การบรรยายธรรมที่ทวีปยุโรป

 

 

หลี่ หง จื้อ

30-31 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 เมืองแฟรงก์เฟริต

 

 

                  ผู้นั่งอยู่ส่วนหนึ่งเป็นผู้ฝึกเก่า         หลายคนเป็นผู้ฝึกใหม่

     ในชั่วพริบตาการถ่ายทอดฝ่าก็ผ่านไปหลายปีแล้ว  ที่ผ่านมาเมื่อข้าพเจ้าไปถ่ายทอดฝ่าที่ประเทศฝรั่งเศส  ก็เคยมาเยอรมันนี  ข้าพเจ้ามาดูสภาพแวดล้อมของที่นี่ นี่เป็นครั้งที่สองที่มาที่เมืองแฟรงค์เฟริต  แต่ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้าผู้ฝึกใหม่ในที่เดียวกันของยุโรป ทุกท่านที่ร่วมกันบำเพ็ญต้าฝ่านี้สามารถนั่งอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าคิดว่าก็เป็นวาสนา  สายพุทธเรานั้นพูดถึงวาสนา  แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้  เราก็ควรเห็นค่าของฝ่านี้ หลายคนที่กำลังนั่งอยู่ยังไม่ได้เข้าไปศึกษาฝ่านี้อย่างลึกซึ้ง  มักจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนชี่กงทั่วไป  ในระหว่างที่ฝ่านี้เผยแพร่อยู่ในประเทศจีนก็มีคนมาศึกษาฝึกฝนมากถึงหนึ่งร้อยล้านคนแล้ว  จำนวนของผู้ฝึกที่อยู่ในพื้นที่อื่นนอกประเทศจีนก็มีมากมาย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  และคนที่ศึกษาฝ่านี้ก็มีความรู้ค่อนข้างสูง  หลายคนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการวิชาการ  จนกระทั่งในหลายพื้นที่ของประเทศจีนก็ล้วนมีคนที่อยู่ในระดับสังคมที่ค่อนข้างสูง แน่ละพวกเราพูดว่า  ในเวลาที่ชี่กงโดยทั่วไปเกิดขึ้นในประเทศจีนนั้น ผู้ที่ศึกษาและฝึกฝน จำนวนมากเป็นคนสูงอายุกับคนป่วย  ดังนั้นคนจึงเข้าใจว่ามันเป็นกายบริหารอย่างหนึ่ง  เป็นสิ่งที่เสริมสร้างสุขภาพ  แน่ละในหมู่ชี่กงนั้น  มีการพูดถึงปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่างที่ไม่อาจพบเห็นได้ง่ายในสังคมคนธรรมดาสามัญ  เช่นนี้จึงทำให้ชี่กงมีสีสันที่ลึกลับซับซ้อนมากชนิดหนึ่ง       ก็เพียงเท่านี้เอง 

    คนจำนวนมากไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดว่ามันเป็นเรื่องอย่างไร  หลังจากต้าฝ่าถ่ายทอดออกมาแล้ว ข้าพเจ้าได้นำปรากฎการณ์บางอย่างของชี่กงที่อธิบายได้ไม่กระจ่าง กับสิ่งที่ไม่ได้มีการอธิบายไว้ในวงการชี่กง  อธิบายออกมาหมดแล้ว  แต่ไม่ใช่เช่นนี้จึงทำให้มีคนศึกษาต้าฝ่ามากมายเช่นนี้  เป็นเพราะฝ่าของเรานี้สามารถทำให้คนหยวนหมั่นได้อย่างแท้จริง  สามารถทำให้คนได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง  ในขั้นตอนการบำเพ็ญสามารถทำให้ท่านยกระดับขึ้นได้อย่างแท้จริง  ไม่ว่าในเขตแดนความคิดของท่าน  หรือว่าในคุณสมบัติในร่างกายท่าน  สามารถทำให้ท่านบรรลุถึงมาตรฐานเขตแดนที่แตกต่างกันได้อย่างแท้จริง  เขาสามารถก่อเกิดผลเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

    เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงว่ามีคนที่มีความรู้ระดับสูงมากมายที่ศึกษาฝ่านั้น  สมองแจ่มแจ้งมาก  โดยทั่วไปนั้นไม่ได้ศึกษาอะไรอย่างหลับหูหลับตา  คนเหล่านี้ หลังจากศึกษาฝ่านี้แล้ว เขาก็ค่อนข้างยืนหยัด  เพราะเขารู้ถึงความล้ำค่าของฝ่านี้ ในหนังสือได้เปิดเผยความลับสวรรค์ไว้มากมาย  และไม่ใช่เพียงเท่านี้  ความนัยก็ยิ่งใหญ่มาก  ในการบำเพ็ญท่านคิดจะบรรลุถึงระดับชั้นเขตแดนที่สูงเพียงใด  เขาก็สามารถชี้นำท่านได้ทั้งหมด             ฝ่าชุดนี้ในมนุษยชาติไม่เคยมีใครเคยพูดมาก่อน หากไม่ใช่เป็นการศึกษาต้าฝ่า  ในสังคมมนุษย์ไม่ว่าท่านจะเคยอ่านหนังสือมากเท่าไร  ประสพความสำเร็จยิ่งใหญ่เพียงไร  ท่านก็ไม่อาจได้ความรู้ส่วนนี้  เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจศึกษาได้จากหนังสือ ไม่อาจค้นหาได้จากความรู้ของมนุษย์  ให้ท่านไปค้นหาหนังสือบรรดามีของทางตะวันออกและตะวันตก จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่อาจค้นหาได้พบ

               อีกปัญหาหนึ่งคือ  จะบำเพ็ญก็ต้องอ่านหนังสือให้มาก  ในการบำเพ็ญของคนจำนวนมากไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้มงวดต่อปัญหานี้ละ  ข้าพเจ้าพูดอยู่เสมอว่า หากท่านคิดจะบำเพ็ญ  ท่านก็จำเป็นต้องอ่านหนังสือให้มาก  อ่านซ้ำไปมา  ในหนังสือมีความนัยที่กว้างใหญ่อย่างยิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ  ผู้ฝึกใหม่จำนวนมากมีความเข้าใจและเห็นความสำคัญไม่เพียงพอ  หนังสือเล่มหนึ่งก็คือตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาว  เมื่อพลิกดูฉันอ่านรอบหนึ่งก็รู้แล้ว  แน่ละหนังสือแต่ละเล่มในสังคมคนธรรมดาสามัญก็เป็นเช่นนี้  มันเป็นความรู้ที่จำกัดอยู่ที่ชั้นผิว  ไม่มีความนัยอะไร  ท่านอ่านจบหนึ่งรอบก็เข้าใจแล้ว  แต่หนังสือเล่มนี้ไม่เหมือนกัน  เขาชี้นำคนบำเพ็ญได้  หากท่านคิดจะยกระดับในฝ่านี้  ก็จำเป็นต้องไปอ่านหนังสือไม่หยุดหย่อน  เขาจึงจะสามารถชี้นำการบำเพ็ญของท่านได้

     อาทิเช่น การบำเพ็ญในอดีตมีอาจารย์มานำพาลูกศิษย์  เมื่อถึงเวลาที่ท่านจะยกระดับอย่างไร  ข้าจะบอกให้เจ้าไปฝึกอย่างไร  ไปยกระดับอย่างไร  บอกให้เจ้ารู้ว่าแต่ละระดับชั้น  แต่ละเขตแดนมีสภาพการณ์เป็นอย่างไร  แต่นี่สามารถทำได้จำกัดในวงเล็กๆ  จำนวนคนน้อยสามารถทำได้  ทว่าวันนี้เรามีคนมากมายอย่างนี้ นับร้อยล้านคนกำลังศึกษาอยู่  ข้าพเจ้าต้องจับมือบอกเขาทีละคนๆ  นี่ไม่อาจจะทำได้  แต่เพื่อแก้ไขปัญหานี้  ข้าพเจ้านำบรรดาสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสามารถให้กับพวกท่าน  ทำให้พวกท่านยกระดับขึ้นได้  บรรลุถึงการเปลี่ยนแปลงได้ ล้วนเขียนเข้าไปในหนังสือเล่มนี้      ใส่เข้าไปในฝ่าชุดนี้แล้ว  ไม่เพียงแต่ชี้นำท่านยกระดับจากในหลักการ ข้างหลังฝ่ามีความนัยที่ทรงพลัง ทฤษฎีนี้เป็นสิ่งที่เหนือสามัญวิสัย ไม่ใช่ทฤษฎีในหมู่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน พวกเราเกี่ยวโยงถึงเขตแดนนั้นที่เลยล้ำคนธรรมดาสามัญ เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นจึงเกี่ยวโยงถึงรูปแบบของชีวิตที่เลยล้ำคนธรรมดาสามัญ ตลอดจนสภาพการณ์ของมิติอื่น หมายความว่าท่านอย่าเห็นว่า ณ ชั้นผิวเขาเป็นกระดาษขาวอักษรดำ ข้างหลังของตัวอักษรทุกตัวมีมิติแต่ละชั้นนับจำนวนไม่ถ้วน ตลอดจนพุทธ เต๋า เทพของแต่ละมิติที่ปรากฏออกมาอยู่ข้างหลัง

     ทุกท่านลองคิดดู  ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเน้นกับพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่าว่า พวกท่านต้องเห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนี้  เมื่อท่านไม่ทราบว่าเขามีความล้ำค่าเพียงใด ท่านไม่ใส่ใจเขา  แน่ละก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของท่าน แต่เมื่อท่านทราบว่าเขามีความนัยที่ยิ่งใหญ่เพียงไรแล้ว ยังไม่เคารพเขาอีก  ไม่สนใจเขา ทำตามชอบใจ  ข้าพเจ้าว่านั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็ไม่สมควรแล้ว  แน่ละ พูดในทางกลับกัน เมื่อท่านทราบว่าเขามีความนัยที่ยิ่งใหญ่ ท่านก็จะเห็นความสำคัญของเขาเอง

      ผู้ฝึกเราบางคนพูดว่า ช่างแปลกจริงๆ  เวลาที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น  พออ่านจบรอบหนึ่งๆ(ความหมาย)จะไม่เหมือนกัน  พออ่านรอบที่สองอีก หนังสือนี้ทั้งเล่มก็ไม่เหมือนเดิมอีก หลังจากท่านอ่านรอบที่หนึ่งจบจะมีปัญหาบางอย่าง  เหตุใดจึงเป็นอย่างนี้  เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น  แต่เมื่อท่านอ่านรอบที่สอง  ท่านจะพบว่าปัญหาทั้งหลายได้รับการแก้ไขหมดแล้ว  ล้วนสามารถตอบท่านได้ทั้งหมด  แต่ท่านจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาอีก  เพราะการบำเพ็ญนั้นเลื่อนสูงขึ้น  ปัญหาที่ท่านยกขึ้นมาอีกนี้จะสูงกว่าปัญหาที่คิดได้ในการอ่านรอบที่หนึ่งกับคำตอบที่ได้รับ  เมื่อท่านอ่านรอบที่สาม ท่านจะพบว่าปัญหาที่ต้องการถามในรอบที่สอง  ปัญหาที่ไม่เข้าใจ  ในรอบที่สามท่านก็สามารถได้รับการแก้ไขให้ทั้งหมด  และเมื่ออ่านต่อไปก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อยๆไป  ขณะนี้มีคนจำนวนมากมายที่อ่านหนังสือนับร้อยรอบขึ้นไป เขาวางฝ่านี้ไม่ลงแล้ว  เขายิ่งอ่านสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นก็ยิ่งมาก  ความนัยยิ่งใหญ่ขึ้น  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  หากในเวลาที่พระพุทธ  เต๋า เทพ ที่อยู่เบื้องหลังมองเห็นว่าท่านสมควรยกระดับขึ้นได้แล้ว  เขาก็จะให้ท่านเข้าใจหลักการที่มีอยู่ในเขตแดนนั้น ท่านก็จะรู้สึกว่าในทันใดก็เข้าใจอีกความนัยหนึ่งของคำพูดประโยคนี้ได้ 

     ที่ผ่านมาเมื่อข้าพเจ้าพูดถึง “อู้”(การรับรู้) นั้น  ก็เคยพูดถึงความลับสวรรค์อย่างหนึ่งที่ไม่เคยพูดกันมาก่อน คือ “การบำเพ็ญขึ้นอยู่กับตนเอง  พลังขึ้นอยู่กับอาจารย์”นับร้อยพันปีมาล้วนเข้าใจว่าตนเองกำลังบำเพ็ญอยู่  ตนเองกำลังยกระดับอยู่ ที่จริงอะไรๆท่านก็ฝึกออกมาไม่ได้  หากไม่มีอาจารย์ดูแลก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งนั้น  เช่นนั้นจึงพูดได้อีกอย่างว่า ปัญหาที่แท้จริงนั้นอาจารย์เป็นผู้แก้ไขให้  คือองค์ประกอบที่อยู่เบื้องหลังฝ่าแก้ไขให้  การอู้ของท่านเอง  เป็นเพียงการควบคุมความยากลำบากที่พบในระหว่างการบำเพ็ญได้ แล้วบำเพ็ญต่อเนื่องไปอีก  นี่พูดถึงการอู้ของท่าน  อู้อะไรได้ในหลักการอย่างแท้จริง   หากฝ่านี้ไม่ให้ท่านทราบ  ท่านจะอู้อย่างไรก็อู้ไม่ได้  ดังนั้นท่านต้องเพียบพร้อมเงื่อนไขหนึ่ง ก็คือท่านจำเป็นต้องไปบำเพ็ญอย่างแท้จริง  

ในอดีตศาสนาทางตะวันตกพูดถึงการเชื่อ  ทางตะวันออกพูดถึงการอู้  พูดให้ชัดแล้วก็คือท่านต้องแน่วแน่  หากท่านไม่มีใจดวงนี้ท่านก็จะทำอะไรไม่ได้เลย  พูดในทางกลับกัน  ในเวลาที่ท่านไม่เข้าใจเขานั้น ท่านก็มีใจดวงนั้นที่แน่วแน่ไม่ได้  บางคนรู้สึกว่าเมื่อผู้ฝึกหลายคนไม่ศึกษาฝ่า ก็ร้อนใจแทนเขา  ท่านได้รับแล้วท่านยังไม่ไปศึกษา ช่างน่าเสียดายนัก  ก็เป็นเช่นนี้  มีหลายคนเขาไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่า ถือว่าเขาเป็นเช่นชี่กงทั่วไป  ฉันฝึกฝน ออกกำลังร่างกาย   แน่ละฝ่าของเรานั้นใหญ่มาก ในการออกกำลังกาย  จึงบังเกิดผลในการขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพอย่างมาก ความรู้สึกก็เด่นชัด  แต่หากท่านมุ่งแต่ขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพ  เช่นนั้นท่านก็จะไม่ได้ประโยชน์ในการยกระดับชั้น  โดยเฉพาะการทำเรื่องนี้ของข้าพเจ้าในทุกวันนี้นั้นชัดแจ้งมาก  ข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ถ่ายทอดฝ่านี้เพื่อที่จะขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพให้ใคร จุดประสงค์ของข้าพเจ้าคือจะนำพาคนไปสู่ระดับชั้นสูง  ยกระดับให้กับท่านอย่างแท้จริง  หากท่านไม่สามารถรักษาวิธีการนี้ได้ตลอดไป  เช่นนั้นท่านก็จะได้เพียงร่างกายที่แข็งแรงเล็กน้อยเท่านั้น  แต่ ถ้าท่านไม่ใช่มาเพื่อศึกษาฝ่านี้อย่างแท้จริง  กลัวว่าแม้แต่จุดนี้ก็ยากจะได้รับ  แต่เมื่อพูดในทางกลับกัน  หากท่านมาศึกษาฝ่านี้อย่างแท้จริง อะไรๆก็จะได้หมด  หรือแม้ท่านจะไม่มีเป้าหมายที่ชัดแจ้ง  มาศึกษาฝ่าโดยไม่มีความคิดใดๆที่จะรักษาโรคเสริมสร้างสุขภาพกับความคิดอย่างอื่น บางทีผลลัพธ์ก็จะดีมากเช่นกัน  เพราะในระหว่างที่คนยกระดับอยู่  ก็ยอมให้ท่านมีขั้นตอนหนึ่งของการค่อยๆรับรู้  ดังนั้นเราบอกให้ท่านอ่านหนังสือ  ท่านต้องเข้าใจว่าเขา(ฝ่า)คืออะไร  หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจอีกทีว่าท่านจะสามารถศึกษา บำเพ็ญต่อไปหรือไม่ 

ข้าพเจ้าจึงแนะว่าเมื่อผู้ฝึกใหม่เข้าประตูมา  จึงต้องให้เขาอ่านหนังสือ  หลังจากอ่านหนังสือแล้วเขาจะเห็นว่าทำได้หรือไม่  ถ้าได้  เขาก็มาบำเพ็ญ  ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องฝืนใจ  เราช่วยคนก็ไม่สามารถจะบีบบังคับ(เขา)ได้  ใจท่านจะต้องคิดจะยกระดับ  คิดจะบำเพ็ญ  คิดจะบรรลุถึงเขตแดนที่สูงกว่า  เขาจึงสามารถบำเพ็ญได้  ถ้าใจคนไม่เคลื่อนไหวใครก็ไม่มีหนทาง การบังคับไม่ใช่การบำเพ็ญ และไม่สามารถทำให้คนบำเพ็ญได้  ใจไม่ขยับ เขาไม่คิดจะแก้ไขตนเอง  ล้วนไม่มีประโยชน์อะไร  ทุกท่านทราบ  เขา(ฝ่า)เป็นหลักการที่อยู่เหนือสามัญวิสัย  หากท่านคิดจะบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูง  ท่านคิดจะทำให้เขตแดนของตนเองยกระดับขึ้น ท่านจะยกระดับขึ้นได้อย่างไรกันละ   ที่ผ่านมามีคนมากมายฝึกชี่กง  และเข้าไปสู่สภาพการณ์ทางความคิดที่ผิดพลาดอย่างมากคือ “ ฉันเพียงแต่ขยันไปฝึก  ทุกๆวันเพิ่มเวลาฝึกให้นานขึ้นฉันก็จะสามารถยกระดับได้”  ที่จริงอะไรก็ยกระดับขึ้นไม่ได้  เขาจะไม่อาจทะลวงออกไปจากการขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพตราบชั่วนิรันดร์ก็เป็นแต่การฝึกชี่ ระดับชั้นนี้  ทว่าชี่กงนั้นหาใช่มีเพียงเท่านี้ไม่    มันเพียงแต่นำสิ่งที่ต่ำที่สุดของการบำเพ็ญ สิ่งที่อยู่ในชั้นนี้ที่สามารถขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพออกมาเพื่อทำเรื่องที่ดีให้กับคน  แต่จุดประสงค์ของมันไม่ใช่ตรงนี้  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมักพูดว่า ชี่กงไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ประเทศจีน  ทั่วทั้งโลกไม่เคยมีชี่กงเกิดขึ้นมาก่อน  เหตุใดวันนี้จึงเกิดขึ้นในสภาพสังคมอย่างนี้ที่ถูกวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันชักนำ คนก็คือคน  ความคิดของคนนั้นถูกควบคุมไว้  สติปัญญาของคนมีจำกัด  คิดไม่ถึงสิ่งเหล่านี้  ผู้คนจึงเข้าใจว่านี่ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ  เป็นความบังเอิญ  ข้าพเจ้าพูดว่าไม่มีเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ  ไม่มีความบังเอิญ  ทุกสิ่งล้วนแต่มีมูลเหตุ  เมื่อครู่ความหมายเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดไป  ก็คือจะบอกทุกท่านว่า  พวกเราต้องเห็นความสำคัญของการศึกษาฝ่า  ท่านเพียงศึกษาฝ่าท่านก็จะยกระดับขึ้นได้ในระหว่างการบำเพ็ญ   เกิดสภาพการณ์ที่ต่างกันไป  หากท่านไม่ศึกษาฝ่า            ท่านจะไม่ได้อะไร

             การออกกำลังกายแบบชี่กงนั้น ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร  อาจารย์ชี่กงจะพูดว่าดีอย่างไร มันก็เป็นเพียงการขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพ  มันย่อมไม่อาจทำให้ท่านบรรลุถึงเขตแดนที่สูงล้ำได้  ในอดีต จะเป็นวงการบำเพ็ญก็ดี  วงการศาสนาก็ดี  ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะล่วงรู้หลักธรรมที่สูงส่งสุดที่จะหยั่งรู้ได้  ชี่กงทั่วไปนั้น เนื่องจากมันไม่มีหลักธรรมชี้นำการบำเพ็ญ  มันเพียงแต่สอนให้คนว่าจะขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างไร  เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดว่า หากคิดจะบรรลุถึงเขตแดนนั้น ท่านจะมีความชำนาญที่สูงล้ำอย่างนั้นได้  เขตแดนความคิดของท่านก็ต้องตามทันด้วย

ที่ผ่านมาทุกท่านต่างทราบว่าทฤษฎีของสายพุทธหรือสายเต๋าก็ดี ต่างพูดว่าการบำเพ็ญนั้นต้องเน้นเรื่องกุศล  พระเยซูสอนให้คนเป็นคนดี  อะไรที่เรียกว่าเป็นคนดีละ  อะไรที่เรียกว่าเน้นเรื่องกุศลละ  ก็คือท่านต้องทำให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยไป  ท่านต้องดีถึงระดับไหนละ  คือท่านต้องดีกว่าบรรดาคนธรรมดาสามัญ ท่านก็เป็นคนเหนือสามัญวิสัย  เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญใช่ไหม  ดังนั้นบนร่างกายท่านก็จะเกิดพลัง  ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น  สูงเท่ากับเขตแดนความคิดของท่าน  เขตแดนความคิดของท่านยิ่งสูง ระดับชั้นของพลังของท่านก็จะยิ่งสูง ข้าพเจ้าว่าวิทยาศาสตร์ไม่มีวันบรรลุถึงได้ หรือพัฒนาไม่ถึงเขตแดนที่เหมือนพระพุทธนั้นชั่วกาลนาน  เพราะไม่ว่าวิทยาศาสตร์นี้จะพัฒนาอย่างไร  คนนั้นล้วนแต่เป็นคนธรรมดาสามัญ  ทุกท่านคิดดู  คนธรรมดาสามัญนั้นมีอารมณ์ทั้งเจ็ดกามคุณทั้งหก  มีจิตยึดติดนานาชนิด  ตัณหาทางโลกนานาชนิดของคน ท่านจะนำสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย นั่นจะไหวหรือ  สวรรค์จะมิกลายเป็นสังคมคนธรรมดาสามัญแล้วหรือ  มิใช่จะกลายเป็นการต่อสู้แย่งชิงกันระหว่างคนด้วยกันในสังคมคนธรรมดาสามัญหรอกหรือ  ดังนั้นเขตแดนความคิดของท่านจะต้องบรรลุสูงถึงเพียงนั้นท่านจึงจะสามารถไปได้ 

    คนจำนวนมากเชื่อถือศาสนา  เชื่อศาสนาในยุคนี้  หนึ่งคือหากเทพไม่สนใจ ก็ยากจะยกระดับได้  อีกข้อหนึ่งคือ คนจำนวนมากไม่สามารถเข้าใจความนัยที่แท้จริงของคำพูดที่พระเยซู  พระยะโฮวา หรือพระแม่มารี พูดไว้ในเวลานั้น  บางคนพูดว่าขอเพียงให้เชื่อก็จะสามารถไปสวรรค์ได้   การเชื่อ  มันเป็นเพียงรากฐานอันหนึ่ง  คนจำนวนมากเพียงหยุดอยู่ที่ความเข้าใจที่ชั้นผิวของตัวอักษร   ที่พูดว่าฉันเพียงแต่เชื่อ  ร้อยปีให้หลังฉันต้องได้ไปสวรรค์แน่  ข้าพเจ้าขอบอกว่าท่านจะไปไม่ได้เลย  ทำไมไปไม่ได้ละ  ท่านคิดดู  อะไรที่เรียกว่าความเชื่อที่แท้จริงนะ  เพียงปากท่านว่าเชื่อ  แต่ที่จริงในใจกลับไม่เชื่อ เพราะอะไรหรือ  เพราะเมื่อเชื่อจริงๆ  คำพูดและการกระทำของท่านต้องตรงกัน ขณะที่ท่านสารภาพบาปอยู่ในโบสถ์  ถ้าพูดว่า “ข้าแด่พระเจ้า  โปรดช่วยลูกด้วย วันนี้ลูกทำอะไรผิดไป ได้โปรดไถ่บาปให้ลูกด้วย” ในเวลานี้ท่านทำได้ดีมาก  แต่พอท่านออกไปจากโบสถ์ ท่านก็ทำตามอำเภอใจ  เหมือนคนธรรมดาสามัญ ก็ทำผิดอย่างเคยอีก อยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญแสดงออกมาไม่ดียิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญ  เช่นนั้นท่านคิดดู  การสารภาพบาปของท่านมีประโยชน์อะไรละ  คนจำนวนมากล้วนหยุดอยู่แค่เปลือกนอก  ท่านสารภาพบาปแล้ว ท่านต้องไม่ทำผิดซ้ำอีก  หลังจากนั้นท่านพบว่ายังมีความผิด ท่านไปสารภาพอีก ไม่ทำผิดอย่างเคยอีก            ท่านทิ้งความผิดบาปในหมู่คนธรรมดาสามัญไปไม่หยุดหย่อนเช่นนี้  ท่านมิใช่เป็นคนที่ดียิ่งขึ้นแล้วหรือ  ท่านมิใช่บรรลุถึงเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้นแล้วหรือ  เป็นคนดีคนหนึ่งที่เหนือกว่าคนดีมากมายของคนธรรมดาสามัญแล้วใช่ไหม  นี่ท่านมิใช่กำลังบำเพ็ญแล้วหรือ  ซินซิ่งมิใช่กำลังยกระดับขึ้นอยู่หรือ   เพราะในวัฒนธรรมตะวันตกไม่มีแนวคิดเรื่องการบำเพ็ญนี้ ดังนั้นในปีที่พระเยซู  พระยะโฮวา  ทรงถ่ายทอดหลักธรรมของพระองค์นั้น จึงไม่ได้พูดถึงคำว่าบำเพ็ญนี้  ไม่มีแม้แต่แนวคิด  เพราะพระองค์รู้ว่า การบำเพ็ญขึ้นอยู่กับตนเอง  พลังขึ้นอยู่กับอาจารย์  ท่านเพียงแต่ไปบำเพ็ญ  ทั้งหมดนี้เทพของสวรรค์ที่ผู้บำเพ็ญจะไป ช่วยทำให้ท่าน  ทำให้ร่างกายท่านเกิดการเปลี่ยนแปลง  ผันแปรร่างกายให้ท่าน ให้ร่างกายท่านบรรลุถึงการมีอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่เพียบพร้อมเช่นนั้น เหมือนกับเทพ ทุกสิ่งนี้ล้วนแต่มาทำโดยเทพ

            บางคนพูดว่าเมื่อตายแล้วก็สามารถไปสวรรค์  คนที่ไม่ได้ผ่านการบำเพ็ญเมื่อตายแล้ว  ใช้คำพูดของชาวตะวันตกที่เรียกว่าวิญญาณ  วิญญาณนี้ ก็คือวิญญาณผี  ทุกท่านคิดดูว่ามันคืออะไรละ  ชาวตะวันออกมีแนวคิดที่ชัดเจนมากเกี่ยวกับร่างกายของผู้บำเพ็ญ คือจะบำเพ็ญร่างพุทธออกมา หรือก็คือร่างของเทพ  หากท่านไม่มีร่างพระพุทธนี้  หรือก็คือท่านไม่มีร่างกายนั้นของเทพแห่งโลกสวรรค์  วิญญาณของคนพอออกมาแล้วจะกลัวแสง  ภายใต้แสงตะวันมันจะสลายไป  แม้แต่การกลับชาติไปเกิดในครั้งต่อไปก็ทำไม่ได้  ดังนั้นพอคนตายแล้วต้องใช้ผ้าคลุมไว้  ไม่ให้มันพบแสงตะวัน  ฝังลงไปในดิน  จึงหลบพ้นการสลายไปของวิญญาณของมันได้    พระพุทธกับเทพนั้นมีแสงเจิดจ้า ยิ่งกว่าแสงตะวันเสียอีก  วิญญาณนั้นพอมองเห็นเทพมันก็จะสลายสิ้นไปใช่ไหม มันจะสามารถไปโลกสวรรค์ได้หรือ  ดังนั้นมันต้องมีร่างหนึ่งของเทพ  ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบที่ประกอบเป็นร่างวิญญาณในระหว่างการบำเพ็ญ  ทำให้ตัวเองเปลี่ยนเป็นโครงสร้างของพลังงานที่สูง  มีร่างของพระพุทธ  หรือร่างของเทพ   มันจึงจะไปได้ วิญญาณจะมาโลกมนุษย์ได้ไหม มาไม่ได้ ดังนั้นมันจำเป็นต้องมีร่างกายหนึ่งเพื่อมาเกิดใหม่ เกิดออกมาจากร่างกายพ่อแม่ จึงจะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้ บางคนจึงเข้าใจว่าเมื่อเขาเชื่อก็จะไปสวรรค์ได้ จะเป็นไปได้อย่างไรหนอ พวกเราในวงการบำเพ็ญเห็นเป็นเรื่องน่าขัน ท่านจะต้องไปบำเพ็ญอย่างแท้จริง ท่านจึงจะไปสวรรค์ได้

ดังนั้นขั้นตอนของความศรัทธาต่อเทพชนิดนี้ของศาสนาตะวันตกนั้น ซินซิ่งจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ  เขตแดนความคิดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ  เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  เช่นนั้นท่านว่าเขามิใช่กำลังบำเพ็ญอยู่หรือ  การบำเพ็ญนั้นไม่เน้นรูปแบบ  มีวิธีการบำเพ็ญต่างๆกันไป  นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างรูปแบบการบำเพ็ญของศาสนาตะวันออกกับตะวันตก  เหตุใดชาวตะวันตกไม่พูดเรื่องการบำเพ็ญ  ส่วนชาวตะวันออกพูดเรื่องการบำเพ็ญ  ที่จริงล้วนเป็นการบำเพ็ญ  เพียงแต่วัฒนธรรมทางด้านนี้ของชาวตะวันออกนั้นชัดเจนมาก   ส่วนในวัฒนธรรมตะวันตกไม่ได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้  เนื่องจากในการลงมาถ่ายทอดหลักธรรมช่วยเหลือคนนั้น   เทพก็ต้องเลือกใช้รูปแบบชนิดนี้ของวัฒนธรรมที่คนสามารถเข้าใจได้ชนิดนั้น  จึงจะสามารถทำให้ท่านเข้าใจได้ใช่ไหม  ใช้ภาษาของคนในเวลานั้นมาบรรยายจึงจะทำให้ท่านสามารถเข้าใจได้  ความหมายนี้ที่ข้าพเจ้าพูด ก็คือจะบอกทุกท่านว่า การฝึกชี่กงทั่วไปไม่สามารถทำให้คนบรรลุถึงเขตแดนที่ลึกล้ำมากได้ ไม่อาจบรรลุได้  มีแต่การบำเพ็ญที่แท้จริงจึงจะทำได้  และชี่กงมันเป็นเพียงสิ่งที่ต่ำที่สุดของการบำเพ็ญ  ดังนั้นมันจึงจำกัดอยู่แค่การขจัดโรคส่งเสริมสุขภาพ  และแม้แต่การขจัดโรคส่งเสริมสุขภาพโดยตัวมันเองนั้นก็มีข้อกำหนดต่อคนเช่นกัน  เพราะที่จริงมันก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการบำเพ็ญ  ไม่เหมือนกับวิธีการทางการแพทย์ชนิดใดๆในหมู่คนธรรมดาสามัญ  หากท่านคิดจะศึกษาชี่กง  รักษาโรคของร่างกายท่านให้หาย  ท่านก็ต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของหลักการของชี่กง

             อะไรคือการสอดคล้องกับข้อกำหนดตามหลักการของชี่กงละ  เพราะมันอยู่เหนือสามัญวิสัย หากคิดจะใช้วิธีการที่เหนือสามัญวิสัยในการขจัดโรค  ไม่ต้องกินยา  ไม่ต้องฉีดยา  ไม่ต้องผ่าตัดก็หายได้  นี่ไม่ใช่เหนือสามัญวิสัยหรือ  กล่าวสำหรับคน  ท่านก็ต้องสอดคล้องกับหลักการของมัน  ท่านจึงจะขจัดโรคไปได้  นี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงที่ว่า เหตุใดคนมากมายฝึกชี่กงแล้วไม่หายจากโรค  เนื่องจากท่านคิดจะใช้วิธีการเหนือสามัญวิสัยชนิดนี้ขจัดโรคของท่านทิ้งไป  ท่านจึงต้องสอดคล้องกับหลักการที่เหนือสามัญวิสัยชนิดนี้    ดังนั้นท่านต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของชี่กง  ทำตัวเป็นคนดี  แก้ไขสิ่งที่ท่านทำไม่ดีไว้  ความเคยชินกับเรื่องที่ไม่ดี  โรคของท่านจึงจะทิ้งไปได้อย่างแท้จริง  นี่คือสาเหตุที่แท้จริงของการหายจากโรค ส่วนการผ่านวิธีทางการแพทย์ของคนธรรมดาสามัญก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้  การผ่าตัด  ฉีดยา กินยาจึงจะสามารถทำให้ท่านหายป่วยได้  แต่จักรวาลนี้มีหลักการหนึ่ง เรียกว่าไม่เสียก็จะไม่ได้  เมื่อจะได้ ท่านก็ต้องยอมเสีย  เมื่อเสียแล้ว ท่านจึงจะได้  นี่เป็นสัจธรรมที่แน่แท้  ท่านทราบว่าโรคนั้นของท่านทราบไหมว่าเหตุใดเมื่ออยู่ในโรงพยาบาลโรคของท่านนั้นจึงหายได้  บางคนพูดว่าพวกเราที่นี่ผ่านวิธีการทางเทคนิกสมัยใหม่ทำให้โรคหายได้  ข้าพเจ้าว่านั่นเป็นเพียงวิธีการชนิดหนึ่งที่คนปัจจุบันเองแสดงออกมาในสังคมปัจจุบัน เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกเท่านั้น สาเหตุที่แท้จริงที่สามารถทำให้โรคของท่านหายยังไม่ใช่แค่นี้  เพราะมันยังจะต้องสอดคล้องกับหลักการของจักรวาลในมิตินี้  ทุกท่านทราบว่าในเวลาที่ท่านป่วยนั้น ท่านต้องจ่ายเงินจำนวนมากไปรักษาโรค  แน่ละหลายประเทศที่มีสวัสดิการของรัฐนั้นทำได้ดีมาก  ในสังคมมีการประกันสุขภาพ  สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ท่านต้องเจ็บปวดนะ  ท่านป่วยแล้วไม่เจ็บปวดหรือ   ความเจ็บปวดของท่านโดยตัวมันเองนั้น  ก็คือการที่ท่านถูกทรมาน  ความเจ็บปวดโดยตัวมันเองก็เป็นการชดใช้กรรมนี้  จากนั้น ท่านจ่ายเงินไปมากอีกเท่าไร  ฉีดยา กินยา  ผ่าตัด  นี่มิใช่การที่ท่านถูกทรมานหรอกหรือ  จึงทำให้โรคของท่านเปลี่ยนดีขึ้น  ขอบอกท่าน  การดีขึ้นชนิดนี้ มันยังไม่ใช่การพลิกกลับโดยแก่นแท้  เขาทำให้กรรมแห่งโรคนี้เคลื่อนย้ายหรือเลื่อนไปวันหลัง

               เพราะว่าโรคนี้ไม่ใช่ได้มาจากชั้นผิวนอกสุดของร่างกายนี้ของคนธรรมดาสามัญ  มันได้มาจากชั้นอณูที่จุลทรรศน์ลงไปจากอณูของโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุดที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย โมเลกุลนั้นมีอณูในระดับจุลทรรศน์ที่ต่างกันซึ่งประกอบขึ้นเป็นร่างกายคน  อณูของแต่ละชั้นก็เป็นมิติชั้นหนึ่ง  แน่ละมิติของมันไม่ใช่เรียงซ้อนทับกัน  มันคืออณูที่เล็กประกอบกันขึ้นเป็นอณูที่ใหญ่  แต่ว่าเขตแดนนั้นของอณูที่เล็กของแต่ละระดับชั้น มันก็เป็นมิติระดับชั้นหนึ่ง  มีมิติเช่นนี้มากมาย  และก็เป็นสาเหตุมากมายของโรคที่อยู่ในนั้น หาใช่ได้มากจากชั้นผิว  แต่ที่สะท้อนมาถึงผิวกายนี้เป็นเพียงปรากฎการณ์ชั้นผิวชนิดหนึ่งของโรค

              ท่านผ่าตัด  ท่านบอกว่าตัดเนื้องอกนั้นทิ้งไปแล้ว  ที่แท้เป็นโมเลกุลชั้นหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ประกอบขึ้นเป็นเซลล์ร่างกาย  ตัดมันทิ้งไป  ตัดเซลล์ที่ปรากฎออกมาที่มิตินี้ทิ้งไป  แต่ส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นเซลล์นี้ยังมีอณูที่จุลทรรศนิ์ยิ่งกว่าที่ท่านตัดทิ้งไปไม่ได้  แต่เซลล์ร่างกายชั้นผิวนี้  หลังจากตัดมันทิ้งไปแล้ว  ท่านมองไม่เห็นมันแล้ว  คล้ายกับว่าโรคหายไปแล้ว  โรคอาจเปลี่ยนแปลงในภายหลัง โรคบางอย่างอาจจะกำเริบได้ เพราะไม่ได้ขจัดโรคนั้นทิ้งไปอย่างแท้จริง   อาจเริ่มเคลื่อนย้ายกลายเป็นอาการของโรคตรงบริเวณอื่นแล้ว  กลายเป็นเนื้องอกออกมาอีก หรือมันเปลี่ยนแปลงไป  กลายเป็นโรคอื่น  หรือเป็นทุกข์ภัยอย่างอื่น  นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่เรามองเห็น  ส่วนความสามารถ(กงเหนิง)ในการรักษาโรค มันไม่ต้องผ่าตัด ทำไมมันสามารถตัดเนื้องอกของคนทิ้งไปได้ละ  ก็เพราะเอามันออกไปจากอีกมิติหนึ่ง  มิติที่ตาคนมองไม่เห็น ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดมาพูด  ทุกท่านเห็นผ้าผืนนี้ที่ปูดเป็นก้อนขึ้นมา(อาจารย์เอามือสอดไว้ใต้ผ้า)  เพราะอะไร  เพราะข้างหลังมีสาเหตุ  มือของข้าพเจ้าอยู่ข้างหลัง  ท่านเอาผ้าออกไปแล้ว  แต่มือนี้ท่านไม่ได้เอาออกไปแต่อย่างใด  มันมาถึงฝั่งนี้อีกแล้ว หรือพูดว่าสาเหตุที่อยู่ข้างหลังท่านไม่ได้แก้ไข  จึงไม่ได้แก้ไขโดยแก่นแท้  หรือพูดว่าวิธีทางการแพทย์ของคน  แก้ไขปัญหาไม่ได้อย่างแท้จริง  เพราะวิธีทางการแพทย์ของคนเพียงแต่แก้ไขเพียงเปลือกนอก ทว่าขจัดกรรมไปไม่ได้

            การได้เสียในโลกของคน  มีความสุขกับไม่มีความสุข  ท่านมีชีวิตอย่างสบายใจหรือไม่  ท่านมีโชคลาภหรือไม่  หรือมีทุกข์ภัยมากแค่ไหน ทั้งหมดนั้นกำหนดโดยสสารสองชนิดที่ติดตัวคนอยู่ ชนิดหนึ่งเรียกว่ากุศล  อีกชนิดเรียกว่ากรรม  ก็เป็นผลมาจากสสารสองชนิดนี้   เราทำเรื่องดีจะได้กุศล  ในอดีตคนพูดถึงการสะสมกุศล  ผู้คนต่างถือว่ามันเป็นสภาพการณ์ด้านจิตสำนึก  เรื่องในเขตแดนความคิด  ที่จริงมันเป็นสสาร  เป็นสสารที่มีรูปร่างอย่างแท้จริง   ส่วนที่ผู้คนพูดถึงกรรมนั้น  ในศาสนาทางตะวันออกพูดไว้อย่างชัดแจ้ง  อะไรที่เรียกว่ากรรมนะ  ก็คือสสารสีดำชนิดนั้น  ในเวลาที่คนทำเรื่องไม่ดี  ก็จะก่อเกิดสิ่งเหล่านี้  และเมื่อสิ่งเหล่านี้มีมากแล้ว  คนก็จะเกิดเรื่องไม่สบายใจขึ้น  อาทิคนเกิดป่วย คนมีภัย  มีความลำบาก ทุกสิ่งของคนนั้น ข้าพเจ้าพบว่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนทำขึ้นมาเอง ท่านมีความสุขหรือไม่มีความสุขในโลก  ดีหรือเลว  ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านทำขึ้นมาเอง  สิ่งเหล่านี้มันปรากฏมาในภพนี้ และก็มีที่ปรากฎมาในภพต่อไป  ส่วนมากจะปรากฎในภพต่อไป  อะไรคือการปรากฎอยู่ในภพต่อไป  ก็คือไม่ได้ปรากฏออกมาในชาตินี้ภพนี้ แต่ปรากฎออกมาในชาติหน้าภพหน้า ที่ปรากฎออกมาในภพนี้  ในวงการบำเพ็ญทางตะวันออกเรียกว่ากรรมสนองในภพนี้ เมื่อท่านทำเรื่องไม่ดีแล้ว ก็ตอบสนองท่านในทันที  บางคนเพิ่งทำเรื่องไม่ดีจบไป พอออกจากบ้านหกล้มหัวคะมำ  แต่เขาไม่เข้าใจว่านี่เป็นกรรมสนองจากการทำเรื่องไม่ดีนั้น  เขาเข้าใจว่านี่เป็นความบังเอิญ  เป็นเรื่องธรรมชาติ  ข้าพเจ้าว่าไม่มีปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ  ทุกสิ่งล้วนมีที่มา  ความบังเอิญนั้นไม่คงอยู่  ในมิตินี้มีสิ่งที่คนมองไม่เห็นมากมายนัก  แน่ละวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันรู้ว่ามันมีอากาศ มีก๊าซออกซิเจน มีก๊าซไฮโดรเจน  ยังมีเทรซอีลิเม้นท์(ธาตุที่เป็นส่วนประกอบ)ชนิดอื่นที่ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล ก็เพียงเท่านี้  แต่สิ่งเหล่านี้ตานี้ของท่านก็มองไม่เห็น

                ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกท่าน ที่ระดับจุลทรรศน์อย่างยิ่งภายในมิตินี้  รวมทั้งสสารที่มีอยู่กระจัดกระจายอย่างกว้างขวางเต็มไปหมดนั้น  พวกเขาล้วนเป็นเทพ  แต่ละการเคลื่อนไหวของคน ที่ทำอะไร  พวกเขาล้วนเห็นแจ่มแจ้ง  เวลาที่คนทำเรื่องไม่ดี  มักจะรู้สึกว่าเรื่องไม่ดีที่ทำนั้นคนอื่นมองไม่เห็น  ทั้งๆที่รู้ว่าตนเองทำเรื่องไม่ดียังหาเหตุผลหลอกตัวเอง เพื่อให้ตนเองโล่งอกสบายใจ  เขาไม่ได้เชื่อเทพอย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างหนึ่ง  พูดกันเล่นๆ  ที่นี่ไม่มีศาสนา ไม่มีปัญหาเรื่องชาติพันธุ์  ข้าพเจ้าเพียงพูดเรื่องที่คนทำผิด  ทุกท่านทราบว่า  หลายวันก่อนประเทศนั้นทดลองระเบิดปรมาณู  ระเบิดต่อเนื่องกัน ๕ ลูก แต่ละประเทศต่างตกใจมากกับเรื่องนี้  เพราะผู้คนบนโลกต่างปรารถนาสันติภาพ  เขาทดลองระเบิดปรมาณูเพื่ออะไรกัน  ข้าพเจ้าไม่มีทัศนคติใดๆ  ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดเรื่องที่คนทำผิด  ไม่ได้พูดว่าชนชาตินั้นผิดหรือถูก ทุกท่านลองคิดดู  ระเบิดปรมาณูนั้น  ท่านมักจะระเบิดอยู่ใต้ดิน  มันเป็นสาเหตุของการทำลายโลกวัตถุนี้ที่ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุลที่ต่างกันเอย  โลกเอย สภาพแวดล้อมของมนุษย์นี้เอย เทพไม่ยอมนะ ในเวลาที่สวรรค์ลงโทษคนนั้น  คนก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ทันใดอุณหภูมิอากาศของประเทศนั้นก็สูงที่สุดในโลก  จนถึงขณะนี้ยังเป็น ๕๐ กว่าองศาเซลเซียส  มีคนร้อนตายไปมากมาย  ยังมีพายุไซโคลนและตายไปไม่น้อย  คนก็ไม่ถือว่าปรากฎการณ์เหล่านี้เป็นการตักเตือนของเทพ ว่าทำเช่นนี้ไม่ได้  คนจึงถือว่ามันเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ  แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกเราล้วนไม่ใช่ความบังเอิญ  ท่านก็ลองดูว่า  หากชนชาติไหน พื้นที่ไหน หรือใครคนใดทำเรื่องไม่ดีแล้ว ก็จะเกิดปรากฎการณ์พิเศษตามมาในไม่ช้า  ภัยพิบัติของคน ทุกสิ่งของคนล้วนเป็นสิ่งที่คนทำขึ้นมาเอง  เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดอย่างย่อๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะแรก  ผู้ฝึกเก่าของเราที่กำลังนั่งอยู่พวกเขาล้วนเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งมาก เพราะผู้ที่กำลังนั่งอยู่เป็นผู้ฝึกใหม่จำนวนมาก  ข้าพเจ้าจึงเพียงแต่พูดถึงสภาพการณ์เหล่านี้อย่างย่อๆ

   หากท่านต้องการทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด  ข้าพเจ้าคิดว่าก็ไปอ่านหนังสือดู  “จ้วนฝ่าหลุน”เล่มนี้ ได้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างมากในโลกวิทยาศาสตร์แล้ว  เนื้อหาภายใน “จ้วนฝ่าหลุน”นั้นยิ่งใหญ่มาก  เนื้อหาอุดมสมบูรณ์มาก  เนื่องจากการบำเพ็ญนั้นแบ่งเป็นระดับชั้น  มีเขตแดนที่แตกต่างกัน  ท่านอ่านหนึ่งรอบท่านจะพบว่า อ้อ ที่แท้นี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่สอนให้คนเป็นคนดี  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ยังไม่ใช่เพียงการบอกให้ท่านเป็นคนดีได้อย่างไรเท่านั้น     ถ้าเป็นเพียงแค่นั้นท่านก็เลื่อนระดับขึ้นไปไม่ได้  เช่นนั้นหากท่านคิดจะเลื่อนระดับขึ้นไป  ในหนังสือก็ต้องมีหลักธรรมในเขตแดนที่สูงยิ่งกว่าซึ่งอยู่เหนือความเป็นคนดีนั้น มาชี้นำท่าน เช่นนั้นหนังสือเล่มนี้ จึงจำเป็นต้องมีความนัยของระดับชั้นนี้   ในเวลาที่ท่านบำเพ็ญสูงยิ่งขึ้นไป  เขาจึงจะสามารถบำเพ็ญสูงขึ้นไป  บำเพ็ญสูงยิ่งๆขึ้นไป  การบำเพ็ญในระดับชั้นสูงยิ่งกว่าที่แตกต่างกันนั้น  เช่นนั้นฝ่านี้ก็จำเป็นต้องมีความสามารถเช่นนี้  มีความนัยของระดับชั้นที่ต่างกันอยู่ข้างในชี้นำท่านบำเพ็ญ   ชี้นำท่านเรื่อยไปจนบรรลุเป้าหมายของการบำเพ็ญ คือ เขตแดนของการหยวนหมั่น   ดังนั้นระดับชั้นยิ่งสูง  ในระหว่างการบำเพ็ญของท่านสิ่งที่อ่านพบในหนังสือก็จะยิ่งมาก  ที่นี่ข้าพเจ้าบรรยายมุ่งต่อผู้ฝึกใหม่เป็นสำคัญ  และก็เป็นการบรรยายอย่างย่อๆ  ที่จริงก็สูงมากแล้ว  พวกท่านจะมีความเข้าใจแตกต่างกันไป  จะไม่พูดมากแล้ว  ฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ที่สำคัญคือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ข้าพเจ้าจะฟังผู้ฝึกพูดถึงความเข้าใจต่อการบำเพ็ญของตนโดยผ่านการศึกษาฝ่า  ครึ่งวันสุดท้ายที่ของการประชุมครั้งนี้  ข้าพเจ้าจะตอบคำถามให้กับทุกท่าน  และก็เป็นการบรรยายธรรมครั้งหนึ่ง  ทุกท่านสามารถตั้งคำถามต่างๆขึ้นมาได้  และก็มีลักษณะเจาะจงต่อการบำเพ็ญด้วย  ขณะเดียวกันก็จะมีลักษณะทั่วไปด้วย  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับขึ้นพร้อมกันของทุกท่าน  ทุกท่านสามารถเขียนคำถามให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตอบให้กับทุกท่าน  ช่วงระยะนี้ผู้ฝึกเก่ายกระดับได้เร็วมาก  และทิ้งระยะห่างจากผู้ฝึกใหม่มากทีเดียว  หลักธรรมนั้นก็ได้บรรยายให้กับผู้ฝึกทั้งหมดแล้ว  มีเพียงปัญหาว่าจะยกระดับขึ้นได้อย่างไรในการบำเพ็ญ

               เมื่อครู่ ข้าพเจ้าได้บรรยายหลักเหตุผลที่ตื้นที่สุดจำนวนหนึ่งให้กับผู้ฝึกใหม่เป็นสำคัญ  หากจะพูดให้กระจ่างทั้งหมด  ข้าพเจ้าต้องนั่งอยู่ตรงนี้หลายวันจึงจะพูดมันให้กระจ่างได้  ข้าพเจ้านั้นเพียงแต่พูดไปเล็กน้อยเท่านั้น 

   การได้พบหน้าสักครั้งนั้นยากมาก  ทุกท่านมักจะรู้สึกว่าเวลาในการบำเพ็ญนี้ยาวนานมาก  แต่โอกาสที่ได้พบกับข้าพเจ้านั้นกลับน้อยมาก  ที่จริงทุกๆวันท่านก็อยู่ข้างกายข้าพเจ้า  เพียงแต่ท่านเองไม่ทราบ  แต่ก็ไม่อาจให้ท่านทราบ   เพราะชั้นผิวของท่านยังคงเป็นคนธรรมดาสามัญ  เมื่อบำเพ็ญถึงสภาวะนั้น  ท่านจึงจะทราบ  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปนั้น  ความหมายคือหากท่านคิดจะบำเพ็ญข้าพเจ้าย่อมสามารถดูแลพวกท่าน  ไม่ว่าจะมีคนมากเท่าไร  ข้าพเจ้าก็ดูแลได้ทั่วถึง  ข้าพเจ้ามีฝ่าเซินนับไม่ถ้วน  แนวคิดนี้ไม่มีในศาสนาตะวันตก  แต่มีในศาสนาตะวันออก  โดยเฉพาะในศาสนาพุทธ  ในศาสนาพุทธพูดว่าฝ่าเซินของพระอมิตตพุทธนั้นมีมากมาย  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ฝ่าเซินของข้าพเจ้านั้นไม่อาจจะนับได้  นับไม่มีหมด  ก็คือมีคนบำเพ็ญมากเท่าไรข้าพเจ้าก็ดูแลได้หมด  แต่ฝ่าเซินนี้ก็คือข้าพเจ้า และก็เป็นรูปลักษณ์ของปรากฎการณ์รูปธรรมของปัญญาญาณ  ซึ่งจะใช้ทัศนคติของคนมาเข้าใจไม่ได้  เนื่องจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจำกัดอยู่แต่ในมิตินี้เท่านั้น  เป็นการรับรู้ในโครงสร้างของอณูระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุด

  วิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถมองเห็นโครงสร้างของอนุภาคโมเลกุลระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุด  เช่น คุณสมบัติเฉพาะของเหล็กกล้านั้นแข็งแกร่งทรหดกว่าเหล็ก  เนื่องมาจากโครงสร้างและสัดส่วนของอนุภาคไม่เหมือนกัน ทองเหลืองมีสภาพเป็นอย่างไร เงินมีสภาพเป็นอย่างไร  ทองมีสภาพเป็นอย่างไร  ก็สามารถรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้   จากนั้นจะใช้ประโยชน์จากสสารเหล่านี้ที่สามารถรับรู้ได้ในขณะนี้ได้อย่างไร  ก็เพียงพัฒนาอยู่บนความรู้นี้   แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน นี่ก็คือข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดของการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่รับรู้ไม่ได้ถึงการคงอยู่ของอีกมิติ และนี่ก็คือมันไม่ได้เดินบนหนทางที่จะไปรับรู้สสารยังโลกจุลภาคหรือระดับที่ใหญ่กว่าอย่างนี้    ที่แท้สสารนั้นประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุลขนาดเล็กที่แตกต่างกัน  และอนุภาคโมเลกุลนั้นประกอบขึ้นมาจากอนุภาคอะตอม   อนุภาคอะตอมก็ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคนิวเคลียสอะตอม(นิวคลีไอ)   และอนุภาคนิวคลีไอนั้นก็ประกอบมาจากอนุภาคที่เล็กลงไปอีก  อนุภาคสสารที่เล็กลงไปอีกก็ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคสสารที่เล็กลงไปยิ่งขึ้นอีก  และอนุภาคสสารที่เล็กลงไปยิ่งขึ้นอีก ก็ประกอบขึ้นมาจากอนุภาคสสารที่เล็กๆๆๆลงไปอีก  ซึ่งกล่าวสำหรับคนแล้วก็ไม่มีที่สิ้นสุด  ก็ดำเนินไปอย่างนี้เรื่อยไป  แล้วบรรลุถึงระดับที่จุลทรรศน์เพียงไรละ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน อนุภาคนั้น เมื่อบรรลุถึงสภาพที่จุลทรรศน์ขนาดนั้น มันช่างน่ากลัว

              องค์ศากยมุนีมองเห็นว่าในเม็ดทรายหนึ่งเม็ดมีตรีสหัสโลกธาตุ  ตรีสหัสโลกธาตุที่พระองค์ตรัสนั้น  ไม่ใช่การพูดถึงสังคมมนุษย์  พระองค์ตรัสว่า  ทฤษฎีตรีสหัสโลกธาตุของพระองค์นั้น  หากใช้คำพูดแบบชาวบ้านของข้าพเจ้าพูด ก็คือ ทางช้างเผือกของเรานี้ มีมิติวัตถุที่คล้ายกับมนุษย์อย่างนี้คงอยู่สามพันมิติ  หรือก็คือดวงดาวอย่างนี้แหละ แต่ความหมายที่พระองค์ตรัสว่าในหนึ่งเม็ดทราย ข้างในก็มีโลกอย่างนี้สามพันใบ  ใน “จ้วนฝ่าหลุน” หนังสือเล่มนั้น ข้าพเจ้าก็ได้พูดไปแล้ว  เช่นนั้นตรีสหัสโลกธาตุที่อยู่ในหนึ่งเม็ดทรายนั้น มีโลกมนุษย์มากมายอย่างนี้  มีชีวิตในระดับจุลทรรศน์ขนาดนั้นคงอยู่ เช่นนั้นข้างในโลกที่อยู่ในเม็ดทรายนั้นก็มีแม่น้ำ ลำธาร ทะเลสาป ทะเล นะ  และมันก็มีทรายอยู่ด้วยเช่นกัน   เช่นนั้นในเม็ดทรายนี้มันใช่หรือไม่ว่าก็มีตรีสหัสโลกธาตุที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า  มีสังคมที่เหมือนกับมนุษย์นี้ที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าคงอยู่  องค์ศากยมุนีทรงเห็นได้ถึงระดับจุลทรรศน์อย่างยิ่งแล้ว  พระพุทธ ทรงมีความสามารถอันนี้  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน นั่นก็ตื้นเขินอย่างยิ่ง  เมื่อตรวจค้นลึกลงไป อนุภาคระดับจุลทรรศน์ลงไปนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด  ข้าพเจ้าบอกกับคนแล้วว่า  อนุภาคระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุดที่คนสามารถมองเห็นไม่ใช่โมเลกุล อนุภาคระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุดที่คนสามารถมองเห็นคือดวงดาว  แต่ดวงดาวไม่ใช่อนุภาคระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล  มันเป็นเพียงอนุภาคที่อยู่ตรงกลางจากมหภาคถึงจุลภาค  ท่านลองคิดดูมันมีอนุภาคดวงดาวขนาดมหึมาคงอยู่มากเพียงใด

                จักรวาลเป็นหน่วยหนึ่ง เป็นอนุภาคที่รวมๆอยู่ด้วยกัน  มีจักรวาลอย่างของเรานี้สามพันจักรวาล  ซึ่งประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สอง  หรือประกอบขึ้นเป็นอนุภาคที่ใหญ่ยิ่งขึ้นหนึ่งชั้น  นี่เป็นเพียงการขยายออกในทิศทางหนึ่งเท่านั้น  แต่การแผ่ขยายของอนุภาคนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด  กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดทั่วทุกหนแห่ง  ในเวลาที่อีเลคตรอนโคจรรอบนิวเคลียสอะตอม เหมือนกับที่โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์หรือไม่ละ  เหมือนกันไม่มีผิด  ไม่ว่าจะมองในแง่กลไกหรือว่ารูปแบบ ก็ล้วนเหมือนกันไม่มีผิด  เนื่องจากอนุภาคที่ยิ่งเล็ก  ความหนาแน่นของอนุภาคจะยิ่งมาก  หากท่านขยายภาพของมันให้ใหญ่อย่างโลกนี้ของเรามาดู ท่านดูซิว่าบนอีเลคตรอนนั้นคืออะไร   จะมีคนอยู่หรือไม่นะ  แน่ละบนนั้นมีอะไรบ้าง กับรูปแบบการคงอยู่ของอนุภาคจะเป็นอย่างไรนั้น  นี่เป็นสองแนวคิด  ข้าพเจ้าก็พูดในความหมายนี้  ดูซิว่ามันเหมือนดวงดาวหนึ่งหรือไม่ 

   มนุษย์ในปัจจุบันเพียงยอมรับว่าตนเองเป็นชีวิตชั้นสูงเพียงหนึ่งเดียวของทั่วทั้งจักรวาล  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  มนุษย์เป็นชีวิตชั้นต่ำที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของทั่วทั้งจักรวาล  บนแต่ละดวงดาวต่างมีชีวิต  มีแต่บนดวงจันทร์ไม่มี  ดวงจันทร์นั้นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์สมัยก่อนนั้น(ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เป็นรอบหนึ่งรอบหนึ่ง) เมื่อกรรมของสังคมมนุษย์หนักแล้วก็ถูกทำลายทิ้ง มีมนุษย์ยุคใหม่พัฒนาขึ้นมาอีก จากนั้นพอไม่ดีแล้วก็ถูกทำลายอีก  จะพูดถึงดวงจันทร์สักหน่อย ดวงจันทร์คือสิ่งที่มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์เมื่อก่อนอันยาวนานมากนั้นสร้างขึ้นมา  ในเวลาที่สร้างขึ้นมานั้นไม่มีปริมาตรใหญ่อย่างนี้  ความสว่างก็มีมากกว่าเดี๋ยวนี้  แต่กล่าวสำหรับคนปัจจุบันนี้ มันก็ใหญ่มากแล้ว เนื่องจากตรงกลางนั้นกลวง  ต่อมาเมื่อผ่านกาลเวลาเนิ่นนานมาก  ฝุ่นของจักรวาลก็ล่วงลงไปไม่หยุดหย่อนจากการระเบิดของสสารในจักรวาล ในเวลาที่เปลี่ยนดวงดาวใหม่ สสารที่เกิดขึ้นจากการระเบิด  ฝุ่นของมันจึงปกคลุมอย่างไม่หยุดหย่อน  จึงทำให้ผิวของดวงจันทร์เพิ่มความหนาขึ้นมาก  ความหนาที่ชั้นผิวเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบกิโลเมตร นี่คือฝุ่นของมัน  หากลดทอนไปหลายสิบกิโลเมตร มันก็โตเท่ากับเมื่อแรกเริ่มแล้ว

      เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดคือจะบอกทุกท่านว่า  ดวงดาวทั้งหมดที่มีอยู่ล้วนมีชีวิตดำรงอยู่ และมีจำนวนมากที่เป็นชีวิตที่มีรูปลักษณ์ชนิดนี้ของมนุษย์ดำรงอยู่ เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ในมิตินี้  เพราะอนุภาคที่ต่างกันประกอบขึ้นเป็นมิติที่ต่างกัน  หากท่านจะเข้าไปในมิตินั้น ท่านก็ไม่สามารถใช้ทัศนคตินี้ของวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในปัจจุบันไปรับรู้  วิทยาศาสตร์อันนี้ช่างตื้นเขินเหลือเกิน  ท่านจะเข้าไปในโลกนั้นท่านก็ต้องสอดคล้องกับสภาพการณ์ รูปแบบและความนึกคิดของโลกนั้น  ท่านจึงจะสามารถรับรู้ได้  หลังจากที่ท่านเข้าไปได้แล้ว ท่านจะพบว่า อนุภาคในมิตินั้น เล็กกว่าอนุภาคในระดับชั้นนี้ของมนุษย์ แต่มิติของมันนั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง  มนุษย์เราอาศัยอยู่ระหว่างโมเลกุลกับดวงดาว อนุภาคสองชนิดนี้  

อากาศประกอบขึ้นด้วยโมเลกุลใช่ไหม ท่านมองไม่เห็น  ดอกไม้ ต้นไม้  เหล็กกล้ารวมทั้งเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่และร่างกาย เส้นผมของท่าน ทุกสิ่งที่ท่านใช้สอย  ทุกสิ่งรอบตัวท่าน ล้วนแต่ประกอบขึ้นด้วยโมเลกุล ดินนั้นก็ประกอบขึ้นด้วยโมเลกุล  คนเราเรียกมันว่าดิน   ที่จริงเทพเห็นว่าทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นมิติของมนุษย์ล้วนเป็นดิน  เทพเห็นว่าโมเลกุลโดยตัวมันเองก็เป็นดินเช่นกัน  มีคนถามข้าพเจ้าว่า พระยะโฮวา พระเจ้าของชาวตะวันตกตรัสไว้ว่า  พระองค์ใช้ดินสร้างคน  ที่จริงเพียงแต่คนไม่สามารถเข้าใจได้เท่านั้น  ทุกสิ่งของมิตินี้ ในสายตาของพวกเขาล้วนเป็นดิน  รวมทั้งอากาศ  เพียงแต่ตัวท่านถูกดินกลบฝังอยู่ โดยรอบตัวล้วนเป็นดิน  คนนั้นก็มุดไปมาอยู่ในกองดิน  ล้วนประกอบขึ้นจากดิน  คนจึงอยู่ข้างในดินนี้  ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องที่เทพเจ้าของชาวตะวันตกใช้ดินสร้างคนนั้น ข้าพเจ้าอธิบายอย่างนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากใช่ไหม 

 หากต้องการทราบเกี่ยวกับสภาพการคงอยู่ของชีวิตในอีกมิติ  ท่านก็ต้องสอดคล้องกับรูปแบบของสภาพการคงอยู่ของมิติของอนุภาคที่เล็กลงไปอีกระดับชั้นหนึ่ง  จะใช้ทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ปัจจุบันท่านก็ไม่อาจรับรู้ได้  ท่านต้องสลัดทิ้งแนวคิดของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน  ท่านจึงจะสามารถรับรู้ได้  พอรับรู้ได้แล้วท่านจะพบว่าไม่ใช่แนวคิดที่มนุษย์พูดกันเกี่ยวกับกาลเวลาและมิตินี้  ท่านเห็นข้าพเจ้าพูดอยู่เดี๋ยวนี้  คำพูดที่เพิ่งพูดจบไปประโยคหนึ่งนั้น ในอีกมิติเขาก็กำลังฟังอยู่  ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้โดยอยู่เหนือกาลมิติทั้งปวง   คำพูดเมื่อครู่ของข้าพเจ้านั้น ในมิติหนึ่งที่เวลาเร็วมากนั้น ก็ได้พูดจบไปหลายล้านปีแล้วก็คือการพูดในความหมายนี้  แต่ชีวิตในกาลมิติที่ต่างกันก็ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยถึงความช้าหรือเร็วของเวลา  เนื่องจากภายในมิติที่ต่างกันนั้น โครงสร้างของวัตถุทั้งหมดจะเหมือนกับเวลานี้  มันมีการบันทึกเวลาของมันเอง  ข้าพเจ้าพูดคำว่าเวลาไปหนึ่งคำแล้ว มันก็ผ่านไปกี่สิบล้านปีแล้ว  เวลาหนึ่งปีของเขานั้น  พวกเขาอาจจะรู้สึกว่านานกว่าหนึ่งปีในโลก  นั่นคือท่านไม่อาจใช้ความนึกคิดของมนุษย์ไปคิดเรื่องเหล่านี้  ดังนั้นหากท่านต้องการรับรู้อีกกาลมิติ  ท่านจะต้องสอดคล้องกับวิธีคิดและสภาพการณ์ของอีกกาลมิติ ท่านจึงจะสามารถรับรู้ได้  ข้างหลังฝ่านี้มีความนัยที่ต่างกัน  และขอบอกพวกท่านว่าในกาลมิติที่ต่างกัน  ทำไมเขาจึงมีความนัยที่ต่างกันคงอยู่  ทำไมข้างหลังฝ่านั้นจึงมีพลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้  สามารถทำให้ร่างกายของท่านเปลี่ยนแปลง  สามารถทำให้ท่านยกระดับขึ้นได้  ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  รูปแบบการคงอยู่ของเขาไม่อาจให้ท่านใช้ความคิดของคนธรรมดาสามัญคิดอย่างนั้น  เบื้องหลังตัวอักษร(มิติ)ที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆนั้นมีชีวิตชั้นสูงอยู่นับไม่ถ้วน 

 ข้าพเจ้าเพียงแต่บรรยายโดยประสานเข้ากับความคิดของคนยุคนี้ และความรู้ของคนยุคนี้   พูดให้ชัดแล้ว  ก็คือการบรรยายโดยประสานเข้ากับวิทยาศาสตร์ที่คนยุคนี้พึ่งพา  แต่ว่า แม้ข้าพเจ้าจะบอกเหตุผลเหล่านี้แก่ท่านโดยประสานเข้ากับวิทยาศาสตร์ยุคนี้  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ข้าพเจ้าหาได้สนับสนุนวิทยาศาสตร์นี้ไม่  ประการที่หนึ่ง  วิทยาศาสตร์นี้ซึ่งอยู่ในจักรวาลที่กว้างใหญ่นั้นเป็น “วิชาระดับอนุบาล”ที่เล็กมาก  แต่กล่าวสำหรับคนนั้นเขามีอุปกรณ์ที่ทันสมัยเอย  คล้ายกับว่าดีกว่าอุปกรณ์ยุคโบราณมากเท่าไร  ที่แท้ ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  ยังห่างไกลมากจากอารยธรรมมนุษย์ยุคก่อนหน้า  ต่อให้อุปกรณ์ที่ละเอียดอ่อนสักเท่าไรก็ยังหยาบกว่าของอารยธรรมก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ได้  และวิทยาศาสตร์นี้ การพัฒนาของมันนั้นจำกัดอยู่ในขอบเขตหนึ่ง  เขาใส่กรอบให้กับวิทยาศาสตร์ของตนเอง  เช่นนั้นมันก่อให้เกิดสภาพการณ์อย่างไรละ  สิ่งที่อยู่นอกวิทยาศาสตร์แบบประจักษ์แจ้งเขาก็ไม่กล้าไปยอมรับ  นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  กล่าวสำหรับมนุษย์แล้วก็น่ากลัวที่สุด  เพราะอะไรละ  ทุกท่านลองคิดดู  วิทยาศาสตร์นั้นมันตื้นเขินมาก  หากใช้คำพูดของนักวิทยาศาสตร์เองก็คือยังไม่ก้าวหน้า  ปัจจุบันผู้คนต่างเชื่อถือมัน  เข้าใจว่ามันเป็นสัจธรรมที่แน่แท้  การรับรู้ชนิดนี้รวมทั้งศาสนาตะวันตกและทฤษฎีมากมายในสังคมปัจจุบัน  ไม่ว่าศาสนาโรมันคาทอลิก ศาสนาคริสต์  สิ่งที่พวกท่านเชื่อกันไม่ใช่พระเจ้าของพวกท่าน  ที่พวกท่านเชื่อกันคือวิทยาศาสตร์  พูดจนถึงแก่นแท้ของพวกท่าน  สิ่งที่พวกท่านเชื่อกันคือวิทยาศาสตร์  ส่วนศาสนาของพวกท่านเป็นเพียงรูปแบบภายนอกชนิดหนึ่ง  กลายเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมของคนไปแล้ว  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  วิทยาศาสตร์นี้มันเป็นศาสนาหนึ่ง  มันเป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบศาสนาหนึ่ง

               ประการที่สอง  ทุกท่านทราบว่าศาสนาทั่วไปนั้น  มันจะบอกคนว่าควรไปทำอย่างไร  แต่วิทยาศาสตร์มันก็มีตั้งแต่ชั้นประถม ถึงมัธยม ถึงอุดมศึกษา   ในศาสนามีบาทหลวง  มีบิชอป ยังมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการศาสนา  แต่ในวิทยาศาสตร์นี้กลับสมบูรณ์แบบยิ่งกว่า มันมีอาจารย์  ปริญญาตรี  โท เอก หลังจากปริญญาเอกของมัน  ยังมีอาจารย์ที่ปรึกษา  ตำแหน่งวิชาการยิ่งสูง ก็ยึดกุมหลักการทางวิทยาศาสตร์ยิ่งมาก   ชื่อเรียกตำแหน่งผู้สอนก็ไม่น้อย  ทางด้านนี้ของมันสมบูรณ์มาก     ศาสนาทั่วไปสอนผู้คนให้มีความเชื่อทางจิตใจก่อน จากนั้นจึงบรรลุถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ  ส่วนวิทยาศาสตร์บอกให้คนรับรู้จากทางวัตถุ จากนั้นจึงบรรลุถึงการชักนำจิตใจให้เกิดการไว้ใจและปกป้อง  แต่มันไม่ใช่การถ่ายทอดของเทพให้กับคน  แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวในตรีภูมิถ่ายทอดให้คน เพื่อที่จะควบคุมมนุษย์  การเชื่อถือมันของคนนั้นเหนือกว่าทุกสิ่ง  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  วิทยาศาสตร์นี้  เนื่องจากความตื้นเขินของมัน  ได้ชักนำให้ศีลธรรมของสังคมมนุษย์เสื่อมทราม  นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด            เนื่องจากวิทยาศาสตร์ไม่สามารถรับรู้ถึงรูปธรรมของรูปแบบการคงอยู่ของสสารในระดับจุลทรรศน์ มันไม่รู้ว่า เมื่อคนทำเรื่องไม่ดีจะก่อเกิดกรรม   สสารสีดำจะนำภัยพิบัติมาสู่คน  ไม่รู้ว่าเมื่อคนทำความดีจะก่อเกิดสสารสีขาว  มันจะนำความผาสุกมาสู่คน  นำสภาพ ผลกรรม ให้แก่การหมุนเวียนกลับชาติไปเกิดใหม่ในมิติต่างๆ ของคน  กระทั่งมันพิสูจน์ยืนยันไม่ได้ถึงการมีอยู่ของโลกสวรรค์  ดังนั้นพอท่านพูดถึงสิ่งเหล่านี้ คนที่ศรัทธาในวิทยาศาสตร์ก็จะพูดว่าท่านกำลังพูดเรื่องงมงาย สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่คงอยู่  ที่ฉันศรัทธาคือวิทยาศาสตร์   เช่นนั้นทุกท่านลองคิดดู  นี่เป็นกระบองใหญ่ของวิทยาศาสตร์ที่กำลังตีสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ปกป้องมนุษยชาติ---ศีลธรรมอย่างไร้ความปรานี ใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก

คนมีกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม  เพราะคนรู้ว่า การทำเรื่องที่ไม่ดีจะไปสวรรค์ไม่ได้และยังต้องตกนรกได้รับผลกรรม  ในขณะที่คนควบคุมตนเองไม่ทำเรื่องไม่ดี เป็นการปกป้องศีลธรรมของมนุษย์  แต่พอคนไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ ไม่เชื่อเทพ(แต่เทพนั้นคงอยู่อย่างแท้จริง)ในเวลาที่คนไม่เชื่อเทพ  ทุกท่านคิดดู  ก็น่ากลัวมาก  เรื่องชั่วอะไรก็กล้าทำ  เขาเข้าใจว่าใครก็มองไม่เห็น  จึงทำเรื่องชั่ว  คนยุคใหม่ที่วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมานั้น จะฆ่าคน วางเพลิง ทำเรื่องชั่วโดยไม่รู้สึกพะว้าพะวงแต่อย่างใด      ปรากฏองค์กรอิทธิพลมืดอะไรในสังคม พวกเสพยา  ค้ายาเสพติด ค้าประเวณี อะไรก็ทำ สิ่งเลอะเทอะสารพัด ทำตามอำเภอใจ  คิดจะทำอะไรก็ทำอะไร ทุกท่านลองคิดดู สังคมนี้น่ากลัวหรือไม่  นี่คือภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดที่วิทยาศาสตร์นำมาให้เรา  เนื่องจากวิทยาศาสตร์ไม่อาจพิสูจน์เรื่องการคงอยู่ของเทพ  พิสูจน์ไม่ได้ถึงการคงอยู่ของกุศล ไม่รู้เรื่องมูลเหตุแห่งผลกรรม  เมื่อท่านพูดเรื่องเหล่านี้  ผู้คนก็จะชูวิทยาศาสตร์ กระบองใหญ่นี้ขึ้นมาตีท่าน  บอกว่าท่านงมงาย  ศีลธรรมของมนุษย์ยิ่งนานยิ่งจะหมดสิ้นไป สังคมก็มาถึงจุดที่ใครก็รั้งไว้ไม่อยู่แล้ว  คนก็มาถึงเวลาที่อันตรายที่สุดแล้ว  เพราะเทพนั้นไม่อาจยอมให้มนุษย์ที่เบี่ยงเบนไปเหมือนพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์ชนิดนี้คงอยู่

               ที่นี่ข้าพเจ้าเพียงแต่พูดเหตุผลนี้ให้กับทุกท่านฟัง  ข้าพเจ้าไม่คัดค้านความรู้ของมนุษย์  แต่  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านว่า อย่างมงายในวิทยาศาสตร์  มันอยู่ในขอบเขตที่แน่นอนหนึ่งของมิติวัตถุปัจจุบัน สามารถทำให้สังคมมนุษย์ได้รับการปรับปรุงบ้าง  แต่ภัยพิบัติที่มันนำมาอย่างสัมพันธ์กันนั้นใหญ่หลวงยิ่งนัก   เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าหมายถึงคือภัยพิบัติที่คนมองไม่เห็น  ส่วนภัยพิบัติที่คนมองเห็นได้ อย่างเช่นมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม  การทำลายระบบนิเวศน์ นั้นก็น่ากลัวอย่างมาก  วิทยาศาสตร์นี้นำมาซึ่งปัญหาสังคมที่ต่อเนื่องมากมาย   เพราะทัศนคติของคนนั้นยากที่จะพลิกกลับมาในทันทีได้  มีผู้ฝึกใหม่อยู่ที่นี่มาก ข้าพเจ้าจึงไม่ขอพูดมากแล้ว  ปัญหาต่างๆของสังคมล้วนแต่เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์นำมาทั้งสิ้น น่ากลัวมาก  ท่านไม่เชื่อเทพ แต่เทพนั้นคงอยู่จริงๆ            ทุกหนแห่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่ล้วนคือเทพ          ไม่มีที่ไหนไม่มี

             เพราะคนทำเรื่องไม่ดีไว้ จึงตกลงมาจากระดับชั้นที่แตกต่างกัน  ตกลงมาถึงระดับชั้นที่ต่ำที่สุด  หรือก็คือตกลงมาอยู่ในสังคมแห่งวังวนนี้ และให้ตาของท่านประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล อนุภาคชั้นที่ใหญ่ที่สุด  ดังนั้นตาของท่านจึงมองไม่เห็นมิติอื่น  พวกเราอยู่ในการบำเพ็ญ ทำไมบางคนสามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็นละ  ก็คือเปิดปัญญาจักษุให้ท่าน  เราเรียกว่าเปิดตาทิพย์  ไม่ต้องใช้ตานี้ของคนที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุลไปมอง  แต่บางคนก็รู้สึกว่าใช้ตามองเช่นกัน  ที่จริงคือตาสองชนิดสามารถใช้ประโยชน์ได้พร้อมกัน  ท่านจึงรู้สึกว่าตาเห็น  ปัญหา เมื่อครู่นี้เมื่อพูดออกมาแล้วก็มีส่วนช่วยยกระดับทุกท่านได้ในการบำเพ็ญ

 ต่อไปข้าพเจ้าจะพูดเกี่ยวกับเรื่องศาสนา   เนื่องจากทางตะวันตกมีคนมากมายเชื่อในศาสนา  เมื่อพวกเขาได้ฝ่า จะมีอุปสรรคอย่างหนึ่ง  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ศาสนาในสังคมปัจจุบันนี้  บรรดาศาสนาที่ถูกต้องที่มีอยู่ทั่วทั้งโลกนั้น ไม่มีเทพคอยดูแลแล้ว  สภาพการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดในศาสนา  ที่น่าอัศจรรย์หรือรูปแบบที่ปรากฏออกมา  ล้วนเป็นบทบาทของวิญญาณชั้นต่ำในสังคมมนุษย์  พวกมันนั้นให้ร้ายคน  ในศาสนาไม่มีเทพคอยดูแล

  ดังนั้นในนี้จึงมีปัญหาอย่างหนึ่ง  ถ้าหากไม่มีเทพคอยดูแล ท่านบำเพ็ญอยู่ในนั้น  ท่านก็ยกระดับขึ้นไม่ได้  ท่านสารภาพบาปอยู่ในโบสถ์ก็ไม่มีเทพรับฟัง  จะทำให้ท่านยกระดับได้อย่างไรละ  ที่ข้าพเจ้าพูดหาใช่การโจมตีศาสนาไม่  ที่ข้าพเจ้าพูดคือปรากฎการณ์ที่เป็นอยู่จริงๆ   เป็นเช่นนี้จริง  เหตุใดเทพไม่ดูแลแล้วละ  ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่  คือที่ท่านเชื่ออย่างแท้จริงคือวิทยาศาสตร์  ไม่ใช่เทพ  แน่ละ  ตอนเริ่มต้นไม่ใช่เป็นอย่างนี้ทั้งหมด  บางคนยังมีด้านหนึ่งของเขาที่เชื่อถือเทพ  ต่อมา  ด้านนี้ก็ค่อยๆจืดจางไปเรื่อยๆ  จืดจางไปเรื่อยๆ  สุดท้ายก็ไม่เห็นอีกแล้ว  เทพก็ไม่ดูแลแล้ว  นี่คือสาเหตุหนึ่ง  เนื่องมาจากวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันสร้างสภาพการณ์ของสังคมขึ้นมา ทำให้ศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมทราม  ไม่มีเรื่องชั่วอะไรที่คนไม่ทำ  คนได้สูญเสียพฤติกรรมกับกฎเกณฑ์ของคนไปแล้ว  เทพจึงไม่เห็นว่าคนเป็นคนอีกต่อไป  ดังนั้นเขาจึงไม่ช่วยคนแล้ว

               ที่นี่ข้าพเจ้าพูดถึงปรากฏการณ์ที่เป็นจริงของมนุษยชาติ  ทุกท่านทราบชาวตะวันตกนั้นไม่เข้าใจว่า ทำไมระหว่างชายหญิงชาวจีน จึงควบคุมตัวเองเข้มงวดอย่างนั้น  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  นั่นจึงจะเป็นคนนะ  การเปิดเสรีทางเพศ  ทำให้เผ่าพันธุ์คนยุ่งเหยิง   สร้างความยุ่งเหยิงให้กับความสัมพันธ์ทางศีลธรรมจรรยาระหว่างคน  เทพนั้นไม่อาจยอมให้ได้อย่างเด็ดขาด   ดังนั้นในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  พวกท่านต้องไม่เป็นเช่นเรื่องประเภทนี้โดยเด็ดขาด  ท่านสามารถมีภรรยาของท่าน  มีสามีของท่าน  นี่คือการดำรงชีพตามปกติของคน  หากเขาไม่ใช่สามีของท่าน  ไม่ใช่ภรรยาของท่าน  แล้วท่านเกิดพฤติกรรมทางเพศกับเขา(เธอ) ก็คือการทำบาป  ศาสนาที่ถูกต้องใดทั้งตะวันออก ตะวันตกนั้น  เทพต่างพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างเข้มงวดยิ่ง ในเรื่องมาตรฐานของคนนี้ พูดไว้เข้มงวดอย่างยิ่ง  ไม่เพียงเท่านี้  มาเฟียอะไรเอย  รักร่วมเพศเอย  ยกย่องความรุนแรงเอย  ที่พูดเป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่ง  แต่ว่านะ มันกลับแสดงออกมาซึ่งสภาพสังคมชนิดหนึ่ง  ผู้คนหลงระเริงกับความรุนแรงเหล่านั้น  ยกย่องหัวหน้ามาเฟียเอย  กระทั่งยกย่องอย่างมากต่อหัวหน้าโจรสลัดในอดีตที่ฆ่าคนวางเพลิง ก็คือคนแยกแยะดีกับไม่ดีไม่ชัดเจนแล้ว ไม่แบ่งแยกความเมตตากับความเลวแล้ว  สิ่งที่ยกย่องไม่ใช่ความถูกต้องหรือ สิ่งที่ดี  แต่ยกย่องสิ่งไม่ดี  ยาเสพติดเอย  พวกจิตซึมเศร้า  ไม่มีการควบคุม  ไม่มีการบังคับตนเอง คิดจะทำอะไรในสังคมก็ทำอะไร  ทัศนคติของคนกลับตาลปัตรหมดแล้ว

             ปัจจุบันนี้ตุ๊กตาดีๆ(ตุ๊กตาที่เด็กๆชอบกัน)ที่ขายอยู่ในร้านค้านั้น  เมื่อก่อนนี้ยิ่งทำได้สวยงามเท่าไรคนจึงจะยิ่งชอบ  เดี๋ยวนี้ท่านทำยิ่งสวยงามก็ยิ่งไม่ชอบกัน   ภูติผีปีศาจที่ท่านทำ  ยิ่งน่าเกลียด มันจึงจะขายได้เร็ว  เพราะอะไรละ  ไม่มีคนเรียกท่านไปซื้อ  ทำไมจึงขายได้เร็วอย่างนั้น  ทุกท่านต่างก็ชอบใช่ไหม   ก็คือทัศนคติของคนล้วนกลับกันแล้ว  จิตมารใหญ่มากแล้ว  ทุกท่านคิดดู  หากคนพัฒนาไปเช่นนี้ไม่น่ากลัวหรือ  ท่านรักษาประเพณี  เน้นเรื่องมารยาท สุภาพเรียบร้อยมาก  คนๆนี้หากตรงไปตรงมามาก คนๆนี้ก็จะถูกโจมตี ถือว่าเขาคร่ำครึ  ถือว่าเขาหัวโบราณ  ไม่สอดคล้องกับกระแสสังคม  กระแสสังคมนี้หากยังพัฒนาต่อไป  ยังจะควบคุมได้อีกหรือ  ช่างน่ากลัวมาก  มนุษยชาติทั้งหมดล้วนลื่นไถลไปตามกระแสสังคม  งานศิลปะก็เป็นเช่นเดียวกัน  เมื่อก่อนภาพวาด หากวาดได้สวยงามมาก  งดงามมาก  คนจึงจะรู้สึกสะเทือนใจ  เพราะท่านมีจิตที่ดีงาม จึงรู้สึกว่าดี เดี๋ยวนี้ท่านวาดภาพหนึ่งที่ดีมากเขากลับไม่รู้สึกสะเทือนใจ  เพราะเขาไม่มีจิตดีงามอยู่  ท่านวาดเรื่อยเปื่อย  อย่างสำนักนามธรรมอะไรเอย  สำนักประทับใจ(อิมเพรสชั่นนิสต์)อะไรเอย  เขาเข้าใจว่าดีมาก  ดีที่ตรงไหนละ  หากท่านใช้หลักการที่แท้จริงของคนไปบรรยาย  ท่านจะพูดออกมาไม่ได้  แล้วอยู่ในสภาพใดจึงพูดออกมาได้ละ  คือเข้าสู่สภาพที่ใจลอยเคลิบเคลิ้มจึงสามารถพูดได้ว่ามันดี   แต่สภาวะอย่างนี้พอดีกับที่จิตมารแสดงออกมา  จึงพูดว่าทัศนคติของคนปัจจุบันไม่เพียงกลับตาลปัตร  จิตมารยังรุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว  

               เมื่อก่อนงานปั้นแกะสลักที่ทำได้สวยงามมาก  พื้นฐานและเทคนิกฝีมือของเขาล้วนดีมาก  เดี๋ยวนี้วางขยะไว้ตรงนั้นกองหนึ่งนี่ก็คือผลงาน  และยังเป็นผลงานชั้นสูงของอาจารย์ใหญ่  ทัศนคติของคนล้วนกลับตาลปัตรจนถึงขั้นนี้แล้ว  ทุกท่านลองคิดดู โลกในอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรนะ  ข้าพเจ้าอยู่ในประเทศหนึ่งพบว่ามีของเล่นอะไรชนิดหนึ่ง  ของเล่นนั้นคือรูปอุจจาระของคน  ทำออกมาเป็นของเล่นลักษณะเช่นนั้น  ก็ยังมีคนซื้อ  คนกำลังนิยมยกย่องอะไรอยู่  กำลังชอบอะไรอยู่  หาใช่กระแสสังคมธรรมดาๆอย่างหนึ่งเสียแล้ว   สภาพการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  มันคือการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติอย่างหนึ่ง  คนมีทัศนคติชนิดนี้แล้วจะทำอย่างไรดีละ  ยังเป็นคนอยู่อีกหรือ  มารจึงจะเป็นเช่นนี้  มารนั้นชั่วร้าย  ส่วนคนสมควรดีงาม  ดีชั่วสามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน  ท่านไม่ชอบสิ่งที่ถูกต้องชอบสิ่งที่เป็นมาร  คนอย่างนี้ยกเว้นแต่เพียงรูปกายภายนอกของคนๆนี้ที่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นมาร   แต่นอกเหนือจากที่จิตมารเพิ่มขึ้นตามลำดับแล้ว  จะพบว่าหน้าตาของท่าน  รูปลักษณ์ภายนอกของท่าน  ร่างกายของท่านล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง ยิ่งเปลี่ยนยิ่งอัปลักษณ์ ยิ่งเปลี่ยนยิ่งดุร้าย  แววตาล้วนแต่ฉายแววดุร้าย มนุษย์เป็นอย่างนี้ต่อไปน่ากลัวมากจริงๆ ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดรถ........

                ทุกท่านลองคิดดู  เมื่อครู่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดถึงเหตุผลหนึ่ง  ก็คือว่าการพัฒนาของสังคมมนุษย์นั้นผ่านยุคอารยธรรมที่แตกต่างกัน   ปัจจุบันทราบว่ามียุคสมัยหิน  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ยุคสมัยหินนั้นเคยเกิดขึ้นหลายสิบครั้งแล้วบนโลกนี้  อะไรที่เรียกว่ายุคสมัยหิน   ก็คืออารยธรรมนั้นถูกทำลายไปแล้ว มีคนจำนวนเล็กน้อยที่ค่อนข้างดี  ก็เหมือนกับที่กล่าวกันไว้เกี่ยวกับเรือโนห์อา  คือมีเพียงคนดีจำนวนน้อยนิดเหลือรอดต่อมา  เขาไม่มีเครื่องมือยังชีพ  จะทำอย่างไรละ  เขาจึงลับหินให้เป็นเครื่องมือ จากนั้นจึงพัฒนาเป็นสังคมมนุษย์ เข้าสู่อารยธรรมใหม่        ในขั้นตอนนี้คนเรียกว่ายุคสมัยหิน   ไม่มียุคสมัยหินที่ว่า เริ่มจากมนุษย์วานรแล้ววิวัฒนาการมาเป็นคน คงอยู่อย่างแท้จริง  ไม่คงอยู่อย่างแท้จริง  คนยังพูดว่า  คนคือลิงที่เปลี่ยนแปลงมา  นี่ล้วนเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันนำมา  นี่ไม่น่าหัวเราะหรือ  ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน มีช่องโหว่มากมาย  ถ้าพวกท่านไม่เชื่อก็ลองเอาขึ้นมาค้นคว้าดูใหม่อีกที จากวานรวิวัฒนาการจนเป็นคน   จากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมวิวัฒนาการจนถึงสิ่งมีชีวิตสมัยนี้  ขั้นตอนระหว่างกลางทั้งหมดไม่มีอยู่  คนกลับสามารถยอมรับ  นี่จึงจะเป็นเรื่องงมงายนะ  โดยเฉพาะครั้งนี้คือความอัปยศและน่าอายที่สุดของมนุษย์  นี่จึงเป็นความแปลกประหลาดที่แท้จริง

              สิ่งที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ คือสภาพการณ์ทั้งหมดของสังคมมนุษย์  ทุกท่านคิดดู หากเทพไม่มองคนเป็นคน  คนจะมีอันตรายหรือไม่  ก็เหมือนที่ข้าพเจ้าพูดเมื่อครู่  ทำไมมนุษย์ของอารยธรรมที่ต่างกันจึงดับสลายไปแล้ว  วัฒนธรรมชนเผ่ามายาทำไมไม่คงอยู่แล้ว  จากวัตถุโบราณที่ค้นพบก็สามารถเห็นความตกต่ำของคนสมัยนั้นได้  คนผิวขาวทางตะวันตกในอารยธรรมยุคที่แล้ว  บรรพบุรุษของคนผิวขาวก็คือชาวกรีกยุคโบราณ  ไม่ใช่ชาวกรีกยุคปัจจุบัน  เป็นชาวกรีกเผ่าพันธุ์โบราณ  คนเผ่าพันธุ์นี้มีน้อยมาก ข้าพเจ้าพบว่าก็คือคนอินเดียพันธุ์ผิวขาวนั้น  ซึ่งมีน้อยมากๆ  วัฒนธรรมนี้ทำไมถูกทำลายแล้ว   อารยธรรมที่ชาวกรีกโบราณเหลือไว้ กับสิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดีนั้นมีเรื่องรักร่วมเพศ  การดำรงชีพในเวลานั้นเสื่อมโทรม ตกต่ำมาก  สุรุ่ยสุร่ายมาก  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่   อารยธรรมยุคก่อนหน้าของชาวผิวขาวเมื่อเริ่มต้นไม่ได้เป็นเช่นนี้  แต่เพราะเขาพัฒนาจนถึงยุคสุดท้ายแล้ว  วัฒนธรรมช่วงก่อนหน้าของมนุษย์นั้นไม่ตกต่ำเช่นนี้ แต่เมื่อเขาพัฒนาจนถึงช่วงท้ายที่ตกต่ำมาก   เทพเห็นว่าคนไม่ไหวแล้ว  จึงทำลายทิ้งไป  เหลือคนที่ดีไว้  เริ่มต้นพัฒนาขึ้นมาใหม่  ก็เหมือนคนผิวขาวเดี๋ยวนี้  หากคนพัฒนาไปอย่างไร้การควบคุมเช่นนี้ต่อไป  ทุกท่านคิดดู  เมื่อเทพไม่เห็นว่าคนเป็นคนแล้ว นั่นก็อันตรายเหลือเกินแล้ว       

พระเยซูบอกว่าเมตตาคน  เมื่อคนมีภัยพิบัติ พระองค์ก็มาช่วยคนที่เชื่อถือพระองค์  ในเวลาที่คนไม่เชื่อถือพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์จะช่วยใครได้ละ  การดับสลายของมนุษย์ในยุคสมัยที่ต่างกัน ล้วนเกิดจากการที่ศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมทราม  ซึ่งน่ากลัวมาก  คิดจะทำอย่างไรละ  คนคิดจะพัฒนาอย่างไรละ  คนคิดจะให้สังคมบรรลุถึงสภาพการณ์อะไรละ   คนคิดว่าตนเองเป็นผู้กำหนด  แต่จนกระทั่งถึงวันนี้คนไม่เคยกำหนดอะไรได้เลย  มีแต่ทำให้สังคมแย่ลง         ทำให้ศีลธรรมของคน  โดยเฉพาะหลายปีมานี้   อัตราเร็วของการลื่นไถลของคนนั้นเร็วมาก  น่ากลัวมาก  แต่ไหนแต่ไรมา ข้าพเจ้าไม่ไปพูดเรื่องภัยพิบัติใหญ่อะไร  เพราะการพูดเรื่องเหล่านี้  จะทำให้สังคมเกิดความยุ่งเหยิงแบบหนึ่ง  พูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่รับผิดชอบ ข้าพเจ้าจะไม่ไปพูดถึงสิ่งเหล่านี้  จะมีหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ  ข้าพเจ้าก็ไม่พูด  แต่มีอยู่จุดหนึ่ง ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  สิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดวันนี้ คือหลักธรรมที่ถูกต้อง  ข้าพเจ้าสอนให้ท่านล้วนเป็นคนดี  หากท่านเป็นคนดีดังว่า  มีภัยพิบัติอะไรแล้วจะเกี่ยวข้องกับท่านไหม  ก็เป็นเช่นนี้  หากสังคมมนุษย์คนส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนเป็นคนดีแล้ว  เช่นนั้นข้าพเจ้าว่าก็จะไม่มีภัยพิบัติแล้ว   เพราะในประวัติศาสตร์สังคมมนุษย์ไม่มีเรื่องใดเป็นความบังเอิญ  ล้วนเป็นเพราะเรื่องราวมีที่มา(มีเหตุมาก่อน)จึงมีผลลัพธ์

                เมื่อครู่ที่พูดเรื่องนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของพวกท่าน  เพราะทัศนคตินานาชนิดที่ก่อเกิดขึ้นมาของคนทุกวันนี้ เป็นอุปสรรคต่อการได้ฝ่าของท่าน  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  สังคมมนุษย์เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรหรือ  จะเป็นประโยชน์ต่อการได้ฝ่าของท่าน  ที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักธรรมหนึ่ง  คือเหตุผลหนึ่ง  ท่านรู้สึกว่าถูกหรือไม่ละ  ท่านเองมีความคิด  ท่านสามารถไปวิเคราะห์ได้

              สิ่งที่พูดไปทั้งหมดเมื่อสักครู่นั้นสูงมาก  และแหลมคมมาก  เกี่ยวพันเป็นวงกว้างมาก แต่ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มุ่งเจาะจงคน  หรือคนใดคนหนึ่ง  เพียงเจาะจงต่อปรากฎการณ์ของสังคม  ไม่ว่าคนเผ่าพันธุ์ใด  ไม่ว่าท่านทำความชั่วมากเพียงไร  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญด้วยใจจริงอย่างแท้จริงข้าพเจ้าก็จะดูแลท่าน  แต่ถ้าท่านไม่บำเพ็ญ  นั่นก็จนปัญญา

            เนื่องจากนี่คือฝ่าฮุ่ย  ทุกท่านแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความเข้าใจกัน  สุดท้ายข้าพเจ้ายังจะใช้เวลาครึ่งวัน ตอบคำถามให้ทุกท่าน        และจะบรรยายฝ่าออกมาอีกมาก

            บ่ายวันนี้จะตอบปัญหาให้ทุกท่านเป็นการเฉพาะ

ศิษย์     เราจะสามารถทิ้งความคิดที่ไม่ดีไปได้อย่างไร

อาจารย์  ปัญหานี้มีลักษณะทั่วไป  ที่จริงมันคือการสะท้อนสภาพการณ์ของการบำเพ็ญของเรา  อย่างเช่น การบำเพ็ญเก่าแก่ในอดีต รวมทั้งศาสนาอื่นๆ  เพื่อไม่ให้ความคิดที่ไม่ดีของผู้บำเพ็ญสะท้อนออกมา  เขาจึงจำกัดตนเองอยู่ในสภาพที่ตัดขาดจากโลกียะ บ้างก็ไปอยู่สำนักบำเพ็ญเต๋า  บ้างก็ไปอยู่ในวัด หรือเข้าไปบำเพ็ญอยู่ในภูเขา มุดเข้าไปอยู่ในถ้ำ ตัดขาดจากโลกียะ  ในขณะเดียวกันเขาจะเข้าสู่สมาธินิ่งระดับลึก การเข้าสู่สมาธินิ่งของเขาชนิดนี้ไม่เหมือนกับที่ข้าพเจ้าสอนให้ทุกท่านเข้าสู่ความสงบชนิดนี้โดยสิ้นเชิง  เขานิ่งจนตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งหมดแล้ว   ท่านว่าเขาหลับไปก็ได้  เพื่อให้ความคิดของเขาสามารถสงบลงมา  ข้าพเจ้าว่าสภาวะนี้ทั้งหมดก็คือเหมือนกับจิตหลักไม่คงอยู่  วันนี้หากเรายังคงใช้วิธีการบำเพ็ญเก่าแก่ชนิดนี้อยู่ ก็จะนำมาซึ่งปัญหาที่ร้ายแรงประการหนึ่ง  เพราะในอนาคตเราจะมีคนปริมาณมากยิ่งขึ้น หลายร้อยล้านคนมาศึกษาต้าฝ่า  หากทุกท่านต่างเข้าสู่สภาวะนี้  เช่นนั้นสังคมมนุษย์จะเป็นอย่างไร  ขณะเดียวกันนะ  วิธีการชนิดนี้จำกัดอยู่แค่การบำเพ็ญจิตรองเท่านั้น  จิตหลักไม่สามารถจะบำเพ็ญได้  หรือพูดได้ว่า ท่านเองไม่อาจบำเพ็ญตนเองได้อย่างแจ่มแจ้ง  ท่านได้แต่บำเพ็ญจิตรองอยู่ในภาวะเคลิบเคลิ้ม  นี่ก็ไม่เหมาะสมกับข้อกำหนดของต้าฝ่าที่เราถ่ายทอดในวันนี้  ไม่เหมาะสมกับพวกเราในวันนี้ ที่มีคนทำงานบำเพ็ญอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ  

    ข้าพเจ้าเห็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของการบำเพ็ญของคน ก็คือการยกระดับซินซิ่งของเขา   การเลื่อนระดับขึ้นของความคิดของเขาอย่างแท้จริง  ดังนั้นทุกสิ่งจะเลื่อนระดับขึ้นตามไป  พฤติกรรมของคนและปัญหาที่ใคร่ครวญ  เรื่องที่ต้องการจะทำ ทั้งหมดล้วนควบคุมโดยจิตและความคิดของท่าน   หากท่านทำให้จิตและความคิดของตนสามารถเลื่อนระดับขึ้นได้อย่างแท้จริง  นั่นจึงจะเป็นการยกระดับที่แท้จริง  ดังนั้นวันนี้เราจึงเจาะจงต่อใจคนโดยตรง  หรือก็คือเจาะจงต่อตัวท่านคนนี้โดยตรง  ให้ท่านยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง  และไม่ไปเดินตามเส้นทางนั้นอีก  ที่เข้าสู่ความนิ่งลึกไม่รู้เรื่องอะไรหมดแล้ว ให้จิตรองไปดูแลทุกอย่าง พวกเราไม่เดินบนทางอย่างนี้  เรารู้ว่าทุกท่านบำเพ็ญอย่างทุกข์ยาก  แล้วสุดท้ายอะไรท่านก็ไม่ได้เลย  ได้แต่เกิดในชาติต่อมาได้โชคลาภตอบแทน  (หากเป็นอย่างนี้)ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าก็จะรู้สึกผิดต่อพวกท่าน  พวกท่านเองก็จะรู้สึกผิดต่อตนเอง  พวกเราจะไม่เดินบนเส้นทางอย่างนี้

    ดังนั้นเพื่อให้ท่านบรรลุถึงได้และสามารถบำเพ็ญได้ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญได้อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าจึงเลือกวิธีที่พิเศษมากวิธีหนึ่ง  คือเริ่มเปลี่ยนแปลงท่านจากระดับจุลทรรศน์ที่สุดของท่าน  ส่วนการบำเพ็ญในอดีตจะเปลี่ยนแปลงคนๆนี้ จากชั้นโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุดไปยังระดับจุลทรรศน์  ดังนั้นพวกเราจึงเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง  หากเราเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองจากชั้นผิวดังว่า  วันนี้คนที่กำลังนั่งอยู่ร้อยละ ๙๐ ล้วนจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ก็วางพวกท่านไว้บนโลกนี้ไม่ได้แล้ว  เนื่องจากพอชั้นผิวของคนเกิดการเปลี่ยนแปลง ท่านก็สามารถทะลุผ่านจากที่ไหนของห้องไปได้แล้ว ก้อนอิฐที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุลชั้นที่ใหญ่ที่สุดเอย  ซีเมนต์เอย  มันก็ไม่มีคุณสมบัติในการควบคุมท่านได้แล้ว  เพราะชั้นโมเลกุลที่ใหญ่ที่สุดของท่านได้ผันแปรเป็นสสารพลังงานสูงทั้งหมดแล้ว  และโมเลกุลที่ยิ่งเล็กลงไปกว่าโมเลกุลชั้นนี้ของท่าน กล่าวสำหรับมันแล้วก็ไม่ใช่สิ่งขวางกั้นแล้ว  ก็เหมือนผ้าผืนนั้น ท่านเป่าลมใส่มัน  ลมก็สามารถผ่านไปได้  ก็คือว่าท่านสามารถทะลุผ่านไปได้    ทุกสิ่งบนโลกนี้ย่อมจะไม่บังเกิดผลต่อท่านแล้ว  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ถูกแล้ว   สังคมมนุษย์ทั่วทั้งหมดก็กลายเป็นเหมือนสังคมของเทพ

    เช่นนั้นสังคมของเทพก็ไม่อาจบำเพ็ญอย่างนี้ได้  หรือพูดว่า ในสังคมที่วังวนถูกทำลายแล้วเช่นนี้  ทุกท่านต่างมองเห็นการปรากฏของเทพได้จริงๆ ก็ไม่อาจบำเพ็ญเช่นนี้ได้อีกแล้ว  แต่ก็ไม่แน่นอนว่าจะบำเพ็ญไม่ได้อีกแล้ว  อย่างน้อยที่สุดคือบำเพ็ญไม่ง่ายแล้ว  ไม่เหมาะที่จะบำเพ็ญแล้ว  หรือพูดได้ว่าไม่มีวังวนแล้ว  มีแต่บำเพ็ญอยู่ในวังวนจึงจะเหมาะที่สุดจะบำเพ็ญ    และมิตินี้ก็คือมิติของวังวน  ดังนั้นเราจึงเลือกวิธีการตรงกันข้าม  จากระดับจุลทรรศน์  เริ่มต้นค่อยๆเปลี่ยนแปลงท่านจากอนุภาคในระดับจุลทรรศน์ที่สุดของชีวิตท่าน ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายท่าน จากนั้นก็ทะลวงสู่โมเลกุลที่ใหญ่ที่สุดทีละชั้น ทีละชั้น หรือก็คือทะลวงสู่ชั้นผิวของร่างกายคน  ตราบจนกระทั่งสุดท้ายทะลวงถึงเซลล์เนื้อเยื่อนี้ที่ตาของท่านสามารถมองเห็นได้  เซลล์เนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุลในระดับชั้นนี้  ท่านก็สำเร็จสมบูรณ์แล้ว พวกเราได้เดินเส้นทางหนึ่งเช่นนี้

   ศิษย์คนนี้ถามว่า  เราจะละทิ้งความคิดที่ไม่ดีได้อย่างไร  พวกเรามีคนมากมายที่บำเพ็ญมานานแล้ว  เมื่อก่อนเคยมีความคิดที่ไม่ดีสะท้อนอยู่ในสมอง เหตุใดตลอดมาจึงบำเพ็ญทิ้งไปไม่ได้  บางครั้งรู้สึกว่าบำเพ็ญทิ้งไปแล้ว  แต่พอผ่านไปอีกช่วงหนึ่งพบว่าความคิดที่ไม่ดีนั้นมันยังสะท้อนออกมาอีก  นี่มันเรื่องอะไรกันนะ  ที่จริงนั้น  ปัญหาที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดก็คือจะบอกท่านว่า  พวกเราเปลี่ยนแปลงท่านจากระดับจุลทรรศน์  เมื่อยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาถึงชั้นผิว ความคิดที่ไม่ดีของท่านนั้น ได้ทิ้งไปทีละชั้น ๆๆๆๆ ทำให้มันอ่อนกำลังลง  ยังไม่ได้ทิ้งไปถึงที่สุด  แม้ว่าจะไม่ได้ทิ้งไปจนถึงที่สุด  แต่ท่านก็บำเพ็ญได้ไม่เลวแล้ว  เพราะเราเดินบนเส้นทางอย่างนี้  เหลือไว้บางส่วน แม้ว่าไม่ได้ทิ้งความคิดของคนไปหมด  แต่มันก็พอดีที่จะสามารถกระตุ้นให้ท่านบำเพ็ญต่อไปได้ในสังคมคนธรรมดาสามัญก่อนที่จะหยวนหมั่น  หากท่านไม่มีความคิดของคนธรรมดาสามัญแม้แต่น้อยเลย ท่านก็ยากที่จะอาศัยอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ

    หากคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ไม่มีความคิดของคน  ในความคิดของผู้อื่นคิดอะไรอยู่  ท่านก็จะรู้ได้  คำพูด พฤติกรรม การกระทำ การเคลื่อนไหว หนึ่งๆของคน  แม้กระทั่งแววตาหนึ่งท่านก็รู้ได้ว่าเขาจะทำอะไร   คนใช่ไหม โดยเฉพาะคือคนธรรมดาสามัญในสังคม สิ่งที่สะท้อนออกมาจากใจล้วนเป็นความคิดที่ไม่ดี  ท่านจะทนไม่ไหวจริงๆ  และท่านยังสามารถมองเห็นว่าในอากาศนี้มีสสารที่เป็นพิษมากมายเหลือเกิน  ท่านว่าท่านจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  ท่านก็ไม่มีทางที่จะบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้แล้ว         เหตุใดบางคนจึงเข้าไปบำเพ็ญในภูเขาโดยตัดขาดจากโลกียโลกละ  เพราะเขาไม่มีทางจะอาศัยอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  หรือพูดได้ว่าตราบเท่าที่ความคิดของท่านยังไม่ไปถึงขั้นสุดท้าย ก็คือเมื่อโมเลกุลของท่านยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในขั้นสุดท้าย  ท่านยังจะมีความคิดของคนธรรมดาสามัญสะท้อนออกมา รวมทั้งความคิดที่ไม่ดีซึ่งสอดแทรกอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญก็จะมีได้ทั้งนั้น  เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่า ไม่ว่าพวกเราจะบำเพ็ญอย่างไร หากเพียงร่างกายชั้นผิวของฉันนี้ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง  เช่นนั้นความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ก็ยังจะรุนแรงไปด้วยเสมอละ  ไม่ใช่ 

ท่านไม่ทราบว่าท่านเองยกระดับขึ้นมากแล้ว  ความคิดที่ไม่ดีของท่านได้ทิ้งไปมากมายแล้วจริงๆ  ที่ยังคงเหลืออยู่นั้นน้อยมาก น้อยมากๆ  และท่านเองก็สามารถรู้สึกได้ด้วยตนเอง  รู้ว่าท่านมีความคิดที่ไม่ดี  นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนท่านรู้สึกเองไม่ได้  นี่ล้วนแต่เป็นความก้าวหน้า  ล้วนเป็นการยกระดับ  และสิ่งที่แสดงออกมาแม้ว่ามันจะไม่ดี  กระทั่งบางครั้งไม่ดีมากๆ  แต่มันก็อ่อนแอมาก  ท่านเองหากเพียงสามารถแน่วแน่  จิตหลักของท่านเองสามารถเป็นนาย  ท่านก็สามารถควบคุมมันได้  ที่ผ่านมาท่านควบคุมไว้ไม่ได้  ดังนั้นคนจึงสามารถถูกความคิดชนิดนี้ชักนำให้พูดสิ่งที่ไม่ดี  ทำเรื่องที่ไม่ดี  แต่เดี๋ยวนี้ท่านเพียงแต่รู้สึกว่ามีความคิดที่ไม่ดีอยู่  แต่มันยากมากที่จะชักนำท่านได้แล้ว  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดไปก็คือเส้นทางที่พวกเราเดินนั้นก็คือเส้นทางอย่างนี้  ดังนั้นท่านไม่ต้องกลัว  ท่านรู้ว่าท่านมีความคิดนี้  ท่านก็กำลังอยู่ในระหว่างการยกระดับแล้ว  ความคิดที่ไม่ดีของท่านได้ทิ้งไปมากมายเหลือเกินแล้ว

              ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ  คล้ายกับว่าความแตกต่างระหว่างพวกท่านเองนั้นไม่ค่อยชัดเจน  แต่ถ้าพวกท่านไปอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  พวกท่านอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้บำเพ็ญเหล่านั้น  ท่านเองก็จะรู้สึกว่าทนไม่ไหว  ท่านจะรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกัน ท่านไม่อยากฟังทั้งสิ้น  กระทั่งบางครั้งท่านเห็นว่าเรื่องที่พวกเขาทำนั้นน่าขันมาก  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ละ  เพราะท่านมีความแตกต่างจากพวกเขาอย่างมาก  ไหนเลยจะเกรงว่ามีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย  หรือว่ามีความแตกต่างนี้ไม่มาก ท่านก็จะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้  มีแต่ว่าท่านมีความแตกต่างอย่างมากจึงจะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้                  แต่ว่าท่านยังรู้สึกคล้ายกับว่า นี่ก็ดีกว่าเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง  นี่คือสภาพการณ์ที่สร้างให้กับท่านในระหว่างการบำเพ็ญของพวกเรา จึงสามารถทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญโดยอยู่กับพวกเขาได้ ทำงานอยู่ด้วยกันได้  หากปัญหาที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไปนั้น ทุกท่านฟังเข้าใจแล้วว่า  ก็เป็นเรื่องอย่างนี้เอง  แต่ในทางกลับกันข้าพเจ้ายังจะขอบอกทุกท่านว่า ท่านอย่าได้พูดว่า อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง  จากนี้ไปปล่อยมันตามสบายไม่สนใจแล้ว   ความคิดที่ไม่ดีอะไร  แกอยากจะทำอย่างไรก็ได้  ล้วนไม่สนใจแล้ว  เช่นนั้นก็คือท่านปล่อยปละละเลย  ก็เท่ากับไม่ได้บำเพ็ญ  ท่านอย่าได้เห็นว่ามันมีความคิดที่ไม่ดี  ที่นี่ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า  คือรูปแบบการบำเพ็ญอย่างนี้  ค่อยๆทิ้งไป หากท่านไม่ไปควบคุมมันอย่างเป็นฝ่ายกระทำ  ทิ้งมันไป  ไม่มีความคิดนี้ ไม่แน่วแน่  เช่นนั้นท่านก็กลายเป็นไม่ได้บำเพ็ญ  นี่ก็คือความสัมพันธ์อย่างนี้

ศิษย์     หากมีความคิดที่ไม่ดีก็ไม่สามารถบำเพ็ญแล้วใช่หรือไม่

อาจารย์   เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้อธิบายปัญหานี้แล้ว  ขอยกตัวอย่างละกัน  ความคิดที่ไม่ดีของท่านนั้น  หากพูดให้ชัดก็เหมือนด้ายเส้นหนึ่ง  เราตัดมันไม่มีหยุด ทิ้งมันไป ทิ้งมันไป ทิ้งมันไป ทิ้งมันไป  ก่อนที่ยังไม่ได้ทิ้งมันไปทั้งหมด มันก็ยังคงมีอยู่   จะพูดได้อย่างไรว่าไม่สามารถบำเพ็ญได้ละ  กำลังตัดทอนมันอยู่  การทิ้งมันไปมิใช่การบำเพ็ญหรอกหรือ  ที่แท้ท่านบำเพ็ญก้าวหน้าไปมากแล้ว ก็คือความหมายอย่างนี้

ศิษย์     ผมมีญาติสูงอายุคนหนึ่งกำลังป่วย      เขาก็กำลังได้รับการช่วยเหลือด้วยใช่ไหม

อาจารย์  ความหมายนี้ก็คือคนสูงอายุมีโรคประจำตัว  จะบำเพ็ญได้หรือไม่  ต้าฝ่าของเรานี้ถ่ายทอดออกมา โดยรูปแบบชั้นผิวนั้น ไม่มีการเลือกสรร(จะช่วยหรือไม่ช่วยใคร)  ทุกท่านทราบ  แนวทางของเราวันนี้คือไม่เก็บเงิน  เปิดกว้าง ใครก็เข้ามาได้ทั้งนั้น  คนที่ไม่มีวาสนานั้น เขาเองก็ไม่คิดจะเข้ามา  ก็คือไม่มีการไปเลือกสรร  หากมีคนเข้ามาเรียนจริง เขาคิดจะบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็ต้องดูแล  ไม่ว่าอายุมากเพียงไร  อายุน้อยเพียงไร  หรือมีโรคอยู่  ข้าพเจ้าก็ต้องดูแล แต่ว่านะ  มีจุดหนึ่งที่สำคัญ  ท่านมาถึงที่นี่สามารถทำตัวเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งได้หรือไม่  ไม่ทำตัวเป็นคนแก่  ไม่ทำตัวเป็นคนป่วย  นี่คือสิ่งที่สำคัญยิ่ง  ท่านมัวแต่คิดว่าฉันอายุมากแล้ว  จะบำเพ็ญสำเร็จได้หรือไม่นะ   ยังมีเวลาที่จะบำเพ็ญมากอย่างนั้นหรือไม่ ใจดวงนี้ของท่านยึดติดออกอย่างนั้น  ก็เป็นอุปสรรคหนึ่ง ใจดวงนี้ของท่านยิ่งไม่สามารถทิ้งไป  เช่นนั้นก็จะรั้งอายุของท่านให้ยิ่งสั้น

            บางคนนั้นเขาก็มีโรค เขาก็มาแล้ว เริ่มต้นเขาคิดว่า ได้ยินว่าฝึกฝ่าหลุนต้าฝ่าไประยะหนึ่งแล้ว  ร่างกายจะดีมาก  ไม่มีโรคแล้ว  แต่ในฝ่านี้เขาค่อยๆเข้าใจได้ว่า ในขณะที่ละทิ้งความคิดที่ยึดติดกับโรคนี้  นั่นก็จะไม่มีปัญหา  ถ้าเขาไม่ละทิ้งความคิดที่จะรักษาโรค  ก็จะก่อให้เกิดอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการบำเพ็ญของเขา  เพราะในใจเขาคิดอยู่เสมอว่าโรคของฉันทำไมไม่หายนะ  พวกเขาทำไมหายกันหมดแล้ว  เช่นนั้นที่แท้แล้วความคิดนี้ก็เท่ากับเขากำลังฝึกเพื่อรักษาโรค  ข้าพเจ้าถ่ายทอดต้าฝ่านี้เพื่อช่วยเหลือคน  แก้ไขปัญหาให้คนโดยแก่นแท้  ไม่ใช่เพื่อรักษาโรคให้คน  หากท่านคิดจะบำเพ็ญจริง  ท่านมีร่างกายที่มีโรคอยู่ก็บำเพ็ญไม่ได้  ผู้บำเพ็ญจริง โรคของท่านจะถูกทิ้งไปโดยอัตโนมัติในระหว่างการบำเพ็ญ  แต่จุดประสงค์ไม่ใช่การรักษาโรค  การชำระร่างกายก็คือการเปิดเส้นทางการบำเพ็ญให้กับท่าน  หากท่านมาเพื่อรักษาโรค  เช่นนั้นอะไรก็จะไม่ได้ทั้งนั้น          ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าอธิบายปัญหานี้อย่างชัดเจนแล้ว

ศิษย์  จะทำอย่างไรกับของในบ้านที่โปรดปราน

อาจารย์  “โปรดปราน”ก็คือรัก  ก็คือชอบ  ท่านรักมัน ท่านชอบมัน  ท่านยึดติดกับมัน คือความหมายนี้ใช่หรือไม่ละ  ดังนั้นเวลาที่ท่านยกปัญหานี้ขึ้นมา ท่านก็ได้เขียนสิ่งยึดติดนี้ของท่านออกมาแล้ว  สิ่งมีชีวิตที่พวกเรารักเอย  รักธรรมชาติ มีชีวิตอยู่เพื่อคนทั้งหมดเอย  นี่ไม่มีอะไรผิด  แต่เรื่องอะไรก็อย่าได้เกินเลย  อย่าได้เกินเลยจริงๆ  เพราะคนจึงจะเป็นชีวิตที่สูงที่สุด สมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้  เทพก็มองอย่างนี้  ส่วนสัตว์ทั้งปวง(ไม่ว่าใหญ่เล็ก)  พืชและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  ล้วนสร้างขึ้นมาเพื่อคน  หากไม่มีคนก็จะไม่สร้างสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นในปัจจุบันพื้นที่ไหนเอย  ประเทศไหนเอย  ความโปรดปรานต่อสัตว์ได้ไปถึงจนสุดขั้วแล้ว  บ้างก็รักสัตว์ยิ่งกว่าคนไปแล้ว
             เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดเรื่องเทพสร้างคนไปแล้ว สร้างโลกนี้เพื่อให้คนดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็ให้คนไว้ชื่นชม ให้คนเล่น  ให้คนดำรงชีพ ให้เป็นอาหารของคน  พร้อมกับการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับโลก  ทั้งหมดนั้นสร้างเพื่อคนทั้งสิ้น  ในทางกลับกันคนยังเทียบกับสัตว์ไม่ได้ นี่เท่ากับทรยศต่อกฎสวรรค์  แน่ละพวกเราในฐานะผู้บำเพ็ญไม่อาจเป็นเช่นนี้  พวกเราพูดเรื่องความเมตตา  พวกเราล้วนเมตตาต่อทุกสิ่ง  แต่เราต้องไม่เกินเลยไปจากความเมตตานี้ แล้วเกิดจิตยึดติดชนิดหนึ่งขึ้นมา   แล้วหลงรักสิ่งนี้จนเกินไป         ให้ความสำคัญต่อสิ่งใดจนเกินเลย  นี่ก็ไม่ถูก  เนื่องด้วยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในทวีปยุโรป  ในอเมริกาข้าพเจ้าก็พบว่าเป็นเช่นนี้  ผู้คนรักสุนัขนั้นอย่างเกินเลย  ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน เทพสร้างสุนัขเพื่อให้ช่วยคนเฝ้าบ้าน  หาใช่เพื่อให้สุนัขเป็นลูกของท่าน หรือเป็นเพื่อนเหมือนกับคน  คนกับสุนัขไม่อาจเท่าเทียมกัน  ดังนั้นเรื่องใดๆของท่านต้องไม่เกินเลย  ทุกท่านจำไว้จุดหนึ่ง  คนสามารถบำเพ็ญเป็นพุทธ  สัตว์ใดๆล้วนไม่อาจทำได้  คนสามารถบำเพ็ญเป็นเทพ  สัตว์ใดๆล้วนไม่อาจทำได้  คนสามารถไปโลกสวรรค์   สัตว์ใดๆล้วนไม่อาจทำได้  หากสัตว์คิดจะไป มันก็ต้องมาเกิดเป็นคน บำเพ็ญแล้วจึงจะไปได้            ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดปัญหานี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว

ศิษย์   จะสามารถถือเอาความรักชอบในสิ่งมีชีวิตของผมเป็นการเคารพและรักษาพวกมันไว้ได้หรือไม่

อาจารย์  ปัญหานี้เคยพูดใน “จ้วนฝ่าหลุน”แล้ว  ยังยึดติดไม่ปล่อยวาง  ข้าพเจ้าจะไม่พูดอีกแล้ว  ข้าพเจ้าไม่คัดค้านการคุ้มครองสัตว์เพราะเห็นคุณค่าของมัน คนทำลายโลกธรรมชาติมากเกินไปเป็นเรื่องไม่ดี  และไม่ดีอย่างมาก  แต่ถ้าคนปฏิบัติต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนเกินเลยก็ไม่ถูกต้อง  การแก้ไขจิตใจ และศีลธรรมของคนจึงจะเป็นมูลฐาน  ในฐานะผู้บำเพ็ญหากยึดติดสิ่งเหล่านี้  นั่นก็เป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญของท่าน  คนธรรมดาสามัญทำเรื่องเช่นนี้จนเกินเลย  จัดให้คนกับสัตว์เท่าเทียมกัน  นั่นก็เท่ากับกำลังลบหลู่ตัวท่านเอง  ก็เท่ากับกำลังด่าตัวคนเอง  เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมนุษย์

ศิษย์  พ่อแม่และเพื่อนที่จากไปแล้วสามารถได้รับความช่วยเหลือโดยผ่านการบำเพ็ญของผมหรือไม่

อาจารย์  แต่ละคน  นับแต่เขาถือกำเนิด ก็ได้รับการจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว วันไหนเขาจะเกิดเรื่องที่ดี  วันไหนเขาจะมีเรื่องที่ไม่ดี  โตขึ้นเขาจะเข้าโรงเรียนไหน เข้ามหาวิทยาลัยไหน  สำเร็จการศึกษาแล้วทำงานอะไร ที่จริงข้าพเจ้ามองเห็นว่า ล้วนแต่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว  ความขยันของคนนั้นเป็นความจำเป็นของเขา  คนเองสามารถจะกำหนดชีวิตของตนได้หรือไม่  ท่านคิดจะทำอะไรท่านก็สามารถทำได้สำเร็จหรือ  ท่านอยากจะไปเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็ได้เป็นหรือ  ทำไม่ได้

 ในทางปฏิบัติคนเราล้วนทราบว่าตนเองทำไม่ได้  แต่ด้วยการชี้นำของสังคมและวิทยาศาสตร์นี้จึงทำให้ท่านไปต่อสู้  ดังนั้นมีหลายคนจึงรู้สึกว่าเมื่อเขาได้อะไรแล้วคล้ายกับว่าได้มาด้วยการต่อสู้  ที่จริงท่านไม่ต้องยึดติดเกินไป ท่านดำเนินชีวิตทำงานไปตามปกติ  ท่านก็จะได้มาเอง  เพียงแต่การดิ้นรนของท่านกลายเป็นความจำเป็นในการได้สิ่งนี้มา  เพราะท่านเองทำให้มันเป็นเช่นนี้แล้ว  เพราะสังคมทั้งหมด ทุกท่านต่างก็มุมานะกันเช่นนี้  ล้วนกำลังดิ้นรนอย่างทุกข์ยาก  ดังนั้นสังคมทั้งหมดล้วนผลักดันไปสู่สภาวะเช่นนี้แล้ว  ท่านก็ต้องไปทำอย่างนี้จึงจะสามารถได้ในสิ่งที่ท่านควรได้      นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของคนๆหนึ่ง  แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของทั่วทั้งสังคม  แต่คนนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคนของตนเองได้  ในเมื่อแม้แต่ชีวิตคนของตนเองยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้  แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่นได้อย่างไรละ  เปลี่ยนแปลงไม่ได้  เช่นนั้นท่านคิดแล้วว่า  ญาติมิตรของฉัน  ลูกชายหญิงของฉัน  ฉันคิดจะใช้อำนาจหรือเงินทอง ทำให้เขาสุขสบาย  ทำให้เขามีชีวิตที่ดี  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  บางทีบุตรธิดาของท่านกลับชาติมาเกิดในครอบครัวที่มีเงินของท่านนี้  นั่นก็เป็นโชคลาภเมื่อชาติก่อนของเขา  หากเขาไม่มีโชคลาภอันนี้  เขาก็สืบทอดต่อไปไม่ได้  เขาก็ไม่อาจทำให้ความมุมานะของท่านกลายเป็นจริงได้  รับรองว่าจะเป็นเช่นนี้       หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะความมุมานะของท่านจนเกินเลย ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนสั้นลงมากก็ได้ ไม่ได้บรรลุตามข้อกำหนดของท่าน หรือเพราะความมุมานะของท่านได้เหลือทรัพย์สินมากเท่าไรไว้ให้เขา  ไม่แน่ว่าเขาก็จะไปเล่นพนัน  เล่นหุ้น  ประเดี๋ยวเดียวก็หมดไปแล้ว หรือเป็นอะไรอื่น  หรือพูดได้ว่าหากเขาไม่มีโชคลาภอันนี้เขาก็จะสืบทอดต่อไม่ได้   พ่อแม่บางคนให้เงินลูกมากเท่าไร  อยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดี  สุขสบาย  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกท่าน  นั่นไม่ใช่ง่ายๆอย่างนี้  พวกเขาต้องมีโชคลาภอย่างนี้จึงจะเป็นไปได้  หากพวกเขาไม่มีโชคอันนี้  จะเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  แม้ท่านจะให้เงินเขามากเท่าไร  เขาก็อาจจะป่วยหนักเปลี่ยนเงินเหล่านี้กลายเป็นค่ายารักษาโรค  โลกมนุษย์ก็คือเรื่องราวอย่างนี้  คนมองไม่ทะลุปรุโปร่ง  แต่ข้าพเจ้ามองเห็นอย่างแจ่มแจ้งมาก 

              เช่นนั้นบางคนคิดว่า  ในฐานะผู้บำเพ็ญ  ฉันสามารถจะทำให้พวกเขาสุขสบายโดยผ่านการบำเพ็ญได้ไหมนะ  ความหมายของความสุขสบายในสายตาของผู้บำเพ็ญนั้นก็เปลี่ยนไปแล้ว  ความสุขสบายในหมู่คนธรรมดาสามัญ ที่จริงมันไม่ใช่ความสุขสบายที่แท้จริงเสมอไป  เขาเป็นแต่เพียงความสะดวกสบายชั่วคราวอย่างหนึ่งที่แลกมาด้วยเงินทอง  มันไม่อาจยั่งยืน  ถ้าท่านสามารถทำให้เขาสุขสบายอย่างแท้จริงชั่วนิรันดร์  รักษาร่างกายคนไว้ตลอดไป  นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญคิดกัน  ไม่ต้องทุกข์ตลอดไป  ในโลกสวรรค์นั้นไม่มีความทุกข์ยาก      แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญท่านเองยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ  ท่านยังคิดจะให้เวลากับคนอื่นมากเช่นนี้  ก็เป็นได้เพียงการยึดติดชนิดหนึ่ง  มีการยึดติด  มันยังจะกระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน  หรือพูดได้ว่า  พวกเราวางใจลงมาบำเพ็ญ  ก็ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่สนใจแล้ว  ท่านสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยกันในหมู่คนธรรมดาสามัญและครอบครัวตามปกติ  ข้าพเจ้าเหลือจิตใจของคนไว้ให้ท่านอย่างเพียงพอที่จะสามารถทำได้ถึงจุดนี้  ดูแลครอบครัวให้ดีได้ ไม่มีปัญหา แต่ว่านะ  พวกเราในฐานะผู้บำเพ็ญ หากคิดจะผ่านการบำเพ็ญทำให้คนเขามีความสุขสบาย  ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวก็คือท่านบอกให้เขาได้ฝ่า  เช่นนั้นในอนาคตเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือ  ไม่แน่ว่าจะบำเพ็ญได้ดีกว่าท่านเสียอีก  เขายังไม่ต้องให้ท่านกังวลใจ เช่นนั้นบางคนคิดแล้วว่า ฉันสามารถจะผ่านการบำเพ็ญของฉัน  ฉันใช้ความสามารถพิเศษของฉัน  ใช้อิทธิฤทธิ์ของฉันทำให้เขาสุขสบาย    ไม่ได้  หากกรรมของเขาหนัก  ท่านก็ต้องชำระกรรมแทนเขา  เช่นนั้นท่านก็บำเพ็ญไม่หยวนหมั่นแล้ว

               ข้าพเจ้าจำได้ว่าในศาสนาพุทธมีอยู่เรื่องหนึ่ง  คนที่มีอยู่เต็มเมืองที่บ้านเดิมขององค์ศากยมุนีล้วนจะถูกน้ำท่วมใหญ่จมหายไป  คนทั้งเมืองจะตายไปทั้งหมด  ต่อมานะ  ในหมู่ศิษย์เอกขององค์ศากยมุนีสิบคน มีอยู่คนหนึ่งเขาใช้อิทธิฤทธิ์ของเขา  อุ้มคนทั้งเมืองไว้ในมือเขา  ตกกลางคืนพอนอนหลับไป  คนเหล่านี้ก็เหมือนกับถูกสะกดจิต ไม่รู้เรื่องอะไร  เขาเข้าใจว่าคนเหล่านี้ล้วนอยู่ในมือเขาจะไม่ตายแล้ว น้ำท่วมใหญ่นั้นก็ยังคงเกิดขึ้น  ทั้งเมืองถูกท่วมมิดไปแล้ว  เช้าวันที่สอง  เขาบอกว่าครานี้ไม่มีปัญหาแล้ว  แม้เมืองจะถูกน้ำท่วมมิดแล้ว  แต่คนไม่มีปัญหาแล้ว  พอเขาแบมือออกดู  คนทั้งเมืองนี้ล้วนกลายเป็นเถ้าธุลีหมดแล้ว  เพราะระดับชั้นของการบำเพ็ญของเขานั้นจำกัด  เทพที่อยู่ในระดับจุลทรรศน์  ยิ่งใหญ่กว่าเขา  ในขณะที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดถึงความสัมพันธ์ในระหว่างโมเลกุลนั้นกับโมเลกุลที่ใหญ่และโมเลกุลที่เล็ก เขาได้แต่แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาในเขตแดนนี้ของเขาเท่านั้น  ส่วนเทพที่อยู่เหนือเขตแดนของเขาทำอะไรอยู่  เขาก็ไม่รู้  คือพูดว่า คนนั้นต่างก็มีชะตาของเขา  และจิตของคนในระหว่างการบำเพ็ญนั้นได้แต่วางไว้เพื่อการก้าวหน้าในการบำเพ็ญ

               เช่นนั้นบางคนก็คิดว่า  ถ้าฉันบำเพ็ญสำเร็จ ฉันจะต้องกลับมาช่วยคนสนิทของฉันแน่นอน ขณะนี้ท่านมีความคิดอย่างนี้ ข้าพเจ้าว่าท่านก็ยึดติด  ถ้าท่านมัวแต่คิดอยู่อย่างนี้  ท่านก็ยึดติดอย่างรุนแรง  ในเวลาที่จวนจะหยวนหมั่นหากมีจิตยึดติดเช่นนี้ก็จะหยวนหมั่นไม่ได้เลย   หากท่านหยวนหมั่นแล้วจริงๆ  ท่านบำเพ็ญสำเร็จเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่มากองค์หนึ่ง  หรือพระพุทธที่ยิ่งใหญ่มาก ท่านจะมีความสามารถเช่นนี้หรือไม่ละ  ท่านมีเหลือเฟือทีเดียว  อย่าว่าแต่ช่วยคนสนิทของท่านเลย  ท่านกุมโลกไว้ในมือก็จะเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ก็เหมือนเหตุผลนี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป  คือไม่อนุญาตให้ทำเรื่องเช่นนี้ตามอำเภอใจ   ท่านคิดจะช่วยคนของท่าน ท่านคิดจะช่วยเขา  ท่านก็ต้องคิดหาทางให้เขายกระดับขึ้น  หากท่านไม่สามารถทำให้เขายกระดับขึ้น  ท่านว่าท่านจะนำเขาขึ้นไปโลกสวรรค์  นั่นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  สิ่งทั้งปวงบนสวรรค์ล้วนประกอบขึ้นจากอณูของสสารที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า  ชั้นผิวละเอียดเกลี้ยงเกลามาก  เปล่งแสงแวววาว  เพราะสสารยิ่งจุลทรรศน์  พลังงานของมันจะยิ่งมาก  หากท่านนำของบนโลกขึ้นไป  นั่นเท่ากับนำขยะไปวางบนพระราชวังที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด  นั่นเป็นไปไม่ได้  ท่านต้องเปลี่ยนขยะนี้ให้เป็นของที่ดีที่สุด  เป็นของที่ใหม่สดจึงจะได้  หรือพูดว่า  ท่านคิดจะดูแลคน ก็ต้องทำให้คนๆนั้นเปลี่ยนเป็นคนดี            ท่านจึงจะสามารถดูแลได้

               ทุกท่านทราบว่าเมื่อพระเยซูมาอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญช่วยเหลือคนนั้น  พระองค์ต้องทนทุกข์แทนคน  สุดท้ายพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  พวกท่านไม่ทราบว่านี่หมายความว่าอะไร  พวกท่านทราบแต่ว่าศาสนายิวทำเรื่องที่ไม่ดีนี้  ที่จริงไม่ใช่เรื่องตื้นๆแค่นั้น  มันมีปัจจัยภายนอกอยู่  หากเหมือนความคิดนี้ที่พวกท่านพูดกันเมื่อครู่  ทุกท่านคิดดู  พระเยซูนั้นมีความสามารถยิ่งใหญ่เพียงนั้น  พระเจ้าของชาวผิวขาวคือพระบิดาของพระองค์ เช่นนั้นพระองค์คิดจะทำอะไรก็ทำได้ใช่ไหม ยังต้องสิ้นเปลืองแรงอยู่ในโลกสอนผู้คนให้ทำความดี  บอกสัจธรรมเหล่านี้ให้ผู้คนรู้  ยังแบกรับความเจ็บปวดแทนคน  ในเวลานั้นยังได้รับการกดดันและการทำร้ายจากศาสนาอื่น  ทำไมพระองค์ต้องเป็นเช่นนี้ละ  ก็คือว่า แม้พระองค์จะมีความสามารถยิ่งใหญ่อย่างนั้น  พระองค์ก็จะต้องเปลี่ยนใจคนให้ดีจึงจะช่วยเหลือคนๆนี้ได้  หากพวกท่านที่นั่งอยู่  พวกท่านคนไหน ในการบำเพ็ญท่านไม่สามารถทำให้ซินซิ่งของตนเองบรรลุถึงการหยวนหมั่น  ข้าพเจ้าก็ไม่มีทางช่วย  ข้าพเจ้าสามารถบอกหลักการของฝ่าให้ท่าน ข้าพเจ้าสามารถช่วยท่านผันแปรพลัง ข้าพเจ้ายังสามารถชำระกรรมส่วนหนึ่งแทนท่าน  ข้าพเจ้ายังสามารถคุ้มครองท่าน  ข้าพเจ้ายังสามารถทำเรื่องมากมายทั้งหมดที่จำเป็นในระหว่างการหยวนหมั่นและหลังจากหยวนหมั่นที่ท่านไม่ทราบให้กับท่าน  แต่หากใจดวงนั้นของท่านไม่ขยับ ใจดวงนั้นของท่านไม่ยกระดับ  ทั้งหมดนี้ก็ไม่นับ นี่ก็คือที่ข้าพเจ้าพูดว่าหากใจคนไม่ขยับ พระพุทธก็หมดหนทาง

  ไม่มีทางทำให้ท่านยกระดับขึ้น แต่หาใช่ว่าคนๆนี้เปลี่ยนเลวแล้วก็หมดหนทางจะทำอะไรกับเขา  หมดหนทางอย่างไรละ  คือตีเขาลงไปข้างล่างแล้ว  ทำลายทิ้งแล้ว  ทำตามอำเภอใจอย่างนั้น  เนื่องจากเทพมีความเมตตา “จิตรัก”ที่พระเยซูพูดนั้น ไม่ใช่ความรักระหว่างคนด้วยกัน นี่เท่ากับด่าคำพูดที่พระเยซูพูด ด่าพระเยซู  ด่าเทพ  ถือว่าความรักของคนเป็นความรักชนิดนั้นที่พระเยซูพูด  จิตรัก  จิตรักที่พระเยซูพูดคือ “ความเมตตา” เพียงแต่พระองค์ใช้ภาษาทางตะวันตกพูดออกมา  ในเวลานั้นวัฒนธรรมตะวันตกไม่มีคำว่า “เมตตา”คือแนวคิดเช่นนี้ ไม่มีคำศัพท์ว่า“เมตตา”อย่างนี้  นี่คือยุคสมัยที่ต่างกัน  ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของพื้นที่ที่ต่างกันก่อให้เกิดความแตกต่างเช่นนี้   ข้าพเจ้าคิดว่าปัญหานี้ข้าพเจ้าอธิบายได้ครบถ้วนมากแล้ว  ซึ่งก็คือเรื่องเหล่านี้  คนธรรมดาสามัญจะปฏิบัติอย่างไร  ในการบำเพ็ญจะปฏิบัติอย่างไร สุดท้ายท่านบำเพ็ญสำเร็จแล้วจะปฏิบัติอย่างไร

ศิษย์     พวกเราต้องมีเงื่อนไขเพียบพร้อมแค่ไหนจึงสามารถเผยแพร่ฝ่าได้
อาจารย์  เมื่อวานข้าพเจ้าได้ยินว่า  ผู้ฝึกที่ทำงานต้าฝ่าในพื้นที่หนึ่ง  แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน  ข้าพเจ้าดีใจมาก  ประการหนึ่งคือข้าพเจ้าได้มองเห็นใจดวงนั้นของพวกท่านที่แน่วแน่ในฝ่า  ใจดวงนั้นที่รับผิดชอบต่อพวกท่านเอง  ในเวลาเดียวกันพวกท่านก็คิดจะให้คนอื่นได้ฝ่า  ข้าพเจ้าดีใจกับพวกท่านจริงๆ  ผ่านการแลกเปลี่ยนตามสถานการณ์ของพื้นที่ที่ต่างกันแล้ว พวกท่านอาจจะค่อยๆเพิ่มพูนประสบการณ์ของพวกท่านให้สมบูรณ์ขึ้นได้ พูดถึงว่าต้องมีเงื่อนไขพร้อมแค่ไหน  ข้าพเจ้าว่าไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย  และไม่อาจมีเงื่อนไขอะไรทางวัตถุเพียบพร้อมหรือเงื่อนไขด้านอำนาจอื่นๆ     มีเพียงอย่างเดียว  หากท่านเพียงแต่เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  มีใจกระตือรือล้นไปทำ ท่านก็ทำได้  ใครที่ไหนก็ทำได้  แต่ต้องยึดกุมจุดหนึ่งให้ดี  ก็คือท่านอย่าได้พูดกับคนเขาสูงเกินไป  ถ้าท่านพูดออกมาถึงการรับรู้ฝ่าของท่านในขณะนี้ รวมทั้งคำพูดเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูด  ถ้าท่านพูดให้เขาฟัง  เขาก็จะถูกทำจนตกใจแล้ว  เพราะพวกท่านไม่รู้สึกว่า ในระหว่างการบำเพ็ญ  พวกท่านค่อยๆยกระดับขึ้นมาถึงตรงนี้ จึงรับรู้หลักการที่สูงเพียงนี้ได้  เขายังเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ความคิดของเขายังอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  จะหาเงินอย่างไรดี  จะทำภารกิจเหล่านี้ได้อย่างไร  จะทำอย่างไรให้เจ้านายเห็นความสำคัญ เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเรื่องอันดับหนึ่งในใจพวกเขา           ถ้าท่านพูดสิ่งที่สูงเช่นนี้เขาจะรับไม่ไหว   ท่านก็บอกเหตุผลบนชั้นผิวของตัวหนังสือนี้ที่ง่ายที่สุดให้เขาฟังก็พอ  ข้าพเจ้าคิดว่า คนที่มีวาสนาพอได้ยินเขาก็คิดจะบำเพ็ญแล้ว  คนที่ไม่มีวาสนาท่านจะแนะนำเขาอย่างไร  เขาก็ไม่คิดจะบำเพ็ญ  แต่มีอยู่จุดหนึ่งทุกท่านอย่าได้ฝืนลากคนมา  คนเขาไม่อยากเรียนก็จะให้คนเขาเรียนให้ได้   เธอเป็นเพื่อนของฉัน  เธอเป็นญาติของฉัน  ไม่เรียนไม่ได้  ต้องเรียนให้ได้  เขาไม่เพียงไม่เชื่อ  พอมาถึงที่นี่เขายังจะพูดคำพูดที่ไม่ดี  ก่อให้เกิดผลร้าย            ดังนั้นทุกท่านพึงระวังจุดนี้ไว้

ศิษย์  ในสถานการณ์อย่างไร  ฝ่าหลุนกงเราจึงจะเป็นหนึ่งเดียวกับคนและการพัฒนาของโลกกับศาสนาคริสต์

อาจารย์  แน่ละสำหรับผู้ฝึกใหม่  ข้าพเจ้าไม่ตำหนิว่าทุกท่านศึกษาฝ่าไม่ลึกซึ้ง  ที่ข้าพเจ้าบรรยายคือหลักการของจักรวาล  และเป็นต้าฝ่าชุดหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด ที่สามารถก่อตั้งสิ่งแวดล้อมของชีวิตให้กับสรรพชีวิตของจักรวาล  เทพในระดับชั้นที่ต่างกันและคนจากบนถึงล่าง  ดังนั้นจะพูดได้อย่างไรว่าเป็นหนึ่งเดียวกับคริสต์ศาสนา  ก็เหมือนกับพูดว่าพระราชวังที่โอ่อ่าสง่างามแห่งหนึ่งจะเหมือนกับบ้านที่เล็กมาก หยาบๆง่ายๆหลังหนึ่งได้อย่างไร  เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย ต้าฝ่าของจักรวาลนี้ในระดับชั้นที่ต่างกัน ได้ก่อตั้งเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตให้กับชีวิตในระดับชั้นที่ต่างกัน หรือพูดว่า ชีวิตในระดับชั้นนั้นสอดคล้องกับหลักการของระดับชั้นนั้น  สอดคล้องกับฝ่าของจักรวาลในระดับชั้นนั้น  จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นได้  พูดให้ง่ายขึ้นอีกนิดก็คือ ในอนาคตพวกท่านจะมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น  ก็ดูว่าพวกท่านสามารถบำเพ็ญได้สูงเพียงไร  ส่วนหลักการที่พระเยซูพูดถึงในเวลานั้น คือหลักการที่สอนให้คนธรรมดาสามัญในสังคมบำเพ็ญอย่างไร           จึงจะไปถึงโลกของพระองค์ได้ แล้วโลกของพระองค์อยู่ที่ไหนละ  พูดให้ชัดสักหน่อย  คืออยู่ภายในขอบเขตเล็กๆอันหนึ่งในทางช้างเผือกของเรา  อยู่ในร่างนภาที่สอดคล้องกันกับทางช้างเผือกของเรา ระดับชั้นของพระเยซูเป็นระดับชั้นเดียวกับพระพุทธที่พูดถึงกันทางตะวันออก แต่พระเจ้าที่ชาวตะวันตกกล่าวกันนั้นสูงกว่าระดับชั้นนี้ไกลมากๆ  แต่ล้วนไม่ได้ออกไปจากจักรวาลน้อย   ส่วนต้าฝ่าของเรานี้สร้างสรรค์จักรวาลที่ไร้ขอบเขตอย่างนี้ จำนวนนับไม่ถ้วน ยังมากกว่าทรายทั้งหมดบนโลก  ฉะนั้นท่านว่าเขาจะเปรียบได้อย่างไรละ เหตุผลที่พระเยซูตรัสเป็นเพียงหลักธรรมระดับชั้นหนึ่งของพระยูไลที่อยู่ในจักรวาลเล็กภายในต้าฝ่าที่ไร้ขอบเขต  พวกเขามีความสัมพันธ์กันอย่างนี้

               พระเยซูเป็นเทพที่ดีมากๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าพูด  เทพบนสวรรค์ต่างก็มองกันอย่างนี้  ดังนั้นพวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่า  เพื่อช่วยเหลือคนพระองค์จึงถูกตรึงบนไม้กางเขน นี่เป็นปัญหาอะไร  แต่ศาสนาคริสต์นำไม้กางเขนมาเป็นสัญลักษณ์และเป็นสัญลักษณ์ของโลกสวรรค์ด้วย  ถือเป็นสัญลักษณ์ของคริสต์  นี่คือการไม่เคารพเทพที่สุด  นี่คือสิ่งที่คนทำขึ้นมา  หาใช่เป็นสิ่งที่เทพบอกให้ทำ  เนื่องจากไม้กางเขนนี้ถูกปักอยู่บนหลุมศพ มันแทนการตายอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นตัวแทนของเทพ  เทพทั้งหมดในจักรวาลล้วนตำหนิคนที่ทำเรื่องนี้  ยังมีการที่ศาสนาคริสต์ถือเอารูปลักษณ์ที่พระเยซูถูกตรึงอย่างเจ็บปวดบนไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์  นี่คือสิ่งที่เทพไม่อาจยอมให้ได้ ไม่อาจยอมให้โดยเด็ดขาด แต่คนยังคงทำกันอย่างนี้  หลายร้อยปีมาคนก็ทำต่อเนื่องลงมาอย่างนี้  ทำเรื่องที่ไม่เคารพต่อเทพ

   พระเยซูมีรูปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่มากมาย  แสดงปาฏิหารย์มากมายอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  พวกท่านไม่นำภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์นั้นมาเป็นสัญลักษณ์  กลับนำรูปลักษณ์ที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนมาเป็นสัญลักษณ์  ท่านนั้นเคารพเทพหรือไม่ละ หรือว่าแค้นเคืองต่อเทพละ ให้พระองค์ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนตลอดไปหรือ  คนหนา พวกท่านไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังทำอะไรอยู่  มีอยู่วันหนึ่งในอเมริกา ข้าพเจ้าได้ดูข่าวทีวี ที่ไต้หวันมีสองคนทำงานศิลปะบนกระจก  ได้ยินว่าเป็นสองสามีภรรยาที่มีชื่อเสียงมาก  พวกเขานำรูปพระพุทธทำเป็นงานศิลปะ  ทำงานศิลปะกระจกรูปพระพุทธไว้มากมาย            การนำพระพุทธมาทำเป็นงานศิลปะ โดยตัวมันเองคือการด่าพระพุทธแล้ว  และรูปพระพุทธที่ทำขึ้นทั้งหมดล้วนไม่มีพระวรกาย แต่คือ หนึ่งเศียร     ครึ่งพระพักตร์             ทำให้พระพุทธเป็นรูปลักษณ์แบบสมัยใหม่กับสิ่งที่เป็นของสำนักประทับใจ(อิมเพรสชั่นนิสต์)  ทุกท่านคิดดู  พวกเขาเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่นะ  คนเมื่อก่อนพอเอ่ยถึงเทพ หรือพระยูไลพุทธ ล้วนต้องเกิดใจที่เคารพเลื่อมใส  จะกล้าไปปฏิบัติเช่นนี้ต่อพระองค์ได้อย่างไร ท่านรู้สึกว่าท่านกำลังแสดงพระองค์ออกมา กำลังเผยแพร่พุทธศาสนา  กำลังทำความดี นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เข้มงวดทั่วๆไป  นี่คือการไม่เคารพอย่างที่สุด ที่จริงท่านกำลังด่าพระพุทธ ลบหลู่พระพุทธ  บิดเบือนภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธ  เป็นการทำเรื่องที่เลวที่สุด วันนั้นที่ข้าพเจ้าพูดว่าทัศนคติของคนนั้นกลับตาลปัตรแล้ว คนนั้นไม่เข้าใจความหมายอะไร ความเมตตา ความชั่วร้าย ความถูกต้องความเลว  ไม่แบ่งแยกดีหรือไม่ดีแล้ว  ทัศนคติทั้งหมดล้วนกลับตาลปัตรแล้ว

ศิษย์     ทำไมผมไม่สามารถบำเพ็ญฝ่าหลุนกงและทำงานในศาสนาคริสต์ไปด้วยละ
อาจารย์  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  งานในศาสนาคริสต์ของท่านเป็นเพียงการงานหนึ่ง  สามารถทำงานทั้งหมดที่นั่นได้  ตามที่ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ถือว่าศาสนาในปัจจุบันคือการบำเพ็ญ  ข้าพเจ้าก็ถือว่ามันเป็นการงานในศาสนาแล้ว  ไม่สามารถช่วยคนได้  เพราะมันเป็นการงานหนึ่งจริงๆ  ไม่ใช่การบำเพ็ญ  แต่เพื่อที่จะสามารถรับประกันการยกระดับของท่านได้อย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าจะพาท่านกลับบ้าน ข้าพเจ้าบอกให้ท่านยึดมั่นการบำเพ็ญหนึ่งเดียว  นี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อท่านอย่างแน่นอน  ปัญหาการไม่เดินสองแนวทางนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนมากแล้วใน “จ้วนฝ่าหลุน”  ฝ่าที่ใหญ่มากอย่างนี้แล้ว   ท่านยังเอาของอะไรปะปนเข้าไป  ถึงจะปะปนของระดับต่ำก็ไม่ได้ ล้วนแต่จะทำให้ร่างกายของท่านเองที่บำเพ็ญ กับทุกสิ่งที่ท่านบำเพ็ญออกมายุ่งเหยิง ท่านก็ไม่มีทางที่จะกลับบ้านได้ ท่านกำลังทำลายทางที่จะก้าวรุดหน้าไปของท่านเอง ข้าพเจ้าเป็นหัวรถจักร พวกท่านต่างก็นั่งอยู่ในตู้โดยสาร  หากท่านถอนรางทิ้งไปแล้ว รางนี้ออกแบบตามหัวรถจักรนี้  ถ้าท่านทำให้รางกลายเป็นรางแคบๆ เช่นนั้นท่านดูซิว่าท่านยังจะกลับบ้านได้หรือไม่ ของอะไรก็ไม่อาจปะปนเข้าไปข้างใน  เรียกว่าความบริสุทธิ์  บำเพ็ญหนึ่งเดียวจึงจะสามารถหยวนหมั่น  ปัญหานี้ข้าพเจ้าว่าท่านตั้งใจอ่าน เรื่อง “ไม่ยึดมั่นสองแนวทาง”ใน“จ้วนฝ่าหลุน”อีกครั้ง สงบใจลงไปอ่าน ที่นี่ข้าพเจ้าจะไม่พูดมากอีกแล้ว

              ข้าพเจ้าปรารถนาดีต่อพวกท่านอย่างแท้จริง  หาใช่คิดจะลบหลู่ศาสนาใด  ท่านนั่งอยู่ที่นี่ก็คือวาสนา  หากข้าพเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อท่านนั่นคือปัญหาของข้าพเจ้า แต่หากท่านไม่รับผิดชอบต่อตนเอง นั่นก็คือปัญหาของท่านเอง  ดังนั้นข้าพเจ้าต้องอธิบายให้ท่านอย่างชัดเจน

ศิษย์     ปัจจุบันพระเยซูยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความหมายอะไร

อาจารย์  พระเยซูเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งในเขตแดนนั้นของพระองค์  แต่พระองค์ไม่ได้ดูแลเรื่องในศาสนาคริสต์อีก ไม่ดูแลคนอีก ศาสนาคือคำที่คนคิดขึ้นมา ในเวลาที่พระเยซูทรงอยู่ในโลกไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นศาสนาคริสต์  ในเวลาที่องค์ศากยมุนีทรงอยู่ในโลก  ก็ไม่ได้บอกว่าตนเองคือศาสนาพุทธอย่างสิ้นเชิง  หากเป็นคนที่ถือว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมคนธรรมดาสามัญ    คิดคำว่า“ศาสนา”ออกมาในสังคมคนธรรมดาสามัญและแทรกเรื่องการเมืองเข้าไป  จึงเรียกมันว่าศาสนาอะไร  มันได้สูญเสียความสามารถที่ทำให้คนบำเพ็ญกลับขึ้นไปได้  และเงื่อนไขการบรรลุการหยวนหมั่นไปสู่สวรรค์   กระทั่งว่าคนจำนวนมากในศาสนาล้วนกลายเป็นนักการเมืองไปแล้ว  ยังมีคนที่กำลังกอบโกยเงินอยู่ เช่นนั้นจะบรรลุถึงมาตรฐานของผู้บำเพ็ญได้อย่างไรละ  จะสามารถเปลี่ยนเป็นคนดีกลับขึ้นไปสวรรค์ได้อย่างไร  จิตใจที่สกปรกเช่นนั้น  พระเยซูจะมอบร่างกายของเทพที่เปล่งแสงทองให้ท่านได้อย่างไร  ร่างศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ไร้ที่

เปรียบนั้นจะให้ท่านใช้ความคิดที่ไม่ดี กับร่างกายที่เต็มไปด้วยกรรมของท่านทำให้เขาแปดเปื้อนได้หรือ

            ที่ข้าพเจ้าพูดคือหลักการของฝ่า ไม่ได้มุ่งเจาะจงที่ ผู้ฝึกที่ถามคำถาม

ศิษย์     ขาและข้อเข่าของผมล้วนมีปัญหา       จะนั่งขัดเพชรได้ไหม
อาจารย์  หากท่านพูดว่ามีโรค  ข้าพเจ้าไม่เคยยอมรับแนวคิดเรื่อง “โรค”นี้  เพราะมันเกิดจากกรรม  และมีบางโรคเกิดจากวิญญาณภายนอก  ถ้าบอกว่าท่านเคยมีการบาดเจ็บ ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านเพียงแต่ปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง  ก็จะเกิดปาฏิหารย์ที่ท่านคาดไม่ถึง  เมื่อก่อนพวกเราบางคนเคยใส่หมุด ใส่แผ่นเหล็กก็ขัดเพชรได้ทั้งนั้น  หมุดกับแผ่นเหล็กได้แต่ปักอยู่บนร่างกายที่ประกอบขึ้นจากอณูที่ใหญ่ที่สุด แน่ละ ที่ข้าพเจ้าพูดนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหาของการบำเพ็ญ ค่อยๆฝึกไป  คนที่อายุ๘๐-๙๐ ปีนั้น สุดท้ายล้วนขัดขาขึ้นได้แล้ว  แต่ข้าพเจ้าไม่แนะนำให้ท่านฝืนทำจนเกินไป  ขณะนี้ยังไม่มีเงื่อนไขนี้มากพอ แม้แต่ขัดขาเดียวยังทำไม่ได้ แล้วจะขัดเพชรให้ได้  สุดท้ายทำให้ขาหักแล้ว นั่นก็ใช้ไม่ได้  พอจิตยึดติดหนักก็จะก่อให้เกิดปัญหาได้  จิตดวงนั้นที่รีบร้อนจะให้สำเร็จก็ไม่ดี  การบำเพ็ญต้องก้าวหน้าอย่างองอาจ  จุดนี้ ถูกต้อง      แต่ต้องอยู่ในฝ่า

ศิษย์  ความคิดเรื่อง “สามจุดหนึ่งเส้น”สามารถทำให้ผมขจัดความคิดวุ่นวายออกไปอย่างรวดเร็วมากได้ไหม

อาจารย์  ดูแล้วท่านคงไม่ได้อ่านหนังสือ  หนังสือ“จ้วนฝ่าหลุน”ของเราเล่มนั้นสามารถตอบคำถามทั้งหมดให้ท่าน โดยเฉพาะปัญหาระยะเริ่มต้น “สามจุดหนึ่งเส้น” คือวิธีการที่สายเต๋าเลือกใช้ในการฝึกพลัง  ตอนนี้บำเพ็ญฝ่าหลุนต้าฝ่าแล้ว  ท่าเคลื่อนไหวกับวิธีการนี้ ไม่ต้องไปเอา  และมันไม่สามารถช่วยให้คนขจัดความคิดวุ่นวายออกไปได้  การหมายมั่นจะเลือกวิธีการอะไรเพื่อเข้าสู่ความสงบนั้น เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด  บนโลกไม่มียาขนานวิเศษอย่างนี้

              หากคิดจะเข้าสู่ความสงบได้อย่างแท้จริง  มีเพียงวิธีเดียว  ก็คือท่านอย่าหยุดที่จะยกระดับตัวเองในต้าฝ่า ทิ้งจิตยึดติดต่างๆนานาเสีย  จิตยึดติดของท่านยิ่งน้อย  ท่านจะพบว่าเมื่อท่านนั่งอยู่ที่นั่น ใจก็ยิ่งสงบเงียบ  สุดท้ายเมื่อท่านใกล้จะหยวนหมั่น จิตยึดติดอะไรของท่านจะไม่มีเลย  ท่านจะพบว่าพอท่านนั่งอยู่ตรงนั้นก็สงบนิ่งลงมา  มันคือการยกระดับขึ้นมาอย่างนี้  ในอดีต ในศาสนาอื่นหรือการบำเพ็ญสมัยโบราณที่อยู่ในภูลึก เขาบำเพ็ญจิตรอง ให้จิตหลักมึนชา  ดังนั้นเขายิ่งไม่อาจทำให้คนธรรมดาสามัญในสังคมบำเพ็ญได้ ยิ่งไม่บำเพ็ญจิตหลัก         ในประเทศจีนมีผู้บำเพ็ญเต๋าบางคนต้องดื่มสุรามากๆ  เรื่องนี้พวกท่านคงเคยได้ยินกระมัง  ยกกาเหล้าขึ้น ดื่ม ซวนเซไปมา สุดท้ายนอนลง หลับอยู่ที่นั่น  สามวัน ห้าวัน หรือหนึ่งสัปดาห์ไม่ตื่นขึ้นมา  ทำไมเขาจึงทำเช่นนี้ละ  เขาเลือกการทำให้จิตหลักมึนชา เพื่อบำเพ็ญจิตรอง  ท่านเห็นเขานอนอยู่ตรงนั้นหลับไป เมาไป แต่จิตรองเขาออกไปแล้ว  เทพเซียนเหล่านี้ในประวัติศาสตร์มักจะเหลือเรื่องปาฏิหารย์ไว้มากมาย ผู้คนรู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก  ยอดเยี่ยม  แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคนๆนั้นยังน่าเวทนานัก  เขายังต้องกลับชาติไปเกิดในชาติต่อไปตามเดิม  ข้าพเจ้าเห็นเขากลับชาติเกิดออกมาอีกแล้ว  ก็เป็นอย่างนี้

               ทุกท่านต้องจำไว้เสมอ การบำเพ็ญต้องยึดมั่นแนวทางเดียว  อย่ามีความนึกคิดของหลักพลังอื่น  หากนำเข้ามาก็จะรบกวนท่าน  ก็จะทำให้พลังของท่านไม่บริสุทธิ์  ท่านก็ไม่มีทางหวนคืนกลับ  ไม่มีทางบำเพ็ญขึ้นไป ไม่มีทางหยวนหมั่น และอย่าหมายมั่นเลือกวิธีการอะไร  เพื่อเดินทางลัดที่ทำให้ตนเองสามารถเข้าสู่ความสงบหรือยกระดับขึ้นมา   นั่นจะนำปัญหามาสู่การบำเพ็ญ  ท่านต้องบำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆยกระดับจิตดวงนี้ของท่าน  ขณะนี้ปวงเทพกำลังเฝ้าดูพวกท่านอยู่  อย่าได้เลือกวิธีการอะไรอื่น  ซึ่งจะไม่สามารถทำให้จิตดวงนี้ของท่านยกระดับได้ทั้งนั้น  จิตคนไม่ยกระดับอะไรก็ไม่อาจนับได้  ท่าเคลื่อนไหวคือวิธีการเสริม ไม่ใช่มูลเหตุของการยกระดับ  ต่อเมื่อซินซิ่งของท่านยกระดับขึ้นมา  เช่นนั้นพลังของท่านก็จะเพิ่มขึ้น  ก็คือท่าเคลื่อนไหวนั้นทำให้การผันแปรของพลังเร็วยิ่งขึ้น  ยกระดับขึ้นมา  หากซินซิ่งของท่านสูงเท่านี้  ท่านคิดว่าฉันเร่งการผันแปรให้มันสูงยิ่งขึ้น  ก็จะสูงขึ้นไม่ได้  เพียงแต่บรรลุถึงตำแหน่งซินซิ่งของท่าน  ดังนั้นการยกระดับซินซิ่งคืออันดับแรก  ก็คือคนมีมาตรฐาน(จิตใจ)สูงเพียงใด  จึงจะสามารถมีพลังสูงเท่านั้น นี่คือสัจธรรมที่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวิธีบำเพ็ญชนิดใดท่านก็หนีออกไปไม่ได้ นี่เป็นสัจธรรมที่แน่นอนของจักรวาล เป็นสิ่งที่ไม่ว่าศาสนาชนิดใดหรือวิธีบำเพ็ญชนิดใดก็ต้องปฏิบัติตาม

ศิษย์     หลักพลังชุดที่ห้าสามารถเพิ่มเติมความนึกคิดได้หรือไม่

อาจารย์  เพิ่มไม่ได้อย่างเด็ดขาด  หากเป็นเพราะเข้าสู่ความสงบไม่ได้  เราก็มีวิธีการหนึ่ง  คือบางครั้งท่านบอกว่า ฉันไม่มีทางแล้ว  รู้สึกว่าฉันไม่มีทางเข้าสู่ความสงบ  ในสมองนี้แทบจะเหมือนกับมีม้าหมื่นตัวควบตะบึงอยู่  ทำไมสงบลงมาไม่ได้นะ  เพราะทัศนคติหลังกำเนิดกับกรรมทางความคิดที่เกิดขึ้นในสังคมคนธรรมดาสามัญ ก่อให้เกิดสภาพการณ์ทางความคิด  นี่ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงของท่าน  ท่านบำเพ็ญแล้ว ก็ต้องทิ้งมันไปทั้งหมด ดังนั้นมันจะไม่ยอม  มันจึงเหมือนกับม้าหมื่นตัวควบตะบึง  ไม่ให้ท่านเข้าสู่ความสงบ  ให้ท่านคิดอะไรวุ่นวายไปหมด     

  การบำเพ็ญต้องค้นหาตนเองให้พบ  บำเพ็ญตนเอง  หากท่านสามารถแบ่งแยกตัวเองได้ชัด  ท่านคิดว่า นี่ไม่ใช่ฉัน  แกคิดไปเถอะ  ตัวฉันเองจะเข้าสู่ความสงบ   ฉันจะดูว่าแกจะคิดวุ่นวายไปถึงเมื่อไร  ถือว่ามันเป็นความคิดของคนอื่น  ถ้าท่านสามารถค้นหาตนเองพบ แบ่งแยกมันออกให้ชัด  การทำอย่างนี้ก็ใช้ได้  ก็คือท่านถือว่าตนเองเป็นบุคคลที่สาม  ฉันดูแกคิดวุ่นวายเลอะเทอะอยู่  ฉันดูว่าแกจะคิดถึงเมื่อไร  บางทีจะดีขึ้นไม่น้อย  แต่นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่แบ่งแยกตนได้ชัดเจน  เสริมให้จิตสำนึกหลักเข้มแข็ง  แต่ไม่อาจบรรลุถึงการเข้าสู่ความสงบอย่างสมบูรณ์  เหตุใดการทำเช่นนี้จึงใช้ได้ละ  ส่วนการเลือกวิธีการที่พูดไปเมื่อครู่ทำไมใช้ไม่ได้ละ  เพราะนั่นเป็นวิธีการของเต๋าเล็ก  ไม่สามารถทำให้ท่านกลับบ้านได้  ล้วนเป็นการคิดอย่างหมายมั่น          ในขณะที่ซินซิ่งไม่ได้ยกระดับก็คิดจะขึ้นไป   นั่นใช้ไม่ได้           ทำไม่ได้

 เหตุใดข้าพเจ้าบอกวิธีการอย่างนี้ให้ท่านละ  แม้มันไม่สามารถเข้าสู่ความสงบได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันกลับปรากฎด้านหนึ่งที่ดีออกมา  ก็คือท่านสามารถค้นพบว่าส่วนไหนบ้างที่ไม่ใช่ความคิดของท่าน  ส่วนไหนบ้างคือความคิดของท่าน ความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ แน่ละท่านไม่ยอมรับมัน  ดังนั้นย่อมทิ้งมันไปได้เร็ว  นั่นก็มิใช่ การบำเพ็ญอยู่ที่ตนเอง พลังอยู่ที่อาจารย์เช่นกันหรอกหรือ  เหตุใดข้าพเจ้าสอนท่านไม่ให้ยอมรับมันละ  ทุกท่านลองคิดดู  ส่วนใดๆของร่างกายท่านที่ไม่ใช่ของท่านละ  มือของท่านจะให้มันขยับอย่างไรมันก็ทำอย่างนั้น  แขนของท่านให้มันเคลื่อนอย่างไรมันก็ทำอย่างนั้น ศีรษะของท่านให้มันเคลื่อนอย่างไรมันก็ทำอย่างนั้น  เพราะมันเป็นของท่าน  เช่นนั้นความคิดนี้ท่านจะให้มันสงบ  แล้วทำไมมันไม่สงบละ  เพราะมันไม่ใช่ท่าน  ตัวท่านที่แท้จริงนั้นสงบเงียบอยู่  นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ปนเปื้อนหลังกำเนิด  ดังนั้นจึงต้องบำเพ็ญมันทิ้งไป   นี่ก็คือการผลักไสมันไป

ศิษย์     พวกรักร่วมเพศที่ไม่ปล่อยวางพฤติกรรมอย่างนี้เขาจะสามารถ....

อาจารย์  ท่านบอกว่า “บำเพ็ญโดยไม่ปล่อยวางพฤติกรรมเรื่องสภาพคู่ชีวิตชนิดนี้ของเขา”

ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เมื่อวานข้าพเจ้าได้พูดเรื่องหนึ่งไป  ข้าพเจ้าว่าเทพไม่ได้มองเห็นคนเป็นคนแล้ว แม้ท่านยังปกป้องศาสนา  แต่พระเยซูกลับไม่ดูแลแล้ว  เดิมทีก็ไม่ยอมรับศาสนา  พระเยซูยอมรับก็แต่ใจคนที่สามารถหวนกลับขึ้นไป  ทำไมไม่ดูแลคนแล้ว  เพราะคนปัจจุบันนั้นไม่อาจเรียกว่าเป็นคนได้แล้ว เป็นเช่นนี้จริงๆ  ในประวัติศาสตร์เคยมีสังคมที่วุ่นวายเหมือนอย่างทุกวันนี้  เมื่อวานข้าพเจ้าพูดเรื่องกลุ่มอิทธิพลมืดเอย ยาเสพติดเอย  นิยมความรุนแรงเอย  ปลดปล่อยทางเพศเอย  วิปริตผิดเพศเอย  เป็นชู้กันเอย  ทัศนคติของคนเปลี่ยนแปลงเอย  รวมทั้งรักร่วมเพศ..........ทุกท่านลองคิดดู  คนนั้นคือสิ่งที่เทพสร้างออกมา  ผู้ชายคนหนึ่งมีภรรยาหนึ่งคน  นี่คือสิ่งที่เทพกำหนดไว้  คนปัจจุบันคิดจะหาคนเพศเดียวกันเป็นคู่ชีวิต  เทพถือว่าคนปัจจุบันไม่มีทัศนคติของคนแล้วจึงทำอย่างนี้  ท่านหลงระเริงไปตามความพอใจของความคิดท่าน  ความคิดของท่านก็เหมือนความคิดเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป ที่จริงมันไม่ใช่ท่าน  ทัศนคติรักร่วมเพศที่สร้างท่านนั้น คือการชักนำของสิ่งที่ไม่ดีซึ่งก่อเกิดหลังกำเนิด ท่านเองกลับถูกมันมอมเมาแล้ว  ท่านเองก็ไถลปนเปื้อนไปกับมัน  หากท่านค้นหาตนเองกลับมา  ไม่ไปอยู่กับเรื่องสกปรกอย่างนี้อีก เทพมองเห็นว่ามันสกปรก  ไม่ว่ารัฐบาลจะยอมรับมันหรือไม่ยอมรับมัน  คำสั่งของรัฐบาลของพวกท่านไม่ใช่สัจธรรมของจักรวาล  เพราะคำสั่งของรัฐบาลเป็นสิ่งที่คนกำหนดออกมา  ในเวลาที่คนบัญญัติกฎหมายนั้น ล้วนทำโดยเกิดจิตใจที่คิดแต่จะจัดการคนดวงนี้ หรือเพื่อรักษาหรือการได้มาซึ่งอำนาจและหย่อนบัตร บัญญัติอย่างฝืนใจ  ดังนั้นมันจึงไม่มีความคิดที่ดีงามอยู่

 ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อสามารถถามขึ้นมาได้ แสดงว่าเขาสำนึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องแล้ว  ปัจจุบันคนแยกไม่ออกว่าเรื่องอะไรถูก  เรื่องอะไรไม่ถูก  เรื่องอะไรควรทำ เรื่องอะไรไม่ควรทำ  ทุกท่านต่างลื่นไถลไปตามกระแสสังคม   เมื่อศีลธรรมของมนุษย์ลื่นไถลลงไป เสื่อมทรามไป  ทุกท่านต่างก็อยู่ในกระแสใหญ่นี้  จึงแยกไม่ออกระหว่างดีกับเลว  ก่อนที่จะบำเพ็ญ  เรื่องนี้ก็เป็นอย่างนี้แล้ว  เรื่องในอดีตก็ผ่านไปแล้ว ในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ก่อนอื่นท่านควรจะทำตัวเป็นคนดีอย่างสง่าผ่าเผย  ต่อมาก็เดินเข้ามาเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งในหมู่ผู้บำเพ็ญ  สุดท้ายเลื่อนสูงขึ้นไปเป็นคนที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น สูงส่งยิ่งขึ้น  บรรลุถึงเขตแดนของเทพเป็นคนที่เหมือนกับเทพ  เทพจะไม่บอกให้ผู้บำเพ็ญทำเรื่องอย่างนี้แน่นอน และจะไม่บอกให้คนธรรมดาสามัญทำอย่างนี้

ศิษย์     มีทางอะไรไหมที่จะติดต่อกับชีวิตชาญฉลาดนอกโลก

อาจารย์  ดูแล้วจิตยึดติดของท่านนั้นไม่เบาเลย  วันนี้ปัญหาเหล่านี้จำนวนมากเป็นของผู้ที่มาครั้งแรก  คนหนา  ดูทีวีมากมาย อ่านเรื่องจินตนาการมากมาย  มีเรื่องมากมายบนโลกเป็นมลภาวะต่อท่านได้  กลายเป็นความคิดที่เบี่ยงเบนเพ้อเจ้อชนิดหนึ่ง  ท่านว่าท่านจะติดต่อกับชีวิตชาญฉลาด  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งนั้นไม่อาจทำเรื่องอย่างนี้ได้  และไม่มีความสามารถอย่างนี้  ถ้าหากท่านสามารถติดต่อกับชีวิตชาญฉลาดได้จริง  และท่านเองก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ ไม่มีพลังงาน  ท่านก็จะมีอันตรายแล้ว จะถูกเอาชีวิตได้อย่างสะดวก และท่านจะเห็นวิญญาญที่น่ากลัวเหล่านั้น  แต่กลับไม่เห็นชีวิตชั้นสูง  เพราะระดับชั้นของท่านต่ำมาก  จำกัดอยู่แค่ระดับชั้นของคน   ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว  หากท่านพูดว่าจะติดต่อกับชีวิตนอกโลก  นั่นก็จะยิ่งน่ากลัว  ชีวิตนอกโลกก็เป็นเพียงชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อยู่ในมิติสสารชนิดนี้ที่ตาของคนเราสามารถมองเห็นได้  ชีวิตเหล่านี้มันไม่มองคนว่าเป็นคน  มันเข้าใจว่าคนคือสัตว์ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง  มันฆ่าแกงได้ตามชอบใจ เอาท่านไปทดลองได้ตามชอบใจ  มันจับคนไปยังดวงดาวของมันขังอยู่ในกรงเป็นสัตว์ให้คนของมันดู  บนโลกเรามีคนมากมายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะถูกมันเอาตัวไปแล้ว    

   ข้าพเจ้ายังจะขอบอกพวกท่าน  วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในวันนี้คือสิ่งที่พวกมันทำออกมา  ทำไมมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ต้องการสร้างวิทยาศาสตร์อย่างปัจจุบันนี้ให้กับคนละ  เพราะบนดาวของมันนั้นเป็นสิ่งเหล่านี้  มันจะนำของมันมาที่โลกนี้ สุดท้ายแทนที่คน  มันพบว่าร่างกายคนนั้นสมบูรณ์มาก  งดงาม  ดังนั้นมันคิดอยากได้ร่างคน  มันคิดจะแทนที่คนในที่สุด  ในระดับชั้นหนึ่งของโมเลกุลของคน ได้ใส่ของๆพวกมันเพิ่มเข้าไปแล้ว  ปัจจุบันได้ทำอย่างนี้แล้ว  และเกิดขึ้นเป็นวงกว้างแล้ว  ดังนั้นวันนี้ที่ข้าพเจ้าช่วยพวกท่าน ยังไม่เพียงแต่ขจัดปัญหาจิตยึดติดที่มีอยู่ทั้งหมดที่พวกท่านต้องการให้ตนเองทิ้งไปและปัญหากรรม  ข้าพเจ้ายังช่วยพวกท่านชำระล้างสิ่งเหล่านี้   การพัฒนาของมนุษย์นั้นน่ากลัวมาก สักวันหนึ่งเครื่องคำนวณจะสามารถบังคับบัญชาคน แนวโน้มของการพัฒนาในปัจจุบันเป็นอย่างนี้แล้ว  คนจะถูกทำให้กลายเป็นเครื่องคำนวณ เป็นทาสของเครื่องจักร  สุดท้ายถูกมนุษย์ต่างดาวแทนที่  ทำไมเครื่องคำนวณพัฒนาเร็วอย่างนี้นะ  ในฉับพลันสมองคนก็ปราดเปรื่องเช่นนั้นแล้วหรือ  ล้วนแต่เป็นการควบคุมความคิดของคนโดยมนุษย์ต่างดาวทำออกมา  แต่ละคนที่สามารถควบคุมเครื่องคำนวณได้นั้น มนุษย์ต่างดาวล้วนใส่เลขเรียงลำดับให้พวกท่าน  เป็นเช่นนี้จริงๆ  ผู้ฝึกของเราข้าพเจ้าล้วนชำระให้เขาแล้ว  ในเวลาที่ท่านใช้เครื่องคำนวณจะไม่ถูกมันรบกวน

    เพราะเหตุใดจึงมีมนุษย์ต่างดาวละ  มีมนุษย์ต่างดาวบางส่วนเกิดขึ้นที่ดวงดาวเหล่านั้น  ยังมีมนุษย์ต่างดาวบางส่วนทำไมถึงมาบนโลกอยู่เรื่อยละ  เพราะมันเคยเป็นคนบนโลก  แต่ไม่ใช่โลกในวันนี้  เป็นโลกเมื่อก่อน  ที่อยู่ ณ ตำแหน่งนี้ของโลก  โลกใบนี้ได้เปลี่ยนใหม่หลายครั้งแล้ว  แต่ละครั้งที่เปลี่ยน ล้วนมีชีวิตส่วนหนึ่ง  ชีวิตที่มีรูปลักษณ์ที่ต่างกันซึ่งเทพสร้างขึ้น  บ้างก็คล้ายคนเราในปัจจุบัน  ยังมีที่สร้างร่างชีวิตที่ต่างกัน มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างดี  ก็รักษามันไว้ ไม่ได้ทำลายมันไป  แต่ก็ไม่อาจให้มันเข้าสู่ยุคต่อไปของการพัฒนาของมนุษย์โลก  จึงส่งมันไปอยู่อีกดวงดาวหนึ่ง  แต่ละครั้งล้วนทำกันอย่างนี้  ในขณะเดียวกันก็เหลือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ให้กับจักรวาลนี้  นี่คือคนบนโลกในยุคที่ต่างกัน  ก็คือจุดมุ่งหมายนี้  แต่เนื่องจากการผ่อนปรนให้พวกมัน พวกมันจึงพัฒนา ในแผนการของพวกมันจึงสร้างวิธีการทางวิทยาศาสตร์ชนิดต่างๆรูปแบบต่างๆออกมา  และมีที่เหมือนกับรูปแบบเช่นนี้ของโลกเรา  และมีที่เหมือนกับรูปแบบอื่น  เป็นรูปแบบการพัฒนาชนิดต่างๆ  แน่ละพวกมันไม่เรียกว่าวิทยาศาสตร์แล้ว  ชื่อที่เรียกเป็นภาษาของพวกมัน กับแนวคิดของพวกมัน  สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเลวลงเรื่อยๆ  ดังนั้นมนุษย์ต่างดาวทั้งหมดล้วนกำลังถูกกำจัดจนถึงที่สุด  ทั่วทั้งจักรวาลกำลังกำจัดพวกมัน  ขณะนี้ข้างบนได้กำจัดหมดไปแล้ว  เดี๋ยวนี้เหลือเพียงพวกที่หนีมาบนโลก  ปะปนอยู่ในหมู่คน  สิงอยู่ในร่างคน  ยังมีรูปลักษณ์อย่างอื่น  ข้าพเจ้ากำลังเฝ้าดูพวกมันอยู่  ตอนนี้ให้พวกมันเกเรไปก่อน  ในไม่ช้าก็จะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก  (เสียงปรบมือ)  ความเสื่อมของมนุษย์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกมัน  นี่เป็นบาปชั่ว   ดังนั้นจึงต้องกำจัดทิ้ง

ศิษย์  มีคนบอกว่าท่านอาจารย์แนะนำว่า ฝึกพลังชุดที่หนึ่งสามเที่ยว ชุดที่สองครึ่งชั่วโมง

อาจารย์  สภาพการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ท่านฝึกนานแค่ไหนก็ได้  ตามปกติการฝึกสมาธิน้อยไปไม่เกิดประโยชน์  เมื่อมีเวลา  ฝึกพลังให้มากจะค่อนข้างดีสักหน่อย  แต่ถ้าท่านไม่ทำอะไรเลย  ฝึกพลังทั้งวันก็ไม่ถูก   เขตแดนความคิดของท่านยังบรรลุไม่ถึงระดับสูงเช่นนั้น  ท่านฝึกพลัง พลังก็ไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องบำเพ็ญจิตเป็นลำดับแรก  เหตุใดข้าพเจ้าจึงบอกให้ทุกท่านอ่านหนังสือให้มาก  การอ่านหนังสือมากนั้นท่านจะเข้าใจหลักการนับไม่ถ้วน  อ่านหนังสือให้มาก ท่านจะยกระดับซินซิ่งของท่านได้  ตรงนี้ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว  ข้าพเจ้าคิดว่าการฝึกพลังชุดที่สองน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงผลลัพธ์จะไม่ค่อยดี  แต่ทำได้หรือไม่ละ ก็ทำได้  ขึ้นอยู่กับเวลาของท่าน  ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้  เช่นนั้นหลักพลังชุดที่ห้านั้นท่านทำไปตามกำลังของท่าน  หากท่านสามารถขัดขาเพียงสิบห้านาที  แต่ข้าพเจ้าเรียกให้ท่านฝึกหนึ่งชั่วโมงก็จะไม่เป็นจริง ใช่ไหม ให้ฝึกไปตามกำลัง แต่ครึ่งชั่วโมงเป็นด่านใหญ่ด่านหนึ่ง  ไม่ว่าท่านจะสามารถขัดขาอย่างไร  พอทำจนถึงครึ่งชั่วโมงรับรองว่าจะเป็นด่านใหญ่ด่านหนึ่ง  หากคิดจะฝ่าข้ามไปอีก จะยากเป็นพิเศษ แต่หลังจากฝ่าข้ามครึ่งชั่วโมงไปได้ก็จะไม่ยากเหมือนอยู่ในด่านครึ่งชั่วโมงนั้น

ศิษย์  แต่ละประเทศต่างมีจุดเด่นของตนเอง  จะทำอย่างไรจึงจะทำให้ฝ่าหลุนต้าฝ่าพัฒนาไปเร็วยิ่งขึ้น  อย่างเช่นประเทศสวีเดน

อาจารย์  นี่ก็ต้องดูว่าพวกท่านจะบอกให้คนของพวกท่านมากยิ่งขึ้นได้ต้าฝ่าได้อย่างไรตามสถานการณ์ของตนเอง  บางคนพูดว่า ฉันให้เงินคนอื่นเท่าไร เป็นการทำเรื่องดี  ข้าพเจ้าว่าท่านก็เพียงแต่ทำเพื่อความสุข ความสบายครั้งหนึ่งๆของเขาเท่านั้น หากท่านให้ต้าฝ่าแก่เขา  เขาจะได้รับประโยชน์ไม่สิ้นสุดในทุกๆชาติภพ   ท่านว่าสิ่งที่ท่านให้เขานั้นมีค่าเพียงไร   ในประเทศจีนมีคำพูดหนึ่งเรียกว่า เช้าได้ฟังเต๋า  ค่ำลง ตายก็ไม่เป็นไร  แน่ละไม่ใช่พูดว่า เช้าวันนี้ฉันได้ฟังฝ่าแล้ว   ตอนกลางคืนฉันก็จะตาย ไม่ใช่ความหมายนี้  คือพูดว่าตอนเช้าฉันได้ฟังเต๋าแล้ว ได้ฟังฝ่าแล้ว  ตอนค่ำตายแล้วฉันก็ไม่กลัวจริงๆ  เพราะอะไรหรือ  เพราะเวลาที่คนตาย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการลงนรก  ทุกท่านคิดดู ในสมองของท่านบรรจุฝ่าไว้แล้ว นรกจะกล้ารับท่านไว้ไหม  มันกล้ารับต้าฝ่าไหม  ไม่กล้า  ดังนั้นพูดในทางกลับกัน  ในสมองท่านส่วนนี้สามารถบรรจุฝ่า  มันยังจะเป็นส่วนนั้นที่ไม่ดีอยู่อีกหรือ ก็คือความหมายนี้   ส่วนจะทำอย่างไรจึงทำให้ต้าฝ่าสอดคล้องกับจุดเด่นของแต่ละประเทศ  นั่นก็ขึ้นอยู่กับทุกท่านเองไปทำ เป็นได้เพียงเช่นนี้  ไม่มีว่าจะทำอย่างไรเป็นพิเศษ  อาทิเช่น บางชนชาติชอบฟังดนตรี  บางชนชาติความคิดของคนมักชอบคิดสิ่งของ   คนบางประเทศชอบปล่อยใจไปตามสบาย(เอ้อระเหยลอยชาย)  เป็นจุดเด่นที่ต่างกันของมันใช่ไหม  ทุกท่านก็ทำไปตามจุดเด่น พฤติกรรมของคน  ทุกท่านไปทำกันเอง  ข้าพเจ้าคิดว่าก็จะทำได้ดี

ศิษย์  จะแยกแยะระหว่างคนดีกับคนชั่วได้อย่างไร

อาจารย์  อะไรคือคนดี  อะไรคือคนชั่วละ   พวกท่านเข้าใจว่าคนนั้นๆที่ทำเรื่องไม่ดีเขาจึงเป็นคนไม่ดี  ไม่ใช่  มีหลายคนที่ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีแต่ดูไปแล้วก็เลวมาก  เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกมา  หรือแสดงออกมาอย่างแยบยลมาก เพราะอะไรละ  คนๆหนึ่งพอคลอดออกมาจากท้องแม่  เขาไม่มีความคิดใดๆของคนธรรมดาสามัญ  ได้แต่กินนมแม่กับร้องไห้  ทว่าเป็นทัศนคติหลังกำเนิดที่ให้ทุกสิ่งในหมู่คนธรรมดาสามัญแก่เขา  เมื่อก่อนผู้คนต่างเห็นความสำคัญของการสั่งสอนในครอบครัว  ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ครอบครัวคนผิวขาวแต่ก่อนของพวกท่าน อบรมสั่งสอนเด็กได้ดีมาก       แต่เดี๋ยวนี้หนา โดยเฉพาะอเมริกา เดี๋ยวนี้การให้ท้ายเด็กนั้นไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว เด็กๆนั้นไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเลย  การสั่งสอนทั้งหมดล้มเหลว จะรับผิดชอบต่อสังคมก็ต้องสั่งสอนเด็ก  บอกพวกเขาว่าอะไรคือความดี อะไรคือความไม่ดี เขาจะใส่เข้าไปในสมองทั้งหมด  ก็เหมือนกับถุงใบหนึ่ง  ในถุงใบนี้ใส่ทองไว้ เช่นนั้นผู้คนจะพูดว่านี่คือถุงทอง  หากในถุงของท่านใส่ดินไว้  เช่นนั้นผู้คนก็จะพูดว่าเป็นถุงดิน  ดังนั้นคนจึงเป็นเช่นนี้  ในสมองของท่านใส่ของที่ดีไว้ ท่านก็คือคนดี  รับรองว่าเมื่อท่านจะทำเรื่องอะไรพอความคิดเคลื่อนไหวย่อมจะเป็นความคิดที่ดีทั้งสิ้น  หากท่านใส่ความคิดที่ไม่ดีไว้(ในสมอง) พฤติกรรมของท่านทำเรื่องอะไรย่อมจะเป็นเรื่องไม่ดีทั้งสิ้น  เรื่องที่คิดย่อมจะไม่ดีทั้งสิ้น ความคิดที่เลว  นี่คือการแยกแยะคนดีกับคนชั่วอย่างแท้จริง

    อะไรคือคนดี  อะไรคือคนชั่ว  หน่วยงานโฆษณาของสังคม  หนังสือพิมพ์นานาชนิด ความรุนแรง เรื่องทางเพศเหล่านั้นที่ตีพิมพ์ในนิตยสารกรอกเข้าไปในสมองของท่าน  ทุกคนยังชอบอ่าน  ยิ่งกรอกเข้าไปมาก เช่นนั้นท่านก็เหมือนกับเขาแล้ว  อย่าอ่านสิ่งเหล่านี้  ต้องอ่านสิ่งที่ดีเหล่านั้น  สิ่งที่ดียิ่งกรอกมากเท่าไร เช่นนั้นท่านก็เป็นคนดี พฤติกรรมของท่านจะถูกความคิดของท่านควบคุมไว้  หากคนไม่เห็นความสำคัญของการอบรมสั่งสอน  ไม่เห็นความสำคัญของการสั่งสอนคนรุ่นหลัง  นี่ก็คือการทำบาปต่อสังคมทั้งหมด  คนหนุ่มสาวปัจจุบันนั้นแทบจะไม่กล้าไปคิดถึง  ไม่กล้ามอง  บางครั้งข้าพเจ้าเห็นพวกเขา  แทบจะไม่อยากมอง จากภายในของเขาถึงภายนอกของเขา  จากความคิดของเขาถึงจิตใจของเขา  จากพฤติกรรมของเขาถึงเสื้อผ้าของเขา ไม่มีความถูกต้องสักอย่าง

    แน่ละไม่ใช่ตายตัว ยังมีบางครอบครัวสั่งสอนได้ค่อนข้างดี  ดูแลเด็กได้ค่อนข้างดี ต้องเข้าใจว่า เพราะพวกท่านกำลังสร้างคนรุ่นต่อไปกับสังคมในอนาคต  เช่นนั้นคนรุ่นถัดไปจะเป็นอย่างไรละ        พวกท่านพูดได้หรือไม่ว่าตัวเองไม่มีส่วนรับผิดชอบละ

ศิษย์  ผมเป็นผู้ฝึกสวีเดน  ผมทราบว่าหากอ่าน “จ้วนฝ่าหลุน”ภาษาจีนจะเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น  แต่ถ้าจะใช้เวลาของการบำเพ็ญมาศึกษาภาษาจีนมากไป จะคุ้มค่าหรือไม่

อาจารย์  เอาละ  ข้าพเจ้าก็ขอพูดปัญหานี้ให้กับทุกท่าน  ใช้ “จ้วนฝ่าหลุน”มาศึกษาภาษาจีน  นั่นมิใช่ศึกษาภาษาจีนและยังศึกษาฝ่าด้วยแล้วหรือ  ภาษาจีนนี้สามารถสะท้อนคำพูดที่ข้าพเจ้าพูดออกมาได้โดยรักษาความเดิมไว้ได้โดยไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย  จุดนี้แน่นอน  เพราะข้าพเจ้าใช้ภาษาจีนบรรยายฝ่า  เหตุใดข้าพเจ้าเลือกเกิดในประเทศจีน  ถ่ายทอดฝ่าในประเทศจีนนี้ละ   เพราะเรื่องนี้ได้จัดวางไว้แล้วในประวัติศาสตร์  ความนัยของภาษาของคนในพื้นที่นี้ลึกมาก  การพัฒนาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของมัน ล้วนแต่เพื่อการถ่ายทอดต้าฝ่าในอนาคต การจัดวางมากมาย ล้วนแต่เพื่อเรื่องนี้  ดังนั้นนี่เป็นการจัดวางไว้อย่างเนิ่นนานมากแล้ว            คือได้จัดวางไว้แล้วก่อนที่คนผิวขาวยุคนี้ยังไม่เข้าสู่ช่วงอารยธรรม  ดังนั้นชนชาตินั้น(จีน)จึงค่อนข้างเก่าแก่  เป็นภาษาที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของโลก  ความนัยยิ่งใหญ่ที่สุด  ค่อนข้างสามารถแสดงแนวคิดของจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ออกมาได้  ถ้าไม่มีภาษาที่อุดมสมบูรณ์  ก็จะแสดงออกมาไม่ได้  จะพูดได้ยาก  แม้จะเป็นเช่นนี้  จนถึงทุกวันนี้  ภาษาของคนนี้ก็ไม่สามารถใช้บรรยายได้แล้ว ไม่อาจแสดงออกมาได้แล้ว และบรรยายได้ไม่กระจ่าง และไม่มีภาษาอย่างนั้นแล้ว  แต่ว่าอยู่ในระดับชั้นนี้ของคน  มันสามารถพอที่จะแสดงออกซึ่งทุกสิ่งในระดับชั้นต่ำนี้

    เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่า ถ้าไม่อ่านภาษาจีนก็จะบำเพ็ญไม่ได้  ไม่สามารถบรรลุเขตแดนนั้นที่ต้องการจะบรรลุ  หรืออัตราเร็วจะช้าจนส่งผลกระทบได้ละ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านไม่เลยแม้แต่น้อย  เพราะอะไรละ  เพราะข้าพเจ้าใช้ภาษาที่ซับซ้อนนี้ไปบรรยายฝ่า  เนื่องจากยังมีเทพระดับชั้นที่ต่างกันกำลังฟังฝ่าอยู่  ที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่พวกท่านที่กำลังฟังฝ่า  ยังมีเทพมากมายต่างกำลังฟังอยู่   เช่นนั้น แม้ว่าพวกท่านอ่านภาษาอังกฤษ  อ่านภาษาฝรั่งเศส  อ่านภาษาเยอรมันหรือภาษาชนิดอื่นบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ก็จะไม่กระทบ   โดยเฉพาะผู้แปลจำนวนมากล้วนคือผู้ฝึกของเราเอง  นี่ย่อมไม่มีปัญหา   ถึงแม้มีความแตกต่าง ก็เป็นเพียงความแตกต่างที่ชั้นผิวของตัวอักษร  เราบำเพ็ญไป ก็จะค่อยๆแก้ไข ปรับปรุงเขาให้ถูกต้องตามไปได้ ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ

   ข้าพเจ้าทราบว่ามีผู้ฝึกมากมายอยากจะอ่านภาษาจีน  อยากจะอ่านคำพูด ความหมายดั้งเดิมของข้าพเจ้าให้เข้าใจ   แน่ละนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ดียิ่งกว่า  หากบรรลุไม่ถึงจุดนี้  พวกท่านวางใจได้  ภาษาของชนชาติท่านนั้นขอเพียงแปล “จ้วนฝ่าหลุน”ได้  เบื้องหลังก็จะมีพระพุทธ  เต๋า เทพ นับไม่ถ้วน  ซึ่งสามารถทำให้ท่านเข้าใจหลักการของเขตแดนนั้นเช่นกัน จุดนี้ในชั้นผิวของตัวอักษรจะไม่มี  จะเขียนก็เขียนออกมาไม่ได้  ภาษาจีนก็เขียนออกมาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่กระทบต่อการบำเพ็ญ  แต่มีผู้ที่ศึกษาภาษาจีนบางคน ก็ปรากฏปาฏิหารย์หลายอย่างแล้ว  ฝ่าอย่างไรเสียก็เป็นฝ่า  ได้เกิดปาฏิหารย์ออกมาจริงๆแล้ว  ตรงนี้ข้าพเจ้าก็จะไม่ยกตัวอย่างแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงพวกเราคนอื่นๆที่ลอกเลียนแบบได้ไม่ถูกต้อง แล้วเกิดการยึดติดหนึ่งขึ้นมา

ศิษย์ จะแยกออกได้อย่างไรว่าศิษย์ที่บำเพ็ญจริงนั้นใจไม่หวั่นไหว  จะแยกระหว่างผู้บำเพ็ญปลอมกับผู้บำเพ็ญจริงได้อย่างไร

อาจารย์  ในระหว่างการบำเพ็ญนั้นแยกไม่ออก  แต่ข้าพเจ้าก็ขอบอกท่าน  ต้าฝ่าของเรานั้นเปิดกว้างให้กับคนทั้งปวง  ใครเท็จ ใครจริง  ที่ว่าเท็จบางทีพรุ่งนี้เขาก็จะศึกษาจริงแล้ว  ส่วนที่ว่าจริงนั้นพรุ่งนี้เขาอาจเป็นเพราะเหตุอะไรก็ไม่ศึกษาจริงแล้ว  ดังนั้นฝ่าของเราจึงเปิดประตูกว้างเช่นนี้  แต่ก็มีบางคนทำลายฝ่าจริงๆ  คือทำเรื่องชั่วในขณะอยู่ภายใต้การชักนำของมารชนิดนั้นที่ขัดแย้งกับฝ่า  คนชนิดนี้แยกแยะได้ง่าย เพราะจากธาตุแท้ของเขาจนถึงคำพูดอากัปกิริยาของเขาล้วนต่อต้าน ก็เป็นอย่างนี้  ในระหว่างผู้ฝึกด้วยกันบางคน เนื่องจากท่านเป็นผู้บำเพ็ญจริง  ฉันเป็นผู้บำเพ็ญจริง  เธอไม่บำเพ็ญจริง  ฉันบำเพ็ญจริง ด้วยเรื่องนี้จึงเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา  ข้าพเจ้าว่านี่ไม่ควรอย่างยิ่งเลย  ที่จริงพวกท่านล้วนแต่บำเพ็ญจริง  เนื่องจากจุดมุ่งหมายคือเพื่อการปกป้องฝ่า 
             ข้าพเจ้าทราบจิตใจนั้นที่มีต่อฝ่าของทุกท่าน  คิดว่าใครทำลายฝ่าแล้ว  ก็แทบจะไม่อาจยอมให้ได้  เพราะพวกท่านกำลังบำเพ็ญ  พวกท่านกลายเป็นผู้ปกป้องฝ่าแล้ว ท่านบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่า  ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของต้าฝ่า  แต่หาใช่ว่าจะไม่มีความขัดแย้งเลย  ในขั้นตอนของการบำเพ็ญระหว่างศิษย์กับศิษย์ ย่อมไม่อาจจะกลมเกลียวกันได้ตลอดไป  เพราะอะไรหรือ  เนื่องจากใจดวงนั้นที่ยังไม่ได้บำเพ็ญทิ้งไป  จิตของคนธรรมดาสามัญนั้นที่ปรากฏออกมาอย่างรุนแรง ย่อมจะแสดงออกมาได้  ส่วนจิตส่วนนั้นที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วกลับมองไม่เห็นแล้ว  เพราะมันไม่มีอยู่อีกแล้ว  และก็จะไม่แสดงออกมาอีกแล้ว  ส่วนจิตที่ท่านบำเพ็ญยังไม่สำเร็จย่อมสามารถแสดงออกมา เช่นนั้นใช่ไหมว่าคนๆนี้ก็ไม่ดีแล้วละ ไม่ใช่อย่างแน่นอน  ตรงกันข้าม  เราต้องพูดว่าคนๆนี้ยังคงไม่เลวเลย  เพียงแต่จิตที่เขาบำเพ็ญไม่ดีนั้นแสดงออกมาแล้ว  แสดงออกมาด้วยจุดมุ่งหมายอะไรละ  นั่นก็คือเพื่อให้ทุกท่านชี้ออกมาให้เขาหรือว่าพวกเราคนใด  ในด้านนี้ก็มีจิตชนิดนี้อยู่ด้วย  พวกเขาทั้งสองจึงเกิดความขัดแย้งขึ้น  จุดมุ่งหมายคือการละทิ้งใจของตนเอง

ดังนั้นขณะที่เกิดความขัดแย้ง แต่ละคนต้องค้นหาสาเหตุของตนจากภายใน ไม่ว่าเรื่องนี้ท่านจะผิดหรือไม่  จงจำคำของข้าพเจ้าไว้  ไม่ว่าเรื่องนี้ท่านจะผิดหรือไม่ผิด  ท่านล้วนต้องค้นหาที่ตนเอง  ท่านก็จะพบปัญหา  หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านโดยสิ้นเชิง  ไม่มีจิตที่ท่านสมควรละทิ้ง  เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะเกิดขึ้นกับท่านน้อยมาก  หากท่านไม่มีจิตดวงนี้  ก็จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง  ต้องรับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของท่าน  ในเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นกับตัวท่าน เกิดขึ้นกับท่านนี้  เกิดขึ้นในระหว่างพวกท่าน  ก็เป็นไปได้มากว่า มีความเกี่ยวข้องกับท่าน  ก็มีสิ่งที่ท่านต้องทิ้งไป ไม่ว่าท่านจะผิดหรือไม่ผิด  ในขณะที่ฝ่าเซินของข้าพเจ้ากำลังทิ้งใจดวงนี้ให้ท่านนั้น  ไม่ว่าเรื่องนี้ควรตำหนิเขาหรือตำหนิท่าน  เพียงท่านมีจิตดวงนี้  เขา(ฝ่าเซิน)ก็จะพยายามหาวิธีให้ท่านเกิดความขัดแย้งขึ้น  ให้ท่านรับรู้ได้ถึงจิตดวงนี้ที่ยังไม่ดีพอ  ดังนั้นพวกท่านยังคงค้นหาอยู่ที่นั่น  เรื่องนี้ว่าฉันไม่ได้นะ  หรือพวกท่านยังคิดว่า ฉันกำลังปกป้องฝ่านะ  เขาคิดว่า ฉันก็กำลังปกป้องฝ่านะ            ที่จริงพวกท่านคงจะมีตรงไหนที่ไม่ดีจึงเกิดความขัดแย้งขึ้น

  ผู้ฝึกบางคนอยู่ข้างนอกแขวนภาพข้าพเจ้าไว้  จุดธูปเทียนให้  ยังกราบไหว้ข้าพเจ้า  ทุกท่านอย่าได้ทำเช่นนี้  ศิษย์ที่บำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ นานมาแล้วข้าพเจ้าคัดค้านพิธีกรรมทางศาสนา  ศาสนากลายเป็นองค์กรชนิดหนึ่งของคนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่การบำเพ็ญ  ท่านเคารพข้าพเจ้า  ท่านเพียงมีใจนี้ข้าพเจ้าก็ดีใจแล้ว (ไม่รวมศิษย์ที่แต่เดิมบำเพ็ญต้าฝ่าอยู่ในศาสนา) 

 ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะบอกทุกท่าน  เรามีชาวผิวขาวมากมายพอบำเพ็ญตาทิพย์ก็เปิด  นี่จะเป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่งในอนาคต  เวลาที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นการถ่ายทอดฝ่าในประเทศจีน  เนื่องจากชาวจีนมีทัศนคติต่างๆมากเกินไป  หากจะเปิดตาทิพย์ของเขาก็ต้องใช้ของที่มีพลังแรง  ตั้งแต่ต้นเราก็ก่อเกิดสิ่งของอย่างนี้แล้ว  ดังนั้นในวันนี้สำหรับผู้ฝึกชาวผิวขาว เขายังศึกษาได้ไม่นานนะ  ก็เปิดตาทิพย์ให้เขาแล้ว  จึงเกิดปัญหาข้อนี้ขึ้น   ดังนั้นหลายคนจึงมองเห็นร่างชีวิตที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็นก็ดี  มองเห็นทัศนียภาพอื่นก็ดี  พวกท่านจงจำคำที่ข้าพพูดในวันนี้  อย่าได้ให้ความสำคัญกับมันนัก มองเห็นแล้วก็แล้วไป  ใจไม่หวั่นไหว  อย่าได้ดีใจด้วยเหตุนี้  นี่เป็นเพียงการมองเห็นปรากฏการณ์ที่เป็นจริงในระดับชั้นที่ต่ำเท่านั้นเอง  มันไม่สามารถแทนระดับชั้นของท่านได้อย่างเด็ดขาด  ดังนั้นพวกท่านมองเห็นก็ดี  มองไม่เห็นก็ดี  จะต้องวางใจไว้ในการศึกษาฝ่า  อ่านหนังสือศึกษาฝ่า  อ่านหนังสือศึกษาฝ่า  แทบจะทุกครั้งที่ในระหว่างที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่าก็ไม่เบื่อหน่ายที่จะเรียกให้ทุกท่าน อ่านหนังสือ ๆ ๆ พวกท่านเพียงแต่อ่านหนังสือ            พวกท่านก็จะได้รับในสิ่งที่ดียิ่งขึ้นซึ่งพวกท่านคิดไม่ถึง

             โดยผ่านการมองเห็นด้วยตาของพวกท่าน ยิ่งเห็นมาก  ก็เป็นเพียงสิ่งที่มองเห็นได้ในระดับชั้นนั้นของท่าน  อย่าได้ก่อเกิดจิตยึดติด  สามารถมองเห็นได้นั้น เป็นเรื่องที่ดี  ข้าพเจ้าจะไม่ปิดตาของท่านไว้ แต่พวกท่านต้องทราบว่า ไม่ว่าจะมองเห็นอะไร พวกท่านก็ต้องศึกษาฝ่าต่อไป  ชีวิตชั้นสูงใดๆ ล้วนไม่ใช่อาจารย์ของพวกท่าน  จงจำจุดนี้ไว้ให้ดี   อย่าไปเอาของๆพวกเขา  หากเอาเข้าแล้วก็จะทำให้เกิดสภาพการณ์ที่ร้ายแรงของการไม่ยึดมั่นสองแนวทาง   จะต้องวางใจไว้ในการบำเพ็ญในฝ่า  จงจำไว้  เป็นเพราะฝ่าจึงสามารถให้ท่านหยวนหมั่นได้   เป็นเพราะฝ่าจึงเปิดตาทิพย์ท่านได้  ท่านจะต้องบำเพ็ญอยู่ในฝ่าจึงสามารถหยวนหมั่น  การยึดติดต่อสิ่งที่อยู่นอกต้าฝ่าล้วนจะทำให้ท่านล้มเลิกกลางทาง

ศิษย์   ผมมีเพื่อนหญิงชาวจีนคนหนึ่ง  ผมอ่านหนังสือได้ทราบว่าการสมรสข้ามเผ่าพันธุ์นั้นไม่ถูกต้อง                     ตัดสินใจจะไม่คงความสัมพันธ์กับเธอต่อไป

อาจารย์   พวกท่านคิดจะแต่งงานกับคนต่างเผ่าพันธุ์นั้น  เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้  เป็นเพราะนี่คือปัญหาที่ตกทอดมาในประวัติศาสตร์  ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน  ในอนาคตคนที่เหลือรอดอยู่บนโลก จะต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่บริสุทธิ์  แต่พวกท่านจะหยวนหมั่น  พวกท่านเป็นผู้บำเพ็ญ  จึงไม่อยู่ภายในขอบเขตนี้  เช่นนั้นหากพูดถึงคนรุ่นหลัง(ลูกหลาน)ละ  คนรุ่นหลังหากสามารถจะบำเพ็ญ  เราก็จะคัดเลือกเขาออกมา  จิตหลักของเขาเป็นของที่ไหนก็ควรไปที่นั่น  เราก็สามารถทำให้เขาไปที่นั่น    เป็นอย่างนี้  

               พลังของต้าฝ่านั้นไร้ขอบเขต  เรามีวิธีที่จะทำได้  กล่าวสำหรับผู้ฝึก วิธีการอะไรเราก็มีทั้งนั้น  สำหรับคนธรรมดาสามัญ เราไม่อาจไปทำให้เขาตามอำเภอใจ  ก็คือความสัมพันธ์เช่นนี้  ในสภาพการณ์ของพวกท่าน   ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้  และไม่ได้บอกว่าทำได้  เป็นเพราะในขณะนี้สำหรับเรื่องนี้จะไม่ไปสนใจมัน   สังคมเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว    ก็เหมือนที่พวกท่านมีวัฒนธรรมของมนุษย์ต่างดาว  โดยเฉพาะในเวลาที่จัดการนั้น  ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกท่าน  เพราะพวกท่านต่างจะบำเพ็ญหยวนหมั่น  บนโลกในอนาคตนั้นก็ไม่ใช่พวกท่าน  พวกท่านไปโลกสวรรค์กันหมดแล้ว          ก็เป็นสภาพการณ์อย่างนี้

ศิษย์     จิตมีรูปลักษณ์หรือไม่
อาจารย์   จิตมีรูปลักษณ์  ก็คือรูปลักษณ์ของท่านเอง  แต่สวยงามกว่ารูปลักษณ์ของกายเนื้อนี้ของท่าน  เพราะเม็ดอณูที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายเขานั้น เมื่อเปรียบกับร่างกายที่เป็นสสารชั้นผิวนี้ก็ละเอียดอ่อนกว่า จุลทรรศน์ยิ่งกว่า  มีพลังงานมาก  ดังนั้นเขาจึงเปล่งแสงได้

ศิษย์     ในเวลาที่กลับชาติเกิดนั้น       รูปลักษณ์มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
อาจาย์   มี  แต่ก็มีคุณสมบัติเฉพาะแต่เดิมที่เข้มแข็งมาก  ผู้คนพูดกันว่าฉันกลับชาติเกิดกี่ภพก็ไม่เปลี่ยน  แต่เมื่อเกิดเป็นคนผิวขาวนั้น  จะมีจมูกโด่ง  ดวงตาหลุบเข้าข้างใน เป็นสีน้ำเงิน

ศิษย์  อาจารย์พูดว่าร่างกายแต่ละมิติเป็นร่างชีวิตที่เป็นเอกเทศ  ผมรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ  ร่างในแต่ละมิติมีความสัมพันธ์กับจิตอย่างไรบ้าง

อาจารย์   นี่มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างของจักรวาล  ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตัวคนเอง  คนอยู่ในมิติต่างๆนั้นล้วนมีตัวท่านคนหนึ่งที่เหมือนกับท่าน  เรียกชื่อเดียวกัน  แต่ว่าพวกเขาล้วนเป็นเอกเทศ  อันนั้นเป็นคนละเรื่องกับร่างกายในแต่ละมิติของท่าน  ร่างกายในแต่ละมิติของท่านก็คือร่างกายของท่านที่อยู่ในมิติที่ต่างกัน  ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุลที่ต่างขนาดกัน  นี่ล้วนคือท่าน

ศิษย์   ท่านบอกว่าจิตมารของมนุษย์ในปัจจุบันเป็นฝ่ายนำ  เช่นนั้นระดับจิตมารของผมจะมีมากแค่ไหนเป็นเพราะองค์ประกอบของคนกระนั้นหรือ  หรือว่าจะมีมากเพียงไรนั้นมีที่มาจากมิติอื่น

อาจารย์   แต่ละคนต่างมีคุณสมบัติพิเศษของสสารที่เป็นบวกครึ่งหนึ่ง  เป็นลบครึ่งหนึ่งนอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นทัศนคติหลังกำเนิดกับกรรมทางความคิด  ข้าพเจ้ามักพูดอยู่คำหนึ่งเสมอว่า  คนก็เหมือนกับเสื้อผ้าชุดหนึ่ง  คือร่างกายของท่าน      ส่วนความคิดของท่านนั้นก็เหมือนหมวกใบหนึ่ง  เมื่อชีวิตที่ต่างกันสวมเข้าไว้แล้ว นั่นก็เท่ากับเป็นตัวเขา  หากจิตหลักของคนมีสำนึกที่ไม่เข้มแข็ง  ล้วนจะถูกชีวิตอื่นสวมเข้าไปได้ทุกเวลา  พฤติกรรมที่ไม่ดีนานาชนิดของคนในสังคมปัจจุบัน   นี่ก็วุ่นวายจนเกิดปัญหาหนึ่งที่ร้ายแรงมากในปัจจุบัน  ที่ผ่านมาไม่อนุญาตให้ชีวิตนอกตรีภูมิเข้ามาในตรีภูมิ  และไม่อนุญาตให้ชีวิตในตรีภูมิ ออกไปนอกตรีภูมิ   และไม่อนุญาตให้ชีวิตในระดับชั้นต่างๆของตรีภูมิ รบกวนซึ่งกันและกัน  และไม่อนุญาตให้มีการสิงร่าง   แต่ปัจจุบันล้วนเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น  โดยเฉพาะเมื่อกล่าวสำหรับที่นี่ของมนุษย์นั้น  นับว่าวุ่นวายที่สุด  ในเวลาที่ความคิดของบางคนไม่ถูกต้องนั้น  ก็คือในขณะที่ความคิดของคนสอดคล้องกับจิตมารนั้น  ก็เป็นความคิดของจิตมารที่ใหญ่โต  คนเองอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ มองสิ่งที่ไม่ดี  ฟังสิ่งที่ไม่ดี  ในสมองใส่ของไม่ดีเข้าไป  จิตมารของคนเองจึงใหญ่   เมื่อจิตมารใหญ่โตจึงสอดคล้องพอดีกับมาร  เช่นนั้นมารก็ชอบท่านแล้ว เพราะท่านเหมือนกับมัน  ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่ร่างกายท่าน  นี่คือมาจากเหตุภายนอก  เนื่องจากความคิดของท่านเหมือนกับความคิดของเขาได้ง่าย  เขาจึงควบคุมท่านได้ง่าย นี่คือสภาพการณ์หนึ่ง  ในมิติระดับชั้นเดียวกับคนนั้น  มีชีวิตที่เสื่อมทรามมากมาย  พวกเขาควบคุมคนอย่างโจ่งแจ้ง  ควบคุมทำอะไรละ  คิดอยากจะได้รับการเซ่นไหว้ในโลก  อยากจะได้ครองร่างกายคน  ได้สสารของคน  หลังจากสสารของคนผ่านการผันแปรแล้ว จะมีประโยชน์ต่อเขา  ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกคนที่เข้ากับพวกเขาได้  คนปัจจุบันจึงเผชิญกับปัญหาอย่างนี้         คนยังรู้สึกว่าตนเองในขณะนี้ไม่เลวเลย

               ปัญหาเหล่านี้กำลังแก้ไขอยู่ในช่วงสุดท้ายแล้ว  ดังนั้นคนในปัจจุบันจึงสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ค่อยๆค้นพบตนเอง  ก่อนหน้านี้ผู้คนกำลังเลอะเลือน  ล้วนถูกพวกมันชักนำอยู่  ถูกทำให้ซับซ้อน  ถูกชักนำโดยองค์ประกอบที่มากมายมหาศาล   ข้าพเจ้าช่วยปลดปล่อยคนอย่างถึงที่สุด  ขจัดการควบคุมของปัจจัยภายนอกอย่างถึงที่สุด ให้ผู้คนสามารถควบคุมตนเอง  หาไม่แล้ว ฝ่าที่ข้าพเจ้าบรรยายในวันนี้  จะเท่ากับบรรยายให้พวกมันฟัง  หากพวกท่านเลอะเลือนค้นไม่พบตนเอง ถูกพวกมันเอาไปหมดแล้วก็ใช้ไม่ได้  ดังนั้นข้าพเจ้าต้องทำเรื่องนี้ให้กับผู้ฝึกเสียก่อน(เสียงปรบมือ)  คนธรรมดาสามัญก็ทำให้อยู่   เพราะคนธรรมดาสามัญในสังคมปัจจุบันถ้าถูกควบคุมแล้ว  ไม่สามารถได้ฝ่า  นั่นก็จะร้ายแรงมาก  ดังนั้นผู้ฝึกบางคนจึงวิจารณ์ตนเองกับข้าพเจ้าว่าไม่ได้เผยแพร่ฝ่าให้ดี แต่ข้าพเจ้าบอกว่าท่านทำได้ดีมาก  แต่มีหลายสภาพการณ์ที่ท่านมีกำลังไม่เพียงพอจะทำได้  ไม่อาจได้ดังใจหวัง  นั่นไม่ใช่ปัญหาของท่าน  ถ้าพูดว่าท่านไม่ได้ไปทำ    นั่นจึงจะเป็นปัญหาของท่าน

              บางครั้งข้าพเจ้ายืนอยู่บนตึกสูงมองลงไปข้างล่าง  ข้าพเจ้าเห็นคนกำลังทำงานหนัก ข้าพเจ้าก็คิดว่า คนเดี๋ยวนี้ดำรงชีวิตกันอย่างไรนะ  พูดว่าน่าสงสารละกัน  และยังรู้สึกว่าคนเองทำให้ทุกสิ่งเสื่อมเสียไปแล้ว  เพราะคนไปสอดคล้องกับมัน  สังคมนั้นมีสาเหตุของการเสื่อม  แต่ว่าแต่ละคนก็มีส่วนผลักดันด้วยกัน  ล้วนผลักดันมันอยู่  คนอยู่ในกระแสใหญ่นี้ ไม่ได้ทำดีด้วยตนเอง  หากแต่ปล่อยตัวตามอำเภอใจ   คนปล่อยจิตมารออกมากันใหญ่ในสนามฟุตบอลคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการปล่อยตัวตามอำเภอใจ ในขณะที่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น ไม่คิดว่ากำลังระเบิดจิตมารออกมา เสริมให้มันแข็งแกร่ง  ในเวลาที่คนกำลังเต้นรำดิสโก้อยู่  สภาวะที่ไร้สติชนิดนั้นที่ร้องตะโกนเอะอะ  นั่นคือการระบายจิตมารที่ใหญ่ที่สุดออกมา  คนที่มีสติสัมปชัญญะ อยู่ในสภาวะที่สามารถรู้ว่าตนเองกำลังทำเรื่องอะไรอยู่นั้น มักจะเป็นความคิดที่ดีงาม  นั่นจึงจะเป็นตนเองที่แท้จริง

ศิษย์  ผมเข้าใจว่า ตลอดมานั้นตนเองเป็นผู้ที่ยืนหยัดคนหนึ่ง  เป็นคนที่มีพลังควบคุมตนเองได้  แต่เพราะอะไรแต่ละครั้งที่พบท่านอาจารย์ หรือพูดถึงท่านอาจารย์  มักจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
อาจารย์  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน พวกเราที่กำลังนั่งอยู่มีหลายคน  ในช่วงประวัติศาสตร์ที่ต่างกัน ในประเทศที่ต่างกันนั้น เคยมีวาสนาที่ใหญ่มากกับข้าพเจ้า  นี่คือด้านหนึ่ง  ยังมีอีกอย่างหนึ่ง  “ในโลกที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้ท่านยังจะถ่ายทอดสิ่งที่ดีอย่างนี้” นี่คือคำพูดของเทพที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ที่ข้าพเจ้าทำอยู่  ดังนั้นการช่วยเหลือพวกท่านจึงยิ่งลำบาก  ส่วนที่ปรากฏอยู่ในมิตินี้ พวกท่านไม่อาจทราบได้  แต่ด้านที่อยู่ในอีกมิติของพวกท่านนั้น  ล้วนมองเห็น  ล้วนเข้าใจได้ว่าข้าพเจ้าให้อะไรแก่พวกท่าน ไม่อาจใช้ภาษา หรือการกระทำ กระทั่งไม่อาจใช้แนวคิดใดๆมาแสดงความรู้สึกซาบซึ้งใจต่อข้าพเจ้า จึงก่อให้เกิดการหลั่งน้ำตาของพวกท่านทางฝั่งนี้ ซึ่งอธิบายไม่ได้  พวกท่านไม่ทราบ  สังคมมนุษย์ในวันนี้ยุ่งเหยิงถึงระดับนั้นแล้ว  สกปรกจนไม่ไหวแล้ว กรรมบนร่างกายคนมากจนไม่ไหวแล้ว ในความคิดก็มีความนึกคิดที่ไม่ดีมากจนไม่ไหวแล้ว  มากเกินไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้ชำระล้างพวกมันทั้งหมดให้กับท่านแล้ว  และยังมีฝ่าหลุนที่ส่องแสงสีทองแวววาวกับสิ่งต่างๆมากมายของฝ่าชุดนี้ใส่ให้ในร่างกายท่าน  ทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญได้  ชำระล้างร่างกายที่สกปรกอย่างหาที่เปรียบมิได้นั้นให้กับท่าน  นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครกล้าทำ (เสียงปรบมือ)  พูดในทางกลับกัน  นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่อาจจะพบได้ แต่พวกท่านได้พบแล้ว  ดังนั้นพวกท่านจึงเป็นอย่างนั้น(หลั่งน้ำตา)เพราะพวกท่านมีสติแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ      ดังนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไป         (ท่าน)จึงยิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ศิษย์    ท่านอาจารย์บอกว่าวิทยาศาสตร์ก็เป็นศาสนา  วิธีพูดนี้ทำให้ผมหวั่นไหวอย่างมาก  ท่านจะพูดถึงปัญหานี้ให้ลึกซึ้งได้หรือไม่
อาจารย์  มันเป็นศาสนา  เป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบ  ศาสนาอื่นนั้นจะให้ท่านรับรู้จากด้านจิตใจก่อน จากนั้นในระหว่างการบำเพ็ญ จึงให้ท่านค่อยๆพบสิ่งที่งดงามอย่างแท้จริงในจักรวาล ที่เป็นการคงอยู่ทางวัตถุอย่างแท้จริง  มันเป็นขั้นตอนอย่างนี้  ส่วนศาสนาวิทยาศาสตร์นี้มันให้ท่านพบสิ่งที่คงอยู่ทางวัตถุจำนวนเล็กน้อย ใช้สิ่งนี้ชี้นำให้ท่านเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ  สุดท้ายก็ให้ท่านพึ่งพามัน  พึ่งพามันมากขึ้นเรื่อยๆ  พบว่านี้ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมแล้ว  ศาสนาวิทยาศาสตร์นี้ ชี้นำท่านจากด้านวัตถุให้เกิดความเชื่อทางจิตใจ  แต่ศาสนาทั่วๆไปนั้นชี้นำท่านจากด้านจิตใจให้รับรู้ต่อวัตถุอย่างแท้จริง  มันเดินสวนทางกัน ดังนั้นจึงไม่อาจทำให้คนแยกออก สิ่งใดๆที่สามารถยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้  สามารถตั้งมั่นอยู่ได้  สามารถจะสถาปนาขึ้นมาได้นั้น ล้วนต้องมีมูลเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่ง  ก็คือมันต้องก่อเกิดสนามหนึ่งในมิตินี้ และสนามนี้เป็นวัตถุที่คงอยู่  อาทิเช่นศาสนา  สามารถสถาปนาขึ้นมาได้  เป็นเพราะในขั้นตอนของการเชื่อถือของคนจำนวนมาก พูดคุยกันอย่างศรัทธา  ก่อเกิดเป็นสภาพแวดล้อมหนึ่งที่มีรูปแบบของการเคารพบูชา            ในทางกลับกันสภาพแวดล้อมนี้ก็คุ้มครองศาสนานี้ด้วย

   วิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้  สภาพแวดล้อมของมันนั้นมีมากมายมหาศาล  แทบจะมีเต็มไปหมดในมิตินี้ของคน  รวมทั้งอาณาจักรทางความคิดต่างๆ  สามารถพูดได้ว่าไม่มีจุดรั่วเลย  ศาสนาไหนก็เทียบไม่ได้แล้ว  แต่ว่าหลังจากสภาพแวดล้อมทางวัตถุนี้เกิดขึ้นแล้ว  มิติของมนุษย์นั้นมีหลักการเสริมและต้านซึ่งกันและกันอยู่  มีสิ่งที่ถูกต้องก็จะมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  มีสิ่งที่ดีก็มีสิ่งที่ไม่ดี  ดังนั้นสภาพแวดล้อมที่ก่อเกิดขึ้นในมิตินี้ก็มีองค์ประกอบสองชนิดนี้  ชนิดหนึ่งดีงาม อีกชนิดหนึ่งชั่วร้าย  ศาสนาก็เช่นกัน  การก่อเกิดของมัน ก็มีองค์ประกอบสองชนิด  ถ้าท่านคัดค้านมัน องค์ประกอบที่ชั่วร้ายของมันจะเกลียดท่านจนอยากจะฆ่าทิ้ง                นี่ก็คือองค์ประกอบที่ชั่วร้ายนั้นที่ไม่ดีในสภาพแวดล้อมของมัน  ในเวลาที่ท่านเชื่อถือมัน อีกองค์ประกอบหนึ่งมันจะดีต่อท่านมาก  เมตตาท่านมาก  ก็คือด้านที่ดีงามของมัน  และในวิทยาศาสตร์ก็มีองค์ประกอบอย่างนี้   ถ้าท่านคัดค้านวิทยาศาสตร์ แม้ว่ามันไม่ฆ่าท่าน แต่จะรวมกันโจมตี  ใครๆจะพูดว่าท่านงมงาย  ใครๆจะพูดว่าท่านน่าขันทั้งนั้น  มันจะทำให้ท่านเสื่อมเสียจนไม่มีค่าในสังคม  จากชั้นประถมท่านไม่เชื่อถือมัน ท่านไม่ศึกษามันให้ดี  มันจะลบชื่อท่านออก  ในมหาวิทยาลัยท่านไม่ศึกษามันให้ดี  ก็จะไม่สำเร็จการศึกษา  หากท่านยังไม่ศึกษามันให้ดีอีก  ท่านก็จะไม่ได้งานที่ดี  อาณาจักรทางความคิดของสังคมนี้ ล้วนเต็มไปด้วยการงานของมัน 

สามารถพูดกลับกันได้ว่า ทุกการงานเต็มไปด้วยวิทยาศาสตร์  ท่านไม่ศึกษามันให้ดี  ท่านก็จะไม่ได้งานที่ดี  ในทางกลับกัน วิทยาศาสตร์นี้ก็ไม่ได้ก้าวหน้า  มันได้แต่พัฒนาจำกัดอยู่ภายในมิติที่มีอยู่ในปัจจุบัน  มันไม่อาจพิสูจน์การคงอยู่ของเทพ  มันไม่รู้ว่าเมื่อคนทำเรื่องไม่ดีแล้วจะได้รับกรรมสนอง  คนทำเรื่องดีจะได้กรรมดีสนอง  ถ้าคิดจะเป็นคนดีก็ต้องเน้นเรื่องกุศล  มันก็จะพูดว่าท่านขัดต่อคำสอน ซึ่งนับเป็นภัยต่อสังคม ที่จริงคือวิทยาศาสตร์นี้กำลังโจมตีด้านที่ดีที่สุดที่เป็นแก่นแท้ที่ดีงามอย่างแท้จริงของคน  มันไม่บอกให้คนเน้นเรื่องกุศล  ไม่บอกให้คนคล้อยตามความดีงาม  หากแต่บอกให้คนระบายความอยากทั้งหมดออกมา  ทำลายสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตของมนุษย์  แต่ว่านะ  มันได้เสนอความสะดวกสบายให้กับคนในมิตินี้  กับมายาภาพของความสุขสบายชั่วคราว เสนอการทำร้ายตนเองของคนซึ่งก่อให้เกิดเสรีภาพจอมปลอมอันหนึ่ง  และเงื่อนไขที่ก้าวหน้าหลอกๆ จึงทำให้คนยิ่งเชื่อถือมัน แต่กล่าวสำหรับเทพ  ความสุขสบายจนเกินเลยของคน กลับไม่ใช่เรื่องที่ดี จะเพิ่มกรรมมากขึ้น และสะสมกรรม  สลายกรรมไม่ได้  สุดท้ายลงนรก  จนกระทั่งชีวิตถูกทำลายไป  พวกท่านชาวตะวันตกในอดีตนั้นก็ทราบเหตุผลข้อหนึ่งอย่างนี้  คนสูงอายุก็เข้าใจเหตุผลอย่างนี้  โดยพูดว่าทนทุกข์สักหน่อยไม่เป็นไร  ไม่ใช่เรื่องไม่ดี  ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากได้ฝึกฝน          ถือเป็นเรื่องที่ดี            ล้วนเข้าใจสิ่งเหล่านี้กัน

ในเวลาที่ทนทุกข์สามารถสลายกรรมได้  เมื่อสลายกรรมไปแล้วชาติต่อมาจึงสามารถได้รับความสุขที่แท้จริง ไม่มีกรรม  ถ้าท่านคิดจะบำเพ็ญ ท่านสลายกรรมไป ท่านยังจะสามารถผันแปรเป็นพลัง  คืนกลับไปสู่โลกสวรรค์  ในเมื่อศาสนาวิทยาศาสตร์นี้บอกให้ท่านเชื่อมันเท่านั้น  ไม่เชื่อเทพที่มีอยู่จริงนี้  ผลักคนไปยังด้านตรงกันข้าม ก่อกรรมไม่หยุดหย่อน  มันไม่ใช่ชั่วร้ายละหรือ       แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ณ ที่นี้เป็นรูปแบบของวิทยาศาสตร์ชนิดนี้ทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าจะคัดค้านอาณาจักรของวิชานั้นที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันสร้างขึ้น   เพราะทุกท่านต่างดำรงชีวิตกันอย่างนี้หมดแล้ว อยู่ในสภาพแวดล้อมนี้แล้ว เป็นการงานอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้ว่าสังคมเป็นอย่างนี้ไปแล้ว  ดังนั้นจึงได้แต่รักษาไว้ให้ดีเช่นนี้  ข้าพเจ้าก็ไม่ไปคัดค้าน  ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกให้พวกท่านฟังถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน   

            ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็ขอบอกทุกท่านว่า วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สัจธรรมที่ตายตัว  ไอน์สไตน์ ในบั้นปลายชีวิต ทำไมจึงเข้าสู่ศาสนาละ  เขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จในวิทยาศาสตร์ถึงเพียงนั้น  เขาพบว่าศาสนานั้นถูกต้อง  คนไม่เข้าใจเขา เพราะไม่ฉลาดเท่าไอน์สไตน์  คนที่ดื้อรั้นเหล่านั้นไม่เข้าใจ  คนที่ไม่มีสติปัญญาเท่าไอน์สไตน์ย่อมไม่เข้าใจ  สุดท้ายไอน์สไตน์พบว่าสิ่งที่พูดกันในศาสนาเป็นเรื่องจริง  นั่นจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง  ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่ความเชื่อในศาสนาที่ถูกต้อง  ข้าพเจ้าจะย้ำอีกครั้งในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไปเมื่อครู่นี้  การงานของพวกท่านที่ควรทำ  พวกท่านก็ไปทำ  เพราะนั่นคือจากบนถึงล่างโดยตัวมันเองได้ทำให้สังคมปัจจุบันทั้งหมดเป็นเช่นนี้แล้ว ทุกท่านต่างก็ทำกันมาอย่างนี้ทั้งนั้น  ข้าพเจ้าก็ไม่คิดจะไปใส่ใจ  เพราะผู้ที่ข้าพเจ้าช่วยคือพวกท่าน เฉพาะหน้านี้จะไม่สนใจเรื่องของมัน ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกคนให้รู้สภาพการณ์ที่แท้จริงของมัน  บอกให้กับผู้บำเพ็ญ  ข้าพเจ้าไม่ไปพูดกับคนธรรมดาสามัญ  ไม่ไปพูดกับคนในสังคม พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้  ที่จริงก็ไม่เพียงแต่ข้าพเจ้าเท่านี้ที่พูดออกมา  คนที่ฉลาดมากมายต่างก็ค้นพบแล้ว คนธรรมดาสามัญบางคนก็รู้ว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสนา

ศิษย์     ศิษย์ต้าฝ่าที่บำเพ็ญหยวนหมั่น จะจากโลกไปด้วยวิธีการใด

อาจารย์  ปัญหานี้ได้พูดไปหลายครั้งแล้ว  ถ้าไปโลกฝ่าหลุน  เช่นนั้นเขาก็จะไปโลกฝ่าหลุน  เขาจะหยวนหมั่นโดยมีกายเนื้อที่ถูกสสารพลังงานสูงผันแปรแล้ว แต่มีจำนวนมากมายที่มาจากโลกอื่นที่อยู่ในระดับชั้นที่สูงกว่า  ในโลกของเขานั้นไม่ต้องการร่างกาย  ถือว่าร่างกายคนไม่ดี  ถ้าให้ท่านนำร่างกายไป  ก็เท่ากับเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในโลกแต่กำเนิดดั้งเดิมของท่าน  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการร่างกาย  ให้ก็ไม่เอา แต่พวกท่านต้องรู้ว่า  ทุกสิ่งในความคิดคนจะสะท้อนออกมาหมดว่า ฉันคิดจะเอา  นั่นเป็นส่วนนั้นของท่านที่ปัจจุบันยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ  เป็นความคิดชั้นผิวที่สุดของคนธรรมดาสามัญที่สะท้อนออกมา  ในเวลาที่ท่านมองเห็นสภาพการณ์ที่แท้จริงแล้ว  พวกท่านจะมีความคิดอีกอย่าง   จะปรากฏความคิดของเทพออกมา  ว่า  อ้อ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง

    แต่ว่า ข้าพเจ้าก็คิดจะมอบตัวอย่างอันหนึ่งของวีรกรรมอันเกรียงไกรเกริกก้องในเวลาที่พวกท่านหยวนหมั่นให้กับมนุษย์ ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ ให้ศิษย์ต้าฝ่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเอาร่างกายหรือไม่  ล้วนนำร่างกายเหาะขึ้นฟ้า  พวกที่ไม่เอาร่างกายก็ให้แปลงเป็นสายรุ้งไป  จากนั้นก็เหาะไป  เช่นนี้จะก่อให้เกิดความรุ่งโรจน์อย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์  ทิ้งบทเรียนที่ลึกซึ้งบทหนึ่งไว้ให้คน   คนไม่เชื่อเทพ  ให้คนเห็นการปรากฏของเทพที่แท้จริง  ข้าพเจ้าก็คิดอย่างนี้  แต่จะทำได้หรือไม่ต้องดูตอนสุดท้าย  พูดถึงการหยวนหมั่นนั้นไม่มีปัญหา  เพียงแต่จะเลือกรูปแบบอะไรเท่านั้น

ศิษย์  ผู้ฝึกมากมายไม่รู้ว่าตัวเองบำเพ็ญเป็นอย่างไร  สงสัยว่าจะสามารถบำเพ็ญหยวนหมั่นสำเร็จไหม

อาจารย์  นี่ก็เป็นการยึดติด  โดยเฉพาะความไม่เชื่อนั้น โดยตัวมันเองก็เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด  เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดว่า เช้าได้ฟังเต๋า  เย็นก็ตายได้  ก็คือพูดว่าสิ่งที่ใส่เข้าไปในความคิดของท่านล้วนเป็นฝ่า  สิ่งที่ไม่ดีนั้นมีไม่มากแล้ว  ทิ้งไปจวนจะหมดแล้ว  ท่านว่า ควรจะวางท่านไว้ตรงไหนละ  ท่านพูดเองดูซิ  ข้าพเจ้ามักพูดว่า ข้าพเจ้าว่าท่านก็ได้ฝ่าแล้ว ท่านก็ไม่ต้องไปคิดถึงปัญหาเหล่านั้นอีกแล้ว  หากคิดอีกก็คือยึดติด  ไม่ใช่ยึดติดหรอกหรือ  จะกระทบต่อการก้าวหน้าของท่าน  คนในอนาคตที่ได้ฟังฝ่าจะยิ่งมาก  แต่ไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะสามารถหยวนหมั่นหมด  และไม่ใช่ทุกคนมาฟังฝ่ากันหมด  บางคนไม่ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร  เขาก็ทิ้งจิตที่คิดจะรักษาโรคไม่ได้  จะบำเพ็ญอย่างไรนะ  เขายังไม่อาจมีสติขึ้นมา  นี่ใช้ไม่ได้  ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเราที่นั่งอยู่ล้วนไม่มีปัญหา  (เสียงปรบมือ) มีคนมากมายไม่คู่ควรจะฟังฝ่า ดังนั้นบนโลกมีคนมากมายไม่อาจจะเหมือนกับพวกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่อย่างนี้  ต้าฝ่านี้มีคุณสมบัติที่เข้มงวดของเขาอยู่  ท่านเห็นว่าท่านเดินผ่านประตูนี้เข้ามาตามชอบใจแล้ว  ได้ฟังฝ่าแล้ว  ท่านไม่ทราบว่าท่านมีวาสนาอะไรนะ ช่างบังเอิญอย่างนี้หรือ 

ศิษย์  จะทราบได้อย่างไรว่าตนเองสามารถบำเพ็ญได้

อาจารย์  ประตูของข้าพเจ้านั้นเปิดอยู่  ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้เปิดประตูใหญ่ไว้  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน ข้าพเจ้าเปิดจนไม่มีประตูแล้ว  เปิดจนหมดแล้ว  ไม่ว่าคนอะไร ขอเพียงท่านสามารถจะบำเพ็ญ ข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบต่อท่าน คำพูดนี้ท่านฟังเข้าใจแล้วกระมัง

ศิษย์     พวกรักร่วมเพศสามารถฝึกต้าฝ่าไหม

อาจารย์  ฝึกได้  แต่ต้องแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีนี้ทิ้งไป  เป็นคนที่สง่าผ่าเผย  ค้นพบตัวท่านเอง  ก้าวออกมาจากความมืดมิดในใจ(เสียงปรบมือ)

             เมื่อครู่ขณะที่ตอบปัญหาของผู้ฝึกคนนี้   เนื่องจากข้าพเจ้าบรรยายเรื่องบางอย่างของการบำเพ็ญให้กับผู้บำเพ็ญของเรา  ปัญหาที่เกี่ยวข้องค่อนข้างสูง  บางทีคนที่เข้ามาโดยบังเอิญหรือผู้ที่เพิ่งมาศึกษา อาจเข้าใจบางสิ่งบางอย่างได้ยากมาก  ไม่แน่ว่าอาจถือว่าพวกเราเป็นศาสนาอะไรอย่างหนึ่ง  ข้าพเจ้าสามารถบอกท่านได้ว่า พวกเราไม่ใช่ศาสนาอะไร  ข้าพเจ้าเพียงนำฝ่าชุดนี้บอกกับคน  ถ้าท่านคิดจะบำเพ็ญข้าพเจ้าจะช่วยเหลือท่าน  ถ้าท่านไม่คิดจะศึกษา  ก็แล้วแต่  พวกเราไม่มีรูปแบบอะไร  อะไรก็ไม่ยุ่งเกี่ยว  และไม่มีข้อกำหนดใดๆแบบศาสนา  และไม่เก็บเงินคนสักสตางค์แดงเดียว   ท่านมาในนี้ฟังได้ตามชอบใจ  อยากจะเรียนท่านก็เรียน  ไม่เรียนก็ไปได้

ศิษย์  การแพทย์เป็นอาชีพของผม  ถ้าผมชักชวนคนไข้บำเพ็ญ  โรคของพวกเขาไม่ต้องรักษาแล้ว    เช่นนั้นผมจะอาศัยอะไรยังชีพ
อาจารย์  นี่เป็นความกังวลประการหนึ่ง (ทุกคนหัวเราะกันแล้ว) ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  คนไข้ของท่านไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถบำเพ็ญ  บางคนท่านบอกเขา  เขาก็ไม่แน่ว่าจะบำเพ็ญ  ยังมีอีก หากเขามีวาสนาจริงๆ อาจจะมีคนไข้หลายคนก็มีวาสนาเช่นนั้น  เช่นนี้เขาก็เข้ามาแล้ว  ก็เดินเข้ามาบำเพ็ญ  อาจจะเป็นวาสนาชนิดนั้น  อย่างไรเสียสภาพการณ์อะไรก็อาจมีได้  พูดถึงว่าหมออาศัยการรักษาโรคยังชีพ  ท่านยังคงใช้ทัศนคติของคนธรรมดาสามัญไปพิจารณาปัญหา  ที่จริงไม่เหมือนกับที่ท่านคิดเช่นนั้น
คนไข้ยังจะมีอยู่  คนเก่าไปแล้ว คนใหม่ยังจะมา  ต้าฝ่าก็จะพิจารณาสิ่งเหล่านี้  นี่คือการพูดจากมุมมองของคนธรรมดาสามัญเช่นนี้  หากพูดในมุมมองของระดับชั้นสูง  หากคนไข้คนนั้นควรจะได้ฝ่า( เพื่อการหาเงิน ท่านไม่ให้เขาได้ฝ่า แน่ละท่านย่อมไม่พูดว่าเพื่อหาเงิน)  ท่านทำเพื่อยังชีพใช่ไหม ไม่ให้เขาได้ฝ่า  อย่างนั้นข้าพเจ้าว่าก็ไม่ถูกแล้ว ปัญหานี้ไม่เหมือนกับที่ท่านคิดเช่นนั้น

ศิษย์  ดิฉันกับสามีเริ่มฝึกฝ่าหลุนกงตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ.๑๙๙๗  ในเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๙๘  โดยฉับพลันสามีดิฉันก็ตายไปด้วยโรคหัวใจ     ดิฉันควรเข้าใจการตายของสามีอย่างไรดี
อาจารย์  หากเขาสามารถบำเพ็ญอย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ  ปฏิบัติตนในฐานะผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าคิดว่าจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้อย่างเด็ดขาด แน่ละ  ถ้าข้าพเจ้าบอกว่าเขาไม่บำเพ็ญ  ไม่ใช่การบำเพ็ญเลย  ท่านอาจจะรู้สึกไม่ใช่เช่นนั้น  แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  การบำเพ็ญเป็นเรื่องที่เข้มงวด  เนื่องจากคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งสามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นชีวิตระดับชั้นสูงที่เหนือธรรมดา  บำเพ็ญเป็นพระพุทธ  บำเพ็ญเป็นเทพ  เหมือนกับที่ชาวตะวันตกพูดว่าสามารถไปสวรรค์ได้  เช่นนั้นท่านว่าเรื่องใดของมนุษย์ยังจะเข้มงวดกว่ามันอีกไหม ล้วนไม่เข้มงวดเหมือนมัน  เช่นนั้นเมื่อเผชิญกับปัญหาอย่างนี้  ผู้บำเพ็ญควรปฏิบัติอย่างไรละ  ไม่ควรจะปฏิบัติต่อมันอย่างเข้มงวดหรือ  ปฏิบัติต่อโดยถือตนเองเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงหรือ  ในระหว่างการบำเพ็ญในใจเขายังคิดถึงโรคของตัวเอง  ยังคิดใฝ่หาชีวิตที่สุขสบายส่วนนั้นอยู่  อาลัยอาวรณ์ยึดติดอย่างมากกับสิ่งเหล่านี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญ  จึงก้าวหน้าไม่ได้  ที่จริงโรคที่อันตรายถึงชีวิตมากมายที่เคยมีอยู่ซึ่งควรจะเสียชีวิตนั้น ล้วนหายหมดแล้ว  กลายเป็นศิษย์ต้าฝ่าที่แท้จริงคนหนี่ง  ก็คือไม่อาจตายไปเพราะเป็นผู้ที่บำเพ็ญอย่างแท้จริง  ชะตาชีวิตของเขายืดยาวออกไปแล้ว

               แต่การฝึกพลังสามารถยืดอายุให้คนได้  ฝึกพลังไปเรื่อยๆ ก็ยืดอายุไปเรื่อยๆ  ดังนั้นคนสูงอายุจึงมีเวลามากพอจะฝึกได้  นี่คือจุดเด่นของการบำเพ็ญจิตและชีวิตของต้าฝ่าของเรานี้  เช่นนั้นคนป่วยในหมู่คนธรรมดาสามัญ ทำไมไม่อาจยืดชีวิตได้เหมือนกันละ แต่ท่านลองคิดดู  พวกเรายืดอายุให้เขาเป็นการให้เขามีชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญหรือว่า ให้เขาบำเพ็ญอย่างเข้มงวดละ  หากเขาจัดความสัมพันธ์นี้ไม่ถูกต้อง บำเพ็ญอย่างเฉื่อยชาจะใช้ได้หรือ  การยืดอายุให้คนนั้นทำเพื่อการบำเพ็ญอย่างเดียวเท่านั้น  แต่เขายังเป็นเหมือนเดิม จึงยากที่จะรับรองว่าเขาจะไม่สูญเสียชีวิต

มีคนมากมายที่เป็นโรคมะเร็งต่างก็หายดีแล้ว  แต่ก็มีคนป่วยโรคมะเร็งตายไป  เพราะอะไรละ  ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างให้ทุกท่านฟัง  บางคนพอเห็นว่าได้ฝ่าอย่างนี้แล้วจริงๆ  เขาก็ไม่ยึดติดอะไรแล้ว  ในขณะที่นอนอยู่เตียงผู้ป่วย เขาคิดว่า ฉันใกล้ตายแล้ว ฉันยังได้อ่านสิ่งนี้  ช่างน่าเสียดายนักทำไมไม่อ่านเร็วกว่านี้นะ  เขาไม่คิดว่าใช้สิ่งนี้สามารถรักษาโรคของเขาได้  เขาจึงรีบเร่งอ่านหนังสือ เขาพูดว่า ฉันอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว  ฉันต้องรีบอ่าน รีบๆอ่าน พยายามอ่านให้มากสักหน่อยในขณะที่ยังมีเวลาอยู่  อ่านหลายๆรอบ  แต่ว่า เขาสามารถลงจากเตียงแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว  เนื้องอกของเขาหายไปแล้ว  เขาสามารถเดินได้แล้ว เขาสามารถยืนขึ้นมาแล้ว  เขารู้สึกเบาตัวในทันใด  โรงพยาบาลตรวจโรคของเขาอีก  พบว่ามะเร็งของเขาไม่มีอีกแล้ว  แต่หมอมักไม่ยอมรับว่าต้าฝ่ารักษาโรคให้เขาได้  ถ้าเขายอมรับแล้วก็เท่ากับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันปฏิเสธตัวเอง  ดังนั้นเขาจะพูดว่า “อ้อ เมื่อก่อนตรวจผิดไป” เรื่องอย่างนี้มีมากเหลือเกินจริงๆ   

                แน่ละ  ก็มีคนอย่างนี้ เขาได้ยินว่าบำเพ็ญต้าฝ่าสามารถรักษาโรคได้ อา เขาจึงมาแล้ว แต่เขายังได้ยินว่า  หากท่านมาด้วยจุดมุ่งหมายที่จะรักษาโรค โรคของท่านก็จะไม่หาย  เท่ากับฝึกโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเป้าหมายของเราคือการบำเพ็ญ  ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรคให้คน  ขอเพียงท่านได้ต้าฝ่า  โรคของท่านก็สามารถหายได้  แต่หาใช่เพื่อการรักษาโรค  ถ้าเขาไม่คิดบำเพ็ญตามข้อกำหนดของต้าฝ่าเรา  ไม่คิดจะเป็นผู้บำเพ็ญ  เขาคิดเพียงต้องการรักษาโรค  แต่ต้าฝ่าที่เข้มงวดเช่นนี้ได้ถ่ายทอดให้เขา  สามารถทำเพื่อรักษาโรคละหรือ  ไม่ใช่  เช่นนั้นเขาก็เข้าใจแล้ว  อ้อ ฉันเพียงแต่ไม่พูดถึงโรค ไม่หาอาจารย์รักษาโรคให้  ถึงเวลาอาจารย์ต้องรักษาให้ฉันแน่  ท่านดูซิ ปากเขาไม่พูดว่าเขาเองหรือกระทั่งกับใครก็ไม่พูดถึงโรคแล้ว  แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ในใจเขายังคงคิดอยู่ ฉันเพียงแต่ฝึกพลัง  พอถึงเวลาอาจารย์ต้องรักษาให้ฉันหาย  เขายังคงคิดอยู่  ก็บกพร่องอยู่นิดหนึ่ง  ก็คือต่างกันโดยแก่นแท้  ก็บกพร่องอยู่นิดหนึ่ง  นั่นก็คือธาตุแท้ของเขาที่แท้จริง          เขายังคงคิดถึงการรักษาโรคของเขานะ

 ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มาแล้วเรามักจะยืดเวลาให้กับเขาเสมอ  ให้โอกาสเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  ในโรงพยาบาลประกาศว่าเขาจะตายในสองสามเดือน  แต่เราให้เวลากับเขา  ลากไปหนึ่งปี  หนึ่งปีครึ่ง สองปีแล้ว  เขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงทัศนคติของเขา  เขายังคงกังวลกับโรคของเขาอยู่  โรคของฉันจะกำเริบอีกหรือเปล่านะ  อาจารย์ดูแลฉันจริงๆใช่หรือไม่  รักษาให้ฉันจนถึงแก่นแท้แล้ว  ท่านดูซิในใจของเขายังมีอยู่  ปากของเขาไม่พูดกับใคร แต่ในใจเขายังคิดอยู่ว่า อาจารย์ต้องช่วยรักษาโรคให้ฉัน  เช่นนั้นโดยเปลือกนอกเขาฝึกพลังอยู่  แต่โดยแก่นแท้เขายังคงทำเพื่อรักษาโรค  เขามิใช่กำลังหลอกข้าพเจ้า หลอกคน หลอกต้าฝ่าหรือ  เขาหลอกใครก็ล้วนแต่เป็นของปลอม  แต่หลอกตัวเองนั่นจึงเป็นของจริง  การเปลี่ยนแปลงในใจที่แท้จริงนั่นจึงจะเป็นการบำเพ็ญจริง  เรามีผู้ฝึกหลายคน เป็นเพราะถึงอายุขัยของเขา หรือหมดอายุขัยแล้ว ชีวิตของเขาก็สามารถอยู่ได้เพียงอายุเท่านี้  ถึงเวลานั้นแล้ว  เขายังไม่อาจปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญได้  ก็จะตายไป  แต่มักจะเกินกว่ากำหนดเวลาที่จำกัดไว้แต่เดิมมากมายนัก  สามารถให้โอกาสเขา ให้เวลาเขา ให้เขาเปลี่ยนแปลง  ในเมื่อไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้วจริงๆ จึงปล่อยให้เขาไปแล้ว  โดยเปลือกนอกเขายังถือหนังสือของเราอ่านอยู่ ยังฝึกพลังอยู่  แต่เขาจะตายได้  และก็คือที่ข้าพเจ้าพูดว่า ไม่อาจเป็นไปได้ว่าผู้บำเพ็ญต้าฝ่ามากมายเช่นนั้นจะหยวนหมั่นได้ทั้งหมด  ที่ข้าพเจ้าพูดไปนั้นก็คือความหมายนี้  ก็คือว่าท่านไม่อาจปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง           ท่านไม่สามารถทำอย่างนี้ได้   คนที่อายุมากจึงต้องจากไป

   ในชีวิตหนึ่งของท่าน  การดำเนินชีวิตคนที่ท่านควรจะผ่านก็ได้ผ่านไปหมดแล้ว  ชีวิตในขณะนี้ท่านต้องรีบเร่งบำเพ็ญ  หากท่านทุ่มเทตนเองทั้งหมดเข้าไปเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ชีวิตของท่านจะยืดยาวได้  แน่ละการยืดออกไปชนิดนี้ท่านจะไม่ทราบว่ามันคือการยืดออกไป  ยังคงคล้ายกับชีวิตที่มีอยู่เดิม  ท่านฝึกพลังเรื่อยไป  ก็จะยืดชีวิตท่านเรื่อยไป  ก็สามารถจะเพิ่มเวลาฝึกพลังของท่านได้  ทำให้มีเวลาเพียงพอที่จะทำให้ท่านสามารถหยวนหมั่น  แต่ถ้าท่านไม่สามารถปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญ  ชีวิตคนทั้งหมดที่ยืดออกไปนั้น  ย่อมจะเสียชีวิตได้ทุกเวลา  เพราะท่านไม่อาจบำเพ็ญได้   ต้าฝ่าไม่สามารถยืดอายุของคนธรรมดาสามัญได้ตามอำเภอใจอย่างนี้ ชีวิตคนนั้นมีขีดจำกัด  ถึงเวลาใดที่เขาควรตายไป ควรไปเกิดใหม่  คนที่ฝั่งนั้นอยู่ในครรภ์แล้ว รอเขากลับชาติไปเกิด  จะเกิดแล้ว  แต่เขาไม่เกิด นี่จะได้หรือ  หลังจากเขาเกิดแล้ว  จะมีชีวิตอยู่ในสังคมกี่ปี จากนั้นเขาต้องไปทำงานนั้นของเขา  งานนั้นของเขายังรอเขาอยู่นะ  ท่านไม่ให้เขาไปจะได้หรือ  ท่านทำให้ลำดับของสังคมทั้งหมดยุ่งเหยิงแล้ว  มีแต่ผู้บำเพ็ญต้าฝ่าเราจึงสามารถทำเช่นนี้ให้ท่านได้  เพราะบนโลกไม่มีเรื่องใดอีกแล้วที่จะยิ่งใหญ่กว่าการที่คนๆหนึ่งจะบำเพ็ญกลับขึ้นไป  ดังนั้นจึงสามารถทำทุกสิ่งนี้ให้ท่าน  ไปจัดวางคนอื่น  สับเปลี่ยนท่านออกมา เป็นผู้บำเพ็ญ                ดังนั้นจึงพูดว่าผู้บำเพ็ญไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ

              ในฐานะคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ให้เขาได้หรือ  พวกเราไม่ควรต้องมองปัญหานี้อย่างจริงจังหรือ ก็เป็นเช่นนี้  ดังนั้นข้าพเจ้าพูดว่าต้าฝ่าดีถึงเพียงนี้  ท่านอย่าเห็นว่าข้าพเจ้าพูดว่าดี  พวกเราทุกคนได้ยินว่าจะหยวนหมั่นอย่างไร ต่างก็ปรบมือกัน ในทางกลับกัน  หากท่านไม่สามารถไปบำเพ็ญอย่างแท้จริง ท่านจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าท่านไม่อาจปฏิบัติตนเป็นผู้บำเพ็ญ  ก็จะไม่ได้อะไรเหมือนกัน  การยกระดับของซินซิ่ง  นั่นจึงจะเป็นการยกระดับที่แท้จริง ทุกวันเขาฝึกพลังเหมือนฝึกกายกรรม ก็จะไม่ตายหรือ  ข้าพเจ้าว่านั่นเป็นคำพูดล้อเล่น  เขาฝึกพลังทุกวัน  แต่ซินซิ่งของเขาไม่ได้ยกระดับ  หลักพลังที่เขาฝึกเท่ากับเป็นการฝึกกายกรรม  แต่ว่าก็บกพร่องอยู่นิดเดียวแค่นั้น  เขาก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง  หากท่านเปลี่ยนแปลงแล้ว  ท่านปล่อยวางทัศนคติของคนธรรมดาสามัญได้ ท่านก็จะทำได้  ท่านก็เป็นเทพ  หากท่านทำไม่ได้  ก็คือคน แต่จะทำได้ทั้งหมดนั้นพูดง่ายนะ  ถ้าไม่มีรากฐานความคิดของขั้นตอนการค่อยๆบำเพ็ญ ท่านบอกให้เขาปล่อยวาง   เขาก็ปล่อยวางไม่ลง

    วันนี้ท่านจึงเผชิญกับความตาย  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการตายชนิดไหน  เมื่อท่านเผชิญกับความตายท่านไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย  ท่านไม่ใส่ใจโดยแก่นแท้  ฉันตายไปแล้วคงจะได้ไปสวรรค์               เช่นนั้นเรื่องความตายก็จะไม่มีแล้ว

 ข้าพเจ้าไม่ใช่กำลังพูดถึงผู้ฝึกคนนี้ที่ถามคำถาม    ข้าพเจ้ากำลังอธิบายเหตุผลข้อหนึ่ง  ยืมคำถามนี้อธิบายเหตุผลนี้

ศิษย์  หากคิดจะแก้ไขปัญหาประการหนึ่ง  หรือปล่อยวางความคิดที่ผิดอย่างหนึ่ง ในเวลาที่ฝึกพลังมีความคิดหนึ่งที่ให้กำลังใจตนเอง จะช่วยได้หรือไม่

อาจารย์  เมื่อตอนเริ่มฝึกพลัง คงความคิดหนึ่งไว้เพื่อที่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับปณิธาน  ข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้าน  และไม่อาจบอกว่าท่านผิด  แต่การบำเพ็ญเป็นเรื่องหนึ่งที่ยิ่งใหญ่  เป็นเรื่องที่เข้มงวด  จำเป็นต้องใช้ “ความนึกคิด”อะไรไปควบคุมท่านหรือ คิดว่า “ฉันจะบรรลุการหยวนหมั่น  ฉันจะบรรลุเขตแดนชั้นสูง จึงฝึกอย่างนี้ ฉันคิดว่าดีที่สุด” เนื่องจากในวงการบำเพ็ญมีคำพูดหนึ่ง เรียกว่า “ได้โดยไม่แสวงหา”  นั่นเป็นสภาพการณ์ที่ดีที่สุด  เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้าพูดถึงคนป่วยโรคมะเร็งเหล่านั้นทำไมจึงหายได้ เขาก็ไม่คิดถึงการรักษาโรค   และไม่คิดว่าฉันอ่านหนังสือแล้วโรคจะหายได้  แต่เขากลับหายแล้ว  นี่จึงสอดคล้องกับ “ได้โดยไม่แสวงหา”  ไม่มีจิตยึดติดใดๆ     ไม่มีอุปสรรคใดๆ        เขาก็หายได้อย่างรวดเร็ว   ก็คือสาเหตุนี้

ศิษย์   ปัจจุบันคนที่มาเผยแพร่พุทธศาสนาในยุโรปมีมาก  ฝ่าหลุนต้าฝ่าของเรากับศาสนาพุทธอื่นต่างกันที่ตรงไหน

อาจารย์  ต่างกันมากเหลือเกินแล้ว  ผู้ที่พุทธศาสนาเคารพบูชาคือองค์ศากยมุนีพุทธ พวกเข้าถือว่าองค์ศากยมุนีพุทธก่อตั้งพุทธศาสนา  แน่ละศาสนาพุทธนิกายมหายานบูชาพระพุทธอื่น  ส่วนศาสนาลามะนิกายมี่จง  ก็คือศาสนาลามะนั้นของทิเบตประเทศจีน  มันต่างกันโดยสิ้นเชิงกับศาสนาพุทธที่องค์ศากยมุนีพุทธก่อตั้ง  ดังนั้นมันจึงเรียกว่าศาสนาลามะ   พระพุทธสูงสุดที่มันบูชาเรียกว่าพระยูไลต้ายื่อ ส่วนนิกายขาวบูชามีเล่อยื่อปา  นี่ล้วนไม่เหมือนกัน  ดังนั้นมันจึงไม่เหมือนกับพุทธศาสนาขององค์ศากยมุนีโดยสิ้นเชิงแล้ว  นี่คือพุทธศาสนา  ในขั้นตอนของการสืบทอดได้ก่อเกิดเป็นศาสนา  มีวัดของมัน  มีศาสนาของมัน มีพิธีกรรมและข้อปฏิบัติทางศาสนานานาชนิดเป็นต้น   ดังนั้นมันจึงเป็นศาสนา

  พวกเราที่นี่อะไรก็ไม่มี  ข้าพเจ้าไม่บอกให้พวกท่านทำเช่นนี้  เช่นนั้น  หรือว่าต้องเป็นเช่นนี้ เช่นนั้น อะไรก็ไม่มี  ตัวท่านเองไปอ่านฝ่า ศึกษาฝ่า  ทำตนเป็นคนดีได้อย่างไร ตัวท่านเองไปทำเอง  ดังนั้นนี่จึงไม่เหมือนกับศาสนาโดยสิ้นเชิง  จากรูปแบบของคนธรรมดาสามัญนั้นพวกเราเป็นการจัดการอย่างหลวมๆชนิดหนึ่ง  เป็นรูปแบบการบำเพ็ญชนิดหนึ่งอย่างนี้ ที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ  ทำไมเราจึงทำเช่นนี้นะ  เพราะเรามีต้าฝ่าชุดหนึ่ง เมื่อได้ศึกษาแล้วก็จะทราบว่าควรทำอย่างไร  หากเรารวมกันขึ้นมา เนื่องจากคนที่เรียนมีมาก  ในอนาคตก็จะก่อให้เกิดภัยพิบัติ จะเป็นภัยพิบัติต่อมนุษย์ได้             คือแต่ละคนไม่ทำการงานแล้ว  หลายร้อยล้านคนล้วนออกบวช นั่นใช้ไม่ได้  จะนำความยุ่งยากมาให้สังคม  สังคมมนุษย์  นั่นจะยอมให้ไม่ได้  ดังนั้นท่านไปทำงานของท่าน ไม่เพียงแต่ทำงาน  แต่ท่านยังต้องทำงานของท่านให้ดี  ถ้าท่านทำงานของท่านไม่ดี  ท่านก็เท่ากับไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของผู้บำเพ็ญ  เพราะผู้บำเพ็ญคนหนึ่งก่อนอื่นต้องเริ่มจากคนธรรมดาสามัญ  เป็นคนดีคนหนึ่ง  อะไรคือคนดีหนา  อยู่ที่ไหนท่านล้วนต้องเป็นคนดี  ท่านรับเงินเดือนนั้นมาจากนายจ้าง  แต่ท่านไม่ทำงานของนายจ้างให้ดี  ข้าพเจ้าว่าคนเขาก็ไม่สามารถพูดได้ว่าท่านเป็นคนดี  ท่านรับเงินเขาโดยเปล่าประโยชน์ใช่ไหม  จึงพูดว่าพวกเราต้องทำให้ดี  คนที่ไหนก็ต้องบอกว่าท่านเป็นคนดีทั้งนั้น

              ข้าพเจ้าบอกว่าศาสนาในปัจจุบันไม่สามารถช่วยคนได้แล้ว  ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่ามันเป็นศาสนานอกรีต  แต่ว่า  คนที่อยู่ข้างในของพวกมัน หลายคนล้วนทำเพื่อเงิน บางคนก็เพื่อจะอยู่ในวัด ในโบสถ์เก็บเงินมากๆ  พูดกันว่าในประเทศหนึ่งมีพระสงฆ์เป็นเศรษฐีใหญ่อันดับหนึ่ง  มีเงินมากที่สุด  มีเงินมากแล้วก็ส่งให้ที่บ้าน  นี่ไม่เหมือนกับการทำงานอาชีพแล้วหรือ  พระสงฆ์ในจีนยังแบ่งเป็นแผนก  แผนกภายนอกหาเงิน  ได้ยินว่ายังมีสำนักงาน  จึงพูดว่านี่ไม่ใช่การบำเพ็ญแล้ว   ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมรับว่ามันเป็นการบำเพ็ญ

             ยังมีบางศาสนาชนิดที่พูดเจาะจงเรื่องวันสิ้นโลกอะไร  พูดเจาะจงสิ่งเหล่านี้  นี่ล้วนเป็นศาสนานอกรีตร้อยเปอร์เซนต์   ที่กำลังสร้างความวุ่นวายให้สังคม  ไม่รับผิดชอบต่อสังคม  ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะแยกแยะศาสนานอกรีตเหล่านี้   ข้าพเจ้ายังสามารถบอกพวกท่านได้ว่า  นอกเหนือจากศาสนาถูกต้องดั้งเดิม  ทั้งหมดล้วนเป็นศาสนานอกรีต   ศาสนาถูกต้องดั้งเดิมนั้น  ข้าพเจ้าว่า ศาสนาโรมันคาทอลิก  ศาสนาคริสต์   ศาสนาพุทธ  ศาสนาเต๋า   ศาสนายิว  นี่ล้วนเป็นศาสนาถูกต้องดั้งเดิม  ในประวัติศาสตร์ยุคหลังๆ  โดยเฉพาะคือศาสนาเหล่านั้นที่เกิดขึ้นหลังศาสนาคริสต์ ร้อยละ ๙๙.๙ ล้วนเป็นศาสนานอกรีต   เพราะอะไรหรือ   แม้ว่ามันไม่กล้าทำเรื่องเลวที่ใหญ่โตอย่างนั้น  มันก็กระทบต่อการช่วยเหลือคน ในช่วงนั้นของการช่วยเหลือคน  กระทบต่อการบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้องของคน  กระทบต่อการเชื่อถือศาสนาที่ถูกต้อง   มันมิใช่ทำให้คนเสียเวลา  รบกวนฝ่าที่ถูกต้องหรือ  มันไม่ใช่นอกรีตหรือ  บาปของตัวมันเองนั้นหนักมากแล้ว  พอถึงยุคหลัง   ศาสนาในปัจจุบันไม่อาจช่วยคนได้แล้ว  คนมากมายล้วนเป็นนักการเมืองแล้ว

ศิษย์     ความเจ็บปวดที่เกิดจากจิตยึดติด        สามารถผันแปรกรรมได้ไหม

อาจารย์      ในการบำเพ็ญจิตยึดติดนี้ที่ท่านยึดติดอยู่แต่ไม่อาจทิ้งไปได้  ในความเจ็บปวดนี้ของการข้ามด่านสามารถชำระกรรม   แล้วชนิดไหนที่ชำระกรรมไม่ได้ละ  คือท่านรู้ชัดว่าเป็นจิตยึดติด  ท่านก็ยังอยากจะยึดติด  ก็ยังจะทำอย่างนี้   ความเจ็บปวดอย่างนี้ชำระกรรมไม่ได้    เพราะนี่คือท่านเจตนาทำผิดทั้งๆที่รู้  ตัวเองหาความยุ่งยากให้กับตัวเอง   สำหรับคนธรรมดาสามัญ ก็เป็นหลักการนี้   ก็จะเป็นอย่างนี้เช่นกัน  แต่เรื่องของคนธรรมดาสามัญเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย  สังคมคนธรรมดาสามัญจะพัฒนาอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญ  เราที่นี่ เพียงอธิบายฝ่ากับผู้บำเพ็ญเท่านั้น

ศิษย์       พวกรักร่วมเพศกรรมหนักใช่ไหม   เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะปล่อยวางจิตยึดติดบำเพ็ญต้าฝ่า

อาจารย์       ผู้ที่รักร่วมเพศ เพียงแต่ท่านปล่อยวางมัน  ปฏิบัติตนเป็นคนที่สง่างาม  จากนั้นเริ่มต้นบำเพ็ญ  จะไม่มีปัญหา  ไม่ต้องใส่ใจปัญหาเรื่องกรรม  ก็คืออย่าไปคิดอีก  ข้าพเจ้ามิใช่เคยพูดหรือว่า  ขอเพียงท่านสามารถบำเพ็ญ วิธีการอะไรข้าพเจ้าก็มีทั้งนั้น(เสียงปรบมือ)  พูดถึงเฉพาะว่ากรรมนี้หนักหรือไม่   ในจุดนี้เนื่องจากอวัยวะเพศนี้ในเวลาที่มันหลั่งนั้น จะหลั่งกรรมออกมาด้วย   เพราะมันเป็นอวัยวะอย่างนี้   ดังนั้นหากท่านไปมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ถูกต้อง   กรรมนี้ก็จะบังเกิดผล

ศิษย์       ท่านอาจารย์พูดว่า  จักรวาลน้อยสามพันจักรวาลประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สอง   และจักรวาลชั้นที่สอง ๓ พันจักรวาลประกอบเป็นจักรวาลชั้นที่ ๓  ทำไมล้วนเป็น “,๐๐๐”
อาจารย์       พวกท่านทราบว่าข้าพเจ้าเคยพูดไว้คำหนึ่ง  ข้าพเจ้าว่า ไม่มีปรากฏการณ์ของความบังเอิญ   “เป็นไปตามธรรมชาติ”นั้นไม่คงอยู่  วิทยาศาสตร์ไม่อาจรับรู้มันได้   เข้าใจมันไม่ได้  จึงจำกัดความว่า นี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ  ก็คือคำพูดนี้ จึงจำกัดความคิดของคนเอาไว้  คนก็ไม่คิดต่ออีกแล้ว   ยังเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ยังเป็นวิทยาศาสตร์อยู่อีก   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าน่าขัน   วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้แต่กลับสามารถหลอกคน  ที่จริงนะ  ไม่มีปรากฏการณ์ของความบังเอิญ   ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีชีวิตที่มีรูป กับ ชีวิตที่ไร้รูป คงอยู่ในเวลาเดียวกัน  แต่บทบาทของชีวิตที่ไร้รูปจำนวนมากมายมหาศาลนั้น เขาได้สร้างความสมดุลย์ให้กับทุกสิ่งในจักรวาล สร้างสรรค์ทุกสิ่งในจักรวาล
                พวกท่านคิดดู   ทำไมการเรียงลำดับโมเลกุลของเหล็กจึงเป็นระเบียบเช่นนั้น  ทำไมการเรียงลำดับโมเลกุลของทองจึงเป็นอย่างนั้น  ทองแดงทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อลูมิเนียมทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  และเรียงลำดับอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบ  ถ้ามันเรียงลำดับไม่สม่ำเสมอ  ไม่เป็นระเบียบ นั่นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันหนึ่ง  การเปลี่ยนแปลงอะไรหรือ    หากทองไม่เรียงลำดับโมเลกุลไปตามธาตุของโลหะนั้น  มันก็จะเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น  ความแตกต่างนั้นอยู่ที่ชั้นผิว  เช่นนั้นทุกสิ่งนี้จึงล้วนแต่มีกฏเกณฑ์  และกฎเกณฑ์ชนิดนี้ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติอย่างแน่นอน  เพียงแต่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ทราบ  ค้นคว้าไปไม่ถึง  มีชีวิตที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่า ชีวิตชั้นสูงจำนวนมากมายมหาศาลกำลังทำเรื่องต่างๆที่แตกต่างกัน   ควบคุมดูแลเรื่องที่ต่างกัน  สร้างดุลยภาพให้กับทุกสิ่ง

              ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน  ที่ผ่านมาข้าพเจ้าไม่อยากพูด  เพราะทัศนคติของคนในสายตาของชีวิตชั้นสูงนั้น  เมื่อเทพมองดู มันล้วนแต่ไร้เดียงสาอย่างน่าขันยิ่งนัก  ทฤษฎีทั้งหมดที่วิทยาศาสตร์นี้สร้างสรรค์ให้คน เมื่อไปถึงระดับชั้นสูงแล้ว  ท่านจะพบว่าล้วนแต่น่าขันทั้งนั้น   วิทยาศาสตร์เข้าใจว่าคนปัจจุบันที่อาศัยอยู่บนโลก  สามารถยืนอยู่บนโลกได้ไม่ล่วงลงไปในอวกาศ ไม่ตกลงไป  เป็นเพราะโลกมีแรงดึงดูด  “แรงโน้มถ่วง”นั้น ที่จริงเราพบว่าไม่ใช่เรื่องราวเช่นนั้น    การบรรยายฝ่าของข้าพเจ้า ไม่ได้บรรยายให้กับคนในสังคมฟัง   เป็นการบรรยายให้กับเหล่าศิษย์ผู้บำเพ็ญฟัง  ขอบอกสัจธรรมของจักรวาลให้กับพวกท่าน     คือสภาพการณ์คงอยู่ที่แท้จริงของชีวิต และ สสาร  เนื่องจากในจักรวาลนี้  ขอบเขตโดยรอบโลกมีสภาพแวดล้อมของสสารที่จุลทรรศน์มากๆจำนวนมหาศาล  ซึ่งประกอบขึ้นมาจากสสารของชีวิตระดับชั้นต่างๆ   ประกอบเป็นสภาพแวดล้อมนี้ให้กับคน  ที่ทำให้คนสามารถดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ได้   และน้ำระดับจุลทรรศน์ในระดับชั้นที่ต่างกันซึ่งท่านมองไม่เห็น  สร้างปัจจัยต่างๆมากมายให้กับท่านที่ทำให้สามารถมีพืช สัตว์และวัตถุสสารคงอยู่ได้  สามารถทำให้คนมีพลังชีวิต สามารถดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ได้ 

    มีสสารชนิดหนึ่งมันสามารถทำให้คนยืนตรงบนพื้นได้  ไม่ให้คนต้องเอียงลง  มีสสารชนิดหนึ่งที่เหมือนแรงกด  กดคนและวัตถุไว้ไม่ให้ลอยขึ้นมา  และมีสสารชนิดหนึ่งสามารถทำให้สมองและอวัยวะทั้งหมดของคนตั้งมั่นอยู่ได้อย่างมั่นคง  หากสมองและอวัยวะของท่านไม่มั่นคง   เวลาที่ท่านยืนอยู่ตามปกติ ท่านจะรู้สึกเหมือนกับนอนอยู่หรือต่อให้ท่านยืนตรงแค่ไหน  ท่านจะพบว่าท่านยืนไม่ตรงอยู่เสมอ   มันไม่ใช่การหมุนของโลกที่ก่อให้เกิดแรงดึงดูด    เช่นทรายที่อยู่ในจานใบหนึ่ง หากท่านหมุนจาน  มันก็จะลอยออกไป   ไม่ใช่เรื่องเช่นนั้นแต่อย่างใด

แต่หากคนไปพ้นสภาพแวดล้อมนี้ของโลก  พอออกไปนอกสภาพแวดล้อม  ท่านก็ออกไปพ้นขอบเขตที่ชีวิตชั้นสูงนั้นรักษาไว้ให้ท่าน  เช่นนั้นคนๆนี้ก็หลุดพ้นไปจากสภาวะชนิดนี้   วิทยาศาสตร์ปัจจุบันตั้งชื่อเรียกว่า “สภาวะไร้น้ำหนัก”หรือ “ปรากฎการณ์ไร้น้ำหนัก”    ทุกท่านทราบแม้ว่ามันไร้น้ำหนัก   ดวงจันทร์เป็นวัตถุที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น อยู่ไกลถึงเพียงนั้นยังถูกโลกชักนำอยู่ได้   แต่คนยังไปไม่ทันถึงดวงจันทร์  ที่ตรงนั้นจะไร้น้ำหนักได้อย่างไรละ

                คนมีสภาพแวดล้อมของการดำรงอยู่  ดวงดาวแต่ละดวงล้วนแต่ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งนั้น  ก็คือชีวิตจำนวนมหาศาลของจักรวาลกดมันไว้ที่ตรงนั้น  ก็เหมือนกับโมเลกุล กับอะตอมที่เรียงลำดับอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงภายในเหล็กกล้าเอย เหล็กเอย ทองเอยของเราในวันนี้   ข้าพเจ้าว่าไม่มีปรากฎการณ์ธรรมชาติ  ซึ่งวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมดไม่อาจเข้าใจจึงเรียกรวมว่า “ธรรมชาติ”แต่กลับหลอกคนได้   คำพูดนี้กลับหลอกคนทั้งหมดได้    เพราะอะไรจึงล้วนเป็น ๓ พันหรือ  ตัวเลข ๓ พันนี้  ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดก็คือการบอกทุกท่านว่ามันมีกฎเกณฑ์  มีการจัดวาง  แต่ไม่ใช่ตายตัวว่าต้องเป็น ๓ พัน  เพราะที่ข้าพเจ้าพูดนั้นล้วนเป็นตัวเลขคร่าวๆ  เพื่อให้พวกท่านสามารถเข้าใจได้มากที่สุด          ใช้ภาษาของคนแสดงออกมา

ศิษย์       พวกเราหงฝ่าไม่ราบรื่น  เป็นปัญหาความกระตือรือล้นและวิธีการ หรือปัญหาของการศึกษาฝ่าไม่ลึกซึ้ง  บางคนบอกว่า “ธาตุแท้ที่รู้แจ้งได้แล้วจะรู้เองได้โดยธรรมชาติว่าควรไปทำอย่างไร”นี่ถูกต้องไหม
อาจารย์      ที่พูดมานั้นถูกต้อง   แต่ในสภาพการณ์ปัจจุบันยังไม่อาจบรรลุถึง  ดังนั้นภายใต้สภาพการณ์ปัจจุบันยังต้องทำไปตามสภาพการณ์ปัจจุบัน  ท่านอยากให้คนอื่นได้ฝ่า ท่านก็นำหลักการของฝ่าที่ต่ำที่สุด  ชั้นผิวที่สุด พูดกับเขา  ดูว่าเขาคิดจะบำเพ็ญหรือไม่  เพราะหากท่านคิดจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนอื่นใช่ไหม  เขาคิดจะศึกษา  เขาก็จะศึกษา  หากเขาไม่คิดจะศึกษา ท่านก็อย่าไปหว่านล้อมให้เขาศึกษา  เพราะหากใจคนไม่เปลี่ยน ท่านหว่านล้อมเขา  จะต้องให้เขามาศึกษาเพื่อรักษาหน้า  นั่นล้วนแต่เป็นของปลอม   เขาเห็นแก่หน้าเพื่อนจึงมา นั่นเป็นของปลอม    เขาก็จะไม่ได้อะไร    การให้ท่านได้ฝ่านั้นไม่มีกฎเกณฑ์ที่เป็นรูปเป็นร่างที่เป็นรูปธรรมอะไร  เพราะเราเดินบนเส้นทางเต๋าใหญ่ไร้รูปนี้  การหงฝ่าก็เป็นการไปทำด้วยสำนึกของตน  คนอยากจะเรียนก็เรียน  ไม่อยากเรียนก็แล้วไป  ท่านกำหนดตัวท่านเอง นั่นล้วนขึ้นอยู่กับท่านเอง   แน่ละ  ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  เพียงซินซิ่งท่านยกระดับขึ้น  เรื่องอื่นนั้นอาจารย์จะดูแลทั้งหมดอย่างแน่นอน   ซินซิ่งยกระดับ                        อาจารย์ก็จะสร้างสภาพเงื่อนไขให้กับท่านได้

  และไม่ใช่ปัญหาการศึกษาฝ่าไม่ลึกซึ้ง   เรื่องที่ข้าพเจ้าห่วงมากที่สุดคือ หลังจากพวกเราผ่านการบำเพ็ญได้ระยะหนึ่ง  ทุกคน  ไม่ว่าจากเขตแดนหรือการรับรู้ปัญหาล้วนจะแตกต่างอย่างมากกับคนธรรมดาสามัญ   ฉะนั้นหากท่านจะนำคำพูดในเขตแดนที่สูงอย่างนี้ของท่าน พูดให้เขาฟัง ผลลัพธ์ก็จะไม่ดี  เพราะเขายังคงเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง  คนธรรมดาสามัญแต่ละวันจ้องแต่เล่นหุ้น  ต่อสู้แย่งชิงกับคนเขา  ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว  พอได้มานิดหนึ่งก็ดีใจเหลือเกิน   แต่พอเสียไปนิดเดียวก็ปวดร้าวเหลือเกิน   ทำตามอำเภอใจอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ  เต็มไปด้วยตัณหาทั้งหกกามคุณทั้งเจ็ด  นี่ก็คือคนธรรมดาสามัญ   หากท่านจะพูดเรื่องการบำเพ็ญที่สูงมากในทันที  ทัศนคติของเขาก็จะรับไม่ไหวแน่    ท่านเพียงแต่บอกเขาถึงสิ่งที่อยู่บนชั้นผิวของตัวหนังสือ  ส่วนความนัยนั้นให้เขาไปอ่านเอง  ข้าพเจ้าว่าเขาก็จะรับได้ง่าย

ศิษย์       บางคนบอกว่า  สายตาสั้นเป็นสภาวะที่ผิดปกติ  จึงแนะนำให้คนที่ใส่แว่นตาให้ถอดแว่นตาออก   บอกว่าทำอย่างนี้สามารถสลายกรรมได้

อาจารย์       ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้  ทุกคนก็อย่าไปทำอย่างเป็นเอกภาพ  ที่นี่ ข้าพเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์ว่าเรื่องอะไรต้องทำอย่างไร    เช่นนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ  ทุกท่านก็อย่าทำเช่นนี้    เนื่องจากสภาพการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เนื่องจากในเวลาที่เขาบำเพ็ญ กรรมทางด้านไหนที่ขจัดมันทิ้งไปได้ง่าย  จะแก้ไขให้เขา  แต่หลายคนนั้นไม่ใช่สภาพการณ์ที่ง่ายๆ  ในด้านนี้เป็นเพียงกรรมทั่วๆไป  เช่นนั้นจึงสลายไปได้รวดเร็ว  สวมแว่นตาไม่ได้แล้ว  พอใส่แว่นตาก็เริ่มพร่ามัว   รีบถอดออกมาก็จะหาย  เป็นเหมือนตาปกติ  คนอย่างนี้ ก็คือบอกท่านว่าไม่อาจใส่แว่นสายตาได้อีกแล้ว  ตาของท่านไม่มีปัญหาแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่าในครั้งก่อนที่นิวยอร์ก เมื่อข้าพเจ้าเพิ่งบรรยายฝ่าจบลง  ผู้ฝึกเราคนหนึ่งหลังจากฟังฝ่าจบแล้ว  คนอื่นปัดมือทีเดียวก็ทำให้คอนแทคเลนส์นั้นของเขา(ก็คือเลนส์นั้นที่ใส่อยู่ในตา)หลุดไปแล้ว  ตกลงไปแล้วยังแตกอีก  แต่ไม่ได้ทำให้ตาบาดเจ็บ  ที่จริงนั่นคือการบอกเขาว่าตาเขาหายดีแล้ว      แต่เขารับรู้ไม่ได้ยังฝืนใส่คอนแทคเลนส์อีกข้างหนึ่งต่อไป  แต่ข้างนี้ตาข้างที่ไม่ได้ใส่เลนส์นี้สายตาสามารถมองเห็นเหมือนกับใส่เลนส์ มองเห็นได้ชัดเจนมาก ในเมื่อมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นได้ชัดเจนมากแล้ว เขายังใส่คอนแทคเลนส์อีกข้างหนึ่ง  เขารู้สึกว่าตาสองข้างมีความต่างกัน  ไม่สบายตา  นี่ก็แสดงให้เห็นว่าคอนแทคเลนส์ไม่เกิดผลในการปรับแก้สายตาแล้ว    เขาควรถอดออก  เขาไม่ถอด  จึงฝืนใส่ต่อ  แต่เขารับรู้ได้ครึ่งหนึ่ง  เขาพูดว่าตาข้างนี้ใส่แว่นตาไม่ได้แล้ว    แต่ว่ายังคงฝืนใส่ไว้อีกข้างหนึ่ง ที่จริงก็หายดีแล้ว

     แต่ว่านะ  บางคนก็ไม่เหมือนกัน  บางคนสายตาสั้นของเขานั้นยังเชื่อมโยงกับปัจจัยอื่นที่ซับซ้อน  ยังต้องค่อยๆบำเพ็ญไปแล้วค่อยจัดการให้เขา    เช่นนี้จึงไม่อาจถอดแว่นออกได้เร็วนัก   หากใจเขาเกิดความคิดอย่างหนึ่งว่า คนอื่นที่สวมแว่นตา พอฝึกพลังก็ถอดได้แล้ว   หรือว่าฉันจะต้องถอดออกให้ได้  ถอดไม่ได้ฉันก็จะถอด  เช่นนั้นอาจจะนำความยุ่งยากมาสู่การทำงานหรือการดำรงชีวิตของเขา  เพราะนั่นตัวเองฝืนทำ   เมื่อเขามีจิตใจนี้  อยากทำอย่างนี้  ก็ได้  แต่ว่านะ  เขาก็จะไม่สะดวก  เขาก็ฝืนจะทำอย่างนี้ซึ่งอาจนำความยุ่งยากตามมา   ก็ไม่ได้  ในด้านนี้ข้าพเจ้าคิดว่าก็ทำไปตามสภาพการณ์ที่ต่างกัน   ปฏิบัติต่างกันไปจะดีกว่า      เพราะมันไม่เหมือนโรคอย่างอื่น  ซึ่งมันกระทบต่อการบำเพ็ญของท่าน อันนี้จะไม่กระทบ สวมแว่นตาอ่านหนังสือได้ ฝึกพลังได้ ถ้ากระทบกับการบำเพ็ญของท่าน   เราจะต้องแก้ไขปัญหานี้เป็นการเฉพาะให้จริงๆ   ดังนั้นอย่ากำหนดอย่างแข็งทื่อหรือกำหนดให้เป็นเอกภาพ  ทุกท่านอย่าทำเช่นนี้

ศิษย์       ในขณะศึกษาฝ่า ในทันใดก็เข้าใจหลักการหนึ่ง  ใช่ไหมว่าซินซิ่งบรรลุถึงระดับชั้นนี้  พระพุทธ เต๋า เทพ ในระดับชั้นนี้จึงเปิดความสว่างทางปัญญาในระดับชั้นนี้ให้แล้ว

อาจารย์        สามารถเข้าใจอย่างนี้ได้   เพราะการบำเพ็ญขึ้นอยู่กับตัวเอง พลังขึ้นอยู่กับอาจารย์   ที่จริงทั้งหมดนั้นล้วนไม่ใช่สิ่งที่ท่านทำ  ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ท่านสามารถจะทำได้   ท่านคิดดู  พวกเราบางคนในระหว่างที่บำเพ็ญต้าฝ่า อ่านหนังสือนับร้อยรอบก็มีแล้ว  เขายิ่งอ่านก็พบว่าข้างในนั้นมีของยิ่งมาก   แต่ด้านบนตัวอักษรนั้นไม่มี   ทำไมเขา(หนังสือ)จึงแฝงไว้ด้วยหลักการที่สูงล้ำเช่นนั้นได้ละ  เขาก็พูดได้ไม่ชัดเจน   ที่จริงเป็นเพราะเบื้องหลังตัวอักษร มีฝ่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่นั่นเอง   พอถึงระดับชั้นไหน  ท่านบำเพ็ญถึงระดับชั้นไหน  พอถึงเวลาที่ควรให้ท่านทราบหลักการในระดับชั้นใด พอท่านอ่านถึงหนังสือบรรทัดนั้น ในทันใดท่านก็จะเข้าใจได้แล้ว หรือพูดว่า   พระพุทธ  เต๋า  เทพ ข้างหลังนั้นควรให้ท่านทราบหลักการของระดับชั้นนั้นแล้ว   เขาจึงบอกความนัยให้ท่าน  ดังนั้นในทันใดนั้นท่านจึงพูดว่า อ้อ เข้าใจแล้ว  แต่ยังมีอีกสภาพการณ์หนึ่งที่ท่านไม่สังเกต  เมื่อท่านเข้าใจหลักการในระดับชั้นนั้น  เข้าใจหลักการของคำพูดประโยคนั้น ร่างกายท่านจะมีปฏิกิริยาที่ต่างกันสะท้อนออกมา  บ้างจะรู้สึกร่างกายสั่นสะเทือน   บ้างจะรู้สึกว่ากระหม่อมร้อนวูบ  แล้วทะลวงตลอดลงไปถึงฝ่าเท้า   บางคนในทันใดร่างกายจะขยายตัวออกด้วยกระแสความร้อนชนิดหนึ่ง  รู้สึกคล้ายความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง   ล้วนมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน   ในขณะนั้นสภาพการณ์ทั้งหมดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  แต่ความรู้สึกที่ได้รับที่ชั้นผิวของร่างกายที่ประกอบขึ้นจากโมเลกุลชั้นที่ใหญ่ที่สุดกลับอ่อนมาก  ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเพียงความรู้สึกอันหนึ่งอย่างนี้

     แต่ร่างกายท่านส่วนนั้นที่ประกอบขึ้นจากอนุภาคในระดับจุลทรรศน์ยิ่งขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย  นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง(แบบลอกคราบใหม่)จริงๆ  เนื่องจากท่านจะเข้าสู่ระดับชั้นนั้น  ท่านก็ต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดที่มีต่อท่านตามมาตรฐานของชีวิต ร่างกายและเขตแดนของความนึกคิดในระดับชั้นนั้น  จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นนั้น  แต่พอถ่ายทอดมาถึงชั้นผิวนี้ของร่างกายท่านก็จะอ่อนมาก  เป็นเพราะเราเปลี่ยนแปลงร่างกายท่านจากธาตุแท้ จากชีวิต ณ ระดับจุลทรรศน์ที่สุดในการบำเพ็ญ และแบ่งส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วออกจากส่วนนั้นของท่านที่บำเพ็ญยังไม่สำเร็จ  ดูไปคล้ายเป็นร่างเดียวกัน  ที่จริงตรงกลางนั้นแยกออกจากกัน  ไม่เชื่อมต่อกัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่เชื่อมต่อกันอย่างเด็ดขาดเสียทีเดียว  หากส่วนสำคัญนั้นจะไม่เชื่อมต่อกัน  อย่างน้อยที่สุดร่างกายชั้นผิว ส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จ จะไม่เคลื่อนไหว  มันมีข้อดีอะไรหรือ  ก็คือ ท่านบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญ ท่านยังคงมีพฤติกรรมของคนธรรมดาสามัญ  พฤติกรรมของตัณหานานาชนิด  กระทั่งพูดคำพูดต่างๆนานาของคนธรรมดาสามัญออกมา ซึ่งไม่อาจจะให้เทพไปพูดหรือทำอย่างนั้นได้    หากส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วของท่านพูดตามไปด้วย  ทำเรื่องต่างๆตามร่างกายของคน   นี่ก็ไม่คู่ควรจะเป็นส่วนของเทพ  ส่วนนี้ก็จะเป็นคนไปด้วยแล้ว     ก็คือหลักการนี้ 

    เพื่อไม่ให้ท่านตกลงไป  เราจึงได้แต่คงส่วนที่ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จของท่านไว้ในหมู่คนธรรมดาสามัญ แต่ส่วนที่บำเพ็ญสำเร็จนั้นรักษาไว้ไม่ให้ทำอะไร   พฤติกรรมทั้งหลายที่ท่านมีล้วนรบกวนความคิดของฝั่งนั้นไม่ได้   รบกวนร่างกายที่ฝั่งนั้นไม่ได้  ดังนั้นจึงแยกมันออก   เราจึงเลือกวิธีการอย่างนี้  ท่านยังสามารถทำงาน ศึกษาเล่าเรียน  ดำรงชีวิต และสามารถบำเพ็ญอยู่ในหมู่คนธรรมดาสามัญได้   ส่วนนั้นที่หยวนหมั่นแล้วก็แยกออกไป อย่างไม่หยุดหย่อน  บางคนพูดว่าในความคิดของผมยังสามารถสะท้อนความคิดที่ไม่ดีออกมา ยิ่งกว่านั้นยังเป็นความคิดที่สกปรกกว่า       ท่านไม่ต้องกลัว  เป็นเพราะมันยังบำเพ็ญไม่ถึงชั้นผิว  แต่ท่านก็ต้องควบคุมมันไว้  ผลักไสมัน   นี่ก็คือการบำเพ็ญใช่ไหม  แต่ว่า  หากร่างกายท่าน มิพักต้องพูดว่า มีร่างกายส่วนมากเพียงนั้นบำเพ็ญสำเร็จแล้ว  ก็คือมีเพียงเล็กน้อย  ไหนเลยจะเกรงว่ามีเพียงเซลล์ร่างกายคนเซลล์หนึ่งบรรลุถึงเขตแดนนอกสามภพนั้นแล้ว(นอกสามภพก็เป็นอรหันต์แล้ว  เซลล์ๆนั้นที่บรรลุเขตแดนอรหันต์) เขาก็จะสามารถควบคุมทั่วทั้งร่างกายท่านได้  เพราะส่วนอื่นของร่างกายท่านล้วนอยู่ในสามภพ ซึ่งจะอ่อนแอมาก  เขาเป็นชีวิตชั้นสูง  เขาแข็งแรงมาก  เขาสามารถควบคุมความคิดของท่านทั้งหมดได้  คำพูดและการกระทำทั้งหมดของท่านก็จะไม่ใช่พฤติกรรมของคน      ล้วนจะเป็นพฤติกรรมของเทพ

     ทำไมพวกท่านบำเพ็ญนานถึงเพียงนี้แล้วยังบรรลุถึงจุดนี้ไม่ได้ละ  ที่จริงก็คือเรากันเขาออกไปแล้ว    ดังนั้นท่านจึงบรรลุไม่ถึง   หากท่านบรรลุถึงได้จริงๆ ข้าพเจ้าว่าหากวันนี้จะเปิดพวกท่านออกทั้งหมด  ก็คือ ณ ขั้นตอนปัจจุบันที่ระดับนี้  โลกก็จะรองรับพวกท่านไว้ไม่ไหว  แต่ละคนล้วนมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่   ในชั่วขณะที่องค์ศากยมุนีพุทธเปิดการรับรู้นั้นมีการสั่นสะเทือน  ในขณะนั้นเข้าใจกันว่าเป็นแผ่นดินไหว  ภูเขาถล่มและทะเลปั่นป่วน   ภูมิประเทศในขอบเขตที่ใหญ่มากล้วนสั่นสะเทือนแล้ว   แล้วคนมากมายอย่างนี้  พวกท่านคิดดู  โลกย่อมจะทนไม่ไหว  เพราะร่างกายอีกมิติหนึ่งสามารถจะใหญ่อย่างไม่จำกัด  ใหญ่อย่างไม่จำกัดในระดับชั้นต่างๆที่ท่านอยู่              คำพูดนี้หมายถึงอะไรละ  อย่างเช่นว่าท่านบำเพ็ญได้สูงเพียงนี้  ท่านบำเพ็ญถึงสวรรค์ชั้นที่หนึ่งแล้ว  ร่างกายของท่านจะขยายใหญ่จนถึงสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น  และก็สามารถหดเล็กมากๆได้    แต่กายเนื้อของคนในปัจจุบันนี้ ประกอบขึ้นจากอนุภาคโมเลกุลชั้นที่ใหญ่ที่สุด    เขาไม่มีสติปัญญา(intelligence) ดังนั้นเขาจึงดูคงที่  ที่จริงมันก็ไม่คงที่  โมเลกุลของร่างกายท่านก็กำลังเคลื่อนไหว  หากขยายภาพให้ใหญ่ด้วยแว่นขยาย  ร่างกายของท่านก็เหมือนกับเม็ดทราย  โมเลกุลที่อยู่ข้างในล้วนขยับไปมา  ล้วนกำลังเคลื่อนไหวอยู่   ดวงตาของท่านก็ประกอบขึ้นจากโมเลกุล  ดังนั้นท่านจึงมองไม่เห็น  เหตุใดองค์ศากยมุนีพุทธจึงสามารถมองได้จุลทรรศน์ถึงระดับนั้น   เพราะตาของพระองค์เป็นตาของพระพุทธ  ซึ่งประกอบขึ้นจากสสารระดับชั้นสูงมากๆ  ดังนั้นพระองค์จึงสามารถมองทะลุสสารได้มากมาย

ศิษย์      พระพุทธ เต๋า เทพในระดับชั้นที่นับไม่ถ้วน รวมทั้งที่อยู่ในเขตแดนที่สูงกว่า คือรูปลักษณ์ของปัญญาญาณของท่านอาจารย์ที่ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมในระดับชั้นนั้นใช่หรือไม่

อาจารย์        ไม่อาจพูดอย่างนี้  ท่านบำเพ็ญสำเร็จแล้ว  ท่านก็เป็นตัวท่านเอง  แต่กล่าวสำหรับฝ่าจำนวนมากมายมหาศาลกับจักรวาลที่ฝ่าสร้างขึ้นมาแล้ว  ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล  ร่างกายของคนนั้น ท่านเห็นมันเป็นความนึกคิดที่สมบูรณ์แบบและปากนี้ที่กำลังพูดอยู่  แต่ท่านทราบว่าสิ่งที่ประกอบเป็นร่างกายนี้มาจากเซลล์จำนวนนับไม่ถ้วน และเซลล์จำนวนนับไม่ถ้วน  โมเลกุลประกอบขึ้นเป็นเซลล์ และยังมีอนุภาคที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบขึ้นเป็นโมเลกุล ท่านจะพูดได้หรือว่าเหล่านี้มันไม่ใช่ท่าน ดังนั้นอนุภาคเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของท่าน     เป็นคนละเรื่องกับที่ข้าพเจ้าพูดถึงร่างกายของท่านที่คงอยู่ในมิติที่ต่างกัน  เซลล์ของท่านไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้มากมายเหมือนมือกับเท้าของท่าน   แต่ท่านทราบว่าในเขตแดนนั้นของมันก็เป็นการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันนี้   เพียงแต่ในเขตแดนนั้น  จุลทรรศน์อย่างมาก  ท่านมองไม่เห็นมัน  คล้ายกับมันไม่เคลื่อนไหว  ดังนั้นร่างกายทั้งหมดของท่าน  ดูเหมือนท่านควบคุมได้เอง   ภายใต้การควบคุมของจิตสำนึกหลัก   แต่พวกท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลทั้งมวลนี้  จักรวาลนี้ประกอบขึ้นจากฝ่านี้  ก็เป็นความสัมพันธ์เช่นนี้

ศิษย์        เวลามีจำกัด  ทั้งอยากอ่านทำความเข้าใจ  ทั้งอยากท่องหนังสือ  แต่รู้สึกว่าการท่องหนังสือจะกระทบต่อการอ่านทำความเข้าใจ  จะจัดความสัมพันธ์นี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร

อาจารย์       ในเวลาที่อ่านทำความเข้าใจจะเป็นประโยชน์มากต่อการยกระดับของท่าน ถ้าจะท่องหนังสือ  ท่านได้แต่ทำในช่วงเวลาหนึ่งที่กำหนด  ช่วงชิงมุมานะท่องให้ได้  จากนั้นใช้เวลาที่เหลืออ่านทำความเข้าใจ  แต่ต้องรวบรวมเวลาท่องเขาให้ได้    หาไม่แล้ว   ท่านประเดี๋ยวอยากอ่านทำความเข้าใจ  ประเดี๋ยวอยากท่อง   ประเดี๋ยวอยากอ่านทำความเข้าใจ  มัวแต่คิดอยู่อย่างนี้  นั่นก็จะเป็นอย่างนี้อยู่เสมอ ในเวลาที่ท่านท่องหนังสือจะไม่กระทบการอ่านทำความเข้าใจของท่าน และจะไม่กระทบต่อท่านจนไม่สามารถยกระดับอันเนื่องจากไม่อาจจะอ่านทำความเข้าใจ เพราะในเวลาที่ท่านท่องหนังสืออยู่นั้น เบื้องหลังของทุกตัวอักษรล้วนมีพระพุทพ เต๋า เทพจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกตัวอักษรล้วนสามารถให้ท่านเข้าใจหลักการของระดับชั้นที่ต่างกัน

ศิษย์        ผมจัดเป็นคนยุคนั้นที่เคยเห็นสัญลักษณ์นาซี  เรียนถามว่าทำไมสัญลักษณ์นี้จึงถูกเขาขโมยใช้   พวกเราจะมองความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์อย่างไรดี

อาจารย์        ทุกท่านทราบ   การรับรู้สัญลักษณ์“”ของสายพุทธนี้  ในศาสนาพุทธตั้งแต่ยุคสมัยขององค์ศากยมุนีพุทธก็เป็นที่รู้จัก   ถึงปัจจุบันก็สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว   เช่นนั้นจึงพูดได้ว่าห่างไกลจากยุคนาซีมาก   ว่ากันว่ามีคนเคยค้นพบในอารยธรรมกรีก  นั่นก็ยิ่งยาวนานกว่าศาสนาพุทธพันกว่าปี   ก็คือว่าประวัติศาสตร์ของมันนั้นยาวนานมาก   นี่ก็เป็นเพียงสิ่งที่สามารถให้คนรับรู้  ที่จริง  มันเป็นของพระพุทธ  พระพุทธมีอายุมากเท่าไรละ  นั่นไม่อาจใช้เวลา(เวลาในโลก)มาคำนวณได้  ดังนั้นสัญลักษณ์นี้ เขาอยู่บนร่างนภา  อยู่ในจักรวาลยาวนานเก่าแก่มากเหลือเกิน        สิ่งที่อยู่ในจักรวาลล้วนแต่เก่าแก่ นับประสาอะไรกับเวลาของมนุษย์

               เช่นนั้น ทำไมนาซีจึงใช้มัน  เพราะข้าพเจ้าเคยพูดไว้ว่าไม่มีเรื่องบังเอิญใดๆ  “ตามธรรมชาติ”นั้นไม่มีอยู่  เรื่องนี้สังคมตะวันตกรู้สึกอ่อนไหวมาก  ข้าพเจ้าเพียงแต่บรรยายฝ่าให้กับศิษย์ต้าฝ่า  ไม่ใช่พูดกับคนธรรมดาสามัญในสังคม  และไม่ได้พูดให้กับคนธรรมดาสามัญฟัง        ข้าพเจ้าพูดโดยรับผิดชอบต่อการบำเพ็ญของพวกท่าน

   เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก  ก็คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์  ล้วนไม่ใช่ความบังเอิญ  ทุกท่านทราบ  เทพในอดีต  เพื่อที่จะไม่ให้คนเสื่อมทรามดับสลายเร็วจนเกินไป  ต้องรักษาชีวิตคนไว้  พยายามให้เขาสามารถหวนคืนกลับมาในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด   ไม่ถึงกับต้องตกนรกและสุดท้ายถูกดับสลาย  ดังนั้นเทพจึงช่วยสลายกรรมให้คนเรื่อยมา  นี่คือสิ่งที่คนไม่รู้   ในขณะที่เทพสลายกรรมให้คนนั้นก็ช่วยชำระกรรมให้กับสังคมนี้   ให้กับวัตถุสสาร ให้กับชีวิตทั้งหมด วัตถุสสารหลายอย่างก็มีกรรม  อาทิเช่นเมื่อคนทำเรื่องชั่วแล้ว เมื่อเขาตายแล้ว กรรมก็ติดตามไปด้วย  ติดตามชีวิตเขาไป  เช่นนั้นในชาติถัดมาเขาไม่อาจเกิดเป็นคน  แต่เขาเกิดเป็นต้นไม้   ต้นไม้นี้ก็มีกรรมติดมาด้วย  ถ้าเขาเกิดเป็นสัตว์  สัตว์ตัวนั้นก็มีกรรมติดมาด้วย  เช่นนั้น ก็พูดได้ว่า หากเขาเกิดเป็นวัตถุสสาร วัตถุสสารก็จะมีกรรมติดอยู่ด้วย  ข้าพเจ้าว่าโลกนี้ หากท่านสามารถลืมตาดูสักหน่อย  ท่านก็แทบจะไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้  ทั่วทุกหนแห่งมีกรรมหมุนกลิ้งไป  ดังนั้นหากคนมีกรรมหนักแล้วจะทำอย่างไร      เทพไม่อาจจะมาอยู่ในหมู่คนชำระกรรมให้คนโดยตรง ไม่สามารถชำระกรรมให้โดยไม่มีเงื่อนไข   จักรวาลนี้มีหลักการหนึ่ง ดังนั้นเทพทำเรื่องต่างๆ โดยปกป้องหลักการของจักรวาล

   จักรวาลมีหลักการหนึ่งเรียกว่าอะไรหรือ  เรียกว่า ไม่เสียก็จะไม่ได้  จะได้ก็ต้องยอมเสีย  ดังนั้นหากท่านคิดจะชำระกรรมให้กับคน  เช่นนั้นคนก็ต้องแบกรับกรรมนี้  ถ้าท่านไม่ชำระกรรมให้เขา  เขาก็จะสะสมกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อมีมากแล้วมันก็เรียกว่าเลวจนให้อภัยไม่ได้   เมื่อเลวจนให้อภัยไม่ได้แล้วก็ต้องดับสลาย   ชีวิตนี้ก็จะต้องดับสลายแล้ว   ไม่อาจให้เขาคงอยู่ได้อีกต่อไป   ดับสลายทั้งหมด   เช่นนั้นหากท่านจะชำระกรรมให้เขา จากนั้นรักษามนุษยชาติไว้  คนก็ต้องแบกรับความเจ็บปวดในการชดใช้กรรม   เจ็บปวดอย่างไรละ   แบกรับภัยธรรมชาติ  ภัยพิบัติจากการกระทำของมนุษย์และโรคระบาด   ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกสัจธรรมข้อหนึ่งให้ท่าน  คือ ถ้าคนไม่เจ็บป่วย   คนๆนี้ชั่วชีวิตไม่เคยเจ็บป่วยเลย    ร้อยปีให้หลังต้องตกนรกร้อยทั้งร้อย   เนื่องจากเมื่อคนมีชีวิตอยู่ก็จะก่อกรรม  เหมือนกับที่พระเยซูตรัสว่าคนมีบาป   เขาก่อกรรมแต่ไม่ชดใช้กรรม  คนจึงตกอยู่ในอันตราย  ดังนั้นคนจึงเจ็บป่วย ประสบภัย     หากคนในวงกว้างมีกรรม แล้วจะทำอย่างไร  นั่นก็จะเกิดแผ่นดินไหว   อัคคีภัย       อุทกภัย กระทั่งเกิดโรคระบาดและสงคราม

   พูดถึงสงคราม พวกเราก็พูดมาถึงตรงนี้แล้ว   เช่นนั้นหากพูดต่อไป  ปัญหาก็จะแหลมคมมาก  ที่จริง สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นหลักการที่แท้จริงของจักรวาล   ดังนั้นถึงตรงนี้ข้าพเจ้าก็ไม่อยากพูดอีก   บนโลกจะไม่มีเรื่องบังเอิญ  เนื่องจากข้าพเจ้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง  และไม่อยากจะให้กระทบต่อสังคมคนธรรมดาสามัญ  ข้าพเจ้าเพียงรับผิดชอบต่อพวกท่านผู้บำเพ็ญ   ดังนั้นจึงจะพูดเพียงแค่นี้  ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านไปวิเคราะห์กันเอง

ศิษย์     สถานที่ฝึกพลังของเรามักจะมีคนของหลักพลังอื่นมารบกวนเรา

อาจารย์       การบำเพ็ญฝ่าที่ถูกต้อง หากไม่มีคนรบกวนท่าน  ท่านก็จะบำเพ็ญไม่สำเร็จ  หากไม่มีคนก่อความยุ่งยากให้ท่าน  ก็จะไม่มีสภาพแวดล้อมของการยกระดับซินซิ่ง   หากท่านไม่พบกับความลำบาก ท่านก็ไม่มีทางบำเพ็ญสำเร็จ   ก็คือหลักการนี้  แต่พวกเรามักจะมีผู้ฝึก ที่พอพบกับการรบกวนเหล่านี้   ล้วนใช้ต้าฝ่าของเราสกัดมันไว้ เขาไม่ไปรับรู้ตนเอง  เขาอาศัยต้าฝ่าสกัดไว้   เช่นเขามาทำลายฝ่าของเรา   เขาไม่ค้นหาสาเหตุที่ตนเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้  ใช่ไหมว่าเราทำตรงไหนไม่ถูก   ฉันเองทำไม่ดีที่ตรงไหน   นี่กำลังเตือนอะไรเรา หรือเป็นการทดสอบเราใช่หรือไม่  ที่จริงคนนอกจะส่งผลกระทบต่อฝ่าไม่ได้เลยชั่วนิรันดร์   เรื่องเหล่านั้นเป็นไปได้มากว่ามาเพื่อการยกระดับของผู้ฝึกเรา     ข้าพเจ้าว่า บางพื้นที่ของพวกเรา  มีผู้ฝึกสองฝ่ายเกิดการต่อสู้โต้แย้งกันขึ้นมาแล้ว   เริ่มต้นพวกท่านไม่ได้เข้าใจว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ควรแก่การยกระดับ   เป็นโอกาสดีในการค้นหาข้อบกพร่องของตน  ดังนั้นจึงทำให้ความขัดแย้งโดดเด่น  สุดท้ายกลายเป็นแบบเดียวกับคนธรรมดาสามัญพวกนั้นแล้ว     อย่างน้อยที่สุด สำหรับเรื่องนี้ พวกท่านก็ตกลงไปสู่เขตแดนของคนธรรมดาสามัญนั้นแล้ว   ดังนั้นในอนาคตยังจะเกิดเรื่องประเภทเดียวกันอีก   จะต้องให้พวกท่านข้ามด่านนี้ไปให้ได้  จะตกหล่นไปไม่ได้  จะต้องข้ามให้ได้  ดังนั้น  ข้าพเจ้าว่าการบำเพ็ญก็เป็นอย่างนี้  จิตใจดวงไหนไม่ทิ้งไปไม่ได้ทั้งนั้น      หากฟ้าผ่าเราก็ไม่สะดุ้งได้จริง         ท่านลองดูเขาก็จะจากไปเอง

     แต่ยังมีอีกสภาพการณ์หนึ่ง   คนเรานั้นร่างกายตัวเองมีกรรมอยู่   เมื่อท่านคิดจะบำเพ็ญแล้ว    ในสามภพมีชีวิตมากมายอย่างนั้นซึ่งเขาล้วนไม่ใช่ผู้ที่ได้มรรคผลถูกต้อง   หากเขาเคยมีความแค้นกับท่าน    ในชาติใดภพใดท่านเคยติดค้างเขาไว้  เขาจะมาล้างแค้นจริงๆ   ไม่ให้ท่านบำเพ็ญจริงๆ   เลือกสรรวิธีการต่างๆมารบกวนท่าน   กระทั่งทำเรื่องประหลาดๆมาข่มขวัญท่าน    แต่ท่านเองต้องมั่นคง   ท่านก็บำเพ็ญแล้ว ยังจะกลัวอะไร  จงบำเพ็ญไปอย่างสง่าผ่าเผย   อย่าว่าแต่ที่ท่านบำเพ็ญคือฝ่าที่ถูกต้อง   พวกนอกลู่นอกทางเหล่านี้มันรบกวนมา  รบกวนไป  พอรู้สึกว่าไม่มีความหมายอะไรก็จะจากไป  มันไม่อาจจะส่งผลกระทบอะไรได้เลย     เนื่องจากคนจำนวนมากล้วนจะพบกับเรื่องอย่างนี้  ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพูดถึงเรื่องนี้ใน  “จ้วนฝ่าหลุน”

ศิษย์         อะไรคือการดับสลายสิ้นทั้งกายและจิตวิญญาณ

อาจารย์         นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ช่างน่ากลัวมาก   หากพูดให้เป็นรูปธรรม พวกท่านจะรับความน่ากลัวระดับนั้นไม่ไหว  ช่างน่ากลัวเหลือเกิน   คนเข้าใจว่า  คนมีเพียงชีวิตเดียว    ที่จริงชีวิตนี้ของคนนั้นเหมือนการนอนหลับ  ตัวท่านที่แท้จริงกลับไม่มีบทบาทมากนัก   พอคนๆนั้นออกมาจากร่างกายที่เป็นเหมือนเปลือกหุ้ม  ท่านจะพบว่าตัวท่านเบาหวิวลอยละล่อง   เมื่อไม่ถูกสมองใหญ่ควบคุมไว้  ท่านจะพบว่าความคิดของท่านทั้งหมดล้วนเป็นอิสระ  หลังจากเข้าไปสู่มิตินั้นแล้ว เวลาของมิตินั้นกับเวลาในมิติของคนธรรมดาสามัญก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เหมือนตื่นจากนอนหลับ  ในทันใดท่านจะพบว่า บรรดาเรื่องที่ท่านทำไว้ตลอดชีวิตจะปรากฏชัดแจ้งเป็นฉากๆ   เรื่องเล็กๆแต่ละเรื่องจะเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่  ชัดเจนถึงเพียงนั้น   ในทันใดสมองใหญ่ก็เป็นอิสระแล้ว   เรื่องดีกับเรื่องชั่วที่ท่านทำไว้ ท่านจะรู้ได้หมด  ท่านจะพูดได้หรือว่าเรื่องที่ท่านทำในหมู่คนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่ตัวท่านที่ทำ  พอท่านกลับชาติเกิดอีก  ท่านทำเรื่องชั่วอีก ยังคงใช้ไม่ได้  เมื่อเทพมองชีวิต จะมองโดยรวม  หาใช่มองท่านเพียงชาติเดียว   ดังนั้นชีวิตนี้ของท่านทำอะไรไว้ ย่อมต้องชดใช้ทั้งหมด  คือหลักการนี้    ดังนั้นเมื่อคนทำเรื่องชั่วแล้วก็ต้องชดใช้

       ฉะนั้นการดับสลายนั้นจึงน่ากลัวเหลือเกิน  ถ้ากายและจิตดับสูญทั้งหมดแล้ว ดับสูญอย่างไรหรือ   ก็คือฆ่าชีวิตที่มีรูปลักษณ์ในชั่วชีวิตของคนๆนี้ให้ตายไป  ดับสูญไป  ในฉับพลันที่กำลังฆ่าร่างกายให้ตายไป  จิตต้นกำเนิดที่สามารถมีชีวิตอยู่ในเขตแดนระดับเดียวกันนี้ และร่างวิญญาณบรรดามีของท่านทั้งหมดถูกฆ่าให้ตายสิ้น  หลังจากฆ่าให้ตายแล้ว  เขาไม่ได้ตายไปจริงๆ  เขาเพียงแต่ไปจากระดับชั้นนี้  ชีวิตในระดับจุลทรรศน์ยิ่งกว่าของเขายังคงอยู่   เช่นนั้นชีวิตที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าก็จะถูกฆ่าให้ตายพร้อมกันด้วย  ในระหว่างขั้นตอนของการฆ่าให้ตายแต่ละชั้นละชั้น เขายังต้องชดใช้กรรม  ชดใช้อย่างไรหรือ ท่ามกลางความเจ็บปวดในระหว่างที่ดับสลายนั้น  โทษทัณฑ์ทั้งปวงที่ได้รับนั้น   ก็เหมือนกับการถูกทรมานในนรก  เช่นนาบไปบนแผ่นเหล็กที่เผาจนร้อนแดง  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรทั้งหมดนั้นเป็นการชดใช้ในท่ามกลางความเจ็บปวด  จากนั้นจึงฆ่าให้ตายทีละชั้น ละชั้น  หลังจากฆ่าตาย ชีวิตของท่านก็ยังไม่สิ้นสุด  เพราะท่านยังมีชีวิตที่ประกอบด้วยอนุภาคที่จุลทรรศน์ลงไปอีก   ชีวิตในระดับชั้นนั้นก็จะแบกรับต่อไป  ฆ่าให้ตายอีก   จากนั้นร่างกายที่จุลทรรศน์ยิ่งกว่าก็จะแบกรับอีก  ฆ่าให้ตายอีก  จนกว่าจะดับสูญจนสิ้น  ความเจ็บปวดนั้นน่ากลัวที่สุด   บางคนพูดว่า ฉันทำเรื่องชั่วไว้พอตายก็จบกัน  ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ท่านต้องชดใช้เรื่องชั่วทั้งหมดที่ท่านทำไว้จึงจะจบสิ้นได้  และการจบสิ้นนั้นก็ไม่ใช่การจบสิ้น  แต่เป็นการตีท่านให้ตกลงไปในที่สกปรกอย่างไม่มีที่เปรียบ  สถานที่ที่สกปรกที่สุดในจักรวาล    เสมหะของมนุษย์นั้น  เทพต่างพูดว่าเสมหะของมนุษย์นั้นสกปรกที่สุด โยนท่านลงไปในภาชนะที่ใส่เสมหะ  เสมหะของผู้ป่วย ที่ท่านล้วนรู้สึกว่าสกปรก สกปรกที่สุด แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่าน  นี่ยังห่างไกลจากสถานที่ที่สกปรกที่สุด สกปรกที่สุดนั้นหลายเท่านัก   จะตีตกลงไปยังสถานที่ที่สกปรกที่สุด   ในเวลานี้ยังคงมีความรู้สึกเล็กน้อยเหลืออยู่  คือรู้สึกถึงความสกปรก  ท่านว่านั่นเป็นความรู้สึกชนิดไหนละ  ก็อยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร   ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันตลอดกาล   นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด  องค์ศากยมุนีไม่ได้ตรัสถึงตรงนี้  เนื่องจากพระองค์เพียงตรัสถึงนรก  ตรัสถึงเรื่องนรกขุมที่ ๑๘  นรก ในแต่ละชั้นจะทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ   บางครั้งข้าพเจ้าว่าบาปของคนที่ทำลายต้าฝ่านั้น  นรกขุมที่  ๑๘          ก็ยังใส่ไม่ไหว     ก็พูดเรื่องที่น่ากลัวมากให้กับพวกท่าน

ศิษย์       ผมโชคดีที่ได้เข้าร่วมงานแปลงานเขียนของท่านอาจารย์    ใน “จ้วนฝ่าหลุน”ท่านอาจารย์พูดถึง“พระบ้ากวาดฉิน”นี่เป็นชื่อของคนหรือเป็นนิทานอ้างอิง
อาจารย์       “พระบ้ากวาดฉิน”นิทานอ้างอิงเรื่องนี้มีอยู่จริง  เรื่องนี้เกิดขึ้นในวัดหลิงอิ่นเมืองหังโจวประเทศจีน  ในสมัยซ้องใต้ ฉินฮุ่ย ขุนนางกังฉิน เข้าไปในวัดจุดธูป มีพระรูปหนึ่ง เขาใช้ไม้กวาด กวาดไปโดนฉินฮุ่ย ขุนนางกังฉิน ทีหนึ่ง    ก็คือในขณะที่เขากำลังกวาดพื้นอยู่ ฉินฮุ่ย เข้ามาในวัด  เขาจึงถือไม้กวาด  กวาดไปถูกตัวฉินฮุ่ย  ฝุ่นดินก็ถูกกวาดไปที่ตัวเขา   สุดท้ายทำเอาฉินฮุ่ยโกรธ  เนื่องจากเขาเป็นอุปราช เขาจึงคิดจะเรียกให้คนจับพระรูปนี้   พอเขาเห็นพระรูปนี้บ้าๆบอๆ  แต่ท่านว่าเขาเป็นบ้า  การแสดงออกของเขาคล้ายกับบ้า  ที่จริงเขาไม่ได้บ้า  ที่จริงเขามีสติสัมปชัญญะดีมาก  การบำเพ็ญในอดีตนั้นแปลกประหลาดมาก    แต่เราล้วนไม่อาจให้ท่านเดินบนเส้นทางแบบนี้   หากล้วนแต่บ้าๆบอๆ จริง ข้าพเจ้าว่าสังคมนี้ก็แย่แล้ว  ดังนั้นพระรูปนี้เขาก็เกิดจากสภาวะการบำเพ็ญ    คำว่าฉิน ก็คือฉินฮุ่ย   คือฉินฮุ่ยคนนั้นที่ให้ร้ายขุนพลเยี่ยเฟยจนตาย นี่เป็นเรื่องการบำเพ็ญเรื่องหนึ่งของจีนยุคโบราณ

ศิษย์     นานแค่ไหนจึงจะกลับชาติไปเกิดได้ 
อาจารย์      อ้อ  ท่านถามว่าหลังร้อยปีไปแล้ว อยู่ที่ฝั่งนั้นต้องรอนานแค่ไหนจึงจะกลับชาติเกิดได้   ดูท่านจะสนใจมากเกินไปหน่อยแล้ว   เรื่องเหล่านั้นล้วนจัดวางโดยเทพเหล่านั้นที่รับผิดชอบการกลับชาติไปเกิด  รับผิดชอบเรื่องในโลกอย่างเป็นรูปธรรม  ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาทำไปตามสภาพการณ์ของคนกับกรรม  แต่มีสภาพการณ์หนึ่ง  บางคนต้องรอนานมากจึงกลับชาติไปเกิดได้  บางคนรอไม่นาน  เพราะอะไรละ  สมมติว่ามนุษย์เราในเวลาที่กลับชาติมาเกิดอยู่ในสังคม มักจะมากันเป็นกลุ่มก้อน  ไม่ใช่ว่าท่านจะกลับชาติไปเกิดในที่ใดได้ตามชอบใจ         มักจะเป็นกลุ่มก้อน ในกลุ่มนี้ เมื่อภพก่อนเกิดการเชื่อมโยงทางสังคมระหว่างกันและกัน   ภพต่อไปยังให้เขาเกิดความสัมพันธ์ทางสังคม  โดยมากที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้ของท่าน จะคล้ายกับเป็นคนวงนอก  คนที่มีชีวิตอยู่บนโลกล้วนมีความรู้สึกเช่นนี้   คล้ายกับว่าในสังคมมีบางคนไม่เกี่ยวข้องกับท่าน   แต่มีบางคนมักเกี่ยวข้องกับท่านเสมอ  จึงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนวงในของท่าน   ดังนั้นเวลาที่กลุ่มนี้กลับชาติไปเกิด พวกเขามักจะกลับชาติไปเกิดพร้อมกัน แต่ไม่แน่ว่าจะอาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกัน   และไม่ใช่เฮโลมากันทั้งหมด  เธอมาก่อน  เขามาทีหลัง  บ้างก็อายุมาก  บ้างก็อายุน้อย   อย่างไรเสียก็มากันอย่างนี้   หลังจากมาแล้ว  สิ่งที่ท่านติดค้างเขาในภพก่อน  ในภพนี้ต้องชดใช้  ก็คือเรื่องอย่างนั้น   หากภพก่อนท่านที่ดีต่อเขา  ภพนี้ท่านจะได้รับการอุปถัมภ์จากเขา  ได้รับโชคลาภจากเขา  ก็เป็นเช่นนี้   นี่หมายถึง  เป็นเรื่องของขั้นตอนการกลับชาติไปเกิดของคนที่กรรมไม่มาก  ส่วนคนที่กรรมหนักไม่แน่ว่าจะสามารถกลับชาติมาเกิดเป็นคนได้อีก  อาจไปเกิดเป็นต้นไม้  สัตว์   สุดท้ายคือวัตถุสสาร สุดท้ายจึงจะดับสลาย

ศิษย์       ท่านบอกว่าคนไม่อาจแบกรับกรรมของคนอื่น   แม้จะเป็นบุตรธิดาของตนเองก็ไม่ได้  ลูกดิฉันคนนั้นอายุ ๒๑ ปีกำลังตกต่ำ  ดิฉันจะทำอย่างไรให้เขามีความรู้สึกรับผิดชอบ

อาจารย์       ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาแรกของท่านก่อน  คือว่า คนนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่น  ก็คือชีวิตหนึ่งของท่านนั้น  ท่านก็ควบคุมจัดการกับตนเองไม่ได้  ท่านยิ่งไม่อาจควบคุมจัดการกับชีวิตคนอื่น   ไม่ว่าคนจะมุมานะเพียงไร  เขาได้แต่เดินบนทางเส้นนั้นของการคงอยู่ของเขาเองเท่านั้น    คล้ายกับว่าท่านได้อะไรมาจากการมุมานะของท่าน  ที่จริงนั่นเป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปแน่นอน   ท่านไม่มุมานะก็จะไม่ได้รับ  เป็นเพราะการมุมานะของท่านกลายเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของท่าน  พอถึงเวลานั้นท่านต้องทำเช่นนี้แน่นอน              แต่หากไม่สั่งสอนบุตรธิดา  ไม่สอนให้เขาว่าจะเป็นคนได้อย่างไร   นั่นก็เป็นการทำบาป กรรมที่เกิดจากการทำเรื่องชั่วของบุตรธิดาที่ไม่ได้รับการสั่งสอนก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นของผู้ใหญ่   แต่จากเล็กก็ไม่มีทางจะสั่งสอน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง   ทุกสิ่งล้วนจัดวางไว้เสร็จแล้ว    แล้วทำไมยังต้องสั่งสอน  หากสั่งสอนให้กลายเป็นคนดีก็จะไม่ก่อกรรมหนัก คุณภาพชีวิตจะต่างกันและอาจกลายเป็นผู้บำเพ็ญ

    พูดถึงการชำระกรรมแทนคนอื่น  นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวทีเดียว  เพราะคนๆ หนึ่งหากกรรมในร่างของตนมีกรรมของคนอื่นเพิ่มเข้ามา  ท่านก็จะมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่วันก็จะต้องตาย  กรรมหนักเกินไปแล้ว  มันไม่เหมือนที่คนคิดกัน    ของในระดับชั้นสูงที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับพวกท่าน    พวกท่านก็มักจะใช้ความคิดของคนไปเข้าใจ  นี่ไม่ถูกต้อง    พูดถึงเด็กที่กำลังเปลี่ยนแย่ลง    พวกท่านในฐานะผู้ปกครอง ก็มีหน้าที่ต้องไปสั่งสอนเขา  แต่เมื่อเด็กคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาฟังไม่เข้าหูเลย เมื่อยังเล็กอยู่ท่านไม่ดูแลให้เข้มงวด  ปล่อยปละละเลยเขา  เมื่อโตขึ้นเขาย่อมจะตกต่ำลงแน่นอน  ข้าพเจ้าว่านี้ก็ยากจะดูแลได้แล้ว  ถ้าเขายอมฟังคำพูดท่าน  ท่านก็ตักเตือนเขาด้วยความหวังดี ในขณะที่เขายอมรับฟังท่าน   แต่หากเขากำลังมีอารมณ์ท่านก็อย่าพูด จะดีที่สุด    พูดไปก็เท่ากับไม่ได้พูด   ท่านยังจะถูกยั่วยุจนโกรธจัดได้  เช่นนั้นในเมื่อสั่งสอนไม่ไหวแล้ว  นี่ก็จะโทษท่านไม่ได้   แต่ที่ผ่านมาเราไม่ได้สั่งสอนให้ดี ก็ยังคงต้องรับผิดชอบ  จุดนี้แนะนอนทีเดียว  หากในรุ่นต่อมามนุษย์ยังคงพัฒนากันต่อไปอย่างนี้  คนรุ่นก่อนหน้าก็มีบาปด้วย 

   หากคนๆหนึ่งเขายังมีสติแจ่มชัด  ในสภาพการณ์ที่เขาสามารถค้นพบตนเองได้  ก็คือในเวลาที่เขามีจิตสงบ  ท่านลองให้เขาอ่านหนังสือ   หากเขาสามารถอ่านได้  บางทีจะมีโอกาสบ้าง   บางคนเมื่อก่อนเคยทำผิดกฎหมาย เมื่อมาบำเพ็ญอยู่ในต้าฝ่าของเราก็เป็นคนดีได้แล้ว    ยังมีพวกเสพยา  เขาฝึกพลังอยู่ที่นี่กลับไม่มีความอยากยาแล้ว  แต่ข้าพเจ้าขอบอกท่าน   อย่าได้นำคนติดยา มาถอนยาที่นี่เป็นอันขาด   ท่านจะทำลายต้าฝ่าของข้าพเจ้า    พวกเราที่นี่ไม่ใช่จะทำเรื่องเหล่านี้ให้กับคน เรื่องไม่ดีที่คนทำไว้เป็นตัวเขาเองทำขึ้นมา  เขาก็ต้องแบกรับ   พวกเราที่นี่ขอบอกทุกท่าน อานุภาพของต้าฝ่าเราไม่มีประมาณ   แต่เพียงเพื่อให้คนบำเพ็ญ  หากท่านต้องการจะบำเพ็ญจริงๆ  ท่านมีร่างกายกับความคิดที่สกปรกอย่างนี้อยู่ ย่อมใช้ไม่ได้  ดังนั้นจึงชำระให้กับท่าน   เช่นนั้นจึงพูดได้ว่าท่านจะรู้สึกได้ว่าร่างกายหายดีแล้ว  ไม่มีโรคแล้ว หรือทิ้งความเคยชินที่ไม่ดีไปได้แล้ว   มันจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้   เพื่อการบำเพ็ญจึงทำเช่นนี้ให้  ไม่ใช่เพื่อรักษาโรคหรือถอนพิษยาให้คน

ศิษย์        ท่านบอกว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนแต่มีชีวิต   เหตุใดบางคนสามารถระลึกถึงเรื่องที่ตนเคยทำไว้ในชั่วชีวิตก่อนได้            แต่น้อยคนมากที่จะระลึกได้ว่าตนเองเคยเป็นพืชหรือสัตว์

อาจารย์       นั่นคือ ท่านไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี  ที่จริงก็มีอยู่มากมาย  คนที่สามารถระลึกถึงภพก่อน  เป็นเพราะสมองของเขาถูกล้างไม่หมดจด   เวลาที่กลับชาติไปเกิดไม่ได้ล้างให้เขาหมดจดหรือปิดส่วนที่เป็นความจำไว้ไม่แน่นหนาพอ  เหลือบางสิ่งเอาไว้  เขาจึงสามารถมีความทรงจำในภพก่อน   พูดถึงพืช   ในอดีตที่ข้าพเจ้าเปิดสอนบรรยายฝ่าในประเทศจีน  ผ่านการเรียน และบำเพ็ญ  ๑๐วัน ในบรรดาผู้ฝึกได้เขียนประสบการณ์ให้ข้าพเจ้าอ่าน  ก็มีหลายคนเคยพูดถึงเรื่องอย่างนี้    เขารู้ว่าเขาเป็นพืชชนิดไหนกลับชาติมาเกิด  แต่ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  นั่นไม่ใช่รูปลักษณ์ของชีวิตที่แท้จริงของเขา  หากเป็นรูปลักษณ์ในภพนั้นของเขา   ที่แท้เขาเป็นอะไร  ในเวลาที่เวียนว่ายตายเกิด  อาจเกิดเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น  ต้องดูว่าจิตต้นกำเนิดของท่านคืออะไร  นั่นจึงจะเป็นรูปลักษณ์ที่แท้ของท่าน

ศิษย์       จะแนะนำ “จ้วนฝ่าหลุน”ให้กับบาทหลวงและแม่ชีในวงกว้างได้ไหม

อาจารย์        ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดาสามัญ    หากพวกเขาสามารถบำเพ็ญสำเร็จจึงจะเป็นเทพได้   ขณะนี้พวกเขายังคงเป็นคน  เป็นคนทั่วๆไป  เพียงแต่การงานต่างกัน  ข้าพเจ้ามองปัญหานี้อย่างนี้   แต่การงานของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ  ดังนั้นพวกเขาจึงมีศาสนาเป็นอุปสรรค   พวกเขาจะยึดมั่นในศาสนาเดิม  ปล่อยวางศาสนาของพวกเขาไม่ลง  นั่นเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการได้รับต้าฝ่าของพวกเขา     แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะบอกหลักการของฝ่าให้กับพวกเขา    ฝ่าของจักรวาลที่ใหญ่อย่างนี้   หากพวกเขาไม่สนใจ  ท่านก็ไม่ต้องใส่ใจพวกเขาอีก   พวกเขายังมีอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดอันหนึ่ง  ก็คือแม้แต่หนังสือพวกเขาก็ไม่อ่าน  นี่จึงยากจะทำอะไรได้  นี่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา มีวิธีอะไรที่จะขจัดอุปสรรคนี้ทิ้งไปได้ละ  ท่านไปพูดกับพวกเขา  ถ้าพวกเขาฟังเข้าหู  ก็ฟัง ถ้าฟังไม่เข้าหู นั่นก็ช่วยไม่ได้

ศิษย์       สัตว์ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้  เช่นนั้นในสวรรค์จึงไม่ควรมีสัตว์ใช่ไหม  ข้อสรุปนี้ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์     ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าจงใจจะทำอะไร    ข้าพเจ้ากำลังบรรยายฝ่าของจักรวาลกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงของมัน  ดังนั้นจิตสำนึกของท่านต้องแจ่มแจ้ง  สัตว์ไม่สามารถไปสวรรค์ได้อย่างเด็ดขาด  หากอยากจะไปโลกสวรรค์ ก็ต้องกลับชาติไปเกิดเป็นคน  แล้วไปบำเพ็ญ  จึงจะสามารถขึ้นสวรรค์    คนก็ไปสวรรค์ไม่ได้  คนก็ต้องบำเพ็ญ  เช่นนั้นในโลกสวรรค์มีสัตว์หรือไม่ละ  มี   ล้วนแต่เป็นพวกที่อ่อนโยน  ดีงาม และมีช้างใหญ่  สิงโต ยังมีมังกร  หงส์  ไม่อาจเปรียบกับสัตว์ของมนุษย์   พวกเขาเป็นเทพ  ก็เหมือนมังกรที่ชาวตะวันออกศรัทธา  แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตและสัตว์ชนิดอื่น   แต่ส่วนมากล้วนเกิดอยู่ในระดับชั้นนั้น เป็นสิ่งที่ฝ่าสร้างสรรค์ให้กับชีวิตในระดับชั้นนั้น   สร้างขึ้นเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับสภาพแวดล้อมของชีวิตระดับชั้นสูงนั้น  แต่ก็มีที่ขึ้นไปจากโลกมนุษย์   แต่ไม่ได้บำเพ็ญขึ้นไป  โลกพระพุทธบางแห่งก็มีสัตว์   แล้วขึ้นไปได้อย่างไรละ  มันมีวิธีอื่นของมัน  อย่างเช่นพระพุทธโปรดขึ้นไป  แต่ตอนที่อยู่บนโลกไม่แน่ว่าจะเป็นสัตว์  อาจเป็นคน  เรื่องนี้จะไม่พูดมากแล้ว   ก็คือท่านอย่าคิดเรื่องเหล่านี้ของเทพอีกเลย ที่จริงไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญของท่านเลย ในการบำเพ็ญจงเร่งรีบขจัดความคิดที่ไม่ดีของท่าน ท่านต้องเป็นคนเหนือสามัญวิสัยคนหนึ่ง เปลี่ยนแปลงตัวท่านเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น สุดท้ายบรรลุถึงมาตรฐานของเทพ

ศิษย์    จิตหลักอยู่ในมิติไหน   เขาควบคุมร่างในแต่ละมิติในเวลาเดียวกันใช่หรือไม่

อาจารย์        ใช่     แต่เขาก็ไม่ใช่ทั้งหมด   เพราะเขาอยู่ในวังวน ถูกวังวนของสังคมคนธรรมดาสามัญขัดขวางไว้ ส่วนนี้จึงไม่อาจแสดงบทบาทได้

   ฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าประสบความสำเร็จมาก   เพราะในขณะที่พวกท่านกำลังพูดถึงประสบการณ์นั้น เวลาส่วนใหญ่ข้าพเจ้าก็ฟังอยู่ข้างบน   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าครั้งนี้ผู้ฝึกชาวผิวขาวของยุโรปก้าวหน้าเร็วมาก  เข้าใจฝ่าได้ลึกซึ้งมาก   จุดนี้ไม่เคยมีมาก่อน ดีมาก   หรือพูดได้ว่า ฝ่าฮุ่ยครั้งนี้ของเราจัดได้ประสบความสำเร็จมาก    สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ   เมื่อผ่านฝ่าฮุ่ยครั้งนี้  ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างน้อยที่สุด ผู้ฝึกของเราที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะสามารถก่อกระแสนิยมของการศึกษาฝ่าขึ้นมาได้   ทุกท่านจะยิ่งเห็นค่าของฝ่านี้ ในขณะเดียวกันก็จะสามารถชักชวนให้คนมาศึกษาฝ่านี้มากยิ่งขึ้น  เผยแพร่ฝ่านี้ให้กว้างไกล   พวกท่านยิ่งเห็นความสำคัญของฝ่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ  เป็นเพราะในระหว่างการบำเพ็ญและยกระดับอย่างไม่หยุดหย่อน พวกท่านได้รู้หลักการของฝ่าของแต่ละระดับชั้น  ทำให้พวกท่านเข้าใจแล้วว่าเขาคืออะไร     ฝ่านี้เมื่อท่านยิ่งศึกษา  ท่านก็จะยิ่งรู้สึกว่าเขามีค่ามาก  ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำให้พวกเรายกระดับได้ดีที่สุดคือการอ่านหนังสือให้มาก การอ่านหนังสือมากๆสามารถทำให้พวกเรายกระดับได้เร็วที่สุด

        ตั้งแต่เริ่มต้นจนขณะนี้    ผู้ฝึกเราแต่ละคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ล้วนสามารถตั้งใจฟัง   สามารถใคร่ครวญด้วยตนเองได้อย่างแท้จริง   นี่ดีมาก  ข้าพเจ้าก็หวังว่าหลังจากที่ผ่านฝ่าฮุ่ยครั้งนี้  ในอนาคตที่ไม่นานนัก พวกเราจะสามารถยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น   อาศัยพลังของต้าฝ่านี้   พลังของต้าฝ่าฮุ่ยนี้  ยกระดับได้เร็วยิ่งขึ้น  ครั้งต่อไปหากได้พบกับพวกท่านอีก ย่อมจะมีการทะลวง[break through]ได้มากยิ่งขึ้น    เปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น  จุดนี้ไม่ต้องพูดก็เป็นที่ทราบกัน    ต้องเป็นเช่นนี้แน่    มีแต่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งเข้าใกล้การหยวนหมั่นขึ้นเรื่อยๆ

                   เนื่องจากข้าพเจ้าได้พูดไปมากแล้ว    ไม่อยากจะพูดมากกว่านี้อีก     โดยเฉพาะผู้ฝึกเก่า พวกท่านล้วนทราบว่าจะทำอย่างไรกันแล้ว    ก็หวังว่าทุกท่านสามารถจะจัดความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษาฝ่ากับการทำงานได้ถูกต้อง   และความสัมพันธ์กับเรื่องอื่นในหมู่คนธรรมดาสามัญ  บำเพ็ญกันอย่างสง่าผ่าเผย  ช่วงชิงเวลาหยวนหมั่นโดยเร็ว



_________________________________________________________________________