การบรรยายธรรมในฝ่าฮุ่ยประเทศสวิสเซอร์แลนด์

 

หลี่ หงจื้อ

4 - 5 กันยายน ค.ศ. 1998 นครเจนีวา

 

สวัสดีทุกท่าน

            พวกเราที่นั่งอยู่บางคนเพิ่งตามมาจากที่ประชุมที่สิงคโปร์ และบ้างก็มาจากประเทศอื่น พื้นที่อื่น  บ้างก็เป็นผู้ฝึกใหม่  จุดประสงค์ของฝ่าฮุ่ยของเราคือ อาศัยฝ่าฮุ่ยทำให้ ในการบำเพ็ญทุกท่าน สามารถศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ค้นพบความบกพร่องของตนเอง  สามารถทำให้ทุกท่านยกระดับขึ้นพร้อมกันไป  ในขณะเดียวกัน เรื่องนี้โดยตัวมันเองก็เป็นเรื่องการเผยแพร่ฝ่าเรื่องหนึ่ง  เรื่องทั้งหลายที่พวกเราคิดจะทำนั้นล้วนแต่เพื่อให้พวกเราสามารถบำเพ็ญ สามารถยกระดับ  ไม่ใช่การทำพิธีการอะไรอย่างแน่นอน  ดังนั้น ต่อไปเวลาที่เปิดฝ่าฮุ่ยใดๆ ล้วนต้องทำตามหลักการเช่นนี้ สามารถทำให้ผู้ฝึกยกระดับขึ้นได้จริงๆ ทำให้มันเป็นผลได้อย่างแท้จริง  พวกเราจึงเปิดการประชุมอย่างนี้  หากเปิดประชุมบ่อยๆ  เปิดมากๆ ย่อมง่ายที่จะเกิดการเปรียบเทียบอย่างหนึ่งขึ้นมา  คือเธอเปิดอย่างนี้ ฉันเปิดอย่างนั้น  ล้วนแต่คิดทำโดยมีจิตมนุษย์  อย่างนี้ใช้ไม่ได้  เราต้องเริ่มจากฝ่า  เป็นการเปิดประชุมอย่างนี้เพื่อการบำเพ็ญของผู้ฝึกทั้งสิ้น

ผู้ฝึกเราที่นั่งอยู่เป็นผู้ฝึกเก่าค่อนข้างมาก  ข้าพเจ้าได้พบกับทุกท่านก็รู้สึกดีใจมาก  พวกเรากำลังยกระดับตนเองขึ้นอย่างรวดเร็วจริงๆบนเส้นทางการบำเพ็ญนี้  การเปลี่ยนแปลงของพวกท่านนั้น พวกท่านเองไม่สามารถมองเห็นได้ ณ เวลานี้เป็นการชั่วคราว  แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นใหญ่มาก  จุดนี้ในอนาคตที่ไม่นานนักพวกท่านก็จะได้รับการยืนยันพิสูจน์  ก็จะสามารถเห็นได้ ดังนั้นข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากๆ

การบำเพ็ญในระยะนี้ของพวกท่าน เมื่อได้ยินฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายในที่ประชุม อีกทั้งยังผ่านการศึกษา “จ้วนฝ่าหลุน”ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ  ก็สามารถมองเห็นความจริงต่างๆที่ปรากฏออกมา  มีความเข้าใจต่อฝ่าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแตกต่างกันไป  ในเวลาเดียวกันข้าพเจ้ายังจะพูดไกลไปอีกก้าวหนึ่งถึงขั้นตอนการบำเพ็ญของพวกท่านและการรับรู้ต่อโครงสร้างชนิดหนึ่งของจักรวาลให้พวกท่านฟัง   ก่อนอื่นขอพูดถึงโครงสร้างอีกชนิดหนึ่งของจักรวาล  ตรงนี้มีอีกปัญหาหนึ่งที่จะพูดเสียก่อน จักรวาลนั้นที่แท้คือสิ่งที่ฝ่าประกอบขึ้นมา  ดังนั้นจุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าพูดถึงจักรวาล ย่อมจะไม่ใช่เพื่อทำให้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันบรรลุถึงเขตแดนชั้นสูงเพียงไร  และไม่ได้พูดให้ท่านยึดถือเป็นความรู้อะไรอย่างหนึ่ง แต่เพื่อให้พวกเราทุกท่านสามารถบำเพ็ญ  เพราะมันกับฝ่านั้นเสริมประกอบซึ่งกันและกัน  จุดประสงค์คือจะให้พวกท่านบำเพ็ญไปถึงเขตแดนที่แตกต่างกัน  หรือกล่าวได้ว่าท่านจะหวนคืนกลับไปสู่เขตแดนที่แตกต่างกัน ที่ซึ่งให้กำเนิดท่าน  กลับไปสู่จักรวาลที่มีระดับชั้นแตกต่างกัน เขตแดนที่แตกต่างกัน   จักรวาลนี้ใหญ่เพียงใด ฝ่านี้เขาก็ใหญ่เพียงนั้น ในความคิดของพวกท่านยังคงเป็นแนวคิดหนึ่งที่ยังไม่อาจรู้ได้  วันนี้ข้าพเจ้าจะพูดโดยยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง  ดูซิว่าความนึกคิดของพวกท่านจะสามารถตามได้ทันหรือไม่

ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอพูดถึงจักรวาลนี้สักหน่อย  หรือพูดได้ว่า เมื่อพูดถึงจักรวาลแล้วนั้น ที่จริงก็คือการพูดถึงสสารกับการรับรู้ต่อสสาร  ไม่ว่าการรับรู้ต่อสสารของวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจะอยู่ในระดับที่สูงเพียงไร แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผิวเผินอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับจักรวาลทั้งหมดนั้นก็ไม่อาจจะเทียบได้เลย  ไม่มีทางจะเปรียบได้  ทุกท่านทราบว่า ข้าพเจ้าพูดว่าจักรวาลนี้ประกอบขึ้นจากอนุภาคพื้นฐาน  แล้วอนุภาคพื้นฐานประกอบขึ้นจากอะไรหรือ  เรื่องนี้ก็ต้องพูดอย่างเป็นรูปธรรม ในแนวคิดเกี่ยวกับระดับชั้นของร่างนภาที่ต่างกัน (ไม่ใช่พูดถึงระดับชั้นจักรวาลที่ต่างกัน) ร่างนภานี้ใหญ่เพียงไรหรือ  ขอบเขตของร่างนภาชั้นหนึ่งๆ ในบรรดาร่างนภานั้นก็ใหญ่โตมาก  แต่มันก็ไม่มีกฎเกณฑ์เฉลี่ยว่า จักรวาลกี่ชั้นประกอบขึ้นเป็นร่างนภาหนึ่งชั้น  ประมาณว่ามีนับหมื่นชั้น และก็มีนับร้อยล้านชั้นของจักรวาลที่สามารถประกอบขึ้นเป็นร่างนภาหนึ่งชั้น  แนวคิดนี้ใหญ่มหึมามาก  ฉะนั้นร่างนภาแต่ละชั้นนั้น มันคือขอบเขตหนึ่งของจักรวาลที่ใหญ่มหึมาจนไม่อาจจินตนาการได้

เวลาที่คนเราพูดถึงแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาล โดยพื้นฐานล้วนเป็นการพูดถึงขอบเขตนี้ที่คนเราสามารถรับรู้ได้ว่ามีกี่ระบบดวงดาวอยู่ในนั้น  ขอบเขตนี้ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถตรวจสอบได้ก็คือจักรวาลน้อยที่คนเราพูดถึงกัน      ข้าพเจ้าจะพูดจากจุดฐานนี้บนโลก  จักรวาลน้อยนี้คือจักรวาลชั้นที่สองที่ประกอบขึ้นจากจักรวาลน้อยสามพันจักรวาลที่มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาลน้อยของเรานี้  และจักรวาลที่มีขอบเขตใหญ่เท่ากับจักรวาลชั้นที่สองนั้นก็ประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สาม ทุกท่านคิดดูจำนวนทวีคูณนั้นช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน   แต่นี่เป็นการพูดขยายออกไปจากจุดฐานหนึ่ง  และในจักรวาลนี้  อนุภาคที่ใหญ่เหมือนกับโลกนี้ใช่ว่าจะมีเพียงหนึ่งอณู  อนุภาคแบบนี้ที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่ต่างจากโลกของเรานี้มีเต็มไปหมด ซึ่งมีนับไม่ถ้วน  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงจำนวนทวีคูณที่ขยายใหญ่ขึ้นไปของจักรวาลนี้ เป็นการพูดโดยยืนอยู่บนจุดฐานของอนุภาคหนึ่ง  ที่แท้แล้วมันมีอยู่เต็มไปหมดทั่วร่างนภา  ซึ่ง(ร่างนภา)ทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนมีอนุภาคที่ใหญ่อย่างนี้  มันล้วนมีระบบหนึ่งที่ขยายออกมาอย่างนี้  ขยายออกจากใหญ่สู่เล็ก จากเล็กสู่ใหญ่ ฉะนั้นชั้นนี้ของจักรวาลน้อยนี้ เมื่อกล่าวสำหรับคนแล้วก็ใหญ่มหึมาเหลือเกิน  ช่างใหญ่มหึมาเหลือเกินแล้ว  ในจำนวนที่นับไม่ถ้วนนั้นมีอนุภาคดวงดาวใหญ่น้อยที่ต่างกันอยู่มากเท่าไรละ  เพราะอะไรหรือ  ก็เพราะพระพุทธ เทพ เต๋าในระดับชั้นสูงนั้นสามารถเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งในทุกสิ่ง  แต่ใครก็ไม่มีความคิดนี้ ที่จะไปตรวจดูว่ามีละอองฝุ่นอยู่มากเท่าไร  ที่จริงในร่างนภาที่ใหญ่มหึมานั้น ดวงดาวก็เป็นเหมือนฝุ่นละอองอณูหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในร่างนภาของจักรวาล

ฉะนั้นมีจักรวาลที่ใหญ่อย่างนี้สามพันจักรวาลทวีคูณและขยายขอบเขตของมันออกไปเรื่อยๆ  ทวีคูณและขยายระบบของมันออกไปเรื่อยๆ  จนถึงนับพันชั้นโดยประมาณก็จะทะลุออกไปจากระบบขอบเขตนี้ของร่างนภาชั้นที่หนึ่ง  แต่ใช่ว่าขอบเขตนี้จะมีเพียงหนึ่งเดียว  ในจักรวาลอันมหึมาที่กว้างใหญ่ไพศาลก็เป็นแค่อณู(อนุภาค)หนึ่ง แต่ทว่าอนุภาคระดับชั้นนี้ก็มีอยู่เต็มไปหมดทั่วร่างนภาที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างสุดประมาณ  พ้นออกไปจากขอบเขตนี้แล้ว มันก็จะก่อเกิดเป็นสภาพที่ว่างเปล่าทั้งหมดอันหนึ่ง  ว่างเปล่าจนถึงระดับไหนหรือ  นั่นคือ สสารใดๆภายในระบบนี้  หากคิดจะเข้าไป เช่นนั้นมันเท่ากับสมัครใจที่จะดับสลายไปเอง   เพราะภายในขอบเขตของระบบนี้สสารใดๆล้วนมีชีวิต มีคุณสมบัติ(ลักษณะ)เฉพาะ มีความนึกคิด  พอเข้าไปสู่ความว่างระดับจุลภาคอย่างนี้ก็เหมือนกับว่า อนุภาคนี้ไม่สามารถจะทนรับความคิดและชีวิตได้อีกแล้ว เพียงพริบตาเดียวมันก็ดับสลายไปแล้ว  หรือกล่าวได้ว่า ไม่ว่าสิ่งใดที่ตกลงไปล้วนดับสลายสิ้น  พูดเรื่องแนวคิดนี้ในลักษณะอย่างนี้พวกเราจะเข้าใจได้ง่าย   แต่หลังจากพ้นไปจากขอบเขตของความว่างนี้ ที่จริงก็ยังมีร่างนภาอื่น ซึ่งเป็นร่างนภาที่ใหญ่ยิ่งกว่า  แต่ชีวิตในเขตแดนนี้ไม่อาจเพียงขยับก้าวหนึ่งก็จะไปถึงที่นั่นได้  เพราะยิ่งเล็กลงไป เล็กลงไปอีก ยังคงมีองค์ประกอบที่เล็กยิ่งกว่าคงอยู่   แต่พอไปถึงขอบเขตที่ใหญ่ยิ่งกว่าที่นั่น  แนวคิดเรื่องสสารและชีวิตที่ร่างนภานั้นล้วนแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว  แนวคิดเรื่องสสารไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว  ในขอบเขตของร่างนภานี้  จำนวนระดับชั้นของจักรวาลนั้นไม่เหมือนกันแล้ว  แต่สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นร่างนภาแต่ละชั้นล้วนมีอนุภาคพื้นฐานที่สุด (เล็ก)จุลทรรศน์ที่สุด และอนุภาคพื้นฐานนั้นล้วนเกิดขึ้นจากการรวมตัวของคุณสมบัติพิเศษของจักรวาล คือ เจิน ซั่น เหริ่น

ในแนวคิดที่ข้าพเจ้าพูดนี้สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง  เนื่องจากภาษาของคนมีขีดจำกัดจริงๆ  พวกท่านต้องตั้งใจฟังนะ  อย่างเช่น สสารที่มีอณูใหญ่ที่สุดของร่างนภาหนึ่งๆในระดับชั้นใดๆ  มีที่มาจากอนุภาคที่เล็กจนไม่มีที่สิ้นสุดของระบบนั้นเองประกอบกันขึ้นจนเป็นอนุภาคที่ใหญ่อย่างนี้ชั้นหนึ่ง นี่เรียกว่าระบบการรวมตัวกันของอนุภาคในแนวระนาบ   ก็คือพูดว่า อนุภาคของสสารนั้น มันไม่เพียงรวมตัวกันขึ้นมาจากระบบจุลทรรศน์หนึ่งในแนวดิ่งเท่านั้น  ในขณะเดียวกันตัวมันเองก็เป็นระบบหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาจากสสาร จากระดับจุลทรรศน์ ไปสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ยิ่งขึ้น หรือกล่าวได้ว่าระบบนี้ ณ แต่ละระดับชั้นที่มีอนุภาคใหญ่เล็กไม่เท่ากันนี้ โดยตัวมันเองก็ล้วนเป็นระบบหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาจากสสารระดับจุลทรรศน์  แต่ว่าระบบนี้ของแต่ละระดับชั้นที่มีอนุภาคใหญ่เล็กไม่เท่ากันก็กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด  ดังนั้นในระหว่างอนุภาคที่ใหญ่เล็กไม่เท่ากันนั้นก็ประกอบขึ้นเป็นระบบที่รวมตัวกันในแนวระนาบ  ฉะนั้นอนุภาคพื้นฐานที่สุดของมันนั้น ระยะห่างจากอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดของมันในชั้นนั้นก็เป็นระยะห่างที่ยาวไกลอย่างยิ่ง

เช่นนั้นสุดท้ายแล้วสสารพื้นฐานที่สุดนั้น คืออะไรละ  ก็คือน้ำ  และน้ำที่ข้าพเจ้าพูดนี้ไม่ใช่น้ำของสังคมคนธรรมดาสามัญเรานี้ และไม่ใช่น้ำในแม่น้ำ ลำธาร ทะเลสาป หรือทะเลที่อยู่ในระดับชั้นที่แตกต่างกัน   และน้ำนี้ได้สร้างชีวิตกับสสารทั้งปวงของร่างนภาในระดับชั้นนั้น  และสามารถพูดได้ว่ามันคือจุดกำเนิด  ได้แต่เรียกมันเช่นนี้ว่าเป็นจุดกำเนิด แหละน้ำชนิดนี้ก็ไม่เหมือนกับแนวคิดของน้ำในมิติของคนธรรมดาสามัญอย่างที่เรารับรู้กัน  ควรเรียกมันว่าน้ำตายจึงจะเหมาะสม  เพราะว่ามันไม่เคลื่อนไหว มันนิ่งสนิทไม่ไหวติงโดยแท้  ท่านโยนของสิ่งหนึ่งลงไปมันจะไม่เกิดระลอกคลื่นใดๆ มันไม่อาจทำให้เกิดฟองน้ำขึ้นมา

เมื่อพูดถึงน้ำนี้ ก่อนอื่นจะพูดถึงน้ำในโลก พวกเราสามารถใช้วิทยาศาสตร์ของคนมายกตัวอย่าง  ในสังคมคนธรรมดาสามัญนั้น ทุกท่านทราบว่า ปัจจุบันสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พูดกันว่ามีอินทรียสารกับอนินทรียสารนั้น  ที่แท้เป็นเพียงการรับรู้ที่จำกัดอยู่ในมิตินี้เท่านั้น  วัตถุที่ประกอบขึ้นมานั้นไม่เพียงเป็นวัตถุชั้นผิวของมิตินี้เท่านั้น  นักวิทยาศาสตร์มักจะถือว่าต้นไม้ ดอกไม้ หญ้า  พืช สัตว์ รวมทั้งคนนั้น  คนในมิตินี้เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่มีชีวิต จึงเข้าใจว่าเป็นอินทรียสาร ที่จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนประกอบขึ้นจากน้ำของมิตินี้  ทุกท่านทราบว่าน้ำของร่างกายเรามีอยู่ ๙๐% ขึ้นไป  ก็คือพูดว่า คนเราก็ประกอบขึ้นจากน้ำในมิตินี้   ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยบอกว่าน้ำสามารถก่อเกิดสรรพสิ่งนานา  เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันค้นคว้าไปไม่ถึงจุดนี้  แต่ว่าน้ำของมิตินี้สามารถงอกงามเป็นพืชผัก  พืชผักนั้นหากท่านใช้มือบีบคั้นมัน สุดท้ายบีบคั้นจนไม่เหลืออะไร คงเหลือแต่คลอโรฟิลด์(ธาตุสีเขียว)  สุดท้ายอะไรก็ไม่มีแล้ว  ล้วนเป็นน้ำ  ก็คือทุกสิ่งในมิตินี้  อินทรียสารที่คนเข้าใจกันที่แท้ล้วนมีที่มาจากน้ำของมิตินี้  ก็คือว่าน้ำก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง สร้างทุกสรรพสิ่ง

ดังนั้นบรรดาอนินทรียสารที่รับรู้กัน ที่แท้แล้วข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  นั่นคือสิ่งที่น้ำระดับชั้นที่สูงกว่าสร้างขึ้นมา  แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันรับรู้ไม่ได้  จึงเข้าใจว่ามันไม่มีชีวิต  ที่แท้มันมีชีวิต  รูปแบบการคงอยู่ของชีวิตของมันกับบรรดาสิ่งที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถรับรู้ได้นั้น จริงๆแล้วยังห่างไกลเหลือเกิน ถ้าพวกเขาพัฒนาไปตามทัศนคติปัจจุบัน ก็จะไม่มีวันรับรู้ได้  ในอดีตวงการบำเพ็ญแบบโบราณของจีนมีคำพูดอย่างนี้ว่า  เทพเซียนนั้นมีความสามารถมาก  พอโยนก้อนหินก้อนหนึ่งลงไปในหม้อก็สามารถคั้นเอาน้ำออกมาได้  ฟังดูคล้ายพูดเล่นกัน  ที่จริงไม่ใช่พูดเล่น ภายในขอบเขตของร่างนภาทั้งหลายที่ประกอบขึ้นมาในจักรวาลนี้  จุดพื้นฐานที่สุดของวัตถุใดๆล้วนมีที่มาจากน้ำ  น้ำในระดับจุลภาคลงไปอีกเป็นลักษณะอย่างไร  แล้วน้ำในระดับจุลภาคที่ยิ่งเล็กลงไปอีกละมันมีลักษณะอย่างไร  นั่นเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ ไม่อาจนึกคิดได้  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่า กล่าวสำหรับทุกท่านแล้ว ก็เป็นเพียงแนวคิดหนึ่งเท่านั้น

            ที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อสักครู่คืออนุภาคระดับชั้นที่ต่างกันล้วนมีองค์ประกอบพื้นฐานที่สุด พื้นฐานที่สุดอันหนึ่ง  แต่ว่าอนุภาคนี้โดยรวมมันมีลำดับการเรียงตัวในแนวดิ่ง และยังมีในแนวระนาบ  ก็เหมือนกับเราที่อยู่บนโลก  โลกมีทางช้างเผือกจำนวนเท่าไรๆประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลหนึ่ง  และมีจักรวาลจำนวนเท่าไรๆประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลที่มีขอบเขตที่ใหญ่ยิ่งขึ้น  แต่เราพูดว่าโลกคือจุดฐาน เพราะคนเราอยู่ที่นี่  ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่บรรยายฝ่า  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงถือเอาโลกเป็นจุดฐาน  แต่โลกนั้นไม่ใช่จุดฐานของสสารทั้งปวงของจักรวาลนี้  สสารทั้งปวงโดยรอบที่เรามองเห็นกัน  เราเข้าใจว่านี่คือที่สุดของสสาร  ที่ผ่านมาในการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้านั้น  เพื่อไม่เป็นการทำให้ความคิดของทุกท่านสับสน  ข้าพเจ้าก็พูดว่ามันเป็นสสารที่ต่ำที่สุด  ที่จริงมันยังไม่นับว่าเป็นสสารเพียงหนึ่งเดียว  ท่านบอกว่ามันเป็นสสารพื้นฐานก็ได้  เราสามารถเปลี่ยนไปใช้ศัพท์คำหนึ่งเรียกก็ได้  ยังมีอภิสสาร  ยังมีอภิของอภิสสาร  อภิของอภิของอภิสสาร..........

โลกอยู่ในมิติของตรีภูมินี้ มันเป็นตำแหน่งศูนย์กลาง  ไม่ว่าจะเป็นแนวดิ่ง  แนวระนาบ  อณูเล็กหรือใหญ่  มันก็คือศูนย์กลาง  มันยังมีสสารที่มีมวลที่ใหญ่กว่าโลกของเรานี้คงอยู่  แต่ไม่ใช่บรรดามวลสารชนิดนั้นที่ข้าพเจ้าเคยพูดมาก่อนว่า  อะตอมอะไรเอย  มวลสารอะไรที่ใหญ่มากซึ่งประกอบขึ้นมาจากนิวเคลียสอะตอม  ไม่ใช่แนวคิดอันนี้  สิ่งเหล่านี้คือสสารที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้  ที่ข้าพเจ้าพูดถึงคืออภิสสาร  ไม่ใช่สสารในมิติของมนุษย์โดยสิ้นเชิง  แต่ในสภาพการณ์ของโครงสร้างชั้นผิวนั้นมันล้วนเป็นสสารที่อยู่เหนือมิตินี้  ดังนั้นจุดฐานที่ใหญ่ที่สุดของอภิสสารก็คือขอบของตรีภูมิ  ฉะนั้นจุดฐานที่เล็กที่สุดของสสารก็คือขอบของตรีภูมิเช่นกัน  มิติของมนุษย์จึงอยู่กึ่งกลางของสสารใหญ่-เล็ก  และเป็นจุดฐานของบรรดาสสารที่มนุษย์รับรู้ได้  ดังนั้นหากเรียกทุกสรรพสิ่งของมิติชั้นนี้ว่าสสารแล้วละก็  เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ในตรีภูมิที่เล็กกว่าสสารที่อยู่ในโลกก็ได้แต่เรียกมันว่าไม่ใช่สสารแล้ว  ที่เล็กลงอีกก็เรียกว่าไม่ใช่ไม่ใช่สสารแล้ว จนกระทั่งถึงอณูที่เล็กที่สุดในตรีภูมิ  ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดว่าแนวคิดเรื่องใหญ่เล็กในจักรวาลนั้น ไม่เหมือนบรรดาแนวคิดใหญ่เล็กชนิดนี้ที่คนธรรมดาสามัญเรารับรู้กัน  ก็คือความหมายเช่นนี้
            ร่างนภาจักรวาลทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้  อนุภาคนั้นมันเคลื่อนไหวได้  มันมีชีวิต  เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  จักรวาลนั้นไม่ว่ามันจะมีขอบเขตใหญ่โตเพียงไร มันก็เคลื่อนไหวได้  แต่ในขอบเขตของร่างนภาก็มีอนุภาคใหญ่เล็กต่างๆกันอยู่นับไม่ถ้วน  และล้วนเป็นร่างชีวิตหนึ่งๆที่คงอยู่   จักรวาลนี้มีสวรรค์อยู่กี่ชั้นหรือ  มันมีจักรวาลอยู่กี่ชั้นละ  มีร่างนภาอยู่กี่ชั้น  ชีวิตใดๆข้างในนั้น ล้วนไม่มีทางตรวจวัดได้ว่าจักรวาลนี้มีความยิ่งใหญ่สลับซับซ้อนเพียงใด  บรรดาแนวคิดเรื่องร่างนภาที่ข้าพเจ้าพูดไปนั้นประกอบขึ้นจากจักรวาลพันหมื่นชั้น  แต่มันก็เป็นเพียงฝุ่นละอองเม็ดหนึ่งในร่างอันยิ่งใหญ่มหึมาของจักรวาลอันไร้ขีดจำกัดนี้  และเป็นอนุภาคหนึ่งที่เล็กอย่างยิ่ง หากท่านสามารถทะลวงไปถึงที่ที่ไกลแสนไกลแล้วหันกลับมามอง  ท่านจะเห็นว่ามันเล็กยิ่งกว่าที่คนมองเห็นเม็ดทรายเสียอีก    ไกลยิ่งขึ้นไปอีกมองดูจะเห็นว่าเล็กยิ่งกว่าฝุ่นละออง  ไกลออกไปอีกก็มองไม่เห็นแล้ว   พูดให้ชัดแล้ว  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดไปพูดมาให้ทุกท่านฟัง  ทั่วทั้งจักรวาลนั้นดูเหมือนล้วนแต่ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคประกอบกันเป็นอนุภาค  อนุภาคประกอบกันเป็นอนุภาคอย่างนี้     ที่จริงหากมองให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปแล้วก็ไม่ใช่การประกอบกันขึ้นของอนุภาค  ไม่มีภาษาที่จะพูดได้แล้ว  และไม่อาจบอกให้แก่คนได้แล้ว  

แต่ว่าความคิดของคนนั้นมีขีดจำกัดเสมอ  พอข้าพเจ้าพูดว่าอนุภาคประกอบกันเป็นอนุภาคอย่างนี้  ก็ได้ชักนำท่านไปสู่ตรรกะแบบง่ายๆอย่างหนึ่งแล้ว ที่จริงยังไม่ใช่   โครงสร้างของจักรวาลนั้นสลับซับซ้อนจนไม่มีทางจะใช้ภาษาคนอธิบายให้กระจ่างได้   และเมื่อออกไปจากมิติของเรา  สภาพของความนึกคิด  กาลเวลา  มิติ  ชีวิต  ล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว  โดยเฉพาะคือกาลเวลาที่ต่างกัน    อนุภาคกับอนุภาคด้วยกันมีความแตกต่างกันอย่างมาก  อาทิเช่น ระหว่างดวงดาวกับดวงดาวนั้น  เราทราบว่ามันมีระยะห่างอันหนึ่ง  ในระหว่างระยะห่างด้วยกันเองนี้ก็ยาวไกลอย่างยิ่ง  แต่ทุกท่านไม่ทราบว่า ร่างกายเรา  ท่อนไม้  อากาศ น้ำเป็นต้น ทั้งหมดนี้ ล้วนประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล  และโมเลกุลก็เป็นอนุภาคของระดับชั้นหนึ่ง  แต่อนุภาคระดับชั้นนี้เพียงแค่รองลงมาจากดวงดาวเท่านั้น หรือพูดได้ว่าอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากดวงดาวก็คือโมเลกุล    อนุภาคที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากโมเลกุลก็คืออะตอม  ถ้าเช่นนั้นระยะห่างระหว่างโมเลกุลกับอะตอมนี้  เมื่อมองตามแนวคิดของคนจะรู้สึกว่ามันใกล้กันอย่างยิ่ง  เกือบจะไม่มีระยะห่าง  แต่ว่า  หากในเวลาที่ท่านเข้าไปอยู่ในสภาวะนั้น  ท่านจะพบว่ามันมีเวลาของมิตินั้น  มีสภาวะของมิตินั้นเช่นกัน  มันก็เป็นมิติที่กว้างใหญ่ไพศาล  กว้างไกลเหลือเกิน  แต่ละระดับชั้นล้วนเป็นเช่นนี้  เรายืนอยู่ระหว่างโมเลกุลกับดวงดาวจะรู้สึกว่าร่างนภานั้นใหญ่มาก  แต่หากท่านยืนอยู่ระหว่างโมเลกุลกับอะตอม  ท่านจะรู้สึกว่าร่างนภานั้นยังใหญ่กว่าที่นี่ จึงพูดว่าท่านต้องสอดคล้องกับสภาวะเวลาและมิติของมันจึงสามารถรับรู้มันได้

เรื่องที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่คือจะบอกทุกท่านว่า  ท่านเห็นว่าระหว่างดวงดาวกับดวงดาวนั้นห่างไกลกันมาก  แต่ระหว่างโมเลกุลกับโมเลกุล เมื่อใช้แนวคิดของคนเรามามอง  ระยะห่างก็ใกล้มากแล้ว  ที่จริงนั้นก็ห่างกันเหลือเกิน  อนุภาคสามารถก่อเกิดเป็นชีวิตนับไม่ถ้วน  รวมทั้งคนเรา  สัตว์ชนิดต่างๆ  พืชชนิดต่างๆ รวมทั้งท่อนไม้เอย  ปูนซีเมนต์เอย  เหล็กกล้าและเหล็กเอย  ยังมีอากาศนี้ที่เราอาศัยอยู่   ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเคยพูดไว้  ข้าพเจ้าพูดว่าคนนี้ที่จริงก็อาศัยอยู่ในกองดิน  ทุกท่านล้วนทราบว่าแมลงนั้นคลานไปคลานมาอยู่ในดิน  พวกท่านทราบไหมว่า  เทพมองคนเราก็เป็นเช่นนี้  คนก็มุดไปมุดมาอยู่ในกองดิน เพราะอะไรละ คนเรามองดิน เป็นดิน  แต่เทพมองโมเลกุลทั้งหมด ก็คือโมเลกุลในตรีภูมิล้วนคือดิน  คือสสารที่หยาบที่สุด  สสารที่สกปรกที่สุด  เขาเห็นว่านั่นก็คือดิน  เป็นดินจริงๆ  ดังนั้นทุกท่านลองคิดดู เทพองค์นั้นมองจักรวาลนี้ มองโลกนี้กันอย่างไร  อากาศประกอบีจากโมเลกุล   สิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่คงอยู่โดยรอบท่านประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล  น้ำในมิตินี้ของท่านก็ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล แม้แต่อากาศก็ใช่  เทพมองว่าโมเลกุลก็คือดิน  ดังนั้นทั้งหมดของท่านนั้นคือจมอยู่ในดิน  คนมุดไปมุดมาอยู่ในดิน  คนก็มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้   ข้าพเจ้าอธิบายอย่างนี้บางทีทุกท่านจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดในศาสนาทางตะวันตก พระยะโฮวาห์หรือพระเยซู พูดไว้ว่าสวรรค์ใช้ดินสร้างมนุษย์  ที่จริงชาวตะวันออกก็พูดเรื่องที่ว่าหนี่วาใช้ดินสร้างคน  พอข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ท่านก็เข้าใจได้ไม่ยากแล้ว  ที่จริงเทพมองอนุภาคทั้งปวงที่ประกอบขึ้นมาเป็นสสารว่าเป็นระนาบของดิน   ที่จริงก็เป็นเช่นนี้
            เมื่อสักครู่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า  อนุภาคสามารถประกอบขึ้นเป็นทุกสิ่งในมิติ  ร่างนภาที่ต่างกันล้วนกว้างใหญ่ไพศาล  อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง  โลกที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคที่ยิ่งเล็กลงไปยิ่งสวยสด ยิ่งงดงาม ที่จริงอนุภาคที่ใหญ่ยิ่งขึ้น สามารถประกอบกันขึ้นเป็นร่างนภาที่มีขอบเขตใหญ่ยิ่งขึ้น หรือชีวิตที่ใหญ่ยิ่งขึ้น   หากดาวดวงนี้  เรามองเห็นระยะห่างว่าไกลมาก  ถ้าเช่นนั้นหากชีวิตที่ใหญ่ยิ่งขึ้นมามองดู เขาจะรู้สึกว่าระยะห่างนั้นใกล้มาก    ก็เหมือนกับที่คนมองดูระยะห่างระหว่างโมเลกุลกับโมเลกุล  ฉะนั้นที่คนมองเห็นระหว่างดวงดาวกับดวงดาวนั้น ใช่หรือไม่ว่านั่นคือการคงอยู่ของส่วนหนึ่งของร่างกายของชีวิตหนึ่ง  พูดกลับกันคือ  เขาสามารถประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตที่ใหญ่ยิ่งขึ้นได้ละ  ที่จริงนั่นก็เหมือนกัน  ในอดีตพูดกันว่ามียักษ์ และมีคนแคระ  ไม่ว่าคนธรรมดาสามัญจะพูดว่ามีหรือไม่  ข้าพเจ้าจะพูดตามหลักเหตุผลว่ายุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ประวัติศาสตร์ได้ผ่านมาถึงก้าวนี้ก็ต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของช่วงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของยุคนี้  ดังนั้นจึงทำให้สังคมปัจจุบันเปลี่ยนเป็นลักษณะอย่างนี้  สิ่งที่ผู้คนมองไม่เห็นกัน  สัมผัสไม่ได้ก็ไม่เชื่ออีกต่อไป  ยิ่งไม่เชื่อก็ยิ่งไม่อนุญาตให้คนได้รู้ความจริง  เพราะคนเปลี่ยนเป็นโง่เขลาไปแล้ว  เช่นนั้นการที่คนไม่เชื่อที่จริงก็ถูกจัดวางไว้แล้ว  ข้าพเจ้ามักพูดว่า คนคิดว่าตนเองเป็นผู้กำหนด   แต่คนนั้นไม่เคยที่จะกำหนดอะไรได้เองทั้งสิ้น

เกี่ยวกับเรื่องที่คนคิดว่าตัวเองเป็นผู้กำหนดเองนั้น  คนคิดจะทำเรื่องประชาธิปไตย  ที่จริงคนนั้นไม่เคยกำหนดอะไรได้เองอย่างแท้จริงเลย  เพราะเทพควบคุมโลกอยู่  ผู้ที่มีวาสนามาก  มีความสามารถมาก  ก็แน่นอนว่าต้องจัดวางให้เขาเป็นขุนนางใหญ่  ผู้ที่มีวาสนาน้อย  ความสามารถน้อย เขาย่อมเป็นขุนนางใหญ่ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  คอมมูนปารีสล้มล้างการปกครองโดยกษัตริย์  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ในประวัติศาสตร์ประเทศฝรั่งเศสบรรดาประธานาธิบดีที่เคยได้รับเลือกตั้ง  ก็ล้วนเป็นอดีตกษัตริย์  เพียงแต่เปลี่ยนการจัดวางเป็นอีกแบบหนึ่ง  ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดนี้คือ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เทพจัดวางไว้   ฉะนั้นทุกวันนี้ในสังคมของคนธรรมดาสามัญปรากฏมีการต่อสู้กันระหว่างพรรคการเมืองออกมา ก็เป็นสภาพการณ์ของการดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกวันนี้  ในยุคโบราณ  ข้าพเจ้าคิดว่าพวกท่านคงจะเชื่อในจุดนี้ว่าไม่มีเรื่องแบบนี้   พอถึงทุกวันนี้  โดยแท้จริงนั้น มนุษยชาตินี้คือมนุษย์ที่เบี่ยงเบน สังคมที่เบี่ยงเบนชนิดหนึ่ง  ปัญหานี้ข้าพเจ้าจะยังไม่พูด

เมื่อสักครู่คุยเรื่องอนุภาคของจักรวาลที่ต่างกันสามารถประกอบขึ้นเป็นชีวิตใหญ่เล็กที่ต่างกัน  ดาวแต่ละดวงล้วนมีชีวิตดำรงอยู่  เพียงแต่เขาไม่ได้ปรากฏออกมาอยู่ในมิติของมนุษย์นี้  เราจึงไม่สามารถรู้จักเขา  เนื่องจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่ก้าวหน้า  ได้แต่ปีนป่ายอยู่ในมิตินี้เท่านั้น  ดังนั้นมันจึงรับรู้ไม่ได้  ที่จริงจะเปิดอีกมิติหนึ่งออกนั้นง่ายมาก  ท่านเพียงแต่มีระบบตรวจสอบจุลทรรศน์ขนาดใหญ่  ท่านก็จะสามารถมองเห็นรูปแบบที่คงอยู่ของวัตถุที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคนั้นที่ต่ำกว่าโมเลกุล เพราะคนมีอุปสรรคนานาชนิด มีอุปสรรคทางความคิด เขาไม่กล้าไปทำ เขารู้สึกว่าไม่น่าสนใจ  และมองไม่เห็นการคงอยู่ที่แท้จริงของมัน  แต่ไม่ว่าท่านคิดจะมองเห็นหรือไม่  แต่มันจะเผยสภาพที่แท้จริงออกมาเป็นครั้งคราว  ในทันใดก็จะมีบางคนมองเห็นได้  จับพลัดจับผลูภายใต้สภาพการเคลื่อนไหวของสสารทันใดก็เผยออกมา  นี่อาจเกิดขึ้นได้บางเวลา  ผู้คนล้วนทึกทักว่าพยับแดดนั้นคือการหักเหของแสงในอากาศ  นั่นเป็นการพูดกลบเกลื่อนสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ชนิดหนึ่งของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน  ไม่มีเหตุผลใดๆ  ที่จริงก็คือปรากฏการณ์ที่แท้จริงของอีกมิติ       เมื่อสักครู่ที่ข้าพเจ้าพูดเรื่องแนวคิดของ

จักรวาลนี้ ทุกท่านสามารถเข้าใจได้กระมัง ใช่หรือไม่ (เสียงปรบมือตอบ)

            ในจักรวาลนี้ สสารทั้งปวงล้วนประกอบขึ้นมาจาก เจิน ซั่น เหริ่น   เจิน  ซั่น เหริ่น ในมิติที่ต่างกันจะมีปรากฏการณ์ที่ต่างกัน  มีรูปแบบที่ปรากฏในระดับชั้นที่ต่างกัน   สร้างสรรสภาพแวดล้อมของการคงอยู่ที่ต่างกันให้กับชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกัน  เมื่อถึงก้าวนี้ของคนเรา  การปรากฏของฝ่านี้จึงใหญ่มาก  สลับซับซ้อนมาก  รูปแบบการบำเพ็ญก็มาก  หลักการที่อู้ได้ก็มีกมาก  การคิดที่จะเป็นคนดี  ข้อกำหนดของการดำรงอยู่ในมิตินี้   ก็คือ ความกรุณา  คุณธรรม   ความสุภาพ  สติปัญญา  ความเชื่อ  เป็นต้นฯลฯ   มันก็แตกแขนงออกมาจากใน เจิน ซั่น  เหริ่นทั้งนั้น  มากมายจริงๆ   ยังไม่เพียงแค่นี้  ปัจจัยที่ประกอบขึ้นเป็นผู้หญิงคือความอ่อนโยน  ผู้ชายต้องแข็งแกร่งและซื่อตรง  เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ปรากฏออกมาจากฝ่า รวมทั้งสภาพการณ์ดำรงอยู่ของสสาร  รูปแบบการดำรงอยู่ของสสาร  ล้วนปรากฏออกมาจากฝ่า  ฝ่าสร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่ง

            ต่อไปข้าพเจ้าจะพูดถึงการบำเพ็ญ  ทำไมการบำเพ็ญต้องบรรลุถึงมาตรฐานเขตแดนจึงสามารถไปที่นั่นได้  เพราะระดับชั้นนั้นมีฝ่าของระดับชั้นนั้นอยู่  ระดับชั้นนั้นมีมาตรฐานของข้อกำหนดต่อชีวิตและสภาพแวดล้อมของชีวิต  ร่างกายที่มีกรรมไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของมิตินั้นย่อมไม่ได้   ร่างกายที่สกปรกไม่สามารถไปมิติที่สูงเช่นนั้นได้อย่างเด็ดขาด  ดังนั้นท่านต้องสอดคล้องกับสภาพร่างกายของร่างกายของเขตแดนที่สูงเช่นนั้น  หรือพูดว่าไม่มีกรรม  ไม่เพียงไม่มีกรรม  แต่สสารของร่างกายนี้ต้องเล็กละเอียดเหมือนอย่างนั้น  สิ่งนี้ผู้ที่ไม่บำเพ็ญจริงคิดจะแสวงหา คิดจะได้ล้วนไม่อาจได้มา  ได้แต่บำเพ็ญเท่านั้น  ผ่านการทนทุกข์  บำเพ็ญอย่างยากลำบากจึงได้มา

นอกจากนี้ ก็คือชีวิตของท่านฝั่งนั้นก็ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของเขตแดนนั้น  หรือพูดว่าจิตของท่านเอย ความคิดเอย  สัญชาตญาณรู้ทั้งหมดที่มีอยู่ของชีวิตท่านเอย  ก็ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของระดับชั้นนั้น

แน่ละ  สภาพการคงอยู่ของชีวิตในมิตินั้นยังมีมาตรฐานอันหนึ่ง  ถ้าเหมือนกับคนแบบนี้  ท่านก็ไปไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่ท่านจะหยวนหมั่น ก็ต้องเป็นรูปลักษณ์ของชีวิตของมิตินั้น ยิ่งสูงขึ้นไปรูปลักษณ์ของชีวิตนั้น ก็ยิ่งอ่อนวัยงดงาม ยิ่งต่ำลงมายิ่งไม่งดงาม  ยิ่งสูงขึ้นไป ไม่เพียงรูปลักษณ์นี้จะงดงาม  ความคิดก็ต้องบริสุทธิ์งดงาม  รูปแบบที่คงอยู่  คำพูดคำจา  กิริยาท่าทางล้วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง  คำพูดที่พวกเขาพูดกันจะเหมือนคำกลอน นี่เป็นเพียงสภาพการณ์ของระดับชั้นที่แน่นอนหนึ่งเท่านั้น  ระดับชั้นที่ยิ่งสูงจะยิ่งงดงาม ถ้าไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของเขตแดนนั้นก็ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  ข้าพเจ้ามักพูดอยู่คำหนึ่งว่า  บำเพ็ญอยู่ที่ตน  พลังอยู่ที่อาจารย์  ก็คือหากท่านคิดจะบรรลุเขตแดนเช่นนั้น แม้แต่จะรู้ท่านก็ไม่อาจรู้ได้เลย  ท่านจะบรรลุได้อย่างไรหรือ  ท่านจะทำได้อย่างไรหรือ  ตัวเองนั้นทำไม่ได้  ข้าพเจ้าเพียงดูจิตบำเพ็ญนั้นของท่าน  ท่านปักใจแน่วแน่จะบำเพ็ญต่อไป  เช่นนั้นอีกฝั่งหนึ่งอาจารย์จะทำให้  ท่านสามารถยืนหยัดได้หรือไม่  สามารถจะบำเพ็ญจนถึงที่สุดได้หรือไม่  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

รูปธรรมวิธีการผันแปรของพลัง ข้าพเจ้าล้วนไม่บอกท่านและไม่ได้บอกให้ความคิดของทุกท่านจดจ่ออยู่ตรงนี้  การทำอย่างนี้ไม่ก่อให้เกิดการยึดติดได้ง่าย  หลีกเลี่ยงการคิดเพ้อเจ้อ  ทุกท่านทราบว่ายิ่งสูงขึ้นไปความนึกคิดจะยิ่งสงบ แต่หากไม่ยกระดับจิตใจเอาแต่จะแสวงหาความสงบก็ไม่ถูกต้อง บางคนเวลาฝึกพลังเอาแต่จะแสวงหาความสงบ ก็คืออยากจะสงบ จึงก่อให้เกิดการยึดติดอย่างหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน พูดตามหลักธรรมสายเล็ก นี่คือวิธีการหนึ่ง เมื่อพูดจากระดับชั้นสูง นี่คือความหมายมั่นอย่างหนึ่ง  เพราะเหตุใดหรือ   เพราะความสงบนั้นต้องผ่านการบำเพ็ญค่อยๆละทิ้งจิตยึดติดจึงสามารถบรรลุถึงได้    หมายมั่นอยากจะให้สงบโดยสิ้นเชิง  ปล่อยวางได้ทั้งหมดในทันที(แน่ละก็มีสถานการณ์ที่พิเศษ อันนี้เราไม่พูด)  โดยทั่วไปนั้นจะทำไม่ได้  เมื่อท่านสามารถบรรลุความสงบเช่นนั้นได้  พูดได้ชัดว่าความนึกคิดของท่านก็บริสุทธิ์ถึงระดับนั้นแล้ว สถานการณ์ที่พิเศษอย่างที่ว่านั้น  หมายถึงวิธีการบำเพ็ญจิตรอง    พอเริ่มต้นก็สามารถบรรลุถึงการเข้าสู่ระดับความสงบอย่างหมายมั่น (เหรินเหวย) แต่นี่ไม่ใช่วิธีการบำเพ็ญของต้าฝ่าเรา นี่หาใช่ปัญหาเล็กๆปัญหาหนึ่ง 

ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ว่า  ผู้ที่พูดกับคนอื่นโดยมีเป้าหมายของตนเองที่คิดจะเปลี่ยนแปลงผู้อื่น  หรือคิดจะเกลี้ยกล่อมคนอื่น  คำพูดที่ท่านพูดนั้น ต่อให้มีเหตุผลเพียงไร  ผู้อื่นก็ยากที่จะยอมรับได้ทั้งหมด  และโน้มน้าวใจคนไม่ได้  เพราะเหตุใดหรือ  ที่จริง ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เพราะคำพูดที่ท่านพูดออกไปนั้นมีความคิดต่างๆของท่านติดอยู่  ท่านอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญมีอารมณ์ทั้งเจ็ดตัณหาทั้งหก กระทั่งสิ่งที่ท่านยึดติดอยู่มากมาย  คำพูดนี้ที่ท่านพูดออกไปล้วนมีความคิดที่ซ้บซ้อนอยู่  จึงทำให้คำพูดของท่านไม่มีพลังมากเช่นนั้น  กระจัดกระจายอย่างมาก เมื่อบวกกับเรื่องอะไรที่จะพูดกับคนอื่น  และมักจะยืนอยู่บนทัศนคติของตนเอง  มันไม่แน่ว่าจะสอดคล้องกับฝ่าของจักรวาล  ดังนั้นเมื่อพูดบนจุดนี้ยิ่งไม่มีพลังของสัจธรรม  ดังนั้นเวลาที่พูดอะไรกับผู้อื่น ก็เพิ่มสิ่งที่จะปกป้องของๆตนเองเข้าไป  ไม่ให้ตนเองถูกทำร้าย  หรือพูดว่าจุดประสงค์ของการพูดของท่านไม่บริสุทธิ์แล้ว  ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้จึงทำให้คำพูดที่พูดออกไปไม่มีน้ำหนัก  ถ้าท่านสามารถบรรลุถึงความคิดที่บริสุทธิ์สงบ หรือว่าจิตยึดติดของท่านลดน้อยลงตามลำดับ ความคิดฟุ้งซ่านน้อยลงตามลำดับ ท่านจะพบว่าคำพูดที่ท่านพูดจะมีพลัง เหตุใดเมื่อพูดถึงไร้ความหมายมั่น(อู๋เหวย)  ข้าพเจ้าได้พูดถึงเรื่องที่ทุกท่านไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวตามชอบใจกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย  เพราะคำพูดที่ท่านพูดนั้นเริ่มมีพลังแล้ว  คำพูดที่มีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้  ไม่ว่าจะถูกหรือผิด  ท่านเปลี่ยนแปลงผู้อื่นเสียแล้ว ท่านก็อาจทำเรื่องอะไรที่ผิดไปแล้ว   เพราะที่ตาท่านมองเห็นคือเปลือกนอก  แต่มูลเหตุความสัมพันธ์ในอดีตท่านมองไม่เห็น  ท่านไม่รู้ความจริง ฉะนั้นพอถึงระดับชั้นสูง ความคิดของท่านจึงยิ่งบริสุทธิ์ตามลำดับ  บรรดาสิ่งที่ความคิดท่านนำพาออกมา  คำพูดที่พูดออกไป  สะอาดอย่างยิ่ง ยิ่งสะอาด ยิ่งเรียบง่าย  ก็ยิ่งสอดคล้องกับหลักการของจักรวาลชั้นนี้  คำพูดที่พูดออกไปจึงสามารถทะลวงจิตใจคนได้ในทันที  กระทบถึงความคิดส่วนลึกของคนได้  กระทบถึงชีวิตที่ยิ่งจุลทรรศน์ของเขา  ท่านว่ามันมีพลังมากเพียงไรหนา  ดังนั้นความสามารถสงบลงมาได้นี้คือปรากฏการณ์ของเขตแดนหนึ่ง

การบำเพ็ญของเราต้องสอดคล้องกับมาตรฐานระดับชั้นนั้นจึงจะบำเพ็ญไปถึงเขตแดนนั้นได้  หาไม่แล้วท่านก็จะไปไม่ได้  นี่ก็คือเหตุใดการบำเพ็ญของเราต้องละทิ้งจิตยึดติดของคน  เหตุใดต้องสลายกรรม  เหตุใดต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของฝ่า เหตุใดจึงบอกให้ท่านอ่านหนังสืออยู่เสมอ ต้องเข้าใจฝ่า
            เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าพูดถึงปัญหานี้อย่างคร่าวๆ  วันนี้คือฝ่าฮุ่ย  โอกาสที่ทุกท่านจะพบกับข้าพเจ้ามีน้อยมาก  มีปัญหามากมายที่ใคร่ครวญอยู่ตลอด อยากจะหาโอกาสถามข้าพเจ้า  ดังนั้นข้าพเจ้าจะใช้เวลาช่วงถัดไปตอบปัญหาให้ทุกท่าน  แต่มีจุดหนึ่ง ทุกท่านต้องระวัง  มีบางคน(แน่ละล้วนแต่เป็นผู้ฝึกใหม่)  น้ำเสียงที่ถามคำถามไม่สำรวม  ไม่เคารพต่ออาจารย์อย่างเพียงพอ  แน่ละข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าอาจารย์นั้นน่าเกรงขาม  แต่ข้าพเจ้าที่จริงเป็นอาจารย์ของพวกท่าน  ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือพวกท่านไปสู่เขตแดนเช่นนั้น  สิ่งต่างๆที่ข้าพเจ้าให้กับพวกท่านนั้น ตราบชั่วนิรันดร์ ชีวิตของพวกท่านก็ไม่อาจตอบแทนข้าพเจ้าได้   ดังนั้นข้าพเจ้าหวังว่าน้ำเสียงของพวกท่านขอให้เหมือนกับน้ำเสียงของลูกศิษย์คนหนึ่ง

เอาละต่อไปทุกท่านสามารถส่งคำถามขึ้นมาได้แล้ว

ศิษย์ – หลังจากองค์ศากยมุนี  เหลาจื่อ  พระเยซูแล้ว มีสักกี่คนที่บำเพ็ญได้มรรคผลพระยูไล
อาจารย์ – รวมกันแล้วมากมายเหลือเกิน  หลังจากองค์ศากยมุนี มีคนจำนวนไม่น้อยได้เต๋า(หลักธรรม)  ล้วนแต่บำเพ็ญออกมาโดยอยู่ในศาสนาพุทธ และมีที่อยู่ในหมู่ศิษย์รุ่นหลังๆ ของพระเยซูที่บำเพ็ญเต๋า บำเพ็ญออกมาได้  แน่ละวิธีการบำเพ็ญเต๋าในประเทศจีนก็มีมากทีเดียว เพราะวิธีการบำเพ็ญนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่หนึ่งๆ ดังนั้นในสมัยโบราณ  ในสังคมตะวันตกก็มีการบำเพ็ญเต๋า ที่บำเพ็ญออกมาได้ก็มีไม่น้อย ผู้ที่บำเพ็ญออกมาได้ล้วนไม่ได้อยู่ในศาสนา แต่ในยุคใกล้ๆนี้มีน้อยมากที่หยวนหมั่น  พอถึงยุคปัจจุบันเกือบจะเท่ากับศูนย์

 

ศิษย์ – “จ้วนฝ่าหลุน” บรรยายว่าดวงจันทร์นั้นสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ในยุคโบราณกาลที่ไกลโพ้น  ท่านอาจารย์สามารถให้ความกระจ่างได้ไหมว่าตอนที่สร้างนั้นทำด้วยมูลเหตุและจุดประสงค์ใด
อาจารย์ – ทุกท่านหัวเราะกันแล้ว เพราะมันห่างไกลจากจุดประสงค์ของการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้าเสียแล้ว  ท่านกำลังแสวงหาความรู้  คิดเพ้อเจ้อ  เวลาที่คนยิ่งคิดเพ้อเจ้อนั้น  ความคิดของท่านก็ยิ่งไม่สงบเงียบ   แต่สิ่งเหล่านั้นในสังคมคนธรรมดาสามัญที่ท่านยึดติด ท่านไม่เพียงไม่ยอมปล่อยวางยังจะถามข้าพเจ้าอีก ยังสอดแทรกเข้ามาในฝ่า ปะปนเข้าด้วยกัน  ข้าพเจ้านั้นร้อนใจในด้านนี้ของพวกท่าน  จงตั้งใจบำเพ็ญ แน่ละปัญหาได้ถามขึ้นมาแล้ว  ข้าพเจ้าสามารถสาธยายให้ท่านฟัง

ในประวัติศาสตร์ไม่มีสภาพการณ์ของวิทยาศาสตร์นี้เหมือนเช่นทุกวันนี้  แต่ว่าในยุคสมัยที่ต่างกันมนุษยชาติมีวิถีทางของการพัฒนาของยุคสมัยที่ต่างกัน  ในเวลานั้นคนรับรู้ได้ว่าความมืดในเวลากลางคืนนั้นนำมาซึ่งความยุ่งยาก  ดังนั้นจึงสร้างดวงจันทร์ส่งขึ้นไปดวงหนึ่ง มันสามารถส่องแสงให้โลกในเวลากลางคืน  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ  ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าไม่อยากบอกกับท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกมาจะทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นจริงได้  เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกมาจะเป็นฝ่า  ดังนั้นพวกท่านอย่าได้บอกให้ข้าพเจ้าพูดไปตามชอบใจในเรื่องเหล่านั้นที่คนสนใจเป็นการส่วนตัว

 

ศิษย์     ความเร็วของความคิด เหนือกว่าความเร็วแสง ใช่หรือไม่

อาจารย์ – จุดนี้เป็นเรื่องแน่นอน  ความเร็วของความคิดคนนั้นสูงมาก  ระดับชั้นของท่านยิ่งสูง  ท่านจะทะลวงมิติใดๆที่ต่ำกว่าท่านได้  คำพูดนี้ที่ข้าพเจ้าพูดทุกท่านฟังชัดเจนแล้วนะ  ระดับชั้นของท่านยิ่งสูง  เวลาที่พลังของท่านทะลวงผ่านมิติที่ต่ำกว่าท่าน  ก็จะไม่ถูกเวลาในมิติใดๆที่ต่ำกว่าท่านควบคุมไว้ และพลังกงนั้นบังคับบัญชาโดยความคิด(อี้เนี่ยน)  ท่านดำรงชีพอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้  ความเร็วที่ท่านเดิน  ความเร็วของรถยนต์ท่าน  ทุกๆสิ่งล้วนถูกเวลาภายในขอบเขตของมิตินี้ควบคุม  ความคิด(อี้เนี่ยน)ที่คนส่งออกมาในมิติของคนนั้นเร็วมาก  หากเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งเขาก็อยู่เหนือการจำกัดของมิตินี้    ดังนั้นความคิด(อี้เนี่ยน)ของเขาจึงรวดเร็วมาก ในขณะเดียวกันเรายังพูดแล้วว่า พลังกงของคนนั้นกับความสามารถทั้งหมดที่ติดมากับร่างกายคน ล้วนถูกความคิด(อี้เนี่ยน)ของท่านควบคุมไว้หมด ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าพอความคิดของท่านไปถึง พลังกงของท่านก็ถึง  ก็มีความสามารถมากถึงเพียงนี้   ข้าพเจ้าพูดว่าคนที่บำเพ็ญไปถึงระดับชั้นที่สูงมาก  ถ้าไม่ปิดไว้ให้ท่าน จะมีการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินจริงๆ ซึ่งล้วนอาจจะเป็นเรื่องแค่ในชั่วพริบตา  ดังนั้นเมื่อยังไม่บรรลุถึงการเปิดการรับรู้(ไคอู้)โดยสิ้นเชิง  ยังบำเพ็ญอยู่ในโลกก็จะไม่เปิดให้กับท่านบำเพ็ญในลักษณะนี้โดยเด็ดขาด ความสามารถเล็กละก็ทำได้ เพราะมิตินี้ก็มีเทพของมิตินี้ดูแลอยู่ ดังนั้นเขาสามารถควบคุมทั้งหมดนี้   ท่านไม่สามารถพลิกฟ้า และไม่สามารถ

คว่ำแผ่นดิน แต่ถ้าความสามารถใหญ่กว่านี้ ก็ไม่ให้ทำแล้ว อาจารย์ก็ต้องดูแล

ศิษย์     สสารชนิดไหน ในจักรวาลของเรา ที่มีความเร็วมากที่สุด
อาจารย์ – ท่านกำลังถามเรื่องวิทยาศาสตร์นะ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  หากสร้างความพอใจต่อจิตแสวงหาของท่าน  ก็เท่ากับส่งเสริมจิตยึดติดของท่านให้โตขึ้น ไม่บอกท่านละ  ท่านถามขึ้นมาแล้ว

            มิตินี้ก็คือบรรดาสิ่งที่คนปัจจุบันรู้จักกัน ความเร็วนี้มีพลังงานสูงยิ่งกว่า  คนยังค้นไม่พบและใช้ประโยชน์ไม่ได้  อะไรที่ใหญ่ที่สุดเอย  เล็กที่สุดเอย  ล้วนแต่ยืนอยู่บนการรับรู้ของคน  รับรู้อยู่ภายในขอบเขตของสนามมิติกับกาลเวลาของคนนี้  ในจักรวาลนี้ ไม่มีแนวคิดใหญ่ เล็กนี้ที่คนรู้จักกัน   ดังนั้นท่านบอกว่าในจักรวาลนี้อัตราเร็วไหนที่เร็ว  นั่นก็มีระดับชั้นเป็นตัวกำหนด  อาทิเช่นอัตราเร็วของการพูดของเทพระดับชั้นสูงมาก  บางครั้งพูดด้วยอัตราที่ช้ามากๆ  นั่นก็ยังเร็วกว่าความเร็วของความคิดท่าน    ขณะนี้ข้าพเจ้าพูดอยู่ที่นี่  ก็คือคำพูดนี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดว่าท่านยึดติดเพิ่งผ่านไปหยกๆ  ในมิติหนึ่งมันได้ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว  ก็แตกต่างกันถึงเพียงนี้  จักรวาลนั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่งแล้ว สนามเวลาที่ต่างกันประกอบขึ้นเป็นมิติที่สลับซับซ้อนของจักรวาล       

ที่จริงนะ “เมื่อไม่ถูกเวลาควบคุมไว้จึงจะเร็วที่สุด”แต่กล่าวสำหรับคนแล้ว  ท่านไม่มีวันที่จะเข้าใจความนัยที่แท้จริงของคำพูดนี้ได้  ใช้แนวคิดของท่านที่ว่า “ ในจักรวาลความเร็วชนิดไหนที่เร็วที่สุด”นั้นล้วนเป็นความคิดของคน การรับรู้ของคน ก็รวมทั้งมิติที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ของเรา  เจ้าเวลานี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เด็ดขาด  ทุกท่านทราบว่าอยู่ใน “จ้วนฝ่าหลุน”ข้าพเจ้าพูดว่า ดวงดาวนั้นที่มองเห็นกันเมื่อมาถึงเราที่ตรงนี้ก็มีระยะห่างถึง๑๕๐,๐๐๐ปีแสงอย่างนี้  ที่จริงข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่คนสามารถรับรู้ได้มาอธิบายเท่านั้นเอง โดยแก่นแท้แล้วไม่ใช่เช่นนั้น   เพราะอะไรมิใช่เช่นนั้นละ  ทุกท่านคิดดู มิติที่ต่างกัน มีเวลาที่ต่างกันคงอยู่  ภายในขอบเขตของโลกเรามีสนามเวลาสนามหนึ่ง  ทุกสรรพสิ่งล้วนจำกัดอยู่ในขอบเขตของเวลานี้  ดาวเทียมนั้นที่คนสร้าง พอมันออกไปนอกชั้นบรรยากาศใหญ่ของเรา  มันก็จะเป็นอีกเวลาหนึ่งแล้ว   ไม่ใช่สนามเวลาเดียวกับเวลาของโลกโดยสิ้นเชิง  ดังนั้นเมื่อผ่านดาวดวงอื่น  ก็จะมีสนามเวลาของดาวดวงนั้น  ร่างนภาที่ขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไป เวลา และ ความเร็วของมัน(ร่างนภา)ก็จะแตกต่างยิ่งมาก

เรื่องที่เกิดขึ้นในทางช้างเผือกท่านพูดว่า ผ่านไป ๑๕๐,๐๐๐ ปีแสงจึงจะสามารถเห็นได้ ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ไม่แน่ว่า ในสองสามปีท่านก็จะสามารถเห็นได้  เพราะอะไรละ  เพราะความเร็วของแสงนั้นถูกสนามเวลาควบคุมเอาไว้  เวลาที่ทะลวงข้ามสนามเวลาที่ต่างกัน ความเร็วของแสง“ซวบ------------,ซวบ------------,ซวบ---------------”ก็จะเปลี่ยนเป็นประเดี๋ยวเร็วประเดี๋ยวช้า  พอมาถึงโลกเรานี้ ก็สอดคล้องกับสนามเวลาของโลก จึงเปลี่ยนเป็นช้ามากเลย  หากท่านใช้บรรดาสนามเวลาที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ไปประเมินเวลานี้ของจักรวาล  ย่อมไม่มีทางจะประเมินได้ มนุษย์รับรู้ต่อสัจธรรม รับรู้ต่อสสาร รับรู้ต่อชีวิต  รับรู้ต่อแนวคิดของจักรวาล และเรื่องราวมากมายนั้นล้วนไม่ถูกต้องเที่ยงตรง 

รวมทั้งการพัฒนาของคนเรา

ศิษย์ – เหล่าผู้รู้แจ้งสายพุทธ อธิบายแสงของจักรวาลของเรานี้อย่างไร

อาจารย์ – เพียงแต่มองเห็นแสงแล้วมีอะไรหรือ  แสงมีหลายชนิด ระดับชั้นที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน  สถานการณ์ กับจุดประสงค์ที่ปล่อยแสงออกมาก็ ไม่เหมือนกันอย่าใช้ความคิดของคนคิดเรื่องที่เหนือกว่าระดับของคน   ข้าพเจ้าว่า หากท่านคิดจะบำเพ็ญก็จงอ่านหนังสือให้มาก ศึกษาฝ่าให้มาก สิ่งที่ท่านอู้ไม่ได้  ไม่รู้จัก  ในอนาคตล้วนจะสามารถเห็นได้ในฝ่า  ทุกท่านคิดดู ข้าพเจ้าบอกว่าวัตถุใดๆล้วนมีพลังงาน แม้แต่โมเลกุลก็ล้วนมีพลังงาน  พวกท่านรู้สึกไม่ได้ว่า โมเลกุลมีพลังงาน เพราะตัวมนุษย์เองก็ประกอบขึ้นจากโมเลกุล   ดังนั้นจึงไม่รู้สึก   สิ่งที่มีพลังงานก็มีแสงคงอยู่  มีพลังงานคงอยู่  อย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่     อะไรก็แปลกประหลาดน่าตื่นเต้นไปหมด       ธรรมานุภาพของเหล่าศิษย์ต้าฝ่า 

พอปรากฏออกมา นั่นจึงจะเป็นแสงโชติช่วงชัชวาลอันยิ่งใหญ่หนา

ศิษย์ – จะนำจิงเหวินของท่านอาจารย์ลงในหนังสือพิมพ์เพื่อหงฝ่าได้หรือไม่ เกรงว่าจะถูกคนบิดเบือนความหมายของจิงเหวิน
อาจารย์ – เป็นไปได้ ล้วนเป็นไปได้  ดังนั้น ดีที่สุดอย่าทำอย่างนี้  เพราะอะไรหรือ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  วิธีหงฝ่าที่ดีที่สุดของเราก็คือทุกท่านร่วมกันฝึกพลัง  เราเพียงบอกว่าอย่าให้คนที่มีวาสนาตกหล่นไปเสีย  เราหงฝ่าไม่ใช่จะให้คนทั้งหมดมาได้ฝ่า  แน่นอนไม่ใช่แนวคิดนี้  ข้าพเจ้าบอกว่าให้คนที่มีวาสนามารับฝ่า  วันนี้ข้าพเจ้าจะพูดให้กระจ่างกับทุกท่านดูก็ได้  ตลอดเวลาที่ผ่านมาวิธีการที่พวกเราเลือกในการหงฝ่าคือ พวกท่านฝึกพลังอยู่ข้างนอก  อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในสังคมมีหนังสือของต้าฝ่าเราวางขายอยู่ในร้านหนังสือ ฝ่าเซินของข้าพเจ้าสามารถเรียกให้คนที่มีวาสนาไปซื้อหนังสือนั้น  คนที่มีวาสนาพอได้อ่านเขาก็จะมาศึกษา  พวกเราก็อยู่ข้างนอกฝึกพลัง  ฉะนั้นฝ่าเซินก็จะจัดวางให้เขาหาศูนย์ฝึกพบได้รับฝ่า  จับพลัดจับผลูก็จะนำเขามาถึงที่นี่มาฝึกพลัง  หรือสามารถหาผู้ฝึกของเราพบ  เราจัดวางเรื่องนี้กันอย่างนี้

พวกท่านอยากจะบอกให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น  เลือกวิธีการต่างๆมากมาย  นี่คือจิตใจอย่างหนึ่งของผู้ฝึก  ข้าพเจ้ามองเห็น  ที่พวกท่านทำนั้นก็ดีมากทั้งนั้น  แต่ล้วนเป็นการกระทำที่แต่ละคนริเริ่มทำกันเอง  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่ยืนยันว่ามันทำได้หรือไม่ได้  แต่วิธีหงฝ่าให้กับต้าฝ่าที่ข้าพเจ้ามอบไว้ในฝ่า ก็คืออันนี้ คือพวกเราอยู่ข้างนอกร่วมกันฝึกพลัง บวกกับฝ่าฮุ่ย และในร้านหนังสือมีหนังสือวางขาย  คนที่มีวาสนาไปซื้อหนังสือ หลังจากอ่านแล้วก็คิดจะบำเพ็ญ  จากนั้นตัวเขาริเริ่มค้นหา(ผู้ฝึกหรือศูนย์ฝึก)จนพบเพื่อมาศึกษา ก็เป็นอย่างนี้ แน่ละบางครั้งพวกเรามีผู้ฝึกกระทำการโดยส่วนตัวไปลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ บอกให้คนอื่นรู้  ก็สามารถทำให้คนจำนวนมากได้ฝ่า  ข้าพเจ้าก็ไม่ปฏิเสธรูปแบบชนิดนี้ สามารถทำให้คนเหล่านั้นที่มีวาสนาได้รู้ แต่ข้าพเจ้าเพียงพูดว่าข้าพเจ้ามอบรูปแบบการหงฝ่าที่ดีที่สุดให้พวกท่านซึ่งก็คือการฝึกพลังร่วมกันกับการจัดฝ่าฮุ่ย

ศิษย์ – ผมถือการหงฝ่าเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญที่ไม่อาจแบ่งแยกได้  แต่อาจารย์พูดว่าการหงฝ่ากับการหยวนหมั่นไม่เกี่ยวข้องกัน
อาจารย์ – แน่ละการหงฝ่ากับหยวนหมั่นเป็นแนวคิดของสองคำศัพท์  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  คนของเราที่ทำงานหงฝ่า  ถ้าท่านถือว่ามันเป็นการทำงานอย่างหนึ่ง  แม้ว่าจะขยันทุ่มเทใจไปทำอยู่เสมอ  ในเวลาปกติก็อ่านหนังสือน้อยมาก และไม่มีเวลาฝึกพลัง  การทำงานแบบนี้ย่อมจะห่างเหินออกจากฝ่า  จึงพูดได้ว่าท่านไม่ได้ประสานการทำงานกับการบำเพ็ญของท่านเข้าด้วยกัน เวลาที่ท่านทำงานก็ยึดติดมาก ไม่ได้คิดว่าเรื่องยุ่งยากที่ประสบนั้น  ใช่หรือไม่ว่ามีความเกี่ยวข้องกับซินซิ่งของท่านเอง  วิธีการที่ทำสอดคล้องกับฝ่าหรือมาตรฐานของผู้บำเพ็ญหรือไม่  ท่านไม่ได้ค้นหาตนเองจากภายในอย่างนี้เลย   ไม่พิจารณาอย่างนี้  นั่นเป็นการทำงานของคนธรรมาดาสามัญเท่านั้นเอง  เป็นแค่คนธรรมาดาสามัญที่กำลังทำงานของต้าฝ่า อย่างน้อยที่สุดคือไม่ได้ทำไปตามมาตรฐานของผู้บำเพ็ญ  การบำเพ็ญนั้นต้องประสานเข้ากับการทำงาน  ระหว่างที่ทำงานเมื่อท่านประสบกับปัญหาใดๆที่ยากลำบาก ล้วนต้องค้นหาซินซิ่งของตนเอง ถ้าท่านสามารถมองเห็นตนเอง  เมื่อประสบกับความยุ่งยาก พิจารณาตนเองว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้หนา  ใช่หรือไม่ว่าฉันทำอะไรผิดไปแล้ว  หรือว่าจุดเริ่มต้นของฉันมีปัญหาใช่หรือไม่นะ หรือว่าเป็นอย่างไรกัน  ก็พูดว่าปกติท่านสามารถใช้มาตรฐานของผู้ฝึกพลังกำหนดตัวเองได้หรือไม่ ประเมินตนเอง  หากความนึกคิดหนึ่งๆของท่านล้วนไม่ย่อหย่อนที่ถือว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญ  ท่านก็กำลังอยู่ในการบำเพ็ญแล้ว  การทำงานของท่านก็ประสานเข้ากับฝ่าได้แล้วมิใช่หรือ  เกี่ยวกับการหยวนหมั่นนั้นต้องดูที่ระดับการบำเพ็ญของท่านว่า  ท่านบำเพ็ญถึงการหยวนหมั่นขั้นนั้นหรือไม่  แต่ละคนนั้น  ทุกวันเขาล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่  เขาสามารถจะหยวนหมั่นได้หรือไม่นั้นเขาจะต้องบรรลุถึงระดับการหยวนหมั่น

ศิษย์ – ทุกวันผมก็อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” แต่มีเนื้อหาบางอย่าง เช่น “จูโหยวเคอะ”  “จำศีล” “ขโมยชี่” “เก็บชี่” ผมคิดว่าทำความเข้าใจโดยทั่วๆไป ก็พอแล้ว

อาจารย์ – ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดแม้ว่าจะอาศัยเรื่องชนิดนั้นมาพูดโดยยกเป็นตัวอย่าง  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไม่ใช่เพียงแค่นั้นเอง  ที่ข้าพเจ้าพูดนั้นคือหลักการของฝ่า  ความนัยที่อยู่เบื้องหลังนั้นนับไม่ถ้วน  ไม่สิ้นสุด  ไม่หยุดนิ่ง  จักรวาลนี้ใหญ่เพียงไร ฝ่านี้ก็ใหญ่เพียงนั้น  ข้าพเจ้าเพียงใช้วิธีการที่พื้นๆที่สุด ของภาษาที่ตื้นเขินที่สุดของคน  รูปลักษณ์ของคนที่ต่ำที่สุดมาบรรยายฝ่านี้  จุดประสงค์คือต้องการให้ท่านสามารถเข้าใจได้  รับรู้(อู้)ได้ถึงความนัยที่อยู่เบื้องหลังซึ่งไม่สิ้นสุดไม่หยุดนิ่ง  ดังนั้นทุกท่านอย่าได้เลือกอ่าน  การอ่านฝ่าต้องอ่านจนถึงที่สุดโดยไม่ตกหล่นในแต่ละรอบ  พึงระวังเรื่องนี้  ความเชื่อมโยงของเขามีประโยชน์อย่างมากเหลือเกินต่อการบำเพ็ญของท่าน ฝ่านั้นมีความเชื่อมโยงกัน  ดังนั้นท่านไม่อาจไปเลือกอ่านแบบนั้น

ศิษย์ – เรื่องราวทั้งหลายที่อยู่รอบตัวผู้ฝึกพลังนั้น  เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ผันแปรออกมาทั้งหมดใช่หรือไม่

อาจารย์ – สภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นไม่ใช่ผันแปรออกมา  พวกท่านอยู่ในขั้นตอนของการบำเพ็ญ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยรอบล้วนเกิดจากวาสนาสัมพันธ์แต่เก่าก่อนของท่านเองทั้งสิ้น ก็คือพูดได้ว่าเป็นกรรมของท่านเองที่ตามสนอง และมีเรื่องดีๆที่เคยทำไว้ตามสนองด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นผลบุญ ผลกรรมของท่าน ข้าพเจ้าใช้มันมาช่วยให้ท่านสามารถบำเพ็ญได้ ไม่ใช่ข้าพเจ้าผันแปรออกมา ฉะนั้นในขณะเดียวกันกับที่ท่านกำลังผ่านด่าน  ก็กำลังชดใช้กรรมอยู่จริงๆ  จุดนี้แน่นอนอยู่  ผู้ฝึกหลายคนอยู่ในความฝันหรือกำลังฝึกสมาธิอยู่ สิ่งต่างๆที่ประสบนั้นก็ไม่ใช่การผันแปรออกมาทั้งหมด  มีมากมายที่เป็นสิ่งที่ปรากฏออกมาจริงๆ  เพียงแต่ท่านรู้สึกได้ไม่ชัดเจนเท่าไร

 

ศิษย์ – ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่าน ให้กับศิษย์ที่สามารถหยวนหมั่นได้หรือไม่
อาจารย์ – หลังจากท่านหยวนหมั่นก็จะรู้แล้ว  เดิมทีข้าพเจ้าคิดจะบอกเรื่องสภาพการบำเพ็ญของข้าพเจ้าให้กับทุกท่าน  แต่มองจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เรื่องนี้ยิ่งมายิ่งไม่อาจเป็นไปได้แล้ว  ทำไมเป็นไปไม่ได้ละ  เพราะในอนาคตไม่อาจให้คนรู้ว่ามีข้าพเจ้าดำรงอยู่  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่คิดจะเหลือเรื่องราวของข้าพเจ้าไว้ให้กับคน  พูดถึงพวกท่าน  เพียงแต่ท่านหยวนหมั่น ท่านก็จะรู้ได้ทันที  ในเวลานั้นท่านสุดที่จะใช้ภาษาบรรยายได้ว่าอาจารย์ท่านยิ่งใหญ่เพียงใด (เสียงปรบมือ)

ข้าพเจ้าไม่เพียงห่วงใยพวกท่าน แต่ยังห่วงใยชีวิตทั้งปวง ข้าพเจ้าแทบจะทุ่มเททุกสิ่งของข้าพเจ้าจนหมดสิ้นเพื่อชีวิตทั้งปวง แน่ละ การทุ่มเทชนิดนี้ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจว่าสิ่งนั้นก็จะหมดไปแล้ว ข้าพเจ้ามักพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ข้าพเจ้าพูดว่า ข้าพเจ้านำทุกสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่สามารถทำให้ท่านบำเพ็ญยกระดับขึ้นได้  สิ่งที่จะสามารถได้รับจากการบำเพ็ญ อัดใส่เข้าไปในฝ่านี้แล้ว  แม้ว่าพวกท่านจะอยู่ในเขตแดนที่ต่างกัน แต่ล้วนไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าคำพูดที่ข้าพเจ้าพูด มีความหมายยิ่งใหญ่เพียงใด  เพียงแต่ท่านไปบำเพ็ญ  อะไรๆท่านก็จะได้รับทั้งหมด  แต่พวกท่านทราบไหม  สิ่งทั้งปวงที่ท่านได้รับ  ในนั้นมีของๆข้าพเจ้าละลายอยู่ข้างในมากเพียงไร  (เสียงปรบมือ) แน่ละข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดเรื่องเหล่านี้ของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเพียงอยากจะบอกพวกท่านว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นอาจารย์นี้ ที่ทำเรื่องนี้  พวกท่านต้องเห็นคุณค่านะ  พวกท่านจะต้องบำเพ็ญให้ดีๆ  อย่าได้พลาดโอกาสแห่งวาสนานี้ไป

ศิษย์ - เมื่อไรพวกเราจะได้ต้าฝ่าที่คนตะวันตกแปล

อาจารย์ – “จ้วนฝ่าหลุน”เร็วๆนี้ก็จะมีแล้ว  ฉบับภาษาฝรั่งเศสจะเริ่มส่งให้สำนักพิมพ์ไปจัดพิมพ์ทันที  ฉบับภาษาอังกฤษมีเรียบร้อยแล้ว ฉบับภาษาเยอรมันขณะนี้อยู่ในร้านหนังสือแล้ว ดูเหมือนร้านหนังสือมากมายก็มีกันหมดแล้ว  ฉบับภาษาอื่นๆ อิตาเลี่ยน  สเปน ดูเหมือนกำลังแปลอยู่  ภาษารัสเซียนมีแล้ว  นี่คือฉบับภาษาตะวันตก  ยังฉบับภาษาอื่นๆก็มีคนที่กำลังแปลอยู่  เรื่องนี้กล่าวสำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้สึกร้อนใจจริงๆ แต่เขา(หนังสือ)มักจะเป็นเพราะโอกาสแห่งวาสนาในด้านต่างๆยังไม่สุกงอมกระมัง ประกอบกับการรบกวนด้านต่างๆที่พวกท่านรับรู้ไม่ได้  ดังนั้นจึงล่าช้ามาโดยตลอด

 

ศิษย์ – ในเมื่อการบำเพ็ญซินซิ่งนั้นสำคัญที่สุด  แต่ในหนังสืออาจารย์ยังพูดถึงระดับชั้นของการบำเพ็ญกับอิทธิฤทธิ์

อาจารย์ – คำถามมากมายเป็นของผู้ฝึกใหม่  ควรอ่านหนังสือก่อนค่อยถามนะ  การบำเพ็ญกับพลังของพระพุทธนั้นแยกกันไม่ออก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดถึงสิ่งเหล่านี้ โดยพูดคร่าวๆไปตามหลักเหตุผล และหลักการของฝ่าเท่านั้น  เพื่อให้ท่านเข้าใจ  จึงได้ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้บำเพ็ญเข้าใจในเรื่องอื่นๆด้วย  ก็คือจุดประสงค์นี้  ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าไม่ให้พวกท่านแสวงหาสิ่งเหล่านี้ ยังพูดเรื่องพวกนี้ให้พวกท่านฟัง  เรื่องนี้แยกไม่ออกจากการบำเพ็ญฝ่อฝ่า  สิ่งที่พวกท่านแสวงหากับสิ่งที่ควรเข้าใจในหลักการของฝ่านั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง  เขาเป็นปรากฏการณ์อีกด้านหนึ่งของฝอฝ่า  ท่านมองไม่เห็นความพิเศษของอิทธิฤทธิ์ของฝอฝ่า  เป็นเพราะท่านอ่านหนังสือโดยมีทัศนคติของคน  ท่านรู้สึกว่าเรื่องจำพวกไหนที่ถูกใจท่าน  ท่านก็อ่านเรื่องพวกนั้น  เรื่องที่ความคิดของคนของท่านเข้าใจไม่ได้ ท่านก็ไม่อ่าน กระทั่งไม่ยอมรับ และนั่นก็คือสาเหตุที่ท่านยกระดับไม่ได้นั่นเอง

 

ศิษย์ – เหตุใดจึงพูดว่า รักร่วมเพศ คือเรื่องที่ผิดศีลธรรม

อาจารย์ – ทุกท่านคิดดู  รักร่วมเพศเป็นพฤติกรรมของคนหรือไม่  สวรรค์สร้างผู้ชาย  สร้างผู้หญิง  จุดประสงค์คืออะไรกัน  คือการสืบทอดคนรุ่นหลัง   ผู้ชายกับผู้ชาย   ผู้หญิ่งกับผู้หญิงนั้น  คิดทีเดียวก็รู้ว่าเขาถูกหรือไม่ถูก  เรื่องเล็กไม่ถูกต้องแล้วก็พูดได้ว่าเขาทำผิดพลาดไป  ถ้าเรื่องใหญ่ไม่ถูกต้องแล้ว นั่นก็คือไม่มีกฎเกณฑ์ด้านศีลธรรมแล้ว  ไม่คู่ควรเป็นคนแล้ว

ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านเพราะเหตุใดสังคมทุกวันนี้จึงเป็นเช่นนี้  นี่เป็นเพราะไม่มีฝ่าที่ถูกต้องที่จะควบคุมคน  ต้าฝ่านี้จึงต้องถ่ายทอดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายสับสนที่สุด  ในเวลาที่ศาสนาทั้งปวงไม่สามารถช่วยเหลือคนได้แล้ว  มาถ่ายทอดอยู่ในสภาพการณ์อย่างนี้ที่เทพทั้งปวงต่างปล่อยมือไม่ดูแล ฝ่ามีพลานุภาพที่ใหญ่มากหนา ในยุคที่ดีที่สุดยังไม่ต้องใช้ฝ่าที่ใหญ่เช่นนี้มาถ่ายทอด ในยุคสมัยที่ไม่ดีที่สุดจึงจะสามารถแสดงออกมาซึ่งพลานุภาพของฝ่า  แต่ก็มีสาเหตุอย่างอื่นอีก

 

ศิษย์ – เหตุใดผู้ที่รักร่วมเพศ ถูกถือว่าเป็นคนเลว

อาจารย์ – ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  หากวันนี้ข้าพเจ้าไม่ถ่ายทอดฝ่านี้  เป้าหมายที่เทพจะทำลายก่อนอื่นก็คือพวกรักร่วมเพศ  ไม่ใช่ข้าพเจ้ามาทำลายเขา  คือเทพ  ทุกท่านทราบว่าพวกรักร่วมเพศหาข้ออ้างหนึ่ง  เขาบอกว่าในวัฒนธรรมสมัยกรีกโบราณมีเรื่องนี้  ใช่ ในวัฒนธรรมกรีกโบราณมีเรื่องทำนองนี้  ทุกท่านทราบไหมเหตุใดวัฒนธรรมกรีกโบราณจึงไม่มีอยู่อีกแล้วละ  ชาวกรีกโบราณทำไมไม่มีแล้วละ  เพราะมันเสื่อมทรามถึงระดับนั้นจึงดับสลายไปแล้ว

เวลาที่เทพสร้างคน ได้กำหนดกฎเกณฑ์ด้านพฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตให้กับคน  เมื่อคนเลยเถิดไปจากขอบเขตนี้ก็ไม่เรียกว่าคน  แต่พวกท่านมีรูปภายนอกของคน  เทพนั้นก็ไม่อาจยอมให้พวกท่านคงอยู่ได้  จึงต้องทำลายทิ้ง  พวกท่านทราบว่า สงครามบนโลก  โรคระบาดและภัยพิบัติของคนนั้น เหตุใดจึงเกิดขึ้นได้ละ  เพราะว่าคนมีกรรม  มันมีอยู่เพื่อให้คนสลายกรรม  ในอนาคตในช่วงประวัติศาสตร์ที่งดงามบนโลกก็จะยังจะมีสงคราม โรคระบาดและภัยพิบัติ นั่นคือวิธีการหนึ่งที่ให้คนสลายกรรม  บางคนทำบาปแล้ว  ก็สามารถสลายกรรมของเขาโดยผ่านการตายของกายเนื้อและความเจ็บปวด  จากนั้นเขากลับชาติไปเกิดอีกก็ไม่มีกรรมแล้ว  ชีวิตของเขาไม่ได้ตายไปจริงๆ  กลับชาติไปเกิดใหม่  แต่บางคนก่อกรรมหนักเกินไปแล้ว  ดังนั้นจึงเกี่ยวพันถึงธาตุแท้ของชีวิตเขา ล้วนจะต้องถูกทำลาย พวกรักร่วมเพศนั้นตนเองไม่เพียงละเมิดกฎเกณฑ์ที่เทพให้ไว้กับคน ยังทำลายกฎเกณฑ์ศีลธรรมของสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะคือเป็นตัวอย่างให้กับเด็ก ทำให้สังคมในอนาคตเป็นเหมือนภูติผี ก็คือปัญหานี้  แต่การทำลายชนิดนั้น  ไม่ใช่พูดว่าพอดับสลายแล้วก็ไม่มีแล้ว  เป็นการดับสลายทีละชั้นๆอย่างรวดเร็วมากในสายตาของเรา  แต่เขาอยู่ในสนามเวลานั้นกลับช้าอย่างยิ่ง  ถูกทำลายอย่างเจ็บปวดอย่างยิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า  ถูกดับสลายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่สุด  เป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน  คนควรมีชีวิตอยู่อย่างเปิดเผย  สง่างามสมกับเป็นคน  ไม่สมควรหลงระเริงกับจิตมาร  ทำตามอำเภอใจ

 

ศิษย์ – ผมคิดจะได้มรรคผลที่ถูกต้อง  เป้าหมายกำหนดไว้ที่มรรคผลอรหันต์   และจะไม่เป็นฝ่ายริเริ่มไปช่วยคนที่ไม่มีวาสนากับผม  รวมทั้งการหงฝ่า  ได้ทำผิดไปแล้วหรือไม่

อาจารย์ – ทำผิดแล้ว  นี่คือความคิดของคนที่ชั้นผิวของท่าน  พวกท่านทราบไหมว่า  พวกท่านแต่ละคนควรบำเพ็ญไปถึงที่ไหน  ท่านมีความสามารถแบกรับได้มากเพียงไร  ท่านมีกุศลมากเพียงไร  ท่านมีรากฐานของสสารมากเพียงไร  ข้าพเจ้าล้วนจัดวางให้ท่านไว้อย่างดีมาก  ท่านคิดจะจัดวางเส้นทางการบำเพ็ญนี้ให้กับตัวเอง  นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจสำเร็จได้  และไม่มีใครยอมรับ  เหตุใดท่านกำหนดตนเองไว้ในตำแหน่งอรหันต์นี้  เป็นเพราะขณะนี้ท่านเข้าใจฝ่าได้เพียงระดับนี้  ท่านมีจิตยึดติดมากมายที่ไม่คิดจะปล่อยวาง   ก็เพียงแต่พูดได้ว่าท่านเข้าใจฝ่าได้ระดับนี้เท่านั้นเอง  ดังนั้นท่านจึงรับรู้อย่างนี้  ในอนาคตเมื่อท่านเข้าใจฝ่าในระดับสูงได้แล้ว จำนวนรอบที่ท่านอ่านหนังสือของต้าฝ่ามากแล้ว ย่อมจะเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ของท่านได้อย่างแน่นอน  ท่านจะรู้สึกว่าปัญหาที่ตัวเองถามนั้นไม่ควรถาม   ในเวลานั้นท่านจะรู้สึกอายจนหน้าแดง  ขณะนี้ข้าพเจ้าได้แต่บอกท่านว่า ขณะนี้มัน(คือสิ่งที่)แทนรากฐานของท่านในปัจจุบัน  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ตำหนิท่าน  แต่วิธีการของท่านไม่ถูกต้อง  ย่อหย่อนต่อตนเอง จิตยึดติดที่ไม่อยากปล่อยวาง ทำให้ท่านยากจะก้าวหน้าได้

 

ศิษย์ – เมื่อเริ่มแรกที่เข้ามา(ในฝ่า) ผมได้ทุ่มเทมากและยังก้าวหน้าด้วย  แต่เมื่อไม่นานมานี้  ทันใดก็เกิดความสงสัยในต้าฝ่า และยังทำความผิด  ผ่านด่านไม่ได้  นี่เป็นกรรมทางความคิดหรือมารรบกวน
อาจารย์ – เหตุใดข้าพเจ้าบอกให้พวกท่านหวนคืนกลับสู่ความจริงแท้ดั้งเดิม  หวนคืนกลับสู่ความจริงด้วยจุดประสงค์อะไรละ  ก็คือคืนกลับสู่ตัวท่านเองอย่างแท้จริงที่นั่น  คนมีจิตยึดติดมากมาย  ทัศนคตินานาชนิด  อารมณ์ทั้งเจ็ด ตัณหาทั้งหก  ความคิดทั้งหมดล้วนอยู่ในสมองของท่าน  แต่ว่านี่ล้วนไม่ใช่ตัวท่าน  ข้าพเจ้าพูดว่าประตูนี้เปิดออกจนหมดแล้ว  ดูเพียงใจของพวกท่าน  ดูเพียงใจคน  สามารถจะบำเพ็ญได้หรือไม่ ยังสามารถจะมีความคิดอย่างนี้  จิตใจอย่างนี้ที่จะหวนคืนกลับสู่ความจริงแท้ดั้งเดิมหรือไม่  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกกับพวกท่าน  บรรดาสิ่งที่รบกวนความคิดของท่าน เป็นไปได้ว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่ตัวท่าน  กระทั่งมีหลายคนเมื่ออยู่ท่ามกลางผลประโยชน์ของคนธรรมดาสามัญ เขาก็ปล่อยวางไม่ลง หรือว่าเขาแยกแยะไม่ได้ว่าความคิดนั้นคือตัวเองหรือไม่  หากเขาถือเอาความคิดที่ไม่ดีว่าเป็นตัวเองด้วย  เราก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอีกต่อไป  เพราะเหตุใดละ  เพราะเมื่อคนถือเอาความคิดที่ไม่ดีเป็นตัวเองเสียแล้ว ทุกสิ่งของเรานี้ย่อมไม่อาจจะให้กับความคิดที่ไม่ดีนั้นได้เลย

 

ศิษย์ – ใน “จ้วนฝ่าหลุน” พูดถึง ผู้รู้แจ้งใหญ่ก่อตั้งจักรวาลตามคุณสมบัติพิเศษของตนเอง
อาจารย์ – ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  หลายคนได้อ่านหน้านี้แล้ว  อันนี้ชี้ถึง เรื่องที่เกิดขึ้นในจักรวาลของเขตแดนที่แตกต่างกัน  ที่บรรจุอยู่ในร่างนภาที่กว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลทั้งปวง  ร่างนภานี้ใหญ่เหลือเกินแล้ว  ไม่ใช่เรื่องของร่างนภาทั้งหมดที่ข้าพเจ้าพูดให้กับพวกท่าน  เหล่าผู้รู้แจ้งใหญ่ที่อยู่ในร่างนภาของระดับชั้นที่ต่างกันอู้ได้ถึงหลักการที่แตกต่างกันของต้าฝ่าแห่งจักรวาล เหล่าผู้รู้แจ้งใหญ่ด้วยกันในระดับชั้นเดียวกัน สิ่งที่อู้ได้ก็ไม่เหมือนกัน  เมื่อเกิดการเสื่อมไปของจักรวาลน้อยใหญ่ที่ต่างกันบางแห่งในร่างนภาที่กว้างใหญ่ไพศาล  จะมีทั้งผู้รู้แจ้งใหญ่ที่อู้ได้สูง  อู้ได้ถูกต้อง  ก่อตั้งจักรวาลชั้นนั้นขึ้นมาใหม่   ไม่ใช่หมายถึงร่างนภาทั้งหมดที่กว้างใหญ่ไม่มีประมาณซึ่งครอบคลุมจักรวาลในระดับชั้นที่แตกต่างกันจำนวนนับไม่ถ้วน

 

ศิษย์ – ในบทจิงเหวิน “สนทนากับกาลเวลา” ได้กล่าวถึงเทพไว้  จะเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับเทพได้อย่างไรบ้าง เขากับพระพุทธ เต๋า มีอะไรต่างกัน  เขาเกี่ยวข้องอะไรกับปฐมเทพ(เทพดั้งเดิม)

อาจารย์ – สิ่งทั้งปวงในจักรวาลที่มีพลังเหนือกว่าคนธรรมดาสามัญล้วนเป็นเทพ  ชีวิตขนาดใหญ่มหึมาที่ระดับจุลทรรศน์ซึ่งอยู่เต็มไปทั่วอวกาศ จำนวนนับไม่ถ้วนนั้น ล้วนเป็นเทพที่ไร้รูป  ก็คือแนวคิดอันนี้  เทพมีเขตแดนที่แตกต่างกัน  ยังมีชนิดต่างๆกันไป  พระพุทธเป็นเทพใช่หรือไม่  เต๋าเป็นเทพใช่หรือไม่  เรียกโดยรวมแล้วพวกเขาล้วนเป็นเทพ  เพียงแต่พวกเขามีจุดเด่นของการบำเพ็ญตนเองกับรูปลักษณ์  และก่อเกิดสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง  เขาจึงเรียกว่าเต๋า  เขาจึงเรียกว่าพระพุทธ  เขาจึงเรียกว่าเทพ  ทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาล ล้วนแต่มีความนึกคิด  มีชีวิต  ท่านพูดได้หรือว่าเขาไม่ใช่เทพ  เวลาในมิติใดๆล้วนควบคุมจำกัดการเกิดการเปลี่ยนแปลงของสสารทั้งปวงในมิตินี้อย่างใกล้ชิด  ท่านว่าเขาไม่ใช่เทพหรอกหรือ  เขาสามารถรู้ถึงความนึกคิดของชีวิตทั้งปวงที่มีอยู่ภายในขอบเขตที่เขาควบคุมอยู่  หากเขาคิดจะพูดก็สามารถพูดออกมาได้  หากเขาคิดจะรวมตัวขึ้นเป็นร่างคน เขาก็สามารถรวมขึ้นเป็นร่างคนได้  ท่านว่าเขาไม่ใช่เทพหรอกหรือ  ผู้คนเข้าใจกันว่าเวลาเป็นเพียงแนวคิดชนิดหนึ่ง  คือดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้ว   ตกลงไปแล้ว  ผู้คนขีดจุดไม่กี่จุดลงบนหน้าปัทม์นาฬิกา ใส่ตัวเลขกี่ตัวเข้าไป  นี่ก็คือเวลา   นี่คือรูปแบบนั้นที่แสดงออกมาของเวลาในสังคมคนธรรมดาสามัญ   รวมทั้งตะวันขึ้นและตกลง     ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน แม้แต่การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์  การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์  ล้วนเป็นการกำหนด จัดวางอย่างไม่มีการคลาดเคลื่อนของเวลาในมิตินี้

 

ศิษย์ – ดิฉันตั้งปณิธานไว้ว่าจะหยวนหมั่น  วันที่ท่านอาจารย์หยุดการถ่ายทอดฝ่า  ดิฉันยังจะมีฝ่าเซินของท่านอาจารย์คุ้มครองอีกหรือไม่

อาจารย์ – ที่จริงข้าพเจ้าไม่ถ่ายทอดฝ่าแล้ว เวลาที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่าอย่างเป็นระบบได้ผ่านไปแล้ว  ปัจจุบันข้าพเจ้าเพียงแต่มาร่วมฝ่าฮุ่ย และตอบปัญหาจำนวนหนึ่งให้กับพวกท่าน ผู้รับผิดชอบศูนย์มักจะมีความคิดอันหนึ่ง คืออยากจะให้ข้าพเจ้าบรรยายสูงขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง บรรยายให้พวกท่านมากอีกสักหน่อย  ที่ผ่านมาการถ่ายทอดฝ่าของข้าพเจ้าคือสิ่งสำคัญลำดับแรก วันนี้คือการบำเพ็ญ การยกระดับของพวกท่านคือสิ่งสำคัญลำดับแรก จะไม่มีฝ่าเซินดูแลได้หรือ  ในเวลาที่ฝ่าเซินของข้าพเจ้าไม่ดูแลนั้น พวกท่านก็หยวนหมั่นเรียบร้อยแล้ว   

ศิษย์ – ผู้ฝึกใหม่จำนวนหนึ่งที่เพิ่งได้ฝ่าอยากจะฟังเทป ดูวิดีทัศน์การบรรยายของท่านอาจารย์ที่อเมริกาเหนือเมื่อก่อนปี ค.ศ. ๑๙๙๘  เป็นอย่างมาก จะได้หรือไม่คะ 

อาจารย์ – ฝ่าที่ข้าพเจ้าไปบรรยายที่ประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งแรกตอนนี้มีหนังสือแล้ว ท่านไปอ่านหนังสือ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรับรู้ฝ่าของท่าน  หากท่านไปดูวิดีทัศน์ ในทางกลับกันอาจจะไม่ตรงกับท่าน เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าบรรยายมุ่งตรงต่อกลุ่มผู้ฝึกที่ฟังฝ่าอยู่ในสถานการณ์เฉพาะนั้น  ส่วนหนังสือนั้นมีลักษณะทั่วไป  ได้ผ่านการเรียบเรียงแล้ว  และจุดเด่นที่สุดจุดหนึ่งของการบรรยายฝ่าของข้าพเจ้านั้น ในการดูวิดีทัศน์พวกท่านคงจะเห็นกันหมดแล้ว  ในขณะที่ข้าพเจ้าพูด  พูด  พูด  ทันใดนั้นหัวข้อที่ข้าพเจ้าพูดก็เปลี่ยนไปแล้ว  ไปพูดเรื่องอื่นแล้ว  พวกท่านคงจะมีความรู้สึกอย่างนี้ทั้งนั้น  เพราะอะไรหรือ  เพราะขณะที่พูด พูด ข้าพเจ้าพบว่าผู้ฝึกต่างเข้าใจได้แล้ว  ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะพูดจบก็เข้าใจแล้ว  ดี  ข้าพเจ้าก็ไม่พูดแล้ว   ข้าพเจ้าก็ไปพูดเรื่องอื่นแล้ว   เพราะในวิดีทัศน์ของข้าพเจ้ามักจะเกิดเรื่องอย่างนี้บ่อยๆ  ดังนั้นท่านดูวิดีทัศน์นั้นกล่าวสำหรับท่านแล้ว มีปัญหามากมายไม่แน่ว่าจะดีกว่าการอ่านหนังสือ  ในทางกลับกันหนังสือจะดีต่อท่านมากกว่า  ก็คือความหมายเช่นนี้  มีหนังสือกับวิดีทัศน์อยู่พร้อมกันก็จะก่อให้เกิดการรบกวน ดังนั้นพอหนังสือการบรรยายฝ่าในที่ต่างๆตีพิมพ์ออกมา  บรรดาเทปบันทึกเสียง วิดีทัศน์ที่มีอยู่ก็ต้องทำลายทิ้ง  นี่ก็เพื่อปกป้องต้าฝ่า  ที่ปล่อยวางไม่ได้ คือฉิง(อารมณ์ความผูกพัน) ของคน

ศิษย์ – ผมกับภรรยาต่างบำเพ็ญต้าฝ่า  หลายเดือนก่อนเราทั้งสองฝันเห็นนกตัวใหญ่ที่สวยงามมากในเวลาไล่เลี่ยกัน  นกตัวนี้เข้าไปในตัวผมแล้วหายไป  และภรรยาผมกลับได้ยินเสียงนกตัวนี้ร้อง ขอเรียนถามว่านี่หมายถึงอะไร

อาจารย์ – ก็แค่นกตัวเดียว  ในแต่ละภพแต่ละชาติที่พวกท่านเวียนว่ายไปเกิด  ถึงจะเป็นเทพที่ลงมาจากระดับชั้นสูงมาก ชาตินี้ก็อาจจะเกิดเป็นคน  ชาติหน้าเกิดเป็นสัตว์  ในสังคมมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้   หากสิ่งที่ท่านมองเห็นครั้งแรกเมื่อเริ่มของการบำเพ็ญ นั่นอาจจะเป็นรูปร่างเดิมของพวกท่าน หรือเป็นภาพลักษณ์ของสถานที่ที่เคยอยู่แรกเริ่มที่สุด  หรือเป็นร่างคน  หรือเป็นร่างสัตว์  หรือคือสิ่งนี้ หรือคือสิ่งนั้น  นกบนสวรรค์ก็เป็นเทพ

 

ศิษย์ – ผู้บำเพ็ญจะกินยาบำรุง ได้หรือไม่

อาจารย์ – ท่านไม่ได้อ่านหนังสือ  ก็คือไม่ได้อ่านหนังสือ  ทุกท่านคิดดู  ผู้บำเพ็ญที่ร่างกายมีโรคจะไม่สามารถเกิดพลังได้  หรือพูดได้ว่า ร่างกายที่ไม่บริสุทธิ์ของท่านนั้นไม่อาจบำเพ็ญได้  ฉะนั้นเวลาที่ท่านบำเพ็ญจึงต้องชำระล้างร่างกายให้กับท่าน  ให้บรรลุถึงระดับที่บริสุทธิ์อย่างหมดจด จากนั้นเริ่มเกิดพลัง  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดว่าเราไม่รักษาโรค  แต่ข้าพเจ้าจะชำระล้างร่างกายให้กับผู้ที่บำเพ็ญจริงๆ   ร่างกาย   เช่นนั้นจะไม่มีโรค  ดังนั้นพวกเราล้วนคิดจะบรรลุถึงร่างอย่างนั้นในเขตแดนพระพุทธ  ท่านทานยาบำรุงจะสามารถบรรลุได้หรือ  ไม่ได้อย่างแน่นอน  เช่นนั้นท่านทานมันเพื่ออะไร  ของเล่นนี้ก็ไม่ใช่ของที่น่ากินชวนให้ลิ้มลอง  พวกเราอยู่ในขั้นตอนการบำเพ็ญก็ต้องทำให้ร่างกายท่านได้รับการชำระยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  บรรลุถึงภาวะที่เป็นปกติที่สุดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นสภาวะที่ดีที่สุด  นั่นคือสิ่งที่บรรลุไม่ถึงด้วยการทานยา  เช่นนั้นท่านไปทานยา ท่านมิใช่รู้สึกว่ายังไม่ไว้วางใจต่อการบำเพ็ญหรือ  ท่านเองก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อมันในฐานะผู้บำเพ็ญ ฉะนั้นเราจะปฏิบัติต่อท่านในฐานะผู้บำเพ็ญได้อย่างไร  คือเหตุผลนี้ใช่หรือไม่  ไม่ว่าจะเป็นยาจีนหรือยาฝรั่ง ล้วนเป็นยาทั้งนั้น  จุดนี้แน่นอน  จุดประสงค์ของท่านก็เพียงมีร่างกายที่แข็งแรง  แต่การบำเพ็ญของเรานั้นเลยล้ำไปไกลลิบลับจากอันนี้ ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้ ท่านจะทำอย่างไรละ

ศิษย์ – ดิฉันเป็นศิษย์ประเทศจีน ยังมีห้าคนไม่ได้มาด้วยเหตุต่างๆกัน  เหตุที่พวกเขาไม่ได้มาเป็นเพราะมารรบกวนหนักเกินไปหรืออาจารย์จัดวางไว้

อาจารย์ – รวมทั้งพวกท่านทั้ง ๕ คนนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้พวกท่านมา  เพราะอะไรละ  เมื่อสักครู่ข้าพเจ้าได้พูดแล้ว  ที่ผ่านมาการถ่ายทอดฝ่าของข้าพเจ้าเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง   วันนี้การบำเพ็ญ การยกระดับของพวกท่านคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง  ใจต้องอยู่ในการบำเพ็ญทั้งหมด บำเพ็ญไปอย่างจริงๆจังๆ  นี่คือสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่ง  พอใจคนว้าวุ้นขึ้นมา อยากจะหาข้าพเจ้าเอย  อยากจะฟังฝ่าเอย  เที่ยวตามไปทั่ว.... เช่นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของท่านแม้แต่น้อย  ประโยชน์สักนิดก็ไม่มี  เวลาที่จัดประชุมฝ่าฮุ่ยที่สิงคโปร์นั้น  คนจำนวนมากในประเทศ(จีน)อยากจะไป  ต่อมาข้าพเจ้าบอกกับศูนย์ใหญ่  ข้าพเจ้าว่าพวกท่านต้องประกาศแจ้งลงไป  บอกให้ศูนย์ช่วยฝึกสอนประกาศแจ้งต่อว่า อย่าได้บอกให้ผู้ฝึกเดินทางไปกันให้วุ่นวาย ไม่มีประโยชน์  เดิมทีในช่วงเวลานี้ฝ่าเซินได้จัดวางการบำเพ็ญให้กับท่านอย่างเป็นลำดับแล้ว พวกท่านกลับทำมันจนยุ่งเหยิง  เป็นไปได้มากว่าเมื่อผ่านการบำเพ็ญช่วงนี้แล้ว  จิตยึดติดจำนวนหนึ่งของพวกท่านจะสามารถปล่อยวางลงได้  ในด้านนี้สิ่งที่สมควรจะยกระดับขึ้นล้วนถูกทำจนยุ่งเหยิงแล้ว  ก็คือสาเหตุนี้  อย่ามัวแต่คิดว่าการยึดติดที่จะต้องทำอะไรให้ได้แต่ทำไม่สำเร็จว่าเป็นมารรบกวน

ศิษย์ – สามีของดิฉันไม่ได้ฝึกพลัง แต่เขาเคยอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”จบรอบหนึ่ง ดูวิดีทัศน์ที่อาจารย์บรรยายฝ่า แต่ตาทิพย์ของเขาเปิดแล้ว ยังมีความสามารถมองระยะไกลด้วย

อาจารย์ – นี่เป็นผลมาจากวาสนาของเขา   และเกินจี(รากฐาน)อาจจะไม่เลวด้วย  พออ่าน(หนังสือตาทิพย์)ก็เปิดแล้ว   พูดถึงว่าเขาศึกษาหรือไม่ บำเพ็ญหรือไม่นั้น   ทุกคนอยู่ในสังคมที่สลับซับซ้อนนี้ล้วนเปลี่ยนจนสลับซับซ้อนอย่างมากแล้ว พวกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคน  ในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้พวกท่านยังมาไม่ถึงโลกมนุษย์  จิตวิญญาณส่วนลึกของพวกท่านทั้งหมดก็ได้ฝังเมล็ดพันธุ์ที่จะได้ฝ่าในวันนี้ไว้แล้ว ในสังคมมนุษย์ข้าพเจ้าได้หาพวกท่านพบหลายครั้ง  เคยประทับตราให้กับพวกท่าน  สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดผลอย่างแรงกล้า  แต่ล้วนไม่อาจทำให้จิตยึดติดในหมู่คนธรรมดาสามัญลดอ่อนลง  ล้วนไม่อาจทำให้พวกท่าน เป็นเหมือนกับเมื่อตอนที่ได้พบฝ่าครั้งแรก ไอหย๋า ฉันรอมาหลายปีแล้ว ก็คือมาได้รับเขา(ฝ่า)  คนจำนวนมากไม่มีความรู้สึกเช่นนี้แล้ว  ดังนั้นจึงก่อให้เกิดสภาพที่บำเพ็ญครึ่งๆ กลางๆ  ไม่ค่อยก้าวหน้า  มีวาสนาได้ฝ่ากันหมดแล้ว  เขาก็วางจิตยึดติดชนิดนั้นๆไม่ลง  สภาพการณ์อะไรก็มีทั้งนั้น พอวาสนาหมดแล้วก็จบกัน

ศิษย์ – ตอนที่ท่านอาจารย์พูดถึงว่านจื้อฝู(สวัสดิกะ) “เหนือกว่าพระยูไลหนึ่งขั้นก็มีสองอัน”เหนือกว่าพระยูไลหนึ่งขั้นตรงนี้หมายถึงความสูงของเสาหลักพลัง(กงจู้)
อาจารย์ – นั่นหมายถึงซินซิ่งกับธรรมานุภาพ  ส่วนพลังเป็นปรากฏการณ์ชนิดหนึ่ง  ตรงนี้จะหมายถึงเสาหลักพลังก็ได้  แต่ต้องเป็นเสาหลักพลังหลังจากหยวนหมั่นเสานั้น ก็คือพูดว่าหลังจากหยวนหมั่นเสาหลักพลังของท่านสูงกว่าเสาหลักพลังของพระยูไลหนึ่งขั้น   ไม่นับเสาหลักพลังในระหว่างขั้นตอนการบำเพ็ญ  เพราะมันยังไม่ตายตัว  ยังไม่หยวนหมั่นส่วนอื่นของท่าน  เป็นเพียงรูปแบบชนิดหนึ่งที่คงอยู่ของพลังงาน แต่หากพูดจากจุดหนึ่งจุดใด(มัน)ก็แทนซินซิ่งและระดับชั้นในระหว่างการบำเพ็ญของท่าน

 

ศิษย์ – ในฝ่าฮุ่ยที่สิงคโปร์เวลาที่ศิษย์ปรบมือแล้วท่านอาจารย์จะใช้สองมือพนมแสดงตอบอยู่หลายครั้ง  แต่สมัยก่อน เมื่อบรรยายฝ่าอยู่จะใช้มือเดียวแสดงตอบ ตรงนี้มีความนัยระดับลึกอยู่หรือไม่

อาจารย์ – ข้าพเจ้ายกมือข้างเดียวสำหรับลูกศิษย์  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  เมื่อข้าพเจ้าเห็นจิตใจที่บริสุทธิ์และสภาพการณ์ที่ก้าวหน้าอยู่เสมอ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจจริงๆ  ข้าพเจ้าจึงชอบใช้สองมือ  ในสถานการณ์ทั่วๆไปอาจารย์ปฏิบัติต่อลูกศิษย์ล้วนแต่ใช้มือเดียว

ศิษย์ – ได้ยินว่าหากสามารถท่อง “จ้วนฝ่าหลุน” ก็จะสามารถมีต้าฝ่าในจิตหลักตลอดไป ไม่ว่าจะหยวนหมั่นหรือไม่ก็จะเหมือนกันหมด
อาจารย์ – ใครที่ต้องการแต่เพียงจดจำฝ่าแต่ไม่หยวนหมั่น  ท่องหนังสือเพื่ออะไร  มิใช่เพื่อหยวนหมั่นหรอกหรือ  เมื่อท่านท่อง “จ้วนฝ่าหลุน”ได้ ย่อมมีประโยชน์ต่อการยกระดับ  เพราะร่างกายท่านส่วนนั้นในระดับจุลทรรศน์กับคนที่ชั้นผิวที่สุดนี้ ต่างก็กำลังท่อง  แต่ไม่ว่าท่านจะท่องอย่างไร  คนที่ท่องได้แม่นยำมาก  เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ทันใดก็ท่องออกมาไม่ได้แล้ว  เพราะอะไรหรือ  เพราะส่วนนั้นที่เป็นด้านหลักของท่าน  ส่วนนั้นที่ท่องได้แล้ว เขาได้มาตรฐานแล้ว  ก็แยกออกจากท่านแล้ว ทันใดท่านจะรู้สึกว่า ไอหย๋า ทำไมฉันท่องไม่ได้แล้วละ เพราะส่วนนั้นที่ได้มาตรฐานแล้ว ได้ถูกกันออกไปแล้ว  ส่วนชั้นผิวของคนก็ท่องไม่ครบแล้ว  ก็ลืมแล้ว บ้างก็ลืมมาก บ้างก็ลืมน้อย จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น

            พวกเราหลายคนยังคงมีสภาวะนี้ ก็คือหูของเขาไวเป็นพักๆ  ตาทิพย์มองเห็นได้ชัดเจนเป็นพักๆ  ในเวลาไหนที่มองเห็นชัด มองเห็นได้ดีที่สุดละ  ก็คือในช่วงระยะเวลาหนึ่งเมื่อเขาบำเพ็ญได้ดีมาก  ยังไม่ถูกแยกออกไป ในเวลาที่จวนจะบรรลุถึงมาตรฐาน  จะมองเห็นได้ชัด หูก็ไว ร่างกายรู้สึกสัมผัสไว  พอถูกแยกออกไปแล้ว เขาพบว่ามันใช้ไม่ได้อีกแล้ว  ฉันตกลงมาแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดทุกอย่างล้วนไม่ดีไปหมดนะ  ไม่ใช่ตกลงมา  เป็นเพราะส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญได้ดีถูกแยกออกไปแล้ว  ส่วนที่เหลืออยู่คือส่วนนั้นที่ยังบำเพ็ญไม่เสร็จ  ดังนั้นจึงต้องบำเพ็ญต่อไป  ดังนั้นมันจึงรู้สึกได้ไว(ใช้ได้ดี)แบบเป็นพักๆ  เป็นสภาวะชนิดนี้  สภาพการณ์ชนิดนี้มีแต่บำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าจึงจะมีได้

 

ศิษย์ - ใช่ไหมว่าบำเพ็ญระดับชั้นยิ่งสูงยิ่งนอนน้อย

อาจารย์ – ไม่ใช่เช่นนี้  สภาพการณ์ชนิดนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงยกระดับของอณูของความคิดท่านเอง  แต่เป็นแบบพักๆ เรื่องที่ข้าพเจ้าพูดเมื่อสักครู่ก็รวมถึงด้านนี้ด้วย  ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วจะแยกออกมา  ชั้นผิวของท่านก็แสดงออกมาแบบปกติแล้ว ตราบจนก่อนเวลาที่ท่านจะหยวนหมั่นล้วนจะเป็นสภาวะนี้   นี่จะทำให้ท่านดำเนินชีวิตได้เหมือนกับคนธรรมดาสามัญ  แต่ด้านของคนจะยิ่งอ่อน(กำลัง)ลงไปเรื่อยๆ  เสริมกับที่ตนเองกำหนดตนเองให้สูง      บางทีการแสดงออกของ

ท่านในหมู่คนธรรมดาสามัญจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเช่นนี้

ศิษย์ – เวลากระชั้นมาก  นั่งขัดสมาธิเพชร(สองขา)ไม่ได้เสียที  จะทำอย่างไรดี

อาจารย์ – ไม่ต้องร้อนใจ  ก็ไม่เคยพูดว่าเวลาไม่พอใช้  แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าเวลาไม่พอใช้แต่อย่างใด  ให้ท่านรีบบำเพ็ญ ท่านเพียงสนใจฝึกต่อไป  แต่ท่านเองต้องทราบว่าต้องเข้มงวดต่อตัวเอง  ก็เป็นเช่นนี้  ที่จะนั่งขัดสมาธิขึ้นมาไม่ได้เลยนั้นกลับพบน้อยมากๆ และมีบางคนจิตหลักของเขาอยู่บนสวรรค์ไม่ใช่รูปลักษณ์ของคน  เป็นรูปลักษณ์อื่นของเทพ ฉะนั้นเขาไม่นั่งขัดสมาธิขา  บางทีมีปัจจัยนี้อยู่  แต่ว่าวันนี้เราพูดว่า เพราะท่านมีร่างคน มีกายเนื้ออยู่  ข้าพเจ้าคิดว่าล้วนสามารถขัดขาได้  นอกจากรายที่พิเศษจริงๆ   เราพูดกันเล่นๆ  พวกเราจำนวนมากที่กำลังนั่งอยู่นั้นบำเพ็ญได้ดีมาก  แต่พวกท่านนั่งขัดสมาธิขาไม่ได้  พระโพธิสัตว์เหล่านั้นบนสวรรค์จะป้องปากหัวเราะท่าน   เธอดูผู้บำเพ็ญ

คนนั้น ขายังขัดสมาธิขึ้นมายังไม่ได้เลย

ศิษย์ – เรียนเชิญท่านอาจารย์พูดถึง แนวคิดของจิตยึดติด

อาจารย์ – ด้วยเหตุอะไรที่ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นความจริงของจักรวาล  เพราะอะไรมิตินี้จึงเป็นวังวน  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ในฐานะคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง  สิ่งต่างๆที่มองเห็นในมิติของสังคมคนธรรมดาสามัญ  สิ่งที่สัมผัสได้กับความรู้ต่างๆที่เรียนอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญล้วนแต่จำกัดท่านเอาไว้ ปิดคลุมท่านเอาไว้   ท่านรับรู้ต่อความรู้ของมิตินี้  ต่อสิ่งต่างๆในมิตินี้ยิ่งแจ่มชัดเท่าไร ดูเหมือนว่าเมื่อยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็ยิ่งปิดคลุมตนเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกท่านก็รู้สึกว่าสิ่งที่เข้าใจกันในมิติของคนธรรมดาสามัญก็คือสัจจะ ที่จริงเป็นไปได้มากว่ามันผิด มันกลับกัน ดังนั้นหากพวกท่านไม่ปล่อยวางบรรดาสิ่งเหล่านั้นที่รู้จักในสังคมคนธรรมดาสามัญละก็ ท่านก็จะมองไม่เห็นความจริงของจักรวาล โดยเฉพาะคือสิ่งที่พวกเรามนุษย์ปล่อยวางไม่ได้ เพื่อการดำรงอยู่ เพื่อการปกป้องตัวเอง เพื่อจะให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์มากขึ้นของตนเอง ข้าพเจ้าเรียกมันรวมๆ กันเป็นจิตยึดติดทั้งหมด จิตยึดติดเหล่านี้เหมือนกุญแจที่แน่นหนาที่คุมขังท่านเอาไว้ บนหนทางที่ท่านก้าวไปข้างหน้า กุญแจทุกๆ ตัวท่านล้วนต้องไขมันให้เปิดออก ไขไม่ออกมันก็จะคุมขังท่านเอาไว้ ทำให้ท่านหลงทางหลงผิด ท่านจึงมองไม่เห็นความจริง นอกจากนี้บนหนทางที่ท่านกำลังหวนคืนสู่ต้นกำเนิดและตัวตนที่แท้จริงของท่าน ท่านไขกุญแจเหล่านี้ไม่ออก ท่านก็เดินข้ามไปไม่ได้ นี่ก็คือด่าน ทุกสิ่งที่ท่านยึดติด นี่ก็คืออุปสรรคของท่าน ด่านเหล่านี้ที่ต้องพบในระหว่างการบำเพ็ญนั้น ที่จริงนั้นก็คือทุกข์ภัยของท่านเอง จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าใช้มันก็คือ ให้ท่านไขกุญแจของจิตยึดติดของท่านให้ออก ให้ท่านสามารถมองเห็นความจริง ทำให้ความนึกคิดของท่านสามารถเลื่อนสูงขึ้นไปได้

ศิษย์ – จะเข้าใจอย่างไรว่าจิตยึดติดทั้งหมดล้วนปล่อยวางได้แล้ว

อาจารย์ - ก็คือปล่อยวางจิตนานาชนิดในมิติของคนธรรมดาสามัญที่ปล่อยวางไม่ได้   เนื่องจากวิธีการบำเพ็ญของท่านในวันนี้ล้วนไม่เหมือนกับวิธีการบำเพ็ญที่เคยมีมาในอดีต ข้าพเจ้าทราบว่าจะมีคนมากมายมาศึกษา  ดังนั้นมันจะก่อเกิดเป็นรูปแบบสังคมชนิดหนึ่ง  ในอนาคตยังจะมากยิ่งขึ้นอีก  ฉะนั้นมันจึงก่อเกิดเป็นรูปแบบสังคมนี้---กลุ่มผู้บำเพ็ญ  จึงจะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก  หากแต่ละคนล้วนบำเพ็ญโดยเปิด(พลัง) ล้วนแต่มีอิทธิฤทธิ์ เช่นนั้นแล้วรูปแบบทั้งหมดของสังคมก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง  นั่นมันก็จะไม่เหมือนสังคมของมนุษย์แล้ว  จะเหมือนสังคมของเทพ  เป็นอย่างนี้ไม่ได้  เพราะสังคมมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้   ดังนั้นเราจึงอาศัยสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญอย่างนี้บำเพ็ญอยู่ในนั้น  พวกเราไม่เพียงไม่ทำลายสภาพแวดล้อมนี้  ในขณะเดียวกันในระหว่างที่บำเพ็ญเรายังต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมนี้   เพราะหากท่านไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมนี้ ท่านก็ไม่มีทางจะบำเพ็ญได้ วันนี้รูปแบบที่เราเลือกใช้ก็เป็นเช่นนี้  วันนี้มีคนนับร้อยล้านกำลังบำเพ็ญต้าฝ่า  ถ้าล้วนออกบวช  ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเต๋า  ล้วนเป็นภิกษุ  นั่นก็ไม่ไหว  เช่นนั้นในอนาคตมีคนมากยิ่งขึ้น  เช่นนั้นแล้วสังคมนี้จะทำอย่างไรกัน   ใครจะเลี้ยงดูท่าน  ทุกท่านมาบำเพ็ญกันหมด  นี่ก็ไม่ไหว  ดังนั้นเราต้องพยายามทำให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญ   เรานั้นอาศัยรูปแบบสังคมชนิดนี้ของคนธรรมดาสามัญในการบำเพ็ญ  ดังนั้นจึงต้องสอดคล้องกับมัน

พวกท่านต่างต้องมีงานทำอย่างหนึ่ง   ต่างต้องมีสภาพแวดล้อมอันหนึ่ง  กระทั่งครอบครัวหนึ่ง  ยังมีญาติสนิทมากมายในสังคมคนธรรมดาสามัญ ด้านต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของรูปแบบที่เราสามารถสอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญ  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็สร้างโอกาสที่ดีของการบำเพ็ญให้เรา  มอบสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญให้  เพราะพวกท่านนั้นบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ฉะนั้นถึงแม้จะบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  สัมผัสอยู่กับวัตถุสิ่งของด้านนี้  และสามารถพูดได้ว่าเป็นการครอบครองวัตถุละกัน ในด้านนี้เราก็พยายามให้สอดคล้องกับสภาพสังคมของคนธรรมดาสามัญ  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  ที่พวกท่านไม่เหมือนกับคนอื่น  เพราะว่าพวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  ใจของพวกท่านไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้  พวกท่านสามารถมีเงินมากมาย  สามารถมีครอบครัว  สามารถมีทรัพย์สมบัติของท่าน สามารถมีสิ่งของมากมาย  แต่ พวกท่านต้องปล่อยวางจิตดวงนั้น  นี่ก็คือวิธีการบำเพ็ญของพวกท่าน

ฉะนั้นบรรดาสิ่งที่ระบุอยู่ในนี้ล้วนปล่อยวางหมด  ก็หาใช่จะพูดว่าต้องปล่อยวางสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของ จึงจะนับว่าปล่อยวาง  ตรงกันข้าม  หากท่านปล่อยวางสิ่งที่เป็นวัตถุลงทั้งหมดแล้ว  แต่ในใจท่านยังวางไม่ลง  อาลัยอาวรณ์ไม่มีหยุด ตัดไม่ขาด ยังคิดถึงอยู่เสมอ  บางครั้งด้วยเหตุนี้ยังกระทบต่อการบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าว่านั่นไม่ใช่การปล่อยวาง  นั่นคือการฝืนปล่อยวาง  ดังนั้นการมองสิ่งที่เป็นวัตถุชั้นผิวให้จืดจางมากๆนั่นคือรูปแบบ ข้าพเจ้าว่ามูลเหตุที่สามารถจะบำเพ็ญขึ้นมาได้อย่างแท้จริง คือเป็นเพราะใจคนเกิดการเปลี่ยนแปลง ใจนี้บรรลุถึงมาตรฐานแล้ว เขตแดนความคิดของคนบรรลุถึงมาตรฐานแล้ว  จึงจะบำเพ็ญขึ้นมาได้จริง  พวกเรามองสิ่งที่เป็นวัตถุอย่างจืดจางมาก ท่านจะมีหรือไม่มี(สิ่งนั้น)ก็ไม่เป็นไร  ที่สำคัญคือใจของท่านปล่อยวางได้หรือไม่  สามารถยกระดับขึ้นมาได้ไหม  นี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง และรูปแบบการบำเพ็ญทั้งหมดของเรา ล้วนเป็นการจัดวางเพื่อให้บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้ ทำอย่างไรให้ท่านก้าวหน้าได้ พลังก็ไม่ลดถอยลงมา จัดวางทั่วทุกด้าน  ล้วนสอดคล้องกับรูปแบบการบำเพ็ญชนิดนี้ของเราในวันนี้  ดังนั้นปีนั้นที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นถ่ายทอดฝ่านั้นเทพเหล่านั้นล้วนพูดว่า นี่คือ “ต้าฝ่าแห่งคุณธรรมอันสูงส่ง”พวกเขาต่างรู้สึกว่าดีมาก

 

ศิษย์ - วิธีการเผยแพร่ต้าฝ่าควรจะทำให้เหมาะสมกับชาวยุโรปหรือไม่

อาจารย์ – ในฐานะผู้บำเพ็ญ หลังจากได้รับฝ่านี้แล้ว  ทำอย่างไรที่จะให้เขาแพร่หลายกว้างขวางออกไป  ให้คนมากยิ่งขึ้นได้มาเรียน  นั่นคือความมุ่งหวังที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นยุโรปก็ดี  ทางตะวันออกก็ดี  ไม่ว่าท่านจะไปเผยแพร่อย่างไร  คนที่ไม่มีวาสนานั้นยากที่จะมาเรียน  อะไรคือคนที่มีวาสนาละ  เนื่องจากเรื่องวาสนานี้ข้าพเจ้าเคยพูดไว้แล้ว ฉะนั้นจะค้นหาคนที่มีวาสนาเหล่านี้ได้อย่างไร บอกว่าฉันลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์หาใครที่เป็นคนมีวาสนา  นั่นไม่มีประโยชน์  แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ทุกท่านจะต้องแจ่มชัด พวกเราจนกระทั่งผู้ฝึกใหม่ ในใจตนเองย่อมจะเข้าใจกันหมด  บางคนเมื่อท่านพูดกับเขาว่า “ฝ่าหลุนกง”สามคำ หรือท่านพูดว่า “จ้วนฝ่าหลุน”ทันใดเขาก็รู้สึกสะดุ้ง หรือรู้สึกตื่นเต้นดีใจ  เขาอยากเรียนในทันที  นี่เป็นไปได้ว่าคือคนที่มีวาสนา  บางคนท่านจะพูดกับเขาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจ  เขาอาจจะไม่ใช่ผู้ที่มีวาสนา.... 

ฉะนั้นพูดถึงจะเผยแพร่อย่างไรและวิธีการเผยแพร่  ที่จริงวิธีการที่ดีที่สุดก็คือผู้ฝึกเราฝึกพลังอยู่ในที่สาธารณะ ให้คนเหล่านั้นที่มีวาสนาสามารถหาเจอ  อีกอย่างก็คือให้หนังสือต้าฝ่าของเราที่อยู่ในร้านหนังสือของชนชาติต่างๆ  ประเทศต่างๆ เป็นที่พบเห็น  ข้าพเจ้ามีฝ่าเซินมากมาย  เขามองทีเดียวก็เห็นได้ว่าใครที่มีวาสนา ใครที่ควรจะได้ฝ่า  หากในร้านหนังสือเรามีหนังสือ  ในสวนสาธารณะมีผู้ฝึกเราฝึกพลังอยู่  เขาสามารถหาคนที่มีวาสนา นำพาคนๆนี้ไปพบฝ่านี้  หากไม่มีสภาพแวดล้อมอย่างนี้   ก็จะก่อให้เกิดความยากลำบากอย่างหนึ่ง  ไม่ว่าเขาจะเลือกวิธีการใด  เขาก็จะหาหนังสือพบ  จากนั้นได้อ่านหนังสือแล้วเขารู้สึกว่าดี  เพราะเขามีวาสนาใช่ไหม  เขาจะต้องรู้สึกว่าดี  เขาก็จะไปค้นหา  พอไปค้นหาในสวนสาธารณะเรามีผู้ฝึกพลัง  นี่ก็จะหาพบแล้ว นับแต่ที่ข้าพเจ้าเริ่มถ่ายทอดฝ่าจนกระทั่งถึงวันนี้  คนจำนวนมากล้วนได้กันอย่างนี้  แต่ว่าคนจำนวนมากนั้นได้ฟังผ่านการชี้แจงของผู้ฝึกเรา  เขารู้สึกว่าดี  จึงบอกให้ญาติมาเรียน  ถ้าตนเองรู้สึกว่าไม่ดี ย่อมจะไม่บอกให้กับญาติมาให้ถูกต้มด้วย(หลงกล)อย่างแน่นอน   ก็เพราะว่าตนเองรู้สึกว่าดี จึงบอกให้ญาติมาเรียน  เช่นนั้นพอญาติรู้สึกว่าดีแล้ว  เขาก็บอกกับญาติมิตรคนอื่นอีก   โดยผ่านการเข้าใจและซาบซึ้งของเขา  ผู้ฝึกเองไปพูดถึงความรู้สึกของเขา  ก่อให้เกิดความประทับใจอย่างมากต่อคน  เขาย่อมจะไม่โป้ปดญาติของตัวเอง  และจะไม่โป้ปดเพื่อนของตน  ดังนั้นเพื่อนของเขาย่อมจะเชื่อ  ในเมื่อเขาเชื่อถืออย่างที่ว่า เขาก็มาเรียน  เขาย่อมจะมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน  นี่คือวิธีการเผยแพร่ต้าฝ่า 

          แต่ก็มีคนจำนวนน้อยที่ได้เห็นบทความที่ผู้ฝึกเราลงในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร  ต่อมาได้ฝ่า  การได้ฝ่าอย่างนี้ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อวานแล้วว่า ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้านวิธีการแบบนี้  แต่มันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นนะ ก็คือคนระดับสูงสามารถมาได้  คนระดับล่างก็สามารถมาได้  และคนที่มี(เปลี่ยนมีเป็นมา)ต่างมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน มาด้วยสภาพจิตใจนานาชนิดก็มีได้ทั้งนั้น  ดังนั้นบางคนฝึกอยู่ชั่วระยะหนึ่งเขาก็ไปแล้ว เช่นนั้นเขาอาจเป็นคนระดับล่าง หรืออาจเป็นว่าเขาไม่อยากจะได้ หรือไม่สมควรได้  มักจะเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น  ผู้ฝึกเองเขียนบทความหนึ่งลงในหนังสือพิมพ์ ส่งเป็นข่าวสารแบบหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี   ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้าน  เพราะมันทำให้คนที่มีวาสนามาได้จริงๆ  คนระดับสูงก็มาเมื่ออ่านหนังสือพิมพ์  ก็เป็นด้วยเหตุนี้  มันก็สามารถเกิดประโยชน์  แต่ว่ากระแสหลักก็คือวิธีการสองอย่าง  หนึ่งคือในร้านหนังสือมีหนังสือ(ต้าฝ่า) มีศูนย์ฝึก ฝ่าเซินพาเขาไปค้นหา อีกอย่างคือผ่านฝ่าฮุ่ยกับความรู้สึกของผู้ฝึกเราที่เล่าให้กับญาติฟัง  ด้านหลักคือสองวิธีการนี้ที่มีคนมากันค่อนข้างมาก  และมีคุณภาพสูง   ฉะนั้นสำหรับวิธีการอื่น ไม่ว่าจะเป็นทางตะวันออก  ทางตะวันตก  ข้าพเจ้าเห็นว่าที่เป็นหลักคือสองวิธีการนี้  ในระยะแรกพวกเราในสถานที่หลายแห่งนั้น ผู้คนยังไม่รู้จักฝ่าหลุนกง  เช่นนั้นเราแนะนำเขา(ฝ่า)ให้กับคนอื่น เลือกใช้หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารจำพวกนี้  เขียนบทความหนึ่ง ทำกันอย่างนี้  แน่ละก็เป็นการเผยแพร่ฝ่า จุดนี้แน่นอนทีเดียว 

 

ศิษย์ – ผมเป็นชาวผิวขาว  ในเวลาที่ท่านพบกับการทดสอบ  ควรยอมรับการทดสอบนี้ หรือให้มันผ่านไป

อาจารย์ – “ในเวลาที่ท่าน....” นั่นคือหมายถึงข้าพเจ้า ใช่ไหม   มีเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เรื่อง

นี้ถามได้ดีมาก  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะพูดเรื่องนี้กับทุกท่านให้ชัดเจน

            ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  วันนี้ไม่ว่าจะมีกี่คนบำเพ็ญต้าฝ่า  ข้าพเจ้าจะมีผู้ฝึกมากแค่ไหน  ศิษย์เอย พวกท่านต่างเป็นผู้บำเพ็ญ  ใครก็ไม่พ้นไปจากนี้  ดังนั้นพวกท่านทั้งหมดกำลังบำเพ็ญอยู่  บำเพ็ญได้ดีหรือไม่ดี  ก้าวหน้ากับไม่ก้าวหน้า  ระดับชั้นสูงกับไม่สูง  พวกท่านล้วนต้องกำหนดตัวเองอย่างเข้มงวดไปบำเพ็ญ ถือตนเองเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ ข้าพเจ้าไม่ได้มาบำเพ็ญ  จุดนี้พวกท่านทุกคนต้องแยกแยะให้ชัด  ข้าพเจ้าไม่มีทุกข์ภัยของตนเอง  ข้าพเจ้าก็ไม่มีองค์ประกอบของการบำเพ็ญเหมือนกับพวกท่าน  มีอยู่จุดหนึ่งข้าพเจ้าสามารถบอกพวกท่าน  เนื่องจากข้าพเจ้าถือว่าพวกท่านเป็นศิษย์  ข้าพเจ้าก็กำลังช่วยเหลือพวกท่าน  ช่วยเปลี่ยนแปลงพวกท่าน  ฉะนั้นเมื่อมองจากจุดนี้  ระหว่างข้าพเจ้ากับพวกท่านย่อมไม่เหมือนกัน  ความยุ่งยากทั้งหลายที่พวกท่านประสบ พวกท่านต้องถือว่ามันคือการบำเพ็ญ  เพราะมันคือการบำเพ็ญอย่างแน่นอน  หากข้าพเจ้าตรงนี้เกิดความยุ่งยาก  ก็คือการรบกวนต่อฝ่า  ก็คือการประทุษร้ายต่อฝ่า  เหตุใดจึงมองเช่นนี้ละ  จักรวาลนี้คงอยู่มาแต่เดิมแล้ว  จุดมุ่งหมายที่ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้คือการเจิ้งฝ่า  สรรพชีวิตของจักรวาลได้เบี่ยงเบนไปจากฝ่าแล้ว  ดังนั้นจึงต้องเจิ้งฝ่า  ข้าพเจ้ามักพูดกับพวกท่านประโยคหนึ่งก็คือ  นี่คือสิ่งที่ไม่อาจพบได้ในรอบหมื่นปี  แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้  มีการถ่ายทอดต้าฝ่าของจักรวาลทั้งมวลในโลกมนุษย์  เป็นฝ่าที่เทพในอดีตก็ไม่อาจรู้ได้

ในช่วงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานชีวิตนับวันยิ่งไม่บริสุทธิ์   ทุกสิ่งล้วนกำลังเบี่ยงเบน   หากเป็นเช่นนี้เนิ่นนานไปแม้แต่จุดฐานที่สุดของ เจิน ซั่น เหยิ่น ก็จะเบี่ยงเบนไปหมด  นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก  แต่ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของชีวิตในจักรวาล  ข้าพเจ้าต้องการจะรักษาชีวิตแต่ดั้งเดิม  ไม่เกิดรูปแบบของการดับสลายชนิดนี้  ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดนี้และก็ได้มาแล้ว  (เสียงปรบมือ) ฉะนั้นเมื่อมาแล้ว ข้าพเจ้าได้ปรากฎออกมาโดยนำรูปแบบชนิดนี้ที่ดั้งเดิมที่สุด งดงามที่สุด และสวยงามบริบูรณ์ยิ่งกว่าตอนเริ่มแรกทั้งหมดติดมาด้วย  และทุกท่านทราบว่า  ฝ่าหลุนนั้นเขาหมุนอยู่  ฝ่าหลุนนั้นที่พวกท่านมองเห็นเขาเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของชั้นผิวของฝ่าหลุน เขายังมีด้านของฝ่าซึ่งพวกท่านมองไม่เห็น  เขาหมุนอยู่ตลอด  ปรับแก้กลไกบังคับโดยอัตโนมัติ  นำทุกสิ่งหวนกลับขึ้นไปสู่สภาพดั้งเดิมที่สุด  ดีที่สุด  สสารทั้งปวง  ชีวิตทั้งปวงล้วนเป็นอย่างนี้คือ จากระดับจุลทรรศน์จนถึงชั้นผิว  ทั้งหมดล้วนกำลังหมุน  กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ข้าพเจ้าสร้างสรรและฟื้นคืนทั้งหมดนี้แล้ว และยังหล่อหลอมให้สมบูรรณ์อย่างต่อเนื่อง  ข้าพเจ้าไม่มีปัญหาของการบำเพ็ญ  เรื่องนี้ที่ข้าพเจ้าทำนั้น ทั้งหมดที่ต้องการแก้ไขก็คือผลจากอุปสรรคของอิทธพลชั่วร้ายที่ก่อเกิดขึ้นหลังจากที่ชีวิตของจักรวาลไม่บริสุทธิ์แล้ว ในขณะเดียวกัน ยังมีกรรมที่ตัวสรรพชีวิตเองในสังคมคนธรรมดาสามัญก่อขึ้นซึ่งนำความยากลำบากมาให้ข้าพเจ้า  คำพูดหนึ่งที่ข้าพเจ้ามักพูด อยู่เสมอ ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าทราบว่าเหตุใดพระเยซูจึงถูกคนตรึงไว้บนไม้กางเขน  ข้าพเจ้าพูดว่าเหตุใดพระพุทธศากยมุนีจำเป็นต้องนิพพาน  เหลาจื่อทิ้ง บทความ“ห้าพันคำ”แล้วจากไปอย่างเงียบๆ  อาทิเช่นคนๆหนึ่งมาอยู่ในโลก  เวียนว่ายมาเกิดใหม่ในชาติภพต่างๆ  ท่านไม่ทราบว่ามีกี่ชาติ กี่ภพแล้ว  แต่ว่าในแต่ละชาติ  แต่ละภพล้วนติดค้างหนี้คนอื่นไว้มากมาย  เคยทำเรื่องที่ไม่ดีไว้  มีหลายคนเขามาจากระดับชั้นที่ต่างกัน  จุติมาเกิดบนโลก  เช่นนั้นแล้วเวลาที่พวกเขาลงมาทีละก้าวๆนั้นล้วนเคยทำเรื่องที่ผิดไป   หรือพูดว่าพวกเขาล้วนเคยอยู่ในระดับชั้นสูงที่ต่างกัน  แล้วเหตุใดจึงอยู่ในมิตินั้นไม่ได้ละ  เพราะเมื่ออยู่ที่นั่นพวกเขาก็ทำเรื่องไม่ดีอีก  ก็ตกลงมาอีก  ยังทำเรื่องไม่ดีอีก ก็ตกลงมาอีก    เช่นนั้น

เรื่องไม่ดีที่เคยทำไว้บนสวรรค์ บรรดาหนี้ที่ติดค้างไว้ ก็คือการติดค้างต่อเทพ

            คนๆหนึ่งคิดจะกลับไปสู่สวรรค์  เทพบนสวรรค์ล้วนจะไม่ยอมนะ  ไม่มีอาจารย์สอน ไม่มีอาจารย์ดูแล  ต่อให้ท่านมีความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ก็ไม่อาจกลับไปได้ตลอดกาลแล้ว  เพียงแต่ท่านมาถึงโลก  ไม่มีอาจารย์อย่างนั้นที่ช่วยเหลือคนได้อย่างแท้จริงมาดูแล  นั่นก็ไม่อาจจะกลับไปได้อีกแล้ว  เพราะถึงแม้ว่าท่านสามารถชดใช้กรรมในโลกได้จริง  ทว่าท่านก็ชดใช้หนี้บนสวรรค์ไม่ได้เลย  พระเยซูท่านจะช่วยเหลือคน  เกิดจิตมหาเมตตาท่านไม่สนใจสิ่งเหล่านี้  ฉะนั้นท่านจึงต้องแก้ปมแห่งกรรมที่แก้ไม่ออกเหล่านั้นซึ่งติดอยู่บนตัวคน  แต่ว่าจักรวาลนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่าไม่เสียก็จะไม่ได้  ท่านได้ก็ต้องเสีย  ที่ติดค้างไว้จึงต้องใช้คืน  นี่คือเรื่องเด็ดขาดแน่นอน  เป็นหลักการที่ไม่เปลี่ยนตลอดกาลอย่างแน่นอน  ในเมื่อนั้นท่านปลดปล่อยให้คนๆนี้ออกมาแล้ว  เช่นนั้นแล้วบัญชีหนี้ที่คนนี้ติดค้างใครจะชดใช้ละ  ฉะนั้นบัญชีเหล่านี้  บรรดาหนี้เหล่านี้ที่ติดค้าง  ย่อมตกสู่ร่างกายของพระเยซูโดยปริยาย  ท่านแก้แทนพวกเขา  เช่นนั้นท่านก็ชดใช้แทนพวกเขาเถอะ บรรดาปมทั้งหมดที่แก้ไม่ได้  บรรดาสิ่งที่ติดค้างอยู่ทั้งหมด ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นไม่มีทางสลัดพ้นสิ่งนี้อย่างแท้จริง  ล้วนผูกพันอยู่บนร่างพระเยซู เพราะพระองค์อยู่บนโลกใช่ไหม  หนี้กรรมของระดับชั้นต่างๆกันก็มีทั้งนั้น  ก็คือไม่เพียงแต่หนี้ของคนที่ตรงนี้  สุดท้ายถึงระดับไหนละ  คนที่พระองค์ช่วยยิ่งมาก ปมที่อยู่บนร่างกายพระองค์ก็ยิ่งมาก  จึงไม่มีทางสลัดพ้น  พระองค์ก็ไม่มีกำลังที่จะไปทำเรื่องเหล่านี้ ปมที่แก้ไม่ออก  เช่นนั้นสุดท้ายหนา  พระเยซูก็ช่วยคนเหล่านี้แล้ว ร่างกายคนของตนเองก็หลุดพ้นออกมาไม่ได้แล้ว   ฉะนั้นพระเยซูจึงได้แต่สละทิ้งร่างกายนี้  ชดใช้หนี้กรรมนี้จนหมดแทนพวกเขา กรรมของชีวิตจำนวนมากมาย ความเคียดแค้นที่หนักหนามาก ล้วนตกอยู่ที่พระเยซูตรงนี้ เอาละ ข้าชำระแทนเหล่าสานุศิษย์ก็แล้วกัน จึงถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน ตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ปมทั้งหมดล้วนผูกอยู่บนกายเนื้อ เมื่อกายเนื้อตายไปก็สลัดทิ้งไป เมื่อร่างกายนี้ถูกสลัดทิ้งไป พระเยซูจึงหลุดพ้นแล้ว นี่ก็คือเหตุใดพระเยซูจึงต้องถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เหตุใดผู้คนพูดว่า พระเยซูแบกรับทุกข์ภัยแทนคน ก็คือมูลเหตุอันนี้

            ทุกท่านมองเห็นแล้ว  มีคนมากมายมาศึกษาฝ่านี้  ในอนาคตจะยิ่งมาก  ฉะนั้นพวกท่านทราบว่าหากจะบำเพ็ญ  เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องให้ผู้ที่เป็นอาจารย์มาทำ  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เหมือนกับพวกเขา  เพราะพระเยซูก็ดี  องค์ศากยมุนีก็ดี พวกเขาโดยแก่นแท้ก็คือผู้รู้แจ้งในขอบเขตที่เล็ก  ข้าพเจ้าไม่อยู่ในจักรวาล  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงสามารถแก้ไขเรื่องของชีวิตที่ต่างกันของร่างนภาของจักรวาลที่ต่างกันในระดับชั้นที่ต่างกัน  ข้าพเจ้าพูดว่า ที่ข้าพเจ้าช่วยเหลือคนนั้นหาใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง  แต่มันคือชีวิตระดับชั้นที่รวมอยู่ เป็นชีวิตระดับชั้นหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ  ที่แท้แล้วข้าพเจ้าไม่มีทุกข์ภัยใดๆเลย  ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเลย  บรรดาความยุ่งยากที่ข้าพเจ้าตรงนี้ประสบนั้นมีน้อยมากที่ปรากฏอยู่ในฝั่งนี้ของคนธรรมดาสามัญ  มีจำนวนมากมายที่พวกท่านล้วนไม่ทราบ  ข้าพเจ้าสามารถสลัดพ้นเรื่องนี้  เพราะข้าพเจ้าไม่อยู่ในนั้น  ข้าพเจ้าไม่เหมือนพวกเขาที่สลัดไม่พ้นเช่นนั้น  ข้าพเจ้าสามารถสลัดพ้น  แต่ยากลำบากมาก  ซึ่งชีวิตใดๆของพวกท่านล้วนไม่อาจจินตนาการได้  ข้าพเจ้าสามารถปล่อยวางทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีอยู่อย่างถึงที่สุด  ดังนั้นข้าพเจ้าสามารถแก้ทั้งหมดนี้ออกได้ (เสียงปรบมือ)

เมื่อสักครู่ที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าพเจ้าเลยขอถือโอกาสเน้นย้ำสักคำ  ข้างตัวข้าพเจ้ามักมีผู้ฝึกจำนวนหนึ่งติดตามข้าพเจ้า  ในแต่ละที่ก็มีผู้รับผิดชอบจำนวนหนึ่ง  ผู้ดูแลหรือผู้รับผิดชอบอื่นๆ  พวกท่านต้องเข้าใจอยู่จุดหนึ่ง  บรรดาสิ่งที่ท่านประสบทั้งหมดล้วนเป็นการข้ามด่าน แต่พวกท่านไม่อาจเป็นตัวแทนอาจารย์  เรื่องใดๆก็ตามพวกท่านต้องทราบว่า เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมแล้ว  พวกท่านต้องยืนอยู่ในมุมของข้าพเจ้าไปพิจารณาเรื่องนี้  นี่คือปัญหาที่พวกท่านมองข้ามในอดีต  หากพูดว่าได้สร้างความยุ่งยากให้กับข้าพเจ้าแล้ว นั่นก็คือการเจาะจงประทุษร้ายต่อฝ่านี้   ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับการข้ามด่านของพวกท่านโดยสิ้นเชิง  นี่ไม่ใช่ว่าอาจารย์กำลังบำเพ็ญอย่างแน่นอน หรือว่าอาจารย์กำลังข้ามด่าน  แต่เป็นการเจาะจงประทุษร้ายฝ่าและจักรวาล  ดังนั้นจึงไม่อาจมองเป็นลักษณะเดียวกัน  จุดนี้จะต้องแจ่มแจ้ง  ในขณะที่ข้าพเจ้าจัดการปัญหาอยู่  ข้าพเจ้าจะปฏิบัติต่อมันในฐานะมารที่แท้จริง  แต่พวกท่านจะทำอย่างนี้ไม่ได้  เรื่องใดๆที่พวกท่านประสบล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการบำเพ็ญของพวกท่าน  ดังนั้นพวกท่านต้องถือว่ามันคือการบำเพ็ญ  ล้วนต้องค้นหาสาเหตุของตนเอง  นี่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

ศิษย์ – ดูเหมือนว่าชาวยุโรปเข้าสู่ความสงบได้ยากมาก เพราะเหตุใด

อาจารย์ – ที่จริงชาวตะวันออกกับชาวยุโรปนั้นเหมือนกัน   การบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  หากสามารถบรรลุถึงความสงบอย่างแท้จริงได้ ระดับชั้นของเขาก็สูงมากแล้ว  เพราะท่านมีงานทำอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  มีเรื่องของคนธรรมดาสามัญต้องทำ  เรื่องต่างๆนานา  ท่านนั่งอยู่ตรงนั้นท่านไม่คิดจะใคร่ครวญปัญหา  ปัญหานั้นเองก็ก่อผลอยู่ในความคิดของท่าน  คิดขึ้นมาได้เอง  ดังนั้นท่านจึงเข้าสู่สมาธิไม่ได้    พวกเราอยู่ในการบำเพ็ญไม่หยุดที่จะยกระดับ  ไม่หยุดที่จะปล่อยวางจิตยึดติด  เมื่อจิตยึดติดของท่านน้อยลงเรื่อยๆ ท่านจะพบว่าใจท่านจะสงบได้มากขึ้นเรื่อยๆตามธรรมชาติ  สงบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือการแสดงออกอย่างหนึ่งของระดับชั้น  ท่านบอกว่าพอเริ่มต้นฉันก็จะบรรลุถึงระดับที่สงบนิ่งได้ทันที  นั่นไม่อาจเป็นจริงได้  จะเลือกวิธีการใดล้วนไม่อาจบรรลุได้  นอกจากเรามีสถานการณ์ที่พิเศษสุด  ชั้นผิวของคนนั้นอ่อนแอมาก  ส่วนฝั่งนั้นแข็งแรงอย่างมาก  เขาอยู่ในสภาพเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง  นี่คือคนที่พิเศษมากๆ  เขาสามารถบรรลุถึงความสงบที่แน่นอนขั้นหนึ่ง เพราะส่วนสำคัญที่บังเกิดผลของเขานั้นไม่ใช่คน  แต่เป็นด้านนั้นที่เป็นเทพ  หาไม่แล้วจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้เลย  แต่วิธีการบำเพ็ญอย่างอื่นไม่สามารถบรรลุถึงระดับความสงบในทันทีได้ ดังนั้นจึงไม่แบ่งเป็นชนิดของคน  ชาวยุโรปกับชาวตะวันออกนั้นไม่ต่างกัน

            การเข้าสู่ความสงบไม่ได้ ท่านก็ไม่ต้องร้อนใจ  ในเวลาฝึกพลังท่านเพียงทำร่างกายให้สบายสามารถผ่อนคลายได้  ท่านพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  หากพยายามจนหมดวิธีแล้ว ยังคงคิดฟุ้งซ่าน คิดฟุ้งซ่านก็คิดฟุ้งซ่าน  ให้ท่านถือว่าความคิดฟุ้งซ่านนี้เป็นคนอื่น  ให้พูดว่าแกคิดไปเถอะ  ฉันจะเฝ้าดูแก  ดูแกคิด  ฉะนั้นนี่ก็เป็นวิธีหนึ่ง  ดีที่ตัวท่านเองสามารถแยกแยะได้ชัดว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง  จุดนี้แหละที่มีค่าอย่างยิ่ง หรือท่านควบคุมมันไม่ให้มันคิด  นี่ก็คือบรรลุถึงสิ่งที่ผู้บำเพ็ญสามารถทำได้ เมื่อร่างกายผ่อนคลายลงแล้ว ก็เข้าสู่สภาพการณ์ที่ดีที่สุดของการฝึกสมาธิ  แต่ความคิดสงบลงมาไม่ได้  บรรลุไม่ถึงสภาพการณ์ที่ดีที่สุดของการฝึก จะทำอย่างไรละ  ทุกท่านทราบว่าพวกเราเริ่มต้นบำเพ็ญจากระดับจุลทรรศน์  ดังนั้นพวกเราในระดับจุลทรรศน์นั้น  เขาฝั่งนั้นจะสงบ  เริ่มต้นจากตรงนั้น  รอจน เมื่อฝั่งนั้นสงบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  บำเพ็ญได้ดียิ่งขึ้น  ฉะนั้นชั้นผิวก็จะถูกควบคุมให้อ่อนลงเรื่อยๆ  ชั้นผิวจะยิ่งไม่ดี  แต่ชั้นผิวกลับจะยิ่งอ่อนแอ ก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้  พวกเราหลายคนบำเพ็ญเป็นเวลานานมากแล้ว  พบว่าในความคิดยังมีความคิดที่ไม่ดีอยู่  หากท่านต้องการควบคุมมันก็จะควบคุมได้ เพราะแม้ว่ามันจะไม่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ  สู่ชั้นผิวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  แต่มันยิ่งอ่อนแอลงไปอีกเรื่อยๆ   เพราะมันไม่มีรากแล้ว

 

ศิษย์ – ในฐานะผู้ฝึกพลังชาวตะวันตก  เราควรจะวินิจฉัยความผิดถูกและดำเนินชีวิตอย่างไร  เราควรปล่อยให้เป็นธรรมชาติไหม
อาจารย์ – ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้  ที่ข้าพเจ้าพูดว่าให้เป็นไปตามธรรมชาตินั้นก็พูดในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน  และไม่ได้บอกให้พวกท่านปล่อยไปตามธรรมชาติในทุกๆเรื่อง  ท่านทำงานอยู่ในบริษัท   เจ้านายจะมอบหน้าที่ให้ท่าน  ท่านก็ทำงานอย่างป้ำๆเป๋อๆไปตามธรรมชาติและไม่ขยันทำ  นั่นก็ไม่คู่ควรจะรับค่าจ้างส่วนนี้  พวกเราอยู่ที่ไหนก็ควรเป็นคนดี  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ปล่อยไปตามธรรมชาติคำนี้ต้องดูว่าอยู่ที่ไหนพูด   ในการบำเพ็ญปล่อยไปตามธรรมชาติ  แต่เรายังต้องตั้งใจควบคุมตนเองในด้านที่ไม่ดีนั้น  ยังต้องไปบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง  นี่ก็ไม่เรียกว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ    ที่จริงพวกเราทุกคนก็บำเพ็ญกันอย่างนี้  ดังนั้นในการบำเพ็ญ พวกเราทราบอย่างชัดแจ้งแล้วว่า คือการบำเพ็ญโดยการริเริ่มด้วยตัวเอง  ในการดำเนินชีวิตเราต้องพยายามให้สอดคล้องกับรูปแบบของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นงานของคนธรรมดาสามัญกับการบำเพ็ญของท่านต้องแยกออกจากกัน ต้องแยกออกจากกันอย่างแน่นอน  งานก็คืองาน  การบำเพ็ญก็คือการบำเพ็ญ  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง  เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  ท่านมีข้อกำหนดต่อตนเองด้วยมาตรฐานที่สูงซึ่งจะแสดงออกมาในการทำงาน  จะแสดงออกมาในสังคม ในครอบครัว  ในสภาพแวดล้อมของสังคมที่ต่างกัน  หรือพูดว่า ท่านอยู่ที่ไหนล้วนเป็นคนดีคนหนึ่ง   คนอื่นก็จะพูดว่าท่านเป็นคนดี  ก็คือความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งอย่างนี้   ที่เราพูดแนวคิดนั้นที่ปล่อยให้เป็นธรรมชาติไม่เหมือนกับที่พูดกันในอดีต  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทุกสิ่ง  พอนั่งลงตรงนั้น เหมือนกับออกบวชแล้ว   เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไปเลย  ไม่ใช่เช่นนี้  ไม่ใช่แนวคิดนี้

หากท่านพบเรื่องยุ่งยากอะไรแล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ตัวเราเองก่อนอื่นต้องพิจารณาตัวเอง  ใช่หรือไม่ว่าเกิดจากที่ตัวฉันเองทำไม่ดีที่ตรงไหน  ผู้บำเพ็ญแต่ละคนถ้าไม่สามารถทำได้ถึงจุดนี้  ท่านก็ไม่มีทางก้าวไปข้างหน้าได้  ดังนั้นแต่ละคนเมื่อพบกับเรื่องยุ่งยากใดๆ  ก่อนอื่นท่านต้องมองดูตัวเอง  ใช่หรือไม่ว่าฉันทำไม่ถูกไม่ควร  ข้าพเจ้ามักจะพูดถึงเหตุผลหนึ่ง  ก็คือพูดว่าทุกสิ่งในจักรวาลล้วนแต่สงบราบรื่น ท่านเองทำผิดแล้ว จึงก่อให้เกิดการปีนเกลียว  ปีนเกลียวกับผู้อื่น  ทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนว่าไม่ถูกต้องไปหมด  ความสัมพันธ์ระหว่างคนก็เกิดความตรึงเครียด  ในเวลานี้ตนเองควรค้นหาต้นเหตุของตนเอง  พอท่านปรับแก้ตรงไหนที่ไม่ถูกต้องของตนเองเสีย ท่านจะพบว่าทุกสิ่งล้วนแต่สงบราบรื่น    ถูกคอเข้าใจกันอีกแล้ว  ข้าพเจ้าไม่สนับสนุนให้พวกท่านไปโต้เถียงอะไร  หากพวกเราเกิดความยุ่งยากจริงๆ  ดูไปแล้วคนอื่นปฏิบัติต่อเราไม่เป็นธรรม  ข้าพเจ้าคิดว่าในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  เป็นไปได้มากว่าชาติก่อนท่านติดค้างคนเขาไว้  อดทนเอาไว้ ให้ผ่านไปก็เป็นอันใช้ได้    ในฐานะคนธรรมดาสามัญก็ล้วนทราบว่า  ในเวลาที่สองคนโต้เถียงกันขึ้นมา  สุดท้ายแยกจากกันด้วยความไม่พอใจกัน  ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนที่แก้ไขไม่ได้  เมื่อความขัดแย้งยาวนานแล้วจะยิ่งแก้ไขได้ยาก  สุดท้ายกลายเป็นคู่อริ  พวกเราสามารถทนต่อมัน  ไม่สนใจมัน  ถอยมาก้าวหนึ่ง  ชาวจีนมีคำพูดหนึ่งว่า ถอยก้าวหนึ่ง ฟ้ากว้างทะเลไกล   หากท่านยังจะพุ่งไปข้างหน้า  พุ่งหน้าชน ท่านจะพบว่าไม่มีทางจริงๆ  ท่านถอยหลังหนึ่งก้าว  วางใจลงเสียไม่สนใจต่อไป  ท่านจะพบว่า ฟ้ากว้างทะเลไกลจริงๆ  เป็นอีกทัศนียภาพหนึ่ง  ก็คืออย่างนี้  ในฐานะผู้บำเพ็ญควรเป็นเช่นนี้  ถ้าเราไปโต้เถียงเหมือนคนธรรมดาสามัญ  ไปต่อสู้แบบเดียวกัน  ไปเอาชนะ ในความขัดแย้งแบบเดียวกันข้าพเจ้าว่า  พวกเรานั้นก็เท่ากับเป็นอย่างเดียวกับคน

ธรรมดาสามัญแล้ว  ใช่เช่นนี้หรือไม่  เป็นเช่นนี้จริงๆ

ศิษย์ - พวกเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถทราบระดับชั้นของตนเอง

อาจารย์ – พูดจากความนึกคิดของข้าพเจ้า ตั้งแต่แรกข้าพเจ้าไม่อยากให้พวกท่านทราบระดับชั้นของพวกท่านเป็นอย่างมาก  คนๆหนึ่งหลอมรวมอยู่ในฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้  ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างหนึ่ง ก็คล้ายกับเตาเหล็กหลอมเตาหนึ่ง  หากทิ้งเศษไม้ชิ้นหนึ่งลงไป หรือขี้เลื่อยชิ้นหนึ่งลงไป ในทันใดท่านก็ไม่สามารถมองเห็นเงาของมันแล้ว   ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้มาหล่อหลอมคน  กรรมของร่างกายท่าน  กรรมทางความคิด  สิ่งต่างๆภายในพริบตาก็จะหายไปหมด  หากเราทำเช่นนี้ทั้งหมด  ก็เท่ากับท่านไม่ได้บำเพ็ญ  เท่ากับข้าพเจ้าสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่  ไม่นับว่าท่านบำเพ็ญ  พวกเราจึงไม่อาจเป็นเช่นนี้  ต้องให้ท่านไปบำเพ็ญเอง  ตนเองไปเปลี่ยนแปลงตนเอง  ฝ่านี้เขาใหญ่มาก  พวกเราอยู่ในขั้นตอนการบำเพ็ญ  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆโดยถือว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ท่านอ่านหนังสือไม่หยุดหย่อน ท่านก็เลื่อนสูงขึ้น ยกระดับขึ้นไม่มีหยุด  บวกกับวิธีการช่วยเสริมของพวกเรา-การฝึกพลัง  ความเร็วของการยกระดับของท่านก็จะเร็วมาก  นี่ก็คือรูปแบบการบำเพ็ญชนิดหนึ่งที่เร็วที่สุด

            หากพอเริ่มต้นข้าพเจ้าก็ให้ท่านสามารถทราบว่าท่านอยู่ในเขตแดนอะไรแล้ว  ใจของท่านก็จะควบคุมไว้ได้ยาก  ไอหย๋า ฉันมีอิทธิฤทธิ์อย่างนี้หนา  ฉันบำเพ็ญได้อย่างนี้แล้ว  ถ้าข้าพเจ้าให้ท่านมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบร่างกายของตนเองอย่างแท้จริง  ท่านลองคิดดูท่านนั้นมีอารมณ์ทั้งเจ็ด ตัณหาทั้งหกและจิตยึดติดนานาชนิดของคนธรรมดาสามัญ  ใจของท่านจะมิหวั่นไหวได้หรือ  เพราะความคิดของคนธรรมดาสามัญของท่านยังแรงมาก  ดังนั้นข้าพเจ้าไม่อาจให้ท่านทราบเร็วเกินไป  ก็เป็นเพราะต้องการจะให้แน่ใจว่าในระหว่างการบำเพ็ญท่านสามารถจะยกระดับ   ยกระดับอยู่ไม่มีหยุด  ยกระดับด้วยความเร็วที่สูงที่สุด  คนระดับบนได้ฟังเต๋า  อาศัยการอู้และหยวนหมั่น  นี่ก็เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด  และเร็วที่สุด  เร็วที่สุดจริงๆ

ศิษย์จำนวนหนึ่งของพวกเรามีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน  ดังนั้นมีหลายคนเขาก็บำเพ็ญโดย(พลัง)เปิดอยู่  มีหลายคนเขาก็บำเพ็ญอยู่ในสภาพกึ่งปิด  เขาสามารถมองเห็นได้   บางคนถึงกับมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน  ทุกสิ่งล้วนรู้หมด   นี่คือกรณีเฉพาะราย  ส่วนใหญ่นั้นบำเพ็ญโดยปิดอยู่   ได้แต่ไปอ่านหนังสือ  บำเพ็ญ  ท่านก็ยกระดับตนเองได้เรื่อยไป  ท่านก็อู้ได้ถึงความลับของสวรรค์เรื่อยไป  จากหลักการของฝ่านี้โดยตัวมันเองก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้ท่านมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม  แน่ละ  คนในสังคมทุกวันนี้  ถูกทำให้หลงลึกจนเกินไป อยู่ในสภาพความเป็นอยู่ทางภววิสัยที่จอมปลอมนานาชนิดตามที่เรียกกัน  ยึดติดอย่างหนักเกินไปแล้ว  แทบจะดึงตัวเองขึ้นได้ยาก  ระหว่างฝ่ากับผลประโยชน์เฉพาะตัวของเขา  มักจะเกิดการประชันกัน   กระทั่งเขายอมที่จะละทิ้งฝ่าแต่ไม่ยอมละทิ้งจิตยึดติด  เรื่องเหล่านี้ก็ยากจะพูด เพราะสังคมทุกวันนี้ได้ไปถึงขั้นที่คนชนิดนี้ไม่รู้จักธาตุแท้  ไม่รู้จักมาตรฐานของคนแล้ว

แต่ว่ามันยิ่งไม่ดีกลับเป็นการให้สภาพแวดล้อมหนึ่งที่ดีที่สุดของการบำเพ็ญให้พวกเรา  มิใช่สภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนที่สุดจึงจะยิ่งสามารถบำเพ็ญคนระดับสูงออกมาได้หรือ  ก็คือเหตุผลนี้  หลายปีก่อนหน้าปรากฏอาจารย์ชี่กงมากมายในประเทศจีน  ในหมู่คนธรรมดาสามัญผู้คนล้วนยกย่องพวกเขา  อา  ท่านอาจารย์ใหญ่ชี่กงช่างยอดเยี่ยม  ช่างมีความสามารถจริงๆ  เนื่องจากเขารักษาโรคให้คนแล้ว  ผู้คนย่อมจะให้สิ่งที่ดีกับเขา กระทั่งเงินทอง  การแสวงหาผลประโยชน์ทางวัตถุก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้นจึงมีคนมากมายตกลงมาแล้ว  และไม่มีพลังแล้ว  และจบสิ้นอย่างที่สุดแล้ว  อาจารย์ของเขาก็ไม่ดูแลอีกแล้ว เพราะอะไรหรือ  เพราะที่ผ่านมาการบำเพ็ญของพวกเขาล้วนบำเพ็ญอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนธรรมดาสามัญไม่รู้จัก   อยู่ในภูเขาหรือว่าในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีคนรู้เห็น หรือว่าอยู่ในวัด หรือว่าบำเพ็ญอยู่ในศาสนาอื่นในรูปแบบเช่นนั้น  เขาไม่สัมผัสกับเรื่องเฉพาะหน้าและผลประโยชน์ที่ซับซ้อนของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ไม่เคยผ่านอ่างย้อมใบใหญ่นี้   พอสัมผัสเข้ากับสังคม  ก็ถูกสังคมที่ซับซ้อนแปดเปื้อนเอา  สุดท้ายก็แสวงหาชื่อเสียงเหมือนกับคนธรรมดาสามัญ เปลี่ยนเป็นคนธรรมดาสามัญ  เพราะวิธีการบำเพ็ญของพวกเขานั้นใช้ไม่ได้ในสังคมคนธรรมดาสามัญแล้ว  แต่พวกเรากลับบำเพ็ญอยู่ในอ่างย้อมใบใหญ่นั้นนั่นเอง  ทุกสิ่งที่สัมผัสล้วนคือสิ่งเหล่านี้  หากพวกเราสามารถรอดออกมาได้  ท่านมิใช่ยอดเยี่ยมมากแล้วหรือ  ทำไมท่านสามารถบำเพ็ญได้สูงท่านทราบไหม หนึ่งในหลักประกันมูลฐานที่สุดที่ทำให้ท่านบำเพ็ญได้สูงก็คือข้างในนี้ (สังคมคนธรรมดาสามัญ) เหลวแหลกเหลือเกิน หากท่านสามารถ(บำเพ็ญ)ออกมาได้ ถ้าแม้นใจท่านขยับเพียงเล็กน้อย บอกว่าท่านคิดจะบำเพ็ญวันนี้     ก็ถือว่าท่านยอดเยี่ยมมากแล้ว     ท่ามกลางสภาพแวดล้อมหนึ่งเช่นนี้   ถูกโอบล้อมอยู่กับ

ความทุกข์ ท่านยังสามารถมีจิตใจเช่นนี้

            โดยเปลือกนอก  รูปแบบความทุกข์ยากนั้นจะนับเป็นอะไรได้  แต่ความทุกข์ทรมานชนิดที่คว้านหัวใจเข้าถึงกระดูกอย่างแท้จริงนั้นคือเวลาที่กำลังสละทิ้งจิตใจดวงนั้น  ในเวลาที่ปล่อยวางจิตยึดติดนั่นจึงจะทุกข์ทรมานที่สุด    สภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อนนี้จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่ดีที่สุดที่ท่านจะสามารถบำเพ็ญขึ้นไปสู่ระดับสูง  ฉะนั้นเมื่อพูดในทางกลับกัน  ในสภาพการณ์ที่ไม่ดีที่สุดเท่านั้น ต้าฝ่านี้จึงจะสามารถแสดงอานุภาพของเขาออกมา  ในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ดีไม่ต้องใช้ต้าฝ่านี้  และในสภาพแวดล้อมที่ดีก็ไม่ต้องเจิ้งฝ่าแล้ว  โลกมีเพียงฝ่าของพระยูไลอย่างพระเยซู กับองค์ศากยมุนีก็พอแล้ว  แต่ว่า เหตุใดศาสนาในปัจจุบันจึงเดินเข้าสู่ยุคธรรมะปลาย  ศาสนาทั้งหมดจึงไม่อาจช่วยเหลือคนได้ละ  ผู้คนกล้าด่ากระทั่งพระพุทธ   แม้แต่รูปปั้นพระเยซูยังกล้าเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าและถ่ายปัสสาวะรด  ในเวลาเช่นนี้ท่านยังบอกให้เขาไปศึกษาธรรมะนี้  ช่วยเหลือเขา ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว 

 

ศิษย์ – ใจผมคิดอยากจะบำเพ็ญ  ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความสงสัยในต้าฝ่า

อาจารย์ – ข้าพเจ้านั้นพูดว่าความคิดของคนทุกคนที่อยู่ในสังคมของคนธรรมดาสามัญ ล้วนจะอยู่ภายใต้ทัศนคติมากมายที่ก่อเกิดขึ้นมาหลังกำเนิด และการรับเอาความรู้ของสภาพความเป็นอยู่ทางภววิสัยที่จอมปลอมของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ทำให้ท่านหลงอยู่ที่นี่ หลงลึกยิ่งขึ้นอีก ในความคิดของท่านก่อเกิดทัศนคติ ความคิดที่แข็งทื่อต่างๆ  ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ขัดขวางไม่ให้ท่านได้รับฝ่า  ความสงสัยที่เกิดขึ้นในสมองของท่านนั้น  ใช่หรือไม่ว่าเกิดจากการใช้บรรดาสิ่งที่ท่านรับรู้ขณะอยู่ในสภาพความเป็นอยู่ของคนธรรมดาสามัญ  ใช้ความคิดของคนธรรมดาสามัญในการประเมินฝ่า จึงเกิดความระแวงขึ้นนะ  แน่นอนเลย  เช่นนั้นก็พูดได้ว่าท่านกำลังใช้ความรู้ของคนธรรมดาสามัญ  ทัศนคติที่เกิดขึ้นจากบรรดาความคิดของคนธรรมดาสามัญมาประเมินฝ่า   คนธรรมดาสามัญมิใช่อยู่ในระดับต่ำสุดหรือ  คนธรรมดาสามัญมิใช่อยู่ในวังวนหรือ  เขาสามารถจะมีอะไรที่สามารถเปรียบเทียบกับสัจจธรรมของจักรวาลได้ละ  ล้วนทำไม่ได้  ถ้าเช่นนั้นต้าฝ่านี้ของเราก็ยืนอยู่ในรูปแบบที่ต่ำที่สุดของคนธรรมดาสามัญ  ใช้ภาษาของคน  รูปแบบที่ต่ำที่สุดที่ปรากฏออกมามาบรรยายเขา(ฝ่า)  ดังนั้นดูไปแล้วก็คล้ายกับเป็นสิ่งที่ผิวเผินมาก  แต่ขอเพียงท่านศึกษาต่อไป  ท่านจะพบว่าเขา(ฝ่า)นั้นยิ่งศึกษายิ่งสูงขึ้น   ยิ่งศึกษายิ่งลึกซึ้งจนไม่อาจหยั่งได้  ไกลเกินกว่าจะแตะต้อง  ความรู้ของคนธรรมดาสามัญไม่มีความนัยเหล่านี้  หากท่านถือว่าความไม่เชื่อและความสงสัยนั้นเป็นความคิดของตนเอง  เช่นนั้นท่านก็ผิดมากแล้ว  นั่นคือทัศนคติที่ก่อเกิดหลังกำเนิดในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ท่านเองยึดถือว่ามันคือ

ตัวท่านเอง แต่มันหาใช่ไม่

ศิษย์ – ก่อนที่ผมจะฝึกพลังตาทิพย์ก็เปิดแล้ว ผมอาศัยการพยากรณ์ดวงชะตาในการยังชีพ   ต้องทิ้งงานของผมหรือไม่

อาจารย์ – ถ้าท่านไม่ฝึกพลัง ในฐานะคนธรรมดาสามัญข้าพเจ้าไม่คัดค้าน  ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าให้กับผู้บำเพ็ญ  ทำให้พวกเขาสามารถบำเพ็ญได้  และไม่ได้บอกให้ทุกๆคนมาบำเพ็ญต้าฝ่า  ท่านรู้สึกสามารถจะบำเพ็ญท่านก็บำเพ็ญ  ท่านรู้สึกว่าไม่สามารถบำเพ็ญ ท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญ  บางทีในอนาคต ในสังคมคนธรรมดาสามัญยังจะมีศาสตร์เล็กๆ การพยากรณ์ชนิดนี้คงอยู่ ดูฮวงจุ้ยเอย กระทั่งเลือกใช้วิธีการอะไรรักษาโรคให้คน นี่อาจจะคงอยู่ทั้งหมด นับแต่โบราณกาลมา ทั่วโลกต่างก็มีอยู่   เช่นนั้นในฐานะผู้บำเพ็ญ  ในอนาคตสิ่งที่ท่านจะมองเห็นก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ  พลังของคำพูดที่ท่านพูดออกมาจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  เวลาที่ท่านพยากรณ์ดวงชะตาให้คนอื่นย่อมจะเกิดปัญหา  เรื่องราวบนโลกมนุษย์บางครั้งไม่แน่นอน  อาจจะเป็นเช่นนี้หรืออาจจะไม่ใช่เช่นนี้  ฉะนั้นถ้าคนๆนี้เชื่อแล้ว  เชื่อมากๆ  เขาก็อาจเกิดผลในการเสริมน้ำหนักของมัน  เมื่อท่านมีพลังแล้ว คำพูดที่ท่านพูดออกไปก็อาจจะทำให้ปัจจัยที่ยังไม่แน่นอน กลับแน่นอนขึ้นมา  เดิมทีไม่ควรเป็นเรื่องอย่างนี้  สิ่งที่ท่านมองเห็นหาใช่แก่นแท้ไม่   มันมีความสัมพันธ์แต่ชาติปางก่อนอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง พอท่านพูดขึ้นมาทำให้มันแน่นอนแล้ว  เช่นนั้นท่านอาจทำเรื่องไม่ดีไปแล้ว  และกรรมอย่างนี้คือสิ่งภายนอกที่เพิ่มเข้ามาในการบำเพ็ญของท่าน  ด่านของท่าน  ทุกข์ภัยของท่านวางอยู่ที่นี่  แต่ละด่านแต่ละทุกข์ภัยต้องให้ท่านข้ามไป  ทุกข์ภัยภายนอกที่ท่านเพิ่มเติมเข้าไปนั้น  ท่านไม่มีทางจะข้ามได้  เมื่อได้ทำเรื่องที่ไม่ดีที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงหรือให้ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง   เช่นนั้นท่านก็ผ่านด้าน (ด่านหรือด้านคะ) นี้ไปไม่ได้ ท่านก็ไม่มีทางจะบำเพ็ญได้  ดังนั้นผู้บำเพ็ญจึงพูดถึงการบำเพ็ญวาจา  จุดนี้ท่านไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริงแล้ว  หากท่านนำสิ่งที่ท่านมองเห็นพูดออกมาจากปากของท่านโดยตรง  เช่นนั้นท่านก็เปิดเผยความลับของสวรรค์  และพูดให้กับคนธรรมดาสามัญอย่างไม่รับผิดชอบ  นี่จะใช้ได้หรือ นี่ก็ยิ่งใช้ไม่ได้แล้ว

          นอกจากนี้ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  การพยากรณ์ทั้งหมด  นอกจากองค์ประกอบของตัวเองแล้ว  ส่วนมากล้วนเป็นผลจากองค์ประกอบภายนอก  ดังนั้นนั่นคือเรื่องที่น่ากลัวมาก  กล่าวสำหรับชีวิตหนึ่งนั้นช่างน่ากลัวมาก  นั่นก็ไม่มีทางจะบำเพ็ญได้แล้ว  ที่นี่ข้าพเจ้าได้แต่พูดเหตุผลของเรื่องนี้ให้คนฟัง ข้าพเจ้าไม่ใช่คัดค้านคนธรรมดาสามัญทำอย่างนี้ ท่านคิดจะบำเพ็ญข้าพเจ้าจึงพูดให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าจึงต้องบอกท่าน ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อท่าน  ถ้าท่านจะทำเช่นนี้  มีแต่จะนำผลลัพธ์ที่ไม่ดีมาให้ท่าน  แต่แน่นอนท่านคงจะคิดว่า  เช่นนั้นแล้วการยังชีพของฉันจะทำอย่างไรละ  ข้าพเจ้าเพียงแต่บรรยายธรรม บรรยายฝ่าให้ผู้บำเพ็ญ  หากสามารถจะบำเพ็ญได้ท่านก็บำเพ็ญ  ได้แต่พูดเช่นนี้  แต่ข้าพเจ้าต้องผิดชอบต่อท่าน  ดังนั้นในทางกลับกันเราก็พูดว่า   ในฐานะศิษย์ต้าฝ่าคนหนึ่ง ถึงอย่างไรเสียก็จะให้ท่าน

สามารถยังชีพได้  ก็ควรเป็นเช่นนี้    

ศิษย์ - ผมจะละทิ้งจิตหวาดกลัวได้อย่างไร
อาจารย์ – ความกลัวก็เป็นจิตยึดติดอย่างหนึ่ง  นั่นเป็นเรื่องที่ว่าปณิธาน(ความมุ่งมั่น)ของท่านเข้มแข็งหรือไม่  ควรควบคุมเอาไว้  บางคนพูดว่าพอฉันฝึกพลังก็หลับ  นั่นก็เป็นสิ่งที่ปณิธานของท่านจะต้องควบคุม  แม้ว่าพวกมันไม่ใช่มาร  แต่พวกมันสามารถส่งผลเป็นมารต่อผู้บำเพ็ญ  ถ้าท่านทะลวงมันไปไม่ได้ มันก็บังเกิดผลต่อท่าน

 

ศิษย์ - ผมมักจะรู้สึกไม่ได้ว่าฝ่าหลุนหมุนอยู่ที่ท้องน้อย

อาจารย์ – ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้สึกได้  บางคนความรู้สึกไว  พอพลังงานเคลื่อนไหว  ไอหย๋า ทำไมแรงอย่างนี้นะ  บางคนในท้องราวกับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแล้ว  เขาก็ไม่รู้สึก  สภาพร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าเอาความรู้สึกพิจารณาว่าระดับชั้นของใครสูงหรือต่ำ  อย่าได้เอาความรู้สึกมาพิจารณา

ศิษย์ - ตาทิพย์ของผมไม่เปิดเสียที

อาจารย์ – ท่านกำลังแสวงหาอยู่หรือ  หากท่านบำเพ็ญสำเร็จแล้วยังไม่เปิด  ข้าพเจ้าคิดว่านั่นก็ผิดปกติแล้ว  ความหมายที่ท่านพูดคือในระหว่างการบำเพ็ญยังไม่ยอมเปิดใช่หรือไม่  หากท่านแสวงหามัน  หากท่านมีความคิดนี้อยู่  ไหนเลยจะมีแค่นิดเดียว ก็จะไม่ให้ท่านเห็นเลย  แม้สามารถจะเห็นได้ก็จะไม่ให้ท่านเห็น  เพราะใจดวงนี้ของท่านไม่ยอมทิ้งไป  จิตยึดติดนั้นของท่านไม่ทิ้งไป  ดังนั้นท่านต้องละทิ้งจิตยึดติดนั้นอย่าสนใจมัน  ถึงเวลาดูซิว่าจะเป็นอย่างไร

ผู้ฝึกชาวผิวขาว เขาไม่เหมือนผู้ฝึกทางตะวันออก  เพราะทางตะวันออก โดยเฉพาะประเทศจีน  ความเป็นมาของวัฒนธรรมของมันค่อนข้างลึกล้ำ  มันไม่เพียงมีวัฒนธรรมยาวนาน ห้าหกพันปี มันยังสืบทอดวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งด้วย  ดังนั้นในกระดูก ในเซลของมันล้วนเป็นความนัยของวัฒนธรรมที่ลึกล้ำมาก  แต่วัฒนธรรมของสังคมชาวผิวขาวก่อตั้งมาเพียงสองพันปี  ดังนั้นวังวนของมันจึงถูกตีแตกได้ง่าย พอแตกออก  เขาก็แทบจะมองเห็นได้แล้ว  แต่คนจีนไม่เหมือนกันที่ตรงไหน  เมื่อท่านบอกเขาว่าเพราะอะไรถึงเพราะอะไร  เขายังคิดว่า อ้อ นี่พูดได้ถูกต้อง  แล้วเพราะอะไรถึงเพราะอะไรหรือ  พอท่านก็บอกเขาว่าเพราะอะไร เพราะอะไร  เขาก็ยังคิดอีกว่า อ้อ เพราะอะไรของเพราะอะไรของเพราะอะไรละ  ดังนั้นท่านต้องตีแตกให้เขาจนถึงที่สุดจึงจะสามารถเปิดใจเขาออกได้ทั้งหมด  นี่ก็คือเหตุใดผู้ฝึกชาวผิวขาวของเรานี้พอศึกษาแล้วหลายคนจึงสามารถมองเห็นได้โดยไม่รู้ตัว  ก็เพราะสาเหตุนี้  เขาถูกสิ่งของชั้นผิวของสังคมคนธรรมดาสามัญปิดคลุมอยู่น้อยมาก เป็นเพียงเหตุผลนั้นเท่านั้นเอง   เหตุผลของคนธรรมดาสามัญควบคุมเขาอยู่   พอตีเหตุผลออก  ในหมู่คนธรรมดาสามัญก็ไม่มีสิ่งที่สามารถควบคุมเขาได้อีก  ก็คือความหมายนี้  แน่ละก็ไม่ใช่อย่างนี้ทั้งหมด  การรับรู้ตามความรู้สึกกับการรับรู้ตามเหตุผลก็ยังไม่เหมือนกัน  ถ้าสามารถศึกษาฝ่าเข้าไปในใจได้อย่างแท้จริง  สามารถรับรู้ฝ่าได้ในระหว่างการบำเพ็ญ  นั่นจะไม่เหมือนกับการรับรู้ตามความรู้สึกเมื่อตอนเริ่มต้น  จะเลื่อนชั้นขึ้นเป็นการรับรู้ฝ่าตามเหตุผลได้


ศิษย์ - จะหงฝ่ากับผู้ออกบวชอย่างไรดี

อาจารย์ – ข้าพเจ้ามักคิดถึงผู้ออกบวช  โดยเฉพาะสองปีก่อนข้าพเจ้ารู้สึกร้อนใจต่อพวกเขาตลอดมา  เพราะองค์ศากยมุนีก็ดี  พระเยซูก็ดี ผู้รู้แจ้งเหล่านี้ได้ก่อตั้งการบำเพ็ญไว้  มีศิษย์ผู้บำเพ็ญสืบทอดต่อ  ไม่ว่าจะพูดว่าอย่างไร  พวกเขานับว่าเป็นศิษย์ในสายพุทธ  ข้าพเจ้าจึงเฝ้าคิดถึงพวกเขาอยู่  แต่ว่า  ช่วงธรรมะปลายพอมาถึงเวลานี้  คนที่อยู่ในศาสนาที่คิดจะบำเพ็ญจริงๆนั้น ที่แท้จริงก็มีไม่มาก  ข้าพเจ้าพบปัญหาหนึ่ง มีผู้ออกบวชจำนวนหนึ่ง เขานั้นปกป้องศาสนา ไม่ใช่ปกป้องพระพุทธ  เทพ  ใจของเขาไม่อยู่ในการบำเพ็ญ  เขาล้วนแต่ปกป้องรูปแบบของศาสนา  ดังนั้นจิตยึดติดนี้จึงก่อให้เกิดอุปสรรคที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง  ยังมีคนเข้าใจว่านอกเหนือรูปแบบของศาสนานั้นไม่มีพุทธธรรม  นั่นเป็นพวกนอกรีตทั้งนั้น  นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดซึ่งขัดขวางพวกเขาได้ฝ่าอย่างร้ายแรง  แต่ก็มีผู้ที่มีความคิดที่แท้จริง  คนอย่างนี้ที่สามารถประเมินทุกสิ่งจากหลักเหตุผล  ซึ่งยอดเยี่ยม  พอเขาได้อ่านหนังสือของข้าพเจ้า  หลังจากอ่านจบแล้วเขาทราบว่านี่คืออะไร  เพราะคนต่างมีจิตพุทธอยู่    นี่ก็เหมือนกับไฟฟ้านั้น พอสองขั้วแตะกันเข้า  “พลึบ”ก็เชื่อมติดแล้ว  หากเขาไม่มีจิตพุทธอยู่  นั่นก็จะเชื่อมไม่ติด  ไม่อาจจุดประกายไฟนี้ขึ้นมาได้  ส่งกระแสไฟไม่ได้  ดังนั้นศิษย์นักบวชบางคนจะไม่เหมือนกัน  ข้าพเจ้าว่ายอดเยี่ยมจริงๆ เพราะเขารู้ว่าจุดประสงค์ในการออกบวชของตนเองคือการบำเพ็ญ  แต่บางคนเขากลับไม่มีความคิดที่ถูกต้องนี้  แน่ละ ข้าพเจ้าจะไม่พูดเรื่องศาสนามากนักละ  นี่เพียงแต่ถือโอกาสพูดสักหน่อย   หากท่านเป็นอุบาสกของเขา  หรือท่านเป็นเพื่อนหรือญาติของเขา ท่านสามารถไปพูดกับเขาได้  เขาคิดจะบำเพ็ญก็บำเพ็ญ  ไม่คิดบำเพ็ญก็แล้วกันไป  พวกเราต้องไม่ไปลากคนมา  บอกว่าคุณมาบำเพ็ญเถิด คุณไม่บำเพ็ญก็น่าเสียดายมาก    ต้องตามฉันไปนะ   ใจคนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ความรักความผูกพันของคนจะ

ไปเปลี่ยนแปลงได้  ใจคนเองต้องสามารถสำนึกได้เองจึงจะใช้ได้

ศิษย์ – พระสงฆ์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบที่แน่นอนในวัดจะบำเพ็ญจริงได้อย่างไร หรือว่าควรกลับสู่โลกียโลก

อาจารย์ – ไม่จำเป็นต้องกลับสู่โลกียโลกเลย  เพราะเหตุใดไม่จำเป็นต้องกลับสู่โลกียโลก  ข้าพเจ้าพูดเรื่องการยึดมั่นแนวทางเดียวนั้น ที่สำคัญเป็นการพูดเจาะจงต่อฝ่าของการบำเพ็ญในปัจจุบันของเรา  ที่ผ่านมาเบื้องหลังแต่ละอักษรในคัมภีร์พุทธ(พระสูตร)ล้วนเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธ  เดี๋ยวนี้ท่านลองเปิดมาดูท่านก็จะมองไม่เห็น  แม้แต่เบื้องหลังอักษรไม่กี่ตัวของคำว่า ศากยมุนีกับพระเยซูล้วนไม่มีรูปลักษณ์ของทั้งสององค์แล้ว  นั่นก็คือบอกว่าหนังสือไม่มีพลังจะช่วยเหลือคนแล้ว  เป็นเพียงตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาว ยังมีการทำพิธีกรรมก็เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของศาสนา  ข้าพเจ้าก็เพียงแต่ถือว่ามันเป็นงานของคนธรรมดาสามัญ ที่จริงมีพระสงฆ์หลายรูป ถือว่ารูปแบบชนิดนี้ของตนเองเป็นการทำงานแล้ว  พวกเขาเข้าใจว่าตนเองกำลังทำงาน  กำลังหาเงิน(ทำเพื่อเงินเดือน)  พระสงฆ์ในจีนแผ่นดินใหญ่แบ่งเป็นแผนกงาน ส่วนงานหาเงิน  ได้ยินว่ายังมีระดับหน่วยงานราชการอีก  พวกเขาดัดแปลงสิ่งที่เป็นของดั้งเดิมขององค์ศากยมุนี  ผู้คนต่างไม่รู้ว่ากำลังทำลายธรรมะทั้งหลายขององค์ศากยมุนีที่สืบทอดมา  ถึงก้าวนี้แล้ว แน่ละองค์ศากยมุนีก็ไม่ดูแลแล้ว ดังนั้นทุกสิ่งก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเพียงแต่ถือว่ามันเป็นการทำงาน เขาท่องคัมภีร์ก็ดี  ทำพิธีกรรมก็ดี  ไม่มีประโยชน์  มีแต่เขาบำเพ็ญต้าฝ่า พวกเราไม่จำกัดที่รูปแบบ ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าเต๋าใหญ่ไร้รูป  ฝ่าที่ใหญ่ขนาดนี้รูปแบบใดๆของคนธรรมดาสามัญล้วนไม่คู่ควร พวกเราจึงจัดการกันแบบหลวมๆ  ดูเพียงใจคน  ท่านบำเพ็ญ ข้าพเจ้าก็ดูแลท่าน  และการดูแลชนิดนี้ คนธรรมดาสามัญจะมองไม่เห็น  ดังนั้นจึงไม่จำกัดที่รูปแบบใดๆของสังคมคนธรรมดาสามัญ  แม้ว่าพวกเราไม่มีรูปแบบ  ดังนั้นทุกสิ่งของคนธรรมดาสามัญข้าพเจ้าจึงถือว่ามันเป็นการทำงานทั้งสิ้น  ข้าพเจ้าได้แต่พิจารณาอย่างนี้  พระสงฆ์ท่านอยากจะทำพิธีก็ทำพิธีไป  ขอแต่ท่านรู้ว่าตนเองกำลังบำเพ็ญต้าฝ่าก็พอแล้ว  ต้องมุมานะก้าวหน้าไป  ก็ปฏิบัติเช่นนี้  ศาสนาอื่นก็เหมือนกัน

ศิษย์ – จิตใจใสสะอาดคือทิ้งจิตยึดติดที่มีอยู่ทั้งหมด  รวมทั้งสิ่งที่ตนเองสนใจด้วยใช่หรือไม่
อาจารย์ – เมื่อบรรลุถึงสภาวะจิตใจใสสะอาดแล้วจะเป็นเช่นนี้ แต่ท่านเริ่มต้นบำเพ็ญจากการเป็นคนธรรมดาสามัญ  จะให้ท่านทำได้ในทันที ท่านก็กลายเป็นพระพุทธในฉับพลัน  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้  หากต้องการบรรลุถึงเขตแดนของพระพุทธ  ท่านต้องมีขั้นตอนหนึ่งของการบำเพ็ญ  มีรากฐานความคิดที่แน่นหนาลึกซึ้งอันหนึ่ง  หรือกล่าวได้ว่าท่านบำเพ็ญเรื่อยไป  ก็เพิ่มความลึกซึ้งเรื่อยไป  ยกระดับตนเองอยู่เสมอ ยิ่งนานยิ่งยกระดับสูงขึ้น  นั่นเป็นการบรรลุถึงอย่างค่อยเป็นค่อยไป  จะให้ท่านบรรลุถึงในทันที  ท่านอาจจะถูกทำจนตกใจกลัวไม่กล้าฝึกแล้ว เนื่องจากความคิดของท่านไม่ได้สูงเพียงนั้น   เริ่มต้นก้าวแรกจากคนธรรมดาสามัญใช่ไหม  ดังนั้นนี่คือการค่อยๆเป็นไปตามธรรมชาติไม่ต้องให้ท่านสิ้นเปลืองสมองเขาก็สามารถบรรลุได้  เพียงท่านไปบำเพ็ญ  ไปอ่านหนังสือก็สามารถบรรลุได้  หลักการของฝ่าสามารถแก้ไขปัญหาทั้งปวงให้ท่านได้  ไม่ใช่ฝืนทำ  ฝืนทำก็คือมีความหมายมั่น(โหย่วเหวย)  ท่านเพียงแต่ปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  จุดนี้ชัดแจ้งและแน่นอน  ทุกท่านกำลังบำเพ็ญจิตใจตนเอง  พยายามไม่ทำเรื่องที่ไม่ดี  นี่ไม่ใช่โหย่วเหวย  นี่เรียกว่าการพยายามเข้าใกล้ธาตุแท้ก่อนกำเนิดของท่านให้มากเท่าที่จะมากได้

ศิษย์ – ท่านบอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสนา  ผมเองจำเป็นต้องทำงานวิจัยให้ดี  สภาพเช่นนี้มักจะขัดแย้งอยู่เสมอ
 อาจารย์ – เมื่อข้าพเจ้าพูดว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสนานั้น  ข้าพเจ้าได้อธิบายอย่างละเอียดแล้ว  เหตุใดมันจึงเป็นศาสนา และยังเป็นศาสนาที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์  เพราะมันไม่เน้นคุณธรรม  และไม่ยอมรับการคงอยู่ของเทพ  เพราะมันมองไม่เห็นการคงอยู่ของเทพ  มันไม่ยอมรับว่าเมื่อคนทำเรื่องชั่วย่อมถูกกรรมสนอง  ทำเรื่องดีย่อมได้ดี ถ้าใครพูดว่าทำเรื่องดีจะได้ดี ทำเรื่องชั่วจะได้ชั่ว  มีเทพคงอยู่  มันก็จะใช้ทฤษฎีของวิทยาศาสตร์มาปฏิเสธท่าน โจมตีท่าน   กระทั่งศาสนาที่ถูกต้องมันก็โจมตี  ทำลายศีลธรรมของมนุษย์  หากคนไม่มีการควบคุมจิตใจแล้ว เรื่องชั่วอะไรก็จะกล้าทำ  ดังนั้นแค่พูดตรงจุดนี้ท่านว่าวิทยาศาสตร์นี้มันดีหรือเลวละ  มันมิใช่ก่อผลในทางเลวร้ายหรอกหรือ  เหตุใดศีลธรรมของคนปัจจุบันนี้จึงเสื่อมทรามอย่างร้ายแรงเช่นนี้ละ  ก็เพราะผู้คนต่างไม่มีความเชื่อที่ถูกต้อง  โดยเฉพาะคือชาวตะวันตก  ที่จริงสิ่งที่พวกท่านเชื่อไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นวิทยาศาสตร์ของพวกท่าน  พวกท่านลองคิดดูจากส่วนลึกของความคิดท่าน  ที่ทำให้ท่านเชื่อที่สุดนั่นคือวิทยาศาสตร์จริงๆ   สำหรับพวกท่าน อะไรๆก็เป็นเรื่องรองลงมา  วิทยาศาสตร์นั้นจึงจะสำคัญที่สุด  ข้าพเจ้าพูดออกมาให้ท่านฟัง เพราะมันเป็นอุปสรรคหนึ่งในการบำเพ็ญ

พูดกันว่าราชสำนักของศาสนาโรมันคาธอลิกในอดีตนั้น ไม่ยอมรับว่าคนวิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานร  มันถือว่าคนคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาจากดิน  พูดกันว่าเดี๋ยวนี้ราชสำนักของศาสนาโรมันคาธอลิกก็ยอมรับแล้ว  ยอมรับอย่างเปิดเผยแล้วว่าคนวิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานร   เขามิใช่ปฏิเสธพระเจ้าของพวกเขาแล้วหรือ  วิทยาศาสตร์นี้มันมีพลังมากแค่ไหน  ปัจจุบันคนล้วนแต่เชื่อถือ  ข้าพเจ้าสามารถอธิบายเรื่องราวใดๆของมนุษย์ได้อย่างแจ่มชัด ตั้งแต่ใหญ่จนเล็ก ข้าพเจ้าสามารถอธิบายพัฒนาการของมนุษยชาติทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญทั้งสิ้น  ข้าพเจ้าจึงไม่ไปสนใจมัน  จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าพูดออกมาล้วนเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของพวกท่านข้าพเจ้าจึงพูด  จุดฐานของการรับรู้เกือบจะทั้งหมดของวิทยาศาสตร์   จุดฐานการรับรู้ต่อ สสาร จักรวาล  ชีวิตนั้นล้วนมีความผิดพลาด รูโหว่บนฟ้าของทวีปออสเตรเลีย ก็คือช่องโหว่ของชั้นบรรยากาศโอโซนที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าของขั้วโลกใต้ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันบอกว่าเกิดจากมลพิษทางอากาศและสารที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศคือซีเอฟซี(คลอโรฟลูออโรคลอไรด์) กับก๊าซพิษอื่น เกี่ยวกับที่สิ่งนี้ก่อให้เกิดการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนนั้น  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ทุกสิ่งในจักรวาลนี้ล้วนมีชีวิต  ล้วนเคลื่อนไหวได้  อวกาศที่กว้างใหญ่ไพศาลท่านมองไม่เห็นมัน  แต่ละชั้นๆๆๆ ท่านนับไม่ถ้วนว่ามีเท่าไร  พวกเขาล้วนเป็นชีวิต ล้วนเป็นเทพ อุตสาหกรรมที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันนำมานั้นได้ทำลายสภาพแวดล้อมของการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างร้ายแรง จุดนี้จริงแท้แน่นอนทีเดียว  ไม่ใช่ว่าการทำลายชั้นบรรยากาศนั้นที่ก่อให้เกิดช่องโหว่บนฟ้าที่ขั้วโลกใต้ คนทำลายเทพไม่ได้ ทำไมมันไม่เกิดช่องโหว่ที่ยุโรปที่อุตสาหกรรมนี้เจริญก้าวหน้าละ เหตุใดจึงจำเพาะต้องเป็นที่ขั้วโลกใต้ที่ซึ่งไม่มีคนอยู่ละ เพราะเทพมองเห็นอากาศเสีย ก๊าซพิษบนโลกมีมากเกินไปแล้ว  เทพเองจึงเปิดหน้าต่างช่องหนึ่งออก ปล่อยอากาศเสียออกไปแล้วปิดกลับ ไม่ใช่อย่างที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเข้าใจ

ปัจจุบันการพัฒนาของมนุษย์ไปถึงจุดที่วิทยาศาสตร์ได้เข้าไปควบคุมอาณาจักรเขตแดนทั้งหมดไว้แล้ว  ดังนั้นคนปัจจุบันสลัดมันไปไม่พ้นแล้ว  มันกลายเป็นสภาพที่เป็นจริงทางภววิสัยของการพัฒนาของสังคมมนุษย์แล้ว  ท่านไม่ไปทำตามมัน  ก็ไม่ได้แล้ว  พวกเราทำไปโดยให้สอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญมากที่สุด  ฉะนั้นท่านก็ไปทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ของท่านให้ดี  นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน  ไม่ใช่สิ่งที่คนๆหนึ่งหรือชนชาติหนึ่งหรือประเทศหนึ่งจะสามารถสลัดพ้นไปได้  แต่ถึงแม้เป็นการทำงานท่านก็ทำมันให้ดี  ทำหน้าที่ของท่านให้เต็มที่  ทำงานของท่านให้ดี  ก็เพียงเท่านี้  ท่านอย่าถือว่าท่านกำลังทำอะไรแทนวิทยาศาสตร์อย่างไรๆ ที่จริงวิทยาศาสตร์ได้เข้ายึดครองอาณาจักรทั้งหมดของมนุษย์อย่างไม่มีช่องโหว่ ทุกสิ่งของมนุษย์แทบจะดำรงอยู่เพื่อมันทั้งสิ้น ฉะนั้นผู้คนไม่ใช่ว่าด้วยเหตุนี้ก็จะไม่ทำอะไรแล้ว  ในฐานะผู้บำเพ็ญข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านเข้าใจเหตุผล  หาใช่จะให้ท่านละทิ้งสภาพความเป็นจริงที่มีอยู่นี้ซึ่งทำให้สังคมมนุษย์ไม่มีทางสลัดพ้นได้ไม่ใช่ให้ท่านทิ้งงาน
            ข้าพเจ้าพูดออกมาว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสนาหนึ่ง  และเป็นศาสนาที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์  มันให้ท่านรับรู้จากด้านวัตถุ จากนั้นบรรลุสู่ความเชื่อทางด้านจิตใจของท่าน แต่ศาสนาที่แท้จริงนั้นให้ท่านเข้าใจจากเหตุผล  เข้าใจมันอย่างแท้จริงจากด้านความนึกคิดของท่าน สุดท้ายบรรลุได้ถึง จากภาวะไร้รูป เป็นมีรูป สุดท้ายสามารถรับรู้มันอย่างแท้จริงจากด้านวัตถุ  หลังจากหยวนหมั่นก็กลับไปสู่สวรรค์  มันเป็นขั้นตอนหนึ่งอย่างนี้  วิทยาศาสตร์นั้นกลับกัน  มันเริ่มต้นจากด้านวัตถุนำพาจิตใจคน แต่ศาสนานั้นนำพาการเปลี่ยนแปลงด้านวัตถุจากการรับรู้ด้านจิตใจ  เหตุผลที่ข้าพเจ้าพูดนี้ก็คือให้ท่านเข้าใจมัน  ในเมื่อมันได้กลายเป็นสภาพความเป็นจริงของสังคมไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ใช่ต่อต้านวิทยาศาสตร์ ที่กลายเป็นที่พึ่งพาในการดำรงชีพของคน  ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของการคงอยู่ของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน

ศิษย์                 เรียนเชิญท่านอาจารย์พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผลกรรมกับความเมตตาดีไหม

อาจารย์            ท่านถามเรื่องความเมตตา  ข้าพเจ้าก็จะปรับแก้ความคิดของท่าน  ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่านว่าอะไรคือความเมตตา ผู้คนอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ รู้สึกว่าฉันผ่านชีวิตด้วยความสุขสบาย  ไม่มีภัย  ไม่มีความลำบาก  ชื่นมื่นทั้งวัน  อิสระเสรี  เงินทองก็ไม่ขาด  มีทุกสิ่งที่ต้องการหมด คนจึงรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าเมตตาคน ปฏิบัติต่อคนดีมากทีเดียว ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน พระผู้เป็นเจ้าไม่เป็นเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ นั่นคือไม่ดีต่อท่านอย่างมากแล้ว  เนื่องจากหลักการของคนนั้นกลับกันใช่ไหม  ทุกท่านทราบว่า คนมีชีวิตอยู่บนโลก  ก็ต้องมีการติดต่อกับสังคม  เช่นนั้นคนจึงสามารถก่อกรรม  พระเยซูตรัสว่า คนนั้นมีบาป  เพราะมีบาปจึงตกลงมาที่มิติของคนนี้  อยู่ในมิตินี้แต่ละชาติ แต่ละภพล้วนก่อกรรมไว้  ล้วนทำบาปไว้  ท่านคิดจะสะดวกสบาย นั่นมิใช่ไม่ได้ชดใช้กรรมหรือ  ถ้าไม่ชดใช้กรรม  บวกกับกรรมที่ก่อไว้ในชาตินี้  ในภพต่อไปแม้แต่ร่างมนุษย์ก็ไม่อาจได้รับ  ท่านย่อมจะกลับชาติไปเกิดแย่ลง  ถ้าท่านก่อกรรมอีก ก็ได้แต่ตกนรก  และตกลงไปอีก ก็ดับสลายแล้ว   ฉะนั้นพิจารณาจากหลักการนี้   ท่าน

ว่าพระผู้เป็นเจ้าควรปฏิบัติต่อท่านอย่างไรจึงจะดีที่สุดละ นี่ก็คือเรื่องผลกรรม

            แต่ข้าพเจ้ามองความเมตตาที่แท้จริงอย่างไรละ  หากคนๆหนึ่งไม่เลวเลยจริงๆ  ในชีวิตนี้เขาจะพบกับทุกข์ภัยต่างๆ ในท่ามกลางทุกข์ภัยเหล่านี้ จุดประสงค์คือให้เขาชดใช้กรรมที่ติดค้างแต่ปางก่อน รีบชดใช้คืนให้หมดในชาตินี้ มีร่างกายคนในชาตินี้ คืนหนี้หมดท่านก็ได้ขึ้นสวรรค์ไป  เสพสุขนิรันดร์กาล  ดังนั้นอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ เขาจะประสบความทุกข์  ฉะนั้นทุกท่านลองคิดดู อย่างไหนคือความเมตตาที่แท้จริงละ พระพุทธมองปัญหากับคนมองปัญหาไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง คนธรรมดาสามัญรู้สึกว่า หากพระพุทธให้คนได้เสพสุขในหมู่คนธรรมดาสามัญ นี่จึงจะเป็นความเมตตาของพระพุทธต่อตัวเขา เทพเมตตาเขาแล้ว ในทางกลับกัน หากเขาต้องได้รับทุกข์ เขาก็จะโทษฟ้าโทษดิน  โอย  พระผู้เป็นเจ้าทำไมไม่ดูแลฉันละ  ฉันเป็นคนที่ถูกลืม   ที่แท้พระผู้เป็นเจ้ากำลังดูแลท่าน ให้ท่านชดใช้กรรม  จะได้กลับไปได้หนา   กลับไปสู่สถานที่ที่ไม่เกิดและไม่ดับสลาย ไม่ตกลงไป ช่างดีเพียงไร  นั่นจึงเป็นความเมตตาที่แท้จริง  ทุกท่านทราบว่า พวกท่านกำลังบำเพ็ญ  เหตุใดข้าพเจ้าไม่นำความทุกข์ของพวกท่านทิ้งไปทั้งหมด ไม่ต้องให้ท่านข้ามด่าน เอาพวกท่านขึ้นไป ก็จบเรื่องแล้วหรือไม่ใช่หรือ นี่ช่างเมตตาเพียงไร นี่ใช้ไม่ได้ สิ่งที่พวกท่านติดค้างพวกท่านต้องใช้คืนเอง รีบใช้คืน รีบใช้คืน  ข้าพเจ้าจึงสามารถช่วยเหลือพวกท่านโดยเร็วได้ ไม่ใช่เหตุผลเช่นนี้หรือ ข้าพเจ้าพูดถึงความเมตตาจากอีกแง่มุมหนึ่ง  อะไรคือความเมตตา  ฝ่านั้นบรรยายให้กับพวกท่าน ไม่ใช่บรรยายให้กับคนธรรมดาสามัญ  พวกท่านต้องจำจุดนี้ไว้ตลอดกาล  คนธรรมดาสามัญนั้นจะอยู่ในวังวนตลอดกาล  เขาไม่อาจรู้เหตุผลเหล่านี้ได้  และคนก็คือคน  ส่วนพวกท่านผู้ฝึกก็คือผู้ฝึก  ผู้บำเพ็ญกับคนธรรมดาสามัญจะไม่เหมือนกันตลอดกาล

            มีอยู่จุดหนึ่ง ข้าพเจ้าสามารถบอกพวกท่าน  เรื่องใต้หล้านั้นไม่มีความบังเอิญ  เทพอยู่ที่ไหนเฝ้ามองอยู่ละ  มิตินี้มีผู้ที่ดูแลการกลับชาติไปเกิด  มีผู้ที่ดูแลความมั่นคงของสังคม  มีผู้ที่จัดวางระบบสังคม มีผู้ที่ควบคุมความมั่นคงของโลก  มีผู้ที่ดูแลอากาศธาตุ  มีผู้ที่ดูแลส่วนประกอบนานาชนิดของอากาศธาตุ ยังมีที่ดูแลเทพต่างๆที่ทำเรื่องอะไรอยู่บนโลก ในนี้ล้วนมีเทพทุกชนิด  เขาจะไม่ดูแลเรื่องเหล่านี้หรือ ในสังคมคนธรรมดาสามัญคิดจะให้เกิดเรื่องอะไรก็เกิดเรื่องอะไร

ตามสะดวกได้หรือ  ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ศิษย์                 หลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกันนั้น ใช่หรือไม่ว่า ณ มิติที่สูงมาก หนึ่งในสสารสองชนิดนี้อยู่ใกล้เจิน ซั่น เหยิ่น มากยิ่งขึ้น

อาจารย์            ไม่ใช่เข้าใจกันอย่างนี้ ทั่วทั้งจักรวาลล้วนแต่ประกอบขึ้นจาก เจิน ซั่น เหยิ่น  ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน สสารทั้งสองชนิดนี้ในจักรวาลต่างสร้างขึ้นมาจาก เจิน ซั่น เหยิ่น   ถ้าจักรวาลมีเพียงด้านบวกอยู่ กล่าวสำหรับชีวิตแล้วก็น่าสงสารมาก เขาไม่มีทั้งความสุขสบายและความเจ็บปวด  มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย  ก็เพราะมีทุกข์ภัย มีความเจ็บปวด พอเขาได้รับความสุขสบาย เขาจึงจะรู้ค่า  น่าทะนุถนอม เขาจึงจะรู้สึกว่าการมีชีวิต เป็นสิ่งที่มีรสชาด  ดังนั้นในจักรวาลมีด้านบวกคงอยู่  จึงจัดวางด้านลบให้กับชีวิตด้วย ในขณะเดียวกันยังสามารถสลายกรรมให้กับชีวิต

 

ศิษย์                 หลังจากแก้ไขปัญหารากเหง้าแล้ว   พอเอ่ยถึงการปกป้องต้าฝ่า ผมก็รู้สึกว่าเลือดเดือดพล่าน  เรียนถามท่านอาจารย์สภาพการณ์เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์            ไม่ถูก ไม่ถูก  ทุกท่านต้องระวังไว้  เรื่องที่ข้าพเจ้าเพิ่งเอ่ยถึงก็คือมีด้านบวก  มีด้านลบ   ด้านลบ  พอลงมาข้างล่างก็คือด้านที่ชั่วร้าย ด้านบวกพอลงมาข้างล่างก็คือด้านที่เมตตา  ดังนั้นข้าพเจ้าจะบอกพวกท่าน  เราอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญก็ไม่อาจทำเรื่องต่างๆเหล่านั้นเหมือนที่คนธรรมดาสามัญทำกันอย่างเด็ดขาด  เราต้องใช้ประโยชน์จากด้านบวก  องค์ศากยมุนีตรัสว่า สรรพชีวิตต่างมีจิตพุทธ  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  สรรพชีวิตก็มีจิตมารอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน ก็คือในชีวิตหนึ่งจะมีจิตมารและจิตพุทธคงอยู่ในเวลาเดียวกัน ในสถานการณ์ที่คนกำลังเกิดโทสะ ฉุนเฉียว ไม่มีสติสัมปชัญญะก็คือจิตมาร เมื่อคนอยู่ในสภาวะที่มีสติสัมปชัญญะ  สุภาพอ่อนโยน มีเมตตานั่นคือจิตพุทธ  จิตที่ต่างกันสองชนิดจะแสดงออกมาในสภาวะที่ต่างกัน  ดังนั้นเราจะใช้ด้านที่ดีงามตลอดไป ช่วงระยะหนึ่งก่อนหน้านี้สถานีทีวีรายงานข่าวที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับพวกเรา เมื่อพวกเราไปพบพวกเขา  ทุกท่านต่างก็ไปอธิบายกับพวกเขาอย่างมีสติสัมปชัญญะ ด้วยเจตนาดีอย่างยิ่ง  ตอนนั้นคนที่ไปมีมาก ไม่ใช่ว่าเมื่อคนไปกันมากก็จะไม่ดี สามารถจะแบ่งแยกได้ว่าดีหรือชั่ว จากท่าทีและวิธีการที่ทำ (พวกเราที่ไป)ทั้งหมดใช้ความสุภาพอ่อนโยนชี้แจงด้วยเหตุผล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาการเมืองของประเทศ ไม่ทำลายของสาธารณะ  ทุกท่านสามารถเป็นเหมือนผู้บำเพ็ญ  ไปชี้แจงเหตุผลของเรากับพวกเขา พวกเขามีความประทับใจมาก  ไม่เคยได้พบคนอย่างนี้  ตรงกันข้าม เหตุใดสังคมมนุษย์จึงมีความรุนแรง  คนธรรมดาสามัญพอจะพูดเรื่องอะไรให้กระจ่างพูดเหตุผลอะไร ก็เลือกใช้การเดินขบวนสำแดงพลัง  เกิดความรุนแรง ร้องตะโกนส่งเสียง  กระทั่งใช้กำลังทหาร(ป่าเถื่อน)  เพราะคนมีด้านที่เป็นมาร  นั่นคือคนธรรมดาสามัญ  พวกเราในนี้เป็นผู้บำเพ็ญ  พวกเราใช้แต่ด้านที่ดีงาม ไม่ใช้ด้านที่ชั่วร้าย  คนธรรมดาสามัญใช้ดีชั่วทั้งสองด้าน    คนธรรมดาสามัญแม้จะพูดเหตุผลกัน   แต่ก็ใช้ความรุนแรงด้วย    พอพูดไม่

เข้าใจกันก็จะลงมือตี  ด่าว่า คนธรรมดาสามัญมีทั้งด้านดีและชั่ว

ศิษย์                 ท่านอาจารย์พูดว่า  ตอนที่กวาดล้างจักรวาลมีมนุษย์ต่างดาวหนีมาอยู่บนโลก  เช่นนั้นรูปแบบการคงอยู่ของพวกเขาคือการสิงร่างหรือเป็นรูปแบบอะไรอย่างอื่น
อาจารย์            ก่อนอื่นข้าพเจ้าจะพูดว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไร  ทุกท่านทราบ  โลกของเรานี้ไม่ใช่ดาวเพียงดวงเดียวในจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่  โลกก็ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว  ที่ข้าพเจ้าพูดคือว่า ในโลกนี้ ณ ตำแหน่งนี้  เมื่อก่อนเคยมีโลกของเมื่อก่อนนี้  โลกของเมื่อก่อนเหล่านั้นเสื่อมสลายไปแล้ว และบ้างก็ระเบิดสลายไปแล้ว เคยมีมากมายหลายครั้ง จำนวนตัวเลขนี้มากมายเหลือเกินแล้ว แต่ละครั้งเมื่อโลกนี้อยู่ในช่วงสุดท้าย ล้วนอยู่ในสภาพที่ชีวิตเสื่อมทรามที่สุด  เมื่อสสารไม่บริสุทธิ์แล้ว และก็ไม่อาจเอาไว้ได้อีกแล้ว ดาวทั้งดวงนี้กลายเป็นดวงดาวแห่งกรรมดวงหนึ่ง  จึงกำจัดทิ้งไป  เพราะชีวิตสามารถกลับชาติไปเกิดได้ใช่ไหม  ไปเกิดเป็นดิน  หิน  พืช สัตว์ ไปเกิดเป็นอะไรเขาก็นำกรรมติดตัวไปด้วย  ทั่วทุกหนแห่งล้วนเป็นกรรม  จึงได้กลายเป็นโลกแห่งกรรม  ถึงเวลานั้นจึงกำจัดทิ้งไป  ทว่าบนโลกยังคงมีคนที่ดีอยู่สักหน่อย  ซึ่งน้อยมาก  และก็เป็นเฉพาะคน  จึงนำพวกเขาออกมา  ไว้บนดาวอีกดวงหนึ่งในตรีภูมิ   ทว่าโลกนี้เมื่อนานไปก็ได้เปลี่ยนใหม่ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ละครั้งก็มีคนที่เหลือรอดอยู่  ดังนั้นชีวิตแบบนี้ที่เหลือรอดมา นานๆเข้าก็มีเป็นจำนวนมากแล้ว  รูปลักษณ์ของคนในแต่ละยุคสมัยที่เทพสร้างขึ้นล้วนไม่เหมือนกันเลย    ดังนั้นจึงมีความแตกต่างกันมาก   ยังมีจำนวนหนึ่งที่เกิดขึ้นบน

ดาวดวงอื่น  นี่ก็คือมนุษย์ต่างดาว      

พวกมันได้กลายเป็นเหมือนบันทึกหนึ่งของประวัติศาสตร์  ก็เหมือนหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งที่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ที่นั่นแล้ว  ก็มีประโยชน์เพียงเท่านี้เอง  มันคือบรรดาโลกในยุคปลายที่สืบทอดลงมา  มันมีเทคโนโลยีของเวลานั้นนำติดเข้าไปบนดาวดวงนั้น  ซึ่งมีจุดเริ่มที่ค่อนข้างสูง ในช่วงระยะเวลาอันยาวนาน  สภาพการณ์ทั้งหลายของจักรวาลที่พวกมันยึดกุมไว้ก็ห่างไกลกันมากกับคนบนโลกปัจจุบัน  ร่างกายของมันสามารถเข้าไปสู่อีกมิติได้  เมื่ออยู่ในสนามของอีกมิติหนึ่งก็สามารถสอดคล้องกับสภาวะของสนามของอีกมิติหนึ่ง  ก็บรรลุได้ถึงระดับนี้แล้ว  บรรดาสิ่งที่มันนั่งบินไปบินมายานพาหนะบินได้นั้นที่คนเรียกมันว่าจานบิน  ก็สามารถเข้าไปสู่อีกมิติได้  บินอยู่ในอีกกาลมิติได้  ถ้ามันเดินทางอยู่ในกาลมิติหนึ่งที่เร็วมาก  พอมันเข้าไปเพียงชั่วครู่หนึ่งก็จะไปได้ไกลมากแล้ว  ดังนั้นความเร็วของมันนั้น กล่าวสำหรับคนแล้วก็เหลือเชื่อ เชื้อเพลิงทั้งหลายที่ใช้ก็ไม่ใช่แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสสารและเทคโนโลยีชนิดนั้นที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถรับรู้ได้เลย

ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ เกิดการเบี่ยงเบนไปเรื่อยๆ จักรวาลนี้จึงเกิดการคงอยู่ของชีวิตประเภทนี้ที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ผิดปกติชนิดนั้นขึ้นจริงๆ ความโลภและตัณหาทำให้พวกมันที่นั่นเกิดเรื่องสงครามใหญ่ระหว่างดวงดาวขึ้นจริงๆ แต่ยังไม่ได้คุกคามถึงมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่มีพลังนั้นที่จะคุกคามถึงพวกมันได้  ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้โจมตีมนุษย์  หากท่านคุกคามถึงมัน  มันก็จะโจมตีมนุษย์  แต่แม้ว่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้โจมตีมนุษย์  แต่มันรู้ว่าร่างกายมนุษย์นั้นงดงามสมบูรณ์ที่สุด  ดังนั้นพวกมันจึงพอใจร่างมนุษย์  มันจึงคิดจะขโมยร่างกายมนุษย์ ใช้วิทยาศาสตร์เสริมอาณาจักรทั้งหมดของมนุษย์ให้เพียงพอ ให้คนเชื่อมั่นและพึ่งพาวิทยาศาสตร์ วิธีคิดและรูปแบบการคงอยู่ของคนกลืนกลายเข้ากับพวกมันจนหมดสิ้น พอถึงเวลานั้นพอพวกมันเปลี่ยนจิตหลักของมนุษย์ทิ้งไป(ร่างมนุษย์) ก็คือพวกมันแล้ว สุดท้ายแทนที่มนุษย์

พูดแล้วก็ยาว สังคมตะวันตกนับแต่เริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรมมันก็มากันทั่วทุกด้านแล้ว  ก่อนหน้าตอนต้นยุคนี้พวกมันก็มาแล้ว แต่มันยังไม่ควบคุม  เมื่อพวกมันมากันทั่วด้านคือเริ่มจากเมื่อสังคมชาวผิวขาวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม เพื่อการยึดครองโลกนี้ พวกมันได้เตรียมการอย่างพรั่งพร้อม ทำการจัดวางอย่างเป็นระบบ  มันก่อตั้งวิทยาศาสตร์ให้กับคน  ดังนั้นวิทยาศาสตร์นี้คือสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวทำขึ้นมา เป้าหมายของมันคือรวมคนให้เป็นเอกภาพ  เปลี่ยนความคิดของคนนี้ให้เรียบง่าย เหมือนมาตรฐานเครื่องกล ความรู้ก็ทำให้เป็นเอกภาพ  ต่อไปพวกมันจะได้ควบคุมได้ง่าย  เข้าแทนที่คนได้ง่าย  ยังมีอีกนะ พวกมันยังเลือกบางชนชาติเป็นกองหน้าของมันในการควบคุมมนุษย์อย่างทั่วด้านในอนาคต ญี่ปุ่นคือกองหน้าที่มันกระตุ้นด้านเทคโนโลยี สหรัฐอเมริกาคือกองหน้าในการลบล้างวัฒนธรรมเก่าแก่ทั้งหมดบนโลก แม้แต่วัฒนธรรมของประเทศที่เก่าแก่ที่สุด ปิดกั้นที่สุดล้วนไม่อาจรอดพ้น  ทั่วโลกล้วนถูกวัฒนธรรมยุคปัจจุบันโจมตี  ส่วนอังกฤษคือกองหน้าด้านการสร้างเครื่องจักรกลในยุคต้น  ส่วนสเปนกองหน้าด้านการผสมปนเปชาติพันธุ์มนุษย์ วิธีการที่มนุษย์ต่างดาวจะให้คนสลัดทิ้งเทพคือการผสมชาติพันธุ์คน ทำให้คนกลายเป็นคนที่ไม่มีรากเหง้า ก็เหมือนกับการผสมข้ามพันธุ์พืชของผู้คนในวันนี้ คนอเมริกาใต้  คนอเมริกากลาง  คนเม็กซิโกและคนตะวันออกเฉียงใต้จำนวนหนึ่งล้วนถูกผสมจนพันธุ์มนุษย์ยุ่งเหยิง แต่ทั้งหมดนี้ล้วนหลบไม่พ้นสายตาของเทพ  มนุษย์ต่างดาวนั้น มันได้เตรียมการอย่างพรั่งพร้อมเหลือเกินที่จะเข้าควบคุมคน

คนที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์  ทุกๆ คนล้วนถูกจัดเรียงหมายเลขไว้แล้ว  แน่ละผู้ฝึกเราไม่มีปัญหานี้  พอพวกท่านได้ฝ่าแล้ว ข้าพเจ้าจะขจัดร่างกายชั้นนั้นที่ถูกพวกมันยึดครองทิ้งไปทั้งหมด  พวกมันได้สร้างร่างกายชั้นหนึ่งของพวกมันไว้ในร่างกายคนแล้ว  ช่างน่ากลัวมาก คือผู้คนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย  สิ่งที่เรียนทั้งหมดนั้นคือวิทยาศาสตร์ที่พวกมันนำพามา  ยังมีทุกสิ่งที่มนุษย์ทุกวันนี้ใช้กันล้วนแต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง  เหตุใดแรงบันดาลใจทั้งหมดอันเป็นที่มาของความคิดคนในด้านคอมพิวเตอร์ ในด้านเทคโนโลยีจึงพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนั้น  เพราะมนุษย์ต่างดาวควบคุมร่างกายชั้นนั้นของพวกมันที่ก่อเกิดขึ้นในตัวมนุษย์ทำขึ้น   ก็คือเนื่องจากวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยีของพวกมันในร่างกายคนก่อเกิดสิ่งของชุดนี้ที่ควบคุมความคิดคนให้ทำอย่างนี้ ขณะนี้คอมพิวเตอร์ก้าวหน้าอย่างเหลือเกินแล้ว  มันไม่ใช่เทคโนโลยีของคน หากมนุษย์เป็นเช่นนี้นานไป ก็จะเผชิญกับการถูกมนุษย์ต่างดาวแทนที่ แต่ทุกท่านคิดดู มนุษย์ต่างดาวที่แท้คือชีวิตภายในตรีภูมินี้ของคนธรรมดาสามัญ  มันกล้าทำอย่างนี้ ก็มีมูลเหตุอย่างอื่น  ก็เป็นเหตุเนื่องจากจักรวาลเบี่ยงเบนจากฝ่า  เทพไม่ดูแลแล้ว ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับชีวิตในระดับสูง  หากจะหมุนเรื่องนี้กลับจำเป็นต้องหมุนกลับจากข้างบน เนื่องจากพวกมันมีทัศนคติอย่างหนึ่ง เข้าใจว่าคนใช้ไม่ได้แล้ว  ศีลธรรมก็เสื่อมทรามแล้ว  ล้วนไม่ไหวแล้ว  จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเถอะ  ถึงอย่างไรก็จะกวาดล้างทิ้งอยู่แล้ว  พระพุทธเมตตาต่อคน เป็นเพราะพระยูไลกับพระโพธิสัตว์อยู่ใกล้มนุษย์ที่สุด  เป็นพระพุทธชั้นต่ำที่สุดชั้นหนึ่ง  พระพุทธที่สูงกว่าพระพุทธชั้นนี้มากๆ  เมื่อท่านหันกลับมามองพระยูไลพุทธก็เห็นเป็นคนธรรมดาสามัญ  เช่นนั้นแล้วคนจะเป็นอะไรได้ละ ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น พอเห็นว่าไม่ดีแล้ว ก็ทำลายทิ้งแล้วสร้างใหม่  ก็เป็นแนวคิดนี้ ความเมตตาในสมองของพวกเขาไม่ใช่มีต่อคนแต่มีต่อพระพุทธ  เทพชั้นสูงยิ่งขึ้นนั้น เขาหันหน้ามามองดู ก็จะพูดว่าคนนั้นที่แท้ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ยังเทียบไม่ได้กับจุลชีพด้วยซ้ำ เป็นเหตุผลอย่างนี้ใช่หรือไม่ บางคนยังพูดว่า อาจารย์ท่านช่วยเหลือพวกเรา ท่านควรจะช่วยอย่างนี้ ช่วยอย่างนั้น ข้าพเจ้าว่า  ถ้าพระพุทธไม่ช่วยเหลือพวกท่าน  จิตใจไม่สบายใจเกิดความอยากใช่หรือไม่ ไม่ใช่เช่นนี้  เพราะพระพุทธเมตตาคน เมตตาพวกท่านจึงทำเช่นนี้  คนไปเลือก ไปคิดว่าจะได้รับการช่วยเหลืออย่างไร  จะบำเพ็ญอย่างไร  คนนั้นไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่

มนุษย์ต่างดาวนี้ก็คือสภาพการณ์เช่นนี้ เนื่องจากข้างบนกำลังกวาดล้างพวกมัน พอกวาดล้าง   พวกมันก็ค้นพบ(ว่าเกิดการกวาดล้าง)แล้ว   ดังนั้นพวกมันจึงหนีมาที่นี่  หลายปีมานี้ก็มากเป็นพิเศษ แต่พวกมันไม่รู้ว่าข้าพเจ้าทำเรื่องนี้ก็มีการจัดวางอย่างเป็นระบบ พวกมันหนีไปที่ไหนก็ไม่พ้น เรื่องชั่วร้ายทั้งหลายที่พวกมันทำล้วนต้องชดใช้ จุดนี้แน่นอนทีเดียว หลักการนี้ของจักรวาลต่อชีวิตใดๆล้วนแต่สมเหตุสมผลแน่นอน ดังนั้นทุกสิ่งที่พวกมันทำ พวกมันต้องไปชดใช้  พูดถึงว่าสุดท้ายจะจัดการกับชีวิตของพวกมันอย่างไร  ต่อไปจะไม่มีมนุษย์ต่างดาวคงอยู่อีกอย่างเด็ดขาด  หากในหมู่มนุษย์ต่างดาวยังมีคนดีอยู่จริง  ชีวิตของเขาสามารถกลับชาติไปเกิดเป็นชีวิตอื่น  ส่วนชีวิตที่ไม่ดีต้องกวาดทิ้งไป  ดังนั้นทุกสิ่งที่ชีวิตทั้งหมดทำไปล้วนเป็นการจัดวางตำแหน่งในอนาคตของตนเอง    รวมทั้งคนทั้งหลาย 

คนทำอะไรไว้ ก็เป็นการจัดวางตำแหน่งของตนเอง

            ขณะนี้มนุษย์ต่างดาวจำนวนมาก พวกมันหนีเข้ามาเพื่อเอาชีวิตรอด พวกมันรู้แล้วว่าสุดท้ายพวกมันก็ยากจะหลบพ้นแล้ว ดังนั้นจึงมีมนุษย์ต่างดาวส่วนหนึ่งได้แต่งงานกับคนบนโลก แต่ไม่ใช่การแต่งงานตามปกติ ใครก็ไม่อยากแต่งงานกับพวกมัน พวกมันจับสาวชาวชนบทคนหนึ่งไป เพราะคิดจะมีทายาทสืบทอดรุ่นต่อไป ยังมีบางคนซ่อนแฝงอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไม่ว่าพวกมันจะซ่อนแฝงอย่างไรก็ซ่อนไม่มิด พลังกงที่ยิ่งใหญ่นั้นขึ้นมาจากระดับจุลทรรศน์  ไม่ว่าคุณจะเป็น ทองเหลืองเอย  เหล็กเอย  ไม้  คน น้ำ หิน อากาศ  พืช  สัตว์  สสารต่างๆเป็นต้นล้วนแต่มาจากระดับจุลทรรศน์สู่ชั้นผิว ท่านว่าพวกมันจะหลบที่ไหนได้ละ  ครอบคลุมทั่วไปหมด  ล้วนแต่กำลังทะลวงขึ้นสู่ชั้นผิว  ดังนั้นพวกมันมองเห็นแล้ว  ไม่มีที่หลบ  ไม่มีที่ซ่อน  พวกมันคงอยู่อย่างไรหรือ  ไม่ใช่สิงร่าง  แต่พวกมันบางส่วนแปลงเป็นร่างคนเดินอยู่บนถนน  ท่านก็ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร  บ้างก็หลบซ่อนแล้วไม่ออกมา  แต่มีจำนวนน้อยมากๆ  น้อยเหลือเกิน  ที่ผ่านมาพวกมันสามารถหลบซ่อน  จานบินของพวกมันสามารถบินขึ้นมาวิ่งไปสู่อีกมิติ แต่อีกมิติได้รับการแก้ไขจัดการหมดแล้ว  ทั้งหมดนั้นคือพลังกงที่ยิ่งใหญ่กำลังข้ามมาที่นี่  พวกมันก็ซ่อนไม่ได้แล้ว  พวกมันได้แต่ซ่อนอยู่ในถ้ำภูเขาที่ไหนสักแห่ง ใต้ทะเลในมิตินี้  แต่นั่นก็หลบซ่อนไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรปัญหาที่พวกมันเผชิญอยู่ก็คือเช่นนี้  ชีวิตทั้งปวงกำลังจัดวางตำแหน่งของตนอยู่ในเรื่องนี้ 

ศิษย์                 วิทยาศาสตร์ของสังคมคนธรรมดาสามัญนั้นไม่ถูกต้อง  พวกเราสามารถเลี่ยงการกรอกใส่ความรู้ของคนธรรมดาสามัญ แล้วเข้าสู่การบำเพ็ญโดยตรงได้หรือไม่

อาจารย์            เราจะพูดจากอีกมุมหนึ่ง (วิทยาศาสตร์)ก็สามารถยกระดับขึ้นได้จากด้านความรู้  ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าเพื่อให้คนเข้าใจ ข้าพเจ้าก็ใช้ทัศนคติของคนปัจจุบันในการบรรยาย ทางด้านความรู้มันก็สามารถเปิดเส้นทางความคิดของคน  และเป็นประโยชน์ต่อการได้รับฝ่า  ถ้ามีระดับการศึกษาต่ำมาก เมื่อข้าพเจ้าพูดคำศัพท์ในปัจจุบันออกมา  ก็ยากที่จะเข้าใจได้  แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่มีมันก็จะใช้ไม่ได้ ถ้าไม่มีวัฒนธรรมยุคปัจจุบันชนิดนี้ที่วิทยาศาสตร์ชักนำมา ข้าพเจ้าสามารถใช้ภาษาโบราณบรรยายฝ่า  ไม่ต้องใช้รูปแบบปัจจุบันนี้บรรยาย  แต่ปัจจุบันสังคมก็เป็นเช่นนี้แล้ว ดังนั้นพวกท่านไปทำให้สอดคล้องกับสภาพสังคมคนธรรมดาสามัญก็ไม่เป็นไร ขณะนี้ก็ได้แต่เป็นอย่างนี้แล้ว  ข้าพเจ้าคิดว่าในฐานะผู้บำเพ็ญไม่ว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก  ไม่ว่าพวกท่านอยู่ในตำแหน่งอะไรท่านสมควรทำทุกสิ่งของท่านให้ดี เป็นนักเรียนท่านก็เรียนหนังสือให้ดี  ผู้ที่ทำงาน ท่านก็ทำงานให้ดี  หากท่านสร้างรูปแบบพิเศษเฉพาะขึ้นมา  เช่นนั้นรูปแบบการบำเพ็ญของพวกท่านอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ก็จะเกิดความยากลำบากในการบำเพ็ญและการดำรงชีพ  แม้ว่ามนุษย์ต่างดาวนำพาวิทยาศาสตร์ของพวกมันมาให้คนในการบรรลุเป้าหมาย  แต่เทพยึดกุมทุกสิ่งเอาไว้ และในทางกลับกันก็ใช้ประโยชน์จากพวกมัน

 

ศิษย์                 พวกเราควรใช้เวลาในการบำเพ็ญให้มาก และใช้เวลาไปทำงานของคนธรรมดาสามัญให้น้อยใช่หรือไม่
อาจารย์            ไม่ใช่แนวคิดนี้  ท่านต้องพยายามทำงานของพวกท่านให้เสร็จตามเวลาทำงานของคนธรรมดาสามัญข้าพเจ้าคิดว่าต่อให้ยุ่งอย่างไรท่านก็ยังมีเวลาฝึกพลังและอ่านหนังสือ  ก็คือเช่นนี้  ข้าพเจ้า

ว่าในฐานะศิษย์ที่ก้าวหน้าคนหนึ่ง ในใจของท่านควรใช้เวลาว่างในการบำเพ็ญให้มาก

ศิษย์                 พวกเราควรเจาะจงไปหาสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนเพื่อไปบำเพ็ญหรือไม่

อาจารย์            ไม่จำเป็น อย่าเอาแต่คิดจะทำอะไรด้วยความหมายมั่น  คิดจัดวางเส้นทางการบำเพ็ญด้วยตัวเองไม่ได้  อย่าเจตนาคิดให้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น  ทางของพวกท่านนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้จัดวางให้ ถ้าพวกท่านคิดจะบำเพ็ญก็คือเช่นนี้  ท่านควรทำอะไรท่านก็ไปทำอะไร  ในประเทศจีนหลายคนพอฝึกพลังแล้ว ทันใดนั้นก็ไม่ใส่ใจเรื่องการแต่งกายแล้ว เดิมทีควรแต่งตัวให้เหมาะสม สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดเรียบร้อย สมกับที่เป็นคน แต่ว่าหล่อน(เขา)สกปรกมอมแมม  กระทั่งไม่รู้จักอาย  นี่ใช้ไม่ได้  นี่ไม่ใช่การบำเพ็ญเต๋าสมัยจางซานเฟิง วันนี้พวกท่านบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  อย่างน้อยต้องให้สมกับที่เป็นคน  เทพนั้นสูงกว่าคน ควรทำให้ดียิ่งขึ้น  ในด้านไหนๆล้วนควรทำให้ดียิ่งขึ้น  อย่าได้ทำอย่างนี้คือพอฝึกพลังแล้วอะไรก็ไม่สนใจแล้ว มอมแมมทั้งวัน สกปรกเลอะเทอะ นี่ใช้ไม่ได้ พูดจากแง่มุมไหนท่านก็กำลังทำลายภาพลักษณ์ของต้าฝ่า  เป็นเช่นนี้ใช่ไหม  ดังนั้นการเปิดประชุมครั้งนี้ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ให้แจ้งกับผู้รับผิดชอบโดยรวมว่า   ข้าพเจ้าขอว่าการแต่งกายของทุกท่านให้สะอาดเรียบร้อย  อย่าทำให้ผู้คนมองดูแล้วไม่เหมาะสม ใช่หรือเปล่า  เศรษฐกิจของประเทศจีนในปัจจุบันหลายปีมานี้ก็ไม่เลว ใส่เสื้อผ้าที่ดีสักตัวก็ไม่นับว่าลำบากอะไร   ที่ข้าพเจ้าพูดนี้หาใช่ว่าจะต้องใส่แต่เสื้อผ้าอย่างดี  อย่างน้อยที่สุดท่านควรใส่ใจการแต่งตัวสักหน่อย  แต่งตัวให้เรียบร้อยสักหน่อย  จำไว้ว่าพวกเราบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร  เรื่องการบำเพ็ญพวกเราเองอย่าจัดวางสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญให้กับตนเอง

ศิษย์                 เด็กอายุสี่ขวบตาทิพย์เปิดแล้ว สามารถมองเห็นฝ่าหลุนและชื่อของอาจารย์เปล่งแสง  แต่บางครั้งเอาแต่ใจตนเอง  ผู้ใหญ่ไม่ตามใจเขาก็ร้องไห้งอแง โวยวายจนแทบจะทนไม่ไหว

อาจารย์            “โวยวายจนแทบจะทนไม่ไหว” ท่านไม่ได้เขียนตัวท่านเองออกมาที่นี่แล้วหรือ  ท่านทนไม่ไหว ทนไม่ไหวก็คือท่านเกิดอารมณ์แล้ว  เด็กนั้นมิใช่กำลังช่วยท่านยกระดับอยู่หรือ

ศิษย์                 เด็กอายุสองขวบเมื่อมองเห็นฝ่าหลุนก็พูดอย่างตื่นเต้นดีใจพูดว่า “ฝ่าหลุน” มองเห็นรูปถ่ายอาจารย์ก็พูดว่า “อาจารย์” ยังมักจะนั่งอยู่บนพื้นพนมมือ พูดว่า “ฝึกพลัง” บางทีเปิดเทปบรรยายของอาจารย์เธอก็พูดว่า “ฟังอาจารย์บรรยาย”

อาจารย์            เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็ไม่ธรรมดาอย่างมากแล้ว เพราะเธอเพิ่งสองขวบใช่ไหม  เด็กอย่างนี้อาจจะมารับฝ่า  ศิษย์น้อย  ผู้ฝึกตัวน้อยๆ สี่ห้าขวบ ห้าหกขวบของเราที่บำเพ็ญได้ดี มีมาก มาย  น่าอัศจรรย์มาก พวกเขาบางคนมีอิทธิฤทธิ์มาก  คนส่วนนี้มีค่อนข้างมาก  คนครอบครัว  ไหน จะได้ฝ่าในอนาคต    เทพข้างบนก็มองเห็นได้ชัดมาก   คนบ้านนี้จะได้ฝ่า  ไม่แน่ว่าเขาก็จัด

วางไว้เสร็จแล้ว  ก็ต้องไปจุติ  ไปจุติสามารถจะได้รับฝ่าหนา

ศิษย์                 บริเวณโรงพยาบาลจะมีกรรมมากกว่าบริเวณอื่นหรือไม่
อาจารย์            กล่าวสำหรับโรงพยาบาลหนึ่งของสังคมคนธรรมดาสามัญ  แผนกรักษาโรคหนึ่ง  ชี่แห่งโรคดูเหมือนจะมากสักหน่อย   แต่ในฐานะผู้ฝึกพลังท่านจะกลัวอะไรละ  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราผู้ฝึก

พลัง  สิ่งเหล่านี้ล้วนทำอะไรเราไม่ได้เลย 

ศิษย์                 ทำงานชันสูตรโรคอยู่ในโรงพยาบาลจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อผู้ฝึกพลังหรือไม่
อาจารย์            หากเป็นงานของท่าน ท่านก็ไปทำ ไม่เป็นไร เพราะเป็นคนตายแล้ว เราพูดถึงการไปบำเพ็ญให้สอดคล้องที่สุดกับสังคมคนธรรมดาสามัญ  อย่าได้เป็นเพราะพวกเราบำเพ็ญแล้ว  ก็จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบทั้งหมดของสังคมคนธรรมดาสามัญ  นี่ใช้ไม่ได้

 

ศิษย์ – ปากไม่ได้ด่าคน  แต่ใจด่า  จะเสียกุศลด้วยใช่ไหม

อาจารย์ – บางคนบอกว่า  ฉันบำเพ็ญได้ดีมาก  แสดงออกได้ดีมาก  แต่จิตยึดติดในใจเขาไม่ได้ปล่อยวางแม้แต่น้อย  นั่นจะนับเป็นการบำเพ็ญได้หรือ  นั่นมิใช่ของปลอมหรอกหรือ  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงธาตุแท้จึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง  เปลือกนอกเป็นเพียงรูปแบบทั้งนั้น  ท่านด่าหรือไม่ด่า นั่นเป็นรูปแบบหนึ่ง  ใจท่านเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั่นจึงจะเป็นของแท้  ใจท่านกำลังด่าอยู่  นั่นก็แน่นอนว่าใจไม่ได้เปลี่ยนเลย  สูญเสียกุศลหรือไม่เป็นเรื่องเล็ก  ต้าฝ่าไม่ใช่ถ่ายทอดเพื่อรักษากุศลให้คนธรรมดาสามัญ

ศิษย์ – ผู้ฝึกบางคนกลัวสิ่งมีชีวิตเช่นสัตว์มีพิษเป็นต้น  ใจเหล่านี้ไม่ทิ้งไปจะหยวนหมั่นได้ไหม
อาจารย์ – นี่เป็นคนละเรื่องกัน  ทิ้งจิตหวาดกลัวไปก็เท่านั้นเอง แต่พวกเราหลายๆคนใช่ว่าจะกลัวมัน  ล้วนแต่รังเกียจสิ่งเหล่านี้ว่ามันสกปรก ความสกปรกชนิดนี้ไม่ใช่เหมือนการเห็นอุจจาระว่าสกปรกอย่างนั้น  ทว่าถือว่าของชนิดนี้เป็นของที่ไม่ดี เป็นความสกปรกชนิดนั้น  โลกในอนาคต  จักรวาลในอนาคต สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะไม่คงอยู่  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ยุคแรกเริ่มของจักรวาลไม่มีสิ่งมีพิษชั่วร้ายเหล่านี้  ต่อมาเหตุใดจึงเกิดขึ้นละ  เพราะกรรมของชีวิตนั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ  จักรวาลยิ่งนานยิ่งยุ่งเหยิง  ก่อเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมากแล้ว  ค่อยๆเปลี่ยนเป็นพิษร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการพัฒนาอย่างนี้

ศิษย์ – ในบทความจิงเหวิน “อู้”(รู้แจ้ง) กล่าวว่า  “เป็นคู่เป็นคู่ทยอยกันมา” คำว่า  “俩俩”   (เหลี่ยเหลี่ย)จะเข้าใจได้อย่างไร

อาจารย์ – นี่คือไวยากรณ์โบราณของจีน ไวยากรณ์โบราณของจีนสามารถอธิบายเรื่องได้กระจ่างนะ  ภาษากระทัดรัดได้ใจความ  อธิบายความได้กระจ่างและยังลึกซึ้ง  ความนัยที่แฝงไว้ก็มาก  เป็นภาษาที่ดีที่สุด  ภาษาที่คนในอดีตพูดกันคือภาษาสวรรค์  ภาษาเขียนของสวรรค์  ปัจจุบันศีลธรรมเสื่อมทรามแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว  จึงต้องใช้ภาษาปัจจุบัน  ฉะนั้น “เป็นคู่เป็นคู่ทยอยกันมา”นี้ ถ้าจะอธิบายขึ้นมาก็คือหมายถึง เป็นกลุ่มสามคนบ้าง  สองคนบ้าง   บางคนพอปรึกษาหารือกับคนอื่น  บอกว่าฝ่านี้ดีมาก  พวกเราสองคนไปบำเพ็ญกันเถอะ  คนๆนั้นก็รู้สึกว่าดีมาก  เขาก็มาแล้ว  เขาก็บอกคนในครอบครัวของเขาอีก นำพาคนในครอบครัวเขามาแล้ว  ดังนั้นทุกท่านต่างมาด้วยกันแบบสามคนบ้างสองคนบ้าง  พอใช้ภาษาธรรมดา(สมัยปัจจุบัน)จึงมีคำพูดมากมายและยาวยืดอย่างนี้  ใช้ “เป็นคู่เป็นคู่ทยอยกันมา ”( “俩俩相继”  ) เพียงสี่ตัวอักษรก็ครอบคลุมได้หมดแล้ว  ก็เป็นความหมายเช่นนี้  “ทยอยกันมา” ( “相继” )ละ ก็คือต่างเวลากันทยอยๆ กัน  ต่อเนื่องกัน ติดต่อกันมา  คำว่า ทยอยกัน คำนี้เมื่อจะอธิบายก็เป็นคำพูดมากมายและยาวยืด      
 
ศิษย์ – ศิษย์ต้าฝ่าที่ทำธุรกิจด้านหนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร  สามารถจะขายหนังสือของต้าฝ่าในราคาขายส่ง ไม่เอากำไรจะได้หรือไม่

อาจารย์ -ช่วงระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเองก็คิดอยู่เรื่องหนึ่ง   เนื่องจากประเทศจีนในระยะนี้คนงานที่ออกจากงาน(ที่จริงก็คือตกงาน)ค่อนข้างมาก  ในนั้นมีจำนวนที่น้อยมากที่เป็นผู้ฝึกของเรา  ต่อมาข้าพเจ้าคิดว่า ให้พวกเขาไปขายหนังสือของฝ่าหลุนต้าฝ่าดีไหมนะ  ทำเช่นนี้ทั้งสามารถแก้ไขปัญหาการยังชีพของพวกเขา  และยังแก้ไขปัญหาการขายหนังสือของผู้ฝึก  ผู้ฝึกบางคนก็ได้ทำเช่นนี้แล้ว  ต่อมาข้าพเจ้าคิดอย่างละเอียด นี่ไม่ถูก  ไม่ถูกอย่างไรละ  ทุกท่านคิดดู  ต้าฝ่าสามารถช่วยเหลือพวกเรา  ต้าฝ่าที่ศักดิ์สิทธิ์เพียงนี้  พวกเรากลับนำเขาไปใช้หาเงิน  อย่างนี้แล้วเราได้วางตนเองไว้ที่ไหนแล้วละ วางฝ่าไว้ที่ไหนแล้วละ  ทำเช่นนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ให้พวกเขาทำแล้ว   ถ้าเช่นนั้นเหตุใดในสังคมจึงสามารถทำได้ละ  เพราะข้าพเจ้าอาศัยสังคมคนธรรมดาสามัญในการถ่ายทอดฝ่า สังคมคนธรรมดาสามัญก็เป็นรูปแบบหนึ่งของปรากฏการณ์ของฝ่า ณ ระดับที่ต่ำที่สุด  ดังนั้นอาชีพต่างๆของมันจึงดำรงอยู่อย่างนี้  นี่ไม่ผิด  เพราะหากว่าหนังสือของเราไม่มีนัยที่แฝงไว้เบื้องหลัง  เป็นหนังสือหน้าขาวตัวอักษรสีดำ  นั่นก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง  เป็นเพราะมีความนัยที่แฝงไว้เบื้องหลัง  จึงบังเกิดประสิทธิผลของฝ่า  ร้านหนังสือ คนขายหนังสือของสังคมคนธรรมดาสามัญไปทำ  นั่นก็ไม่มีปัญหา  ก็คือพูดว่าสอดคล้องกับในระดับชั้นนี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญ  ในฐานะที่เป็นศิษย์ของเรา  มีปัญหานี้อยู่จริงๆ  ถ้าพวกเราอาศัยฝ่ามาหาเงิน  โดยเฉพาะหากคนจำนวนมากที่ขายหนังสือ ล้วนเป็นศิษย์ของเราอีกด้วย  เงินนี้จะใช้อย่างไร

ถ้าพวกท่านเองเปิดร้านหนังสืออยู่แล้ว  จะอาศัยเงื่อนไขที่สะดวกนี้จัดจำหน่ายหนังสือของต้าฝ่า  ไม่ได้เจาะจงสร้างร้านขึ้นมาเพื่อต้าฝ่า  แต่เปิดร้านหนังสือมานานแล้ว  เช่นนั้นข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้านพวกท่านทำเช่นนี้    เนื่องจากก่อนหน้านี้ท่านก็จัดจำหน่ายหนังสืออยู่แล้ว  แต่ข้าพเจ้าคิดว่า   เมื่อท่านรับรู้ฝ่า

ต่อไปเรื่อยๆ  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะมีวิธีการใหม่

ศิษย์ – เพื่อที่จะพบท่านอาจารย์ ไม่สนใจว่าจะทะเลาะกับคนในบ้านทั้งหมด  ถูกหรือผิด
อาจารย์ – หากท่านมาจากจีนแผ่นดินใหญ่  เป็นไปได้มากว่านี่ก็คือไม่ให้ท่านมา  และเป็นไปได้มากว่าฝ่าเซินของข้าพเจ้าไม่ให้ท่านมา ให้ท่านสงบใจบำเพ็ญ  หากท่านไม่ได้มาจากจีนแผ่นดินใหญ่  เช่นนั้นท่านเองอาจมีมูลเหตุอย่างอื่น  บางทีจะดูว่าท่านยืนหยัดหรือไม่  เป็นไปได้ทั้งนั้น   นี่ต้องให้ท่านรับรู้เอง 

ศิษย์ – ทราบว่าการบำเพ็ญต้องแข่งกับเวลา แต่ก็อยากจะมีลูก นับว่ายึดติดหรือไม่

อาจารย์ – เราพูดแล้วว่าให้บำเพ็ญโดยสอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญมากที่สุด  ศิษย์วัยหนุ่มสาวบรรดามีที่บำเพ็ญอยู่ในปัจจุบันก็มีหลายสิบล้านคนแล้ว  หากทุกท่านล้วนไม่แต่งงานมีลูก  เช่นนั้นเป็นการทำลายสังคมคนธรรมดาสามัญอย่างหนึ่งใช่หรือไม่  อย่างน้อยที่สุดข้าพเจ้าสามารถบอกท่านได้ว่า ท่านไม่ได้บำเพ็ญให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญ  แต่บางคนพูดว่าชั่วชีวิตนี้ฉันไม่คิดจะแต่งงานแน่  ฉันได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว  ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้าน  เช่นนั้นท่านก็บำเพ็ญอย่างนี้  ขอเพียงไม่ทำให้การยังชีพหรือด้านอื่นๆของท่านเกิดภาระหรือความขัดแย้งที่นอกเหนือออกไป  เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าก็จะไม่ใส่ใจ เรื่องราวบนโลก  ท่านเองเป็นผู้กำหนด  ท่านทำเอง  ที่พูดกันว่าหากมีลูกแล้วจะกระทบต่อการ

บำเพ็ญ ข้าพเจ้าว่าไม่ อันนี้ไม่อาจเป็นได้

ศิษย์ –หยวนหมั่นมีกี่รูปแบบ ล้วนแต่นำร่างแท้ไปด้วยหรือไม่

อาจารย์ – เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยพูดไปแล้ว  มีแต่ที่ไปโลกฝ่าหลุนที่จะนำร่างไป  พูดถึงไปที่อื่น  เนื่องจากพวกท่านมีคนจำนวนมากที่มาได้ฝ่าจากเขตแดนต่างๆ จากระดับชั้นต่างๆ กล่าวสำหรับข้างบนการนำร่างกลับไป  เทพกับพระพุทธจะรู้สึกว่าพวกท่านนำสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดกลับไป  ดังนั้นที่นั่นเขาไม่มีกันเลย ไม่ต้องการ  ถ้านำสิ่งนี้กลับไป  จะทำลายการบำเพ็ญชุดนั้นทั้งหมดของเขา  ตั้งใจฟังให้ดี  ไม่ว่าพวกท่านมาจากที่ไหน ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้ฝ่าที่ใหม่ และถูกต้องที่สุดหล่อหลอมเข้ากับของเดิมของพวกท่านให้กับพวกท่าน  พูดถึงว่าสิ่งที่เป็นชั้นผิวที่พวกท่านบำเพ็ญข้าพเจ้าไม่ได้ไปแตะต้อง  ก็เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะสามารถกลับไปที่เดิมของพวกท่านได้  หรือพูดว่า ถ้าท่านเป็นพระพุทธ ท่านก็จะเป็นพระพุทธ  ท่านเป็นเต๋า ท่านก็จะเป็นเต๋า  ท่านเป็นเทพท่านก็จะเป็นเทพ  รูปลักษณ์ของท่าน  ทุกสิ่งที่ท่านเคยมีล้วนแต่ไม่เปลี่ยน  พูดถึงว่าแต่เดิมหากไม่มีมรรคผล  เช่นนั้นโดยผ่านครั้งนี้สามารถทำให้ท่าน

ได้มรรคผล  จากนั้นควรไปที่ไหนก็ให้ท่านไปที่นั่น

ศิษย์ – เวลาผมฝึกพลังอยู่มักจะได้ยินเสียงดนตรีชนิดหนึ่งที่แน่นอน  ไม่ใช่ของต้าฝ่า  หวั่นใจว่ามีการรบกวนจากข้อมูล(สัญญาณ)ของอีกมิติ

อาจารย์ – ดนตรีในอีกมิติกับดนตรีของผู้บำเพ็ญเราไม่เหมือนกัน  ทว่าในอีกมิติมีดนตรีที่ไพเราะอย่างน่าอภิรมย์  ได้ยินก็ได้ยิน ไม่ต้องสนใจมัน  นั่นเป็นเสียงดนตรีในอีกมิติ และไม่ต้องกังวลใจ  ดนตรีโดยตัวมันเองไม่อาจแทนที่การบำเพ็ญ  ในขณะที่พวกท่านบำเพ็ญต้าฝ่า ข้าพเจ้าให้พวกท่านฝึกโดยฟังดนตรีนี้  จุดประสงค์คือในเวลาที่ความคิดของพวกท่านยังไม่สามารถเข้าสู่ความสงบ จึงให้หนึ่งความคิดนำพาหมื่นความคิด  หรือพูดว่าเวลาที่ท่านฟังดนตรีสมองของท่านจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน  ฟังแต่ดนตรี  เช่นนี้มีประโยชน์ต่อการฝึกพลังของพวกท่าน  แต่จะต้องเป็นดนตรีฝึกพลังของพวกเราเท่านั้น

ศิษย์ –ร่างกายของผมประสบกับการรบกวนชนิดหนึ่ง มีคำพูดกับรูปภาพ  เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว  ไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ตลอดมา
อาจารย์ – หากท่านเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงคนหนึ่ง  ไม่ว่าความมุ่งมาดปรารถนาครั้งแรกที่เข้ามาในต้าฝ่าจะเป็นความคิดอะไร  ท่านก็ต้องปล่อยวางเสีย  ท่านไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น  ท่านเองต้องแจ่มชัด  ท่านไม่ใช่มาบำเพ็ญเพื่อแก้ไขเรื่องนี้  จุดประสงค์ในการถ่ายทอดฝ่าของข้าพเจ้าคือการช่วยเหลือคน  การบำเพ็ญ ให้คนหวนคืนกลับไป  หาใช่การแก้ไขปัญหาร่างกายของคนธรรมดาสามัญ  เขา(ต้าฝ่า)เป็นสิ่งที่เข้มงวด  คนต้องกำหนดตนเองให้แน่นอนว่าจะบำเพ็ญอย่างแท้จริง  จึงสามารถจะแก้ไขปัญหาอะไรให้ท่านได้  แต่ถ้าคิดเพียงจะมาแก้ไขปัญหาอะไรของคนธรรมดาสามัญ  เช่นนั้นเราก็ไม่อาจแก้ไขให้ท่านได้เลย  ก็คืออย่างที่ว่า  ฝ่านั้นคือการบำเพ็ญ  อาทิเช่นบางคนรู้ว่าฝ่าหลุนกงไม่รักษาโรค  งั้นผมก็ไม่รักษาโรค  ไม่รักษาโรค  ผมเข้าใจแล้ว  ผมก็ไม่พูดเรื่องรักษาโรค และไม่เรียกให้คนอื่นรักษาโรคให้  แต่ในใจนั้นยังคงคิดอยู่ว่า  ขอเพียงผมฝึกพลัง  อาจารย์ต้องขจัดโรคนั้นของผมทิ้งไปอย่างแน่นอน  ท่านดู ในใจเขายังคงคิดอยู่ว่า  ขอเพียงผมฝึกพลัง อาจารย์ต้องขจัดโรคนั้นของผมทิ้งไปอย่างแน่นอน ในใจของเขานั้นฝังซ่อนไว้ลึกมาก สิ่งเล็กน้อยนั้นยังคงอยู่   เขายังคงเฝ้าคิดให้ข้าพเจ้าดูแลเรื่องโรคของเขา  หรือพูดว่า  เขายังคงยึดติดกับโรคนั้นของเขา  ถ้าเขาปล่อยวางได้จริงๆ  ไม่ไปคิดถึงมันอย่างแท้จริง  ไม่สนใจมัน  ท่านลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร  เรียกว่าได้เองโดยไม่แสวงหา  รูปแบบ วิธีการบำเพ็ญใดๆล้วนเป็นเช่นนี้ สิ่งใดๆของสังคมคนธรรมดาสามัญท่านล้วนแต่สามารถได้มาด้วยการยึดมั่นในความพยายาม  กระทั่งยึดติดกับการแสวงหายิ่งขึ้น  แต่กลับตรงกันข้ามกับหลักการของอีกมิติพอดี  คือกลับตาลปัตรกัน  ท่านพยายามคิดอยากจะได้   เวลาที่คิดจะไปทำอย่างยึดติด   อยากจะได้   ก็จะไม่ได้อะไร    แต่พอเวลาที่

ท่านยิ่งปล่อยวางยิ่งไม่ไปสนใจมัน ท่านจึงจะได้มา เรียกว่าได้เองโดยไม่แสวงหา

ศิษย์ – ขณะที่ท่านอาจารย์รำมือชุดใหญ่ในฝ่าฮุ่ยที่สิงคโปร์  บางคนรู้สึกว่าสบาย  บางคนรู้สึกน่าชื่นชม  บางคนรู้สึกรันทดใจ  เสียใจ  น้ำตาไหล  นี้เกี่ยวข้องกับระดับชั้นของการบำเพ็ญหรือไม่ 

อาจารย์ – ไม่ต่างกันนัก  โดยพื้นฐานไม่ต่างกัน  แต่ละคนรู้สึกและเข้าใจซาบซึ้งไม่เหมือนกัน

ศิษย์ – บำเพ็ญหยวนหมั่นล้วนบรรลุถึงเขตแดนของความไม่เห็นแก่ตัว  ไม่เห็นแก่ตน  เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงมีระดับชั้นแตกต่างกัน
อาจารย์ – พูดอย่างนี้ละกัน  บำเพ็ญสำเร็จเป็นอรหันต์ขั้นต้นก็เป็นการหยวนหมั่น  สามารถบรรลุถึงการหลุดพ้นของตนเองก็พอแล้ว  ไม่ต้องคิดถึงการช่วยเหลือสรรพชีวิต  และไม่ต้องคิดสนใจคนอื่น  ผู้บำเพ็ญมุมานะตนเองให้บรรลุถึงก็พอแล้ว  นี่ก็คือมรรคผลอรหันต์ขั้นต้น  หากท่านต้องการบรรลุมรรคผลพระโพธิสัตว์  ถึงแม้จะเป็นเพียงพระโพธิสัตว์ขั้นต้น  ในการบำเพ็ญ  ท่านต้องบำเพ็ญมหาเมตตา  เกิดมหาเมตตาจิต  นอกจากที่ตนเองจะหลุดพ้นแล้ว  ยังต้องช่วยให้ผู้อื่นหลุดพ้น  ท่านจะทำได้หรือไม่ได้  ท่านก็จะมีจิตใจนี้อยู่  มองเห็นสรรพชีวิตล้วนทุกข์ยาก  มองเห็นสรรพชีวิตแล้วน้ำตาไหล  และไม่ใช่แสร้งทำ  แต่เป็นจริงๆ  โดยท่านไม่คิดอะไรเลย  แน่ละในระหว่างการบำเพ็ญไม่ใช่จะเป็นสภาวะนี้อยู่ตลอดเวลา  แต่มันจะเกิดขึ้นได้  ฉะนั้นหากท่านจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธ  จิตเมตตาของท่านก็เปลี่ยนแล้ว  ท่านจะไม่เหมือนกับพระโพธิสัตว์ที่เห็นสรรพชีวิตแล้วหลั่งน้ำตา  แต่ท่านจะมีจิตเมตตา และเข้าใจยิ่งขึ้นถึงความสัมพันธ์ของมูลเหตุแห่งวาสนาของสรรพชีวิต  มองทุกสิ่งด้วยปัญญาญาณที่สูงยิ่งขึ้น   ฉะนั้นเมื่อบำเพ็ญถึงพระพุทธที่สูงกว่าพระพุทธยูไลมากๆ   พอหันกลับมามอง  จิตเมตตาชนิดนี้คืออะไรกันละ  เขาเข้าใจว่าความเมตตาของพระพุทธก็คือจิตยึดติด  เขาจะมีเมตตาต่อเหล่าเทพ  เหล่าพระพุทธ  และสรรพชีวิตในโลกพระพุทธของเขาเท่านั้น หาใช่การเมตตาต่อคนไม่   นี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เมตตา  แต่เพราะเขตแดนของเขานั้นสูงมากเหลือเกิน  กล่าวสำหรับชีวิตข้างล่างแล้วเล็กจนไร้ค่า เทียบไม่ได้แม้แต่จุลชีพด้วยซ้ำ  โดยแท้จริงแล้วก็จะไม่เห็นว่าคนที่ปัญญาต่ำจะเป็นชีวิตที่มีประโยชน์อะไรได้บ้าง  และเมื่อบรรลุถึงเขตแดนพระพุทธที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก  พอหันกลับมามอง  อ้อ พระพุทธยูไลนี้ก็ล้วนเป็นคนธรรมดาสามัญ  คนเหล่านี้ทำอะไรกันอยู่ข้างล่างนะ  แล้วเขาจะเห็นคนเป็นอะไรได้ละ  คนนั้นไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  มุดไปมุดมาอยู่ในดิน  เหมือนกับชีวิตในระดับจุลทรรรศน์มากๆ   เช่นนั้นพระพุทธที่สูงยิ่งๆขึ้นไปละ  หากท่านคิดจะบรรลุถึงสภาวะนั้น  ท่านก็ต้องบำเพ็ญไปถึงเขตแดนนั้น   ข้าพเจ้าเพียงแต่บรรยายสภาพการณ์อย่างคร่าวๆที่สุดที่ปรากฏออกมาให้ฟังเท่านั้น  แต่ไม่ใช่เพียงแค่นี้

            ฝ่าที่แท้จริงไม่สามารถให้คนรู้ได้  เพราะพวกท่านยังมีจิตมนุษย์  เขตแดนที่แตกต่างกันจะมีสภาพการณ์ที่แตกต่างกันสำหรับชีวิต  โดยเฉพาะร่างสสารของชีวิตทางด้านนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด   สมมติว่าร่างของพระพุทธประกอบขึ้นจากอะตอม  เช่นนั้นร่างของเทพ พระพุทธ  พระพุทธที่สูงยิ่งขึ้นละ  นั่นอาจจะประกอบขึ้นจากอนุภาคที่เล็กพอๆกับนิวตรอน  สูงขึ้นไปอีก อาจจะเป็นนิวตริโน่  ควาร์ก นี่คือระดับจุลทรรศน์ทั้งหมดที่คนพอจะสามารถรับรู้ได้ เช่นนั้นร่างที่ประกอบขึ้นจากสสารที่เล็กลงไป  เล็กลงไปๆๆอีกละ  ดูไปแล้วจะมีพลังงานยิ่งสูง  เพราะอณูของสสารยิ่งเล็ก  ความหนาแน่นของมันก็ยิ่งมาก  ดังนั้นดูไปแล้วมันจะละเอียดมาก  เป็นมันแวววาวมากๆ  เรามองร่างกายของคนยังสามารถเห็นรูขุมขนได้  ถ้าท่านดูร่างของเทพก็จะไม่มีรูขุมขน  เมื่อท่านอยู่ในตรีภูมิท่านมองร่างของชีวิตที่สูงกว่าคนหนึ่งชั้น ก็คือชาวสวรรค์ในระดับชั้นที่ต่างกันในตรีภูมิ  ท่านดูร่างกายของพวกเขา กล่าวสำหรับคนแล้วก็จะเกลี้ยงเกลาจริงๆ  ละเอียด สวยงามเหลือเกิน  ก็คืออณูของเขานั้นเล็กกว่าอณูของชาวโลก  แต่ความหนาแน่นมาก  หรือพูดว่า  เมื่อเขาเลื่อนระดับชั้นขึ้นไป  รูปแบบทั้งหมดที่ปรากฏก็จะเลื่อนระดับสูงขึ้นด้วย  เขตแดนที่สูงขึ้นเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น  การหยวนหมั่นมีเขตแดนที่ต่างกัน  ไม่ว่าท่านจะบำเพ็ญถึงระดับชั้นไหน  กล่าวสำหรับระดับชั้นที่ต่ำกว่าท่าน ล้วนไม่ใช่ความลี้ลับแล้ว  จะเห็นได้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด (จะอยู่ในสายตาท่านทั้งหมด) สามารถมองเห็นความจริงทั้งหมดนี้ได้  แต่ทุกสิ่งที่อยู่สูงกว่าท่าน จะเป็นความลี้ลับสำหรับท่านตลอดกาล  ท่านจะไม่อาจทราบได้ตลอดกาล  นี่ก็คือมรรคผลที่ท่านประจักษ์แจ้งได้  ท่านทุ่มเทมากเท่าไร  ท่านบำเพ็ญมากเท่าไร ท่านจะได้มากเท่านั้น

 

ศิษย์ – เข้าใจได้ว่าการบำเพ็ญนั้นเข้มงวด  แต่อีกด้านหนึ่งมองความทุกข์เป็นเรื่องน่ายินดี  บำเพ็ญด้วยความยินดี  ผิดหรือไม่

อาจารย์ – ไม่ผิด  หากในระหว่างที่ท่านบำเพ็ญท่านสามารถรักษาความเบิกบานใจไว้ได้ทุกๆเวลา  พบกับความทุกข์ยากอะไรก็สามารถทำได้  เช่นนั้นข้าพเจ้าว่าท่านนั้นช่างยอดเยี่ยมจริงๆ  ทุกคนจะนับถือท่านว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง  นั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก  ต่อหน้าความทุกข์ยากใดๆใจไม่หวั่นไหวเลย สามารถปฏิบัติต่อมันอย่างเบิกบานใจ  เป็นเรื่องยากมาก   แต่ก็คือว่าในเวลาที่พวกเราไม่ได้ประสบกับเรื่องยุ่งยากไม่ได้ข้ามด่าน  สามารถรักษาท่าทีที่มองโลกในแง่ดีได้เป็นเวลานาน  จิตใจมีเมตตา  นั่นคือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญควรจะมีอยู่พร้อมในเวลาปกติ เป็นสภาวะที่ดีที่สุด

 

ศิษย์ - ผู้ฝึกพลังเมื่อแต่งงานแล้วจะดำเนินชีวิตแบบสามีภรรยาได้หรือไม่

อาจารย์ – เราพูดว่าท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่ศิษย์ที่ออกบวชบำเพ็ญเป็นหลัก  ท่านจึงต้องดำเนินชีวิตไปให้สอดคล้องกับสภาพของคนธรรมดาสามัญ ทว่าพวกเรากลับมองรูปแบบทางวัตถุในหมู่คนว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญ  เพราะเหตุใด  สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคือใจคน  ใจคนไม่เปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็ล้วนเป็นของปลอม  ท่านบอกว่าโดยเปลือกนอกอะไรฉันก็ไม่มีแล้ว  แต่ในใจท่านกลับปล่อยวางไม่ได้ ในใจท่านกระสับกระส่ายต่อสิ่งเหล่านี้  ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร  หากท่านบอกว่าในใจฉันไม่มี การมองสิ่งเหล่านี้ก็คือการรักษาสิ่งของๆคน  รักษาสภาวะของการเป็นคน   เช่นนั้นข้าพเจ้าว่าท่านก็ทำได้ไม่เลว  แน่ละเมื่อท่านบำเพ็ญถึงระดับสูงและลึกซึ้งมากแล้ว  สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องปล่อยวาง  พูดถึงว่าในช่วงนี้จะทำอย่างไรก็ไม่นับว่าท่านผิด  ข้าพเจ้าพูดใน “จ้วนฝ่าหลุน”อย่างชัดเจนแล้ว สภาวะนั้นได้พูดไปแล้ว
            เหตุใดในระหว่างการบำเพ็ญจึงสามารถทำอย่างนี้ได้ละ  เพราะเส้นทางธรรมนี้ของเรา  ต้าฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดในวันนี้ตั้งใจเปิดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญที่ซับซ้อน  จึงจะสามารถทำให้คนระดับชั้นสูงยิ่งขึ้นหวนคืนกลับไปได้   หากสังคมคนธรรมดาสามัญนี้มีระดับความซับซ้อนไม่เพียงพอ หรือพูดว่าท่านไม่มีทุกข์ภัยมากเช่นนั้น  ไม่มีการรบกวนอย่างหนักเช่นนั้น  พวกท่านที่มาจากระดับชั้นสูงยิ่งขึ้นไปก็ไม่มีทางจะกลับไปได้ชั่วนิรันดร์  ฝ่าที่ใหญ่และยังเปิดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  เช่นนั้นฝ่าของเรานี้จึงให้เงื่อนไขที่สะดวกแก่พวกท่านในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  ก็คือเริ่มจากระดับจุลทรรศน์ จากจุดกำเนิดของชีวิตท่าน  ก็คือเริ่มเปลี่ยนแปลงร่างกายของท่านจากอนุภาคต้นกำเนิดที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของท่าน  เหมือนกับวงปีต้นไม้จากในสู่นอกแผ่ขยายออก  เพียงท่านบำเพ็ญ  เพียงท่านได้มาตรฐานแล้ว   ฉับพลันก็จะเหมือนวงปีของต้นไม้ขยายออกสู่ข้างนอก  เมื่อขยายออกถึงชั้นผิว ก็จะเหมือนไปถึงเปลือกของต้นไม้ ก็จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ท่านก็หยวนหมั่นแล้ว ก่อนที่จะถึงชั้นเปลือกของต้นไม้ หรือพูดว่าก่อนที่จะถึงสสารชั้นผิวนอกสุดของร่างกายของท่าน ร่างกายที่เป็นสสารชั้นนี้  ร่างกายที่เป็นสสารชั้นผิวนอกของท่านยังมีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่   เช่นนั้นจึงย่อมจะมีตัณหานานาชนิดของคนธรรมดาสามัญ  กิเลส อารมณ์  จิตยึดติดต่างๆของคนธรรมดาสามัญ  แต่ไม่รุนแรงเหมือนคนธรรมดาสามัญอย่างนั้น  แต่จะมีได้ นั้นก็เพื่อรับประกันให้ท่านสามารถบำเพ็ญอย่างสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของคนธรรมดาสามัญ จึงตั้งใจเหลือไว้ให้พวกท่าน    แต่ด้านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วไม่อาจถูกร่างกายชั้นผิวชักนำให้ทำเรื่องของคนธรรมดาสามัญ  ด้านที่บำเพ็ญสำเร็จเมื่อบรรลุถึงมาตรฐานก็จะกันเขาออกไปทันที
            หลังจากแยกออกไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรละ  คนที่ชั้นผิวนี้ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรในหมู่คนธรรมดาสามัญ หรือทำเรื่องอะไร ด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว เขานั่งอยู่ตรงนั้นจะไม่ขยับเคลื่อนไหวแต่อย่างใด  ไม่เคลื่อนไหวจิตใจ  ไม่เคลื่อนไหวความคิด  ร่างกายไม่เคลื่อนไหว  ไม่เข้าร่วมกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น   นี่ก็เป็นการรับประกันว่าขณะที่คนทำเรื่องอะไรของคนธรรมดาสามัญอยู่  แต่เทพทางด้านนั้นหาได้ทำไม่  แต่เป็นคนด้านนี้ที่บำเพ็ญยังไม่สำเร็จเป็นผู้ทำ  ดังนั้นจึงเป็นการประกันให้ท่านเพียงแต่ยกระดับเรื่อยไปได้ในระหว่างขั้นตอนของการยกระดับ  ไม่ตกลงมา  ในทางกลับกัน หากเมื่อเราอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญเลือกที่จะเริ่มปลี่ยนแปลงจากชั้นผิวสู่ระดับที่ลึกลงไป  เช่นนั้นท่านก็จะไม่มีทางบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  การกระทำใดๆในหมู่คนธรรมดาสามัญล้วนเท่ากับเทพเป็นผู้ทำ  ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงแล้วเท่ากับเป็นร่างกายของเทพ   ล้วนกำลังทำเรื่องของคนธรรมดาสามัญ  ท่านก็จะบำเพ็ญไม่ได้เลย เทพทำเรื่องของคนนี่จะไหวหรือ  เทพมีอารมณ์ของคน  นี่เป็นเรื่องที่อนุญาตให้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  ดังนั้นเราจึงทำกลับกัน  เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงท่านจากจุดกำเนิดของชีวิตท่าน  เช่นนี้แล้วก็จะขยายออกสู่ชั้นผิวเรื่อยๆ ขยายออก ขยายออก ก่อนที่ท่านจะหยวนหมั่นชั้นผิวของท่านก็จะรักษาสภาพการดำเนินชีวิตในหมู่คนธรรมดาสามัญไว้ได้โดยตลอด  เพียงแต่ยิ่งนานยิ่งเบาบางลง  ยิ่งนานยิ่งเบาบางลง สุดท้ายอะไรๆก็สามารถมองให้จืดจางได้  ปล่อยวางได้  ก็เข้าใกล้การหยวนหมั่นแล้ว  เมื่อร่างโดยรวมของท่านขยายออกสู่ชั้นผิวเรื่อยไป ท่านก็จะหยวนหมั่นอย่างถึงที่สุด  ในชั่วขณะนั้นจะเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่เกิดการสั่นสะเทือนใดๆ ในอดีตการบำเพ็ญหยวนหมั่นนั้นจะเกิดการสั่นสะเทือน  คนๆหนึ่งหยวนหมั่นจะเกิดภูเขาพังทลาย  ทะเลปั่นป่วน  หากขอบเขตใหญ่มากก็จะเกิดแผ่นดินไหว แต่การหยวนหมั่นอย่างนี้(ของเรา)เขาไม่เกิดการสะเทือน ดังนั้นเขาจึงเหมาะกับการบำเพ็ญในสังคมคนธรรมดาสามัญของคนจำนวนมากยิ่งขึ้น  ไม่รบกวนสังคมคนธรรมดาสามัญ  คนจำนวนมากอย่างนี้ถ้าท่านจะหยวนหมั่น  ข้าพเจ้าว่าโลกจะทนรับไม่ไหว ดังนั้นเราจึงต้องจัดวางด้านต่างๆให้เหมาะสมกับการบำเพ็ญในสังคมคนธรรมดาสามัญ
            ดังนั้นส่วนนั้นที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ ก่อนที่จะขยายมาถึงชั้นผิวของท่าน  ถ้าท่านพูดว่าฉันไม่มีใจแบบคนธรรมดาสามัญแล้ว ข้าพเจ้าไม่เชื่อ  นั่นคือท่านเองฝืนทำ  พวกท่านสามารถกำหนดตนเองอย่างเข้มงวดด้วยมาตรฐานที่สูง  ให้เป็นแบบผู้บำเพ็ญ ในขณะเดียวกันก็พยายามทำไปให้สอดคล้องกับสังคมคนธรรมดาสามัญ  แต่สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดหาใช่เพียงพูดถึงเรื่องนี้เท่านั้น  ชีวิตคู่แบบสามีภรรยาก็ไม่ใช่จำเป็นต้องทำกันง่ายๆอย่างนี้  ไม่ใช่เช่นนี้  สำหรับปัญหานี้ พวกท่านสามารถเลือกวิธีที่สะดวกที่สุดของตนเอง ท่านพูดว่าฉันรู้สึกว่าทำอย่างไรดีก็ทำอย่างนั้น   ท่านคิดว่ายังคงมีจิตใจแบบคนธรรมดาสามัญ และรุนแรง  ยังคิดจะแต่งงาน ยังคิดจะหาคู่ครอง และชอบหญิงสาวคนนั้น หรือชายหนุ่มคนนั้น  ในเมื่อท่านมีจิตใจเช่นนี้อยู่ ท่านไปทำอย่างนี้  ก็บ่งบอกได้ว่าท่านยังบำเพ็ญไปไม่ถึงก้าวนั้น  ท่านก็สามารถทำเช่นนี้ได้  ท่านอย่าได้พูดว่าวันนี้อะไรฉันก็ปล่อยวางได้หมดแล้วในทันที   สามารถจะทำอย่างนี้ได้แล้ว  กลายเป็นพระพุทธในฉับพลัน  เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว  ท่านก็คือพระพุทธแล้ว   ดังนั้นการบำเพ็ญนั้นมันเป็นขั้นตอนที่บำเพ็ญไปอย่างช้าๆ ก้าวหน้าเรื่อยไป  แม้ข้าพเจ้าจะพูดเช่นนี้แล้ว ท่านคงคิดว่า  เออ อาจารย์บอกแล้วว่า  ก่อนที่ฉันจะบำเพ็ญสำเร็จ  ชั้นผิวล้วนแต่จะมีอารมณ์ทั้ง ๗ ตัณหาทั้ง ๖  เช่นนั้นฉันสามารถจะทำเช่นนี้ได้  นี่ใช้ไม่ได้  แม้ว่าท่านจะมี  ข้าพเจ้าขอบอกท่านให้ไปทำโดยสอดคล้องกับคนธรรมดาสามัญให้มากที่สุด  แต่หากท่านไม่เข้มงวดกับการใช้มาตรฐานของผู้บำเพ็ญในการกำหนดตัวเอง  เช่นนั้นท่านก็เท่ากับไม่ได้บำเพ็ญ  มันจึงเป็นความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่ต้องมีการแยกแยะและวิเคราะห์

 

ศิษย์ – ผู้ฝึกชาวผิวขาวคิดจะใช้เวลาทั้งหมดมาฟังฝ่า แต่ยังไม่มีเทปบันทึกเสียงแปล สามารถจะบันทึกเสียงอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ของตัวเอง มาใช้ฟังได้หรือไม่

อาจารย์ – อันนี้ผลลัพธ์ไม่แน่ว่าจะดี  เหตุใดไม่แน่ว่าจะดีละ  เพราะฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายนั้นมีพลังงานอยู่  เนื่องจากท่านเป็นเพียงผู้ฝึกคนหนึ่ง  ก่อนที่ท่านจะหยวนหมั่น  ข้างในคำพูดที่ท่านพูดล้วนมีสื่อสัญญาณของคนธรรมดาสามัญ  เช่นนี้เมื่อท่านปล่อยออกมาฟัง  ท่านเองก็รับกลับไป  การทำซ้ำไปซ้ำมา   การปนเปื้อนที่สลับกันไปมาเช่นนี้ไม่ดี   ถ้าท่านไปอ่านหนังสือก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว   ขณะนี้พวกเรากำลังพากษ์เสียงคำแปล กำลังเร่งทำอยู่  จะเสร็จได้โดยเร็ว  ปัญหานี้จะแก้ไขได้โดยเร็ว  อย่างไรเสียที่ข้าพเจ้าบอกเหตุผลนี้ให้ท่าน ก็คือพูดว่าสิ่งที่ท่านพูดออกมานั้นมีจิตใจ และความคิดชนิดต่างๆ  แบบคนธรรมดาสามัญของตนเองติดอยู่  เนื่องด้วยฝ่าจะต้องบังเกิดผล  เพียงฟังหลักการชั้นผิวนั้นจะฟังอะไรไม่ออก  จากปากของท่านพูดออกมาจะเป็นการรับรู้ของท่านในเขตแดนนี้  เช่นนั้นท่านกลับมาฟังอีก ท่านก็จะรับรู้แต่เพียงในเขตแดนนี้ของท่านตลอดไป แต่การพากษ์เสียงคำแปลนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเสียงของข้าพเจ้าก็บรรยายอยู่ที่นั่น   แม้ว่าเสียงจะเบา  เสียงพากษ์คำแปลแม้จะดัง  ถึงเขาจะกำลังแปลก็จริง  แต่ที่แท้นั้น  คือข้าพเจ้าที่บรรยายอยู่   ผู้ฝึกก็จะสามารถฟังได้เข้าใจ  และยังจะสามารถ ได้รับ

ทุกสิ่งที่มีอยู่ในขณะที่ข้าพเจ้าบรรยายอยู่ คือความหมายนี้

ศิษย์ – ได้พบกับเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวๆ ๓-๕ ขวบสามครั้งแล้ว  ในเวลาที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่  เธอเหยียบบนหมอน  กระโดดไปพลางหัวเราะไปพลาง   เป็นกุมารที่ออกมาจากฝ่าหลุนใช่หรือไม่
อาจารย์ – สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องดีทั้งนั้น แต่ไม่อาจพูดได้อย่างตายตัวว่าเป็นเรื่องดีทั้งหมด  กุมารนั้นเล็กมาก  ภูมิหลังในอดีตของพวกเราแต่ละคนล้วนแต่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง  ดังนั้นในด้านนี้ อย่าไปสนใจมัน  อาจเป็นสิ่งที่ท่านมีติดตัวมาแต่ก่อน  หรือเป็นมูลเหตุอย่างอื่น  ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กหญิงคนหนึ่งใช่ไหม  ก็อาจจะเป็นเรื่องดี ไม่ต้องไปสนใจเธอ ท่านสนใจแต่การบำเพ็ญก็พอ

            ดูเหมือนข้าพเจ้าไม่ได้พูดกับพวกท่านให้ชัดเจน  บางคนจึงยังฟังไม่เข้าใจ  ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างหนึ่ง  แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นสภาพการณ์อย่างนี้  พวกเราบางคนเวลาที่ลงมาจุติ  ลูกของเขาเมื่อก่อนนี้ก็ตามลงมาด้วยแล้ว  แต่เธอไม่ได้จุติตามมาที่ด้านนั้น  ยังมีลูกของบางคนในชาติภพก่อน  เขาจุติแล้วในภพนี้  ลูกในภพนั้นไม่ได้จุติ แต่ทว่ามีอิทธิฤทธิ์มาก  ก็ติดตามมาด้วย  ก็อาจมีสภาพการณ์อย่างนี้  สภาพการณ์ชนิดไหนล้วนมีทั้งนั้น   เพราะท่านได้เจิ้งฝ่าใช่ไหม  หากมีเหตุแห่งวาสนาเกี่ยวข้องกับท่าน  เช่นนั้นเราสามารถจะจัดวางทั้งหมดนี้ให้กับท่าน  ล้วนจัดวางทั้งหมดนี้ให้ท่านได้อย่างเหมาะสม  ก็ไม่ต้องไปสนใจอีกแล้ว


ศิษย์ – ผมคิดจนสมองแทบเหือดแห้งก็ไม่มีอะไรจะถาม  หรือว่าบำเพ็ญได้ไม่.........

อาจารย์ – พวกเรามีผู้ฝึกเก่าบางคนที่บำเพ็ญได้ดี  เมื่อเขาจะพบหน้าข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรจะพูด  ข้าพเจ้าก็รู้เขาพยายามอย่างหนักก็ไม่มีอะไรจะพูด ก่อนที่จะพบกับข้าพเจ้าเขามีคำพูดมากมายที่คิดจะถามข้าพเจ้า  แต่พอพบหน้าข้าพเจ้าเขาก็ไม่มีคำพูดแล้ว  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่าเพราะเหตุใด  พวกท่านขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเมื่อพบข้าพเจ้าก็จะเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น  พอพบหน้าข้าพเจ้าก็ไม่มีคำพูดอะไรจะพูด  เพราะเมื่อท่านบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง  ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญจนเกิดความเข้าใจ บำเพ็ญได้ดี จะแยกออกไปจากพวกท่าน  แยกออกไปจากส่วนนี้ที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ  ดังนั้นส่วนนี้ของท่านที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จย่อมไม่อาจเข้าใจตลอดกาล ก็จะมีปัญหาอยู่  อยากถามอยู่เสมอ แต่เมื่อจะพบกับข้าพเจ้า  เพราะว่าได้พบกับอาจารย์  ส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จก็ตื่นขึ้นมาแล้ว  พอเขาตื่นขึ้นมาฝั่งนี้ของท่านที่เป็นคนธรรมดาสามัญจะถูกควบคุมทั้งหมด  พวกท่านนั่งอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่มีความคิดที่ไม่ดี  ช่างสุขสงบนักละ  เพราะด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วของท่านได้ตื่นขึ้นมาแล้ว  ทั่วทั้งร่างจึงถูกด้านนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วควบคุม ท่านว่าส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ถ้าไม่ได้มาตรฐานจะสามารถบำเพ็ญสำเร็จไหม ก็พูดได้ว่าอะไรเขาก็รู้หมดแล้ว มีแต่ส่วนนี้ที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จจึงไม่รู้ เช่นนั้นจึงพูดได้ว่าในเวลานั้นท่านก็ไม่คิดจะถามอีกแล้ว ไม่มีอะไรจะถาม รู้และเข้าใจทั้งหมดแล้ว จนกระทั่งพอแยกกับข้าพเจ้าแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้ว เขาก็สงบนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอีกแล้ว ท่านที่ฝั่งนี้ก็ไม่เข้าใจอีกแล้ว เมื่อครู่ทำไมฉันไม่ถามอาจารย์นะ เป็นสภาวะอย่างนี้หรือไม่ ที่จริงก็เป็นอย่างนี้

            ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ต้องอ่านหนังสือมากๆ อ่านหนังสือมากๆ  อ่านหนังสือมากๆ  จักต้องอ่านหนังสือมากๆ  นี่คือฝ่าของจักรวาล  จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ธรรมะแนวทางใดๆที่สืบทอดอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญล้วนเป็นธรรมะในเขตแดนของพระยูไลหรือต่ำกว่าพระยูไลที่สืบทอดอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ฝ่าที่ใหญ่อย่างนี้ได้สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมของการดำรงชีพให้กับชีวิตของจักรวาลในระดับชั้นที่ต่างกัน  ต้าฝ่าชุดนี้ที่สร้างสรรค์จักรวาลทั้งหมด   เพียงแต่ท่านยังบรรลุไม่ถึงเขตแดนนั้น  จึงมองไม่เห็นความนัยที่สูงอย่างนั้นเท่านั้นเอง  แต่ถ้าท่านจะบรรลุมรรคผล  ท่านจะบำเพ็ญหยวนหมั่น บรรดาสิ่งที่จะรู้ได้ล้วนอยู่ข้างในทั้งหมด  ดังนั้นต้องอ่านหนังสือมากๆ  อ่านหนังสือมากๆ  แน่ละผู้ฝึกเก่าของเรานั้นทราบดีแล้วว่า  หากฉันมีปัญหา เมื่อฉันไปอ่านหนังสือ  รับรองว่าจะได้รับการแก้ไข   เช่นนั้นพออยู่ในเขตแดนใหม่ก็จะมีปัญหาใหม่ที่สูงขึ้นเกิดขึ้นตามมา   ฉะนั้นพอท่านไปอ่านหนังสืออีกก็แก้ไขให้ท่านได้อีก  ก็บำเพ็ญกันอย่างนี้เรื่อยไป  ยกระดับเรื่อยไป  พอมีปัญหา  ฝ่านี้ก็จะตอบให้ท่านได้  ท่านกำหนดตนเองอย่างเข้มงวดในการดำเนินชีวิตของตนในเวลาปกติ  ยกระดับเรื่อยไปท่านก็กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอยู่ 

ศิษย์ – รากเหง้าของชื่อเสียง ผลประโยชน์  และ ฉิง (อารมณ์ ความผูกพัน)คือจิตเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่
อาจารย์ - ชื่อเสียงกับผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ล้วนคือจิตเห็นแก่ตัว  ส่วนฉิงนั้น ที่ผ่านมาในการบรรยายฝ่า ข้าพเจ้าก็ได้บรรยายมันออกมาแล้ว  มันมีอยู่เต็มในมิติชั้นนี้ของมนุษย์เรากับในตรีภูมิ  ชีวิตใดๆในตรีภูมิล้วนหนีออกไปไม่พ้น  ล้วนถูกมันควบคุมไว้ คนก็อยู่ในฉิงนี้  ในเวลาที่ท่านยิ่งยึดติดกับมัน  พลังของฉิงนี้ก็จะยิ่งมาก  ก็จะยิ่งบังเกิดผล  โดยเฉพาะเมื่อคนสูญเสียคนใกล้ชิดหรือในเวลาที่คนหนุ่มสาวสูญเสียความรัก  ในความคิดเมื่อยิ่งคิดพลังของฉิงก็จะยิ่งมาก  มันคือสิ่งที่อยู่ในตรีภูมิ  ผู้บำเพ็ญนั้น ท่านต้องสลัดมันให้พ้น  ท่านต้องปล่อยวางฉิงนี้  ท่านต้องอยู่เหนือมัน   พูดถึงผลประโยชน์กับชื่อเสียง  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คนให้ความสำคัญ  ที่แท้มันมาจากฉิง  เมื่อมีชื่อเสียงแล้ว  เช่นนั้นตนเองมิใช่เสพสุขกับความสุขที่ชื่อเสียงนำพามาให้หรอกหรือ โอ้ ก็ดีใจขึ้นมา  การแสวงหาชื่อเสียง กับผลประโยชน์มิใช่เพื่อให้ได้มาซึ่งความพึงพอใจหรอกหรือ  เมื่อพอใจแล้วก็ดีใจ  ความดีใจของท่านนี้มิใช่ฉิงด้วยหรือ  ดังนั้นมันสามารถนำพาความดีใจ เกียรติยศและชื่อเสียงมาให้ท่าน นี่ไม่ใช่ฉิงหรอกหรือ  ท่านได้รับความพึงพอใจในผลประโยชน์  ท่านมิใช่ก็ดีใจแล้วหรือ  ก็เป็นฉิง  ดังนั้นคนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อฉิงนี้   ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ท่านดีใจ  ไม่พอใจ  ท่านต่อต้านอะไร  ไม่ต่อต้านอะไร  ท่านอยากได้อะไร   ไม่อยากได้อะไร  ท่านต้องการบรรลุสภาวะอะไร  ท่านเห็นว่าอะไรดี  อะไรไม่ดี  ท่านต้องการเป็นอย่างไร  ไม่ต้องการเป็นอย่างไร  ทั้งหมดล้วนคือฉิง  จึงพูดว่าคนมีชีวิตอยู่เพื่อฉิงนี้  สังคมมนุษย์จะไม่มีฉิงได้หรือไม่  หากสังคมมนุษย์ไม่มีฉิงแล้ว  คนมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายแล้ว  ไม่มีความหมายแล้วจริงๆ  คนก็ควรมีชีวิตอยู่อย่างนี้  

เกี่ยวกับเรื่องความเห็นแก่ตัว   เมื่อครู่ข้าพเจ้าเพิ่งบอกหลักการนี้ให้พวกท่านฟัง  พวกท่านต่างปรบมือกันแล้ว  รู้สึกดีใจมาก เมื่อข้าพเจ้าพูดเรื่องว่าในอนาคตจักรวาลจะไม่ดับสลาย  พวกท่านต่างรู้สึกดีใจ  เหตุใดจึงจะเป็นเช่นนี้ได้พวกท่านทราบไหม  บางคนพูดอย่างนี้  คนไม่ทำเพื่อตนเองสวรรค์จะลงโทษ  บางคนจึงถือมันเป็นคติเตือนใจ  ที่จริงพวกท่านยังไม่ทราบว่า  ความเห็นแก่ตัวนี้เชื่อมโยงไปถึงระดับที่สูงมาก  ผู้บำเพ็ญในอดีตพูดกันว่า “ฉันกำลังทำอะไรอยู่” “ฉันจะทำอะไร” “ฉันอยากจะได้อะไร” “ฉันกำลังบำเพ็ญ” “ฉันอยากเป็นพระพุทธ” “ฉันต้องการจะบรรลุอะไร”ที่จริงล้วนไม่พ้นไปจากความเห็นแก่ตัวนั้น  แต่ที่ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านทำได้นั้นคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง  ไม่มีความเห็นแก่ตัว  หยวนหมั่นในฝ่าที่ถูกต้อง รู้แจ้งอย่างถูกต้องแท้จริง  จึงจะบรรลุถึงการไม่ดับสลายตลอดกาลนาน  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบอกพวกท่าน  ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก่อนอื่นพวกท่านต้องคำนึงถึงคนอื่น   บางคนผู้อื่นให้เงินฉันก็ดีใจ  พวกเราไม่คิดดูว่าเวลาที่ผู้อื่นให้เงินเรานั้น  ผู้อื่นจะได้รับความลำบากด้วยเหตุนี้หรือไม่  การเงินเกิดการฝืดเคือง หรือจะเป็นอย่างไรไปบ้าง  ขอเพียงผู้อื่นให้อะไรฉัน ฉันก็ดีใจ  เราหาได้คิดถึงคนอื่น  ขอเพียงผู้อื่นดีต่อเรา เราก็ดีใจ  ไม่ไปคิดถึงผู้อื่น  กระทั่งมีบางคนกำลังมีความทุกข์อย่างหนักก็ยังต้องจำยอมพูดดีๆกับท่าน  ท่านกลับไม่พยายามเข้าใจจิตใจผู้อื่น  เรื่องอะไรก็มีทั้งนั้น   ฉะนั้นการบำเพ็ญของพวกท่านในวันนี้จะทำอะไรให้เริ่มต้นคำนึงถึงผู้อื่นได้แล้ว

 

ศิษย์ – ใน “จ้วนฝ่าหลุนเล่ม ๒” บอกว่าในทะเลก็มีคน  มีคนหลายประเภท

อาจารย์ – ถูกต้อง  บ้างก็ดำรงชีพอยู่ในมิติของเรานี้  บ้างก็ไม่ได้ดำรงชีพอยู่ในมิตินี้  ไม่เพียงแต่ในทะเลที่มี  อีกมิติที่คงอยู่ในระดับชั้นเดียวกับเรายังมีคนอีกอย่างหนึ่ง  เหมือนพวกท่าน  และยังมีที่ไม่เหมือนกับพวกท่าน  เรียกเขาว่าคนก็ได้  ไม่เรียกเขาว่าคนก็ได้  เพราะเขามีฉิงบ้างแต่ไม่มีตัณหาของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้นท่อนล่างของกายเขาจึงเป็นรูปของวัตถุ มีเพียงร่างกายท่อนบนที่เป็นรูปคน  ดังนั้นเขาสามารถลอยไปลอยมา บินไปบินมา คนจำนวนมากในทะเลเป็นคนที่เคยอยู่บนโลกและถูกกวาดล้างไปในยุคสมัยที่ต่างกัน  และบ้างก็คือคนใต้ทะเล  มีที่ต่างจากคนไม่มาก  ร่างกายท่อนบนเป็นคน ร่างกายท่อนล่างเป็นปลา  และก็มีที่ร่างกายท่อนบนเป็นปลา ร่างกายท่อนล่างเป็นคน  ยังมีพวกที่อยู่ข้างล่างผืนทวีปและมีคนในอดีต  ก็คือคนที่ถูกกวาดล้างในอดีต  เขาไม่สามารถขึ้นมาได้แล้ว  เพราะเขาถูกสังคมโลก  ก็คือถูกโลกกวาดล้าง  ดังนั้นยังมีส่วนหนึ่งคือว่าเขายังมีกรรมไม่มากพอถึงขนาดนั้น  เขาจึงมุดเข้าไปอยู่ใต้พื้นโลก  ฉะนั้นจึงเป็นเช่นนั้นแล้ว   เขาก็ไม่ออกมา ก็อาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว  แต่มีจำนวนน้อยมาก  พวกเขามักมีความสามารถมากกว่าคนเล็กน้อย  ไม่หลงอยู่ในวังวนมากอย่างนั้นเหมือนคน เอาละ ท่านไม่ต้องอยากรู้อยากเห็น ไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่านไม่มาก

ศิษย์ – ต่อไปหลังจากที่ต้าฝ่าฉบับภาษาญี่ปุ่นเล่มใหม่ ได้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ  เล่มเก่าที่แปลไว้มีที่ผิดพลาดจะจัดการอย่างไรดี
อาจารย์ – ก็ไม่อาจบอกว่าเขามีที่ผิดพลาด  เพียงแต่แปลได้ไม่เหมาะสม หรือว่าใช้ศัพท์ได้ไม่ตรงเสียทีเดียว  ได้แต่พูดอย่างนี้  จะจัดการอย่างไรหรือ  ก็เป็นอย่างนี้แล้ว   เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นฉบับภาษาใดๆล้วนไม่สามารถแปลภาษาจีนออกมาได้โดยไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว  ข้าพเจ้ายังจะเสนอให้มีหลายฉบับภาษา กลับจะดี  คนเขาดูแล้ว  อ้อ   มีความหมายอย่างนี้  อ้อ ยังมีความหมายอย่างนั้น  เดิมทีเขาเป็น

อย่างนี้นี่เอง  ฉะนั้นข้าพเจ้าว่ายังมีประโยชน์ ก็เป็นเช่นนี้แหละ

ศิษย์ - ใจไม่กล้าคือจิตยึดติดหรือเป็นองค์ประกอบทางสรีระ
อาจารย์ – ใจไม่กล้าเป็นเพราะในจักรวาลนี้ก็มีองค์ประกอบเช่นนั้นคงอยู่  ทำให้ท่านกลัว  มันจึงเรียกว่า กลัว ท่านยิ่งกลัว มันก็ยิ่งบังเกิดผล  ท่านต้องมุ่งมั่นที่จะควบคุมไว้  นี่คือปัญหาความมุ่งมั่นของท่าน  และเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ได้ในการบำเพ็ญ

ศิษย์ – ในขณะฝึกพลังมักจะคิดพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญ  การหงฝ่ากับคำพูดของ

อาจารย์   ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์ – เป็นสภาวะหนึ่งในช่วงเวลาที่แน่นอนหนึ่ง  ต่อไปก็จะไม่เป็นแล้ว

 

ศิษย์ – การให้คนอื่น ฆ่าชีวิตแทน กรรมจะยังคงอยู่บนตัวผมหรือไม่

อาจารย์ – หากท่านทำงานเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากพูดปัญหานี้ในที่ประชุมอย่างนี้  ข้าพเจ้ามีจิง  เหวินสองบทที่พูดถึงปัญหานี้ไว้แล้ว  อธิบายมันอย่างกระจ่างแล้ว  แต่มีบางคนอู้ไม่ได้  ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ละกัน  พวกท่านทราบไหมว่าพวกท่านในชาติภพต่างๆเคยทำลายชีวิตไปเท่าไร แต่ละคนทำไว้มากมายแล้ว  ถ้าฝ่าเล็ก  ชาตินี้พวกท่านก็บำเพ็ญไม่สำเร็จ  พวกท่านในแต่ละชาติล้วนต้องชดใช้ชีวิตที่ติดค้างไว้  ในพุทธศาสนาพูดว่าชาติหนึ่งบำเพ็ญไม่สำเร็จ ก็คือพวกเขาก็มองเห็นแล้วว่าชีวิตที่ถูกฆ่าต้องได้รับการชดใช้ แต่เราวันนี้ให้ท่านหยวนหมั่น  ไม่มีเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว เช่นนั้นชีวิตที่พวกท่านฆ่าจะทำอย่างไรละ  นอกจากที่พวกท่านติดค้างส่วนนั้นที่พวกมันเจ็บปวดทุกข์ทรมาน  พวกท่านก็ชดใช้คืนในขณะที่กำลังชำระกรรม  ท่ามกลางความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแล้ว  ยังมีจำนวนมากมายที่ข้าพเจ้าจะสลายทิ้งไปให้กับพวกท่าน ส่วนที่เหลือพวกท่านชดใช้เอง รับรองว่าท่านจะสามารถข้ามด่านนี้ไปได้ ในขณะเดียวกัน  มีชีวิตส่วนหนึ่งที่พวกท่านเคยทำลาย  ในอนาคตในโลกที่พวกท่านจะหยวนหมั่น (พวกมัน)จะกลายเป็นสรรพชีวิตในโลกของท่าน  ก็เปลี่ยนเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องดีแล้ว  หากชีวิตที่ถูกทำลายมันรู้ได้ อ้อ ฉันจะไปโลกของพระพุทธ  มันจะยื่นคอให้ท่านฆ่ามัน  มันจะยินดีให้ท่านฆ่ามัน  แน่ละมันไม่มีมรรคผล  มันเป็นสรรพชีวิตในโลกนั้น  ไปโลกพระพุทธของท่านเป็นพลเมือง  หรือเป็นสัตว์สักตัว เป็นดอกไม้  นก  อย่างไรเสียจะมีการจัดวางที่แตกต่างกันไปตามชีวิตที่ต่างกัน

แต่ว่าคำพูดนั้นพูดไปอย่างนี้แล้ว บางคนอาจจะไปเข้าใจจากด้านตรงข้าม อ้อ อย่างนั้นฉันฆ่าชีวิตก็ไม่มีปัญหาแล้ว  หากท่านบำเพ็ญหยวนหมั่นไม่สำเร็จ  ชีวิตทั้งหลายที่ท่านฆ่า  ในอนาคตท่านก็จะชดใช้ไม่มีวันหมด   ท่านจะต้องชดใช้อย่างแน่นอน  ก็ก่อกรรมไว้หนักอย่างนี้  หรือพูดว่า  อยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง การชดใช้ของท่านแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก  เมื่อวานมีผู้ฝึกพูดว่า  อาจารย์ไม่ได้พูดถึงนรก  ข้าพเจ้าบอกว่าไม่อาจพูดให้ท่านฟัง  ที่ประชุมของเรานี้  ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้  หากพูดถึงสิ่งนั้นย่อมน่ากลัวมาก  แน่ละกล่าวสำหรับข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรน่ากลัว  แต่กล่าวสำหรับคนบางคนนั้นน่ากลัวมาก ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อครู่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบคำถาม ท่านตรงๆ   แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าก็ได้อธิบายชัดเจนแล้ว

ในประเทศจีนมีผู้ฝึกคนหนึ่ง เป็นนักศึกษาปริญญาเอก พอดีเขาทำงานทดลองทางกายวิภาค  หลังจากทำการทดลองแล้ว  เขาจะได้รับปริญญาเอก  ก็คือไม่ว่าวิชาอะไรเขาล้วนสอบได้หมดแล้ว  แต่ยังต้องทำการทดลองประมานกี่ครั้ง  ต้องชำแหละหนูขาวหนึ่งพันหรือห้าร้อยตัว  จากนั้นเขาก็จะได้ปริญญาเอกแล้ว ต่อมาเขาพูดกับอาจารย์ของเขาว่าไม่สามารถทำเช่นนี้  บอกว่าเดี๋ยวนี้ผมบำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่า ผมเข้าใจว่าการฆ่าชีวิตเป็นการก่อกรรม  ต่อมาเขาก็พูดกับอาจารย์ที่ปรึกษาว่า ผมไม่สามารถไปฆ่าชีวิต  ผมไม่ต้องการปริญญาแล้ว  ทุกท่านคิดดู  หากคนข้ามด่านความเป็นความตายนี้ไปไม่ได้  เขาก็หยวนหมั่นไม่ได้แล้ว แต่หาใช่ว่าจะต้องให้ท่านเจ็บปวดอย่างนั้นให้ได้ จึงจะนับว่าสามารถปล่อยวางความเป็นความตาย  นั่นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่ง  ข้าพเจ้าไม่ถือว่าสำคัญ  ข้าพเจ้ามองที่ใจท่าน  จะสามารถทำได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ทุกท่านคิดดู คนมีชีวิตอยู่บนโลก มิใช่เพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์หรอกหรือ  หากเขาได้รับปริญญาเอกแล้ว เขาสามารถจะมีงานที่ดีทำและมีอนาคต  เงินเดือนของเขาก็จะมากโดยอัติโนมัติ  นั่นก็ไม่ต้องพูดแล้ว ย่อมจะเหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ  เหนือกว่าคนทั่วไป   คนมิใช่มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้หรือ แม้แต่สิ่งนี้เขาก็ไม่ต้องการ ทุกท่านคิดดู แม้แต่สิ่งนี้เขาก็กล้าปล่อยวาง  สำหรับคนหนุ่มคนหนึ่ง สิ่งเหล่านี้สามารถที่จะไม่เอาแล้ว ใช่หรือไม่ว่าอะไรก็สามารถปล่อยวางได้หมดแล้ว  ไม่นับว่าเขาสามารถปล่อยวางความเป็นความตายได้หรอกหรือ  คนมิใช่อยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้หรือ  คนอย่างนี้เขาสามารถทำเช่นนี้ได้  เขตแดนการบำเพ็ญนั้น ที่จริงก็อยู่ตรงนั้นแล้ว กล่าวโดยเฉพาะกับคนอย่างนี้ กับสภาพการณ์เช่นนี้ของพวกเขาโดยเฉพาะ ข้าพเจ้าได้พูดว่า  ข้าพเจ้าว่าแม้แต่ฉิงก็สามารถปล่อยวางได้ ปล่อยวางชื่อเสียง ผลประโยชน์  เช่นนั้นเหตุใดไม่ปล่อยวางความกลัวที่จะฆ่าชีวิตโดยตัวมันเองลงไปด้วยละ  นี่มิใช่การทิ้งจิตยึดติดสุดท้ายได้แล้วหรือ  ข้าพเจ้าก็พูดในความหมายนี้  หากบรรลุไม่ถึงเขตแดนนี้  ยังข้ามด่านเป็นตายไปไม่ได้  ไม่สามารถปล่อยวางทั้งหมดนี้ลงได้   แล้วท่านไปทำอย่างนี้ ก็เป็นคนละเรื่องกันแล้ว  ชีวิตทั้งหมดที่ฆ่าไป ในอนาคตตนเองต้องชดใช้คืนในท่ามกลางการชดใช้อย่างไม่สิ้นสุด  จึงน่ากลัวเช่นนั้น  หลักการของฝ่า  กับเหตุผลนี้ ข้าพเจ้าก็ได้อธิบายให้พวกท่านฟังชัดเจนแล้ว  แต่จะทำอย่างไร ต้องไปประเมินเอง  หลักการของต้าฝ่าก็อธิบายแล้วว่าไม่สามารถฆ่าชีวิต  เพียงท่านบำเพ็ญก็ไม่อาจฆ่าชีวิต  แต่ต้าฝ่าในเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้นนั้นเขาเป็นสิ่งที่ครบถ้วนบริบูรณ์  ฝ่าก็ได้ปรากฏออกมาแล้วในหลักการของเขตแดนพระพุทธนั้น  ข้าพเจ้าพูดแล้วว่า ชีวิตส่วนนั้นที่ท่านทำร้าย จะหยวนหมั่นเป็นสรรพชีวิตอยู่ในโลกในอนาคตของท่าน   แต่หากท่านไม่อาจหยวนหมั่น ทั้งหมดจะเท่ากับศูนย์

แน่ละ ฝ่าใช่ไหม ย่อมจะสูงกว่าหลักการทั้งหมดในหมู่คนธรรมดาสามัญ   ท่านพลิกหนังสือทั้งในและนอกประเทศที่มีมาแต่โบราณจนทุกวันนี้จนทั่วก็หาไม่พบ  กระทั่งในคัมภีร์อื่นท่านก็จะหาไม่พบ  ดังนั้นทุกท่านจึงชอบฟัง  แต่อย่าได้ถือเป็นความรู้  ข้าพเจ้าไม่ใช่จะสนองตอบจิตใจนั้นของท่านที่แสวงหาความรู้  ข้าพเจ้ากำลังช่วยเหลือท่าน  กำลังบรรยายฝ่า

 

ศิษย์ – ท่านอาจารย์มักใช้คำว่า “พวกเรา” คำนี้  จะเข้าใจอย่างไรได้บ้าง

อาจารย์ – ข้าพเจ้าใช้ศัพท์คำพูดของคนจีนแผ่นดินใหญ่ยุคนี้  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพวกท่านต่างเป็นสมาชิกคนหนึ่งในต้าฝ่า ฉะนั้นก็คือส่วนหนึ่งของต้าฝ่า  ข้าพเจ้าจึงถือว่าพวกท่านเป็น “พวกเรา”  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเมื่อพวกท่านได้ยินแล้วคงจะนำตัวเองเข้ามาอยู่ในการบำเพ็ญอย่างแท้จริง  ก็เป็นความคิดอย่างนี้

ศิษย์ - คนๆหนึ่งจะนับว่าเป็นโรคจิตได้อย่างไร

อาจารย์ – โรคจิตก็คือ ตัวเองไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้  (จิต)อ่อนแอมากๆ  พอประสบกับเรื่องยุ่งยาก  ก็ไม่คิดจะสนใจดูแลแล้ว  จิตสำนึกหลักนั้นเหมือนกับนอนหลับไปแล้ว  ไม่สนใจดูแลอะไรแล้ว เขาก็ปล่อยปละร่างกายนี้ในทันทีแล้ว ฉะนั้นในเวลานี้คนจึงเกิดสภาวะของโรคจิตที่คนธรรมดาสามัญพูดกัน   เพราะอะไรละ  เมื่อจิตสำนึกหลักของท่านไม่สนใจดูแลร่างกายตนเอง  หรือก็คือท่านไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว เช่นนั้นความคิดที่ประกอบขึ้นมาจากกรรมชนิดต่างๆของท่าน และทัศนคติต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังกำเนิดของท่านจะเริ่มควบคุมร่างกาย ปาก ดวงตา ทุกส่วนของท่าน  เช่นนั้นจึงพูดจาเลอะเทอะ  บ้าๆบอๆ ไม่มีพฤติกรรมของคนธรรมดาสามัญที่อยู่ในการควบคุมใดๆ  ก็คือความคิดหลักของเขาอ่อนแอเกินไปแล้ว  และมีที่เป็นมาแต่เกิด  พอคลอดออกมาความคิดหลักของเขาก็อ่อนแอ ร่างกายนี้มักจะถูกผู้อื่นควบคุม  มักจะมอบให้ผู้อื่นควบคุม  บวกกับการรบกวนของสื่อสัญญาณที่แรงกล้าในมิติต่างๆ  จึงทำให้คนๆนี้สามารถทำอะไรออกมาได้ทั้งนั้น  สมองนี้เป็นอุปกรณ์สำเร็จรูป  ใครจะควบคุมก็ได้ทั้งนั้น  ถ้าท่านไม่ควบคุม  ท่านละทิ้งไปแล้ว  ผู้อื่นก็มาควบคุม  มันจึงไม่มีกฎเกณฑ์ของคนแล้ว ดังนั้น คนๆหนึ่งความตั้งใจมั่นจะต้องเด็ดเดี่ยว  ปณิธานต้องแน่วแน่

ศิษย์ – มีหรือไม่ที่บางคนในเวลาที่หยวนหมั่น ร่างแท้(เปิ๋นถี่)ไม่เปลี่ยนแปลง  และไม่บำเพ็ญหยวนอิงออกมา

อาจารย์ – ข้าพเจ้าพูดแล้วว่าในหมู่ศิษย์ต้าฝ่าเรา มีหลายคนมาจากระดับชั้นที่ต่างกัน  ฉะนั้นก็อาจจะมีสภาพการณ์ที่ต่างกันคงอยู่แต่ท่านไม่ต้องสนใจว่าท่านอยู่ในสภาพการณ์อะไร ท่านเพียงแต่บำเพ็ญ  ข้าพเจ้ารับรองว่า ท่านจะบรรลุถึงสภาพการณ์ที่ท่านจะพอใจที่สุด  แต่ละคนล้วนเป็นเช่นนี้  ข้าพเจ้ามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกท่าน  มิใช่เป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้จักรวาลนี้แล้วหรือ (เสียงปรบมือ)

 

ศิษย์ – เวลาที่อ่าน “จ้วนฝ่าหลุน” น้อยครั้งมากที่จะรู้สึกถึงการชี้แนะอย่างชัดแจ้งของพระพุทธ เต๋า เทพ แต่ในขั้นตอนการบำเพ็ญจริงสามารถอู้หลักการของฝ่าได้

อาจารย์ – ก็คือท่านสามารถอู้ได้ก็ไม่ต้องชี้แนะแล้วหละ  ท่านสามารถรู้แจ้งเอง  การที่ทำได้ถึงจุดนี้คือตนเองอู้เต๋าได้  จุดนี้ดีมากๆ  บางคนอู้ไม่ได้จริงๆ        แต่เห็นว่าเขาเป็นวัสดุที่ใช้ได้(คนที่สามารถบำเพ็ญ)จะทำอย่างไรดี จึงชี้แนะเขาสักคำหนึ่งก็แล้วกัน

ศิษย์ – ในระยะนี้มักจะสะท้อนสภาพจิตใจที่ไม่ดีออกมาบ่อยๆ  ไม่มีความคิดที่ดีงาม  วิธีคิดก็สะเปะสะปะผมตกลงมามากเช่นนี้จริงๆหรือ
อาจารย์ – พอย่อหย่อนต่อตนเองแล้ว กรรมก็จะเหมือนพายุคลั่งปานนั้น  หากด้านนี้ของท่านเข้มแข็งแล้ว ก็จะสามารถควบคุมมันได้ เมื่อควบคุมได้แล้วในขณะเดียวกัน  ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านยังใช้ได้จริง  เป็นผู้บำเพ็ญ  เช่นนั้นจึงต้องดูแล  ก็จะสลายสิ่งเหล่านี้ไปให้กับท่าน  ก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้ชั้นหนึ่ง ท่านเองทำไม่ถึงก็ใช้ไม่ได้  ท่านบอกว่า อ้อ ฉันเพียงแต่ยับยั้งมันไว้ อาจารย์ก็จะสลายให้กับฉัน  เช่นนั้นฉันก็เริ่มยับยั้ง  ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าบรรยายไปเมื่อครู่เกี่ยวกับความคิดเรื่องเป็นโรคนั้น ท่านบำเพ็ญก็เพื่อให้ข้าพเจ้าสลายกรรมให้กับท่าน  ก็ใช้ไม่ได้  ไม่ว่าเรื่องใดๆท่านล้วนไม่อาจยึดติด ต้องมีเจิ้งเนี่ยน

ศิษย์ – รวมกันฝึกพลังอยู่ในสวนสาธารณะ จะเปิดวิดีทัศน์สอนท่าฝึกของท่านอาจารย์ได้หรือไม่

อาจารย์ – ถ้าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย  รัฐบาลก็ไม่แทรกแซง  นั่นก็ไม่เป็นไร  การเปิดวิดีทัศน์ต้องแยกแยะโอกาสและสถานที่

 

ศิษย์ – บำเพ็ญกว่าหนึ่งปีแล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งบำเพ็ญ ยิ่งเปาะบาง  จิตยึดติดแค่นิดเดียวก็จะทำให้ในใจหวั่นไหวอย่างรุนแรง

อาจารย์ – ก็อาจเป็นไปได้ว่าตัวท่านเองเปลี่ยนแปลงจนมีความรู้สึกไวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  กลัวว่าตนเองจะบำเพ็ญได้ไม่ดี  จิตชนิดนี้ก็อย่าได้มี ให้บำเพ็ญไปอย่างสง่าผ่าเผย  แต่ท่านต้องเข้มงวดต่อตนเอง  พวกเราแต่ละคนต่างจะทำผิดได้ในระหว่างขั้นตอนของการบำเพ็ญ  ต่างเคยมีด่านที่ข้ามไม่ได้  หากแต่ละด่านท่านล้วนข้ามไปได้อย่างราบรื่น  ข้าพเจ้าที่เป็นอาจารย์นี้ก็ไม่ได้จัดวางไว้ดีพอ  ดังนั้นแต่ละด่านล้วนข้ามไปได้ยากมาก  ท่านอาจจะข้ามไปได้  หรือข้ามไปไม่ได้ หรือข้ามไปได้ดี หรือข้ามไปได้ไม่ดี หากข้ามไปได้ไม่ดีพอท่านจะรู้ถึงความเจ็บปวด  ท่านจะรู้ว่าฉันไม่ได้บำเพ็ญให้ดี สำนึกเสียใจในตัวเอง   ครั้งต่อไปต้องบำเพ็ญให้ดี  ฉะนั้นครั้งต่อไปข้ามด่านอีก  ก็จะอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้  ข้ามไปได้  ข้ามไปไม่ได้  ตัวเองสำรวจตนเอง  ทำเช่นนี้เรื่อยไป  จึงนับว่าท่านบำเพ็ญ  หากแต่ละด่านท่านข้ามไปได้ดีทั้งหมด  เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญแล้ว  ด่านอะไรก็ขวางท่านไว้ไม่อยู่  ท่านก็สมควรหยวนหมั่นแล้ว  แต่ว่า  คำพูดของเราพอพูดกลับมา  อาจารย์บอกแล้วว่า พวกเราข้ามไปได้ดี  ข้ามไปได้ไม่ดี  เพียงแต่พวกเราบำเพ็ญก็ใช้ได้แล้ว  ท่านก็จะเริ่มย่อหย่อนต่อตนเอง  ข้ามได้ไม่ดีก็ไม่ใส่ใจแล้ว  เช่นนั้นท่านก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญอีกแล้ว  ก็เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้  ท่านไม่เข้มงวดต่อตนเอง ย่อมไม่ได้

ศิษย์ – อย่างไรจึงจะเรียกว่าหยวนหมั่น   คือเหมือนคนธรรมดาสามัญตายไปอย่างนั้น  หรือว่าตามแต่อาจารย์จะจัดวาง

อาจารย์ – หยวนหมั่นมีหลายรูปแบบ  ทุกท่านทราบ  องค์ศากยมุนีตรัสเรื่องนิพพาน  พระองค์ปล่อยวางจิตยึดติดของคนจนถึงที่สุด  แนวทางนั้นของพระองค์แม้แต่ร่างกายคนก็ไม่ต้องการ   ดังนั้นท่านก็อย่ายึดติดร่างกายคนเลย  ก็คือการบำเพ็ญอย่างนี้  นิกายลามะในธิเบตพูดถึงการหลอมกลายเป็นสายรุ้ง  ก็คือในเวลาที่หยวนหมั่น  กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น  หากทั่วทั้งร่างกายท่านบำเพ็ญสำเร็จหมดแล้ว ในชั่วพริบตาของการหยวนหมั่นก็คือแสงสีแดงแถบหนึ่ง หลอมร่างกายทิ้งไป  จิตหลักของเขาเองก็นำร่างพระพุทธที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วจากไป  แต่ร่างพระพุทธที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วจะไม่มีสสารด้านนี้ของคนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นคนจึงมองไม่เห็นเขา  เห็นแต่เพียงมีแสง  เงาแสงลอยขึ้นมาแล้ว   เช่นนั้นผู้ที่บำเพ็ญบกพร่องไปหน่อย เขาไม่สามารถทำให้ร่างกายทั้งหมดหลอมกลายเป็นสายรุ้งได้  ดังนั้นในเวลาที่หลอมกลายเป็นสายรุ้ง  ชั่วพริบตาร่างกายของคนๆหนึ่ง “ซวา”เปลี่ยนเป็นคนๆหนึ่งที่สูงหนึ่งฟุตกว่า ๆ เหมือนกับเขาทุกอย่าง เปลี่ยนเป็นสูงหนึ่งฟุตกว่าๆ  ร่างกายเล็กใหญ่ได้สัดส่วนมากๆ  ก็คือเขายังบำเพ็ญไม่ดีพอ  ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสายรุ้งทั้งหมด
            ยังมีสภาพการณ์อื่น  สายเต๋าในประเทศจีน ในขณะหยวนหมั่นพูดถึง “ การปลดปล่อยศพ”อะไรที่เรียกว่า การปลดปล่อยศพละ เนื่องจากในประเทศจีนยุคโบราณ มีการบำเพ็ญเต๋าใหญ่หลายสาย  วิธีการบำเพ็ญเต๋าใหญ่คือหลังจากเขาบำเพ็ญสำเร็จจะมีการนำพาร่างกาย แม้แต่ร่างกายเขาก็ต้องการ  แต่กายเนื้อหาใช่ร่างกายคนธรรมดาสามัญ  เขาถูกสสารพลังงานสูงเปลี่ยนแปลงแล้ว  เขาได้กลายเป็นร่างเต๋าของเขาแล้ว  วิธีการปลดปล่อยศพของเขาก็คือเขาเองรู้ว่าบำเพ็ญหยวนหมั่นแล้ว  ร่างกายของเขาบำเพ็ญสำเร็จทั้งหมดแล้ว   เช่นนั้นเขาจะจากโลกมนุษย์ไป จะจากไปอย่างไรละ  ผู้บำเพ็ญเต๋าจำนวนมาก เขาเก็บปณิธานที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จในหมู่คนธรรมดาสามัญเอาไว้จัดการหลังจากหยวนหมั่นแล้ว  สายพุทธไม่ใช่แบบนี้  ในระหว่างการหยวนหมั่นเขาก็จัดการเสร็จแล้ว

            การปลดปล่อยศพก็คือ ถ้าเขาจากจากไปแล้วไม่ให้คนหาเขาพบ  จึงแสดงเป็นการตายหลอกชนิดหนึ่ง  ที่แท้ในเวลานั้นจะขึ้นสวรรค์ลงดินล้วนสามารถทำได้แล้ว  ก่อนที่จะจากไปเขาก็บอกคนในบ้าน  เขาพูดว่าฉันจะละสังขารแล้ว  บำเพ็ญสำเร็จแล้ว  ฉันจะจากไปแล้ว ช่วยเตรียมโลงศพให้ฉันโลงหนึ่ง   เมื่อถึงเวลานั้นพอดิบพอดี  ตัวเขาเองก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว สักครู่ก็หมดลมหายใจแล้ว  คนในบ้านเห็นว่าตายแล้ว  จึงใส่ไว้ในโลงศพแล้วเอาไปฝัง  ที่แท้เขาใช้วิชา “บดบังตา” เขาใช้อิทธิฤทธิ์อย่างหนึ่ง  ถึงวันนั้นเวลาที่คนในบ้านมองเห็นเขา นั่นไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของเขา  แล้วมันคืออะไรละ  เขาเสกวัตถุขึ้นมา  เช่นเขาใช้รองเท้าข้างหนึ่ง  หรือไม้กวาดด้ามหนึ่ง หรือไม้ไผ่ลำหนึ่ง  หรือกระบี่นั้น  เสกให้เป็นรูปลักษณ์ของตนเอง  เสกวัตถุให้เป็นรูปลักษณ์ และยังพูดอะไรก็ได้  พูดกับคนในบ้านเขาว่า  ฉันนอนอยู่ตรงนี้สักครู่ก็จะสิ้นแล้ว  เอาฉันบรรจุขึ้นมาก็จบแล้ว  ที่จริงคือไม้ท่อนนั้น หรือไม้กวาดด้ามนั้น  หรือรองเท้าข้างหนึ่ง  คนจริงตัวเขาจากไปแล้ว  ไปไกลแล้ว  คนในบ้านนำเขาไปฝัง  ที่จริงหลังจากฝังแล้ว  หนึ่งชั่วยามมันก็คืนสู่รูปเดิมแล้ว มันก็กลับเป็นรองเท้าข้างหนึ่ง  หรือไม้ไผ่ลำหนึ่ง หรือไม้ท่อนหนึ่ง  นี่จึงเรียกว่า การปลดปล่อยศพ  บางคนกลับมาจากที่อื่นก็จะพูดว่า  โอ้ ใครๆๆในครอบครัวพวกท่าน ผมเห็นเขาแล้ว อยู่ในที่ไกลมาก  ตอนที่ผมไปทำการค้า   เรายังได้คุยกัน  คนในบ้านเขาจึงบอกว่า ไม่ถูกนะ  คนตายไปแล้ว  คนๆนั้นจึงพูดว่าผมเห็นเขาแล้ว เขายังไม่ตายนะ  ผมเห็นเขาจริงๆ  ยังคุยกับเขาเลย  ยังทานข้าวกับเขามื้อหนึ่ง   บอกว่านี่ก็แปลกละ เขาตายแล้วจริงๆ  คนในบ้านก็รู้ว่าเขาบำเพ็ญเต๋า  เช่นนั้นไปขุดขึ้นมาดูซิ  พอเปิดฝาโลงดู ข้างในมีรองเท้าอยู่ข้างหนึ่ง

          สายเต๋ายังมีรูปแบบหนึ่งเรียกว่าบินขึ้นมากลางวันแสกๆ   บินขึ้นมากลางวันแสกๆ ก็คือร่างกายเขาทั้งหมดบำเพ็ญสำเร็จแล้ว เขาอยู่ในโลกมนุษย์ ก่อนที่จะบำเพ็ญหยวนหมั่น และได้ดำเนินการปณิธานเสร็จสิ้นแล้ว  ไม่ต้องทำเรื่องอะไรแล้ว  ก็ควรจากไปได้แล้ว ในเวลานี้เรียกว่า ประตูสวรรค์เปิด หรือก็คือประตูใหญ่ของตรีภูมิเปิด  จากนั้นบ้างก็จะปรากฏมีเทพสวรรค์มารับเขา หรือมีมังกร หรือนกกระสาเป็นต้น  เขาขึ้นไปนั่งแล้วบินจากไป หรือมีรถลากสวรรค์มารับเขาไป  เรื่องประเภทนี้ในยุคโบราณมีมาก  และมีการบินขึ้นกลางวันแสกๆอย่างนี้   แนวทางบำเพ็ญนี้ของเราจะไปโลกฝ่าหลุน  ข้าพเจ้าจะเลือกวิธีการนี้  บินขึ้นกลางวันแสกๆ  ยังมีบางแนวทางที่ไม่ต้องการร่างกาย  ท่านให้ร่างแก่เขา  สิ่งของๆโลกเขาทั้งหมดจะยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว  ก็เหมือนที่องค์ศากยมุนีนิพพาน  ถ้าท่านจะให้ร่างกายแก่เขา เขาก็ไม่เรียกว่านิพพานแล้ว  นั่นมิใช่ทำให้แนวทางนี้ยุ่งเหยิงไปหมดหรือ  โลกของพระองค์ล้วนประกอบขึ้นมาจากองค์ประกอบของศีล สมาธิ ปัญญานี้   ดังนั้นพระองค์จึงไม่ต้องการ  พวกเราหลายคนใช้ความคิดของคนธรรมดาสามัญคิดว่า  อ้อ บินกลางวันแสกๆนี่ช่างดีเพียงไร   ให้คนเห็นว่าฉันบินขึ้นมาแล้ว  ท่านคิดเรื่องของเทพด้วยจิตของคนธรรมดาสามัญ  นี่ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  ก็คือว่า  เวลาที่หยวนหมั่น  จะมีวิธีการของการหยวนหมั่นเอง  แต่การหยวนหมั่นของเราครั้งนี้  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน คนมากมายอย่างนี้  ข้าพเจ้าจะให้บทเรียนที่ลึกซึ้งสักครั้งไว้แก่คนที่ไม่เชื่อ ฉะนั้นการหยวนหมั่นของศิษย์ข้าพเจ้าในอนาคต  เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการครั้งหนึ่งที่ยากจะลืมเลือนตลอดกาลของสังคมมนุษย์

            พูดก็พูดกันอย่างนี้ละ  จิตใจอะไรต้องปล่อยวางทั้งหมด  อย่าไปสนใจเรื่องเหล่านี้  ให้สนใจบำเพ็ญไป  หากท่านบำเพ็ญไม่สำเร็จ  อะไรทั้งหมดก็เท่ากับศูนย์

 

ศิษย์ – ตัวอักษรที่ต่างกันใน“จ้วนฝ่าหลุน”นั้น ใช่หรือไม่ว่าข้างหลังจะมีพระพุทธ เต๋า เทพ ต่างๆอยู่
อาจารย์ – ใช่ จุดนี้แน่นอน  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเรียกให้ทุกท่านอ่านหนังสือ  บางคนอ่านเข้าใจแล้ว อา  เข้าใจละ ทันใดร่างกายก็สะท้าน   ร้อนขึ้นมา  นั่นเป็นเพียงความรู้สึกที่เบามาก  ที่แท้ในเวลานั้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะรุนแรงอย่างยิ่ง ข้างในทั่วทุกส่วนล้วนหมุนติ้ว  เพราะท่านยกระดับขึ้นอีกชั้นหนึ่งแล้ว  ร่างกายในระดับชั้นที่ต่างกันล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่ต่างกัน  ทุกท่านทราบว่ารูปปั้นพระพุทธในวัดของประเทศจีน บนเศียรพระมีสี่เศียรงอกขึ้นมา  หรือบนสี่เศียรนั้นงอกขึ้นมาอีกสามเศียร  บนสามเศียรยังงอกออกมาอีกหนึ่งเศียร  ที่แท้นี่คือรูปแบบชนิดหนึ่งที่ปรากฏออกมาในระดับชั้นที่ต่างกันของรูปลักษณ์ของฝ่าชนิดหนึ่งของพระพุทธ หมายความว่า ณ ระดับชั้นที่ต่างกันการเปลี่ยนแปลงของสภาวะร่างกายนั้นแรงกล้าอย่างมาก ทั้งยิ่งใหญ่ ทั้งสง่าน่าเกรงขาม ทั้งมีอานุภาพ อีกทั้งลึกซึ้งมหัศจรรย์หาขอบเขตไม่ได้ ดังนั้นการไม่ให้พวกท่านมองเห็นนั้นจึงมีเหตุผล เพราะพวกท่านมีซินซิ่งนี้ของคนธรรมดาสามัญอยู่ จะใช้จิตของคนธรรมดาสามัญไปเข้าใจ กระทั่งทำอะไรไปอย่างสับสนอลหม่านด้วยเหตุนี้ ล้วนให้เกิดขึ้นไม่ได้

 

ศิษย์ - การจับมือกับการสัมผัสร่างกายสามารถจะถ่ายทอดกรรมได้หรือไม่

อาจารย์ – คนที่บำเพ็ญอย่างแท้จริงไม่ว่าท่านจะรู้สึกได้ไวเพียงไร  เขาย่อมไม่เป็นภัยใดๆต่อท่าน  ร่างกายที่ท่านบำเพ็ญล้วนเป็นพลังกง  ยังจะกลัวสิ่งที่ต่ำกว่าพลังกงหรือ  เขาอยู่ในเขตแดนและระดับชั้นที่แตกต่างอย่างมาก  ดังนั้นไม่ต้องกลัวคนจับมือกัน 

การสัมผัสกันระหว่างคนธรรมดาสามัญ จับมือ  ที่จริงสามารถทำให้เกิดการถ่ายทอดกรรมได้  อย่างน้อยที่สุดคือการปนเปื้อน จุดนี้แน่นอนทีเดียว  ปัจจุบันทุกท่านต่างจับมือกัน  การจับมือเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดมาจากสังคมของคนผิวขาว  คนตะวันออกในอดีตไม่จับมือกัน  พอพบหน้าก็กุมมือขึ้นคารวะ  ซึ่งดีมากใช่ไหม  ผู้หญิงเขาไม่ทำอย่างนี้  ไม่น่าดู  เขากุมมือที่หน้าท้องฝั่งขวา คือพอพบหน้า ก็กุมมือขึ้น  วางค่อนไปด้านข้าง ขาย่อลงเล็กน้อย(ถอนสายบัว) ดูเหมือนว่าหลังยุคฟื้นฟูศิลปะของตะวันตกจึงปรากฏมีการจับมือกัน   ที่ผ่านมาเขาก็ไม่จับมือกัน  เขามีมรรยาทประเพณีนี้ของเขา  ซึ่งไม่เหมือนกัน  บ้างก็เป็นอย่างนี้ บ้างก็เป็นอย่างนั้น การจับมือนั้นเกิดขึ้นภายหลัง  พวกเรามิใช่มีเหอสือ(พนมมือ)หรอก

หรือเป็นมรรยาทประเพณีของพระพุทธ

 

ศิษย์ – บำเพ็ญได้ปีกว่าแล้ว มีคนสร้างความยุ่งยากให้ผมน้อยมาก  หากเป็นเช่นนี้เรื่อยไป จิตยึดติดกองโตจะทิ้งไปได้อย่างไร

อาจารย์ – ไม่ใช่เช่นนี้หรอก  แต่ละคนล้วนมีสภาพการณ์ที่ไม่เหมือนกัน  หรือเป็นอย่างนี้  หรือเป็นอย่างนั้น  หรือเป็น.... ปัจจัยด้านต่างๆ  ดังนั้นท่านอย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้  วันที่ทุกข์ภัยมาถึงจริงๆท่านก็จะข้ามไปได้ยาก  ไม่มีทุกข์ภัยท่านก็คิดอีก  ล้วนแต่มีมูลเหตุ  ที่จริงบางคนนั้น ไม่มีทุกข์ภัยมากเช่นนั้นจริงๆจุดนี้ก็แน่นอน

ศิษย์–ศูนย์ฝึกพลังของเรามีสิบกว่าคน คนส่วนใหญ่สีหน้าไม่ดี หรือว่าพวกเราไม่ได้บำเพ็ญจริง
อาจารย์ – มีศูนย์ฝึกพลังเฉพาะแห่งที่ไม่ปกติอย่างมาก  พูดคุยกันเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในหมู่ผู้ฝึกเอย  อู้กันอย่างสับสนเอย  เดิมทีเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายทั้งสิ้น เขาอู้สับสนไปหมด  ยังชักนำให้ผู้ฝึกคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้  คิดฟุ้งซ่าน  ยังไปวิพากษ์วิจารณ์ฝ่า ว่า ฝ่านี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  ท่อนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  ท่อนนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้   คนคู่ควรจะวิพากษ์วิจารณ์ฝ่าหรือไม่ละ  อย่างน้อยที่สุดท่านยังมีความคิดของคนอยู่  ทำอย่างนั้นไม่ถูก  พวกเราควรบำเพ็ญไปตามต้าฝ่า  ไปอ่าน ไปดู  ร่วมกันฝึกพลัง  ใช้เวลาให้มากไปอ่านฝ่า ดูฝ่า  ใช้เวลาแต่น้อยในการพูดถึงความเข้าใจของตนเอง  หรือว่าหลังจากฝึกพลังเสร็จแล้วพวกท่านก็คุยๆกัน  ใช้ได้ทั้งนั้น  หากท่านใช้เวลาในการบำเพ็ญ  อ่านฝ่าไปพูดถึงความเข้าใจ ข้าพเจ้าว่าไม่ดี บางคนพอพูดถึงสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีความคิดส่วนตัวนานาชนิด  อารมณ์ต่างๆ กระทั่งสิ่งที่พูดเป็นคนละเรื่องกับฝ่าเลย ท่านก็นำผู้ฝึกเพี้ยนไปแล้ว  กระทั่งคิดสิ่งที่ฟุ้งซ่าน  คนล้วนมีความคิดของคนธรรมดาสามัญอยู่  ในหมู่ผู้ฝึกของข้าพเจ้า ไม่ว่าผู้ฝึกเก่า  ผู้ฝึกใหม่  ล้วนไม่สามารถให้ท่านพูดออกมา  และไม่อาจให้ท่านทราบเหตุผลที่สูงไปกว่าบนตัวหนังสือ  สิ่งที่ท่านพูดทั้งหมดล้วนเป็นแค่หลักการชั้นผิวบนตัวหนังสือ เนื่องจากฝ่าของสวรรค์ไม่อาจพูดในหมู่คนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นบางคนก็ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร  ไม่รู้ว่าเขาอู้สิ่งที่วุ่นวายเลอะเทอะเหล่านี้ออกมาได้

อย่างไร  ดังนั้นต้องระวังไว้

ศิษย์ –คำแปลของคำว่า “อิ้น”คืออะไร  ทำไมต้อง “เจียอิ้น”

อาจารย์ – พระพุทธไม่เรียกว่าอิ้น  นั่นเป็นการแสดงออกที่สง่างามน่าเกรงขามชนิดหนึ่งของฝอฝ่า  เป็นคำศัพท์คำหนึ่งที่แปลจากอินเดียโบราณโดยไม่มีการแก้ไขดัดแปลง  เรียกว่า อิ้น  เจียอิ้นเอย  รำมือชุดใหญ่เอย  รำมือชุดเล็กเอย  นั่นคือการแสดงออกที่สง่างามน่าเกรงขามชนิดหนึ่งของรูปลักษณ์ของฝ่ากับภาษาของฝ่า

 

ศิษย์ – ผมบำเพ็ญเกือบปีหนึ่งแล้ว  ยังไม่เห็นฝ่าหลุน

อาจารย์ – พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน  หากตัวท่านเองไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยนิด  ไม่เคยประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ฝ่านำมาให้ท่าน  หรือไม่มีสิ่งที่เหนือกว่าสภาพการณ์ของคนธรรมดาสามัญที่ท่านสามารถทราบได้  อู้ได้เลย  ข้าพเจ้าไม่เชื่อ  นอกเสียจากท่านไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ  ท่านอยากแต่จะเห็น  แสดงออกมา  หรือเห็นได้ชัดเหมือนที่คนธรรมดาสามัญเห็นอย่างนี้  ปรากฏออกมาจริงๆอย่างนี้  ข้าพเจ้าคิดว่ายังเป็นไปไม่ได้   เพราะตามเงื่อนไขของตัวพวกท่าน  สภาพความคิดของคนธรรมดาสามัญที่แตกต่างกัน  กับสภาพการณ์ที่ใกล้จะหยวนหมั่นก็ไม่เหมือนกัน   ดังนั้นแต่ละคนย่อมมีวิธีปฏิบัติต่างกัน  การทำเรื่องนี้โดยตัวมันเอง  ย่อมจะไม่เหมือนกันทั้งหมด  จงใจอยากจะเห็นฝ่าหลุน  หากจิตใจนี้ไม่ทิ้งไป ย่อมมองไม่เห็น 

ศิษย์ – พระพุทธในระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้นไป  มองว่ามนุษย์ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  ขอเรียนถาม  เหตุใดท่านอาจารย์จึงยังมาช่วยพวกเรา

อาจารย์-  ฝ่าของจักรวาล  ได้บุกเบิกสภาพแวดล้อมของการดำรงอยู่ในระดับชั้นที่ต่างกันให้แก่ชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกันทั่วทั้งจักรวาล ฉะนั้นสภาพแวดล้อมของการดำรงอยู่นี้จึงต้องมีสรรพชีวิตอยู่   คนธรรมดาสามัญก็เป็นระดับชั้นหนึ่งที่ต่ำที่สุดในท่ามกลางระดับชั้นที่ต่างกันของทั่วทั้งจักรวาลที่ฝ่านี้บุกเบิกให้  ฉะนั้น จากมุมมองที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ก็ต้องพิจารณาถึงฝ่าและจักรวาลทั้งหมด  ข้าพเจ้าพูดชัดเจนแล้วหรือไม่  (เสียงปรบมือ) ดังนั้นยืนอยู่ในมุมมองของข้าพเจ้า การรับรู้ต่อชีวิตเอย  ต่อชีวิตด้านบวกและด้านลบสองด้านกับการรับรู้ของพวกท่านล้วนไม่เหมือนกัน เรื่องนี้พวกท่านเข้าใจไม่ได้เลย

ศิษย์ – ศึกษาฝ่าไปไม่มีหยุด เรื่องในสมองยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ  กระทั่งบางครั้งไม่อยากคิดเลย  นี่ใช่หรือไม่ว่าจิตหลักอ่อนแอหรือว่าการบำเพ็ญเพี้ยนไปแล้ว
อาจารย์ – ไม่ใช่ ข้าพเจ้ายังจะขอบอกท่านว่านี่คือปรากฎการณ์ที่ดีมาก  ทำไมจึงพูดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดีมากละ  ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน   ในหมู่คนธรรมดาสามัญสิ่งที่สะท้อนอยู่ในสมองได้ว่องไวมาก เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของตนเองต้องสูญเสียไป  ในด้านนี้ ความคิดจะสะท้อนได้เร็วมาก และความจำก็ดีด้วย  หรือพูดว่า สมองส่วนนี้ที่ท่านเคลื่อนไหวนั้นไม่ดี  และเขาสามารถจะก่อกรรม  มันพัฒนาเหลือเกินแล้ว  รบกวนการบำเพ็ญของท่าน  เช่นนั้นจะทำอย่างไรละ พวกเราจึงเลือกวิธีหนึ่งขึ้นมา  คือก่อนอื่นควบคุมสมองส่วนนี้ของท่านเอาไว้  พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปิดมันเอาไว้ก่อนเพื่อปรับให้ดี  ให้ความคิดส่วนนั้นของท่านที่เหมือนความคิดของผู้บำเพ็ญแทนที่ไปก่อน  ให้ความคิดส่วนนี้พัฒนาขึ้นมา  จากนั้นปรับส่วนที่เจ้าเล่ห์เหล่านั้นให้ดี  แล้วค่อยๆเปิดออก  ในเวลานั้นท่านก็จะสามารถยึดกุมตนเองได้แล้ว   เนื่องจากท่านนั้น แม้แต่จะรับรู้ก็ไม่อาจรับรู้ถึงความคิดที่ไม่ดีนั้นของตนเองได้เลย ก็เพราะมันพัฒนาเกินไปแล้ว  พอคิดพิจารณาปัญหาก็มุดเข้าไปในสมองส่วนนั้น  สมองส่วนนั้นส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญของทุกท่านอย่างหนักแล้ว ดังนั้นคนจำนวนมากจะปรากฏสภาพการณ์นี้ แต่เป็นเพียงชั่วคราว คือเซลสมองนี้ที่ท่านมักจะใช้การได้ดี  เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเอย  หรือความคิดนี้ที่สามารถทำร้ายผู้อื่น  ซึ่งพัฒนาเหลือเกิน จัดการปิดมันเอาไว้ทั้งหมดและปรับแก้  ดังนั้นจึงเกิดสภาพการณ์นี้ขึ้น  แต่ว่าเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น  หลังจากปิดเอาไว้ยังต้องช่วยท่านจัดการ  ไม่ให้มันพัฒนาขนาดนั้น   ให้มันสามารถพอใช้ตามปกติก็พอแล้ว   ให้เซลความคิดที่ถูกต้องของท่านพัฒนาขึ้นมา  ก็เป็นอย่างนี้  หาไม่แล้ว  ข้าพเจ้าใช้คำพูดท้องถิ่นประโยคหนึ่งพูดละกัน  จะอธิบายได้เหมาะเจาะกว่าคือ  ผู้บำเพ็ญพุทธที่สง่างามคนหนึ่ง   หากสมองของท่านลื่นไหลกลับกลอกอย่างมาก นี่ก็ใช้ไม่ได้

ศิษย์ – เมื่อกำลังฟังคนอื่นพูดถึงความเข้าใจของเขาอยู่  ตนเองก็ได้รับความสว่างทางปัญญา แต่รู้สึกว่าไม่แน่นแฟ้นเท่ากับที่ตัวเองอู้ได้

อาจารย์ – ถูกต้อง  แน่ละย่อมเป็นอย่างนี้  สิ่งที่ท่านอู้ได้เอง  ที่สำคัญคือตนเองบำเพ็ญออกมา  นั่นจึงจะแน่นแฟ้นที่สุด  แต่ ได้ฟังคนอื่นพูดก็เป็นกระจกส่องให้ท่านได้จริงๆ  และก็เป็นการกระตุ้นอย่างหนึ่ง  ดังนั้นก็มีประโยชน์  ฝ่าฮุ่ยไม่อาจเปิดได้บ่อยๆ  ฝ่าฮุ่ยของพวกเรามีประโยชน์ของฝ่าฮุ่ย  การพูดถึงความเข้าใจของตนก็อย่าทำให้บ่อยเกินไป  ต้องทุ่มเทกำลังไปที่การศึกษาฝ่า อ่านหนังสือ

          เนื่องจากบางคำถามที่จะตอบนั้นค่อนข้างต่ำและซ้ำซ้อน ยังมีหลายปัญหาที่สามารถได้รับการแก้ไขเมื่ออ่านหนังสือ  ดังนั้นพวกเขาจึงคัดออกไป  เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเวลาเราจึงไม่ตอบให้แล้ว (เสียงปรบมือกึกก้อง)