การบรรยายฝ่าครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

หลี่ หง จื้อ

5  ตุลาคม ค.ศ. 1996   ณ เมืองซานฟรานซิสโก

 

ข้าพเจ้านั่งตรงนี้ทุกท่านจะได้เห็นกันทั่ว (เสียงปรบมือ)

            หลายคนติดตามมาจากที่ไกลมาก  พอเช้าก็ขับรถข้ามมา  ข้าพเจ้าทราบว่า ขณะนี้ที่นี่มีคนจำนวนมากกำลังฝึกกันแล้ว  ข้าพเจ้าก็คิดโดยตลอดมาว่า จะมาอเมริกา ดูสักหน่อย  ด้วยเหตุต่างๆนานา ก็ยังไม่มีโอกาสข้ามมา  ครั้งนี้สามารถพบกับทุกท่านได้ ล้วนเป็นวาสนา   ผู้ที่สามารถฝึกหลักพลังอันนี้ ก็ล้วนเป็นวาสนา(เสียงปรบมือ)  เนื่องจากข้าพเจ้าเตรียมจะแสดงปาฐกถาที่เมืองฮิวสตัน และพบปะกับชาวอเมริกันมากยิ่งขึ้น   จึงเดินทางผ่านมาที่นี่  ก่อนอื่นคือ มาพบปะกับท่านทั้งหลาย (เสียงปรบมือ)

            ไม่ว่าจะอย่างไร  การรับรู้ต่อฝ่านี้ของท่านทั้งหลาย นั้น บ้างก็ลึกซึ้ง  บ้างก็ผิวเผิน   ระดับความเข้าใจก็ล้วนต่างกัน เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดคือการบำเพ็ญของสายพุทธ  หากใช้คำของสายพุทธ กล่าว การได้รับเขา(ฝ่า) คือ วาสนา ขณะนี้ท่านยังไม่ทราบว่าเขามีค่ามากเพียงไร   ครั้นเมื่อท่านทราบคุณค่าของเขาแล้ว  ท่านจะรู้สึกว่าช่างโชคดีเหลือเกิน   ฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดออกมา  กับสิ่งที่จะชี้นำการบำเพ็ญ ของท่านทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ไม่มีใครพูดกันมานานนับ แสนปี  ที่จริงเป็นเวลาที่ยาวนานกว่านั้นเสียอีก  ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีใครพูดกันมาก่อน   พูดถึงการบำเพ็ญ ท่านทั้งหลายอาจคิดว่า ในสภาพแวดล้อมเฉพาะของประเทศจีนนี้ มีผู้บำเพ็ญมากมายอยู่ในประวัติศาสตร์  ที่จริง(เดี๋ยวนี้)พวกเขาก็ยังคงมีอยู่  และยังมีผู้บำเพ็ญมากมายในสถานที่ต่างๆ กระจายอยู่ทั่วไปบนโลก  ณ ที่ๆมีคนไปถึงน้อยมากๆ  ก็ล้วนแต่มีผู้บำเพ็ญมาโดยตลอด  และมีชีวิตอยู่ด้วยอายุที่ค่อนข้างยาวนาน  เนื่องจากเขาไม่เข้ามาในสังคมโลก  ไม่สัมผัสกับคนธรรมดาสามัญ  ดังนั้นคนธรรมดาสามัญจึงไม่ทราบ

            ในขณะที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในปัจจุบันพัฒนาไป   เมื่อผู้คนยิ่งรับรู้สภาพความเป็นจริงทางวัตถุ  จึงทำให้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของมนุษย์ สภาพความเป็นจริงทางวัตถุที่ถูกต้องแท้จริง ถูกละทิ้งไปมากยิ่งๆขึ้น  ในยุคปัจจุบันนี้แต่ละครั้งที่ผู้คนพูดถึงเรื่องเหล่านี้  มักจะเหมือนกับกำลังพูดถึงเทพนิยาย   ที่จริงไม่ใช่   ศาสนาที่ถูกต้องเหล่านี้ กับ เรื่องเล่าแต่โบราณมา  หลายๆเรื่องนั้นเหตุใดในหลายพันปีมานี้จึงไม่เสื่อมคลายไป   ต้องมีเหตุผลของมันอย่างแน่นอน   พวกเราอยู่ในสังคมคนธรรมดาสามัญ ก็มีปรากฏการณ์มากมายที่ตนเองไม่สามารถอธิบายได้ หรือได้ประสบ ได้ยินได้ฟัง  หรือที่ตนเองรู้สึกได้ด้วยตนเอง   หากใช้วิธีคิดในปัจจุบัน ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน  ก็ล้วนแต่อธิบายไม่ได้เลย  นี่ก็เพราะวิทยาศาสตร์ไม่ก้าวหน้าพอ  และพัฒนาไม่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นชั้นสูงอย่างนั้น   จริงๆแล้วข้าพเจ้าว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง   แต่เพราะคนในปัจจุบัน เชื่อถือวิทยาศาสตร์มากเกินไป และมันก็ไม่ก้าวหน้าพอ  ไม่มีวิธีที่จะใช้วิทยาศาสตร์ทะลวงออกจากมิตินี้ไปรับรู้ความจริงได้

            วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้น คนเข้าใจว่ามันก้าวหน้ามาก  ที่จริงเมื่อเปรียบกับ จักรวาลที่แท้จริงแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ต่ำมาก  คนเข้าใจว่าสมองกลนั้นก้าวหน้ามาก  ถึงมันจะพัฒนาต่อไปอีก ก็ไม่อาจเปรียบกับสมองคนได้เลย สมองคนจะเป็นปริศนาของมนุษย์ตลอดไป ในอนาคตผู้บำเพ็ญศึกษาฝ่าหลายๆคนจะบรรลุถึงการเปิดพลัง เปิดการรับรู้ บำเพ็ญถึงระดับการหยวนหมั่น ในเวลานั้นจะสามารถรับรู้ถึงชีวิต จักรวาล สสาร จากระดับจุลภาค และมหภาคอย่างยิ่ง

            ท่านทั้งหลายทราบว่าสสารมาจากอนุภาคระดับจุลภาค ประกอบขึ้นเป็นอนุภาคใหญ่ขึ้น จากนั้นอนุภาคระดับชั้นใหญ่ยิ่งขึ้น ก็ประกอบขึ้นเป็นอนุภาคระดับที่ใหญ่ยิ่งๆขึ้น เรื่อยมาจนถึง สสารชั้นผิว    เช่นนี้ก็เหมือนจาก นิวทรีโนไป ควาร์ก และไปนิวเคลียสอะตอม สุดท้ายไปถึง อะตอม สสารชั้นที่ประกอบเป็นชั้นผิวนอกสุดของมนุษย์ รูปแบบภายนอกนี้ของอนุภาคโมเลกุล ล้วนประกอบขึ้นมาจากสสารระดับจุลภาคในระดับต่างๆ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพียงแต่รู้จักการรวมตัวกันของอนุภาคระดับจุลภาคจุดนั้น   ที่เห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์ รู้ถึงการคงอยู่ของโมเลกุล  การคงอยู่ของอะตอม เรื่อยไปจนถึงนิวทรีโน   เลยไปกว่านั้นอีกเครื่องมือวิทยาศาสตร์ตรวจสอบไม่ได้แล้ว ถ้าหากมีกล้องจุลทรรศน์ที่มีขอบเขตเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่มากเป็นหลายเท่าเช่นนั้น   เมื่อสิ่งที่จะเห็นได้ไม่ใช่เพียงแค่อนุภาคโมเลกุลหนึ่ง หรือไม่กี่อนุภาคโมเลกุล แต่เป็นระนาบในระดับชั้นนั้น ที่ประกอบขึ้นมาจากจุลอนุภาคแล้ว  คนก็จะมองเห็นอีกมิติหนึ่ง     กี่ปีมาแล้วคนก็ไม่สามารถทะลวงออกจากกรอบความคิดนี้    เพียงให้ความสำคัญกับการตรวจดูจุดหนึ่ง หรือไม่กี่จุดของจุลอนุภาคนั้น ไม่ได้ทำลายทัศนคตินี้  แล้วนำมาเชื่อมโยงกัน มองดูระนาบนั้นที่คงอยู่ของจุลอนุภาคทั่วทั้งหมดว่าคืออะไร นั่นก็คืออีกมิติหนึ่ง   ก็ง่ายๆอย่างนี้ ขณะนี้สิ่งเหล่านี้ทะลวงไปไม่ได้ เทคโนโลยีปัจจุบันก็ยังไปไม่ถึง

สิ่งที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป เป็นการใช้รูปแบบความคิดกับภาษาของคนยุคนี้ในการบรรยาย  นี่เป็นสิ่งที่คนอยากรู้ แต่ไม่ให้คนได้รู้ ไม่มีใครเปิดเผยหลักธรรมที่แท้จริงของจักรวาลให้กับคน ในอดีตก็ไม่ให้คนได้รู้เช่นกัน เพราะหากพูดตามกฎสวรรค์ คนนั้นตกลงมาสู่สังคมมนุษย์ ตกลงมาจากสวรรค์ชั้นสูงมาก ตกลงมาทีละขั้นๆ หรือก็คือตกลงมาสู่โลก     ในวงการบำเพ็ญ ไม่ยอมรับทฤษฏีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน เพราะคนไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานร  อันที่จริง ที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงมองเห็นนั้น โดยแก่นแท้ก็เป็นคนละเรื่องกัน  ปัจจุบัน การยืนยันพิสูจน์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นการทำให้เกิดมายาภาพมากมาย มนุษย์ก็ไม่กล้าไปทำลาย   การรับรู้ในระดับต่ำเช่นนี้ ดูเหมือนคนจะได้รับประโยชน์  และได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในระดับหนึ่ง ที่จริงล้วนแต่มีลักษณะที่เป็นโทษ ต่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิต และจักรวาล และไม่อาจนำสิ่งที่สูงขึ้นไปมาให้กับชีวิตได้ตลอดกาล ก็เป็นเช่นนี้ ยังมีคนอีกส่วนหนึ่ง เพื่ออำนาจและบารมี จึงปกป้องวิชาความรู้ต่างๆของตนเอง ไม่อยากให้ใครทำลาย ไม่อยากให้มนุษย์มีการรับรู้ที่สูงยิ่งขึ้น ดังนั้นมีบางอย่างที่คนรู้ว่าเป็นเรื่องผิดพลาด ก็ยังใช้ความรู้สึกปกป้องพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุมีผลชนิดนี้ และความจริงของจักรวาลกลับถูกสิ่งที่คนสร้างขึ้นเองปิดกั้นเอาไว้ การบำเพ็ญสามารถทำให้คนยกระดับได้อย่างแท้จริง  ผู้บำเพ็ญสามารถมองเห็น และสัมผัสถึงชีวิต  และความจริงของจักรวาลได้

เนื่องจากคนปัจจุบันถูกวิทยาศาสตร์ยุคนี้ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา   ดังนั้นความจริงเหล่านี้ จึงถูกถือว่าเป็นเรื่องงมงายไปเสียทั้งหมด  ก็เป็นเรื่องงมงายจริงๆ   ในฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้มีมันสมองก็ควรไปค้นคว้า วิจัยดูว่า ทำไมมันจึงเป็นเรื่องงมงาย ทำไมคนต้องงมงาย คนเดี๋ยวนี้ไม่กล้าไปสัมผัส ข้าพเจ้าคิดว่าในสภาพแวดล้อมนี้  ของอเมริกาอาจจะดีกว่ามาก  คนจำนวนมากไม่มีกรอบอย่างนี้ แต่ก็ด้วยข้อจำกัด ของการพิสูจน์ยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นมา กับสิ่งประดิษฐ์ของคน  ทำให้ความคิดตนเองถูกปิดล้อมจนสนิทแล้ว เช่นนี้จึงยากที่จะรับรู้ความจริงของชีวิต จักรวาล กับสสารได้

การบำเพ็ญสามารถรับรู้ความจริงของจักรวาล โดยเฉพาะคือพุทธธรรม แต่ผู้คนเดี๋ยวนี้ เชื่อแต่วิทยาศาสตร์ยุคนี้ เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น เทววิทยา   ศาสนา   ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่แท้นี่เป็นเพียงวิถีทางเดียวของการรับรู้จักรวาลของมนุษย์    ท่านทั้งหลายทราบว่าไอน์สไตน์  ในบั้นปลายของชีวิตนั้น เชื่อถือในศาสนา มีหลายคนที่ผู้คนในวงการวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก สุดท้ายก็เข้าสู่ศาสนา พวกเขาพบแล้วว่า หลักธรรมที่กล่าวกันในศาสนา เป็นหลักธรรมแท้จริงที่สูงกว่า การรับรู้ของมนุษย์มีขีดจำกัด เมื่อพ้นไปจากขีดจำกัดนี้ วิทยาศาสตร์ก็จนปัญญาแล้ว แต่พุทธธรรมกลับสามารถอธิบาย  ปรากฏการณ์ทั้งปวงของจักรวาล พวกเขาพบว่า สิ่งที่เทพกล่าวไว้ จึงจะเป็นวิทยาศาสตร์ที่สูงยิ่งกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงเดินเข้าสู่ศาสนา

แน่นอนละ หลักธรรมที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนี้ ได้อาศัยรูปแบบของชี่กง ถ่ายทอดให้กับทุกท่าน ที่จริงความนัยที่แฝงไว้ นั้นใหญ่หลวงนัก เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครพูดมาก่อนในประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าก็นำมันออกมาพูดหมดแล้ว ถ้าหากท่านสามารถไปอ่านจ้วนฝ่าหลุนเล่มนี้อย่างจริงๆจังๆ ท่านจะพบว่าเขาที่มีคุณค่ายิ่งนัก  ในนั้นมีความลับสวรรค์มากมาย เพียงแต่อ่านโดยเปลือกนอก ก็สามารถทำให้คนได้ประโยชน์ไม่น้อย คนทั่วไป จะเข้าใจหลักการเป็นคน  ผู้ไม่คิดบำเพ็ญจะมองไม่ออกซึ่งความนัยที่แฝงอยู่ มองไม่เห็นหลักธรรมชั้นสูงในจ้วนฝ่าหลุน   แต่ทว่าเขาได้ซ่อน ความนัยที่ใหญ่หลวงมาก ที่สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งหยวนหมั่น(สำเร็จสมบูรณ์)ได้ ยังไม่เพียงแค่หยวนหมั่น  ทว่ายังสามารถ ทำให้ชีวิตหนึ่ง เลื่อนชั้นไปถึงเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น

ท่านทั้งหลายทราบว่าสิ่งที่บำเพ็ญนั้น   ไม่เหมือนกับการฝึกร่างกายเสริมสร้างสุขภาพ  หากข้าพเจ้าถ่ายทอดพลังเพียงเพื่อให้ทุกท่านฝึกฝนร่างกาย  ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องบรรยายหลักธรรมที่ใหญ่เช่นนี้    เนื่องจากข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านได้ฝ่านี้  จึงต้องบอกทุกท่านเกี่ยวกับความจริงของจักรวาลนี้    คือบอกให้ท่านสามารถบำเพ็ญ  สามารถยกระดับตนเองไปสู่ระดับชั้นสูง  เลื่อนชั้นของท่านแต่ละคน  ในการบำเพ็ญหากท่านสามารถทำเช่นนี้ได้   เช่นนั้นหนังสือเล่มนี้ก็จะสามารถชี้นำท่านจนบรรลุเป้าหมายนี้ได้   แต่ผู้ที่ไม่คิดบำเพ็ญเขาก็ดูไม่ออก  เหตุใดจึงดูไม่ออกละ ปกติเมื่ออ่านหนังสือนี้ในรอบแรก คนจะพบว่าสิ่งที่บรรยายไว้คือ หลักการในการสอนคนให้เป็นคนดีได้อย่างไร  ครั้นคนอ่านอีกเป็นรอบที่สอง  ก็ไม่เหมือนกันแล้ว  ครั้งนี้คนจะพบว่ามันเป็นหนังสือของการบำเพ็ญ   ครั้นคนอ่านเป็นรอบที่สาม  เมื่อท่านสามารถอ่านติดต่อกันเป็นรอบที่สามจริงๆ บางทีหนังสือเล่มนี้ท่านก็ไม่คิดจะวางลงไปอีกแล้ว  พอมีเวลาท่านก็จะหยิบขึ้นมาอ่าน  ท่านจะพบว่าเขาเป็นคัมภีร์สวรรค์เล่มหนึ่ง

ท่านทั้งหลายอาจมองเห็นว่า  หากมาดูหลักไวยากรณ์จากด้านภาษาศาสตร์  โครงสร้างภาษาไม่ค่อยเป็นไปตามมาตรฐานเท่าใดนัก  เพราะมาตรฐานภาษาในปัจจุบันไม่สามารถครอบคลุมความนัยที่ลึกซึ้งมาก  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทำลายสิ่งนี้ ไม่ใช้หลักไวยากรณ์ที่เป็นมาตรฐานเกินไปของยุคนี้ในการบรรยาย  และมีคำพูดหลายๆคำที่ใช้ภาษาท้องถิ่นของประเทศจีน  เพราะถ้าใช้ภาษามาตรฐาน  คำศัพท์มาตรฐาน  ก็อธิบายไม่ได้  ยังมีหลายอย่างเป็นศัพท์เทคนิคในศาสนา  ยังมีภาษาในหมู่ชาวจีนโบราณที่รู้จักกันดีในวงการบำเพ็ญ  เช่นนี้ข้าพเจ้าจึงใช้ภาษาที่กว้างขวางที่สุด เรียบง่ายที่สุด ปกติที่สุด พื้นๆที่สุด มาบรรยายต้าฝ่านี้  สามารถเข้าใจได้ทั้งผู้ที่มีการศึกษา และไม่มีการศึกษา   ล้วนสามารถบำเพ็ญได้ทั้งหมด  ทว่าหลักธรรมที่แฝงไว้ภายในนั้นลึกซึ้งอย่างยิ่ง 

ท่านทั้งหลายทราบว่าการบำเพ็ญนั้น   ถ้าข้าพเจ้าสอนชี่กงให้คนฝึกฝนร่างกาย  เช่นนั้นก็เพียงแต่บอกว่าชี่กงปรับลมหายใจอย่างไร   ทำใจให้สงบได้อย่างไรก็จบแล้ว   ใช้วิธีการเหล่านี้ก็สามารถบรรลุเป้าหมายการรักษาสุขภาพได้   ถ้าคนจะบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูง  สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่อะไรแล้ว  เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจชี้นำคนบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูงได้  ก็เหมือนการเล่าเรียนของพวกท่าน  ท่านคิดจะเข้ามหาวิทยาลัย  ท่านต้องมีรากฐานของชั้นประถม มัธยมต้นมัธยมปลาย   ถือบทเรียนชั้นมัธยมต้นก็เรียนในชั้นมัธยมต้น   เช่นนั้นเมื่อท่านอยู่ในชั้นมัธยมปลาย ในมือต้องมีบทเรียนชั้นมัธยมปลาย  สุดท้ายเข้ามหาวิทยาลัยต้องเรียนหลักสูตรของมหาวิทยาลัย     ถ้าหากท่านนำบทเรียนของชั้นประถมเข้าไปมหาวิทยาลัย  ท่านก็ยังคงเป็นนักเรียนชั้นประถม   เพราะท่านไม่ได้สิ่งที่เป็นของมหาวิทยาลัย   ไม่ได้ศึกษาฝ่าในระดับชั้นที่สูงกว่า ก็จะบำเพ็ญขึ้นไปไม่ได้    ก็คือพูดว่า  จะชี้นำท่านบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูง  ต้องมีหลักธรรมของระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น   ชี้นำท่านในการบำเพ็ญ

            ในจ้วนฝ่าหลุนมีความนัยที่สูงเช่นนี้   แต่จากพื้นผิวภายนอกของหนังสือเล่มนี้กลับดูไม่ออก  คำพูดประโยคเดียวกันนั้น  เพียงแต่ท่านยกระดับขึ้นแล้ว  เมื่อท่านไปอ่านอีก   ท่านจะพบว่าคำพูดประโยคนี้ไม่ใช่ความหมายอย่างเดิมนั้นอีกแล้ว   เป็นความหมายอีกระดับชั้นหนึ่ง   รับรองว่าจะเป็นเช่นนี้   หนังสืออื่นๆล้วนบรรลุไม่ถึงสภาพการณ์นี้  เพราะมันไม่ใช่หนังสือของการบำเพ็ญ   มันเป็นเพียงทฤษฎีของคนธรรมดาสามัญ   แต่ฝ่านี้เป็นสิ่งที่เหนือกว่าทฤษฎีของคนธรรมดาสามัญ   ความนัยจึงค่อนข้างกว้างใหญ่ การบำเพ็ญใช่ไหม  เมื่อพูดตามสายพุทธ  เริ่มต้นจากก้าวนี้ของคนธรรมดาสามัญ   ตรงนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า การบำเพ็ญในภพ  หรือเรียกว่า การบำเพ็ญในร่างคน   ในระหว่างช่วงนี้มีด้านต่างๆมากมายที่ควรยกระดับขึ้น  ก็ล้วนแต่ต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์   ในอดีต ดูเหมือนในหนังสือของการบำเพ็ญได้เขียนไว้ค่อนข้างมาก  เกี่ยวกับการบำเพ็ญในร่างคน   แม้ว่าจะคลุมเครือมาก แต่สิ่งที่เขียนล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในด้านนี้

            ถ้าหนังสือเล่มนี้เพียงชี้นำท่านฝึกพลังอยู่ในหลักธรรมในภพ  ท่านก็บำเพ็ญออกไปนอกตรีภูมิไม่ได้  ฉะนั้นในหนังสือเล่มนี้ต้องครอบคลุมการบำเพ็ญร่างคนกับ หลักธรรมแต่ละชั้นของการบำเพ็ญในตรีภูมิ   ตลอดจนถึงหลักธรรมของนอกตรีภูมิ   ผู้บำเพ็ญเพียงแต่มีหลักธรรมชี้นำในแต่ละระดับชั้น จึงสามารถบำเพ็ญไปถึงระดับชั้นนั้น   ฉะนั้นยังจำเป็นต้องมีหลักธรรมที่เหนือกว่าตรีภูมิ  ท่านจึงสามารถบำเพ็ญไปถึงนอกตรีภูมิได้   ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดถึงการอ่านหนังสือของคน   ถ้าในนั้นไม่มีความนัยที่กว้างใหญ่อย่างนั้น  ท่านก็บำเพ็ญไม่ได้อย่างแน่นอน  ก็คือความหมายเช่นนี้  เพราะฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดวันนี้  ไม่เหมือนกับที่อาจารย์ชี่กงอื่นพูด   อาจารย์ชี่กงเหล่านั้นเพียงแต่สอนคนเรื่องการขจัดโรคเสริมสร้างสุขภาพ  นี่ข้าพเจ้าไม่ใช่พูดว่า  อาจารย์ชี่กงอื่นไม่สูง  ไม่ดี  ไม่มีความหมายอย่างนี้  ที่ข้าพเจ้าพูดคือ ใคร  ก็ไม่ทำเรื่องอย่างนี้  แต่ว่าข้าพเจ้าทราบว่าในขณะนี้มีเพียงข้าพเจ้าที่กำลังทำอยู่     หนังสือ ทุกท่านก็ได้อ่านกันแล้ว   หลายๆคนก็เข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้ากำลังทำอะไร  ในประเทศจีน ในโลก ไม่มีใครทำอย่างนี้   เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ  คือการนำคนไปสู่ระดับชั้นสูง  พอทำเรื่องนี้แล้ว  ปัญหาที่เกี่ยวโยงก็ใหญ่มาก

            การถ่ายทอดหลักธรรมที่ถูกต้องนั้นยากมากๆ  ท่านทั้งหลายทราบว่า  ในปีนั้น  เพราะการถ่ายทอดหลักธรรมที่ถูกต้องพระเยซูจึงถูกตรึงไม้กางเขน  องค์ศากยมุนีก็จำยอมต้องก้าวไปสู่ทางนิพพาน   ในสังคมคนธรรมดาสามัญมีทัศนคติเก่าแก่มากมาย  อิทธิพลนานาชนิดของมนุษย์ อิทธิพลของศาสนา องค์ประกอบมากมาย  ก็ล้วนก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมต่างๆกันไป  องค์ประกอบเหล่านี้มีทั้งด้านบวกและด้านลบคงอยู่   และด้านที่เป็นลบนั้นคืออิทธิพลชั่ว  ในแต่ละสิ่งที่เป็นด้านบวกของสังคมมนุษย์ล้วนแฝงไว้ด้วยสิ่งที่เป็นด้านลบ   มันสามารถทำลายคน  มันสามารถหยุดยั้งคน โจมตีคน สามารถใช้อำนาจทางการเมืองเป็นเครื่องมือใช้วิธีการนานาชนิดหยุดยั้งคน  ดังนั้นการถ่ายทอดฝ่าที่ถูกต้องนั้นยากที่สุด  คนชั่วถ่ายทอดวิชานอกรีต กลับไม่มีใครสนใจท่าน

            พระพุทธมองสรรพชีวิตว่าล้วนเป็นทุกข์   พระเยซูก็ตรัสว่า  ท่านไม่เพียงต้องรักเพื่อนของท่าน ยังต้องรักศัตรูของท่านด้วย   เพราะพวกเขาเมตตาสรรพชีวิต  ดังนั้นเขาจึงช่วยเหลือชาวโลก  ดังนั้นในฐานะผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง  ในการบำเพ็ญส่วนบุคคล  ถ้าท่านไม่สามารถรักคนที่เคยต่อต้านท่านในหมู่คนธรรมดาสามัญท่าน ท่านก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เป็นเหตุผลนี้จริงๆ   เพราะผู้บำเพ็ญต้องเมตตา  และความเมตตาก็เป็นการปล่อยวางบุญคุณความแค้นทั้งหมดของคนธรรมดาสามัญลงไป    ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นของคนธรรมดาสามัญทั้งหมด  ไม่แสวงหา ชื่อเสียงเอย ผลประโยชน์เอย ต้องปล่อยวางจิตของคน   ในการบำเพ็ญสามารถมองทุกสิ่งของคนธรรมดาสามัญอย่างเบาบาง  ดังนั้นจึงสามารถกระโดดออกมาได้

            แน่นอนว่าข้อกำหนดที่บรรยายที่นี่อาจจะสูงสักหน่อย  เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดไม่ใช่ชี่กงพื้นๆทั่วไปในหมู่คนธรรมดาสามัญ  เป็นการบำเพ็ญที่แท้จริง  แต่ว่าเขาก็ไม่อาจตัดขาดจากชี่กง   เพราะอะไรละ   เพราะระดับชั้นสูงของชี่กงก็คือการบำเพ็ญ  จุดนี้เป็นสิ่งแน่นอน  แต่สิ่งที่ถ่ายทอดอยู่ในสังคมของชี่กงเหล่านั้น  ก็ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นต่ำที่สุดของการบำเพ็ญ  เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง   เพื่อบรรลุเป้าหมายของการขจัดโรครักษาสุขภาพ  ที่สูงขึ้นไปอีกก็ไม่มีแล้ว   เพราะการทำเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมากๆ  ไม่ใช่ใครร้อนวิชาขึ้นมาคิดจะทำ  ก็จะสามารถทำได้

            ความหมายที่ข้าพเจ้าพูดว่ายากมากนั้นคือ  จะบอกทุกท่านว่า  ข้าพเจ้าถ่ายทอดอย่างยากลำบากมาก  การที่ท่านได้รับก็ยากลำบากมาก พวกเราที่กำลังนั่งอยู่   หลายๆคนนั้นคือ มีวาสนา  บางทียังอาจเป็นวาสนาที่ใหญ่มาก   บางคนคิดว่าที่ปรากฏออกมาทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรพิเศษเลย    ตามธรรมดาฉันก็เห็นหนังสือเล่มนี้แล้ว     ตามธรรมดาฉันก็รู้จักฝ่านี้แล้ว  โดยบังเอิญก็รู้ว่าหลักพลังนี้มีคนกำลังฝึกอยู่  หรือก็เรียนแล้วโดยผ่านการแนะนำของเพื่อนครั้งหนึ่ง  เพราะรูปแบบของสังคมคนธรรมดาสามัญนี้ก็อยู่ในวังวน  ไม่อาจมีเทพเซียนองค์หนึ่งเหาะมาในบัดดลบอกให้ท่านมาศึกษาฝ่า   ไม่อาจเป็นเช่นนี้  เพราะแบบนี้เป็นการทำลายวังวนนี้ของสังคมคนธรรมดาสามัญแล้ว   ทำลายวังวนนี้แล้วก็ไม่มีการรู้แจ้งอยู่  และก็บำเพ็ญไม่ง่ายแล้ว  ดังนั้นสิ่งที่คนสัมผัสได้  ดูไปแล้วหลายๆอย่างล้วนเหมือนเรื่องบังเอิญ  ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

            ข้าพเจ้าอยู่ในประเทศจีนได้พูดกับผู้ฝึก    ข้าพเจ้าว่าหลายคนยังไม่ทราบ  ท่านรู้สึกว่าท่านเข้ามาฟังการบรรยายนี้อย่างธรรมดาๆ   บางทีหลายชาติก่อนของท่าน  หรือกระทั่งสิบกว่าชาติ หลายสิบชาตินั้นล้วนแต่เคยทนทุกข์เพื่อให้ได้ฝ่านี้  เพียงแต่ท่านไม่ทราบ  บางคนศีรษะเคยหลุดจากบ่า เพื่อจะได้ฝ่านี้  ในการบำเพ็ญข้าพเจ้าเตือนแล้วเตือนอีกด้วยความหวังดี   นำพาพวกท่าน  เพราะข้าพเจ้าทราบว่าในประวัติศาสตร์พวกท่านคือใคร  และ ทราบว่าพวกท่านทุ่มเทไปมากมายเพื่อการได้ฝ่าในวันนี้   ถ้าข้าพเจ้าไม่สอนท่านเช่นนี้  ก็จะรู้สึกผิดต่อพวกท่านเอง

            แน่นอน   ที่ข้าพเจ้าพูดนั้นฟังแล้วอาจวิเคราะห์ได้ไม่ถึงแก่น  มันลึกล้ำมาก  ที่จริงคนมีชีวิตอยู่บนโลก  เพียงแต่สามารถรู้ได้ถึงเรื่องราวผิวเผินเล็กๆน้อยๆ  ไม่กี่สิบปีนี้ในมิติปัจจุบัน   แต่ว่าชีวิตคนไม่อาจดับสลายเพราะการตายของคน   ก็คือตกนรก ลงไปถึงสิบแปดชั้นของนรก  ก็ยังไม่นับว่าถึงที่สุด   ชีวิตที่มีบาปกรรมหนักยังจะตกยิ่งต่ำลงไป  สูญสลาย  ถูกหลอมทำลาย  เมื่อคนลาโลกไปนั้นเพียงแต่สลัดทิ้งร่างกายที่เป็นสสารชั้นนี้ซึ่งประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล  แต่ชีวิตที่แท้จริงนี้อยู่ในหนังคน  ในชั่วขณะที่ สิ้นลมหายใจเขาก็ออกจากร่างไปแล้ว   ก่อนคนตายจะรู้สึกกลัวมาก  ที่จริงข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ไม่น่ากลัวสักนิด   ในเวลาที่ความคิดคนดำรงอยู่รู้สึกหวาดกลัวมาก   ความคิดของคนก็คือความคิดที่เนื้อเซลล์สร้างขึ้นมา  พอมันจบสิ้น(หยุดสนิท) ในทันใดคนก็รู้สึกคล้ายเกิดใหม่อีกแล้ว  คล้ายหลุดพ้นแล้ว  เป็นความรู้สึกยินดีชนิดหนึ่ง   และร่างกายเบาหวิว  เมื่อไม่มีกายเนื้อควบคุม  ความคิดก็เปิดออกทั้งหมดแล้ว  เรื่องทั้งหมดที่ทำไว้ชั่วชีวิตนั้นคล้ายกับเพิ่งทำไปเมื่อหนึ่งนาทีก่อน  ล้วนมองเห็นหมด  ไม่อาจลืมแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเรื่องหนึ่ง   เพราะความนึกคิดของชีวิตล้วนถูกปลดปล่อยแล้ว   เวลานั้นคนจึงรู้ว่าที่แท้เขาเป็นใคร  เขาก็รู้อย่างชัดแจ้งในเรื่องที่เขาทำชั่วชีวิตว่า ดี หรือ ไม่ดี   ก็คล้ายคนนอนหลับไปคราหนึ่ง ก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

            แน่นอนละ  สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้ากล่าว  บางทีท่านคงจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย   แต่ว่าก็เป็นเช่นนี้จริงๆ  เรื่องในด้านนี้มากมายข้าพเจ้าทราบดี   ข้าพเจ้าก็ได้ตรวจสอบไปมาก   โดยเฉพาะคือ บางคราวข้าพเจ้ามองเห็นในโรงพยาบาล  หมอกำลังช่วยชีวิตผู้ป่วย    ผู้ป่วยนั้นก็ได้ตายไปแล้ว  ผู้คนยังคงทำการช่วยชีวิต   จิตของคนนั้นได้ออกมาจากร่างไปแล้ว   เนื่องจากแนวคิดของสองกาลมิติไม่เหมือนกัน  ที่ฝั่งนั้นความเร็ว-ช้าของเวลา   ความแตกต่างที่สร้างขึ้นของมิติล้วนไม่เหมือนกับมิติของคนนี้   ในทันทีที่หลุดพ้นจากร่างของคนออกมา   เรื่องทั้งหมดที่ทำไว้ชั่วชีวิตจึงคล้ายกับเรื่องที่เพิ่งทำไปหมาดๆ  งีบหลับไปตื่นหนึ่ง  พระพุทธนั้นก็มองคนในลักษณะนี้  คนอยู่ในวังวนก็คือ ไม่รู้สึกตัว  ชีวิตของคนนั้นสั้นนัก

            ฝ่านี้ได้ถ่ายทอดให้กับทุกท่านแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม   พวกท่านมีวาสนาได้รับแล้วจริงๆ   ข้าพเจ้าคิดว่าแม้จะได้รับเขา(ฝ่า)แล้ว   เมื่อท่านผ่านการทำงานที่ยุ่งเหยิงแล้ว ใช้เวลาที่เหลือลองพลิกๆหนังสือเล่มนี้ดู   ทุกท่านอ่านให้มากสักหน่อย  ดูซิว่าเหมือนกับที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ไหม  ถ้าหากไม่ใช่  ท่านไม่ศึกษาก็ได้    หากท่านอ่านจริงๆจังๆ  ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก  ท่านก็ไม่อาจวางลงได้แล้ว   เพราะว่าท่านได้มองเห็นหลักธรรมแท้จริงชั้นสูงกว่า   ท่านจะอ่านเรื่อยๆไป   เขา(ฝ่า)นั้นสูงกว่าความรู้ใดๆของคนธรรมดาสามัญ   ใครๆก็ล้วนมีจิตพุทธ  เพียงแต่ท่านอ่านต่อไปก็ไม่อยากวางมือ  ไม่อาจวางลงได้อีก

            ขณะที่ข้าพเจ้าบรรยายฝ่านี้ อาจจะใช้ความนึกคิดของคนแผ่นดินใหญ่ในการบรรยาย   การจัดทำหนังสือเล่มนี้ก็เป็นแบบนี้    แม้ว่าจะมีความแตกต่างจากวิธีคิด  และวิธีการรับรู้ปัญหาของคนอเมริกันกับคนประเทศอื่น   โครงสร้างความคิดชั้นนอกของสิ่งที่เขียนออกมา  และระดับความเข้าใจไม่เหมือนกัน   แต่ว่าความนัยของหลักธรรมในการบำเพ็ญนั้นเหมือนกัน   คนพื้นที่ไหน  ประเทศไหน ชนชาติไหน ล้วนศึกษาได้หมด  ดังนั้นท่านเพียงแต่ไปอ่านก็จะเหมือนกัน   ขณะที่ท่านศึกษาก็อย่าให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้  ข้าพเจ้าคิดว่าท่านล้วนจะสามารถรับได้    เพราะการทำเรื่องนี้ไม่ใช่เตรียมการกันแค่หนึ่งหรือสองวัน   ในยุคประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ก็ได้เตรียมทำเรื่องนี้ไว้แล้ว

            ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า  ในสังคมคนธรรมดาสามัญ   แต่ละครั้งเมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเรื่องหนึ่ง   มันไม่ใช่ความบังเอิญ   มันล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์   ประวัติศาสตร์การพัฒนาของมนุษย์ นั้น  หากไม่มีการจัดวางไว้อย่างนี้  ก็ไม่อาจเกิดเรื่องนี้ขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างเด็ดขาด   ทุกท่านทราบ  มีชีวิตระดับสูงนับไม่ถ้วน  สายพุทธกล่าวว่า  พระพุทธมีอยู่ทุกหนแห่ง  มากเสียจนเหลือคณา  และมีเทพที่มีรูปลักษณ์  ยังมีเทพที่ไร้รูปลักษณ์  เต็มไปหมดทั่วจักรวาล   รวมทั้งสังคมคนธรรมดาสามัญมีสสารจุลภาคมากมาย  ผู้คนเรียกกันว่า ธาตุสำคัญส่วนน้อย  {-จากlongdudictionary}( trace element ) ก็ดี  เรียกเป็นองค์ประกอบนานาชนิดของอากาศก็ดี   นี่คือสิ่งที่คนสามารถรับรู้ได้   ยังมีที่รับรู้ไม่ได้ซึ่งเป็นสสารในระดับจุลภาคยิ่งกว่า    ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล  สสารที่มีอยู่เต็มไปหมด  ล้วนคือชีวิตชั้นสูงที่มีจิตพุทธ  ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังจ้องมองคนอยู่  ล้วนกำลังเฝ้าดูคนอยู่  ตรวจสอบคนอยู่  ดังนั้นสังคมมนุษย์จึงไม่อาจมีเรื่องบังเอิญ

            ต้าฝ่าส่วนนี้ถ่ายทอดออกมาก็สะท้านฟ้า สะเทือนดิน  ปัจจุบันในสังคมคนธรรมดาสามัญไม่มีปรากฏการณ์อย่างนี้   แต่ในอีกมิติ เป็นเช่นนี้  ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครนำหลักธรรมที่แท้จริงของจักรวาล บรรยายให้กับคน  แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมี   ทุกท่านทราบว่า  เหลาจื่อก็ดี  องค์ศากยมุนีเอย  พระเยซูเอย  เป็นต้น  พวกเขาเพียงแต่บรรยายสิ่งที่อยู่ในหลักธรรมของจักรวาลซึ่งเขาเองรับรู้ได้   ส่วนนั้นที่ตนเองประจักษ์แจ้ง  เพียงแต่บรรยายสิ่งที่รับรู้ได้ของพวกเขาเอง   แต่หลักธรรมของจักรวาลนั้นไร้ขอบเขต  อยู่เหนือกว่าพระพุทธยูไล อย่างเหลือคณานับ  ธรรมะที่พวกเขารับรู้กว้างใหญ่มาก  ยังมีชีวิตที่ไร้รูปลักษณ์ซึ่งเหนือกว่าระดับชั้นของพระพุทธไกลมากๆ   ซึ่งล้วนแต่มีจิตพุทธ   จักรวาลนั้นไม่ได้เล็กเหมือนอย่างที่มนุษย์เข้าใจกันในศาสนา    การรับรู้ของมนุษย์ก็คือ จำกัดอยู่ภายในสังคมนี้   คนคิดว่าการรับรู้ของศาสนานั้นกว้างใหญ่มาก  แต่ในสายตาของเทพที่สูงขึ้นไปนั้นเห็นว่าช่างเล็กเหลือเกิน

            หลักธรรมที่ข้าพเจ้าบรรยายอาจจะใหญ่สักหน่อย และข้าพเจ้าก็นำเขามาสอนให้กับคนแล้ว  นี่แท้ที่จริงก็เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์   เรื่องที่ข้าพเจ้าทำนี้  อาศัยรูปแบบของคน  ภาษาของคน   อาศัยรูปแบบการบำเพ็ญที่ต่ำที่สุดทำเรื่องที่ใหญ่ที่สุดแล้ว     ขณะนี้เนื่องจากความแตกต่างของภาษา และสภาพแวดล้อม  คนในอเมริกากับที่อื่นๆที่ศึกษา ก็มีไม่มากเท่ากับ ในประเทศจีน  ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่  คนที่ศึกษาจำนวนมากล้วนกำลังบำเพ็ญกันอย่างจริงจัง   ทุกวันฝึกพลัง  บำเพ็ญอยู่   มีกว่าสิบล้านคน   พวกที่ฝึกบ้างไม่ฝึกบ้าง  ฝึกครึ่งๆกลางๆ  พวกนี้เมื่อคิดรวมเข้าไปด้วยทั้งหมดก็มีถึงหลายสิบล้านคน   ผู้ที่รู้จักฝ่านี้ของข้าพเจ้าในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่มีหลายร้อยล้านคน  แทบจะพูดได้ว่าใครๆก็รู้จักกันหมด    แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ฝ่านี้ก้าวไปสู่การเมือง  และก็ไม่ยอมให้เขา เข้าสู่การเมือง   สิ่งที่เป็นการบำเพ็ญ เมื่อเข้าสู่การเมืองก็จะเป็นหลักธรรมนอกรีต  พวกเราเพียงแต่ถ่ายทอดอยู่ในหมู่ประชาชน   ไม่เคยลงหนังสือพิมพ์อย่างเป็นทางการ  กระทั่งไม่เคยประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางอย่างเต็มที่  ล้วนเป็นการที่ผู้ฝึกรู้สึกว่าดี  ตนเองจึงบอกให้คนอื่นมาศึกษา   คนหนึ่งรู้สึกว่าดีจึงบอกให้คนในครอบครัวมาศึกษาด้วย   ทุกท่านทราบ  ถ้าหากตนเองไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างไร  เขาก็ย่อมไม่บอกให้คนในครอบครัวมาศึกษา  คนในครอบครัวรู้สึกว่าดี ญาติสนิทมิตรสหายของเขาก็มาศึกษากัน   ก็คือการเผยแพร่ออกไปในหมู่ประชาชนแบบนี้          ข้าพเจ้าก็เริ่มบรรยายจากระดับชั้นต่ำที่สุด  ค่อยๆบรรยายสูงขึ้น  บรรยายอยู่อย่างนี้เป็นเวลาสองปี   สุดท้ายการบรรยายต้าฝ่าจริงๆก็บรรยายอีกสองปี  ทั้งหมดก็เป็นเวลาสี่ปี   ในประเทศจีนเกือบจะรู้จักกันทุกครอบครัว   ในต่างประเทศก็มีผลกระทบมาก   ถึงแม้คนยังไม่ได้บำเพ็ญ  แต่คนจำนวนมากก็เคยได้ยิน   ในเอเชียอาคเนย์อาจจะมีผลกระทบมากกว่าอเมริกาสักหน่อย   มีหลายประเทศก็ตั้งผู้ช่วยสอนกันแล้ว    ก่อตั้งสมาคมศึกษาพุทธธรรมฝ่าหลุนต้าฝ่า   สมาคมศึกษาฝ่าหลุนต้าฝ่ากันแล้ว  ได้ปรากฎแนวโน้มของการเติบโตอย่างรวดเร็วชนิดหนึ่ง

            ที่นี่ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านเรื่องหนึ่ง   ปัจจุบันนี้หากกล่าวตามคำพูดขององค์ศากยมุนี ก็เป็นช่วงเวลาที่ใช้ไม่ได้แล้วของยุคธรรมะปลาย  ก็คือไม่มีธรรมะแล้ว   องค์ศากยมุนีตรัสว่า พอถึงยุคธรรมะปลาย  หลักธรรมของพระองค์ก็ช่วยคนไม่ได้แล้ว   แน่นอนว่ามีพระสงฆ์มากมายก็บำเพ็ญไม่สำเร็จแล้ว   เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรแล้ว   ความเข้าใจต่อพระสูตรก็ไม่ไหวแล้ว   ไม่สามารถรับรู้ความหมายที่แท้จริงที่แฝงไว้ในพระสูตร   ดังนั้นจึงยากมากที่จะบำเพ็ญ   ปัจจุบันคนที่ศึกษามีมาก ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ล้วนไม่ใช่ความบังเอิญ  มีคนมากมายมาศึกษา ใช่ไหมว่าหากไม่มีปรากฏการณ์สวรรค์ชนิดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นหรือ ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน รับรองว่ามันมีสาเหตุอย่างแน่นอน

            มนุษย์ มีหลักเสริมและต้านกันอยู่   พอมีสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรมเกิดขึ้นก็ย่อมจะมีสิ่งที่ชั่วร้ายเกิดขึ้น   ฉะนั้นอีกด้านหนึ่งก็คือ  ศาสนานอกรีตนานาชนิดในสังคมทุกวันนี้เอย   ชี่กงปลอมจำนวนมากเอย   โดยเปลือกนอกของผู้ที่ทำเรื่องเหล่านี้คือ เพื่อเงิน  อยากมีชื่อเสียง  ที่จริงมีมากมายซึ่งอาจเป็นมารร้ายกลับชาติมาเกิด สร้างความปั่นป่วนในโลก   องค์ศากยมุนีตรัสว่าเมื่อพระองค์ทรงถ่ายทอดหลักธรรมนั้น ได้ทรงมองเห็นสังคมมนุษย์มี“สัตว์พิษร้ายห้าชนิดครบถ้วน” ที่จริงสังคมปัจจุบันสลับซับซ้อนยิ่งกว่าเวลานั้นมากมายนัก  คือ มีสิบชั่วร้ายครบถ้วน   ศาสนานอกรีตก็มีมาก

            ตรงนี้ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  พวกเราไม่จัดตั้งศาสนาอย่างแน่นอน  ท่านอยากจะมาเรียน ก็มาเรียน   ท่านไม่อยากจะเรียนก็ไปได้   ก็เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง   สมมติว่าบังคับท่านมาเรียน  ไม่เรียนไม่ได้ ต้องเรียนให้ได้  เรียนแล้วก็ไม่ให้หนีไปไหน   ต้องอยู่ที่นี่เท่านั้น   ทุกท่านทราบ เช่นนี้โดยตัวมันเองก็เป็นการทำสิ่งชั่วร้ายแล้ว     หากเป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง  นั่นต้องให้ใจคนเองคิดอยากเรียนจึงจะถูก  เอาแต่จะบังคับคนอื่นบำเพ็ญ  เขาจะบำเพ็ญได้หรือ      เขาก็จะไม่บำเพ็ญจริงอย่างแน่นอน   มีเพียงใจคนที่แท้จริงคิดจะเรียนจึงจะใช้ได้   ดังนั้นการบังคับใครให้อยู่ที่นี่จึงไม่มีประโยชน์   พวกเราไม่ทำเรื่องเหล่านี้   คิดจะเรียนท่านก็เรียน   เมื่อเรียนข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบต่อท่าน  ไม่ว่าจะมีวาสนาใหญ่โตเพียงไร  ท่านคิดจะเรียนข้าพเจ้าก็จะรับผิดชอบท่าน  ไม่อยากเรียนท่านก็ไปทำเรื่องอื่นของท่านได้ตามชอบใจ

            จุดประสงค์ในการถ่ายทอดฝ่านี้ ของข้าพเจ้าคือ  บอกสิ่งที่ดีงามและเป็นสิริมงคลแก่ทุกท่าน  ในหมู่พวกท่านก็มีหลายๆคนที่มีวาสนาอย่างแท้จริง  สมควรจะได้ฝ่านี้   และรอคอยที่จะได้ฝ่านี้ตลอดมา   มนุษยชาติมาถึงช่วงเวลาที่วุ่นวายสับสนที่สุด   คุณธรรมของสังคมทั้งหมดล้วนกำลังลื่นไถลลงไป   มีหลายคนพูดว่าจะมีภัยพิบัติใหญ่  ข้าพเจ้าสามารถบอกทุกท่าน ในขณะนี้ไม่มีภัยพิบัติใหญ่อย่างนี้ เหมือนอย่างที่พวกเขาพูดกัน  แต่กล่าวสำหรับคน  การเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆเช่นนี้  เป็นเรื่องอันตรายมาก  ทำไมถึงอันตรายละ   ทุกท่านลองคิดดูนะ  คนในสังคมทุกวันนี้กลายเป็นอะไรไปแล้วละ    ปรากฏการณ์ความเสื่อมทรามต่างๆ นานาช่างมากเหลือเกิน  นับไม่ถ้วน   คน หนา  ทำไมจึงเรียกว่าคน   เพราะคนมีชีวิตอยู่บนโลก  ต้องมีมาตรฐานศีลธรรมของคน  มีกฎเกณฑ์ของคน   ท่านจึงจะเป็นคน  มิฉะนั้นก็ไม่เรียกว่าคน   ไม่ใช่พูดว่าท่านมีสมองก้อนหนึ่ง   มีแขนขาทั้งสี่ก็คือคน   ลิงมันก็มีสี่แขนขา    ในมิติอื่นๆนั้น สิ่งมีชีวิตที่คล้ายคนยังมีอีกมากมายนะ    พวกมันก็ไม่อาจเรียกว่า เป็นคน   เพราะคนมีพฤติกรรมของคน  กับมาตรฐานศีลธรรม  มีกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม จึงจะเป็นคน   ถ้าคนละทิ้งกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมของคนแล้ว  ไม่มีมาตรฐานศีลธรรมของคนแล้ว  เหมือนกันกับสัตว์อย่างนั้นเช่นนั้นสวรรค์เบื้องบน ก็จะไม่มองว่าคน เป็นคน   ถือว่านี่คือสัตว์ป่า  ถึงเวลานั้นมนุษยชาติจะเผชิญกับความน่ากลัว

            ทำไมจึงน่ากลัว   ทุกท่านลองคิดดู   นี่คือมิติของมนุษย์   โลกคือสิ่งที่เทพสร้างให้กับคนโดยเฉพาะ  มิใช่สร้างให้กับสัตว์ป่า   ถ้าหากเป็นเช่นนี้     เช่นนั้นคนที่ไม่ดีมากมาย  อย่าเห็นว่าขณะนี้เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไรเขาล้วนกำลังทำกัน  อาจจะต้องเผชิญกับอันตรายอย่างยิ่ง  มีคนที่จิตใจดีงามหลายคน  มีคนที่ดีสักหน่อยหลายคน  ก็กำลังลื่นไถลตามลงไปด้วย   ในขณะนี้  ก็คือไม่สามารถบำเพ็ญได้แม้แต่คนเดียว   ข้าพเจ้านำหลักธรรมนี้มาบรรยายให้กับคนๆ ก็จะมีสติขึ้นมาได้  รับรู้ได้ว่ามนุษยชาติเป็นอย่างไรกันแล้ว   ไม่ถึงกับลื่นไถลลงไปอีก  ซึ่งจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัวตามมา

            พอข้าพเจ้าพูดขึ้นมาก็จบไม่ลงละ    มักคิดจะนำหลักธรรมเหล่านี้ทั้งหมดบอกแก่ทุกท่าน   เพราะข้าพเจ้ายังจะต้องไปฮิวสตันเปิดการประชุม    ที่นี่ข้าพเจ้าเพียงคิดพบปะหน้าตากับทุกท่าน   พูดคุยกันคร่าวๆ   ถือโอกาสพบทุกท่านสักหน่อย (เสียงปรบมือ)  และถือโอกาสบอกทุกท่านว่า  หลักธรรมนี้ล้ำค่ายิ่งนัก   ข้าพเจ้านั้นสอนให้พวกท่านโดยไม่หวังอะไรตอบแทน   นี่คือสิ่งที่คนนับแสนปีมาอยากจะรู้  แต่ไม่มีการถ่ายทอดหลักธรรมที่แท้จริง ซึ่งมีค่าอย่างไร้ที่เปรียบ    คนนะ  สิ่งที่มีค่านั้นพอท่านได้มานิดๆหน่อยๆ จากการแสวงหา  กระทั่งเป็นแค่เพียงหนึ่งประโยค(ที่ได้มา)   ท่านก็เห็นคุณค่าเสียเหลือเกิน   ชั่วชีวิตท่านก็ไม่ยอมลืม   หากสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่านั้นมาถึงแล้ว  หรือกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเทให้กับท่านทั้งหมด  ท่านกลับรู้สึกว่าช่างได้มาง่ายดายเหลือเกิน   ด้วยเหตุนี้บางคนอาจไม่รู้ค่า   สิ่งที่ได้มาง่ายๆนั้นคนมักจะมีจุดอ่อน ที่มักจะไม่รู้ค่า  แต่ว่านะ   ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก   ข้าพเจ้าไม่อาจบอกให้แต่ละคนเที่ยวค้นหาข้าพเจ้าไปทั่ว  ข้าพเจ้าได้แต่เอาทั้งหมดนี้ให้กับพวกท่าน   บอกให้พวกท่านทราบ  บอกให้คนรู้มากยิ่งขึ้น  ให้ความช่วยเหลืออีกครั้ง  ผูกวาสนากันอีก   ก็เพียงทำได้อย่างนี้   จะรู้ค่าหรือ ไม่รู้ค่า เป็นเรื่องของพวกท่านแต่ละคน   พวกท่านมีวาสนาอยู่ก่อนแล้ว   คนมีความสามารถวิเคราะห์แยกแยะ  ท่านดูซิว่าหลักธรรมนี้ ดีหรือไม่ดี  ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนล้วนมีจิตพุทธอยู่  ท่านไปรับรู้เอาเองก็แล้วกัน

            พวกท่านบางคนดูเหมือนจะมาถึงที่นี่จากที่ที่ไกลมาก  ทุกท่านก็ไม่อยากจะจากไป

 

ศิษย์     ท่านอาจารย์  จะถ่ายภาพได้หรือไม่ครับ

อาจารย์  ถ่ายภาพได้

ศิษย์     สามารถถามปัญหาได้หรือไม่ครับ

อาจารย์  อย่างนี้  คือพวกเรามีเวลาไม่มาก  ข้าพเจ้าจะให้เวลาทุกท่านอีกครึ่งชั่วโมง  ข้าพเจ้าจะตอบปัญหาให้ทุกท่านสักหน่อย   ข้าพเจ้าขอกำหนดอย่างนี้สำหรับทุกท่าน  (ปัญหา)ที่มีลักษณะเป็นตัวแทน  ที่เป็นข้อกังขาของท่านจริงๆ ท่านก็ถามได้  เรื่องที่ท่านเข้าใจได้จากการอ่านหนังสือนั้น อย่าถาม  เพราะคนมากมายอย่างนี้นะ  หากแต่ละคนล้วนถามคนละคำถาม  สองชั่วโมงก็ตอบได้ไม่หมด  ดีไหม

ศิษย์     ผมขอถามปัญหาหนึ่งได้ไหมครับ

อาจารย์  ได้  ได้

ศิษย์     หนังสือของท่านอาจารย์ผมได้อ่านแล้ว  และกำลังศึกษาฝ่าอยู่  ดังนั้นผมจึงบอกเพื่อน หรือญาติสนิทไปมากมาย   พวกเขาเกรงว่าแต่ก่อนหลายๆคนนั้นเชื่อถือศาสนาพุทธอยู่  แน่นอนมีเพื่อนหลายคนที่เรียนศาสนาคริสต์   เกรงว่าหากเดี๋ยวนี้เรียนฝ่าหลุนกงแล้ว  บางคนแต่ก่อนชอบอ่านบทสวดมนต์  ชอบเข้าโบสถ์  สิ่งเหล่านี้ยังทำได้หรือไม่

อาจารย์  เอาละ  ข้าพเจ้าว่า  ความหมายที่ท่านพูดก็คือ  ผู้ที่เชื่อถือศาสนาอื่นสามารถเรียนฝ่าหลุนกงได้หรือไม่   มีการรบกวนกันหรือไม่   ที่จริงสิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าเคยอธิบายไว้ในหนังสือแล้ว  อย่างนั้นข้าพเจ้าก็จะพูดอีกสักครั้ง

            การบำเพ็ญพุทธะนั้น  ไม่ใช่เรื่องประเภทวิชาการอะไรเรื่องหนึ่ง อย่างที่คนธรรมดาสามัญเข้าใจกัน  การบำเพ็ญนั้นเป็นปัญหาหนึ่งที่จริงจังเข้มงวดมาก  เรื่องราวทั้งปวงบนโลก ล้วนไม่จริงจังเข้มงวดเท่าเรื่องนี้  และไม่โดดเด่นดีงามเท่าเรื่องนี้    แนวทางการบำเพ็ญนั้นมีการแยกออกจากกัน  ในศาสนาพุทธก็พูดเรื่องไม่บำเพ็ญสองแนวทาง    เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดแล้วว่า ศาสนาพุทธได้มาถึงยุคธรรมะปลาย   ไม่อาจบำเพ็ญได้อีกแล้ว   เหตุใดจึงไม่อาจบำเพ็ญได้แล้วละ   ในเวลานี้คนไม่สามารถเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในพระสูตรแล้ว  โดยเฉพาะคือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ในยุคปัจจุบัน   ความหมายที่มันอธิบายล้วนไม่เหมือนกับที่องค์ศากยมุนีทรงตรัสไว้ในสมัยนั้น  อาทิเช่น องค์ศากยมุนีทรงตรัสเรื่องการไม่บำเพ็ญสองแนวทาง  คือทรงชี้ว่าในการบำเพ็ญไม่อาจทำแบบตีความ   ไม่อาจบำเพ็ญสองอย่างหรือหลายๆสิ่งในเวลาเดียวกัน  อย่างเช่นว่า ถ้าท่านเรียนนิกายเซน(ฉานจง)ก็ไม่อาจเรียนนิกายดินแดนบริสุทธิ์(จิ้งถู่)   ถ้าท่านเรียนนิกายดินแดนบริสุทธิ์ท่านก็ไม่อาจเรียนนิกายเทียนไถ(พลับพลาสวรรค์)  นิกายหว๋าเหยียน ถ้าท่านเรียนนิกายหว๋าเหยียน ท่านก็ไม่อาจเรียนนิกายเทียนไถ และไม่อาจเรียนนิกายเซน  และไม่อาจเรียนนิกายมี่จง

            ทำไมเป็นเช่นนี้ละ   คนปัจจุบันนี้ไม่เข้าใจแล้ว  ขอเพียงเป็นพระพุทธก็กราบไหว้  ขอเพียงเป็นพระพุทธฉันก็ไม่สนใจว่าจะเป็นแนวไหนนิกายไหน   นี่จึงกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้พระสงฆ์ทุกวันนี้ไม่สามารถบำเพ็ญสำเร็จ  ที่จริงพระพุทธแต่ละองค์ล้วนก่อตั้งสวรรค์หนึ่งของตนเอง  แต่ละสวรรค์มีพระยูไลหนึ่งองค์อยู่   อาทิเช่น  เย้าซือฝอ(พระโอสถพุทธ)ก่อตั้งหลิวหลีซื่อเจี้ย(โลกแก้วใส)   หว๋าเหยียนซื่อเจี้ยมี พระยูไลหว๋าเหยียน  ,เหลียนฮวาซื่อเจี้ย มีพระยูไลเหลียนฮวา , จี๋เล่อซื่อเจี้ย (โลกสุขาวดี) มีพระยูไลอาหนีถอฝอ(อมิตตพุทธ) เป็นต้น  พระยูไลพุทธะแต่ละองค์ล้วนมีวิธีการบำเพ็ญชุดหนึ่งของตนเอง    จุดฐานของหลักพุทธธรรม ล้วน คือสิ่งที่รู้แจ้งออกมาจากหลักธรรมของจักรวาล   แต่ว่าการรับรู้ กับ วิธีการบำเพ็ญของพระยูไลแต่ละองค์กลับไม่เหมือนกัน  เพราะเหตุใดละ   ทุกท่านทราบว่า  ความสามารถของพระพุทธต่างก็ไม่เหมือนกัน   พระพุทธแต่ละองค์ล้วนไม่เหมือนกัน   พระพุทธองค์นี้มีความสามารถอย่างนี้  พระพุทธองค์นั้นมีความสามารถอย่างนั้น   แต่ว่า ก็ล้วนอยู่ในระดับเขตแดนเดียวกัน  ความสามารถล้วนต่างกัน ก็เหมือนกับทุกท่านเรียนในมหาวิทยาลัย  ท่านเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย  เขาก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย  ท่านเรียนวิทยาศาสตร์  เขาเรียนศิลปะศาสตร์   เขาเรียนเกษตรศาสตร์  เขาเรียนดาราศาสตร์  ล้วนแต่ไม่เหมือนกัน   ล้วนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย   แต่ความรู้ที่เรียนรู้และสิ่งที่เข้าใจ กลับแตกต่างกัน  ข้าพเจ้าจึงยกตัวอย่างคร่าวๆอย่างนี้

            คนเอย  ท่านจะไปโลกไหนละ  ศาสนาพุทธในอดีตนั้น เมื่อตั้งปณิธานจะไปที่ใด  เช่นว่าฉันจะไปโลกดินแดนบริสุทธิ์  บำเพ็ญไปหาพระอมิตตพุทธ  เป็นเหล่าพระพุทธ หรือบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์  บำเพ็ญเป็นอรหันต์ของเขา(พระอมิตตพุทธ)    เช่นนั้นหลังจากท่านตั้งปณิธาน ท่านก็บำเพ็ญในแนวทางนี้ของเขา    ก็อ่านพระสูตรของพระอมิตตพุทธ  บริกรรมอมิตตพุทธ   พระสูตรอื่นๆก็อ่านไม่ได้แล้ว   นี่เรียกว่าไม่บำเพ็ญสองแนวทาง   ฉะนั้นคนที่อยากจะไป หว๋าเหยียนซื่อเจี้ย  เช่นนั้นท่านก็อ่านพระสูตรหว๋าเหยียน  อย่างอื่นล้วนไม่อ่าน   คนรู้สึกว่าทั้งหมดต่างก็เป็นพุทธธรรม  ล้วนเป็นประโยชน์ต่อคน   นี่คือสิ่งที่คนคิด   ถ้าไม่ระวังก็จะยุ่งเหยิง      ภายในพระสูตรเล่มหนึ่ง ก็ครอบคลุมหลักธรรมทั้งหมดของผู้บำเพ็ญ ตั้งแต่ระดับชั้นต่ำที่สุด จนถึงระดับชั้นสูงขึ้น   ซึ่งใจคนรู้สึกว่าการบำเพ็ญปนกันไปจะได้ประโยชน์

            ปัจจุบันสังคมมนุษย์นี้ ได้ถูกปิดล้อม  เทพที่เที่ยงธรรมทั้งหมดที่ช่วยเหลือคน ล้วนไม่ดูแลคนแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นด้วยพวกเขาเข้าใจว่าคนในปัจจุบันแย่มากแล้ว ล้วนไม่ต้องการแล้ว  ไม่ช่วยเหลือแล้ว  เมื่อครู่ข้าพเจ้าได้พูดไว้ประโยคหนึ่ง   ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าถ่ายทอดฝ่านี้ อย่างยากลำบากมาก   เทพกับพระพุทธจำนวนมากล้วนแต่กำลังขัดขวาง ไม่ให้ถ่ายทอด  พวกเขาถือว่าคนปัจจุบันนี้ไม่อาจจะช่วยเหลือได้อีกแล้ว  และก็ไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้อีกแล้ว   เรื่องเหล่านี้คนไม่ทราบกัน   คนกลับยังรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่อย่างสบายมาก   คนไม่ทราบว่า คนยุคนี้กับคนในอดีต มีความแตกต่างด้านคุณธรรมมากแค่ไหน  คนก็ไม่ทราบว่าฟ้าดินมีความแตกต่างกันมากเพียงใด   เทพกับพระพุทธมองคนอย่างไร  บนสวรรค์มีความบริสุทธิ์เพียงไร  พระพุทธมีความศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งใหญ่เพียงไร !

            คน กับ ชาวสวรรค์ แตกต่างกันลิบลับ  ท้องฟ้าของโลกมนุษย์ช่างสดใสจัง  เพราะคนมองโดยใช้ตาคนที่สร้างขึ้นมาจากสสารของที่นี่     แต่ถ้าคนมีความสามารถไปอยู่ในมิติชั้นสูง มองมนุษยชาติ   ท่านก็จะพบว่าสังคมมนุษย์นั้น มีคลื่นสีดำไหลวนไปมา   กรรมหนักเหลือเกิน  ช่างสกปรกมาก  ดังนั้นทัศนะของเทพกับพระพุทธที่มีต่อคน ไม่เหมือนอย่างที่คนคิดกัน   ที่ช่วยเหลือคน เพราะเทพกับพระพุทธมีเมตตาต่อคน  ไม่ใช่เพราะท่านพูดว่าพระพุทธดี  พระพุทธจึงช่วยเหลือท่าน  และไม่ใช่ว่าท่านอยากได้อะไร เทพกับพระพุทธก็ให้อะไรท่าน    ที่จริงเทพก็ดี  พระพุทธก็ดี  สำหรับการบำเพ็ญนั้นพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับรูปแบบ   ศาสนาสร้างกันใหญ่โตแค่ไหน  ก็ไม่ถือว่าเป็นการบำเพ็ญ   ข้าพเจ้าถ่ายทอดพลังก็เพื่อคน  หาใช่เพื่อเผยแพร่ศาสนา   เทพกับพระพุทธนั้นไม่ยอมรับรูปแบบศาสนาโดยตัวมันเอง  ยอมรับแต่เพียงคน

            ผู้คนมักพูดว่า ศาสนาที่ฉันนับถือนั้นดีอย่างนั้นอย่างนี้   คล้ายกับว่าเขากำลังปกป้องพระพุทธ  คล้ายกับว่าเขากำลังปกป้องพระเยซู  ปกป้องพระเจ้า   ไม่ใช่เรื่องเช่นนี้    เขายิ่งมีความเร่าร้อนใจในศาสนา  สิ่งนี้โดยตัวมันเองก็คือยิ่งยึดติด   ใจของเขา(แบบนี้)ยิ่งแรงก็ยิ่งห่างไกลจากเทพ   และศาสนาคือรูปแบบการบำเพ็ญที่คนสร้างขึ้นมา   ต่อให้ศาสนาสมบูรณ์แบบขึ้นอีก ก็ไม่นับว่าคนบำเพ็ญได้สมบูรณ์แบบ   คนใช้จิตใจไปในสิ่งนี้  พระพุทธ เทพ เห็นแล้วก็ลำบากใจ   พระพุทธไม่มองรูปแบบทางโลกของท่าน  ออกบวชแล้ว  ล้างบาปแล้ว  แต่ใจยังเป็นใจของคนธรรมดาสามัญ จะมีประโยชน์อะไร   เขาไม่มองสิ่งเหล่านี้ของท่าน  เขามองว่าท่านกำลังบำเพ็ญอย่างแท้จริงหรือไม่  ท่านก็ไม่ได้บวช  ไม่ได้ล้างบาป  แม้กระทั่งท่านไม่ได้จุดธูปไหว้  ไม่บริกรรมพุทธะ  แต่ท่านทำตามข้อกำหนดของเทพ  พระพุทธ   บำเพ็ญก้าวหน้าจริงๆ   เขามองเห็นแล้วก็ดีใจอย่างยิ่งแล้ว   ไม่ต้องให้ท่านขอ   เขาก็จะคุ้มครองท่านตลอดเวลา  เฝ้าดูแลท่าน  ช่วยเหลือการบำเพ็ญของท่าน   ใช่เหตุผลเช่นนี้ไหม  ( เสียงปรบมือ)

            บางคนพูดว่าฉันปล่อยวางหนังสือของศาสนาพุทธไม่ลง  วาง “คัมภีร์ไบเบิ้ล” ไม่ลง  วางบทสวดไม่ลง   สิ่งที่วางไม่ได้คือศาสนา  ไม่ใช่วางพระพุทธไม่ลง   ทุกท่านลองคิดดูให้ละเอียด  เดี๋ยวนี้คนที่เชื่อศาสนาเป็นเช่นนี้หรือไม่   ทำไมคนวางสิ่งเหล่านี้ไม่ลง   ตนเองลองควานหามูลเหตุในใจดู   ลองดูใจดวงนั้นว่าเข้าใจปัญหานี้อย่างไร  มีหลายๆเรื่องอย่าได้ดูแต่เปลือกนอก  ผู้ที่บำเพ็ญตนเองอย่างแท้จริง จึงจะเป็นผู้ที่เชื่อเทพกับพระพุทธจริง   พระพุทธก็จะมองเช่นนี้   พวกเขาก็ไม่มองว่าศาสนานั้นทำได้ดีอย่างไร  ทุกท่านทราบว่าในประวัติศาสตร์นั้น หลายคนบำเพ็ญจนสำเร็จแล้ว  แต่เขาไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในศาสนา  ผู้มีคุณธรรมสูงจำนวนมากไม่ได้บำเพ็ญอยู่ในศาสนา   คนๆนั้นเรียกร้องตนเองอย่างเข้มงวดโดยตลอด  คิดว่าจะเป็นคนดีได้อย่างไร  หากสามารถยืนหยัดทำเช่นนี้อย่างยาวนาน  ยิ่งทำยิ่งดี พระพุทธก็จะดูแลเขา เขาจึงจะหยวนหมั่นได้

            หลักธรรมที่ข้าพเจ้าบรรยาย  พูดไปพูดมา ก็คือให้ท่านเป็นคนดี  เป็นคนที่ดียิ่งขึ้น  เหนือกว่าคนดีของคนธรรมดาสามัญ  เมื่อทำได้แล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่เหนือคน  ยิ่งเหนือขึ้นไป ท่านก็คือชีวิตของเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น  ดังนั้นคนแบบนี้ ถ้าไม่ขึ้นสวรรค์แล้วยังจะอยู่บนโลกได้ไหม   คนนั้นเห็นแก่ตัว  ชิงดีชิงเด่น  แก่งแย่งชื่อเสียงและผลประโยชน์  คนบนโลกกับท่านไม่เหมือนกันแล้ว   ก็เป็นเหตุผลเช่นนี้   หากท่านไปพูดเช่นนี้กับพวกเขา  ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหน  พอเทพปล่อยทิ้งแล้ว ก็จะเป็นรูปแบบหนึ่งของสังคมคนธรรมดาสามัญ  การงานอย่างหนึ่งของคนธรรมดาสามัญ ไม่มีผลกระทบอะไรเลยต่อการบำเพ็ญที่แท้จริง  แต่ว่าตรงนี้มีปัญหาที่เข้มงวดอย่างหนึ่งต่อการบำเพ็ญ  การยึดมั่นแนวทางเดียวจึงจะเป็นการบำเพ็ญที่แท้  เขาคิดจะเรียนก็เรียน  บอกพวกเขาว่า ถึงแม้ไม่กระทบ แต่ว่ามีปัญหาที่เข้มงวดอย่างหนึ่ง  บอกเขาว่าไม่กระทบ เมื่ออ่านหนังสือแล้วก็จะเข้าใจได้ (เสียงปรบมือ)

ศิษย์     นอกจากที่ท่านสอนพวกเราฝึกหลักพลัง 5 ชุด  ผมยังพบว่ามีการรำมือหนึ่งชุด  การรำมือชุดนี้ที่ท่านรำ

อาจารย์  ก่อนอื่นข้าพเจ้าจะพูดถึงว่าการรำมือ คืออะไร   การรำมือก็คล้ายกับภาษาอย่างหนึ่งของพระพุทธเป็นวิธีการแสดงออกอย่างหนึ่ง  เพราะเมื่อพระพุทธกำลังแสดงอะไรออกมานั้น  หากไม่คิดจะใช้ภาษาพูดก็จะรำมือ ระหว่างพระพุทธกับพระพุทธด้วยกัน ก็ใช้การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด  ฝ่าเซินทั้งหมดของข้าพเจ้าที่ท่านมองเห็นก็ดี  หรือท่านฝันถึงพระพุทธ  พระโพธิสัตว์ก็ดี  บางครั้งก็พูดกับท่านโดยไม่ใช้ปาก  แต่ท่านกลับได้ยินเสียงของเขา  นั่นคือใช้การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด  ใช้ภาษาของยุคนี้พูด ก็เรียกว่าการถ่ายทอดความรู้สึกแบบมีเสียงสเตริโอ  เมื่อบรรยายธรรมให้กับพระโพธิสัตว์  พระอรหันต์ จำนวนมาก  ก็ใช้วิธีการรำมือบ่อยๆ  แต่นี่ไม่ใช่ภาษาใบ้ของคน   มีความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์และทรงพลานุภาพเกรียงไกรกว่ามัน   เพราะเขาเป็นภาษาของพระพุทธ  พอรำมือออกมาจึงมีพลัง มีพลานุภาพ  กล่าวสำหรับสรรพชีวิตที่ต่ำกว่าพระพุทธ  สิ่งที่พระพุทธแสดงออกมาก็คือ ฝ่า    แต่การรำมือก็เหมือนกับการพูด  ภาษานั้นสามารถพูดประกอบกันอย่างนี้ และสามารถพูดประกอบกันอย่างนั้น   ปัญหาหนึ่งๆยังอาจพูดจากมุมมองที่ต่างกัน  ดังนั้นเขา(การรำมือ)จึงไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว   ไม่มีมาตรฐาน  แต่ในรูปธรรมของการฝึกพลัง ก็มีการใช้ท่ารำที่นิ่ง   ก็คือท่าที่ไม่เคลื่อนไหวเมื่อมือ เจียอิ้น ( สองมือประสานกัน )    นี่เรียกว่าท่ารำนิ่ง   อย่างเช่น ท่ามือเหลียนฮวา(รูปดอกบัว)  ประสานมือนิ่ง(เจียอิ้น)เวลาฝึกพลังของพวกเรา  นี่ล้วนแต่เป็นท่ารำนิ่ง  ฉะนั้นการรำมือขณะเคลื่อนไหว จึงไม่เหมือนกับท่ารำมือนิ่ง    ในวีดิโอ ท่ารำมือที่ข้าพเจ้ารำในขณะฝึกพลังอยู่นั้น  คือสิ่งที่ข้าพเจ้าบรรยายให้กับด้านนั้นของท่านที่เข้าใจ ก่อนที่ทุกท่านยังไม่ได้ฝึกพลัง  บรรยายให้กับสรรพชีวิตในมิติอื่น   ดังนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องฝึก   ในอนาคตเมื่อพวกท่านบำเพ็ญสำเร็จเป็นพระพุทธ ก็ล้วนจะสามารถรำได้ (เสียงปรบมือ)

ศิษย์     ท่านอาจารย์หลี่  วันนี้ท่านสามารถใส่ฝ่าหลุนให้กับพวกเราแต่ละคนได้ ใช่หรือไม่

อาจารย์  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  ท่านเพียงแต่บำเพ็ญด้วยใจจริง   ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่ หรือ ท่านอ่านหนังสือเอง  ล้วนจะได้รับหมด  ข้าพเจ้ายังจะขอบอกทุกท่านอีกว่า อย่างไรเสียต้องเห็นค่าของหนังสือเล่มนี้   ในขณะนี้ท่านอาจจะรับรู้ไม่ได้  สิ่งที่บรรยายในหนังสือเล่มนี้เป็นหลักพุทธธรรมแต่ละระดับชั้นของการบำเพ็ญ ได้ครอบคลุมไว้หมดแล้วในหนังสือนี้  สิ่งที่ชี้นำการบำเพ็ญของท่านอย่างแท้จริงก็คือพุทธธรรม  ในระหว่างการบำเพ็ญของท่าน พระพุทธ  เทพ จะช่วยเหลือท่าน   ทุกท่านลองคิดดู  สิ่งที่อยู่บนสวรรค์แต่ละชั้นคืออะไร  ไม่ใช่เหล่าเทพกับพระพุทธหรือ  พระพุทธที่สูงกว่า  พระพุทธที่สูงยิ่งกว่า  พระพุทธที่สูงยิ่งกว่าๆหรือ  ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกทุกท่านนะ  หนังสือเล่มนั้นแต่ละตัวอักษรคือ พระพุทธระดับชั้นต่างๆที่ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ   สุดท้ายคือฝ่าเซินของข้าพเจ้า  และจะปรากฏฝ่าหลุนในระดับชั้นที่ต่างกัน  ทำไมบางคนพอหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านจึงรู้สึกสบายละ  พออ่านก็สามารถล้างกรรม  พออ่านโรคก็หาย   แน่นอนว่าในระหว่างการบำเพ็ญไม่ใช่ว่าชั่วครู่เดียวก็จะล้างกรรมออกไปทั้งหมด  ไม่อาจล้างกรรมมากมายอย่างนั้นให้ท่านทั้งหมดในครั้งแรก  เมื่อความคิดเลื่อนสูงขึ้นไปจึงสามารถล้างไปอีกส่วนหนึ่ง  การทำอย่างนี้ก็เพื่อให้มีการยกระดับในการบำเพ็ญ   ดังนั้นพลานุภาพของฝ่านี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก  ทุกท่านลองคิดดูนะ  นั่นยังต้องให้ข้าพเจ้าใส่ฝ่าหลุนให้ด้วยตัวเองไหม   ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแต่ศึกษาด้วยใจจริง    ต้องการบำเพ็ญล้วนแต่จะได้รับ    ต้าฝ่ากำลังถ่ายทอดอยู่ทั่วโลก   เนื่องจากข้าพเจ้าไม่อาจพบหน้าแต่ละคนบนโลก   ในประเทศจีนมีแต่ผู้ฝึกที่เคยฟังการบรรยายจึงได้พบข้าพเจ้า  ผู้ฝึกอื่นจำนวนมากกว่าไม่เคยพบข้าพเจ้า  ในการบำเพ็ญหากไม่มีสิ่งที่ข้าพเจ้ามอบให้  รวมทั้งฝ่าหลุน จะได้หรือ   ไม่ได้  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนำพลังความสามารถของข้าพเจ้าใส่เข้าไปในหนังสือเล่มนี้แล้ว  เพียงแต่มีคนบำเพ็ญ  พออ่านหนังสือก็จะได้รับสิ่งที่จำเป็นทั้งหมด ในการบำเพ็ญ

            ในขณะนี้มีผู้ฝึกจำนวนไม่น้อย พวกเขาก็กำลังค้นหาข้าพเจ้าไปทั่ว  ข้าพเจ้าไม่คิดจะไปพบพวกเขา  ที่ไม่ไปพบนั้นมีเหตุผลหนึ่ง  ก็คือข้าพเจ้าต้องการให้พวกเขาอยู่ที่นั่น  บำเพ็ญอย่างจริงๆจังๆ   ผู้ฝึกบางคนพอได้พบกับข้าพเจ้าแล้ว  ใจก็จะไม่สงบได้ง่าย  จึงรบกวนการบำเพ็ญของเขา   ข้าพเจ้าต้องการให้เขาสงบใจไปบำเพ็ญ   ข้าพเจ้าจะเอาแต่ถ่ายทอดฝ่าไม่ได้   ท่านต้องได้รับฝ่า  ให้เวลาท่านไปอ่าน ไปบำเพ็ญปฏิบัติจริงๆ  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพยายามพบหน้าผู้ฝึกให้น้อย    เมื่อไม่พบหน้า  และหากฝ่าที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดนั้น ไม่สามารถรับผิดชอบต่อท่านได้ ก็เท่ากับข้าพเจ้าทำไปโดยสูญเปล่าแล้ว  ดังนั้นเพียงแต่ท่านอ่านหนังสือ  เพียงแต่ท่านบำเพ็ญจริง  สิ่งที่ท่านควรได้รับในแนวทางนี้  อะไรๆท่านก็จะได้รับหมด  รับรองว่าเป็นเช่นนี้ (เสียงปรบมือ)

            นับร้อย นับพันปีมา ศิษย์ขององค์ศากยมุนี  ก็ไม่ได้พบหน้าอาจารย์เช่นกัน  จึงบำเพ็ญไปตามพระสูตรใช่ไหม  ผู้ที่บำเพ็ญอย่างแท้จริง  ฝ่าส่วนนั้นก็สามารถให้ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับท่าน   ปกติการให้ฝ่าหลุนของข้าพเจ้าแก่ท่าน ก็ไม่ให้ท่านได้เห็น   ขอให้ละทิ้งจิตยึดติดชนิดนั้นที่คล้ายกับว่าได้ให้อะไรแก่ท่านสักหน่อย  ท่านจึงจะยอมเรียน

ศิษย์     ท่านอาจารย์หลี่   ท่านพูดว่าชี่กงมีทั้งปลอม  ทั้งจริง   พวกเราจะแยกแยะอย่างไรว่า จริงหรือปลอม

อาจารย์  ชี่กงจริง  ชี่กงปลอม  คนธรรมดาสามัญยากจะแยกแยะได้  เพราะขณะนี้มาตรฐานที่ใช้ตัดสิน ดี  เลวนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว   เมื่อบำเพ็ญอย่างจริงจังแล้วก็จะค่อยๆสามารถแยกแยะได้   ดูว่าที่เขาพูดนั้นคืออะไร   สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่หลักธรรมที่ถูกต้อง  หรือบอกให้คนทำดีแต่เปลือกนอก แต่ธาตุแท้ภายในของเขานั้นหลอกคนเพื่อเงิน    การบำเพ็ญพุทธธรรมเป็นสิ่งที่เข้มงวดอย่างยิ่ง  ไม่อาจปะปนกับเรื่องเงินทองโดยเด็ดขาด (เสียงปรบมือ)  สิ่งใดๆทางโลกนั้น คนสามารถนำมาใช้หาเงินได้   เว้นแต่ เฉพาะพุทธธรรม ไม่อาจทำได้อย่างเด็ดขาด   ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ทำเพื่อเป้าหมายการมีชื่อเสียง     ชื่อเสียง  ผลประโยชน์เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญจะยึดติดตลอดไป  อาจารย์ชี่กงปลอมประเภทนี้ เขาจะนำคนไปสู่ทางที่ชั่ว  ช่วยเหลือคนไม่ได้ แต่กลับจะทำลายคน

            ที่จริงบาปของพวกเขาไม่น้อยเลย   ถ้าคนที่มีรากฐานดีมากคนหนึ่งที่จะมาได้ฝ่า  ถูกเขาทำลายไปแล้ว  คิดดูว่าเป็นบาปหนักเพียงไร   เพื่อเงินก็ทำเรื่องเลวมากถึงเพียงนี้    บาปนี้ไม่อาจรอดพ้นไปได้แค่ใช้ข้ออ้างว่า “ ทำมาหากิน ”  ในเวลาที่เกิดกระแสสูงของชี่กงในประเทศจีน   อาจารย์ชี่กงเหล่านั้นเดิมทีก็เผยแพร่ชี่กงโดยไม่เรียกค่าตอบแทน      ส่วนปัจจุบันนี้ ก็คือพวกของปลอมเหล่านี้  ที่ออกมาทำความยุ่งเหยิงอย่างร้ายแรง  แต่ก็มีอาจารย์ชี่กงจำนวนมาก เมื่อตอนเริ่มต้นออกมานั้นดีมาก  พวกเขาล้วนบำเพ็ญจิตรอง  ตัวเขาเองในฝั่งนี้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น   พอเวลานานเข้า จิตใจที่ต้องการชื่อเสียง เงินทองก็ปรากฏขึ้นมา   เมื่อตอนที่ยังไม่ออกมา เนื่องจากมีอาจารย์คอยดูแล  จิตรองของเขาก็คอยควบคุมเขาอยู่  พอออกมาทำเรื่อง   ด้านของคนก็ง่ายที่จะถูกชื่อเสียง ผลประโยชน์ทางโลกยั่วยวน   ฉะนั้นพอเขาแสวงหาสิ่งเหล่านี้แล้ว  เขาก็ตกลงไปแล้ว  ดังนั้นเขาก็จะไม่มีพลัง  ตัวอาจารย์ชี่กงเองก็สามารถป่วยได้

ศิษย์     เรียนถามท่านอาจารย์  สมมติว่าพวกเราบำเพ็ญสำเร็จสมบูรณ์แล้ว จะไปที่ไหน

อาจารย์  ข้าพเจ้ามีฝ่าหลุนซื่อเจี้ย   โลกสวรรค์มีมากมายนัก  ข้าพเจ้าจะพูดให้พวกท่านฟังสักหน่อย  ผู้ที่กำลังนั่งอยู่หลายคน มีการศึกษาของคนธรรมดาสามัญในระดับสูง  ข้าพเจ้าจะบรรยายคร่าวๆเกี่ยวกับแนวคิดของจักรวาลให้กับทุกท่าน

            ที่คนรู้จักนั้นก็คือมิติอย่างนี้   ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งพื้นๆที่พุทธบริษัทในศาสนาพุทธรับรู้กัน  ในขณะที่องค์ศากยมุนียังทรงอยู่ในโลกนั้น ได้ทรงประจักษ์แจ้งสัจจธรรมมากมาย จากหลักธรรมมูลฐานของจักรวาล  ในเวลานั้น คนมิได้นำเขา(สัจจธรรมนั้น)มาจดบันทึก  ในพระสูตรก็ไม่ได้เก็บบันทึกสืบต่อมา  ไม่ได้สืบทอดลงมาให้กับชาวโลก  หลังจากองค์ศากยมุนีไม่ทรงพระชนม์ชีพแล้ว ห้าร้อยปี คนจึงได้จัดทำพระสูตรเหล่านี้ออกมา   ทุกท่านทราบว่า ห้าร้อยปีให้หลัง  สิ่งที่องค์ศากยมุนีตรัสไว้ในเวลานั้นคืออะไร  คนก็ยากจะรู้ได้อย่างถูกต้องแล้ว  นี่ก็คือพระสูตรที่สืบทอดมาถึงวันนี้   ที่จริงนั้นก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิงจากคำพูดเดิมขององค์ศากยมุนี    แต่ว่ายังคงมีพุทธธรรมอยู่บ้าง  ด้วยเหตุนี้จึงสามารถทำให้คนบำเพ็ญได้   นี่ก็คือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ สมควรให้คนรู้ได้ในอดีต   สรรพชีวิตในมิตินี้ก็สมควรรู้ได้เพียงแค่นั้น

            จักรวาลไม่เล็กอย่างที่บรรยายไว้ในพระสูตรของพุทธศาสนา  และก็ไม่ใช่แบบพื้นๆอย่างที่ ผู้บำเพ็ญเต๋ากล่าวกัน  ธรรมที่องค์ศากยมุนีตรัสในเวลานั้น  เป็นธรรมของพระอรหันต์   อรหัตธรรมนี้เป็นมรรคผลที่ต่ำที่สุดในบรรดามรรคผลทั้งหมด   แน่นอนพระองค์ก็เคยตรัสสิ่งที่สูงกว่า  แต่ที่สืบทอดลงมากลับมีน้อยมาก   องค์ศากยมุนีพุทธะยังเคยตรัสไว้ประโยคหนึ่งในเวลานั้นว่า  พระยูไลพุทธะมีมากดุจจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา  พระยูไลพุทธะแต่ละองค์ก็ก่อตั้งสวรรค์ๆหนึ่ง  ขอบเขตที่พระองค์ตรัสนี้ กล่าวสำหรับคนแล้วก็ใหญ่มาก  ที่จริงทุกท่านทราบว่า โมเลกุลนั้นประกอบขึ้นมาจากจุลอนุภาค  คนนั้นดำรงชีวิตอยู่ในระหว่างโมเลกุลกับดวงดาว   ที่จริงทางช้างเผือกก็เป็นอณูหนึ่งในจักรวาล  และสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากทางช้างเผือกจำนวนมหาศาลก็มีขอบเขต มีเปลือกนอก  นี่ก็คือสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าจักรวาล  ที่จริงนี่เป็นเพียงจักรวาลน้อยอันหนึ่ง   เหนือไปกว่าจักรวาลน้อยนี้คืออะไรละ   วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ไม่กล้าแม้แต่จะคิดแล้ว  แม้แต่แนวคิดนี้ คนก็ไม่มี   จักรวาลนั้นไม่ใช่เกิดจากการระเบิดใหญ่ (บิ๊กแบง)

            นอกจักรวาลน้อยนี้ ไกลแสนไกลออกไปมากๆ ยังมีร่างนภา(เทียนถี่)ที่มีขนาดเท่าจักรวาลน้อย  เทพ กับ พระพุทธนั้นมีระดับชั้น  พระพุทธในระดับชั้นที่ต่ำจะมองไม่เห็นระดับชั้นที่สูง  ในสายตาของเทพกับพระพุทธที่สูงขึ้นไป  นั้นก็ยัง(เห็นว่า)เป็นขอบเขตที่เล็กมากๆ  หากคนคิดจะไปค้นหา ก็เป็นไปไม่ได้  คนรู้จักความเร็วของแสง  แต่ความเร็วของแสงก็ไม่ใช่สิ่งที่เร็วที่สุด   แสงนั้นถูกกาลเวลาของมิติควบคุมอยู่  กาลเวลา  กับ มิติก็เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากสสารในจักรวาล   และทุกสิ่งในมิตินั้นรวมทั้งแสงก็เป็นสสาร  ๆ แต่ละชนิดล้วนมีพลังงาน  ทุกท่านล้วนอาศัยอยู่ในมิติระดับชั้นโมเลกุลนี้  อากาศเอย  ต้นไม้เอย  น้ำเอย  โลหะเอย  ดินเอย  ทั้งหมดล้วนประกอบขึ้นมาจากอนุภาคโมเลกุลชั้นนี้   ในมิติชั้นนี้ คนไม่รู้สึกว่าโมเลกุลมีลักษณะกัมมันตรังสี  เพราะตัวคนเองก็ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุล  ที่จริงโมเลกุลก็มีพลังงาน  แสงของมิติมนุษย์ก็คืออนุภาคชั้นนี้ที่ทำหน้าที่(มีบทบาท)เป็นผิวนอก  ที่ข้าพเจ้าพูดคือมิติที่ต่างกัน ล้วนมีแสงของมิติที่ต่างกัน  สสารที่ประกอบเป็นแสงของมิติที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน  เนื่องด้วยเวลากับมิติที่ต่างกัน  ฉะนั้นความเร็วของแสงจริงๆแล้วก็ไม่เท่ากัน   เช่นนั้นพวกเรามองลึกลงไป  อะตอมนั้นมีพลังงาน   นิวเคลียสอะตอมมีพลังงานยิ่งมาก  โปรตอนก็มากยิ่งขึ้นอีก  อีเลคตรอนนี้เอย  ควาร์กเอย นิวทรีโนเอย  พลังงานกัมมันตรังสีที่ปล่อยออกมาที่ชั้นหนึ่งเหนือกว่าของอีกชั้นหนึ่ง  อนุภาคยิ่งลึกลงไปพลังงานและกัมมันตรังสียิ่งมาก  ไปถึงสสารต้นกำเนิด พลังงานนั้นมากเสียจนกระทั่ง สำหรับคนแล้วไม่มีทางที่จะอธิบายให้ได้  แน่นอนคนนั้นไม่อาจรับรู้ถึงสสารต้นกำเนิดได้ชั่วนิรันดร

            สิ่งเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งกล่าวไป ก็คือจะบอกทุกท่านว่า  จักรวาลนี้ไม่ใช่เรื่องผิวเผินดังที่คนเข้าใจกันเช่นนั้น  ในจักรวาล มีจักรวาลใหญ่น้อยที่ต่างกันมากมายสักเท่าใดหรือ   นี่เป็นจำนวนที่นับไม่ถ้วน  แต่ว่าเพียงพูดอธิบายอยู่ในระบบจักรวาลที่เล็กอันหนึ่ง   ซึ่งอาจพูดได้อย่างนี้ว่า  ประมาณ ๓,๐๐๐ จักรวาลเล็ก ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สองที่ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย   และจักรวาลชั้นที่สองจำนวนมากเท่ากันนี้ จึงประกอบขึ้นเป็นจักรวาลชั้นที่สาม   ขยายเรื่อยไปอย่างนี้ ซึ่งกล่าวสำหรับคนแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด  ดังนั้นฟ้านี้ใหญ่เพียงไร  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน   ตราบชั่วนิรันดร มนุษย์ล้วนไม่สามารถวัดออกมาได้ว่า สุดท้ายร่างนภา(เทียนถี่)มีความกว้างใหญ่เพียงไร   พระยูไลพุทธ ก็วัดออกมาไม่ได้   มันใหญ่มหึมาเหลือเกิน  ไม่เหมือนความรู้ในปัจจุบันของมนุษย์ที่เข้าใจกันอย่างนั้น  

            ทุกท่านลองคิดดู คำพูดเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป   ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อันน้อยนิดที่มนุษย์ในปัจจุบันยึดกุมอยู่ นับเป็นอะไรได้ละ   “ ความรู้แขนงกระจ้อยร่อย ” และวิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันในปัจจุบันนำพาคนให้ผิดเพี้ยนไป  วิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยันก่อให้เกิดมายาภาพมากมาย    จุดนี้ท่านทั้งหลายยังไม่อาจรับรู้มันได้   ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง  ก็เหมือนกับจักรวาลที่ข้าพเจ้าเพิ่งพูดไป  ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์แบบพิสูจน์ยืนยัน เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นจากการระเบิดใหญ่( บิ๊กแบง ) ใช่หรือไม่ว่า  มันได้สร้างมายาภาพอย่างหนึ่งให้กับท่านแล้ว  คนล้วนไปเข้าใจกันอย่างนี้หมดแล้ว  วิทยาศาสตร์แบบการพิสูจน์ยืนยันเข้าใจว่าคนมีวิวัฒนาการมา  ทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่าคนนั้นวิวัฒนาการมาจากลิง   ที่แท้ไม่ใช่เรื่องอย่างนี้  นั่นใช่หรือไม่ว่า ได้นำพาท่านเข้าไปในทางที่ผิด  ความรับรู้ต่อวัตถุสสารของคนนั้น  ที่จริงก็ไม่ใช่แบบนี้   การรับรู้โดยมูลฐานก็ผิด  และคนซึ่งอยู่ในมายาภาพ ก็ถูกความรับรู้อย่างนี้ปิดล้อมไว้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แล้ว  ยิ่งนานยิ่งถูกปิดล้อม  คนรีบทำการปิดล้อมตนเองจนไม่มีช่องว่างเหลือแม้แต่น้อย   และความจริงของจักรวาลนี้กลับถูกมันปิดบังเอาไว้ทั้งหมดแล้ว  ภายใต้สภาพการณ์อย่างนี้  ทุกท่านลองคิดดู  หากใครจะพูดความจริงของจักรวาล  วิทยาศาสตร์ เจ้าสิ่งนี้จะยอมรับไหวหรือ   วิทยาศาสตร์นี้ได้ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมอย่างนี้แล้ว  มันจะต้องแสดงบทบาทคัดค้านแน่  ดังนั้นเมื่อพูดถึงสิ่งที่สูงขึ้นไป มันก็จะพูดว่าท่านงมงาย  ก็เป็นเหตุผลเช่นนี้

            ด้วยเหตุนี้ คนจำนวนมากจึงก่อเกิดทัศนคติที่แข็งทื่ออย่างหนึ่งขึ้นมา    ถ้าหากคนก่อนกำหนดกฎเกณฑ์ ทฤษฎีที่แน่นอนไว้จำนวนหนึ่ง  ยกตัวอย่างเช่น  ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์  คนก็เข้าใจว่านี่เป็นจุดสุดยอดของวิทยาศาสตร์แล้ว   คนในภายหลังล้วนรับรู้อยู่ในนี้   ใครกล้าพูดสูงขึ้นไปสักหน่อย  วิจัยค้นคว้าเหนือกว่าสักหน่อย  ทันทีทันใดก็จะมีคนพูดว่า  “ คุณยังเก่งกว่าไอน์สไตน์เชียวหรือ ”  เพราะอะไรละ  เพราะสภาพแวดล้อมทางวัตถุ ของวิทยาศาสตร์แบบยืนยันพิสูจน์ในปัจจุบันที่ก่อเกิดขึ้นแล้ว กำลังควบคุมคนอยู่     นักวิทยาศาสตร์ที่ประสพความสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น  เมื่อท่านเลยล้ำจากความรับรู้ของคนก่อน  ท่านจะพบว่าภายในขอบเขตของเขา ความรับรู้ของคนก่อนนั้น เป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง   ครั้นเมื่อท่านเลยล้ำจากมัน ท่านจะพบว่ามันไม่ใช่สัจจะที่แท้จริง  ในทางกลับกันยังจะควบคุมคน  ผู้ที่ประสพความสำเร็จและมีความคิดอย่างแท้จริง จึงกล้าทะลวงมัน  ทะลวงกรอบของคนก่อน  ท่านจึงจะเป็นผู้ประสพความสำเร็จที่แท้จริง ( เสียงปรบมือ )

ศิษย์     พวกเราจัดเรียงหน้าจิงเหวินของท่านตามลำดับเวลา ถูกต้องหรือไม่

อาจารย์   ใช้ได้  จิงเหวินนี้ ศัพท์คำหนึ่งก็ไม่มีความหมายอะไรแฝงไว้เป็นพิเศษ    พูดถึงความหมายเดิมของคัมภีร์จิงเหวิน   ก็คือบทความที่คนมักศึกษากัน  บทความที่คนมักอ่านกันเป็นประจำ  มักนำมาศึกษาปฏิบัติตามจึงเรียกว่าคัมภีร์

ศิษย์     ในขณะนั่งสมาธิ ทันใดก็ปรากฏเสือดาวตัวหนึ่ง  เสือดาวตัวนั้นคืออะไร

อาจารย์  เพราะท่านจะฝึกพลัง  มันจะรบกวนท่าน  ไม่ต้องกลัวมัน  ใครก็ทำร้ายท่านไม่ได้( เสียงปรบมือ)  ในเมื่อข้าพเจ้าทำเรื่องนี้แล้ว  ข้าพเจ้าย่อมสามารถจะรับผิดชอบต่อผู้บำเพ็ญ  จุดนี้ท่านทั้งหลายวางใจ  คนมาเรียนกันมากอย่างนั้น  ไม่เกิดปัญหาขึ้น  แต่ว่ามีจุดหนึ่ง  ตัวท่านเองต้องปฏิบัติตนเป็นผู้ฝึกพลังคนหนึ่ง  หากตัวท่านเองมีจิตหวาดกลัว ก็ยังใช้ไม่ได้  เพราะจิตหวาดกลัวของคนก็ต้องละทิ้งไป

ศิษย์     อาจารย์หลี่   ดิฉันอ่านหนังสือ “จงกั๋วฝ่าหลุนกง”   ในหนังสือบอกว่าหลักพลังชุดที่หนึ่งให้ทำสามรอบ  จากนั้นพวกเราก็ทำสามรอบ   ส่วนการประคองมือขึ้นลง(ชงกว้าน)   กับ “ฝ่าหลุนโจวเทียนฝ่า” ทำไมไม่ทำสามรอบ

อาจารย์  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  หลักพลังนี้ สะดวกมาก  หากท่านมีเวลา ท่านก็ฝึกมาก  ไม่มีเวลาท่านก็ฝึกน้อย  ถ้าวันนี้ไม่มีเวลา เพียงฝึกชุดหนึ่งก็ใช้ได้   ในสถานการณ์ที่ไม่มีเวลา กระทั่งท่านเพียงฝึกครั้งเดียว งั้นท่านก็ฝึกครั้งเดียว   เมื่อเวลาของท่านมากท่านก็ฝึกหลายๆรอบ   แต่ว่า  แต่ละครั้งที่ครบเก้ารอบให้หยุด  ก็คืออย่าฝึกต่อเนื่องอีก   อย่างนี้จะค่อนข้างดีหน่อย   หลักธรรมการบำเพ็ญของข้าพเจ้านี้ ไม่เหมือนการบำเพ็ญอย่างอื่น   การบำเพ็ญอย่างอื่นเวลาที่ท่านฝึก มันก็คือกำลังฝึกพลัง  เมื่อท่านไม่ฝึกมันก็หยุด  มันก็ไม่เคลื่อนไหวแล้ว   ของพวกเรา คือการฝึกท่านตลอด 24 ชม.  คือหลักธรรมฝึกคนอยู่  ท่านฝึกพลังไปทำไมละ   คือการเสริมความแข็งแกร่งให้กลไกควบคุมเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าใส่ให้กับท่าน   ทำไมข้าพเจ้าบอกว่าให้เป็นไปตามธรรมชาติ  ก็คือขณะที่มือไม้ของท่านกำลังฝึกพลังอยู่ พลังงานก็จะมาก  ผู้บำเพ็ญกำลังเสริมสร้างกลไกนี้   กลไกถูกเสริมสร้างให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  แรงพลังของกลไกควบคุมยิ่งมากขึ้น  กลไกก็จะเคลื่อนไหวเอง  นำพาท่านฝึกพลัง   

ศิษย์     วิธีการที่ดีที่สุดในการศึกษาฝ่าคืออะไร  คืออ่านแต่หนังสือ หรือว่าคัดลอกไปพลาง อ่านไปพลาง หรือว่าคัดลอกหนังสือ

อาจารย์  ในจีนแผ่นดินใหญ่มีหลายคนท่องหนังสือ  มีหลายคนคัดลอกหนังสือ  และมีหลายคนท่องไม่ไหวจึงอ่านบ่อยๆ  วิธีการแบบไหนก็ใช้ได้   ผู้ที่ท่องจำได้ เมื่อเวลาที่เขาพบกับปัญหาอะไร  เขาจะนึกถึงฝ่าขึ้นมาได้ในทันที  ดังนั้นเขาจึงไม่ง่ายที่จะทำเรื่องไม่ดี   การคัดลอกหนังสือก็เป็นการเสริมความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  อ่านหนังสือบ่อยๆ ก็เพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งขึ้น  ยกระดับไม่หยุดหย่อน

ศิษย์     อาจารย์  พวกเรารู้สึกว่า  พวกเราเรียกท่านว่า  เหล่าซือ ดูเหมือนไม่เหมาะสม   เรียก เหล่าซือ ค่อนข้างพื้นๆเกินไป  ดังนั้นผมคิดว่า  ใช่ไหมว่าท่านอยากให้ทุกคนเรียกว่า เหล่าซือ เนื่องจากสภาพการณ์ในประเทศจีน   เช่นนั้นพวกเราที่นี่ เรียก “ซือฝู่สบายดี” สี่คำ  พวกเราแต่ก่อน คนที่ศึกษาพุทธะล้วนรู้สึกว่า ซือฝู่ อยู่สูงกว่า ไม่ใช่ เป็น เหล่าซือ

อาจารย์  ขอบใจ  ที่จริงเรียก อะไรก็ได้ทั้งนั้น  เรียก เหล่าซือ  ซือฝู่  ชื่อ ได้ทั้งนั้น

            ทำไมข้าพเจ้าสอนให้ทุกท่านเรียกข้าพเจ้าตามสะดวกละ   เพราะสังคมปัจจุบัน ถูกสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นทำเสียจนเลวร้ายแล้ว  บ้างก็เรียกตัวเองว่าพระพุทธ  บ้างก็เรียกว่าพระดาไลลามะ(พระผู้โปรดเวไนยสัตว์)  บ้างเรียกว่าปรมาจารย์  บ้างเรียกว่าศาสดา   ยังไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงผลประโยชน์นั่นหรือ  ข้าพเจ้าว่าทุกท่านเรียกตามสะดวกเถอะ  เรียกข้าพเจ้าว่าเหล่าซือ ก็ไม่มีอะไรไม่ดี  ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้   ข้าพเจ้าก็ไม่แสวงหาสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นในฐานะผู้ฝึก ท่านมีความรู้สึกเคารพอาจารย์อย่างไร  รู้สึกว่าอาจารย์กำลังโปรดพวกเราอยู่  ช่วยเหลือเราอยู่  คิดจะเรียกอย่างไร  นั่นเป็นเรื่องของพวกท่าน  ข้าพเจ้าได้ยินว่าอาจารย์ ก็พอแล้ว 

ศิษย์     ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือว่า  เมื่อครู่อาจารย์บอกว่าอย่าทำเพื่อเงิน  เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกว่านี่คือพระพุทธที่แท้จริง    แน่นอนในหนังสืออาจารย์ไม่เคยพูดว่าเป็นพระพุทธ   แต่ผมรู้สึกว่าแต่เดิมพวกเราที่ศึกษาพุทธศาสนา ล้วนไม่เคยพบอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่สามารถชี้นำได้อย่างแท้จริง   ดังนั้นผมจึงพูดกับคนอื่นว่า  คุณจะไปหาผู้ที่ไม่เอาเงินแล้วยังนำพาคุณบำเพ็ญสำเร็จได้ที่ไหนอีก   ทั้งยังชำระกรรมแทนคุณ  พวกคุณเคยเห็นมาก่อนไหม   ทำไมขณะนี้ผมอยากพูดสิ่งเหล่านี้   ก็เพราะผมรู้สึกว่าอาจารย์ของเราคืออาจารย์ผู้นำทาง คือผู้ที่มาชี้นำหนทางการบำเพ็ญของเราได้อย่างแท้จริง   ฉะนั้นสิ่งที่ผมเคยเรียนมาก่อนก็จะไม่สนใจอีกแล้ว   ผมคิดว่าในนี้มีคนจำนวนมากล้วนแต่ศึกษาพุทธ  อุบาสก อุบาสิกา ก็มีมาก  ที่ศึกษาอย่างอื่นก็มี  แต่ว่าผมคิดว่าจากวันนี้ไปพวกเราควรถืออาจารย์ผู้รู้แจ้งของเรา เป็นอาจารย์ผู้ชี้นำการบำเพ็ญของเราอย่างแท้จริง   จึงไม่ควรไปทำอย่างอื่นอีก   แน่นอน ผมไม่กล้าไปพูดถึงคนอื่น  อย่างน้อยที่สุดนะ ผมคิดว่าวันนี้อาจารย์มา  คำพูดเหล่านี้ของผม ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ ผมก็หวังไว้ว่า วันนี้จะได้พูดออกมา

            ชั่วชีวิตของผมคิดมาโดยตลอดว่าอยากจะบำเพ็ญไปสู่ระดับชั้นสูง  แต่ว่าตลอดมาก็หาไม่พบ  ผมเคยเรียนมี่จง  และเคยเรียนชี่กงหลายอย่าง  เคยกราบไหว้ปรมาจารย์   แต่หลังจากกราบไหว้แล้วผมรู้สึกว่า ผมคงยังเป็นผม(คนเดิม)  ผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลยสักนิด   แต่หลังจากผมได้ฟังธรรมของอาจารย์ ธรรมของอาจารย์คือพุทธธรรม    วันแรกที่ผมไปฟังการบรรยายธรรมในวิดีทัศน์   อาจารย์บอกว่าขอเพียงท่านบำเพ็ญอย่างแท้จริง   ผมจึงพูดกับทีวีว่า ผมจะบำเพ็ญอย่างแท้จริง   แต่ว่าผมนั้นหวังจะให้อาจารย์มาอเมริกา   เนื่องจากผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเฝ้ารอคอยอาจารย์มา  ดังนั้นหวังจะให้อาจารย์ให้ความกระจ่างอีกครั้ง  ชี้แนะพวกเราสักครั้ง   ผู้ที่บำเพ็ญพุทธในเขตซานฟรานซิสโก ควรจะระวังด้านไหนบ้าง  นี่คือคำวิงวอนประการหนึ่งของผม

            อุบาสก อุบาสิกาที่ศึกษาพุทธจำนวนมากมาย  หากวางสิ่งเหล่านั้นไม่ลง  และพวกเราก็ให้ความช่วยเหลือเขาโดยไม่หวังอะไร  แต่มีปัญหาหนึ่ง ผมอยากเรียนถามอาจารย์โดยตรง  ก็คือว่า มีคนหนึ่งเดิม เขาศึกษาพุทธ  และอ่านพระสูตร กราบไหว้พระพุทธรูปมาหลายปี  เขาบอกว่าพอเขาอ่านพุทธ( พระสูตรสมัยก่อน) ก็จะมีกลิ่นหอม   พออ่านฝ่าหลุนกงก็มีกลิ่นแปลกไป(ไม่เหมือนกัน)  วันนี้อาจารย์อยู่ที่นี่   เนื่องจากผมเอง ไม่มีอะไรเลย  ผมก็มองไม่เห็น  ดังนั้นเรียนท่านอาจารย์ชี้แนะ

อาจารย์  เอาละ  ที่จริงในยุคธรรมะปลาย  พระพุทธที่แท้จริงล้วนไม่สนใจเรื่องของโลกมนุษย์แล้ว  แต่ว่ามีสัตว์มากมายที่ได้อิทธิฤทธิ์ ก็เข้าไปในพระพุทธรูปเรียกให้คนไปกราบไหว้  เรียกให้คนบูชา  ให้บุณคุณเล็กๆน้อยๆแก่คน  พอคนคิดจะบำเพ็ญตนเองแล้ว  สิ่งเหล่านั้นก็จะรบกวน  อาทิเช่น  หลายคนพูดว่าฝึกพลังอะไรมีกลิ่นหอม   ที่จริงก็คือกลิ่นที่พังพอนตัวนั้น ปล่อยออกมา   กลิ่นของสองมิติไม่เหมือนกัน   ที่ฝั่งนี้คือ หอม  ฝั่งนั้นก็คือ เหม็น  โลกมนุษย์คือกลับกัน   ดังนั้นทั้งหมดก็ล้วนแต่กลับตรงข้ามกัน  ที่คนดมนั้นคือกลิ่นหอม  ที่แท้พระพุทธ ถือว่า เหม็น  มันไม่ยอมให้ท่านศึกษาต้าฝ่า  จงใจรบกวนโดยปล่อยกลิ่นชนิดนั้นออกมา

            ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเรา ผู้ฝึกซานฟรานซิสโก อย่าเพียงแต่มองแค่ ซานฟรานซิสโก  ต้องมองไปทั่วอเมริกา  พูดถึงว่าจะบำเพ็ญกันอย่างไร  คือยังต้องรักษารูปแบบนี้ไว้  วันนี้ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ก็เป็นการมอบไว้ให้กับคนรุ่นหลังทำเช่นนี้ด้วย   หาไม่แล้วข้าพเจ้าก็เข้าไปทำในวัดแล้ว  ข้าพเจ้าก็ออกบวช    ออกบวชไม่ได้ เพราะศาสนาไม่อาจทำให้คนได้ฝ่ามากยิ่งขึ้น   ข้าพเจ้าเลือกรูปแบบอย่างนี้ให้คนบำเพ็ญ  พวกท่านก็ต้องรักษาไว้อย่างนี้  ไม่ใช่ว่าเข้ามาสู่แนวทางนี้แล้ว  ก็สร้างกฎเกณฑ์ตายตัวขึ้นมาแล้ว  นี่ใช้ไม่ได้  คนที่คิดจะเรียน ต้องมีขั้นตอนการรับรู้   รู้ว่าดี ก็อ่านหนังสือเถิด  เขายกระดับการรับรู้แล้ว ตัวเขาเองก็จะริเริ่มทำให้ดียิ่งขึ้นเอง  ในนี้อุบาสก อุบาสิกาในศาสนายังค่อนข้างจะทำได้ดี  ส่วนพระสงฆ์นั้นกลับน่าเวทนาที่สุด  รูปแบบนี้ของศาสนา ได้ขวางกั้นพวกเขาไว้หมดแล้ว   พวกเขาไม่อาจสัมผัสฝ่าได้  และก็ไม่กล้าสัมผัส

ศิษย์     ท่านอาจารย์  มีสองคำถาม  คำถามที่หนึ่งคือว่า วันนี้ท่านอาจารย์มีวาสนามาที่นี่  พบปะกับทุกคน  ท่านอาจารย์บอกว่ามีวาสนากับทุกคน   เช่นนั้นท่านอาจารย์คิดว่าระดับชั้นของผู้ฝึกกลุ่มนี้เป็นอย่างไรบ้าง   ผู้ฝึกเรากลุ่มนี้สามารถจะสำเร็จสมบูรณ์กันทั้งหมดใช่หรือไม่

อาจารย์  ที่นั่งอยู่ มีคนหนึ่ง ก็นับคนหนึ่ง  แม้แต่เด็กก็นับ  ข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  เพียงท่านสามารถบำเพ็ญ  เส้นทางที่ข้าพเจ้าจัดวางไว้ให้กับท่าน สุดท้ายก็คือ หยวนหมั่น ( เสียงปรบมือ ) ทุกท่านอย่ารีบดีใจเร็วเกินไป  การบำเพ็ญนั้นคือ อาจารย์นำทางเข้าประตู  ส่วนจะบำเพ็ญสำเร็จนั้นยังคงอยู่ที่แต่ละคน  ข้าพเจ้าจัดวางไว้ให้ท่านแล้ว  ข้าพเจ้าสามารถคุ้มครองท่าน  สนับสนุนท่าน  แต่ละระดับชั้นล้วนจะผันแปรพลังสูงขึ้นให้กับท่าน  ในช่วงการบำเพ็ญต้องพึ่งพาตัวเอง   จิตดวงนี้ หนา เมื่อพบกับเรื่องยุ่งยาก  เมื่อประสบกับการข้ามด่าน  ท่านจะสามารถอดทนได้หรือไม่  จะสามารถข้ามไปได้หรือไม่  นี่ล้วนแต่ต้องพึ่งพาตนเองทั้งสิ้น  แน่นอนหากท่านข้ามไม่ได้จริงๆ ก็ยังสามารถสะกิดเตือนท่าน  ถึงเวลานั้นเกรงว่าความคิดของท่านจะมุดเข้าไปสุดขั้วจนไม่รับรู้   จะเตือนอย่างไรก็ไม่รับรู้  ดังนั้นจึงยากจะช่วย  ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่าน เมื่อเวลาที่พวกท่านข้ามด่านไม่ได้  ได้ยินคำพูดที่แสลงหูมาก  จริงๆ คือฝ่าเซินของข้าพเจ้าใช้คำพูดแสลงหู กระตุ้นท่าน    บอกท่าน   การข้ามด่านนั้นยากมาก  เมื่อข้ามด่านแล้วหันกลับไปมอง ที่แท้ ด่าน นั้นไม่ใช่อะไรเลย   แต่ไม่รู้ว่าในขณะนั้นทำไมจึงยึดติดเช่นนั้น  เมื่อตนเองข้ามมาได้จริงๆแล้ว  ซินซิ่งนั้นก็ยกระดับขึ้นมาแล้ว   สามารถล้างกรรมไปได้  รับรองว่าเป็นเช่นนี้   หากเรื่องยุ่งยากนี้คนอื่นสร้างขึ้นมา  คนอื่นยังจะให้กุศลกับท่าน   ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกทุกท่าน  การทนทุกข์ไม่ใช่เรื่องไม่ดี  มีแต่คน ที่ถือว่าการทนทุกข์นั้นเป็นเรื่องไม่ดี   ทนทุกข์ชีวิตก็ไม่มีความผาสุก   ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญ  การทนทุกข์ไม่เพียงแต่จะชำระกรรม  ยังจะสามารถยกระดับชั้น  สามารถจะหยวนหมั่น   ฉะนั้นหากท่านว่าฉันคิดจะสุขสบายอยู่ในหมู่คน   ฉันก็ไม่อยากทนทุกข์แม้สักนิด  ฝึกอย่างสบายๆก็ดีแล้ว   ท่านก็ชำระกรรมไม่ได้  ก็ยกระดับซินซิ่งไม่ได้  ท่านก็หยวนหมั่นไม่ได้  ก็คือเหตุผลเช่นนี้

            จึงพูดอย่างนี้  หลักธรรมก็พูดเข้าใจกันแล้ว   แต่ว่าเวลาทนทุกข์ยังอาจจะทนไม่ได้   ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้บอกทุกท่าน ถึงสัจจธรรมที่แท้จริงข้อหนึ่ง  ทำไมพระพุทธมีสิริมงคลยิ่งใหญ่เช่นนั้น    เป็นความผาสุกที่สมบูรณ์แบบจริงๆ   ก็เพราะเขาได้ทนทุกข์ใหญ่หลวง จึงเสวยสุขมากล้น    วันนี้ผู้ที่กำลังนั่งอยู่ หากข้าพเจ้าเรียกให้ท่านทนทุกข์ใหญ่อย่างนั้น  พวกท่านวันนี้ ใครก็หยวนหมั่นไม่ได้  จริงๆคือเพียงแต่ท่านสามารถบำเพ็ญต่อไป  กรรมที่มากยิ่งกว่า อาจารย์จะช่วยท่านชำระ      ยังคงเป็นคำพูดที่ข้าพเจ้าพูดไว้เมื่อครู่  เพื่อจะได้รับฝ่านี้  อาจเป็นไปได้ว่าพวกท่านล้วนได้ทนทุกข์มาหลายภพหลายชาติ   มีคนมากมายมาเพื่อรับฝ่าจริงๆ  ได้ทนทุกข์มาตั้งนานแล้ว  ขณะนี้พวกท่านยังขาดที่ตรงไหน   ก็คือยังขาดตรงที่ พวกท่านต้องสลัดจิตของคนธรรมดาสามัญดวงนั้นไป  ความทุกข์ที่ข้าพเจ้าพูดถึงทั้งหมดนั้น  ที่สำคัญหมายถึงทุกข์ของการสลัดจิต(ดวงนั้น)ทิ้งไป