจ้าพูดให้กับพวกท่าน มันเป็นเพียงผงธุลีเม็ดหนึ่ง จักรวาลนั้นสลับซับซ้อนเสียจนไม่สามารถจะบรรยายมันออกมา ไม่สามารถจะพูด คนผิวขาว คนผิวเหลือง คนผิวดำ ประเภทของคนมีความแตกต่างในระดับหนึ่ง ในเทียนถี่มีคนประเภทต่างๆ มากมายในแบบ ในลักษณะต่างๆ ยังมีคนมีลาย ก็คือในจักรวาลนี้ใหญ่โตมหึมาอย่างยิ่ง

ศิษย์           กรรมของมนุษยชาติยิ่งสะสมก็ยิ่งมาก เหตุใดอายุขัยโดยเฉลี่ยยังยืดยาวออกไปอีก

อาจารย์      ท่านทั้งหลายอาจสังเกตเห็นว่าอายุขัยของคนปัจจุบันจะยืนยาวกว่าอายุขัยของคนแต่เดิม ต้าฝ่าถ่ายทอดอย่างกว้างไกล คนที่มาทันในชาตินี้โดยตัวเองก็คือ ความโชคดีของเขา (เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าจะช่วยคน เช่นนั้นแน่นอนข้าพเจ้าจะต้องให้โอกาสแก่คนทั้งหมด มาอยู่ในชาติเดียวกับที่ต้าฝ่าถ่ายทอดกว้างไกล การประสบพบเจอต้าฝ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงให้โอกาสแก่คนสักครั้ง แต่จะบำเพ็ญหรือไม่เป็นเรื่องของตัวเอง มีพื้นที่อีกมากที่ต้าฝ่ายังถ่ายทอดไปไม่ถึง ยังให้เขายืดชีวิตของเขาออกไปเพื่อให้มาฟังฝ่าในอนาคต แล้วดูว่าจิตใจของพวกเขาจะหันเหอย่างไรในเวลานั้น ฉะนั้นบอกคนให้รู้จักฝ่าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดก็คือเวลาท่านหงฝ่าบอกให้คนรู้จักฝ่า เขาจะบำเพ็ญหรือไม่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา บอกว่าท่านมาถึงชาตินี้แล้ว ท่านได้พบ ท่านได้ยินฝอฝ่าแล้วแต่ท่านไม่สนใจ ไม่บำเพ็ญ ไม่ศึกษา นั้นจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของท่าน! คำถามที่ท่านถามเมื่อครู่คือเหตุใดกรรมใหญ่ขนาดนี้แล้ว ชีวิตไม่ลดน้อยลงเลย กลับยืดยาวออกไปอีก นี้ก็คือเหตุผล

ศิษย์           บ้านผู้ฝึกเก่ายังคงตั้งรูปพระที่ท่านอาจารย์เบิกเนตรให้ อย่างเช่นพระโพธิสัตว์กวนอินเป็นต้น ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์      เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ไม่เป็นไร เบิกเนตรแล้วท่านจะตั้งก็ตั้งได้ แต่บำเพ็ญวิชาใดในใจท่านต้องรู้ ท่านจะเคารพใครในใจท่านตนเองควรจะรู้ดี

ศิษย์           สามารถจะเข้าใจว่าพวกเราล้วนดำรงชีวิตอยู่ในร่างกายของท่านอาจารย์

อาจารย์      ท่านสามารถจะเข้าใจเป็นอย่างนี้ได้ (เสียงปรบมือ) อันที่จริงข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลาย คนในระหว่างบำเพ็ญ ร่างกายท่านปริมาตรจะขยายใหญ่ขึ้นอยู่โดยตลอด คนตกลงมาถึงมิตินี้ อยากจะกลับไป ต้องบำเพ็ญกลับไป ร่างกายจึงต้องเปลี่ยนแปลง เริ่มเปลี่ยนแปลงจากจุลทัศน์ที่สุด เขาจึงต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของจุลทัศน์ระดับชั้นนั้นของจักรวาล กลับไปสู่จุลทัศน์ที่สุด เช่นนั้นปริมาตรของร่างกายเขาจึงต้องสอดคล้องกับสภาพในมิติแต่เดิมนั้น ฉะนั้นจึงเปลี่ยนใหญ่ขึ้น ยิ่งจุลทัศน์ปริมาตรจะยิ่งใหญ่ คนบำเพ็ญทุกคนต่างจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คนธรรมดาสามัญจะมองไม่เห็นท่าน ไม่ให้เห็น มีผู้ฝึกจำนวนมากมองเห็นและพูดว่าด้านหลังของอาจารย์ร่างกายเป็นชั้นๆ นับจำนวนไม่ถ้วน ร่างกายของอาจารย์ทำไมจึงเป็นชั้นๆชั้นๆ ชั้นหนึ่งใหญ่กว่าอีกชั้นหนึ่ง บางร่างใหญ่เสียจนมองไม่เห็นขอบ ครอบคลุมทุกสิ่ง เช่นนั้นเมื่อครอบคลุมโลก เช่นนั้นท่านว่าท่านมิใช่อยู่บนโลกที่ตรงนี้หรอกหรือ นี้คือความหมาย (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           พวกเราเป็นการบำเพ็ญจู่หยวนเสิน(จิตหลัก) เหตุใดพอผ่านไปสักระยะหนึ่ง จะกลายเป็นกลัวการมีชีวิตและรู้สึกแปลกประหลาดกับทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบ

อาจารย์      ความรู้สึกนี้ มีสภาพการณ์แบบนี้ หากความคิดของท่านส่วนใดได้ผ่านการชำระล้าง หรือรูปแบบความคิดของท่านเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็จะนำมาซึ่งสภาพการณ์แบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรให้ท่านรู้ว่าท่านยังอยู่ เป็นท่าน ก็จะไม่มีปัญหา

ศิษย์           ผมรู้สึกว่า “จ้วนฝ่าหลุน” อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น

อาจารย์      นั่นก็เป็นสภาวะการบำเพ็ญของตัวท่านเอง สิ่งนี้ไม่สามารถบังคับให้คนอื่นให้เห็นดีไปด้วย และไม่สามารถบอกว่าท่านผิด ทุกคนต่างมีสภาวะแตกต่างกัน ผู้ฝึกใหม่ยังทยอยกันเข้ามา ท่านต้องมีดินแดนที่บริสุทธิ์สักผืน

ศิษย์           สามารถจะพูดได้ไหมว่า คนที่ตกลงไปยิ่งลึกมากเท่าใดในหมู่คนธรรมดาสามัญ แต่สามารถกลับมา หลังจากบำเพ็ญสำเร็จแล้วเขาจะมีเวยเต๋อ(อานุภาพแห่งคุณธรรม)ยิ่งมาก

อาจารย์      เรื่องไม่ใช่เป็นเช่นนี้ คือยิ่งตกลงมาลึกก็จะยิ่งไม่มีความหวัง ถ้าไม่ใช่เพราะต้าฝ่าถ่ายทอดกว้างไกลก็จบสิ้นกันแล้ว

ศิษย์           อาจารย์ชำระกรรมให้แก่ลูกศิษย์เรื่องนี้ เหตุใดจึงไม่ชัดเจนในการบำเพ็ญในศาสนา

อาจารย์      ไม่ใช่เพราะเหตุใด เหตุใดสิ่งที่พระเยซูตรัสและสิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัสจึงไม่เหมือนล่ะ เหตุใดแต่ละคนจึงไม่เหมือนกันล่ะ องค์ศากยมุนีเคยตรัสถึงเรื่องชำระกรรม ไม่ใช่ไม่เคยตรัส ปัจจุบันในศาสนาก็พูดถึงเรื่องชำระกรรม ในระหว่างบรรยายฝ่า 49 ปี องค์ศากยมุนีตรัสสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย คนไม่เข้าใจจึงไม่ได้สืบทอดต่อมา คนรุ่นต่อมาเลือกที่จะอ่านตามใจตัวเอง เหมือนผู้ฝึกเลือกอ่านฝ่า รู้สึกว่าบทความนี้ดี ฉันจะอ่านบทความนี้ เขาเข้าใจส่วนนี้ เขาก็สืบทอดต่อมา ส่วนที่เขาไม่เข้าใจ ส่วนที่ไม่สอดคล้องกับทรรศนคติของเขา เขาจึงไม่สืบทอดต่อมา ในช่วงเวลาที่องค์ศากยมุนีทรงถ่ายทอดฝ่า ไม่มีตัวอักษร ห้าร้อยปีให้หลังจึงเริ่มเรียบเรียงคำพูดที่องค์ศากยมุนีตรัส ในช่วงห้าร้อยปีนั้นที่ถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก มีความคาดเคลื่อนมากเพียงใด! ในพุทธศาสนาพูดถึงการชำระกรรม ท่านไม่เข้าใจ พระเยซูถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน ศาสนาคริสต์มิใช่พูดหรอกหรือว่าพระเยซูกำลังไถ่บาปให้แก่คน

ศิษย์           “ถงซิว” (เพื่อนผู้บำเพ็ญ) คำศัพท์คำนี้ถูกผู้ฝึกบางส่วนนำไปเรียกผู้ฝึกคนอื่นๆ ท่านอาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงคำๆนี้ ดิฉันรู้สึกไม่เหมาะสม ในพุทธศาสนาก็ใช้เรียกกันเช่นนี้

อาจารย์      นี่เป็นคำศัพท์คำหนึ่งที่คนในโลกตั้งขึ้นมา ไม่ใช่มีเฉพาะในพุทธศาสนา ไม่ใช่คำศัพท์เฉพาะของมัน อันที่จริงคำศัพท์เฉพาะของพวกมันโดยแท้จริงไม่เรียกว่าถงซิว (เพื่อนผู้บำเพ็ญ) นี้เป็นคำศัพท์ที่ผู้คนตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีในระยะหลัง สำหรับพวกเราจะใช้คำศัพท์อะไรก็ไม่เป็นไร ต้าฝ่า ณ รูปแบบชั้นพื้นผิวไม่เน้นเรื่องนี้ ให้สอดคล้องกับการบำเพ็ญของคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด ที่ผ่านมามีคนถามข้าพเจ้าว่าจะเรียกเป็นอะไรดีนะ ข้าพเจ้าว่าจะเรียกเป็นนายจางเหล่าซาน นายหลี่เหล่าซื่อ (นาย ก. นาย ข.)ก็ได้ทั้งนั้น หากพวกเรากำหนดคำศัพท์พิเศษต่างๆ ออกมา ผู้คนก็จะเข้าใจว่าพวกเราเป็นศาสนาจริงๆ ทางด้านรูปแบบของคนธรรมดาสามัญ ให้พวกเรามีความยืดหยุ่นสักหน่อยจะดีกว่า

ศิษย์           จะเข้าใจอย่างไรกับประเด็นที่ว่า มนุษย์เองปิดกั้นตนเอง

อาจารย์      คำถามนี้กว้างมาก มนุษยชาติมีปัญหานี้ในทุกๆด้าน ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างที่พื้นๆที่สุด อย่างเช่นกฎหมายในปัจจุบันนี้ ท่านทั้งหลายก็ทราบในสมัยโบราณไม่มีกฎหมาย เพราะจิตใจค่อนข้างดีงาม ท่านไม่ใช้กฎหมายมากมายขนาดนั้นที่จะจัดเขาให้เป็นระเบียบ ตัวเขาเองก็รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร และปฏิบัติได้ดีมาก ปัจจุบันนี้จิตใจคนไม่ไหวแล้ว เปลี่ยนแปลงจนไม่ดีแล้ว จึงบัญญัติกฎหมายมากมายขนาดนั้นออกมาควบคุมดูแลคน ควบคุมดูแลคนราวกับควบคุมดูแลสัตว์ มันคือกรงที่ไร้รูป แต่คนก็ยังเปลี่ยนเลวลงไปอีก กฎหมายก็ไม่หยุดยั้งที่จะถูกบัญญัติออกมาบังคับใช้ สุดท้ายจะต้องบัญญัติออกมาบังคับใช้ถึงระดับใด มีกฎหมายมากเสียจนตัวเองทำผิดตัวเองก็ไม่รู้ มีมากเสียจนจำไม่ได้ เช่นนั้นจนท้ายถึงที่สุดพอคนจะขยับอะไรสักที เพียงท่านเดินออกประตูบ้านไปก็ผิดกฎหมาย จะไปถึงระดับนี้หรือไม่ล่ะ มนุษย์จึงกำลังปิดกั้นตัวเองอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ไม่เฉพาะแต่กฎหมายเท่านั้น แต่ในทุกๆด้าน กำลังปิดกั้นตัวเองในทุกๆด้าน สุดท้ายถูกปิดกั้นเสียจนคนหมดปัญญาจะทำอย่างไร กฎหมายที่คนบัญญัติมันจะเริ่มหันกลับมาควบคุมคน คนที่บัญญัติกฎหมายล้วนแต่คิดจะควบคุมคนอื่น เพราะเขามีจิตใจของคนธรรมดาสามัญที่มองดูคนอื่นไม่ถูกใจเสมอ จิตอิจฉาอยากจะควบคุมคนอื่น เขาคาดไม่ถึงว่าเขาก็เป็นหน่วยหนึ่งในหมู่คน กฎหมายนี้ก็ต้องควบคุมดูแลเขาด้วย สุดท้ายปิดกั้นคนเอาไว้เสียจนไม่เหลือช่องจะหายใจ ก็คือไม่เหลือกลเม็ดวิธีอะไรอีกแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นคนยังจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ฉะนั้นสิ่งที่จะแก้ไขปัญหามูลฐานของคนไม่ใช่กฎหมายแต่เป็นจิตใจคน

            ประเทศใดๆ ต่างรู้สึกปวดหัวกับเหตุปัจจัยของความไม่สงบ รู้สึกปวดหัวกับเหตุปัจจัยของความไม่มั่นคงในสังคม อย่างเช่นปัญหาความสุขสงบเป็นต้น ซึ่งไม่มีปัญญาจะควบคุม พวกเขาคิดแต่จะบัญญัติกฎหมายออกมากำกับดูแลปรากฎการณ์ที่ไม่ดีเหล่านี้ นับวันกฎหมายมีแต่จะถูกบัญญัติออกมามากขึ้นๆ แต่ในเวลาที่กฎหมายมองไม่เห็น คนที่ทำเรื่องเลวร้ายก็ยังทำอีก อันที่จริงพวกเขาก็ไม่มีคนใดหามูลเหตุที่แท้จริงได้พบ จึงเพียงแต่กำกับดูแลจิตใจคน ให้จิตใจคนหันกลับสู่ความดี เมื่อจิตใจคนเปลี่ยนเป็นดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายมากมายขนาดนั้น ไม่มีตำรวจคนก็ไม่ทำผิดกฎหมายตามเดิม คนควบคุมตัวคนเองไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องมีตำรวจ ท่านดูสังคมอย่างนั้นจะเป็นสังคมเช่นไร เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ ต่อให้ท่านมีตำรวจมากจนในอนาคตมีตำรวจหนึ่งคนคอยดูคนหนึ่งคน หากจิตใจไม่ดีเขายังคงจะทำเรื่องไม่ดีตามเดิม ตำรวจก็เป็นคนเช่นกัน ตัวตำรวจก็อาจจะทำเรื่องไม่ดี แล้วทุกท่านจะทำอย่างไร ผู้พิพากษาก็เป็นคนธรรมดาสามัญ ผู้พิพากษาที่ทำเรื่องไม่ดีจะให้ใครควบคุมดูแลล่ะ

            ข้าพเจ้าจึงพูดว่า การแก้ไขปัญหามูลฐานของคนไม่ใช่อยู่ที่การบัญญัติกฎหมายออกมามากเท่าใด ไม่ใช่จะจำกัด บังคับคน ควบคุมดูแลคนอย่างไร แต่อยู่ที่จะชี้ความสว่างเบิกจิตใจดีงามของคนอย่างไร ทำให้สังคมมนุษย์ยกระดับสูงขึ้นอย่างแท้จริง สิ่งใดๆ ที่บังคับคนจากภายนอกล้วนบังคับจิตใจคนไม่ได้ หมายความว่ามันไม่สามารถควบคุมเนื้อแท้ของคน

            ข้าพเจ้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์ แน่นอนสิ่งเหล่านี้ถึงแม้ข้าพเจ้าจะพูดออกมาแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่อยากและไม่สนใจจะทำอะไรให้กับมนุษย์ ข้าพเจ้าก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง กับสิ่งที่คนเรียกว่าการเมืองโดยแท้จริงข้าพเจ้าก็ไม่ชอบ ไม่ฟังและไม่พูดถึงแต่ประการใด แต่เรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ข้าพเจ้าสามารถบอกได้ชัดเจนทั้งหมด ณ ขณะนี้ข้าพเจ้าเพียงแต่รับผิดชอบเหล่าผู้ฝึกที่บำเพ็ญเท่านั้น แต่คนจำนวนมากหลังจากบำเพ็ญได้ดีแล้ว พลังของความถูกต้องอันแข็งแกร่งนี้จะทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง จิตใจคนมุ่งสู่ความดี สังคมสุขสงบ นี้เป็นสิ่งที่แน่นอน แต่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของข้าพเจ้า นี่เป็นผลพวงซึ่งติดมากับการถ่ายทอดต้าฝ่า

ศิษย์           ท่านอาจารย์กล่าวว่า ฝ่าหลุนกงมีท่านอาจารย์เพียงท่านเดียวที่ถ่ายทอดอยู่ในโลกนี้ ไม่มีคนอื่นกล้าลงมาถ่ายทอด

อาจารย์      ถูกต้อง ข้าพเจ้าคือ ...ของโลกฝ่าหลุน โลกฝ่าหลุนข้าพเจ้าเป็นผู้สร้าง (เสียงปรบมือ) การถ่ายทอดต้าฝ่ามีเพียงข้าพเจ้าที่ถ่ายทอดอยู่ อันที่จริงก็ไม่มีใครอีกแล้ว ไม่ใช่เป็นอย่างที่ท่านคิด

ศิษย์           พวกเราจะรู้สึกเช่นนี้อยู่เสมอ พอมีความคิดเกิดขึ้นก็จะพบว่ามันไม่ถูกต้องทันที

อาจารย์      นั่นเป็นสิ่งที่ดี! ถึงแม้ว่าจิตสำนึกหลักของตัวท่านเองจะไม่แข็งแกร่งเหมือนผู้สำเร็จธรรม แต่ทุกครั้งที่ความคิดไม่ถูกต้องผุดขึ้นมาก็จับมันได้ทันที รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะความคิดในส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จของท่านแข็งแกร่งมากแล้ว มันจึงสำแดงประสิทธิผล พอมีความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาจึงสำนึกและจับมันได้ทันที

ศิษย์           “ดอกบัว (เหลียนเป็นตัวแทนของอะไร เป็นตัวแทนคนบำเพ็ญซึ่งหลุดพ้นโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อนหรือ

อาจารย์      “ดอกบัว (เหลียนฮวาอันนี้ไม่เกิดในมิติของมนุษย์ “ดอกบัว (เหอฮวาอันนั้นซึ่งคนรู้จักมันเหมือนเหลียนฮวา แต่ไม่ใช่เหลียนฮวา เหลียนฮวาเกิดในโลกของพระพุทธ เหลียนฮวาในโลกของพระพุทธไม่ใช่เป็นดอกไม้ประเภทหนึ่ง แต่เป็นกั่วเว่ยและเวยเต๋ย(อานุภาพแห่งคุณธรรม)ของพระพุทธ เหลียนฮวาไม่ใช่ดอกไม้ในแนวความคิดของคน แต่สามารถจะนำมาเปรียบเป็นดอกไม้ ปัจจุบันในพุทธศาสนาเปรียบเหอฮวาเป็นความบริสุทธิ์สะอาด หลุดพ้นโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อน งอกออกมาจากโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อนความสกปรก สะอาดและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เป็นการเปรียบเทียบในลักษณะหนึ่ง แต่มันไม่ใช่เหลียนฮวาของพระพุทธอย่างแน่นอน

ศิษย์           ในขั้นตอนบำเพ็ญจะสัมผัสถึงความก้าวหน้าและการทะลวงของระดับชั้นได้อย่างไร รู้สึกว่าร่างกาย ดิฉันจะสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่เสมอ

อาจารย์      นั่นล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ หากท่านบอกว่าตัวท่านรู้สึกได้ว่าบำเพ็ญถึงระดับชั้นใดแล้ว อันนี้เป็นไปไม่ได้ พูดกันอย่างนี้ คนจำนวนมากมายขนาดนี้ และยังจะให้อธิบายรายละเอียดให้แต่ละคนฟังละก็ ประการที่หนึ่งคือเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ประการที่สองจะเป็นเหตุให้ยึดติดกับสิ่งที่เป็นรูปแบบ ไม่สามารถจะทุ่มเทจิตใจไปทางด้านนี้ พวกท่านเป็นศิษย์ต้าฝ่า บำเพ็ญโดยปฏิบัติตามต้าฝ่า ปฏิบัติอย่างนี้จึงจะรวดเร็วที่สุด

ศิษย์           อุปนิสัยกับเกินจี(รากฐาน)ของคนเกี่ยวข้องกันไหม

อาจารย์      หากมีนิสัยแปลกซึ่งเกิดขึ้นภายหลังท่านกำเนิด นั่นไม่ใช่อุปนิสัย นั่นเป็นความยึดติดของท่าน ก่อเกิดภายหลังกำเนิด พูดถึงว่าคนบางคนเขามีเอกลักษณ์ของตัวเองจริงๆ คนๆนี้ทำอะไรว่องไว บางคนเชื่องช้า เนิบๆ หรือบนธาตุแท้มีความแตกต่างซึ่งกันและกัน นี่เป็นสิ่งของดั้งเดิมของเขา แล้วสิ่งของที่ก่อเกิดภายหลังกำเนิดล่ะ อย่างเช่นเวลาทำสิ่งใดจะแสดงออกมาว่าฉันชอบของฉันอย่างนี้ ฉันก็เป็นอย่างนี้ ฉันชอบที่จะทำอย่างนี้ ฉันก็จะทำอย่างนี้ นำเอาความยึดติด กมลสันดานเหล่านี้ มาเป็นอุปนิสัย นิสัยของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องขจัดทิ้งไป

ศิษย์           แนวคิดของจักรวาล เทียนถี่ มิติเวลา จะเข้าใจอย่างไร

อาจารย์      แนวคิดของจักรวาล เทียนถี่ มิติเวลา พูดจากคำศัพท์ทั้งสามคำนี้ เนื่องจากภาษาของมนุษย์มีจำกัดมาก จักรวาลที่ท่านทั้งหลายเข้าใจตามปกตินั้น จักรวาลก็คือสิ่งที่นัยน์ตามองเห็นและสิ่งที่คนสามารถจะจินตนาการ ข้าพเจ้าได้อธิบายให้กับพวกท่านรู้ถึงแนวคิดว่า จักรวาลมีจำนวนมากมายเป็นชั้นๆแล้ว อธิบายสูงขึ้นไปอีก ยังมีแนวคิดของชั้นนั้นที่อยู่เหนือจากจักรวาลขึ้นไป ข้าพเจ้าจึงเรียกมันเป็นเทียนถี่ นี้คือคำศัพท์และความเข้าใจในแนวคิดที่ข้าพเจ้าอธิบายให้กับพวกท่าน ในขณะที่เทียนถี่ที่คนพูดและเทียนถี่ที่ข้าพเจ้าพูดนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เช่นนั้นในเทียนถี่อันนี้ ข้างในจักรวาลต่างๆ ยังมีการคงอยู่ของมิติต่างๆ และข้างในมิติต่างๆ แน่นอนมันย่อมมีเวลาของตัวเอง นั่นก็คือมิติเวลาของมัน มิติของการคงอยู่ของเวลาต่างๆ อันนี้ จึงเรียกเป็นมิติเวลาต่างๆ นี่เป็นความเข้าใจในแนวคิดชั้นพื้นผิว

ศิษย์           ต้าฝ่าถ่ายทอดกว้างไกลในสังคมก็คือหลักการของฝ่าแห่งจักรวาลปรากฏอีกครั้งในโลกมนุษย์ เข้าใจเช่นนี้ถูกต้องไหม

อาจารย์      ถูกต้อง แต่ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะหลักการของฝ่าที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่ปรากฏอีกครั้งในโลกมนุษย์ แต่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติการณ์ เป็นประวัติการณ์ครั้งแรกของจักรวาล (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           คนอเมริกันเมื่อเริ่มเรียนฝึกพลังกงใหม่ๆ อยากจะให้เคล็ดคำพูดในดนตรีนำฝึกเพิ่มคำแปลภาษาอังกฤษคู่กันไปด้วย

อาจารย์      งานแปลก็อยู่ในระหว่างดำเนินการ เรื่องจะให้แปลเคล็ดคำพูดลงในเทปฝึกพลังกง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่ดี อย่างเช่นคำว่า “พุทธะ” คนตะวันตกในอดีตโดยมูลฐานไม่รู้ว่า คำว่า ”พุทธะ” คำนี้มีความหมายอย่างไร แต่ปัจจุบันทุกคนต่างก็รู้ สิ่งเหล่านี้แปลไม่ได้ แต่สามารถจะแปลคำอธิบายในเทปสอนฝึกพลังกง เป็นต้นว่า “เจี๋ยอิ้ง” “เหอสือ” คำเหล่านี้พอท่านนำไปแปล มันก็กลายเป็นคนละเรื่องไป ความหมายเดิมของมันจะขาดหายไป ฉะนั้นคำศัพท์เหล่านี้แปลไม่ได้

ศิษย์           จะช่วยคนที่ใจตัวเองเกิดมาร ให้เดินบนทางสายใหญ่ของการบำเพ็ญได้อย่างไร

อาจารย์      ก่อนอื่นข้าพเจ้าไม่สามารถจะบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกที่ดี เพราะผู้ฝึกที่บำเพ็ญได้ดีจะไม่เกิดเรื่องประเภทนี้อย่างแน่นอน จิตใจของเขาที่แน่วแน่ประดุจหินผาต่อต้าฝ่าเช่นนั้น อย่าพูดถึงว่าสิ่งนี้สามารถจะรบกวนเขา มารตนนั้นมองเห็นเขายังต้องหวาดกลัว (เสียงปรบมือ) มันแตะต้องเขาก็เท่ากับเอาไข่ไก่ไปกระแทกกับก้อนหิน มันไม่กล้าแตะต้องเขาอย่างแน่นอน ฉะนั้นยังมีปัญหาที่อยู่ในความคิดของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มาจากภายนอกอาศัยความยึดติดในความคิดของเขา ใช้ภาพหลอนรบกวน ร้อยทั้งร้อยเป็นเพราะเขาไม่ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ในอดีต ให้ท่านหามูลเหตุของเขา หากเขาไม่แสวงหาสิ่งนั้น สิ่งนั้นจะไม่กล้ามาอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในอดีตของจักรวาล และชีวิตทั้งหมดที่พวกเราปรับข้ามมาแล้วในปัจจุบัน ต่างเฝ้าดูกันอยู่ เป็นเพราะจิตใจไม่ถูกต้องเที่ยงตรงจึงสามารถชักนำสิ่งชั่วร้ายเข้ามา หากจิตใจถูกต้องเที่ยงตรงใครก็ไม่กล้ามา หากสามารถเข้ามาจริงๆ เหล่าเทพก็ไม่อนุญาต เรื่องที่ว่าจะปรับแก้เขาให้ถูกต้องเที่ยงตรงอย่างไร มีแต่ให้ปล่อยวางจิตใจลงมาศึกษาฝ่าให้มากๆ เท่านั้น ครั้นเมื่อใจตัวเองเกิดมารก็ยากที่จะรับรู้ด้วยตัวเอง คนอื่นยิ่งว่าเขาจะยิ่งเมามัน เขาไม่อยากจะเข้าใจ นั่นก็หมดปัญญา ปล่อยเขาไป ใครก็ไม่ไปสนใจเขาอีก ไม่ให้เวทีเขาแสดง เหมือนไม่มีคนๆนี้ รอให้เขารู้สึกว่าไม่มีความหมายที่ทำอย่างนั้น บางทีอาจจะสงบจิตใจลงมาได้ แต่ก็ได้ทำความเสียหายให้กับฝ่าอย่างมากแล้ว ไม่มีโอกาสจะได้ฝ่าอีกแล้วตลอดไป ยิ่งกว่านั้นในอนาคตย่อมต้องชดใช้บาปกรรมของเขา เพราะมูลเหตุเกิดจากที่ตัวเขาเอง ไม่ใช่ไม่เมตตากรุณาต่อเขา ฝ่าทางด้านนี้ข้าพเจ้าได้พูดไปหลายครั้งแล้ว

ศิษย์           ดิฉันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าตัวเองได้รับการทดสอบอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ตลอดมาไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ

อาจารย์      พวกเรามีผู้ฝึกเป็นจำนวนมากที่ได้ทนทุกข์ทนลำบากต่างๆนานา ได้ทุ่มเทและทนทุกข์มากกว่าคนอื่นๆ จริงๆตรงนี้เกิดจากมูลเหตุสองประการ หนึ่งคือกรรมที่ได้ก่อไว้ในอดีตนั้นใหญ่หลวงจริงๆหรือได้ทำความชั่วที่ใหญ่มากเอาไว้ ท่านบอกว่าในชาตินี้ท่านไม่รู้เรื่อง ท่านไม่ชดใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร พวกท่านบำเพ็ญต้าฝ่า ข้าพเจ้าจึงดูแลท่าน ข้าพเจ้ายังต้องให้ท่านยกระดับในระหว่างบำเพ็ญ ข้าพเจ้ายังต้องให้ท่านหยวนหมั่น ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะบอกท่านว่าท่านได้สิ่งเหล่านี้ ท่านกลับมาบอกข้าพเจ้าว่าทำไมเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น (แน่นอนข้าพเจ้าไม่พูดถึงผู้ฝึกคนที่ถามคำถาม ข้าพเจ้าเพียงแต่ยกตัวอย่างขึ้นมาพูดในเรื่องนี้) เช่นนั้นท่านว่าจะทำอย่างไรล่ะ ข้าพเจ้าเห็นท่านต้องทนทุกข์เอย ประสบความลำบากเอย ข้าพเจ้าก็เป็นห่วงท่านจริงๆ แต่พูดในทางตรงกันข้ามก็ได้สลายสิ่งต่างๆออกไปมากมาย ณ ฝั่งนั้นอาจารย์ก็ได้สลายสิ่งต่างๆออกไปและแบกรับสิ่งต่างๆ ให้แก่ท่านอย่างมากมายแล้ว ไม่สามารถจะเอาออกให้อีกแล้ว ไม่อนุญาตแล้ว เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะ ส่วนที่เหลือก็ต้องให้ทนทุกข์มากอีกสักหน่อย

            นอกจากนี้เป็นเพราะบางคนยึดติดในสิ่งของตนไม่ปล่อยวาง ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่ปล่อยวาง เก็บซ่อนเอาไว้ลึกมาก แม้จะสำนึกได้ก็ยังไม่ปล่อยวาง พอแตะถูกก็หลบเลี่ยงให้พ้นไป ไม่ต้องการจะคิด เพราะท่านไม่คิดจะปล่อยวาง ไม่คิดจะปล่อยวางแต่ท่านก็อยากจะบำเพ็ญ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเป็นวัสดุที่พอจะใช้การได้ สามารถจะบำเพ็ญ เช่นนั้นข้าพเจ้าก็ต้องให้ท่านเข้าใจแจ่มแจ้ง ท่านตกอยู่ท่ามกลางสภาพเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ภัยจึงใหญ่ เช่นนั้นจะทำอย่างไร ไม่มีวิธีอื่น นี่คือสภาพการณ์แบบหนึ่ง ก็คือตัวเองตั้งใจ(เหรินเหวย)หาความทุกข์ใส่ตัวเอง

            นอกจากนี้ ทุกท่านในระหว่างบำเพ็ญ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความรู้สึก ถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเด่นชัดเหมือนอย่างคนอื่น บางคนก็ไม่มีความรู้สึกเด่นชัด มีบางคนเป็นแบบนี้ พูดกันอย่างนี้ ไม่ว่า ณ ระดับจุลทัศน์ท่านจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงชนิดฟ้าสะเทือนแผ่นดินพลิก ร่างกาย ณ ชั้นพื้นผิวของท่านก็ถูกภายหลังกำเนิดทำจนไม่ไวต่อความรู้สึก ทำจนเฉื่อยชาไปแล้วโดยสิ้นเชิง สัมผัสรับรู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง สภาพการณ์แบบนี้ก็มี แต่ไม่ว่าชั้นพื้นผิวของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงจนไม่ดีอย่างไร ไม่รู้สึก ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน อัตราการก้าวหน้าก็ไม่ล้าหลังกว่าคนอื่น สุดท้ายเมื่อท่านหยวนหมั่น แรงต้าน ณ ระดับชั้นพื้นผิวนับเป็นอะไรไม่ได้ ทันทีที่พลังกงข้ามมาทุกสิ่งก็เสร็จสิ้นในชั่วพริบตา แต่มันก็สามารถทำให้ท่านไม่สัมผัสกับความรู้สึกอะไรเลย

ศิษย์           ท่านอาจารย์พูดถึงสังคมที่เปลี่ยนสภาพและมนุษย์ที่เปลี่ยนสภาพ(กลายพันธุ์) สามารถจะอธิบายขยายความเพิ่มเติมให้ศิษย์ฟังอีกสักหน่อยได้หรือไม่

อาจารย์      ท่านทั้งหลายทราบไหม ไม่ว่าจะเป็นคนตะวันออกหรือคนตะวันตก ในสมัยโบราณ คนในเวลานั้น ความคิดของพวกเขา พฤติกรรมของคน ตลอดจนรูปแบบการคงอยู่ของสังคมนั้นต่างจากปัจจุบันนี้โดยสิ้นเชิง เทพต่างเห็นว่านั่นเป็นวิถีชีวิตของคน แต่มันมีขั้นตอนของการพัฒนา ทุกท่านทราบประเทศได้ดำเนินผ่านมาแล้วหลายยุคหลายสมัย เครื่องแต่งกายแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ละสมัยจะไม่เหมือนกัน แต่ทรรศนคติของคนของพวกเขา ความคิดของการเป็นคน การงานทุกสิ่งที่พวกเขาทำในสังคม นั่นเป็นวิถีชีวิตของคนอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเวลานี้ล่ะ สังคมนี้ดูเหมือนเจริญก้าวหน้าอย่างมาก ล้วนแต่นำมาโดยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน

            เช่นนั้นเหตุใดเทพจึงยินยอมให้สังคมมนุษย์เปลี่ยนสภาพล่ะ พูดขึ้นมาปัญหานี้มันเกี่ยวโยงไปถึงสิ่งที่ใหญ่มาก ข้าพเจ้าจึงไม่อยากจะพูด แต่ก็สามารถสรุปให้ฟังอย่างย่อๆ หมายความว่า ในจักรวาลนี้มีอิทธิพลที่เก่ากลุ่มหนึ่ง อิทธิพลเก่ากลุ่มนี้เขาไม่ใช่มาร เขาคือชีวิตที่ก่อเกิดขึ้นมาท่ามกลางเวลาอันยาวนานหลังจาก(ชีวิต)ได้เบี่ยงเบนออกจากฝ่าแล้ว โดยแท้จริงเขาจึงไม่รู้ว่าจักรวาลไม่ดีแล้ว ก็คือชีวิตประเภทนี้ เพื่อจะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง ขัดขวางไม่ให้ชีวิตได้ฝ่า ขัดขวางการเจิ้งฝ่า กลายเป็นอิทธิพลชั่วร้ายที่สุดกลุ่มหนึ่ง พวกเขาไม่ใช่มารแต่กลับทำในสิ่งที่แม้แต่มารยังเทียบไม่ติด พวกเขาแสร้งเป็นคนดี แต่การบ่อนทำลายของพวกเขากลับเป็นเรื่องจริง

            ณ ชั้นพื้นผิวเป็นรูปลักษณ์ของเทพ แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ชีวิตที่ดี ในการถ่ายทอดต้าฝ่าของข้าพเจ้าวันนี้ อิทธิพลเก่ากลุ่มนี้ได้ทำการขัดขวางอย่างรุนแรง เมื่อพลังกงของข้าพเจ้าแตะถูกพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่อะไรเลย เมื่อพวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง พวกเขาจะพบว่าตัวเองอยู่ในระหว่างถูกกำจัดทิ้งอย่างถึงที่สุด พวกเขาต่างก็หนีไม่พ้นจุดจบที่จะถูกการเจิ้งฝ่ากำจัดทิ้งไป เรื่องนี้จึงมีขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ปัญหานี้เมื่อพูดออกมาก็ต้องพูดกันยาว เกี่ยวโยงถึงปัญหาที่ใหญ่เหลือเกิน จึงพูดว่าอิทธิพลเก่ากลุ่มนี้คงอยู่มาเป็นเวลาที่ยาวนานมาก ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าชีวิตได้เบี่ยงเบนออกจากฝ่าแล้ว และไม่เชื่อว่าจักรวาลมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

            เช่นนั้น เรื่องนี้ที่ข้าพเจ้าทำ ตั้งแต่ข้างบนลงมาถึงข้างล่างต่างรู้กันทั้งหมด เทพระดับสูงๆ เหล่านั้น พวกเขาจึงอยากจะร่วมมือ พวกเขาจึงได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบ พวกเขาเห็นว่าการทำอย่างนี้จะเป็นการดีที่สุดสำหรับข้าพเจ้า ระดับชั้นต่างๆ เชื่อมต่อลงมาล้วนแต่มีการจัดเตรียมเช่นนี้ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่ามาตรฐานของพวกเขา การจัดเตรียมของพวกเขากลับกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางเรื่องที่ข้าพเจ้าจะทำ แม้กระทั่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในสังคมมนุษย์ พวกเขาได้ดำเนินการจัดเตรียมให้มนุษย์ในวันนี้ได้ฝ่าอย่างไรอยู่โดยตลอด พวกเขาขอยืมร่างกายและความคิดมนุษย์และเอาสติปัญญาของมนุษย์ต่างดาวใส่เข้าไป เรื่องนี้ได้สร้างความวุ่นวาย ความยุ่งยาก ณ ระดับชั้นที่ต่ำสุดให้แก่ข้าพเจ้า ฉะนั้นทุกสิ่งที่พวกเขาทำเพื่ออยากจะทำเรื่องนี้ให้ดี โดยแท้จริงล้วนแต่ส่งผลเป็นอุปสรรค แต่การบ่อนทำลายที่ใหญ่หลวงที่สุดต่อมนุษย์ของมันคือขัดขวางไม่ให้มนุษย์ได้ฝ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เชื่อในเทพที่วิทยาศาสตร์แสดงออกมา และการปฏิเสธความคิดและพฤติกรรมอย่างแท้จริงของมนุษย์ที่สืบทอดมา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คนได้ฝ่า เช่นนั้นพูดถึงมนุษย์ต่างดาวมันไม่ใช่เทพ มันก็ไม่รู้ว่าเทพเหล่านั้นได้จัดเตรียมไว้เช่นนี้ เพียงแต่ว่าเทพควบคุม เปิดประตูปล่อยพวกมันเข้ามา มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ย่อมได้ใจ ยินดี มันอยากได้ร่างกายมนุษย์มานานแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีใครควบคุมดูแล พยายามหาวิธีที่จะให้ได้ร่างกายมนุษย์เพื่อจะครอบครองพื้นที่เหล่านี้ของมนุษย์ ฉะนั้นเมื่อพูดขึ้นมาสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง สิ่งที่พูดไปเมื่อครู่จึงเกี่ยวโยงไปถึงปัญหาที่ใหญ่มาก นี่คือเหตุใดสังคมที่เปลี่ยนสภาพ จึงปรากฏขึ้น ปรากฏมนุษย์ในสภาพอย่างทุกวันนี้

            ผู้ฝึกบางคนพูดว่า: ไม่ว่าเวลานี้จะมีศิษย์เป็นจำนวนมากเท่าใดก็ตาม ในอนาคตอาจารย์สามารถจะนำพาศิษย์หยวนหมั่นได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในพื้นที่หลายๆ แห่งข้าพเจ้าได้ยินคนพูดอย่างนี้ นี่เป็นการบ่อนทำลายฝ่าอย่างร้ายแรง ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าพเจ้ายังจะบรรยายฝ่าอะไรอยู่ตรงนี้อีกล่ะ? นี่เป็นปัญหาประการหนึ่ง ยังมีบางคนพูดว่า: อาจารย์จะพูด ส่งสัญญาณตักเตือนคน บอกกล่าวคนให้ทำอะไรโดยแฝงเข้าไปในร่างกายผู้ฝึกคนไหนคนไหนบ้าง ไม่มีเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะขอยืมปากของคนอื่นพูดอยู่เนืองๆ ญาติพี่น้องในครอบครัวท่าน แม้แต่ปากของใครก็ตาม ข้าพเจ้าล้วนแต่สามารถขอยืมปากของเขาว่ากล่าวตักเตือนท่านสักกี่ประโยค ส่งสัญญาณตักเตือนท่านบ้าง เรื่องอย่างนี้มี  (แฝง)เข้าในร่างกายใคร มีใครที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น? เรื่องอย่างนี้ไม่มีอย่างแน่นอน คนที่พูดเรื่องนี้ต้องมีปัญหา รับรองว่าตัวเขาเองต้องมีปัญหาแล้ว ก็คือฟู่ถี่ ที่ทำ

ศิษย์           เวลาผมหงฝ่าให้กับคนธรรมดาสามัญ จะกำหนดให้อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” จบสามเที่ยวก่อน เมื่ออยากเรียนค่อยสอนกระบวนท่าเคลื่อนไหว

อาจารย์      อย่าทำให้เป็นเรื่องที่เด็ดขาดแน่นอนอย่างนี้ เพราะคนที่เข้ามาฝึกมักจะมีเหตุปัจจัยอย่างนี้หรืออย่างนั้น จึงสามารถสอนเขาฝึกพลังกง สามารถให้เขาค่อยๆ เข้าใจ หรือให้หนังสือเขาหนึ่งเล่ม อ่านจบแล้วอยากจะฝึกก็ทำได้ ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัวแน่นอน อย่าทำให้มันเป็นกฎระเบียบ บางคนอ่านหนังสือจบหนึ่งเที่ยวแล้วรู้สึกว่าดี อยากเรียนฝึกพลังกงทันที ท่านบอกว่า: ไม่ได้ ท่านยังต้องอ่านหนังสืออีก ทำอย่างนี้ไม่ได้

ศิษย์           บางคนบอกว่า: คนที่มาใหม่ไม่ให้อ่านหนังสือก่อน ต้องไปตรึกตรอง ไปอู้ ไปคิด

อาจารย์      ไม่ว่าจะไปอู้ก็ดี ตรึกตรองก็ดี คิดก็ดี ในกรณีที่ยังไม่ได้ฝ่า ท่านบอกให้เขาไปคิด ไปอู้ ก็อู้อะไรออกมาไม่ได้ ใช่ไหม ล้วนต้องอ่านหนังสือให้มาก อ่านหนังสือให้มาก ระหว่างขั้นตอนบำเพ็ญ สภาวะบางอย่างที่ท่านสะท้อนออกมา ท่านสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง นี่ก็คืออู้ได้ถูกต้อง อู้อะไรล่ะ ก็คืออู้อย่างนี้ นี่คืออู้ได้ถูกต้อง เช่นนั้นไปตรึกตรองไปคิด ท่านจะคิดอะไรล่ะ ความคิดทั้งหมดซึ่งสะท้อนออกมาท่านยังจะต้องกลั่นกรองจริงๆสักหน่อยว่า อะไรบ้างที่เป็นตัวเอง อะไรบ้างที่เป็นความคิดไม่ดี ความคิดที่ไม่ดียังไม่สามารถจะปล่อยให้มันคิด พูดถึงตรึกตรองก็ไม่ต้องตั้งใจที่จะไปตรึกตรองอะไร ทุกคนที่รู้จักฝ่าล้วนมีขั้นตอนอย่างนี้: หยิบหนังสือขึ้นมาพออ่านก็จะรู้สึกว่าดี เหตุใดจึงรู้สึกว่าดีล่ะ ท่านมีสติสัมปชัญญะ มีความคิด มีการปฏิบัติ(อย่างมีจิตสำนึก)ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ท่านจึงจะรู้ว่าฝ่าดี พออ่านก็รู้ แต่ว่ากันถึงแก่นแท้นี่คือความรู้สึก เมื่อผ่านการอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง ท่านก็จะยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งในคุณค่าของเขามากยิ่งขึ้น นี่จึงเป็นการเลื่อนไปสู่ระดับของตามหลักเหตุผล เช่นนั้นนอกจากนั้นท่านยังตรึกตรองอะไรอีก สมมติหากท่านคิดเช่นนี้: ฝ่าบทที่ศึกษาวันนี้เหมาะสมหรือไม่ สิ่งที่กล่าวในบทนี้มีเหตุผลหรือไม่ เช่นนั้นท่านก็อู้ผิดเพี้ยนไปแล้ว ทำอย่างนี้ผิดอย่างแน่นอน

ศิษย์           เนื่องจากหงฝ่าไม่เพียงพอ จนถึงวันนี้บุคลากรชั้นสูงในวงการเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ มีผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริงไม่มากพวกเราควรจะทำอย่างไร

อาจารย์      ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นงานสาขาอะไร ระดับชั้นอะไรในสังคม ต้าฝ่าถ่ายทอดออกมามุ่งไปที่จิตใจคน มุ่งไปยังแต่ละคน ไม่มุ่งไปที่กลุ่มบุคคล เป็นต้นว่าฉันมีอำนาจ ฉันบอกให้ทุกคนมาเรียน ไม่เรียนไม่ได้ แต่คนไหนที่จริงใจล่ะ ท่านบังคับ สั่งให้เขามา หรือมาเพราะกลัวเสียหน้า ไม่ใช่มาเพื่อได้ต้าฝ่า ต้องตัวเขาเองอยากจะมาเรียนจริงๆ จึงจะใช้ได้ ฉะนั้นไม่ว่าตำแหน่งการงานจะสูงเพียงใด มีอำนาจอิทธิพลมากเพียงใด พวกเราก็ดูที่จิตมนุษย์ของเขา ใครก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนให้ใคร เช่นนั้นพวกเราบอกว่า คนในสาขาอะไรบ้าง หลังจากได้ฝ่าแล้วอาจจะเป็นประโยชน์มากขึ้นสำหรับพวกเราในการเผยแพร่ต้าฝ่าให้กว้างไกล ในการยืนยันความเป็นวิทยาศาสตร์ของต้าฝ่า ข้าพเจ้าไม่คัดค้านที่ทุกท่านมีความคิดอย่างนี้ อยากจะปกป้องต้าฝ่า ทำงานต้าฝ่านี่เป็นสิ่งดี แต่โดยมากมักจะไม่เหมือนอย่างที่พวกท่านจินตนาการ ต้องเป็นตัวเขาที่อยากจะได้หรือไม่ ต้องเขาอยากจะได้จึงจะทำได้ เขาไม่อยากจะได้ก็ทำไม่ได้ แต่จะขาดใครก็ตามต้าฝ่าก็ไม่กลัว ผู้ฝึกบางคนเป็นกังวลมาก เช่น ณ ศูนย์ฝึกพลังกงของเรา ไม่กล้าบอกให้ผู้ฝึกทำอย่างไรๆ พอบอกให้ทำ ผู้ฝึกก็เลิกฝึกไปเลย ข้าพเจ้าว่าอาจเป็นไปได้ในกรณีที่เข้าใจต้าฝ่าไม่ลึกซึ้ง ถ้าหากผู้ฝึกคนนี้ศึกษามาได้ระยะหนึ่งแล้วยังเป็นเช่นนี้ เช่นนี้อยากไปก็ให้ไปเถิด พวกเราต้องการแต่คนบำเพ็ญ ไม่ต้องการพวกที่ถือโอกาสมาเพื่อฉกฉวย ไม่ต้องการพวกที่มาประสมประเสให้ครบจำนวน ในหนึ่งร้อยคนมีเก้าสิบเก้าคนที่ไม่จริงใจเขาก็ไป เหลือเพียงหนึ่งคนที่จริงใจ นี่ก็คือผลสำเร็จของท่าน มีหนึ่งคนที่ได้รับการช่วยเหลือก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่จะไม่เป็นเช่นนี้ ว่ากันถึงแก่นแท้ วันนี้มีจำนวนคนมากขนาดนี้กำลังบำเพ็ญต้าฝ่า

ศิษย์           ในขณะรับการทดสอบ บางครั้งเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอู้ได้แล้ว รู้สึกจิตใจผ่อนคลายในทันที แต่หลังจากนั้นการทดสอบแบบเดียวกันก็มีมาอีก

อาจารย์      เมื่อครู่มีผู้ฝึกถามข้าพเจ้าว่า การทะลวงโจวเทียน สภาวะเช่นนี้เคยมีก่อนหน้านี้แล้ว ทำไมเวลานี้ยังกลับมีอีกล่ะ ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน ทุกท่านอยู่ในระหว่างบำเพ็ญ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของสังคมคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด ส่วนที่ท่านบำเพ็ญสำเร็จแล้วจะแยกส่วนนั้นออกไปจากระดับจุลทัศน์ให้แก่ท่าน ส่วนที่ยังบำเพ็ญไม่เสร็จ ส่วนนี้ มันยังมีปัญหาอย่างเดียวกัน ยังต้องบำเพ็ญกันเช่นนี้ เมื่อบำเพ็ญสำเร็จแล้วค่อยแยกออกไป ยกตัวอย่าง ในร่างกายทุกๆชั้นของท่านล้วนมีกลไก ข้างในร่างกายระดับชั้นต่างๆ ของท่านอาจจะยังมีความคิดที่ไม่ดีอยู่ พูดถึงความคิดที่ไม่ดีในแบบหนึ่ง มันอาจจะประกอบขึ้นจากสิ่งต่างๆ ในระดับตื้นๆ ของชั้นพื้นผิวที่สุด และอาจจะประกอบขึ้นจากสสารที่จุลทัศน์ลงไปอีก เช่นนั้นความคิดไม่ดีบางอย่าง จากระดับจุลทัศน์ถึงชั้นพื้นผิวมันก็อาจจะมีอยู่ ฉะนั้นด้านนี้ของท่านได้เกณฑ์แล้ว กำจัดทิ้งไปหนึ่งชั้นแล้ว แยกออกไปแล้ว ชั้นต่อไปยังมี ยังต้องหวนกลับมาให้ท่านกำจัดทิ้งไปในระหว่างบำเพ็ญ

            บางคนบอกว่าฉันก็รู้สึกว่าฉันบำเพ็ญได้ไม่เลว ดีมากในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทำไมเวลานี้กลับมีความคิดไม่ดีออกมาอีกล่ะ เป็นเพราะด้านที่ท่านบำเพ็ญเสร็จแล้วได้ถูกแยกออกไปแล้ว ด้านที่ยังบำเพ็ญไม่เสร็จยังต้องบำเพ็ญต่อไป แต่(กำลังของ)มันจะอ่อนแอลง บางครั้งความคิดที่ออกมาเป็นความคิดที่แย่มากๆ ข้าพเจ้ารู้ พวกท่านอย่าได้กังวล สสารที่ยิ่งจุลทัศน์มันจะยิ่งมีพลังงานมาก หมายความว่ามันจะยิ่งมีกำลังมาก ผลกระทบที่ไม่ดีของมันจะยิ่งใหญ่ มันสามารถควบคุมคน แต่ ณ ชั้นพื้นผิวที่สุด สสารยิ่งชั้นพื้นผิวจะยิ่งมีพลังงานน้อย ยิ่งน้อยก็ยิ่งไม่มีกำลัง แต่ยิ่งน้อยยิ่งชั้นพื้นผิวก็ยิ่งไม่ดี เช่นนั้นยิ่งไม่ดีเมื่อยิ่งต่ำลงมา มันก็ยิ่งไม่มีพลังงาน มันเป็นความสัมพันธ์เช่นนี้ ฉะนั้นแม้ว่าท่านจะสลายสิ่งที่ไม่ดีจนลดน้อยลงแล้ว มันเปลี่ยนจนอ่อนแอลงมากแล้ว แต่มันอาจปรากฏออกมายิ่งไม่ดี ท่านอย่าได้กังวลกับสิ่งเหล่านี้ ท่านบำเพ็ญมาถึงขึ้นนี้แล้ว นี่จะทำให้ในความคิดของท่าน พอมีความคิดที่ไม่ดีออกมา ท่านก็จะสำนึกได้ทันที สิ่งนี้จะทำได้ยากในระยะแรก ความคิดไม่ดีกำลังค่อยๆ ถูกกำจัดออกไปทีละชั้นทีละชั้น แต่เมื่อท่านฟังเข้าใจแล้ว หากท่านคิด: อ้อ เรื่องเป็นเช่นนี้เอง เมื่อความคิดไม่ดีปรากฏออกมาอีก ฉันก็จะไม่สนใจมัน หากท่านไม่ควบคุมตนเอง ขจัดมันทิ้งไป ก็กลายเป็นว่าท่านไม่บำเพ็ญแล้ว มันสัมพันธ์กันอย่างนี้ ท่านแยกแยะมันได้ชัดเจน ท่านจำกัดมัน ตัวท่านเองรู้ว่าจะต้องบำเพ็ญ ยับยั้งความคิดที่ไม่ดี ท่านกำลังบำเพ็ญ กำลังสลาย(มัน)ให้ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง สลาย(มัน)ให้ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ได้มาตรฐานก็จะมากขึ้นมากขึ้น เมื่อได้มาตรฐานทั้งหมดก็คือหยวนหมั่น มันเป็นขั้นตอนเช่นนี้

ศิษย์           ศิษย์ภาคพื้นอเมริกาเหนือใช้โอกาสต่างๆ หงฝ่าให้กับชาวอเมริกัน แต่ชาวอเมริกันที่ได้ฝ่าอย่างแท้จริงยังคงน้อยมาก

อาจารย์      อิทธิพลเก่าในจักรวาล เขาได้เตรียมการเป็นชุด การเตรียมการของเขาขัดขวางสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำในวันนี้อย่างรุนแรง

            พวกเขาไม่ว่าคนไหนก็ไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามาจากที่ใด ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยอธิบายหลักการให้แก่พวกเขา เช่นเทพเป็นต้น ไม่ว่าเทพองค์นี้จะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม เขาต่างก็ไม่รู้ว่าสูงจากเขาขึ้นไปยังมีเทพอีกหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นการคงอยู่ของเทพกับการคงอยู่ของคนจะไม่เหมือนกัน วันนี้ข้าพเจ้าจะบอกพวกท่าน ข้าพเจ้าว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า หลักการนี้พวกท่านต่างก็เชื่อ แต่ความคิดของพวกท่านกับของเทพนั้นไม่เหมือนกัน พวกท่านต่างเข้าใจจากในฝ่า เทพรู้สึกว่ามองเห็นหมดทุกอย่าง เข้าใจหมดทุกอย่าง ท่านบอกว่าข้างบนยังมีอีก เขาจึงไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริงๆ นั่นกำหนดโดยกั่วเว่ย(มรรคผล)ของเขา กำหนดโดยระดับชั้น และอู้ได้ด้วยสติปัญญาของเขาระดับชั้นต่ำจากเขาลงมาหรือระดับชั้นเดียวกับเขา เมื่อมองปราดเดียวก็เข้าใจ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น สำหรับชีวิตทั้งหมดที่ต่ำจากเขาลงมา เขามีความยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน สำหรับข้าพเจ้า พวกเขาต่างสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ วิธีที่ข้าพเจ้าปรากฏในระดับชั้นของพวกเขา แต่พวกเขาต่างมองไม่เห็นรูปแบบการคงอยู่ของข้าพเจ้าที่สูงกว่าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่จะดำเนินบทบาทของพวกเขา

            พวกเขาเข้าใจว่าข้าพเจ้าก็เป็นพวกเดียวกับเขาที่นี่: ข้าก็จัดเตรียมเช่นนี้ มันเป็นประโยชน์ต่อท่าน แท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามีเรื่องที่สูงกว่านั้นที่จะต้องทำ พวกเขาทำอย่างนี้ทุกๆชั้น ชั้นนี้คิดแบบนี้ ชั้นนั้นก็คิดแบบนี้ พวกเขาต่างก็คิดแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงจัดวางแรงต้านไว้ทุกๆชั้น เรื่องหงฝ่า ในระยะแรกตัวข้าพเจ้าอยากจะให้คนสองร้อยล้านคนได้ฝ่าระหว่างขั้นตอนการเจิ้งฝ่าของข้าพเจ้า เพราะทั่วโลกมีประชากรเจ็ดพันกว่าล้านคน สองร้อยล้านคน ตัวเลขนี้นับว่าน้อยมาก แต่พวกเขาจำกัดไว้ที่หนึ่งร้อยล้านคน ยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนสภาพของพวกเขาไม่ยอมปล่อย ทุกครั้งเมื่อข้าพเจ้าทำลายทิ้งหนึ่งชั้น พวกเขายังมีการจัดเตรียมอีกหนึ่งชั้นไว้ข้างบน ข้าพเจ้าต้องทะลวงออกเป็นชั้นๆชั้นๆ... ข้าพเจ้าจึงจะสามารถไม่ถูกจำกัดโดยสิ่งต่างๆที่พวกมันจัดเตรียม ฉะนั้นการจัดเตรียมของพวกมันจึงกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากสำหรับการเจิ้งฝ่าของข้าพเจ้า

ศิษย์           หลายๆคนต่างกำลังค้นหาแรงกระตุ้นอะไรบางอย่างในการบำเพ็ญ อย่างเช่นตั้งทรรศนคติของการกลับบ้าน ไม่ทราบว่าบำเพ็ญไปอย่างอู๋เหวย(ไร้ความหมายมั่น)จะดีกว่าหรือไม่

อาจารย์      การสร้างความมั่นใจ แรงกระตุ้นอะไรแบบหนึ่ง หรือคิดอยากจะไปที่ใด และนำมาเป็นแรงกระตุ้นผลักดันการบำเพ็ญ โดยหลักการไม่ผิด แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ายังมีจุดรั่ว เพราะท่านยังบำเพ็ญเพื่อบางสิ่งบางอย่าง แน่นอนคิดจะบำเพ็ญกลับไปหรือเพื่อบรรลุสภาวะอะไร ข้าพเจ้าคิดว่าท่านเพียงแต่กำหนดเป้าหมายไว้ถูกต้อง หรือกำหนดเจิ้งเนี่ยน(ความคิดถูกต้อง)ไว้ถูกต้องแล้วก็ไม่ต้องไปคิดมันอีก เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้วก็ตั้งหน้าบำเพ็ญไป ไม่ต้องไปสนใจสิ่งอื่น ท่านคิดอย่างนี้อยู่ตลอด ใช้มันเป็นแรงกระตุ้นแบบหนึ่งเพื่อผลักดันท่าน เมื่อถึงระดับชั้นที่กำหนด ข้อกำหนดสำหรับท่านจะสูงยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่แรงกระตุ้นเสมอไป ดูเหมือนจะเป็นความยึดติดในลักษณะหนึ่ง แต่ในระยะแรกไม่มีปัญหา ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าพระยูไลเน้นในความเมตตากรุณา แต่ ณ ระดับชั้นที่สูงมากๆ ให้เทพองค์นั้นดู เมตตากรุณาอะไร ความเมตตากรุณาคืออะไร เขาไม่เข้าใจแล้ว ไม่ใช่เขาไม่เข้าใจ เขาเข้าใจทุกสิ่ง เขาเห็นว่าความเมตตากรุณาของท่านเป็นความยึดติด นี้เป็นหลักการที่เลื่อนสูงขึ้น ฝ่าก็เลื่อนสูงขึ้นอยู่โดยตลอด ชีวิตในระดับชั้นต่างๆ ล้วนมีข้อกำหนดต่อเขาในอาณาจักรเขตแดนของระดับชั้นต่างๆ

ศิษย์           ทุกครั้งที่ร่วมงานฝ่าฮุ่ยก็รู้สึกว่าได้รับการกระตุ้นอย่างมาก แต่หลังจากกลับบ้านเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ขยันขันแข็งอีกแล้ว

อาจารย์      เมื่อวานข้าพเจ้ายังพูดกับผู้ฝึกทั้งหลายถึงปัญหานี้ ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกนี้ พวกท่านฟังอาจารย์พูดท่ามกลางสภาพแวดล้อมของต้าฝ่า ต่างก็รู้ว่าสมควรต้องขยันขันแข็งจริงๆ แต่ว่ากันถึงแก่น พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ทุกสิ่งที่สัมผัสล้วนเป็นผลประโยชน์ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ทุกๆเรื่องล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลของท่าน เช่นนั้นบรรยากาศที่ขจรขจายอยู่ทั่วทั้งสังคมล้วนแต่มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมนี้โดยไม่รู้ตัวพวกท่านจึงรู้สึกว่าทุกสิ่งก็เป็นอย่างนี้ ทำให้ท่านไม่สามารถจะขยันขันแข็ง นี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่สามารถจะขยันขันแข็ง แต่หันประเด็นกลับมา เพราะสภาพแวดล้อมอย่างนี้สามารถทำให้คนหย่อนยาน สภาพแวดล้อมนี้ สามารถทำให้คน เปลี่ยนแปลงเลวลง สภาพแวดล้อมนี้ซับช้อน บำเพ็ญลำบาก หากท่านออกมาจากข้างในนั้น ท่านจึงจะยิ่งใหญ่ ท่านจึงจะสามารถไปสูงขนาดนั้นได้ ท่านจึงจะสามารถกลับไปได้ ท่านจึงจะสามารถทำให้ผู้คนบอกว่าท่านยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าพวกเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดก็ตาม วันนี้ภายใต้สภาพแวดล้อมอันนี้ หากอยากจะให้ตัวเองขยันขันแข็งได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้าคิดว่าก็ต้องอ่านหนังสือให้มาก อ่านหนังสือให้มากๆ

ศิษย์           ยิ่งจุลทัศน์ระดับชั้นจะยิ่งสูง เมื่อวานอาจารย์กล่าวว่า สวรรค์ของระดับชั้นต่างๆ คือการเดินลงไปยังระดับจุลทัศน์

อาจารย์      ไม่มีการขึ้นหรือลงอย่างที่ท่านจินตนาการ โลกนั้นกลม ข้างล่างก็เป็นข้างบน โลกกลมตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มนุษย์จะเอนมาทางนี้ประเดี๋ยวหนึ่ง อีกประเดี๋ยวก็ตั้งตรงกลับมา ไม่มีข้างบนข้างล่างในทรรศนคติของมนุษย์ สี่ด้านแปดทิศโดยรอบล้วนเป็นข้างบน การเดินไปยังข้างบนที่ข้าพเจ้าพูด อันที่จริงสามารถเข้าใจเป็นการเดินเข้าสู่จุลทัศน์ พูดกันอย่างถูกต้อง ขึ้นสวรรค์ก็คือการเดินเข้าสู่จุลทัศน์

ศิษย์           ใน “จ้วนฝ่าหลุน” ท่านอาจารย์ใช้ปีแสงมาเปรียบเป็นเวลา แต่ในวิชาฟิสิกส์ปีแสงหมายถึงระยะทาง

อาจารย์      ตอนที่พูดถึงเทียนถี่ ข้าพเจ้าได้ใช้ระยะทางของแนวคิดมิติเวลา มาพูดถึงเวลาที่ต้องใช้ ในระดับชั้นเดียวกัน ซึ่งสามารถจะเรียกเป็นระยะทาง จากมหภาคถึงจุลทัศน์แนวความคิดนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามความแตกต่างระหว่างมิติและเวลา คือมนุษย์ไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับมิติระยะทางและคำศัพท์ที่เป็นเอกภาพและใช้ทั่วไป ในการทำเรื่องนี้ข้าพเจ้าทำโดยการทะลวงเวลาทั้งหมด นี่คือวิธีของข้าพเจ้า แต่ไม่ว่าชีวิตใดเมื่อตกอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นก็จะถูกบังคับด้วยเวลาในสภาพแวดล้อมนั้น ฉะนั้นเมื่อตอนที่พูดถึงโครงสร้างของเทียนถี่ แนวความคิดเรื่องระยะทางกับเวลาและความเร็วนั้นไม่อาจจะแยกออกจากกัน การคงอยู่ของโลกต่างๆ ในอาณาจักรเขตแดนเดียวกัน หรืออณูต่างๆ ในระดับชั้นเดียวกัน ระหว่างพวกมันด้วยกันสามารถวัดด้วยระยะทาง เพราะพวกมันอยู่ในระดับชั้นเดียวกัน มีเวลาและระยะทางที่เป็นเอกภาพ แต่จากจุลทัศน์ถึงมหภาค ขั้นตอนของการทะลวงนี้ไม่มีเวลาหรือระยะทางที่เป็นเอกภาพ ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนจัดสร้างให้แก่สรรพชีวิตโดยต้าฝ่า รวมทั้งวัฒนธรรมของสรรพชีวิตในระดับชั้นต่างๆ ในการเจิ้งฝ่าไม่ใช่เพียงแต่ปรับแก้สิ่งที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ในเวลาเดียวกันก็กำลังจัดสร้างวัฒนธรรมของมนุษยชาติที่มีข้อบกพร่องในอดีตให้ใหม่ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าอธิบายชัดเจนแล้ว (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ทุกครั้งเวลาผ่านด่านอารมณ์ความผูกพัน(ฉิงกวาน) ในใจมักจะมีความรู้สึกว่าสละยากอย่างยิ่ง ดิฉันเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ที่สุดของคนหรือไม่

อาจารย์      พวกท่านนำอารมณ์ความผูกพัน(ฉิง)มาเป็นความมีเหตุผลของตัวเอง หรือมาเป็นอะไรส่วนหนึ่งของร่างกายท่านก็ผิดแล้ว แต่หากท่านตั้งใจจะละวางให้จงได้ในขั้นที่ยังไม่สามารถจะบรรลุ พวกท่านก็กำลังฝืนทำ ผ่านการบำเพ็ญ อ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง ในขั้นตอนฝึกพลังกงค่อยๆ บรรลุถึงขั้นที่สามารถจะเข้าใจฝ่าจากในฝ่าได้อย่างแท้จริง ท่านมีข้อกำหนดที่สูงสำหรับตัวเอง พยายามยับยั้งความคิดไม่ดีเหล่านั้น สิ่งต่างๆ ที่ท่านยึดติด ท่านพยายามปล่อยให้มันเบาบาง ขจัดมันทิ้งไป ภายในเสี้ยววินาทีใดที่ท่านทำได้ ส่วนนั้นที่ท่านสามารถบรรลุมาตรฐาน ก็จะยับยั้งมันเอาไว้ ก็จะค่อยๆ ทะลวงสู่ชั้นพื้นผิวอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้ สุดท้ายเมื่อทั้งหมดทะลวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อชั้นสุดท้ายเปิดออก ท่านจะพบว่าท่านจะไม่มีความคิด วิธีคิดในระยะแรกโดยสิ้นเชิง รูปแบบความคิดของท่านจะต่างไปจากเดิม นั่นคือท่านอย่างแท้จริง จิตดั้งเดิมอย่างแท้จริง ในขณะที่สิ่งที่ท่านปล่อยวางไม่ได้ในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิด ล้วนเป็นทรรศนคติซึ่งก่อเกิดภายหลังกำเนิดที่กำลังผูกรัดท่านอยู่

            นอกจากทรรศนคติอันนี้แล้ว คนอยู่ท่ามกลางมิตินี้ ยังมีสภาพแวดล้อมที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษก็คือฉิง ภายในสามภพล้วนแต่จมอยู่ในฉิง ท่านไม่อาจจะหลีกหนีจากฉิงได้เลย ท่านจึงอยู่ท่ามกลางสิ่งนี้ อันที่จริงสิ่งที่พวกท่านจะต้องทำก็คือจะหลุดพ้นจากฉิงนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ข้าพเจ้าจะพูดให้ชัดเจนอย่างไร คนที่บำเพ็ญช่วงเวลาอันสั้นไม่สามารถจะทำได้ ผู้ฝึกเก่าที่ยังไม่หยวนหมั่นก็ยากที่จะทำได้ทั้งหมด ในระหว่างบำเพ็ญให้กำหนดตัวเองอย่างเข้มงวด กำจัดสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นทิ้งไป ในระหว่างบำเพ็ญต้าฝ่าสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ท่านอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง ในยามปกติท่านก็พยายามกำหนดตัวเองให้ปฏิบัติให้เหมือนกับผู้ฝึกพลังกงคนหนึ่ง ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้ท่านได้  เพราะต้าฝ่ากำลังหลอมเหลาท่านอยู่

ศิษย์           มีพื้นที่แห่งหนึ่งอยากจะจัดประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระดับใหญ่เดือนละครั้ง ปัจจุบันจัดไปสามครั้งแล้ว ดิฉันรู้สึกว่ามากเกินไป

อาจารย์      ใช่ มากเกินไปแล้ว อย่าจัดประชุมถี่ขนาดนั้น อย่างการประชุมฝ่าฮุ่ยระดับใหญ่แบบของเรานี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจัดปีละครั้งหรือสองครั้งก็พอ จัดประชุมมากเกินไปจะกระทบการบำเพ็ญของทุกคน เพราะการบำเพ็ญเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก การหงฝ่าของพวกท่านก็เพื่อบอกให้คนได้ฝ่า เพื่อบอกให้ทุกคนสามารถยกระดับสูงขึ้นอย่างแท้จริง เพิ่มความมั่นใจในการบำเพ็ญให้แข็งแกร่งจึงทำการหงฝ่า แต่ต้องไม่ยึดอยู่กับรูปแบบ

ศิษย์           ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อวานว่า “เดิมทีข้าพเจ้ากำหนดไว้สองร้อยล้านคน” การหงฝ่าของพวกเรา ภาพอนาคตจะเป็นสองร้อยล้านคนใช่หรือไม่

อาจารย์      ทุกสิ่งที่ขัดขวางการเจิ้งฝ่าล้วนอยู่ในช่วงสุดท้ายของการกำจัดทิ้ง แต่เวลาที่จัดไว้ให้คนบำเพ็ญสูญเสียไปมาก ไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาอีกแล้ว มาอีกหนึ่งร้อยล้านคน รับรองว่าจะไม่เหมือนกับพวกท่าน จะไล่ไม่ทัน ตามไม่ทันพวกท่าน แต่พวกเราก็ไม่ทำงานหงฝ่ากันแล้ว ใช่หรือไม่ ยังต้องทำ เพราะมนุษย์ยังมีงานขั้นต่อไปต้องทำ ยังมีคนมากมายไม่ได้บำเพ็ญ ไม่ได้ศึกษา ต้องให้คนที่ไม่ได้รู้ฝ่าได้รู้จักฝ่า

ศิษย์           ไปหงฝ่าในพื้นที่ที่ห่างไกล ดิฉันเป็นห่วงว่าจะรบกวนขั้นตอนบำเพ็ญซึ่งท่านอาจารย์ได้จัดเตรียมให้ศิษย์ด้วยเหตุนี้

อาจารย์      อันนี้จะไม่เป็น(ปัญหา) หากในพื้นที่ที่ห่างไกลไม่มีคนรู้จักฝ่า พวกท่านไปหงฝ่าไม่ผิด และจะไม่หน่วงเหนี่ยวการบำเพ็ญจนเสียการด้วยเหตุนี้ ทำงานหงฝ่าไปพลาง ในขณะที่ตัวเองอ่านหนังสือฝึกพลังกงไปอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเองนี่ก็คือการบำเพ็ญ

ศิษย์           ระดับชั้นซึ่ง “ซือ” (ความเห็นแก่ตัว) สามารถเชื่อมต่อถึงนั้นสูงเพียงใด พวกเราจะสามารถทะลวงระดับชั้นนี้อย่างไร

อาจารย์      เหตุที่ชีวิตสามารถเบี่ยงเบนจากฝ่า ชีวิตสามารถตกลงมาจากระดับชั้นสูง เป็นเพราะพวกเขามีความเห็นแก่ตัว มูลเหตุที่มนุษย์มีความเห็นแก่ตัวนั้นเกิดจากในความคิดของคนมีทรรศนคติที่ไม่ดีต่างๆ มากมายซึ่งก่อเกิดภายหลังกำเนิด โดยแท้จริงคือมลภาวะของความคิด เช่นนั้นเทพระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น เขาจะยิ่งบริสุทธิ์สะอาด ยิ่งศักดิ์สิทธิ์และผุดผ่อง หากเขามีสิ่งที่ไม่สมควรมี นั่นก็คือเขาไม่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีแนวคิดและรูปแบบของระดับชั้นอย่างที่ท่านเข้าใจ

ศิษย์           ท่านอาจารย์กล่าวว่า พวกเราไม่เพียงแต่อาจจะกลับไปยังที่กำเนิดชีวิตดั้งเดิมของพวกเรา แต่ยังอาจจะสูงขึ้นไปอีก

อาจารย์      อาจจะทำได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ยากจริงๆ มีอยู่จุดหนึ่ง ขอเพียงท่านบำเพ็ญต่อไป รวมทั้งคนที่ได้ฝ่า ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว (เสียงปรบมือ) ข้าพเจ้าจะต้องหาวิธีให้ท่านกลับไปสู่ยังที่ที่ท่านถือกำเนิดมาแต่เดิม (เสียงปรบมือ) สำหรับเรื่องที่จะไปสู่ยังที่ที่สูงขึ้นไปอีกนั้น เรื่องนี้ต้องดูที่ตัวท่านเอง นี่ก็มีรายที่เป็นกรณีพิเศษ พิเศษมากๆ อันที่จริงพวกท่านกำลังคิดด้วยความคิดของมนุษย์ ในชีวิตของท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลับไปสู่ที่ดั้งเดิมของท่าน นั่นคือปณิธานที่ใหญ่ที่สุด ความมุ่งมาดปรารถนาที่สวยงามที่สุดของท่าน ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตำแหน่งของเขาว่าสูงเพียงใด แต่อยู่ที่เขาสามารถจะได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเขาเองสมควรจะได้ มีความพึงพอใจแล้วก็คือความสุข แต่พูดออกมาด้วยคำพูดของมนุษย์ฟังดูแล้วไม่สุภาพ มนุษย์ต่างมีกิเลสที่จะค้นหาทุกสิ่งอย่างไม่สิ้นสุด นี้เป็นจิตใจที่ไม่ดี เทพไม่มีจิตใจอันนี้ สำหรับสรรพชีวิต จักรวาลนั้นไร้ขอบเขตจำกัด หมดปัญญาที่มองเห็นได้ตลอด ดังนั้นการอยากจะรู้ทุกสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไป นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างไม่สิ้นสุด เป็นเช่นนั้นไม่ได้

            การบำเพ็ญในอดีตความจริงก็มีบางคนที่บำเพ็ญได้สูงมากทีเดียว แต่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง! ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้พวกท่าน ในขณะที่ทำเรื่องนี้ ข้าพเจ้าทุ่มเทกำลังทั้งหมดทะลวงสู่ระดับจุลทัศน์เพื่อปรับฝ่าให้ถูกต้องโดยทำจากข้างล่างไปยังข้างบน เช่นนี้แล้วข้าพเจ้าทำไปถึงตรงไหนล่ะ ก็คือทำไปถึงที่ที่ไกลมาก ไปถึงที่ที่ไม่มีร่างมนุษย์ ที่ตรงนั้นล้วนแต่เป็นสสาร เต็มไปด้วยชีวิตที่คงอยู่ในรูปลักษณ์ของสสาร

            ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่พิเศษของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในจักรวาล มีเทพหลายองค์ถูกตีวนเข้าไปในระดับชั้นนั้น ลงมาไม่ได้จึงคงอยู่ที่ตรงนั้น พวกเขารู้ไม่มีความหมาย(ไม่สนุก) จึงมุ่งมั่นที่จะกลับลงไปยังที่เดิม นั่นไม่เหมือนอย่างที่พวกท่านคาดเดา ไม่ใช่ว่าสูงก็จะดี ภายหลังเมื่อข้าพเจ้าทำถึงขั้นนี้ ข้าพเจ้าส่งพวกเขากลับไป พวกเขารู้สึกดีใจมาก (เสียงปรบมือ) คำพูดบางอย่างฟังดูเหลือเชื่อ เวลานี้ข้าพเจ้านั่งอยู่ตรงนี้คือ หลี่หงจื้อ ในรูปลักษณ์ของคน สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่านคือหลักการของฝ่า สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดให้ท่านฟังล้วนแต่เป็นเรื่องจริง แต่ปรากฏการณ์ของพลัง(ความสามารถ)ทั้งหมดไม่ได้อยู่ ณ ที่ฝั่งนี้ของคนธรรมดาสามัญ เพราะข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลัง(ความสามารถ)อย่างนั้นมาทำให้พวกท่านกลืนกลาย เลื่อนระดับ พวกท่านใช้หลักการของต้าฝ่าก็จะสามารถทำให้ทุกสิ่งหยวนหมั่น

ศิษย์           ดิฉันได้ยินมาว่า อ่าน“จ้วนฝ่าหลุน” จบหนึ่งเที่ยว สามารถสลัดเปลือกออกหนึ่งชั้น(ผู้ฝึกหัวเราะ)

อาจารย์      ทุกคนอย่าหัวเราะ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีอานุภาพอันนี้จริงๆ ความสัมผัสรับรู้ที่ท่านอ่าน  “จ้วนฝ่าหลุน”  จบเที่ยวแรก จะไม่ซ้ำกับความสัมผัสรับรู้เมื่อท่านอ่านเที่ยวที่สอง ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบอกพวกท่านต้องอ่านหนังสือให้มากๆ การที่สามารถอู้หลักการของฝ่าที่สูงยิ่งขึ้นไปเป็นเพราะท่านได้เข้าสู่อาณาจักรเขตแดนนั้นแล้ว   หากยังไม่บรรลุอาณาจักรเขตแดนนั้นก็จะไม่ให้ท่านรู้หลักการของชั้นนั้นๆ

ศิษย์           จำนวนเที่ยวของการอ่านฝ่าเกี่ยวข้องกับระดับชั้นที่บรรลุจากการหยวนหมั่นไหม

อาจารย์      จำนวนเที่ยวของการอ่านฝ่าจะช่วยเสริมการหยวนหมั่นของท่านให้ก้าวรุดหน้ามากขึ้น สามารถจะหยวนหมั่นได้หรือไม่ยังต้องบวกกับการบำเพ็ญของท่านและด้านอื่นๆ อันที่จริงท่านสามารถอ่านหนังสือเช่นนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่า อะไร(ท่าน)ก็สามารถจะทำได้ดี

 ศิษย์          คนสองคนที่มีเกินจี(รากฐาน)ที่คล้ายกัน แต่อยู่ในระดับชั้นของสังคมที่ต่างกัน หลังจากหยวนหมั่นพวกเขาสามารถจะบรรลุระดับชั้นเหมือนกันหรือไม่

อาจารย์      การบำเพ็ญไม่ดูระดับชั้นของสังคมมนุษย์แต่อย่างใด ไม่แบ่งแยกว่าเป็นคนยากจน หรือร่ำรวย สูงหรือต่ำศักดิ์ มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน หากมาจากชั้นเดียวกัน ก็จะไม่ผิดแผกแม้แต่น้อย รับรองว่าเหมือนกัน หากพวกเขาไม่อยู่ในสำนักเดียวกัน เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหา หากใครที่ได้อุทิศสิ่งใดเป็นกรณีพิเศษ จะสามารถทำให้การบำเพ็ญก้าวรุดหน้าไปหนึ่งก้าวใหญ่ (เสียงปรบมือ) แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพวกท่านอย่าได้มุ่งความพยายามไปที่ตรงนี้: หาทางลัด กลับไปพากันหาสิ่งที่ดีทำ ทำไม่ดีจะกลับตาลปัตร ไม่ใช่ว่าทุกคนอยากทำอะไรก็สามารถจะทำได้

ศิษย์           ผู้ช่วยฝึกสอนบางคนไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของต้าฝ่า ผู้ฝึกบางคนขอให้เปลี่ยน ควรจะปฏิบัติอย่างไร

อาจารย์      หากคนๆนี้บ่อนทำลายฝ่าก็ต้องเปลี่ยน ถึงแม้ไม่เปลี่ยนเขา ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ว่าผู้ฝึกคนใดก็จะไม่อยู่กับเขาอีกแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่(ผู้ช่วยฝึกสอน)อีกต่อไป หากเขาไม่ได้บ่อนทำลายต้าฝ่า เพียงแต่มีปัญหาทางด้านวิธีทำงาน เช่นนั้นพวกเราก็บอกเขาด้วยเจตนาดีว่าผิดที่ตรงไหน เขาอาจจะรับรู้และอาจจะไม่รับรู้ แต่เขาก็เป็นคนบำเพ็ญคนหนึ่ง สุดท้ายย่อมต้องรับรู้ อาจจะต้องมีขั้นตอน เช่นนั้นในระหว่างขั้นตอนนี้พวกเราก็กลายเป็นยึดติดกับความผิดพลาดของเขาอย่างมาก ในใจตัวเองทำใจไม่ได้เสียเลย เช่นนั้นท่านก็กลายเป็นยึดติด ท่านกลายเป็นค้นหาที่ภายนอก ท่านไม่สามารถจะลองคิดดูว่าเหตุใดจึงให้ท่านได้มองเห็นความผิดของเขา ความผิดของเขานั้น เหตุใดในใจท่านจึงรู้สึกไม่สบายใจขนาดนั้น ข้างในนั้นก็มีความไม่ถูกต้องของตัวท่านเองด้วย ใช่หรือไม่ เหตุใดจึงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตนัก เวลาประสบกับปัญหาอะไรในทุกๆด้านต้องบำเพ็ญตัวเอง

            หากผู้ช่วยฝึกสอนคนนี้บำเพ็ญได้ไม่เลวจริงๆ เขามีปัญหาท่านชี้แนะให้เขา เขาก็จะมองดูตัวเอง หากคนอื่นชี้แนะปัญหาให้ผู้ช่วยฝึกสอนแล้วเขาไม่มองดูตัวเอง เช่นนั้นข้าพเจ้าว่าผู้ช่วยฝึกสอนคนนี้ศึกษาฝ่าได้ไม่ดี สมควรต้องปรับปรุงขนานใหญ่ (เสียงปรบมือ) ไม่ใช่เป็นการโอนอ่อนผ่อนตามใคร เพราะพวกท่านต่างก็อยู่ในระหว่างบำเพ็ญ ต่างก็มีความยึดติด สิ่งที่ปล่อยวางไม่ได้ของตัวเอง ท่านอาจจะถูก และท่านก็อาจจะผิด เมื่อท่านผิดก็อาจจะเห็นคนอื่นที่ถูกเป็นผิด เมื่อท่านถูกก็อาจจะเห็นคนอื่นผิดเป็นถูก

            ทุกท่านต่างกำลังบำเพ็ญ เมื่อครู่พวกท่านพากันปรบมือกับคำพูดของข้าพเจ้าประโยคหนึ่ง ข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าจะพยายามไม่ปล่อยให้ศิษย์ที่ได้ฝ่าตกหล่นแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้ายังสามารถทำเช่นนี้ เหตุใดพวกท่านจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อคนทั้งหลายด้วยความปรารถนาดีเล่า (เสียงปรบมือ) เวลาที่เกิดความขัดแย้งหากพวกท่านต่างสามารถค้นหาจากภายในใจตัวเองดูว่า ฉันมีปัญหาใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าว่าปัญหาทุกอย่างย่อมจัดการได้ การบำเพ็ญก็จะรุดหน้าไปด้วยความรวดเร็ว แต่ข้าพเจ้าก็ได้แต่บอกกับพวกท่านเช่นนี้ ในขั้นตอนของการบำเพ็ญที่เป็นจริง ทั้งๆที่พวกท่านรู้ว่ามันผิด มันก็ยากที่พวกท่านจะก้าวข้ามไปได้ จึงได้แต่บอกพวกท่านให้พยายามทำให้ดี ให้ขยันขันแข็ง ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ไร้ซึ่งความขัดแย้งก็จะไม่มีการยกระดับ หากผู้ช่วยฝึกสอนทำได้ดี ผู้ฝึกทำได้ดี ในสภาพแวดล้อมไม่มีใครมีความขัดแย้ง ใครดีใจ มารยินดี ข้าพเจ้าไม่ยินดี เพราะพวกท่านได้สูญเสียสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญไป พวกท่านไม่สามารถยกระดับให้สูงขึ้น ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการกลับไป

            ข้าพเจ้าพูดเสมอว่าคนลำบากอีกสักนิดไม่ใช่เรื่องเสียหาย พวกท่านก็ไม่คิดว่าความขัดแย้งก็เป็นความทุกข์ด้วยเช่นกัน (เสียงปรบมือ) ดังนั้นช่วงก่อนหน้านี้ ในหมู่พวกเราศิษย์ต้าฝ่าในสหรัฐอเมริกา จึงมีเรื่องประเภทนี้ค่อนข้างมาก แน่นอน ว่ากันถึงแก่นพวกท่านไม่เหมือนอย่างผู้ฝึกในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้ฝ่ากันมานาน ทุกคนรับรู้เข้าใจได้รวดเร็ว ขั้นตอนนี้ได้ผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าเริ่มจากเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังนี้สภาพการณ์ดีขึ้นมาก ผู้ฝึกเก่ามีความเข้าใจต่อฝ่าสูงมากขึ้น ไม่ทำอะไรรุนแรงสุดขั้วอย่างแต่ก่อน นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก ข้าพเจ้าคิดว่าจากนี้เป็นต้นไปสภาพการณ์จะดีขึ้นดีขึ้น เพราะทุกคนสุกงอมเป็นผู้ใหญ่ นับวันเข้าใจฝ่าได้สูงมากขึ้นมากขึ้น

            บางคนพูดว่า: อาจารย์ ฉันนั่งขัดขาไม่เจ็บ ฉันกังวลจริงๆ ฉันไม่มีทุกข์ภัยก็ไม่สามารถจะบำเพ็ญได้เร็ว ใช่หรือไม่ คนอื่นสามารถเข้าใจถึงขั้นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่สามารถรู้สึกดีใจเวลาที่มีความขัดแย้งเล่า โอ้ โอกาสให้ฉันได้ยกระดับสูงขึ้นมาถึงแล้ว คนเวลาที่พบกับความขัดแย้งต่างพากันผลักไสออกไป ต่างคนต่างพากันผลักไสออกไป ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่มีความขัดแย้งของพวกท่าน ท่านจึงกลายเป็นไม่กระตือรือร้น รู้สึกสบาย เมื่อความขัดแย้งมาถึงพวกท่านกลับไม่เอาแล้ว ความขัดแย้งในตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญทุกข์ บางคนบอกว่าฉันไม่มีโอกาสติดต่อกับสังคม ฉันอายุมากแล้ว ท่านอายุมากแล้ว เพื่อให้ท่านยกระดับและหยวนหมั่น ต่อให้ท่านนั่งอยู่บนเตียง ก็ต้องให้ท่านนึกถึงความยากจนข้นแค้นต่างๆในอดีต ให้ท่านนั่งโกรธอยู่ตรงนั้น โกรธแค้นเป็นฟืนเป็นไฟ โกรธเป็นครึ่งค่อนวันจนกว่าจะเข้าใจ: อ้อ ฉันเป็นคนบำเพ็ญ ไม่สมควรจะโมโหโกรธาอย่างนี้ จิตใจนี้ก็กำจัดออกไปให้ท่าน ท่านอยากจะอยู่อย่างสบายๆ ก็ไม่มีทางจะยกระดับสูงขึ้น ข้าพเจ้าไม่สามารถจะปล่อยให้ท่านอยู่อย่างสบายๆ (เสียงปรบมือ)

            เมื่อตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งจึงจะสามารถขจัดจิตยึดติดของคนทิ้งไป เมื่อตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งจึงจะสามารถรู้ว่าตัวเองผิดที่ตรงไหน เวลาที่เกิดความขัดแย้งกับคนอื่น รับรองว่าท่านมีจิตยึดติดขึ้นมาแล้ว มันชัดเจนมาก หากท่านไม่จับมันไว้ ณ เสี้ยววินาทีนั้น ยังดื้อรั้นกับคนอื่น โต้เถียงตามเหตุผลของท่าน ขั้นตอนที่ท่านยึดติดกับการโต้เถียงในเหตุผล ก็คือขั้นตอนที่จิตยึดติดนั้นๆ ปรากฏออกมาอย่างรุนแรง หากสามารถขุดลึกลงไปอีก ลองดูซิว่าอะไรคือแรงกระตุ้น แล้วค้นหาต้นตอของจิตยึดติดนั้นให้พบ (เสียงปรบมือ) ฉะนั้นทุกท่านบำเพ็ญต้องบำเพ็ญอย่างมีสติ ท่านต้องไม่คิดแต่ว่าจะให้ฝ่าเซินของข้าพเจ้าคอยชี้แนะให้อยู่ร่ำไป ฝ่าเซินจะไม่บอกท่านให้ทำอย่างไรโดยตรงอย่างแน่นอน

            ทุกท่านทราบ เมื่อครู่ข้าพเจ้าบอกกับพวกท่านว่า ขณะทำการเจิ้งฝ่าข้าพเจ้าทะลวงไปยังระดับจุลทัศน์อย่างไม่หยุดยั้ง เหตุใดจึงทำได้ เป็นเพราะข้าพเจ้าได้นำเอาส่วนที่สำคัญในระดับชั้นต่างๆ ทั้งหมดมาไว้กับข้าพเจ้าที่ตรงนี้ (เสียงปรบมือ) มันจึงหนีไปไม่พ้น แน่นอนมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ในขั้นตอนของการทำลาย เมื่อทำลายมันจนเหมือนผงธุลีและกระจายร่วงหล่นลงมา (เพราะมันไม่ดีจึงทำลายมันทิ้ง ล้วนแต่เลวร้ายยิ่งกว่ามาร เวลาทำลายมัน เพราะมันเป็นสิ่งเลวร้าย ก่อนตายมันยังคงคิดชั่ว)

            ทุกท่านทราบ อากาศที่กรุงปักกิ่ง ผู้คนกังวลกันมาก กรุงปักกิ่งเป็นอะไรไปนะ อากาศในสองปีมานี้ เมฆก็ไม่ใช่ หมอกก็ไม่เชิง สสารที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นเม็ดมีขนาดใหญ่มาก มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พูดกันว่าเป็นไอเสียของรถยนต์ ให้จัดการซ่อมท่อไอเสียรถยนต์โดยด่วน ข้าพเจ้าว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไอเสียของรถยนต์ สิ่งที่รถยนต์พ่นออกมาคือคาร์บอนมอนอกไซด์(co) คาร์บอนไดออกไซด์(co2) แต่สสารที่ลอยอยู่ในอากาศโดยหลักคือสารไนไตรด์(Nitride) ในสหรัฐอเมริกามีรถยนต์มากมายเหลือเกิน เหมือนสายน้ำไหลไปตามถนน เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วก็ไม่มีมลภาวะถึงระดับนี้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาของรถยนต์ บอกว่าเป็นมลภาวะจากอุตสาหกรรม ประเทศที่กำลังพัฒนา มลภาวะจากอุตสาหกรรมแม้ว่าจะรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ถึงระดับนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงปักกิ่งก็ไม่มีอุตสาหกรรมที่จะก่อมลภาวะมากมายขนาดนี้ เขาบอกว่าเกิดจากการเผาถ่านหิน แต่ปัจจุบันนี้อากาศอุ่น ปล่องไฟก็มีไม่มาก ในอดีตในสมัยที่ใช้เตาถ่าน แต่ละบ้านมีปล่องเตาไฟหนึ่งปล่อง ในเวลานั้นก็ไม่มีมลภาวะถึงระดับนี้ บอกว่ามันไม่ใช่มลภาวะประเภทนี้ แน่นอนเขาย่อมไม่เชื่อ ข้าพเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอกพวกเขา คนอยากจะบอกว่ามันเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน

            แท้จริงแล้วคือ สสารที่ไม่ดีซึ่งคงอยู่ในมิติจุลทัศน์ที่ถูกทำลายนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างไม่หยุดหย่อน เวลานั่งเครื่องบิน หลังจากบินขึ้นจากสนามบินไป 500 เมตร ท้องฟ้าสีครามสวยงามมาก พอมองลงไปข้างล่าง โอ้ เหมือนมีฝาครอบอันหนึ่งปิดเอาไว้ มันมาจากไหนไม่กระจายออกไป มันขึ้นมาจากระดับจุลทัศน์ ดังนั้นจึงตรวจไม่ออกว่ามันมาจากที่ใด มันมาจากอณูที่เล็กกว่าโมเลกุลชั้นพื้นผิว ดังนั้นจึงตรวจไม่ออกว่ามันมาจากที่ใด สุดท้ายพบว่ามันเป็นสารไนไตรด์ สารไนไตรด์นี้ (พวกท่านที่เรียนเคมีอาจจะรู้) นั่นคือฝุ่นที่ตลบฟุ้งของอินทรีย์สาร เป็นสิ่งเดียวกับควันที่ออกมาจากเตาเผาศพ แท้จริงแล้วมันเกิดจากการทำลายชีวิตที่ไม่ดีในระดับจุลทัศน์

ศิษย์           จิงเหวิน “สร้างมนุษยชาติใหม่” “เปลี่ยนสภาพ” “คำสนทนากับกาลเวลา” ท่านอาจารย์เขียนในปี 1996 และ 1997 เหตุใดปี 1998 จึงค่อยให้พวกเราอ่าน

อาจารย์    ข้าพเจ้าให้พวกท่านอ่าน เวลาที่จะนำออกมาก็มีเหตุผล เพราะเมื่อข้าพเจ้าเห็นว่ามีเรื่องปรากฏ ข้าพเจ้าก็จะเขียนออกมา รอจนกระทั่งเมื่อมันปรากฏอย่างทั่วไป ข้าพเจ้าก็จะนำออกมา (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           พร้อมกับที่ท่านอาจารย์พูดเรื่องโครงสร้างของจักรวาลใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ขอบเขตสายตาและใจของผมดูเหมือนก็ขยายใหญ่ขึ้นด้วย จุดประสงค์ที่ท่านอาจารย์พูดอย่างนี้คือ…

อาจารย์      ท่านไม่ใช่พูดออกมาแล้วหรือ อันที่จริงข้าพเจ้ากำลังขยายความจุ(ปริมาณบรรจุ)ของท่าน ทุกสิ่งของท่านก็ต้องขยายใหญ่โตตามไปด้วย ข้าพเจ้าว่าเทียนถี่ในจักรวาลเป็นเพียงผงธุลีเม็ดหนึ่ง ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ซึ่งพวกท่านสามารถจะเข้าใจ แม้แต่สิ่งที่สูงกว่านั้นเป็นหลายร้อยล้านเท่า เป็นล้านล้านเท่าก็เป็นเพียงผงธุลีเม็ดหนึ่งในจักรวาล นอกจากข้าพเจ้าแล้วไม่มีใครรู้ว่าจักรวาลในท้ายที่สุดเป็นอย่างไร (เสียงปรบมือ) ยิ่งกว่านั้นข้างในจักรวาลนี้ก็สลับซับซ้อนเป็นอันมาก เป็นสิ่งที่ความคิดของคนไม่อาจจะรองรับได้ ไม่มีคำพูดเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่มีปัญญาที่จะบรรยาย อันที่จริงสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดมาทั้งหมด ล้วนไม่ได้หลุดออกจากระบบอันหนึ่ง แม้แต่โลกของเราก็เป็นอณูหนึ่งเม็ด แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน เม็ดอณูที่เหมือนโลกแบบนี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งเทียนถี่ในจักรวาล เหมือนเช่นขนาดของโมเลกุลในอากาศซึ่งประกอบเป็นโมเลกุลอากาศ ปกคลุมไปทั่วทุกสิ่ง ท่านว่าเทียนถี่ของมันใหญ่เพียงใด! สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดให้กับพวกท่านนั้นเป็นการพูดจากข้างในระบบอันหนึ่ง มันสลับซับซ้อนถึงระดับที่ไม่อาจจะบรรยายด้วยคำพูด จะวาดก็ไม่สามารถวาดออกมา เพราะโครงสร้างสลับซับซ้อนเสียจนการซ้อนตัดเป็นระนาบอยู่ด้วยกันของรูปทรงมิตินับล้านล้านอันก็ไม่สามารถแสดงออกมา ฉะนั้นจึงยากที่จะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจ (เสียงปรบมือ) แต่ใน [จ้วนฝ่าหลุน] เมื่อพวกท่านบำเพ็ญถึงระดับชั้นที่กำหนด ในความคิดของพวกท่านเองจะสัมผัสรับรู้ สามารถจะสัมผัสรับรู้ความใหญ่โตมโหฬารของมัน แต่ท่านกลับไม่สามารถพูดออกมา (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           เหตุใด”ฉิง”(อารมณ์ความผูกพัน)จึงสละได้ลำบากเช่นนี้

อาจารย์      ข้าพเจ้าขอบอกท่าน มนุษย์ เปลือกชั้นนอกของท่านนี้ เกิดอยู่ท่ามกลางฉิง เกิดมาก็อยู่ท่ามกลางฉิงสิ่งนี้ เซลล์ซึ่งประกอบขึ้นมาเป็นเปลือกชั้นนอกของร่างกายนี้ ก็เกิดอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของฉิงที่ว่านี้ หากท่านตัดขาดจากมัน ท่านก็ไม่ใช่มนุษย์ เป็นเทพ มนุษย์ยึดติดอยู่กับฉิง แท้จริงแล้วอยู่ในสถานะถูกกระทำ แต่คนกลับเข้าใจว่าเป็นฝ่ายกระทำ

ศิษย์           รักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย แต่ผมจมอยู่ในความทุกข์ทรมานและสิ้นหวัง ผมเชื่อใน เจิน ซั่น เหยิ่น ผมคู่ควรจะบำเพ็ญไหม

อาจารย์      ได้รับการชักนำจากความคิดที่ไม่ถูกต้องในปัจจุบัน ได้รับการชี้นำจากการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่ถูกต้องในปัจจุบันและการรุกรานจากสภาพแวดล้อมอันนี้ มนุษย์อาจจะก่อความผิดพลาดมากมาย นั่นก็ไม่ใช่ว่าท่านหมดทางที่จะช่วยเหลือแล้ว ท่านสามารถศึกษาต้าฝ่า แก้ไขความคิดและพฤติกรรมอันไม่ถูกต้องเหล่านั้นของท่านให้ถูกต้อง เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าพูดเหตุใดจึงเกิดเป็นการรักร่วมเพศ แท้จริงแล้วถูกกระทำให้ยึดติดในฉิง เมื่อท่านยึดติดกับมัน มันจะผลิตความยึดติดในแบบต่างๆขึ้นในความคิดของท่าน จากนั้นจะสร้างเป็นทรรศนคติแบบต่างๆ แม้กระทั่งทรรศนคติที่เบี่ยงเบน อยู่ๆท่านก็ชอบกิริยาท่าทางหรือรูปลักษณ์ของคนๆนั้นขึ้นมาทันทีทันใด นานๆเข้าท่านจะยึดติดกับการชอบสิ่งเหล่านี้ หรือท่านอาจจะชอบกิริยามารยาท การแสดงออกของคนๆนี้ เช่นนั้นนานๆเข้าก็จะกลายเป็นทรรศนคติ ก็จะชอบการแสดงออกของเขา เช่นนั้นสิ่งนี้ก็จะค่อยๆแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะควบคุมความคิดของท่าน ฉะนั้นถ้าท่านชอบอะไรสิ่งหนึ่งจนกลายเป็นทรรศนคติ มันก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หากสภาวะจิตเปลี่ยนสภาพ อย่างช้าๆ ความคิดที่เบี่ยงเบนนี้จะขยายใหญ่พัฒนาจนเบี่ยงเบนมากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นรักร่วมเพศก็คือสิ่งหนึ่งซึ่งกลายพันธุ์(เปลี่ยนสภาพ)มาจากในฉิง แท้จริงแล้วมันก่อเกิดมาจากทรรศนคติแบบหนึ่ง เพียงแต่เปลี่ยนสภาพไป

            แต่สมัยนี้ คนต่างเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวเอง แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ก่อเกิดมาจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องหลังกำเนิดของตัวเองซึ่งหันกลับมาควบคุมท่าน ท่านกลับเข้าใจว่านี่เป็นความคิดของตัวท่านเอง ตลอดมามนุษย์ไม่เคยเข้าใจว่าทรรศนคติของตัวเองนั้นไม่ใช่ตัวเอง กรรมแห่งความคิดเหล่านั้นที่ตัวเองก่อขึ้นมา แน่นอนท่านก็ไม่รู้ ความคิดใดๆ ที่สะท้อนออกมาจากกรรมแห่งความคิด ตลอดมาท่านก็ไม่เคยคิดจะตรึกตรอง ตรึกตรองดูว่านี่คือตัวท่านหรือไม่ แท้จริงแล้วความคิดที่สะท้อนออกมาจากความคิดนั้นอาจจะไม่ใช่ท่านเสมอไป แต่ความคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะการศึกษาต้าฝ่าคือการสอนให้คนเดินในทางที่ถูกต้อง ทำให้ดียิ่งขึ้น การอยู่ในต้าฝ่า ข้าพเจ้าคิดว่าอะไรก็สามารถจะแก้ไขให้ถูกต้องกลับมาได้ ไม่มีปัญหา สามารถศึกษาฝ่า แต่ต้องรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำจัดความคิดอันนั้น มันกำลังทำร้ายท่าน มันกำลังบอกให้ท่านทำสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของคน มันกำลังลากท่านไปลงนรก ผู้คนที่จิตใจเบี่ยงเบนไปแล้วกลับเข้าใจว่านี่คือตัวเอง ในเวลาที่ทรรศนคตินั้นผุดออกมาบอกให้ท่านชอบเพศเดียวกัน ท่านต้องจำไว้ว่ามันไม่ใช่ท่าน มันมาทำร้ายท่านอีกแล้ว เป็นเพราะท่านถูกกระทำให้คล้อยตามมานาน ไม่ขัดขืนแล้วยังรู้สึกว่าดี จึงกลายเป็นรักร่วมเพศ ความคิดอันนี้จะต้องแก้ไขให้ถูกต้องกลับมา

ศิษย์           ปีนี้ดิฉันมีอายุ 50 แต่มีผู้ฝึกเห็นดิฉันอายุประมาณ 17 – 18 ไม่ทราบว่าเป็นดิฉันในมิติอื่น หรือดิฉันที่กำลังบำเพ็ญ

อาจารย์      ประเด็นนี้ข้าพเจ้าเคยพูดแล้ว พวกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ไม่ว่าจะมีอายุมาเท่าใด นี้ไม่ใช่อายุแท้จริงของพวกท่าน ไม่ใช่อายุที่เป็นจริงของพวกท่าน นี้ปรากฏออกมาในเวลา ในสภาพแวดล้อมของที่มนุษย์ตรงนี้ บางทีปีนี้ท่านอาจจะมีอายุ 60 - 70 ปีแล้ว แต่หยวนเสินของท่านกลับมีอายุเพียง 7 – 8 ปี บางทีท่านอาจจะมีอายุ 40 – 50 ปีแล้ว แต่หยวนเสินของท่านเพิ่งจะมีอายุเพียง 17 – 18 ปีเท่านั้น แต่เมื่อท่านผ่านการบำเพ็ญ รวมทั้งชั้นพื้นผิวของท่านล้วนจะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพที่ดีที่สุด อ่อนเยาว์ที่สุด นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน

ศิษย์           ผมเป็นคนตะวันตก มีอาชีพเป็นนักมายากล ผมเห็นว่าไม่ต้องใช้พลังเหนือธรรมชาติ เดวิดก็สามารถแสดงมายากลออกมา ผมเชื่อเจิน ซั่น เหยิ่นที่ท่านพูด แต่ในใจยังรู้สึกขัดแย้งมาก

อาจารย์      มายากลเป็นฝีมือและศิลปะ อาศัยมือไว หรือบวกกับการปกปิดอุปกรณ์การแสดง มันไม่สามารถนำมาจะปะปนกับกงเหนิงอย่างแน่นอน เป็นต้นว่า มีคนหยิบหมวกมาโยนกลับไปกลับมา ทางนี้โยนขึ้นไปทางนั้นรับไว้ โยนอย่างเร็วมาก แต่การเคลื่อนไหวของมือของเขามองดูไม่เร็วแต่อย่างใด แต่เขากลับสามารถรับได้ นานๆเข้าเขาก็สามารถก่อเกิดสิ่งที่เหมือนกงเหนิงแบบหนึ่ง ที่จะปรับการเหลื่อมของเวลาให้สมดุล จึงบังเกิดผลในลักษณะเช่นนั้น

            ทุกท่านทราบ มวยไท่จี๋(ไท่เก็ก)ช้าๆเนิบๆ ทำไมสามารถใช้ในการต่อสู้จริงล่ะ ท่านดูมันช้าๆเนิบๆ กงเหนิงของมันสามารถปรับเวลาให้สมดุล มันไม่ใช่เวลาในมิตินี้ ท่านมองดูด้วยตามนุษย์จะช้ามาก แต่ในความเป็นจริงเดินเร็วมาก ท่านออกหมัดให้เร็วอย่างไรก็ไม่เร็วเท่าเขา เขาเคลื่อนไหวช้าๆเนิบๆ ก็ตีมาถึงท่านแล้ว เนื่องจากมวยไท่จี๋(ไท่เก็ก)ไม่มีจิตธรรมะเหลือสืบทอดต่อมา คนในปัจจุบันนี้ต่างไม่รู้ถึงมูลเหตุแท้จริง ทุกท่านทราบ ความแตกต่างของเวลา ความแตกต่างของมิติ มีความแตกต่างกันมากทีเดียว พวกเราคนตะวันออกเคยได้ยินเทพนิยายเรื่องนี้ เรียกว่าเทพเท้าทะลวง ท่านเห็นคนแก่คนหนึ่งเดินไปบนถนน เขาเดินช้ามาก เดินช้าๆเนิบๆ แต่ท่านขี่ม้าก็ยังตามไม่ทันเขา หมายความว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ในมิตินี้ เมื่อมายากลฝึกจนมีฝีมือและศิลปะมากๆ ข้าพเจ้าพบว่าบางครั้งพวกเขาก็มีสิ่งนี้ในระดับอ่อนๆ แต่พวกเขาตัวเองสังเกตไม่ออก พวกเขาตัวเองก็ไม่รู้ เขาเข้าใจว่าเป็นฝีมือทางเทคนิค ความชำนาญก่อให้เกิดศิลปะ อาจจะเป็นความหมายอันนี้ แต่สำหรับกงเหนิง มายากลไม่สามารถทำได้

ศิษย์           ในเวลาที่พวกเราทำการแปลและตรวจเช็คหนังสือต้าฝ่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้สอดแทรกทรรศนคติของคน ของที่เป็นมนุษย์ของตัวเองเข้าไป

อาจารย์      ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาเริ่มแปลหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ จะโต้เถียงกันอยู่เสมอ โต้เถียงกันเพราะเหตุใดหรือ เขามักจะรู้สึกว่าคนอื่นแปลได้ไม่ดี คนอื่นก็รู้สึกว่าเขาแปลได้ไม่ดี เป็นเพราะทั้งสองคนไม่ได้อยู่อาณาจักรเขตแดนเดียวกัน ไม่ได้อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน ถึงจะอู้ได้แต่ไม่สามารถจะพูดออกมา จึงรู้สึกว่าเขาผิด ครั้นเมื่อเขาพูดออกมาแล้ว ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าไม่ถูก คนอื่นก็รู้สึกว่าไม่ถูก เพราะเหตุใดหรือ หลักการในระดับชั้นสูงนั้นสามารถรับรู้ด้วยใจ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด คำพูดนี้ข้าพเจ้าพูดมานานแล้ว หมายความว่าหลักการชั้นสูงที่อยู่ในหนังสือ“จ้วนฝ่าหลุน”  ท่านอยากจะเขียนออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต และท่านก็ไม่สามารถจะเขียนออกมา เพราะหลักการชั้นสูงนั้นไม่อาจจะเปิดเผยให้แก่คน ไม่สามารถปรากฏออกมาในโลกมนุษย์ เพียงแต่สามารถจะให้ท่านได้เห็นในขั้นตอนบำเพ็ญของท่านเท่านั้น ผู้บำเพ็ญเท่านั้นที่สามารถจะรู้ คนอื่นไม่สามารถจะรู้ นี่คือเหตุผล ฉะนั้นหากคิดจะแปลหนังสือ เพียงแต่สามารถแปลความหมายของคำศัพท์ ตัวอักษรชั้นพื้นผิวที่สุดออกมาเป็นอันใช้ได้ เมื่อท่านแปลคำศัพท์ชั้นพื้นผิวได้ถูกต้อง เช่นนั้นความหมายครอบคลุมที่อยู่ข้างหลัง เมื่อข้าพเจ้าเติมมันเข้าไป โดยอัตโนมัติก็คือฝ่า ก็จะบังเกิดผล เรื่องของการแปลจึงเป็นเช่นนี้

            พวกท่านมักจะคิดว่าของท่านไม่ถูก ของฉันถูก แล้วโต้เถียงกัน ในความเป็นจริงพอตัวเองพูดออกมาก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองพูดก็ไม่ถูก นั่นคือท่านสามารถรับรู้ด้วยใจ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด หลักการชั้นสูงที่อู้ได้ ไม่ใช่สามารถจะเขียนออกมาด้วยภาษามนุษย์ ฉะนั้นถ้าจะเขียน ก็ให้แปลคำศัพท์เหล่านั้น ตัวอักษรชั้นพื้นผิวให้ถูกต้องเป็นอันใช้ได้ พยายามหาคำศัพท์ที่ถูกต้องแปลเขาออกมา ทรรศนคติของคนก็จะไม่แทรกเข้าไปอย่างง่ายๆ

ศิษย์           หลายๆครั้งที่ดิฉันได้มองเห็นฝ่าหลุนซึ่งทั้งสว่างไสวและขาว ตรงกลางเป็นรูป  สีแดง ดิฉันเพี้ยนออกนอกทางไหม

อาจารย์      ไม่ใช่ สีสันที่ท่านเห็นมีมูลเหตุจากตาทิพย์ของท่าน ไม่ได้เพี้ยนออกนอกทาง ฝ่าหลุนเป็นรูปย่อส่วนของจักรวาล ในจักรวาลเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงของสีสันหลากหลาย แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม ฟ้า ม่วง มีสี ไร้สี หลากหลายสีสัน ไม่ใช่สีแบบนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสีแบบนี้สดดีจึงนำมาเป็นสัญญลักษณ์ของต้าฝ่าของเรา ยกเว้นสีทองของรูป  ที่ไม่เปลี่ยน สีของไท่จี๋ไม่เปลี่ยน สีอื่นล้วนสามารถเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้สสารที่คงอยู่ในมิติอื่น ส่วนประกอบของสีนั้นๆ ไม่เหมือนกับในมิติของมนุษย์ตรงนี้ ซึ่งประกอบขึ้นจากโมเลกุล สีในมิตินั้นประกอบขึ้นจากอณูของสสารที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นเมื่อมองดู มันจึงมีรัศมีละเอียดและสวยงามอย่างยิ่ง

            ผ่านการประชุมฝ่าฮุ่ยในสองวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทพูดของผู้ฝึกบ่ายเมื่อวาน ผู้ฝึกจำนวนมากรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง การประชุมฝ่าฮุ่ยเปิดโอกาสให้พวกท่านได้ค้นหาข้อบกพร่องในระหว่างบำเพ็ญ เปิดโอกาสให้พวกท่านเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการบำเพ็ญให้แข็งแกร่ง ฉะนั้นสิ่งที่ทุกท่านได้รับ ได้เข้าใจจากการประชุมฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ ในการบำเพ็ญของทุกท่านจากนี้ไป ขอให้นำไปซึมซับ ให้ตัวเองยกระดับสูงขึ้นอย่างแท้จริงได้เร็วยิ่งขึ้น พัฒนาก้าวหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น นี้จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

            การประชุมฝ่าฮุ่ยโดยตัวเองไม่ใช่วัตถุประสงค์ จุดประสงค์คือจะให้ทุกท่านยกระดับให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าก็รู้ว่าความเข้าใจต่อฝ่าของทุกท่านนับวันมีแต่จะสูงมากขึ้น หลายต่อหลายสิ่งข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องพูด รวมไปถึงคำถามต่างๆ ที่ข้าพเจ้าตอบในวันนี้ หลายๆเรื่องทุกท่านล้วนแต่เข้าใจแจ่มแจ้ง

            เดิมทีฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ เป็นการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งจัดขึ้นเฉพาะสำหรับภาคพื้นตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เวลานี้ก็ได้ขยายเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ขอให้นำประสบการณ์ที่ได้จากการประชุมฝ่าฮุ่ยครั้งนี้กลับไป ผ่านการประชุมฝ่าฮุ่ยในครั้งนี้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยที่สุดพวกท่านสมควรจะยกระดับสูงขึ้นบ้าง จึงจะนับว่าไม่สูญเปล่าที่ได้เดินทางมาจากพื้นที่ที่ห่างไกลนับพันลี้ (เสียงปรบมือ)

ศิษย์           ศิษย์จากพื้นที่ต่างๆในแต่ละประเทศ ขอเป็นตัวแทนศิษย์ในพื้นที่ประเทศของตน กล่าวคำสวัสดีกับท่านอาจารย์

อาจารย์      ขอบใจทุกท่าน

            ข้าพเจ้าก็จะพูดเพียงเท่านี้ หวังว่าทุกท่านจะก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง รับรู้และเข้าใจสูงขึ้นไปอีก ทะลวงระดับชั้นสูงขึ้นไปอีก หยวนหมั่นในเร็ววัน ไคกงไคอู้ (เสียงปรบมือ)